ทำไม ยมบาล ต้องนุ่ง จุงกะเบน สีแดง ..

ตามอ่านเรื่องราวของคนที่บอกว่าถอด จิตได้มาระยะนึง สรุปได้ว่า หลายท่านเคยไปเห็นนรก มาแล้วว เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า

1)ทำไม ยมบาล ต้องนุ่ง จุงกะเบน สีแดง ... ทำไมต้องเจาะจง การแต่งกายของไทยสมัย ร.5 ..ทำไมไม่แต่งกายเหมือนชาวโรมันบ้าง ชุดจีนโบราณบ้าง หรือ สวมกางเกงยีนบ้าง

2)สัตว์ที่ตายไป ต้องตกนรกไหมมมม ... มีใครเคยเห็น ไดโนเสาร์ที่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่น อยู่ในกระทะทองแดงไหม

3)ทำไมเทวดา ต้องสวมชฎา .. ซึ่งดูเปนการแต่งกายตามวัฒนธรรมไทย อีกนั่นแหละ มีเทวดาเป็นคนดำ หรือฟรั่งหัวทองไหมม ..ทำไมต้องเป็นแบบไทยๆ

เอาแค่นี้ ก่อนครับ ... จริงๆมีอีกเยอะ

อย่าเพิ่งรำคานเลยย ผมคนขี้สงสัยเลยนะครับ ขอบคุณครับ

 

ถ้ายมบาลใส่ยีนส์ซีดๆขาเดฟ

วิญญาณอาจจะจะเข้าใจผิดว่าเป็นพี่ตูน บอดี้แสลมป์ ไปได้ครับ

 

ตามความเข้าใจและประสบการณ์ของตัวเอง อาจจะไม่เหมือน หลายๆคนในเวปนี้กล่าว แต่จะขอตอบดังนี้คะ คนเราพอตายไปก็จะไปตามสัญญาเดิม คือถ้าคุณเคยนั่งสมาธิถ หรือเคยผ่านประสบการเกือบตาย หรือผ่าตัดอะไรทำนองนี้มาแล้วจะพบว่า ความตายนั้นสภาพความรู้สึกของวิญญาณจะมีการเดินทาง คล้ายกับเวลาเราหลับ และฝัน

เวลาคุณฝันคุณจำหรอนึกอะไรได้ไหม? สรุปคือ จำและนึกอะไร ไม่ได้? บางทีเวลาเราตื่นมาก็งงเหมือนกันว่าทำไมในฝันเรามัวไปทำอะไรที่ไม่เข้าท่า แทนที่จะ ไปทำงาน ไป ร.ร หรือทำ หน้าที่ ภาระ ต่างๆแบบเวลาเราตื่น? สรุปความฝันเกิดจากสัญญา หรือ สิ่งที่จิตเอาใจไปเสพอยู่เวลาที่ ประสาทสัมผัสทางกายยังตื่นอยู่ มันเสพเอาไป ไว้ในดวงจิต เรียกว่าสัญญา

ดังนั้นเวลาคนเราตายก็เหมือนกัน จิตไม่สามารถสั่งการผ่านร่างกายได้อีกแล้วมันไม่มีแม้แต่สมองจะคิด จิตจึงไปตามสัญญาเดิม ที่มันเคยเสพไว้ตอนที่ยังมีร่างกาย ดังนั้น ถ้าเป็น ฝรั่ง เป็น แขก เป็น จีน หรือ ชนชาติใดๆก็ตามแต่เขาก็จะไปตาม ภพ ภูมิ ความเชื่อต่างๆตามแต่ที่เขาเคยรับรู้มาตอนยังไม่ตาย ซึ่งแน่นอนว่า ยมบาล ของศาสนาอื่นก็จะแต่งกายไม่เหมือนของพุทธ แต่ที่แน่นอน ยมบาล และโลกหลังความตายนั้นมีจริงไม่เช่นนั้น คำคำนี้ คงไม่ปรากฏอยู่ในทุกภาษาทุกชนชาติของโลก ของฝรั่ง ยมบาล เขาเรียก กริม รีพเปอร์ จะมีหน้าเป็นกระโหลก ใส่ชุดคลุมสีดำ ถือหอก ก็ แปลกดีที่ถือ หอก เหมือนยมบาลไทยเลย

ดิฉันเคยมีประสบการณ์ เจอมาแล้วทังผีไทยผีฝรั่ง ซึ่งทำให้พบว่า มันมีเรื่องแปลกอย่างนึงคือ การปรากฏ และแสดงออก ของผีฝรั่งก็จะต่างกับของไทย เหมือนๆกับที่เราดูในหนัง โบราณเขาถึงว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม อย่างเรื่องโชคลางความเชื่อนี้ก็เหมือนกัน เมืองไทยไม่มีความเชื่อเรื่องกระจกแตกคนในบ้านจะตาย เสียชีวิต แต่ถ้าเราไปเมืองนอก แล้วเราจะพบว่าความเชื่อเรื่องโชคลาง ของที่ต่างประเทศ ถ้าเราไปอยู่ที่นั้นก็ควรเชื่อเอาไว้

อย่างเรื่อง ห้ามทำกระจกแตก จะทำให้คนในบ้านนั้นเสียชีวิต เรื่องนี้ดิฉันก็ได้พบแล้วว่าเป็นเรื่องจริง ซึ่งอันนี้เรื่องยาวเป็นประสบการณ์ตรง คือ ถ้าคุณทำแตกในเมืองไทยนี้ไม่เป็นไรแต่ถ้าไปทำแตกเมืองฝรั่ง จะได้รับรู้ว่า ความเชื่อเรืองกระจกแตกคนตายเป็นเรื่องจริง แต่ลักษณะกระจกก็เกี่ยว คือต้องเป็นกระจกโบราณอายุสัก 50 ปีขึ้นไป และบานใหญ่ คนที่เป็นเจ้าของกระจกก็จะตาย


ฝากภาพ ยมบาลของฝรั่ง

 

ขี้สงสัยเหมือนกระผมเลยครับ...ผมล่ะก็โดนด่าประจำเหมือนกันกับคำถามแนวๆนี้น่ะ...ซึ่งก็มิรู้จะด่าทำไม ปัญหาทำให้เกิดการค้นคว้า ความรู้จึงจะเกิด
เรื่องแรกยมบาลไม่ได้ใส่โจงกะเบนสีแดงครับ เป็นยมฑูตที่มาเอาวิญญาณ ท่านตอบเมล์มาแล้วว่า มันเป็นเครื่องแบบ แต่ถ้าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนให้ดูได้เพราะจิตเป็นทิพย์เปลี่ยนชุดก็เพียงแค่นึกเอา บางทีอยากเห็นภาพการแต่งกายของยมฑูตสมัยยังมีชีวิตอยู่ก็แสดงให้ดูได้เหมือนกัน
2.ไม่ว่าคนหรือสัตว์ที่ตายไปนั้น อาทิสมานย์กาย เป็นรูปร่างคน และเมื่อลงนรกไปแล้ว มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันไปหมดไม่ว่าจะเป็นชาติไหนๆศาสนาใดๆ ดูจะผอมเก้งก้าง ผมเผ้ารุงรัง หน้าตาอิดโรยไปหมด เคยเห็นเป็ดตัวนึงมันหลุดจากรถที่เขาจะส่งไปฆ่า แล้วโดนรถคันที่ตามมาวิ่งชนตายตรงนั้น กายในที่ปรากฏกลับเป็นคนผู้ชายยืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็มีสภาพงงๆไปไหนไม่ถูก ดังนั้นในนรกจึงไม่มีรูปกายของไดโนเสาร์ปรากฎอยู่
3.เทวดาใส่ชุดชฎามานั้นที่จริงจะปรากฎให้เห็นเป็นชุดอะไรก็ได้ และต่างศาสนากันก็ใส่ชุดต่างกันก็ได้ เขามาปรากฎให้เห็นตามแต่ผู้ที่ต้องการเห็นมีความเชื่อความนิยมแบบไหนก็ปรากฏให้เห็นแบบนั้น แล้วหน้าตาที่ว่าสวยว่าหล่อนั้นก็ดูเหมือนๆกันไปหมดจะต่างกันก็สีกายกับรัศมีกาย แต่เวลาเราเห็นเราจะรู้ว่าคนนี้เป็นใครเป็นอะไรกับเรามา อันนี้จิตจะรู้ได้เอง เคยไปหาแม่ที่ตายไปแล้วว่าไปเกิดที่ไหนแต่งกายยังไง...เห็นแล้วก็เงียบเอาไว้ แล้วไปลองถามพี่ที่เขาเก่งทางด้านนี้ว่าแม่เราตายแล้วไปไหนแต่งกายเป็นอย่างไร เขาก็ตอบตรงกับที่เรารู้เราเห็นมา ทั้งๆที่เราไม่ได้บอกว่าเราเห็นอย่างไรมา จะว่าบังเอิญตรงกันทุกประการ หรือจะว่าเป็นคลื่นกระแสจิตเรากับพี่คนนั้นสอดคล้องกันไปก็ว่ากันไป แต่เรื่องอย่างนี้เป็นอจินไตย สงสัยไปก็ปวดหัวป่าวๆ...นิ ผมเคยสงสัยเรื่องพระเยซูด้วยนะว่าทำไมสอนลูกศิษย์ให้รักกันแล้วมันก็จูบกันไปมากันเกลื่อนเมืองแล้วทำไมถึงสอนว่าล้างบาปได้..สมัยนั้นแวะผ่านไปเจอท่านบนสวรรค์เข้า ก็ยังใส่ชุดเหมือนพวกนักบวชคลุมผ้าสีเทาๆมีหนวดมีเคราทั้งที่เป็นเทวดา ได้ฟังท่านเฉลยปัญหาก็พอจะทำให้มนุษย์เจ้าปัญหาอย่างเราเข้าใจได้เหมือนกัน

 

ลองตายดูสิครับ รู้ชัด....

 

ขอบคุณทุกความเห็นครับ ... งั้นขอถามต่อ
4) จากการ์ตูนพุทธประวัติ ตามลิ้งนี้ .....
https://www.youtube.com/watch?v=KiAllLIkXUs
ให้กรอ ไปที่ นาที ที่ 46 ..จะเห็นว่าพระอินทร์ มาดีดพิณ ให้เจ้าชายสิทธัตถะ เพื่อ guide ว่า ทางบรรลุพระโพธิญาณ คือทางสายกลางนั่นเอง ... ผมเรยอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าในเมื่อพระอินทร์ รู้วิธีทาง ทำไมพระอินทร์ไม่ตรัสรู้สะเอง ... ทำไมต้องมาสอนพระพุทธเจ้า เพื่อให้พระพุทธเจ้าไปโปรด ตนเองและเหล่าเทพบนสวรรค์ อีกที??

คืออุปมา อุปไมยว่า คุณสอนคณิตศาสตร์แก่เด็กคนนึง ..เพื่อให้เค้ามาสอนคุณเองอีกทีภายหลัง ... งงไหมครับ

 

เคยได้อ่านข้อความในเวปบอกว่า พระอริยสงฆ์ท่านมองเห็นนรกสวรรค์ ต่างจากคนปกติ
เท่านี้ผมก็คิดว่า น่าจะเป็นคำตอบได้ดีนะครับ ผมอาจจะมั่วเอาเองก็ได้นะครับ

 

บางท่านกล่าวว่า เป็นเพราะสัญญาเดิม คือความจำเดิมของคนแต่ละชาติ แต่ละศาสนา ครับ
เหมือนคอมพิวเตอร์ ก็สามารถอ่านได้เป็นบางโปรแกรม ที่มีโคด หรือระหัสเดียวกัน เช่น Microsoft มีหลายรุ่น หลายเวอร์ชั่น ก็จะสามารถอ่านได้ตามสมรรถภาพ ของตน ๆ นั่นแหละครับ

 

ลองคิดกลับกันดูสิครับ ว่า แท้จริงแล้ว วัฒนธรรมไทย

ลอกแบบมาจากนรก และ สวรรค์

 

อันนั้นก็เป็นสัญญาของพระพุทธองค์ท่าน ซึ่งเกิดเป็น เทพสังหรณ์ขึ้นมา คือเหมือนมีอะไรมาดลใจห้ท่านเกิด ไอเดีย ครีเอทีฟ ติ้งกิ้ง ซึ่งความเป็นจริงท่านก็จะตรัสรู้นั้นแหละ แต่ใจท่านบังเอิญไปเห็น พระอินทร์ท่านดีดพิณ จึงทำให้เกิดไอเดีย ทางสายกลาง พระอินทร์ท่านเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ที่มีอยู่เดิมแล้ว แต่ท่านไม่ได้ตั้งจิตอธิฐานจะมาเป็นพระพุทธเจ้า ก็อาจจะเหมือนหลายๆคนที่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะได้ไปนิพพาน แต่ก็เรียนรู้ไว้เฉยๆ แต่มิได้ปฏิบัติ อย่างคราวที่พระพุทธองค์พจญ นางมาร ตัญหา ราคา อรดี น้้น ก็เหมือนกัน จะว่าไปนางมารทั้งสามมีอยู่จริงสำหรับพุทธองค์ตอนที่ท่านกำลังพยามตัดกิเลส ว่าง่ายๆก็คือ กิเลส ที่มีในใจ ต่อรูปกายหญิงนั้นแหละ มิใช่เป็นวิญญาณเป็นตัวเป็นตน หากแต่เป็นการสมมุติ หญิงงาม ที่เป็นสิ่งยากต่อการหักห้ามใจสำหรับผู้ชาย ซึ่ง สำหรับท่านๆ ชายไทยที่พยามจะตัดกิเลส นางตัญหา ราคา อรดี ของท่านๆอาจจะ เป็น ฮัน กา อิน หรือ ลี เฮียวริ หรือ พวกดาราเกาหลีก็ได้ ในขณะที่ นาง ตัญหา ราคา อรดี ของ ผู้ปฏิบัติธรรมชายชาวอินเดีย ก็อาจจะ ไปเหมือน อยัศชา ทาพาร์ หรือ ปริติ ซินต้า หรือ นางระบำแขกๆ...... ก็แตกต่างกันไปได้ตามสัญญาของแต่ละคน

 

ใคร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอินทร์
ทำอะไร พระพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุพระโพธิญาณและพระอินทร์ดีดพิณถวาย
ที่ไหน ป่า
เมื่อไหร่ เมื่อพระพุทธองค์กำลังบำเพ็ญเพียรเพื่อพระโพธิญาณ
อย่างไร สายพิณมีสามสาย สายหย่อนเสียงไม่ดี สายกลางเสียงดี สายตึงดีดได้แต่ก้อขาด
เพราะอะไร ...คงต้องถามตัวเราเองมากกว่า?

อันที่จริงผมว่า พระอินทร์ท่านก้อไม่ได้รู้หรอกครับว่า พระโพธิญาณมันเป็นยังไง ด้วยความที่ท่านอยู่มานาน ได้เห็นพระพุทธเจ้ามาก้อคงไม่น้อย ท่านคงทราบว่า บารมีของพระองค์ได้ถึงเวลาแล้วมากกว่า เรื่องพิณสามสายที่พระอินทร์ท่านดีดถวาย ก้อเป็นเพราะท่านเห็นพระพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมิได้เดินสายนี้ สายตึงมันขาดดก้อเป็นเพราะพระญาณของพระพุทธองค์เองมากกว่า ซึ่งผมคิดว่า เรื่องราวก้อคงจะเป็นแบบไม่ใช่ว่าพระอินทร์ท่านรู้ว่า ทางเป็นแบบไหนหรอก.

 

๑.ของเวอร์ซาเช่ก็ได้ อุทิศมา. catt2

๒.ขังไว้ที่ขอแก่น มันคุยไม่รู้เรื่อง :z1

๓.เอเซีย ใช่แอตแลนติคไม่ใช้หมวกไหมพรม hello5

 

ที่ผมเคยได้ยินมาเป็นพระพรหมชั้นสุทธาวาส...หรือเปล่า?...

 

คำถามคุณผมตอบไม่ได้

อาจไม่ตรงกับคำถามนะ แต่ผมชอบฟังเรื่องวิบากกรรมของอัครสาวกรูปนี้มาก เลยอยากให้ จขกท. อ่านดู

...ครั้งนั้นแล พวกนายนิรยบาลเข้ามาหาเราแล้วบอกว่า "เมื่อใดแล หลาวเหล็กกับหลาวเหล็กมารวมกันที่กลางหทัยของมึง เมื่อนั้นมึงพึงรู้ว่า มึงต้องไหม้อยู่ในนรกพันปีแล้ว."
(ในอรรถกถากล่าวว่า ท่านถูกนายริยบาลตอกเหล็กร้อนแดงซึ่งมีขนาดเท่าต้นตาลเข้าที่อก)

เรานั้นแล หมกไหม้อยู่ในมหานรกนั้นหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี และหมกไหม้อยู่ในอุสสทนรกแห่งมหานรกนั้นแล เสวยทุกขเวทนาหนักกว่าก่อนอีกหมื่นปี. เรานั้นมีกายเห็นปานนี้คือ มีศีรษะเหมือนศีรษะมนุษย์ก็มี เหมือนศีรษะปลาก็มี... (อัครสาวก(โมคคัลลานะ)กล่าวถึงวิบากกรรมในชาติก่อน)

ขอให้เจริญในธรรม

 

นายธรรมา117
ความจริงเรื่องแบบนี้ ไม่อยากตอบ เพราะจิตคุณมีมิจฉาทิษฐิมากหนึ่ง อีกหนึ่งก็คือ น่าจะอ่านหนังสือธรรมะมาน้อย เหล่านี้
นี่ถ้าไปถามพระป่าที่มีวาสนาชอบดุ ในการให้ธรรมะ คุณถูกตะเพิดไปแล้ว
อีกประการ การเป็นหนอนตำรา หรือ ฟังเอา แล้วมาคิด มันอาจไกลความจริง และการบันทึก ย่อมมีข้อผิดพลาดเยอะ อาจแต่งเอาเองอีกด้วยซ้ำ(มันตั้ง2600ปี)ทางพุทธศาสนา ท่านให้ปฏิบัติเอง มีบุญวาสนาก็จะรู้เอง ไม่ต้องไปถามใคร แต่สำหรับคุณ คงปฏิบัติมิได้ แค่เดินธุดงค์ เสืออาจคาบคุณไปกินแล้ว
...แต่ผมชอบที่จะตอบ ผิดถูกไปพิจารณาหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือมาค้านได้ตลอด24ชั่วโมง(ฮา)
1.ยมบาลที่ใส่สีแดงเพราะ..."เวลาในนรก ยาวนานกว่าบนโลก...เขาแต่งตอนอุบัติเป็นยมบาล.(หลายหมื่นปีมนุษย์)...ผู้มาเห็นหรือเขาแสดงตัว เป็นชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวของเขา แต่ของเราเป็นหมื่นๆปี"
2.สัตว์โลกที่ทำกรรมชั่ว จะไม่สามารถไปอุบัติในนรกได้ นรกมีไว้สำหรับสัตว์ชั้นกลาง(มนุษย์เท่านั้น)สัตว์อื่นๆจะไปอุบัติเป็นเทวดาหรือเดียรัจฉานหรือเปรตหรืออสุรกายตามกรรม แต่ไม่อุบัติในนรก เพราะตอนเป็นสัตว์นั้นก็รับกรรมแล้ว แต่อาจอุบัติเป็นมนุษย์ก็ได้ถ้ามีบุญพอ
3.ที่เทวดาสวมชฎานั้น ในมิติของเขา เครื่องแต่งกายมีหลากหลายคล้ายมนุษย์ ชุดธรรมดาก็มี ชุดพิเศษสวมชฎาก็มี แล้วแต่จะออกงานอะไรคล้ายมนุษย์นั่นแหละ
.และ4. ทำไมพระอินทร์มาดีดพิณให้พระพุทธเจ้า...นี่เป็นเรื่องบุญวาสนาบารมีที่ต่างกันลิบลับ ระหว่างพระพุทธเจ้ากับเหล่าเทวดาหรือพรหมหรือหัวหน้าต่างๆ ระดับพระอินทร์มีทิพยจักสุ สามารถทายอนาคตได้ ตัวเองก็หวังพึ่งใบบุญเหมือนกัน จึงมาสร้างบุญต่อเวลาเป็นใหญ่ของตน...และการสร้างบุญนี้ในอนาคตแสนๆปีมนุษย์ เขาอาจลงมาใช้บุญเกิดเป็นมนุษย์และปฏิบัติธรรม จนหลุดพ้นทุกข์ได้ต่อไป....จบ.

 

ขอบคุณทุกความคิดเห็น ครับบบ... เย้

 

อ้อ ...เพิ่มเติมมม ..อันนี้นอกเรื่องนะ

ปกติตั้งแต่สมัยเด็กๆผมก็มีความผูกพันธ์ กับศาสนานะ อ่านหนังสือ ธรรมะ เรื่อง นรกเรื่องสวรรค์ ได้รับอิทธิพลทางนี้มา มากพอๆกับคนไทยทุกๆคนแหละ

แต่พออายุ19 ผมต้องไปเรียนเมืองนอก ทีนี้เจอเพื่อนต่างศาสนา ที่มันไม่เคยรู้เรื่องพุทธศาสนาเลย ... ก็คุยกันกับเพื่อน คริสต์บ้าง อิสลามบ้าง ..พอฟังพวกมันพูดเกี่ยวกับศาสนาคริส และอิสลาม..ผมก็คิด อืมมม มัน make sense นะ (พวกนี้เค้าศึกษากันตั้งแต่เด็ก) ไม่เหมือนภาพพจน์ที่ เราโดนปลูกฝังมา ว่าศาสนาอื่นสู้ศาสนาพุทธไม่ได้

..ทีนี้พวกมันก้อถามเกี่ยวกับพุทธศาสนา ให้ผมอธิบาย ... ผมก็อธิบาย ให้คนที่มันไม่รู้จักพุทธศาสนาฟัง ...เจอคำถามแต่ละคำถาม ผมก็ตอบไม่ได้นะ พวกเพื่อนผมเค้าอยากรู้ เค้าไม่ได้กวน teenนะ ..แต่การที่จะอธิบายให้คนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่โดนprogrammed ใส่สมองมาเลย มันเป็นเรื่องยากนะ ยิ่งพูดเป็นภาษาอังกฤษยิ่งแล้วใหญ๋..

จากประสบการณ์ตอนนเด็กนี้ ทำให้ผมหันกลับมามองประเทศตัวเองว่า สิ่งที่เค้าพยายามโปรแกรมใส่หัว มันถูกต้องทั้งหมดหรือป่าว พุทธในบ้านเรา เปนแนวพราห์ม สะมากกว่า ....

ผมเคยมีรูมเมท เป็นคนเนปาล เค้าก้อนับถือพุทธเหมือนกัน ..เค้าบอกว่า ไม่เคยได้ยินว่า พระพุทธเจ้าเดิน 7ก้าวนะ ...แล้วมีหลายเรื่องที่รู้มาไม่ตรงกันอีก เรื่องพระเครื่องห้อยคอ เค้าก็ไม่มี ..หลายเรื่องมาก นั่งเถียงกัน มา 1ปี


ลองดูสิ ลองอธิบายให้คนไม่รู้จักพุทธ คนที่ไม่โดนprogrammed ทางสมองมาตั้งแต่เกิดอย่างพวกเราสักคน ให้เค้าเข้าใจจนเลิกถาม (ภาษาไทยก็ได้) ถ้าเค้าเลิกถามได้ แสดงว่า คุณเข้าใจพุทธศาสนา ได้ดีแล้ว

 

อันนั้นก็เป็นเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรมคะ เหมือนคนดำ ทางแคริเบียนส่วนใหญ่ก็คาธอลิก แต่พอไปดูการทำพิธีทางศาสนา หรือความเชื่อหลายๆอย่างของเขาก็ไม่เหมือน คาธอลิก ฝรั่ง เพราะผสมความเชื่อ วูดู เข้าไปด้วย.....ก็คงเหมือนๆกับคนไทยที่รับเอาศานาพุทธมา แต่มีความเชื่อ และการปฏิบัติตงจากเปาล อย่าลืมว่าเนปาลโดเมืองขึ้นยุโรปมานาน แถมกระแส ศาสนาทั้ง ฮินดู เอย อิสลามเอย เลยจะให้แน่นปึ้กแบบไทยเราคงไม่ได้ รัฐบาลเนปาลเพิ่งจะขอเชิญพระภิกษุไทยไป บวช เถรวาทให้ก็ไม่กี่สิบปีนี้เอง เนปาลมีความเป็นฮินดูมากกว่าพุทธ เพราะปัจจุบันนี้ยังมีการสวด ฮินดูในวัดพุทธด้วย หรือ สวดพุทธในวัดฮินดู


การที่เราคิดสงสัยนี้ไม่เป็นเรื่องผิดคะ ยิ่งคนไปอยู่เมืองนอกเมืองนา ดิฉันเข้า ว่าบางทีเรารู้สึกเวลากลับไปเมืองไทยรู้สึกคนไทยคิดดหรือทำอะไรไม่เข้าท่า แต่ก็ต้องกลับมาคิดย้อนดูว่ามันเป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรม

ดิฉันเองเมื่อก่อนก็เคยถล่ำลึกถึงขนาดว่า เชื่อว่าคนเราตายแล้วก็สิ้นสุด ไม่มีโลกหน้า ไม่มีผี แต่ก็ได้มาอาศัยการนั่งสมาธินี้แหละจึงได้เชื่อมาตั้งแต่บัดนั้นว่า วิญญาณมีจริง และหลังจากนั้นก็เวลาเจอชาวต่างชาติถามเรื่องศาสนาพุทธก็จะสามารถอธิบายให้เขาเข้าใจและกระจ่างได้ แลเพราะเราปฏิบัติและรู้ด้วยตัวเอง เราก็จะสอนคนอื่นได้ ที่ทำมา ก็รู้สึกดีใจกับคำคำหนึ่งที่ได้ยินออกจากปากผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายชาวฝรั่ง คือ เขาบอกว่า '"จริงเหมือนที่ยูบอกเวลากำหนดจิตทำสมาธิแล้ว ฉันเจ็บน้อยลง"

 

ดันเหาะ แวะมาอีกแว๊ว....
..ฮี่โธ่..ก็พุทธกับพรห์มณ์ฮินดูบ้านเรา มันผสมปนเปกันมาตั้ง700กว่าปีแล้ว
และแสดงว่า คุณเกิดมา ไม่รู้จัก มหานิกาย กับ ธรรมยุตต์เลย...
มหานิกาย จะผสมลัทธิมาก แต่ ธรรมยุตต์แทบไม่ผสมเลย..
..อีกอย่าง เวลาเจอฝรั่งหรือ ศาสนาอื่นๆ อย่าเอากระพี้ไปอธิบาย ให้เอาแก่นไปทับมัน
...ถามมันดู ศาสดาเอ็ง รู้จักเมดิเตชั่นไหม...ตัวนี้มันทำให้เกิด อินสตูชั่น ญานหยั่งรู้โว๊ย...
ส่วนของเอ็งนั้น แค่ใช้สมองคิดแบบไอน์สไตน์ นั่นกระจอกสิ้นดี ไม่สามารถค้นพบความรู้ความจริงของกฏจักรวาลได้.....ที่กล่าวมา ตูก็ไม่รู้ แต่ศาสดาตูบอกถ้าอยากรู้ ก็ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง คือ ทำเมดิเตชั่นเอง พิสูจน์เอง รู้เอง นี่ เปิดทางเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าลัทธิอื่นใดในโลก......เอ็งหนักไหม(ทุกข์) หนักก็วาง...นี่หลวงพ่อชาสายมหานิกายแต่สอนเหมือนธรรมยุตต์ให้พระฝรั่งที่มาบวชเข้าใจหลักธรรม....ในตอนช่วยขนขอนไม้...แล้วถ้าบอกมันไม่รู้เรื่อง ให้ฆ่าเสีย คือ ไม่สอน ไม่เตือน ปล่อยมันตามกรรม คุยเรื่องอื่นๆ เพราะขืนคุยไป เดี๋ยวได้ชกกัน เพราะตาบอดคลำช้างด้วยกันทั้งคู่...ฮา

 

พ่อบอกนุ่งผ้าเตี่ยว