ทิพยอำนาจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ในห้อง 'ในหลวงกับพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย pinkpink, 16 พฤษภาคม 2010.

  1. pinkpink

    pinkpink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,249
    ค่าพลัง:
    +11,631
    แหล่งที่มาข้อมูล http://www.dharma-gateway.com/ubasok/special-04.htm.


    ทิพยอำนาจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    โดย สิริอัญญา


    บทความข้างประชาราษฎร์ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ 2 พ.ค. 2545


    [​IMG]

    เนื่องในมหามงคลสมัยวันฉัตรมงคลที่จะเวียนมาบรรจบครบ
    รอบอีกครั้งหนึ่งในวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม ศกนี้ นับเป็น
    มหามงคลสมัยที่ปวงชนชาวไทยจะได้ถวายความจงรักภักดี
    และได้ถวายพระพรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้
    เป็นทั้งพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ และประดุจดังพระเทพบิดร
    ของปวงชนชาวไทย
    ในวาระเช่นนี้คอลัมน์นี้จะแสดงเนื้อความอันเป็นการเฉลิมพระ
    เกียรติในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในบางมุมบางแง่ซึ่งอาจ
    ไม่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป แต่เป็นความจริงซึ่งบังเกิดขึ้นแล้ว
    เพื่อพสกนิกรทั้งหลายจะได้รู้จะได้ทราบว่าพระประมุขของ
    เรานั้นใช่ว่าจะเรืองพระบรมเดชานุภาพเฉพาะแต่ทางโลกก็หาไม่
    แต่ในทางธรรมก็ทรงบรรลุภูมิธรรมอันสูงยิ่ง
    สมแล้วที่ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก เป็นหลักชัยที่ค้ำชู
    ทำนุบำรุงพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระราชอาณาจักรตลอดระยะเวลาอันช้านาน

    เมื่อแรกเริ่มครองราชย์ก็ทรงประกาศเป็นพระปฐมบรมราชโองการ
    อันยังก้องกังวานทั่วผืนฟ้าแผ่นดินสิ้นถึงทุกวันนี้ว่า “เราจะครอง
    แผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

    นับเป็นพระปฐมบรมราชโองการที่ครบถ้วนบริสุทธิ์บริบูรณ์ หมดจด
    งดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด พระราชกรณียกิจมาก
    หลายกว่าครึ่งศตวรรษล้วนเป็นบทพิสูจน์อันปราศจากความสงสัย
    ใดๆ ว่าทรงตั้งอยู่ในธรรม ทรงเคารพธรรม ทรงถือธรรมเป็นใหญ่
    ทรงประพฤติปฏิบัติธรรม และธรรมทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นไป
    เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

    ทรงละ ทรงวาง ความสุขสบายส่วนพระองค์เป็นระยะเวลาอัน
    ยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อประโยชน์และความสุขของพสกนิกร
    สมัยหนึ่งเมื่อครั้งที่พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังมีชีวิต
    อยู่ได้กล่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นทรงตรากตรำพระราชกรณีย
    กิจเพื่อพสกนิกรของพระองค์อย่างหนักหนาสาหัส ถึงขนาดอาบ
    พระเสโทต่างน้ำ

    เพราะเหตุที่ทรงประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นแบบอย่างเพื่อประโยชน์
    สุขแห่งมหาชนชาวสยามตลอดระยะเวลาอันยาวนานเช่นนี้ ได้เปิด
    หนทางอันกว้างใหญ่ให้ทรงค้นและพบพระเถรานุเถระที่ทรง
    ภูมิธรรมขั้นสูง ได้ศึกษาและรับแนวทางปฏิบัติอันถูกต้องในการถึง
    ซึ่งวิชชาในพระพุทธศาสนา กระแสพระราชดำรัสหลายครั้งหลาย
    หนที่ทรงรับสั่งกับพระมหาเถระที่ทรงธรรม ทรงวินัย ได้
    บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าภูมิธรรมในพระองค์นั้นได้บรรลุมรรคผลที่สูง
    มาก ทรงแจ่มแจ้งทั้งในทางปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ อย่างยากที่
    พุทธศาสนิกชนคนใดจะก้าวไปถึง

    มีผู้กล่าวว่าภูมิธรรมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นมิได้
    ย่อหย่อนไปกว่าพระเจ้าพิมพิสารในครั้งพุทธกาล และมิได้น้อยไป
    กว่าพระเจ้าอโศกมหาราชในยุคหลังพุทธกาล 300 ปี นั้นเลย

    แต่คอลัมน์นี้กล่าวได้ว่าพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์นั้นก็ไม่เคย
    แสดงทิพยอำนาจในพระองค์ให้ปรากฏเหมือนกับพระบาทสมเด็จ
    พระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยเรานี้เลยแม้แต่สักครั้งเดียว

    เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเพื่อความรับรู้ในหมู่พสกนิกรซึ่งมีความจง
    รักภักดี เห็นสมควรนำกรณีอันมีผู้รู้เห็นยืนยันและแสดงถึงภูมิธรรม
    อันสูงยิ่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแสดงดังนี้

    เรื่องที่หนึ่ง พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ อดีตนายทหารประสาน
    งานของราชสำนักซึ่งได้ถึงแก่กรรมแล้วเคยเล่าว่า สมัยหนึ่งเมื่อครั้ง
    ยังปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่ ได้รับพระราชกระแสให้ไปนิมนต์พระ
    มหาเถระฝ่ายอรัญวาสีองค์สำคัญของภาคอีสานเพื่อมาร่วมงานราช
    พิธีส่วนพระองค์ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

    พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ ได้ติดต่อไปทางจังหวัดประสานงาน
    ไปทางอำเภอ ตำบล และต้องให้คนขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่วัด แต่
    ปรากฏว่าพระมหาเถระรูปนั้นได้ออกธุดงค์ไปแล้ว ไม่สามารถติดต่อ
    ได้ จึงนำความมากราบบังคมทูลให้ทรงทราบ

    ทรงรับสั่งว่าให้ไปเรียนพระศาสนโสภณให้ช่วยนิมนต์ให้ พระศาสน
    โสภณที่ว่านี้ก็คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช องค์
    ปัจจุบัน ดังนั้นพลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ จึงนำความไปเรียนให้
    พระศาสนโสภณทราบ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายโมงเศษ พระ
    ศาสนโสภณได้แจ้งว่าให้มาฟังผลในเวลา 16 นาฬิกา แล้วเดินขึ้น
    ไปบนกุฏิชั้นบน พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ ได้รอคอยจนถึงเวลา
    16 นาฬิกา ก็ได้รับคำบอกกล่าวจากพระศาสนโสภณว่าได้นิมนต์
    ตามพระราชประสงค์แล้ว ให้เอารถไปรับที่จุดนัดพบในเวลาที่นัด
    หมาย พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ เดิมสำคัญว่าพระศาสนโสภณมี
    ข่ายงานติดต่อพิเศษของคณะสงฆ์ แต่ก็รู้สึกแปลกใจ จึงสอบถาม
    พระเลขานุการว่าการติดต่อได้ใช้วิธีใด ก็ได้รับคำบอกว่าเป็นการ
    ติดต่อทางโทรจิต

    ผู้ที่รู้ว่าผู้อื่นมีภูมิธรรมในระดับที่สามารถใช้ทิพยอำนาจได้เช่นนี้ ก็
    ย่อมมีภูมิธรรมที่ห่างกันไม่มากนัก เพราะคนธรรมดาไหนเลยจะล่วงรู้ได้

    เรื่องที่สอง ช่วง 3-4 ปีก่อนที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาสจะมรณภาพ
    หนังสือพิมพ์ต่างประเทศได้ลงข่าวว่าท่านเจ้าคุณป่วยหนัก รัฐบาล
    ไทยไม่เหลียวแลเอาใจใส่ หนังสือพิมพ์ไทยได้นำความมาลงตี
    พิมพ์ เป็นเหตุให้คนไทยได้รับรู้ และความทราบถึงเบื้องพระยุคลบาท

    ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณพุทธทาสป่วยหนักด้วยโรคน้ำท่วมปอด เส้น
    เลือดหัวใจตีบ มีอาการหัวใจวาย และความดันโลหิตสูงร่วม 300
    หากเป็นคนทั่วไปก็เห็นได้ว่าเข้าขั้นโคม่า มีความตายเป็นเบื้องหน้าเป็นแน่แท้

    ในครั้งนั้นหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับลงข่าวตรงกันว่าพระบาท
    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้แพทย์หลวงคณะหนึ่งเดินทาง
    ไปรักษาท่านเจ้าคุณพุทธทาสที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และให้นำ
    ความไปถวายท่านเจ้าคุณด้วยว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขอ
    อาราธนาว่าท่านเจ้าคุณอย่าเพิ่งดับขันธ์ ขอให้อยู่ช่วยจรรโลงพระศาสนาต่อไป”

    แล้วหนังสือพิมพ์ก็เสนอข่าวต่อไปว่า เมื่อคณะแพทย์ไปถึงและ
    ท่านเจ้าคุณได้รับทราบว่ามีกระแสรับสั่งมาถวาย ก็ได้พยายามลุก
    นั่งสมาธิบนเตียงพยาบาล เมื่อได้ทราบคำอาราธนาของพระบาท
    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ท่านเจ้าคุณนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ แล้วกล่าว
    ว่า “อาตมารับอาราธนา แต่จะอยู่ไปเท่าที่สังขารจะทนไหวเท่านั้น”

    ในชั่วคืนวันนั้นเหตุการณ์มหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เพราะอาการหัวใจ
    วายและเส้นเลือดหัวใจตีบได้ทุเลาลง น้ำท่วมปอดได้ลดลง ความ
    ดันได้ลดลงเกือบปกติ พระซึ่งใกล้ชิดท่านเจ้าคุณได้เล่าให้ฟังว่า
    หลังจากรับอาราธนาแล้วท่านเจ้าคุณได้ปฏิบัติสมาธิและอยู่ใน
    อาณาปานสติวิหารตลอดทั้งคืน

    ความนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์เพราะมีข่าวต่อมาว่าหนังสือพิมพ์ต่าง
    ประเทศฉบับหนึ่งได้ลงข่าวในเชิงตั้งข้อสงสัยนี้ว่า พระสงฆ์ไทยนี้
    แปลก ที่สามารถผัดผ่อนความตายได้

    แต่คนไทยจำนวนหนึ่งมิได้สงสัย เพราะมีความในมหาปรินิพพาน
    สูตรแสดงไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ใดได้เจริญอิทธิบาทสี่ให้มากแล้ว
    ทำให้เป็นประหนึ่งยานแล้ว ทำให้เหมือนกับเป็นพื้นแผ่นแล้ว มีใจ
    ตั้งมั่นบริสุทธิ์ หากปรารถนาจะมีอายุชั่วกัลป์หนึ่งหรือกว่านั้นก็ได้
    ท่านเจ้าคุณพุทธทาส คนทั่วไปรู้แต่เพียงว่าท่านทรงปริยัติเสมอ
    ด้วยพระพุฒโฆษาจารย์ของลังกาในอดีต แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อย
    ที่รู้ดีว่าท่านบรรลุภูมิธรรมถึงวิชชาแปดประการในพระพุทธศาสนา
    มีทิพยอำนาจอยู่ในตัว และเจริญอิทธิบาทอยู่เนืองๆ อาการป่วยขั้น
    วิกฤตที่ทุเลาเบาบางลงก็ด้วยทิพยอำนาจนั้น ดังที่ปรากฏความใน
    มหาปรินิพพานสูตรนั่นเอง

    ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่า ท่านเจ้าคุณมีภูมิธรรม
    เช่นนี้ อยู่ในวิหารธรรมเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรู้ได้ หากต้องมี
    ภูมิธรรมและอยู่ในวิหารธรรมที่ใกล้เคียงกัน ท่านเจ้าคุณพุทธทาส
    บรรลุภูมิธรรมขั้นไหน ก็เห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง
    มีภูมิธรรมที่ใกล้เคียงกันนั้นเอง ดังนั้นจะกราบพระบรมฉายาลักษณ์
    ครั้งใด ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือกำลังกราบพระอริยบุคคลนั่นเอง

    เรื่องที่สาม เป็นเรื่องราวของพลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
    ได้เขียนลงไว้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐด้วยตัวท่านเองว่า สมัยหนึ่ง
    จะเดินทางไปผ่าตัดหัวใจที่ต่างประเทศ ทรงพระราชทานพระบรม
    ราชานุญาตให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ท้ายที่สุดได้ทรงรับสั่ง
    ว่าไปผ่าตัดครั้งนี้จะไม่ตาย ให้รีบกลับ

    พลตรีหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนไว้ว่ามีความเชื่อมั่น
    ในขณะนั้นบังเกิดเป็นปิติอันเปี่ยมล้นว่าครั้งนี้เห็นจะไม่ตายแน่ มีอาการขนลุกซู่ซ่า

    คำรับสั่งที่เสมอด้วยสามารถตกลงกับพญามัจจุราชได้ดังนี้ ใช่ว่าผู้
    ที่มีภูมิธรรมธรรมดาจะกระทำได้ นี่เป็นวิชชาหนึ่งในพระพุทธ
    ศาสนาที่มีแต่ผู้มีภูมิธรรมอันสูงส่งเท่านั้นที่จะกระทำได้

    เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องของครูเอื้อ สุนทรสนาน หรือสุนทราภรณ์ ผู้มี
    สมญาว่านักร้องชั้นบรมครูผู้อมตะ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ
    เป็นพิเศษคนหนึ่งในวงการศิลปินไทย โปรดให้เข้าร่วมวง อส. ซึ่ง
    เป็นวงดนตรีส่วนพระองค์ ครั้งที่ทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงพระราช
    นิพนธ์ก็ทรงพระราชทานให้กับวงสุนทราภรณ์นำไปแสดง ครั้งที่
    เสด็จนิวัติกลับพระนครหลังจากเสร็จการศึกษาจากต่างประเทศ
    ครูเอื้อ สุนทรสนาน และครูแก้ว อัจฉริยะกุล ก็ได้ร่วมกันรังสรรค์
    บทเพลงเพื่อถวายการต้อนรับคือเพลงราชาเป็นสง่าแห่งแคว้นอัน
    เป็นอมตะ

    ทรงมีพระเมตตาต่อครูเอื้อ สุนทรสนาน มาก ถึงกับพระราชนิพนธ์
    เพลงไตเติ้ลให้กับวงดนตรีสุนทราภรณ์ ชื่อว่าเพลงพระมหามงคล
    และพระราชทานธง ภปร. สำหรับวงด้วย

    ในเดือนธันวาคมปีก่อนที่ครูเอื้อ สุนทรสนาน จะถึงแก่กรรม ได้
    โปรดเกล้าฯ ให้ครูเอื้อ สุนทรสนาน ขึ้นไปร้องเพลงถวายที่พระ
    ตำหนักภูพานราชนิเวศน์ในบทเพลงพรานทะเล ซึ่งขณะนั้นครูเอื้อ
    สุนทรสนาน ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง ได้เดินทางออกจากโรง
    พยาบาลไปร้องเพลงถวาย แต่ร้องได้เพียงครึ่งเพลงก็ต้องทรุดลง
    ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพฯ เข้าไปประคองครูเอื้อ สุนทร
    สนาน เข้ามานั่งใกล้พระเก้าอี้ แล้วรับสั่งถามอาการ ครู่หนึ่งเหมือน
    กับจะทรงรู้ว่าครูเอื้อ สุนทรสนาน ป่วยคราวนี้คงตายแน่จึงมิได้ตรัส
    ประการใดเหมือนกับที่เคยตรัสกับพลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช

    เป็นแต่ทรงถอดสร้อยซึ่งห้อยพระสมเด็จจิตรลดาออกจากพระศอ
    คล้องคอครูเอื้อ สุนทรสนาน พร้อมกับตบศีรษะด้วยพระเมตตาแล้วทรงตรัสว่า ให้เร่งรักษานะ

    ครูเอื้อ สุนทรสนาน กลับจากงานครั้งนั้นก็รู้ตัวว่าถึงเวลาใกล้จะตาย
    แล้ว จึงได้ทำเพลงสุดท้ายสั่งลาแฟนเพลง ชื่อว่าเพลงพระเจ้าทั้ง
    ห้า ซึ่งสรรเสริญและรำลึกพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้
    พร้อมกับฝากบทเพลงสุนทราภรณ์ไว้อยู่คู่ฟ้าเมืองไทย

    นี่ก็เป็นวิชชาอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนาเพราะแสดงให้เห็นถึง
    อนาคตังสญาณที่มีอยู่ในพระองค์ ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงการที่เสด็จ
    ไปแห่งหนตำบลใด ถ้าหากฝนแล้งก็จะบังเกิดฝนตก หรือถ้าฝนตก
    หนักก็บังเกิดฝนหยุด อันเป็นพระบารมีที่มีแต่ภูมิธรรมอันสูง และถือ
    เป็นทิพยอำนาจในพระองค์ที่คนไทยทั้งประเทศได้รู้ได้เห็นกัน
    ตลอดมาแล้ว

    และด้วยภูมิธรรมระดับนี้ย่อมเชื่อและหวังได้ว่าองค์พระประมุขของ
    เรานั้นทรงสามารถเจริญอิทธิบาทสี่ บรรลุถึงมรรคและผลแห่ง
    วิหารธรรมข้อนี้ในระดับที่สูง ก่อเป็นทิพยอำนาจในพระองค์สมแก่
    ฐานะขององค์เอกอัครศาสนูปถัมภกซึ่งพสกนิกรทั้งประเทศ
    สามารถกราบไหว้และได้อานิสงส์อย่างเดียวกันกับการกราบไหว้
    พระอริยบุคคลนั้นแล

    ขออำนาจสัตยาธิษฐาน ความมีอยู่จริง ความมีผลจริง ในวิชชาและ
    วิมุติในพระพุทธศาสนาและคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนอำนาจ
    แห่งพระปริตรได้คุ้มครองกำจัดและป้องกันสรรพภัย สรรพทุกข์
    สรรพโรค อย่าได้กล้ำกรายพระองค์ ขอทรงเจริญด้วยอายุ วรรณะ
    สุขะ พละ ปฏิภาณในกาลทุกเมื่อเทอญ

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...