ทำไมฝึกกสิณจึงไม่เกิดฤทธิ์

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย นายกสิณ, 21 กันยายน 2012.

  1. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    อยากทราบ คุณฝึกกสิณอะไรอยู่ การฝึกกสิณจะให้มีฤทธิ์ต้องเข้าฌานสี่ให้ได้ เช่น กสินลมเมื่อลมพัด ต้องเห็นภาพลมพัดใสดุจแก้วประกายพฤกเลย(ประกายพฤกเป็นอย่างไร ให้ลองเปิดเวปที่เขานำรูปสมเด็จองค์ปฐมมาลงนะจะใสอย่างนั้นแหละ) ถึงจะใช้ได้ ที่สำคัญต้องไม่ปราถนาฤทธิ์เมื่อใดปรารถนาฤทธิ์ท่านจะสู่ฌานที่สี่ไม่ได้ ต้องทรงกำลังใจให้เป็นสมาธิ ลองดูนะ การทรงต้องไม่เครียด สบายสบาย เบา ๆ หวิว ครับ
     
  2. Kittipop

    Kittipop Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +43
    ครูของท่านเป็นใครหรอครับ ท่านสอนมั้ยครับ ถ้าเป็นท่านเดียวกัน ก็ดีใจได้เจอผู้ร่วมสำนักครับ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรครับ

    ครูของผมพระนามว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ เป็นผู้ที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน พระองค์ทรงสำเร็จวิชาถึง18ศาสตร์ และสำเร็จธรรมและความรู้ทุกประการ

    อันข้อความนี้ ผมบอกได้เลยในโลกนี้(นอกจากครูผม)ไม่มีใครรู้เรื่องกสิณดีเท่าผมอีกแล้ว...จำไว้ จงพิจารณาให้ถี่ถ้วนเถิดท่าน นายกสิณ หากไม่ได้หมายถึงองค์ผู้ประเสริฐ์คือพระพุทธเจ้าแล้วไซร้ ขอท่านผู้เจริญแล้วจงหยุดความคิดเช่นนี้เถิด เหนือฟ้ายังมีฟ้า ผมอยากให้ท่านเข้าไปอ่านกระทู้ธรรมนี้ ขอยกตัวอย่างธรรมสักนิดให้ท่านพิจารณา
    ความคิดความสามารถในทางจิตใจนั้น
    มักเป็นหลุมพรางให้เราหลงติดกับดักของกิเลสอีกชนิดหนึ่ง
    ที่ละเอียดและแนบเนียนยิ่งกว่าความโลภและความโกรธ
    นั่นคือความถือตัวหลงตน ความสำคัญตนว่าเป็นคนดี มีคุณธรรม

    เมื่อใดที่เราสำคัญตนว่าเราเป็นคนดี คนอื่นก็ดูด้อยกว่าเราไปหมด
    (ยกเว้นคนที่ทำตัวได้ดีกว่าเรา) ถ้าไม่เหม็นเบื่อคนอื่น
    ก็มักจะมีอาการสงสาร อยากจะสอนอยากชี้แนะอยู่ร่ำไป

    ขณะเดียวกันจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ก็มักจะหาโอกาสแสดงตน
    ให้ผู้อื่นเห็นความดีความสามารถของเราอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
    จาก สุขใจในนาคร ศิลปะแห่งการอยู่เมืองอย่างมีความสุข
    โดย พระไพศาล วิสาโล

    คัดลอกจาก...��ҹ���� carefor.org


    ขอเชิญท่าน นายกสิณ พิจารณาให้ถี่ถ้วนเถิด (เนื้อความเต็ม)
    http://palungjit.org/threads/หลงตนว่าดี.218654/

    ท้ายนี้หากแม้ข้าพเจ้าได้กระทำกรรมไม่ดีอันเป็นสิ่งที่ทำให้ท่าน นายกสิณ ได้เกิดทุกข์แต่ประการใดๆข้าพเจ้าขออโหสิกรรม ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอันใดที่ทำให้เกิดอกุศลกรรมร่วมกัน หากท่านเห็นว่าสิ่งที่อ่านนี้มีประโยชน์โปรดอนุโมทนาบุญ และขอให้ท่าน นายกสิณเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 พฤษภาคม 2013
  3. Kittipop

    Kittipop Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +43
    หลักธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ครับ นี่แหละคือคำตอบ
    หรือท่านมาบอกคุณ คำตอบก็ด้านบนครับ
    สอนคุณถึงว่าพระพุทธเจ้าคือครูคุณ คำตอบก็ด้านบนเช่นกันครับ และการที่ผมเดินตามทางที่พระองค์ทรงชี้บอกไว้ ก็คงไม่มีอะไรผิดที่จะยกพระองค์เป็นครู เพราะผมได้ปฏิบัติตามคำสอนอันประเสริฐของพระองค์

    ท่านกล่าวว่าผมชอบคิดเองเออเอง หลงงมงาย สาธุ
    ท่านลองบอกผมเพื่อเอาบุญหน่อยเถิด ว่าพิสูจน์สิ่งใดได้บ้าง
    ปลายทางของท่านมุ่งไปสิ่งใด
    แล้วหัวใจการปฏิบัติของท่านคือสิ่งใด

    แล้วท่านจงพิจารณาในคำที่ท่านพิมพ์ลงมาให้ดีๆ ท่านจักกล่าวสิ่งใด ขอให้มันพ้นตัวเองเสียก่อน แล้วที่ท่านกล่าวมาท่านมิได้คิดเองเออเองหรอกหรือครับ กล่าวว่าผมงมงายในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้พิสูจน์ แล้วตัวท่านพิสูจน์สิ่งใดในคำกล่าวของผมหรือถึงได้กล่าวว่าผมงมงาย

    ไม่ว่าท่านจักหลงทางมืดมนแต่ประการใด ธรรมนั้นมีอยู่ทั่วแม้ยอดหญ้าขอท่านจงพิจารณาให้ถี่ถ้วน จักได้พบทางสว่าง
     
  4. Kittipop

    Kittipop Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +43
    ผมก็ไม่ได้ค้านอะไรเลยสักนิดว่าธรรมะ คือธรรมชาติ
    มนุษย์มั่วแต่หลงธรรมะซึ่งแตกแยกมาจากธรรมชาติ(ต้นกำเนิด) เลยหลงลืมไปว่า มนุษย์เองอยู่กับธรรมชาติมานานแค่ไหน
    ธรรมะ=ธรรมชาติ ก็ในเมื่อคุณว่าธรรมะแตกแยกมาจากธรรมชาติซึ่งเป็นต้นกำเนิด แล้วธรรมชาติแยกมาเป็นธรรมชาติไม่ได้แยกไปเป็นอย่างอื่นนี่ครับ
    มนุษย์หลงธรรมชาติที่แยกออกมาจากธรรมชาติมันมีอะไรผิดหรอครับ
    ส่วนที่ว่าหลงคงจะหมายถึงตัวคุณเองรึป่าวผมไม่แน่ใจ

    สำหรับตัวผมนะธรรมะแยกมาจากธรรมชาติ ผมว่าไม่ได้มีการแยกอย่างที่คุณเข้าใจหรอกครับ
    พระพุทธองค์ทรงเพียงแต่นำธรรมชาติมาให้สัตว์โลกได้รับรู้และปฏิบัติ เพราะธรรมแต่ละอย่างที่พระองค์ทรงสั่งสอนก็ล้วนเป็นธรรมชาติทั้งนั้น เช่น การเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปหรือไตรลักษณ์นั้นเองครับคือ อนิจจัง=ไม่เที่ยง ทุกขัง=เป็นทุกข์ อนัตตา=ไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคลว่างเปล่า
    ธรรมะคือธรรมชาติจึงไม่มีการแยกอย่างที่คุณเข้าใจ
    การปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังนิพพาน(การไม่กลับมาเกิด)
    นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่าเป็นธรรมอันยิ่ง(โอวาทปาติโมกข์)
    ที่ว่าบ้าคือใครผมก็ไม่แน่ใจ
    ส่วนที่ว่า ทำตรงนี้ วันนี้ ขณะนี้ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ครูคุณไม่สอนบ้างรึ
    ตัวผมก็ไม่ได้ยึดติดในอนาคตหรืออดีตนะครับ(ผมกินข้าววันนี้ผมอิ่มวันนี้เลยครับไม่ได้อิ่มเมื่อวานหรืออิ่มพรุ่งนี้ครับ) ส่วนเรื่องสอนท่านสอนไว้อยู่แล้วครับ

    ปราถนาดีนะครับหวังให้ท่านพบแสงสว่างโดยเร็ววัน
    ข้อความอันใดผมทำให้ท่านไม่สบายใจขอขมาด้วยครับ ถือว่าเราสนทนาธรรมกันเถิดกับแลกเปลี่ยนความรู้กันอย่าได้ถือโทษอันใดผมเลยครับ
    ช่วงนี้ผมวางแผนไว้ว่าจะบวชหากท่านไม่ติดขัดกิจอันใดอยากเชิญท่านมาสร้างมหากุศลร่วมกันครับ สาธุ
     
  5. Kittipop

    Kittipop Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +43
    สาธุจ๊ะ ขอพ่อเจริญๆลูกขอขมาที่ทำให้พ่อรำคาญ ต่อไปจะไม่ยุ่งอีกแล้วจ๊ะ
     
  6. Electronic

    Electronic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +165
    ฝึกเพื่อให้ได้ฤทธิ์ ก็ลองแบบที่คุณกสินเชื่อครูบาอาจารย์ของท่านเองเถิด แต่ผมคิดว่า เชื่อว่า แนวการฝึกกสินของศาสนาพุทธ เป็นการหาจริตของการทำสมถะกรรมฐาน หรือหาแนววิธีการทำสมาธิ ให้ตรงกับจริตแต่ละคน (ดูเรื่อง จริต ๖) สามารถทำสมาธิได้บรรลุผล คือ อรหันต์ มากกว่า (เพราะจริตแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นกรรมฐานในการฝึกสมาธิแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน )ส่วนฤทธิ์ เป็นของแถม ได้ก็ดี ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เพราะจิตสูงสุดที่มุ่งหวังคือนิพพาน แต่ที่ผมไดอ่านทฤษฎีมา (ผมก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงไหม เพราะยังไม่เคยทำ เพราะความจริตกรรมฐานสมาธิของผม คือ อุปสมานุสสติกรรมฐาน) ว่าจะทำให้เกิดฤทธิ์ได้นั้น คือ 1. ได้ระดับความชำนาญของกสินจนถึงฌาน ๔ 2. ต้องทำวสีสมาธิได้จากกสินที่ฝึก 3. ฝึกอธิฐานฤทธิ์ของกสินนั้นๆ 4.กำลังบุญบารมี สรุป เอาเป็นว่า ฝึกกสินจนได้ฌาน ๔ แล้วค่อยมาว่ากันเรื่องฤทธิ์ล่ะกัน แต่ถ้าฝึกสมาธิยังได้แค่ระดับอุปจาระสมาธิ ก็คงพูดถึงเรื่องฤทธิ์กันยาก อนุโมทนาธรรมครับ
     
  7. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    ฝึกถูกวิธีจะไม่เกิดได้ยังไง?
     
  8. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ต้องถามก่อนว่า คุณเป็นคนแบบไหน เชื่องช้า หรือ ว่องไว
    หาเชื่องช้าต้องกำหนดลมหายใจ ถ้าว่องไวต้องกสิณ
    กำหนดลมหายใจ เน้นจิดไม่ส่ายออกนอกร่างกาย
    แต่กสิณ เน้นพุ่งจิตออกด้านนอกกาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2013
  9. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ฤทธิ์เกิดขึ้นเองก็จริงครับ แต่ต้องมีครูบาอาจารย์บอกถึง วิธีใข้
    ถ้าไม่งั้น ฝึกแทบตายก็ใช้ไม่เป็นครับ
     
  10. ประพน

    ประพน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +2,358
    ฤทธิ์ที่เกิดจากผลของกสิณแต่ละกองง่ายสุดแล้วครับ ขอแนะนำสั้นๆ ไม่อยาก ไม่สงสัย
     
  11. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อันนี้ถุกต้องแล้ว ฤทธิ์นั้นเค้าเอาไว้สร้างบารมีให้เต็ม คือการช่วยเหลือผู้อื่นในด้าน
    ต่างๆ มิใช่เอาไว้ช่วยตัวเองครับ ช่วยโดยมิให้เค้ารู้ เช่น เห็นในนิมิตว่า บุคคลนี้
    เห็นผิดเป็นชอบ แต่ก็ยังสั่งสอนได้ แต่จะใช้วิธีไหนสั่งสอนเขา เช่นการทรมาน ให้เค้าเจ็บปวดร่างกายจนต้องมาทำบุญที่วัด หรือใช้วิธีทำให้เค้าคิดถึง อยากมาหา มากราบไหว้ แต่ฤทธิ์ก็เป็นโทษครับ คือ คนที่ติดแล้วก็จะต้องเล่นฤทธิ์บ่อยๆ เพราะมันเหมือนกับยาเสพติด ซ้ำการให้ฤทบธิ์ช่วยคนๆนึง กลับไปสร้างความเดือดร้อนให้กันคนหมู๋มาก กรรมเวรจริงๆ ถ้าไม่มีสายสัมพันธ์กันในอดีต หรือ ปัจจุบัน จะไม่ค่อยช่วยใครหรอกครับ
    พระป่า เมื่อฝึกฌานสี่ จนคล่องดีแล้ว ได้ฤทธิ์มั่ง ไม่ได้ฤทธิ์ และก็
    ไม่ต้องฝึกให้เกิดวสี หรือความชำนาญ เพราะจะใช้เวลานานเกินไป ก็จะเน้นมา
    ฝึกการละ หรือการปล่อยวางนั่นเอง พระมีฤทธิ์ก็จะฝึกการไม่ใช้ฤทธิ์ พระไม่มี
    ฤทธิ์เน้นควบคุมจิต ไม่ให้มีสิ่งใดมารบกวนได้ ไม่คิดถึงใคร ไม่คิดถึงสิ่งใด
    สิ่งต่างๆที่มารบกวน ล้วนเป็นอุปาทาน คือ เรานึกคิดไปเอง ถึงมันส่งผลดีหรือ
    ร้ายกับเรา มันก็ไม่ส่งผลให้เราใปนิพพานได้ สิ่งที่ทำให้เราไปนิพพานคือการ
    ควบคุมจิตเป็นอันดับแรก

    ขออนุโมทนาสาธุ หากมีใครมาอ่านเจอกระทู้นี้
     
  12. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    ผิดมหันแล้วท่านต้องฝึกจนเป็นวสีไปจนครบรอบฌานคือปฐมไปนิโรธสมาบัติ(ไม่ใช่ฝึกฌานสี่จนคล่องก็พอ) หาอ่านในพระไตรปิฏกดูนะพุทธเจ้าและอัครสาวกหมุนเป็นแสนล้านโกฐิรอบจนถึงวาระสุดท้ายคือปรินิพาน ท่านบอกอย่าฝึกให้เป็นวสี ? ตอบแบบอันตรายอีกแล้ว ทุกข์เท่านั้นที่เกิดจริงๆ...

    อีกประการคือการใช้อภิญญาย่อมอยู่ในทางสัมมาทิฐิอยู่แล้ว ไม่งั้นอภิญญาจะเสื่อมเปล่าๆและไม่ถึงอาสวักขยญาน แถมกรรมที่ทำเองกับมือจะเล่นจนพังก่อนบรรลุ...คือไปไม่ถึงไหนนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...