ทำยังไงให้หายคิดเล็ก คิดน้อย คิดกลาง คิดใหญ่ จากคำพูดคนอื่น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย SegaMegaHyperSuperCyberNeptune, 3 กุมภาพันธ์ 2017.

  1. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    จะเสียสมาธิก็เพราะเรื่องนี้แหละ หมดกำลังใจทำอะไรแล้ว
    เช่นมีคนบ่นว่า "ไอควาย" สมองคิดความยกินหญ้า มันมี 4 กระเพาะ
    เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง เดิน 4 ขา มันไม่ได้โง่นะ แต่หนังควายมันก็เหนียวนะ
    สงสารมันเวลาไปโรงฆ่าสัตว์ ไม่มีใครใจบุญปล่อยมันเลย สัตว์อนุรักษ์เลยนะ
    คู่บ้านคู่เมืองไทยมาช้านาน ทำไรมาถึงเกิดเป็นควายนะ ตอนโดนเชือดคงทรมานน่าดู ทำงานหนักก็ว่าแล้ว ไม่รู้มันคิดอะไรมั่งวันๆ ฯลฯ
    เนี่ยมันชอบเก็บมาคิดเอง เออเอง เปลืองเนื้อที่ในสมองมาก คิดจนร้อน หิวสิ เปลืองพลังงานมากๆ แทนที่จะคิดเรื่องทำมาหากิน หมดโอกาส อายุก็เริ่มเยอะ ยิ่งเพิ่มความคิดมากเข้าไปอีก คงไม่ได้แก่ตายแน่ๆ ความคิดมีแต่หาเรื่อง ควายก็มีชีวิต สัตว์ก็มีหัวใจ ยิ่งบ่นหมูทีนี่ยิ่งคิดหนักเลย เมื่อไหร่เราจะหายกากหมูซะที โดนคนอื่นดูถูกมาเยอะ สู้ยังไงๆ ก็สู้เขาไม่ได้หลอก ฯลฯ
    ปล. จบเถอะ บ่นได้ทั้งวัน เหนื่อยกับชีวิตแบบนี้แล้ว เมื่อไหร่จะใช้หนี้หมด จะได้ไปบวชๆ ให้รู้แล้วรู้รอด เบื่อการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นกันทางโลกแล้ว เรามันขี้แพ้ใช่มั้ย แพ้แล้วยังพาลอีก ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย ฯลฯ กินยาดีกว่า จบเถอะ นี่แค่พูดควายคำเดียวนะ สมองยังรวนขนาดนี้ เฮ้อ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    จะฟังได้หรือ

    ธรรมะ บางที ก้เปนเรื่องสวนกระแส ความเข้าใจ
    ของคนไม่ได้อบรมจิตมาก่อน นะ

    ถ้ากล้าพอจะมาถาม ก้ต้องกล้าอีกนิดที่จะวิจัย


    ที่มีเวรกรรม คิดไม่หยุด ร้อนสมอง

    เกิดจาก เราชอบเล่าเรื่องให้คนตีลังกาคิด

    เกิดจาก เราคิดอะไรก้บ่นให้ผู้อื่นฟัง

    คนเขาฟัง เขาก้ห้ามจิตไหลตามไม่ได้ เขาก้ร้อรหัว


    ไปก่อกรรมให้คนอื่นร้อนหัว เวรกรรมมาก้ วนเวียน
    กลับไปสนอง คนก่อ

    แล้วจะทำอย่างไร

    ไม่ยาก

    สู้ เพื่อผู้อื่นเข้ามาเลย

    ในสมองเราคิดอะไร ร้อนยังไง ไม่ต้องเอาเล่า
    ไปก่อเวรแก่คนอื่น

    สู้ ด้วยจิตตั้งมั่น เหนความร้อนไม่เที่ยง

    อย่าพอใจ กับ ความสามารถในการเหน สมองร้อน

    อย่าเสียใจที่วันนี้สมองเย็น หมดความวิเศษ ในการ
    เหนสมองร้อน

    แล้วจะค่อยๆ เหน สมองร้อนไม่เที่ยง

    เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็น

    ถ้าคิดเปน เย็นสบายไม่ร้อน

    กำหนดเหนความร้อน เปนธาตุ ไหลเข้าไหลออก

    หากยังมีวาสนา สมองก้ค้องร้อน แขนขาก้ร้อน
    อกร้อน ใจร้อน สลับเย็น

    เพราะอะไร

    เพราะ เย็นก้คือร้อน แต่เปนร้อนที่ พอใจ
    ทำให้ร้อนแต่กลับหมายสัญญาว่า เย็น

    คนเปนก้ต้องร้อน

    คนไม่ร้อนภาวนาไม่เปน ตายทั้งเปน
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กำหนด ดูสภาพธรรม ร้อน เย็น นี่ไม่ใชของไก่กา หน่าคร้าบ

    ถ้าเอามากำหนดรู้ เหนความไม่เที่ยง เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็น

    จนหัวจะร้อน ก้ มีอุเบกขา เปนกลาง

    จะเย็น ก้มี อุเบกขาเปนกลาง

    จะร้อนแต่พอใจ สัญญามันผลิกมุม บอกว่าเยน
    ก้มี อุเบกขา เหน สัญญาสับขาหลอก ไม่เที่ยง

    เหนบ่อยๆ จะเปน ธรรมมานุปัสนาสติปัฏฐาน

    หยิบพระสูตร อาทิตยสูตรมาอ่าน จิตจะลง

    หยิบอนันตลักสูตร มาอ่านต่อ ยิ่งลงใจ

    ไฟใดๆ ก้ไม่เที่ยง

    สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเปนอนัตตา มีหรือ จะไม่ลง

    พอจิตลง สงบลง สงัดลง

    คิดเปน เยนสบาย
     
  4. maggy chen

    maggy chen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    215
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +653
    เป็นไงเหรอวันนี้ ดูท้อถอย แค่คำพูด คำเดียว เอ้อถ้าตอบโต้ได้ ทำไมไม่ตอบโต้ไปเลยล่ะ
    เรื่องไร มาด่าเรา
    ของเรานะ เราเป็นคนที่มีความสงบสุขในใจมากๆๆๆๆๆ ปัญหาเรามี แก้ไม่ได้ แต่ไม่กลุ้ม ไม่คิด

    ก่อนนี้เคยนอยด์มากๆ พอใครว่า หรือใครไม่ชอบเรา

    แต่ เดี๋ยวนี้ สบายมาก ไม่ชอบก็เป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่เรื่องของเรา

    ทุกอย่างทำได้แล้วไม่กลุ้มไม่เศร้า ไม่คิดมาก ใจง่ะ ชนะหมดล่ะ ขอบอก
     
  5. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    ไม่เข
    ไม่เข้าใจอะไรร้อนๆ เย็นๆ ช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ หน่อยได้มั้ยครับ
    เรื่องทางโลกว่าแย่แล้ว มาเรื่องทางธรรมก็หน่าย ไม่รู้จะไปทางไหนดี
    เหมือนจะสิ้นคิดแล้วเนี่ย คิดถึงอนาคตตัวเอง ถ้าไม่ได้แม่ผมช่วยคงตายไปหลายรอบแล้ว เคยคิดมากจนเครียด ทำร้ายตัวเอง แต่มันไม่ตายอะสิ บ่นความพ่ายแพ้ในชีวิต อนุภาพไฟเย็นนี่ทรมานมากเลย ร้อนหัว ต้องแอบมามาเล่นตอนดึกๆ ไม่งั้นอยู่ได้ไม่เกิน 3 นาที
     
  6. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    มันเป็นคำพูดเรื่องของคนอื่นนะสิ เราหูดันดีเกินได้ยินก็คิดมาก ถ้าเราเป็นเขาที่โดนด่า จะตอบโต้ไงดี ทำไมชอบด่ากันจัง สัตว์มันทำอะไรผิด ควายยังงง
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ธรรมะ ไม่ใช่เรื่อง รับฟัง ตีความ แล้วเข้าใจ

    ธรรมะ จะต้อง หัดปฏิบัติ เอาเท่าที่ นมสิการได้
    ไม่ต้องเล็งผลเลิส ทำปั๊ป จะเอาผลสำเร็จ

    น้ำแข็ง ยังไงก้ต้องละลาย ของมันอยู่แล้ว

    ให้พิจารณา ไปตามที่มันเปน

    ไม่ต้องเล็งผลเลิส ทำอะไรแทรกแซงกระบวนการของมัน

    น้ำแข็งเหนมันเย็นๆ มันยัง กลุ้ม เพราะ ความร้อนแฝง เลย
     
  8. maggy chen

    maggy chen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    215
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +653
    แต่ละวันๆ มีเรื่องเยอะแยะไปหมด ถ้าไปใส่ใจ ล่ะก็ จิตตกนะ เรื่องของเขาเราแก้ให้ไม่ได้ ปล่อยเถอะ
    อย่าเก็บมาทุกข์ ถูกด่า ถ้าเป็นคนพาลมาด่า อย่าตอบโต้ดีกว่า ต้องดูว่า คนนั้นเป็นใครไหวไหม
    ทางที่ดีนะ อย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่นดีที่สุด
    ปากคนนี่คือ อสรพิษ เลย จะดีหรือร้าย จะตายหรือจะอยู่ อยู่ที่ปากตัวเองทั้งนั้น ตอนนี้เราทำได้เกือบหมดนะ งดพูด ถ้าเขาไม่ถามความเห็น
    ปล่อยให้มันเป็นไป เราอยุ่ในที่ของเรา ใจว่าง โอ้ สงบสุขจริงๆหนอใจ
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ในสมัย พุทธกาล ก็มี บุคคลท่านหนึ่ง วันๆ มีแต่ " สิ่งไม่น่าพอใจ "

    ถ้าจำไม่ผิด จะชื่อ นามะ หรือ พระมหานาม

    เป็นเจ้าชาย ของแคว้นสักกายะ พระญาติพระพุทธองค์

    ตอนแรกก็ บวช แต่พอ พระสุทโธธนะ พระบิดา มาปรารภว่า บัลลังก์
    จะหาคนมาเป็น กษัตริย์ต่อจากพระองค์ไม่ได้ เพราะ บวช สนใจการ
    ปฏิบัติภาวนากันหมด

    ก็เลย ให้พระ มหานาม สึก แล้วไปเป็น กษัตรยิ์

    ความที่ อายุน้อย การงานไม่เคยฝึกฝน อบรมตนเอง มาก่อน ก็ทำอะไร
    พลาดพลั้ง ไม่ได้ดี

    พระญาติ ก็เอ็ดเอา ให้เสียๆ หายๆ

    ก็เครียด แต่เป็น เครียดที่ พร้อมจะสู้ ที่พร้อมจะฝึก แต่ก็สังเกต
    เห็นได้ว่า

    "ความไม่พอใจ" "ความรำคาญใจ" "ความร้อนหัว" "ร้อนหู" มันแฝง
    อยู่ภายใน คอยทำให้ น้ำแข็งอย่างมหานาม ก็ต้อง เผลอละลาย

    ก็เลยไป บ่น กับ พระพุทธเจ้า

    "เราไม่พอใจ เราไม่พอใจ เราไม่พอใจ "

    คือ พอเห็นความไม่พอใจ เกิดขึ้น ก็ ยกว่า นั่นแหละ คือ ตัวตนของเขา

    เกิดมาเป็น มหานาม จะต้อง แสดงอาการ ไม่พอใจ ถึงจะได้ชื่อว่า มหานาม


    พระพุทธองค์ตรัสบอกว่า


    ที่บอกว่า " ตนไม่พอใจ " นั้นไม่ใช่ ความจริง

    แท้จริงแล้ว มหานามกำลังพอใจ " อาการเป็นคนไม่พอใจ " เวลาใคร
    มา ใครไป ก็จะให้เขาด่า ว่า เอ็ดเอา ทั้งนี้เพื่อจะได้แสดง อาการไม่พอใจออกมา
    แล้วบอกว่า นี่แหละ ฉัน

    ก็เป็นอันว่า จริงๆ เป็นคน ที่พออกพอใจ ในการแสดงละครหลอกคนอื่นว่า ฉัน
    คือบุคล ที่ไม่พอใจ อะไรๆ ทั้งนั้น


    พอท่านกลับไปวัง ก็กำหนดรู้ ยกสิกขาบท ดูอาการ ไม่พอใจ พอใจ

    ท้ายสุด ก็ภาวนาได้ สำเร็จธรรม

    ในขณะที่ คนอื่นก็ไม่เข้าใจ เพราะ ยังไงก็เห็น พระมหานาม ทำนู้นทำนี้
    ด้วยอาการคนไม่พอใจ อยู่ดี

    ปล. ทั้งนี้ ธรรมะ เป็นเรื่อง การยกกระทำไว้ในใจ ในการกำหนดรู้ สภาวะธรรม
    ตามที่เป็น ธรรมะไม่ใช่เรื่องปิดหู ปิดตา ทำอาการเพิกเฉย เฉยเมย คนละเรื่อง!
     
  10. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    หนูปรางโดนด่าในนี้ตลอดยังทนได้เลยค่ะ เพราะมันเรื่องจริง แต่ถึงจริงก้อไม่ควรเอามาคิดให้เครียด แค่ทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ ถ้าจขกท.ชอบคิด ลองหาปากกาและกระดาษมานั่งเขียนข้อดีของตัวเองค่ะ เพลินดี เป็นการให้กำลังใจตัวเองด้วยค่ะ
     
  11. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    อย่าเอาคำพูดของคนทุกคนมาใส่ใจค่ะ

    ถ้าเค้าหวังดีจริง เค้าจะตักเตือนแบบให้เกียรติค่ะ
     
  12. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ดูอย่างกรณีคุณnee653สิคะ โดนด่าประจำ คนที่มีลักษณะแบบนี้น่าเห็นใจค่ะ ต้องอยู่กับคนคิดบวกมองบวก พูดดีๆ ไม่ดูถูกเหยียดหยาม มีเมตตาพรหมวิหาร มีความเป็นผู้ใหญ่ แล้วอาการจะดีขึ้นค่ะ คนในนี้มีส่วนทำให้อาการแกแย่ลงด้วย ปรางรักษากับจิตแพทย์อยู่ปรางทราบดี
     
  13. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ปรางก้อเป็นแบบจขกท.ค่ะ ปรางก้ออาศัยมีคุณแม่พูดสอน และปรางชอบทำทาน หาธรรมะมาโพส แม้ไม่เก่งอภิญญา แต่ก้อมีความสุขตามบุญวาสนาเท่าที่มีค่ะ
     
  14. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    อาจเป็นเพราะจขกท.มีจริตชอบฟุ้งซ่านค่ะ เลยปรุงแต่งความคิดไม่หยุด พยายามหากิจกรรมที่ชอบทำคลายเครียด ใก้จิตมันเกาะค่ะ เช่น ปรางจะชอบแจกของบริจาค ก้อแจกไปเรื่อยๆ มันไม่สิ้นเปลืองมาก ใจก้อไม่วุ่นวายกับคำพูดคน เพราะคิดแต่ว่าจะทำทานอะไรต่อดี ช่วงทำสบู่ ก้อคิดแต่สูตรสบู่ ทำหลายๆสูตร ตอนนี้ชอบช้อปปิ้งก้อคิดถึงเสื้อผ้าสวยๆ คือโรคเนี้ย ต้องคิดบวกก่อน จะรีบเร่งเอาการภาวนาขั้นสูงๆไม่ได้หรอกค่ะ
     
  15. 2499

    2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,033
    สมัยก่อน ก็เคยเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย

    ชอบเก็บรายละเอียดคำพูด ไปคิดทับถมตัว
    เอง

    พอเจอธรรมนี้ ก็หยุดเลย ....ผมเสียเวลาคิดมาก มาตั้งนาน



    thai-buddha_05.jpg




    อดทนต่อถ้อยคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ "ประเสริฐยิ่ง"

    วจนกฺขโม = อดทนต่อถ้อยคำล่วงเกิน



    เมื่อใดที่เราเป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ คำเสียดสี...


    เราจะลดและบรรเทากรรมเวรที่ต้องตอบโต้กับผู้กล่าววาจาร้ายใส่เราได้


    เป็นการฝึก ขันติ (อดกลั้น) ทมะ (ข่มใจ) รวมไปถึงอภัยทาน(ทานที่ทำได้ยากเมื่อทำได้จะตัดเวรตัดกรรม) แก่ผู้ที่มาทำร้ายทางวาจา


    บางท่าน ใครพูดทับถม หรือเสียดสีเล็กๆน้อยๆ ก็ร้อนใจ นอนไม่หลับ กินไม่ลง สายตาระทม ผิวพรรณหม่นหมองเพราะแรงฟุ้ง เป็นกิเลสอย่างหนึ่งทำให้คิดหมุนวน

    นี่เป็นผลของการเก็บเอาคำพูดของคนอื่นมาทิ่มแทง
    ใครล่ะที่ยินดีเก็บคำพูดของคนอื่นไว้ ถ้าไม่ใช่ใจท่านเอง

    บางท่าน โดนด่า โดนพูดเสียด ตั้งแต่เดือนก่อน แต่เก็บเอาคำพูดมาแทงตัวเองทุกๆวัน
    รู้หรือไม่ ว่าคนที่ด่าท่าน เขาลืมไปนานแล้ว ท่านต่างหากที่ยังไม่ลืม และใช้ใจตัวเองหมักหมมถ้อยคำไร้สาระเก็บไว้ไม่ยอมสลัดทิ้ง

    ท่านห้ามพระอาทิตย์ไม่ให้ส่องแสงได้ ท่านคงสามารถห้ามคนนินทาได้

    ธรรมดา..ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำกล่าวโทษ เพ่งโทษ

    ธรรมดา..ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำเสียดสี เหน็บแนม

    ธรรมดา..ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำด่าทอ ผรุสวาท


    แต่อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งสมมุติ ล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในที่สุด


    ถ้อยคำล่วงเกินต่างๆ มันได้"ดับ"ไปนานแล้วตั้งแต่ที่คนๆนั้นเขาพูดเสร็จ
    แต่ท่านเอง กลับทำให้ถ้อยคำเหล่านั้น "เกิดใหม่"ทุกๆวัน ด้วยการเก็บเอามาคิดแค้นใจ น้อยใจ เสียใจ ไม่หยุดหย่อน




    ข้อความจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    “......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยความอดกลั้น.... คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมเป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว กระหาย เหลือบ ยุง ลม แดด ย่อมเป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ คำเสียดสี... อดกลั้นต่อทุกขเวทนาทางกาย.... เมื่อเธออดทนอยู่ อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อนย่อมไม่มีแก่เธอ...."

    พระพุทธองค์ท่านก็ยังกล่าวถึงการอดทนต่อถ้อยคำต่างๆที่มากระทบเรา หากอดทนได้ ก็เป็นปัจจัยในการปล่อยวางต่อกิเลสเครื่องร้อยรัดดวงจิตของเราได้



    ปัญหา เมื่อเราถูกด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย เราควรจะปฏิบัติอย่างไร?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการ คือ
    กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑
    กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑
    กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย ๑
    มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม
    จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม
    จะกล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคายก็ตาม
    จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม
    จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะภายในกล่าวก็ตาม
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน

    เราจักไม่เปล่งวาจาลามก
    เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์
    เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะในภายในเราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น
    และจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทางซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นดังนี้
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แลฯ ”


    หากท่านกำลังฝึกปล่อยวาง ลองสำรวจดูอีกสักหน่อย ว่าได้ปล่อยวางคำพูดของผู้อื่นแล้วหรือยัง

    พึงจดจำข้อความที่ให้กำลังใจท่านในการอดทนต่อคำพูดของคนอื่น
    "อดทนต่อคำที่ล่วงเกินได้ ประเสริฐยิ่ง"

    เมื่ออดทนได้แล้ว ให้ใช้เมตตาลบล้างอำนาจโทสะในใจท่าน การไม่สบายใจในคำพูดของคนอื่นก็เป็นโทสะอย่างหนึ่งที่ท่านเก็บฝังไว้
    จงระงับโทสะจิตด้วย

    1.เมตตาต่อคนที่ด่าเรา(สงสาร)
    2.กรุณาต่อคนที่ด่าว่าเราด้วยการไม่ตอบโต้
    3.มุทิตา ยินดีที่ได้ชดใช้กรรมให้เขาด่า (เพราะในอดีตเราต้องเคยทำกรรมกับเขาไว้ เขาจึงตามมาด่า-ทุกอย่างมีเหตุปัจจัย)
    4.อุเบกขา เห็นถึงความไม่เที่ยงของคำพูด มีเกิดมีดับ

    ชีวิตนี้น้อยนัก สั้นนัก คนเราได้เวลามาเท่ากัน คือ 1นาทีก็มี60วินาที เท่ากัน อยู่ที่ใครจะทำให้มีความสุขที่แท้จริงมากกว่ากัน

    ดังนั้นอย่าเสียเวลากับการคิดหมุนวนในคำพูดของคนอื่นเลย....



    ที่มา www.buddha-dhamma.com
     
  16. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    มันคิดนะดีแล้ว ถ้าเก็บกด มันจะระเบิด...
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ย้ำว่า พูดกับ เจ้าของกระทู้นะครับ
    อ่านแล้วนึกภาพตามนะครับ...
    เรามาเราเริ่มใช้ความคิดมา
    ตั้งอยู่อายุกี่ขวบจนถึงปัจจุบันนี้กี่ปีแล้ว
    เราคิดตั้งแต่อนุบาลแล้วครับ
    จนมาถึงปัจจุบัน คิดในเรื่องการเรียน
    เรื่องโน้นนี่นั้นมากมาย
    คิดจนเราคิดว่า จิตกับความคิดมันเป็นตัวเดียวกัน
    จะเห็นได้ว่า จิตกับความคิด มันไปด้วยกันมากี่ปี
    มันมีกำลังมากแค่ไหน แล้วอยู่ดีๆวันหนึ่ง
    เราคิดได้ว่าเราไม่อยากคิด คุณคิดว่าเราจะไป
    แยกความคิดให้มันออกจากจิต ให้มันหยุดคิด
    เราจะให้จิตเลิกคบกับความคิด
    เลยทันทีได้ไหม ตอบว่า มันเป็นไปไม่ได้ครับ
    แต่มันสามารถฝึกให้มันแยกกันได้
    ฝึกให้มันค่อยๆห่างกันได้ครับ
    แล้วค่อยหาเพื่อนใหม่ให้มันแทน
    คือสติทางธรรมกับปัญญาทางธรรมในอนาคต
    ที่จะไปทำหน้าที่แทนความคิดตัวนี้


    ด้วยวิธีคือการฝึกเจริญสติในชีวิต
    ประจำวันให้ต่อเนื่องครับจะด้วยวิธี
    อะไรก็ตามขอให้ฐานอยู่ที่กาย
    และต้องทำให้มันต่อเนื่อง...

    อย่าไปพยายาม อย่าไปตั้งใจ ที่จะใช้วิธี
    อื่นๆเพื่อที่จะไม่ให้คิด แม้ว่าการตั้งใจหรือ
    ความพยายามที่จะใช้วิธีอื่นๆจะเป็นวิธีที่ดี
    แต่มันจะเป็นการปิดกั้นตัวเราเองนั่นคือ
    ปิดกั้นใจเราครับ....

    ดังนั้นให้เราเปลี่ยนความตั้งใจ ความพยายามตรงนี้
    มาฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องแทน
    ก็เพื่อ ที่จะสร้างเครื่องมือควบคุมความคิด
    สร้างเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมของจิต
    เราเรียกมันว่า สติทางธรรมครับ(ไม่ใช่สติทางโลก
    แบบท่องๆจำๆนะครับ คนละตัวกัน)


    เพื่อที่จะได้มีตัวที่จะไปรู้เท่าทันความคิด...
    คือรู้ว่าเห้ย! ตอนนี้เกิดความคิดแล้วนะ
    ไม่ว่าจะความคิดที่มาจากอดีตเพื่อความ
    เข้าใจง่ายๆจะขอยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ
    ตัวอย่างความคิดที่มาจากอดีต
    (เช่น มีนางป่วงเอ่อคนหนึ่ง หรือ นายอเวจีข้อศอกคนหนึ่ง
    เคยด่าเราไว้ว่าไอ้กระบือ แล้วปัจจุบัน
    เราก็ดัน นึกขึ้นได้ คิดขึ้นได้ ระลึกขึ้นได้ หรือมันขึ้นมาเอง
    ทำให้เราจำที่นางปล๊วกเอ่อนายอเวจีข้อศอก
    เคยด่าเราว่ากระบือ )
    หรือ ตัวอย่างความคิด ณ ปัจจุบัน
    (เช่น เรามาเจอนางตอหลด นายเทพศรีธัญญา
    มาด่าเราว่า กระบือ อีก ทำให้เราปรุงแต่ง
    ต่างๆนาๆจนเกิดเป็นอารมย์ต่างๆ รู้สึกต่างๆ
    และพูดโต้ตอบต่างๆ)
    นี่ครับ สติทางธรรมมันทำให้เรารู้เท่าทัน ความคิด
    ในอดีตกับปัจจุบันตรงนี้ก่อนเป็นอันดับแรก

    รู้แล้วทำอย่างไรครับ รู้แล้วก็คือ ควบคุมความคิด
    ตรงนี้เอาไว้ก่อนครับ แล้วค่อยมาควบคุมพฤติกรรม
    ของจิตที่จะไปปรุงแต่งตาม
    (กำลังสติทางธรรม คือ เครื่องมือควบคุมความคิด
    และพฤติกรรมของจิต อย่างนี้พอมองภาพออกนะครับ)

    และอย่าไปปรุงตาม ไม่งั้นจะเกิดเป็นอารมย์ขึ้นมาทันที
    อาจถึงขั้นทำให้เราปรุงแต่งตาม และพูดจาไร้สาระ
    ขาดเหตุผล จนทำให้เรามีพฤติกรรมเหมือนคนไม่มีสติ
    เพราะคนขาดสติหรือไม่มีสติ ณ ตอนนั้น
    ก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าครับ...

    แล้วทำอย่างไรต่อดีหละ
    ก็เมื่อรู้ทันแล้วเราก็ควบคุมความคิด
    ด้วยการกำหนดดับซะ หรือ ด้วยการระลึก
    รู้ลมหายใจเข้าออกหยุดที่ปลายจมูกซะ
    หรือเดินนับก้าวซะ หรือ นั่งนับนิ้วซะ
    หรือหาอะไรอย่างอื่นทำซะ หรือคิดเรื่องอื่นๆแทนซะ
    เพราะจิตมันมีเอกลักษณะ ตรงที่มันจะคิดได้ทีละเรื่อง
    ที่เล่ามาคือการควบคุมความคิด
    พอเราควบคุมความคิดได้ก่อนแล้ว
    พฤติกรรมของจิตก็จะถูกควบ
    ไม่ให้เกิดการปรุงแต่ง จากการที่เราไประลึกรู้
    ลมหายใจ ไปเดินนับก้าว นับนิ้ว อะไรนั่นหละครับ
    ทำอย่างนี้ให้ได้บ่อยๆก่อน
    ต่อไปจิตมันถึงจะค่อยๆละ ค่อยๆคลาย
    ความคิดในอดีต และความคิดปัจจุบันได้เอง
    (นึกภาพออกไหมว่า แม้มันจะคิดขึ้นมา นึกขึ้นมา
    ผุดขึ้นมา ระลึกขึ้นมา แต่ถ้าเราไม่คิดตาม
    เราควบคุมไม่ให้คิด มันก็ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งต่อได้
    ปรุงแต่งต่อคือ จิตกับความคิดนั่นเอง)

    ปล.คนไม่เคยสร้างสติทางธรรม หรือ คนไม่มีสติทางธรรม
    แม้ว่าคิดอะไรก็จะคิดว่าตัวเองมีสติทั้งๆที่พูดแบบไม่มีสติครับ
    และจะคิดว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นถูกอยู่ฝ่ายเดียว
    เพราะว่าคิดปรุงแต่งกับความคิดที่มักจะปนด้วยกิเลสอยู่นั่นเอง
    ซึ่งความคิดมันก็มักจะเข้าข้างตัวเองเสมอ
    ว่าตนเอง ณ ดีคนอื่นๆไม่ดีไปเสียหมดครับ
    หรือต้องคิดว่าจะต้องเป็นแบบที่ตนเองคิดเท่านั้น
    พวกนี้เรียกว่า พวกไม่มีสติทางธรรม
    มีแต่สติทางโลกที่ปนด้วยกิเลส ตัณหา โทสะ
    โมหะ โลภะ ในใจตนเองทั้งนั้น....

    และพวกนี้มักจะทำอะไรแล้วขาดความยั้งคิด
    เช่น มีพฤติกรรมอะไรแปลกๆ ที่ชาวโลกมองแล้วรู้ว่า
    เห้ย! สติไม่มีแล้ว ชาวโลกสงสัยว่า เห้ย! ปกติหรือเปล่า
    จนชาวโลกต้องมาเตือนเรื่องสติ แต่จะไม่รับฟังครับ
    เพราะคิดว่าตนเองพูดแบบมีสติทั้งๆที่พูดไม่มีสติอยู่นั่นเอง
    หรือทำอะไรแล้วไม่รู้ตัว และไม่ยอมรับสิ่งที่ตนเองทำ
    ประหนึ่งว่า ตนไม่เคยกระทำมาก่อนบนโลกนี้ครับ

    ยกตัวอย่างเช่น ไปตั้งวงสนทนาด่าคนอื่นๆมา
    หรือไปด่าคนอื่นๆในวงสนทนาอื่นๆมา
    หรือซ่อนตัวบิดบังใบหน้า
    ใช้อีกชื่อหนึ่งไปด่าคนอื่นๆในวงสนทนาอื่นๆมา

    แต่คุณชื่อไหมครับว่า พวกนี้จะจำอะไรไม่ได้เลยว่า
    ตนเองเคยทำอะไรมา ถ้าข้อความไหนที่มีการบันทึกไว้
    แต่ว่า ไม่ได้สนับสนุนความคิดพวกนี้ นิสัยปกติพวกนี้
    ก็คือจะรีบลบออก ทำลายหลักฐานเสีย จะเหลือแต่
    ข้อความที่จะทำให้คนที่ไปด่าตนเองเสียหาย


    คุณอ่านดูแล้วคิดว่า ประหลาด อัศจรรย์ไหมครับ
    อ่านดูแล้ว เห้ย! มันเป็นไปได้หรือสำหรับโลกใบนี้
    มันเป็นไปได้ มันมีตัวอย่างมาแล้ว บนโลกใบนี้ครับ
    ถ้าหากว่า เราขาดสติทางธรรมที่จะคอยควบคุม
    ความคิดและพฤติกรรมของจิต
    ก็อาจจะเกิดพฤติกรรมความคิดและพฤติกรรมของจิต
    แบบนี้เกิดขึ้นกับเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ ย้ำใช้คำว่า
    อย่างไม่น่าเชื่อ ก็คือ ชาวโลกเค้ารู้หมดว่าเราไม่มีสติ
    แต่เราคิดว่า เรามีสติทั้งๆที่แสดงพฤติกรรมแบบไม่มีสติ

    อาจจะส่งผลให้เรา แสดงพฤติกรรม ตอหลด สร้างภาพ
    ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น เคยกัดหูสนัขมา ทำไปด้วยความซะใจ
    และขาดสติ ขาดความยังคิด ทำเพราะต้องการเอาชนะ
    และก็มีคนเห็นอยู่ไม่ใช่คนเดียวนะหลายคนด้วย
    พอไปมีเรื่องกับคนที่เห็นเคยตนเองกัดหูสนัขคนใดคนหนึ่ง
    คนที่เห็นบอกว่า ทีคุณยังไปกัดหูสนัขเลย ก็จะโกรธ
    เป็นฟืนเป็นไฟ และ
    ก็จะบอกว่า อะไร ฉัน ตรู ข้าพเจ้า กระผม ไม่เคย
    กัดหูสุนัขเลย ไม่เคยไม่เค๊ยจริงๆ ว่าพวกที่เห็น
    โกโห หลอกหลวง ผิดศีลเรื่องมุสาวาจา
    มากล่าวหาอะไรข้าพเจ้า
    พูดกล่าวหาข้าพเจ้าอย่างนี้
    ข้าพเจ้าจะฟ้องเจ้าของสุนัขนะ
    นี่ยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพครับ คิดว่าน่าจะนึกออก..

    และเป็นเหตุให้ตนเองต้องมาแสร้งต่อ
    แสดงพฤติกรรมลวงโลก เพื่อยืนยัน
    ความคิดที่ตนจำไม่ได้ว่า ตนเองเคยทำอะไรมา
    ทั้งๆที่มีหลักฐานบนโลกนี้ยืนยันอยู่
    เนื่องจากตนเองจะจำไม่ได้
    ว่าตนเองเคยกระทำอะไรมาก่อน
    ก็เพราะว่า ขาดการให้ความสำคัญในเรื่อง
    ของการสร้างสติทางธรรมนั่นเองครับ

    เห็นไหมครับว่า เรื่องสติทางธรรมนี้
    อย่าเห็นว่า มันไม่เท่ห์ อย่าเห็นว่ามันไม่สำคัญ
    เพราะว่าพูดแล้ว มันดูเหมือนไม่หล่อ
    มันไม่เหมือนพูดธรรมะสูงๆที่ทำให้ตนเองดูเท่ห์(พวกคิดไป
    เองประหนึ่งว่าตนเป็นระดับโน้นนี่นั้น)
    หรือพูดความสามารถพิเศษต่างๆกรรมฐานระดับสูงๆ(ให้ประหนึ่งคนจะมองว่าเก่งมาก คือคิดเอา)
    ที่ทำให้ตนเองเสมือนไม่ใช่มนุษย์เดินดินธรรมดา
    (คิดไปเองเพ้อเจ้อทั้งๆที่ยังเดินดินอยู่)

    เรื่องสติทางธรรมถ้าชาตินี้ยังสร้างให้เกิดมีไม่ได้
    ชาตินี้อย่าไปหวังเรื่องพิเศษอื่นๆ เรื่องบรรลุระดับโน้นนี่นั้น
    เรื่องปัญญาทางธรรมที่จะลด ละกิเลส
    มีปัญญาเข้าใจจนทำให้ตนเองมีความสุขทางใจได้
    เพราะจิตคลายตัว ยอมรับตามความเป็นจริงได้
    หรือแม้แต่เรื่องกรรมฐานพิเศษอื่นๆ
    ในระดับที่ใช้งานได้อะไรให้เสียเวลาครับ
    เพราะว่า จะกลายเป็นการคิดหลอกตัวเองไปวันๆ
    ให้ชาวโลกเค้าได้รู้ แต่ในใจตนเองก็รู้ตัวเองดี
    โลกนี้ มันไม่มีใครมีความสุขได้จริงถ้าไม่มีปัญญา
    ทางธรรมยอมรับตามความเป็นจริงได้ของธรรมชาติ
    ที่มีอยู่แล้วเป็นปกติได้หรอก
    ไม่มีใครบรรลุอะไรได้ ถ้ายังไม่มีแม้แต่สติทางธรรมหรอกครับ
    เพราะสติทางธรรมเป็นเพียงพื้นฐานที่จะทำให้เดินปัญญาได้
    และไม่ทางที่จะเข้าถึงกรรมฐานพิเศษๆ เข้าถึงอะไรพิเศษๆได้หรอกครับ เพราะกรรมฐานพิเศษ หรือการทำให้ได้พิเศษ
    มันคิดเอาเอง มันมโนเอาเอง แล้วมาเล่าให้คนอื่นๆฟัง
    นั่นมันคือกิเลส การยกตัวเอง การหลอกตัวเอง
    กิเลสมันหลอกเราอยู่ และมันรู้เอาเอง
    แบบพิสูจน์อะไรให้ชาวโลกรับรู้ไม่ได้
    ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งไม่ว่าการถ่ายทอด การสอน
    การแสดงออกอะไรไม่ได้
    มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกว่า
    เป็นผลจากกรรมฐานพิเศษครับ
    มันคือการที่จิตรวมกับความคิดนั่นเองครับ
    พอเข้าใจภาพรวมๆนะครับ
    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ

    เอ่อ ข้อความที่ส่วนตัวไปแซะคุณ
    ที่คุณใช้คำพูดไม่ค่อยดีกับภูมิพยานาค
    ส่วนตัวลบออกไปแล้วนะ ขออภัยมา
    ณ ทีนี้ด้วยครับ (^_^)
    ย้ำอีกรอบว่า คุยกับ เจ้าของกระทู้นะครับ




     
  18. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    เป็นอาการจิตฟุ้งซ่านนะ คือมันไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นาน จะไหลไปเรื่อย ต้องเรียนรู้ที่จะทำให้จิตเป็นสมาธิ โดยจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานไม่วอกแวก อาจฝึกด้วยการบริกรรม พุทโธ แล้วอยู่กับลมหายใจ ไม่วอกแวก ฝึกไปจนกว่าจะทำได้นาน เมื่อจดจ่อกับอะไรได้นานขึ้น จะเอาความคิดจดจ่อกับความว่างได้ ลองหัดคิดว่าตอนนี้เราคิดอะไรอยู่ เมื่อรู้ตัวว่าคิดอะไรอยู่ก็จะฟุ้งซ่านน้อยลง
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ หาก "ดู" ความคิด "จิต" ย่อมส่งกระแสไปร่วมประกอบกับ "ความคิด" นั้น แล้วจากนั้น "นิยายแห่งความคิด" ก็เริ่ม "เป็นตุเป็นตะอุตหลุด" ตามความทะยานอยากของ "ผู้ดู"
    +++ "ผู้ดู" ดูอะไรก็ย่อม "เห็น" อันนั้น "ดูความคิด ก็ย่อม เห็นความคิด" ตัวผู้ดูเอง คือ "จิตส่งออก" ไปยังสภาวะการณ์ต่าง ๆ นี่แล... หลวงปู่ดูลย์ จึงกล่าวไว้ว่า "จิตส่งออก คือ สมุทัย"

    +++ ในกรณีนี้ คือ "จิตส่งออก ไปดู ความคิด" แล้วก็เห็น "ภาพจากความคิด" จากนั้นก็พิจารณาภาพในความคิดว่า "ควรจะเป็นอะไรต่อ" (ความน่าจะเป็น ความสงสัย ความสนุกเพลิดเพลิน กิเลสต่าง ๆ)
    +++ จากนั้น "ผู้ดู" ก็จะเริ่ม "กุเรื่องขึ้นมาเอง" (เอาสมมุติเข้ามาสอดแทรก จนความเป็นจริงหายไป) โดยการสมมติ เอาเหตุการณ์โน้นมาใส่เหตุการณ์นี้ (อาจพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า "โกหกตนเอง" ก็ได้) ตรงนี้แล... เรียกว่า "หลงสมมุติ"
    +++ และแล้ว "สมมุติ ต่อ สมมุติ ต่อ สมมุติ" ก็ได้เกิดขึ้นอย่าง "ต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้งขาดตอน" นั่นแล.. ที่เรียกว่า "โลกแห่งความสมมุติ" แล้วก็ได้ "อารมณ์" สืบเนื่อง ต่อติด อย่างไม่หยุดยั้งขาดตอน

    +++ ในส่วนของ "ภาพที่ปรากฏ เป็นอาการของ สมมุติ เป็นสิ่งลวงจิต ให้หลุดออกมาจากความเป็นจริง" ส่วนนี้เป็นส่วนของ "สมมุติ ซึ่งเป็นอาการของ ภพ เป็นส่วนของ รูป"
    +++ ในส่วนของ "อารมณ์ที่สืบเนื่องติดพัน เป็นอาการของ บัญญัติ เป็นสิ่งที่เชื่อมจิตให้ติดอยู่กับสมมุติ ไม่สามารถหลุดออกมาได้" ส่วนนี้เป็นส่วนของ "บัญญัติ เป็นอาการของ ภูมิ เป็นส่วนของ นาม"

    +++ อาการโดยรวมที่กล่าวมานี้ เป็นอาการ "มโน ของ วิญญานขันธ์" จะเรียกว่า "มโนทัศนะ" ก็ได้ แต่หลายคนเข้าใจผิดว่ามันเป็น "ญาณทัศนะ" ที่เป็นอาการที่ "พ้นวิญญาณขันธ์" ไปแล้ว
    +++ อาการของ วิญญาณขันธ์ นี้ ผมจะใช้คำศัพท์ว่า "ตัวดู อัตตาจิต จุติจิต ต่าง ๆ" แต่ในหลาย ๆ แห่งกลับเรียกอาการนี้ว่า "ผู้รู้" เพราะมัน "รู้ ไปตามการ ดู" นั่นเอง ซึ่งต่างกรณีกันกับผม

    +++ ควรฝึก "มหาสติปัฏฐาน 4" ให้รู้ครอบคลุม "กาย" จนเกิด "ความรู้สึกตัวทั่วถึง (สัมปชัญญะ)"
    +++ ไม่นานก็จะรู้ถึง "ระบบการทำงานของจิต" เมื่อรู้ทั้งหมดโดยรวมแล้ว
    +++ ก็จะเข้าถึงอาการ "ตัวดูถูกรู้" ได้เอง จากนั้นก็จะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย คือ
    +++ "ดับหรือทำลายตัวดู (ทำลายผู้รู้)" จากนั้น "จิตมันจึงคลายตัวลงไปเอง" โดยไร้เจตนา
    +++ แล้วจึง "ปล่อยเอาไว้เช่นนั้น" เมื่อได้นิสัยแล้ว
    +++ สิ่งที่เรียกกันว่า "ญาณทัศนะวิสุทธิ์" ย่อมบังเกิดเป็นผลลัพธ์ตามมาเอง ตามธรรมชาติของสภาวะธรรม นะครับ
     
  20. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ถ้าคุณเห็น คนที่ถือของร้อนในมือเเล้วพูดว่า ร้อน ร้อน ร้อน ร้อน ถ้าเป็นคุณจะทำยังไง
    คุณเจ้าของกระทู้ ผมรู้คุณทราบไม่ต้องตอบก็ได้

    คำถามคือทำไมคนนั้นมันไม่วางของนั้นละ ก็เพราะเห็นว่าของนั้นดีเเม้ร้อนก็ยอม หรือ โง้นั้นเอง

    คนที่ไม่วางเพราะเห็นดี นั้นคือการถือตัวถือตนว่าเราดี ใครมาค้านเราไม่ได้เราเดือนร้อน ถ้าเราเห็นว่าเรายังไม่ใช้ผู้เลิศเขาว่าเราก็เอาไปปรับปรุง เป็นการดีด้วย ถ้าเราดีก็ถือว่าธรรมดา คนที่ว่าเราเขายังมีกิเลสก็เป็นธรรมดาที่จะด่าใครๆ พระพุทธเจ้ายังถูกนินทา เราเป็นใครไม่ถูกนินทา
     

แชร์หน้านี้

Loading...