ที่ว่า จิตไม่เที่ยง คือจิต หรืออาการของจิต....

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย 2ชาติตรัสรู้, 2 ธันวาคม 2009.

  1. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,697
    ค่าพลัง:
    +1,559
    ที่ว่า จิตไม่เที่ยง คือจิต หรืออาการของจิต....ตัวจิตเองหรือที่ไม่เที่ยง หรือเป็นอาการรู้ของจิตที่ไม่เที่ยง คือ เดี๋ยวรู้อารมณ์นี้ เดี๋ยวไปรู้อารมณ์นั่น รู้ไปเรื่อยๆ
    แล้วตัวจิตหละไม่เที่ยงหรือ(ไม่ได้หมายถึงอาการของจิต) ถ้าจิตนี้ไม่เที่ยง จิตเกิดดับได้ แล้วเวรกรรมหละ มันข้ามภพข้ามชาติตามเรามาได้อย่างไร
    ก็คงจะบอกว่าจิตเดิมที่เคยเป็นนาย ก.มันดับไปแต่เพียงแค่จิตที่เป็นนาย ก.
    พอเกิดไหม่เป็นนาย ข. ปฏิสนธิจิตมีแต่กรรมติดมาเท่านั้น
    แต่ตัวจิตเดิมที่เป็น นาย ก.มันดับไปแล้วสิ

    แต่จริงๆ ความเป็นเราที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นอาการการรู้สมมุติ1 ที่จิตไปรู้1สมมุตินี้เข้า
    จิตรู้สมมุตินี้ ว่าเป็นเรา ก็อยู่กับความเห็นว่าเป็นเรานี้ไปเรื่อยๆ จนเราตาย ก็คือ สมมุติ1ที่จิตไปรู้ว่าเป็นเราดับไป แต่ตัวจิตที่เป็นตัวรู้สมมุตินี้ดับด้วยหรือว่าที่ดับเป็นแค่ สมมุติ1 ที่จิตไปรู้เข้า แล้วดับไป แล้วจิตก็ไปรู้สมมุติ2-3-4เป็นคน
    เป็นสัตว์อื่นๆต่อไปเรื่อยๆ นี่ตัวจิตดับ หรืออาการรู้ของจิตดับ
    ตัวจิตผู้รู้นี้มันเกิดดับหรือ

    ก็เหมือนกันกับ คนที่เชื่อ ว่าจิตเกิดดับ เพราะ จิตไปเห็นความคิดเกิด เห็นความคิดดับ คือเห็นอาการของจิตคือการรู้ความคิดรู้สัญญารู้เวทนา ของจิต ที่เกิด ที่ดับ
    (การเห็นความคิดเกิดดับนี้ก็เหมือนกับด้านบนที่บอกว่าจิตไปรู้สมมุติว่าเป็นเราเกิดเป็นเราดับ)
    -------------------------------------------------------------------
    จิตรู้สมมุตินี้ ว่าเป็นเรา ก็อยู่กับความเห็นว่าเป็นเรานี้ไปเรื่อยๆ จนเราตาย ก็คือ สมมุติ1ที่จิตไปรู้ว่าเป็นเราดับไป แต่ตัวจิตที่เป็นตัวรู้สมมุตินี้ดับด้วยหรือว่าที่ดับเป็นแค่ สมมุติ1 ที่จิตไปรู้เข้า แล้วดับไป แล้วจิตก็ไปรู้สมมุติ2-3-4เป็นคน
    เป็นสัตว์อื่นๆต่อไปเรื่อยๆ นี่ตัวจิตดับ หรืออาการรู้ของจิตดับ

    จากข้างบนนี้ก็อาจสงสัยต่ออีกว่า แล้วตัวจิตที่มันมารู้สมมุติ ว่าเป็นเรานี้ตั้งแต่เราเกิด จนตาย มันหายไปไหนหละ ..
    มันก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ระหว่างที่มันรู้สมมุติว่าเป็นเรา มันก็ไม่เห็นตัวมันเอง
    คือเห็นไม่ได้ นี้ก็คือ อาการ1ของจิต คือ รู้ได้ที่ละ1ขณะ
    ถ้าจะตอบว่าระหว่างที่จิตมารู้สมมุติ ว่าเป็นเรานี้ จิตตัวรู้สมมุตินี้ไปอยู่ไหน คงตอบได้แค่ไกล้เคียงแบบวิทยาศาสตร์ว่า มันก็คือ จิตใต้สำนึกของเรานี่เอง
    ตัวจิตผู้รู้ หรือ จิตใต้สำนึกนี่เอง ที่เป็นผู้รู้ ความดี ความเลว ภพ ชาติของเราเอาไว้

    ก็เหมือนจิต ที่เราเข้าใจกันอยู่นี้หละว่ามันรู้ได้ ทีละ1อารมณ์ 1ความคิด 1เวทนา 1สัญญา รู้ได้ ที่ละ1ขณะ คืออาการของจิต

    ที่นี้ ทำอย่างไร จึงจะเห็นจิตตัวผู้รู้ได้หละ ก็ต้องทำสมาธิ ไห้จิตมันนิ่ง ไม่สอดส่าย ไปรู้อารมณ์ต่างๆ เมื่อจิตนิ่งจนถึงถึงขนาดไม่รับรู้อารมณ์ไดๆทางกาย(คือชาน4)เมื่อจิต ไม่รับรู้อารมณ์ไดๆ แต่ เพราะจิตมีอาการเป็นธาติรู้ อย่างไรมันก็ต้องออกรู้
    แต่พอมันนิ่งจนไม่รับรู้ผัสสะทางกายทั้งหมด มันจะไปรู้อะไร รู้ทางไหนได้ นอกจาก ไปรู้จิต คือรู้ตัวมันเอง..นี่หละคือเห็นจิต (ถ้าจิตนิ่งมากพอ ก็จะรู้เห็นได้ถึงข้อมูลใจต เช่น ภพ ชาติ)

    ก็เป็นอย่างเดียวกันกับที่จิตของผู้ที่รู้แล้วว่า รูปทั้งหลาย ไม่จริง จิต ที่รู้ชัดว่ารูปทั้งหลายไม่จริง ไม่น่ายึด ไม่น่าปรุง ก็จะไม่ออกไปรู้รูป ที่จิตรู้ชัดว่า ไม่จริง ไม่น่าปรุง ไม่น่ายึด เมื่อจิตไม่ออกไปรู้รูป แล้วจิตจะไปรู้อยู่ที่ไหน ก็คือจะไปรู้
    ในกาย(อาการของกาย)ของเรานี้แทน เหมือนกับที่อธิบายไว้ข้างบนว่า ถ้าทำสมาธิจนจิตนิ่งถึงชานไม่ออกรู้ผัสสะใดๆทางกาย จิต มันก็ต้องกลับมารู้ที่ตัวมันเอง. .

    >>เป็นเพียงความคิดเห็ นเท่านั้น <<

    >>ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงความเห็น จากจินตมายปัญญาเท่านั้น....<<

    >>ใครจะว่าอะไร ก็เชิญว่าเถอะ ไม่โกรธหรอก (ไม่ได้แหลนะ)<<

    ด้วยฟามเคารพ
     
  2. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    พี่ 2 ชาติ หัวล้าน อ่ะ...ตี๋ด้วย --"

    จิตน้ารู้ว่าโกธรหรือป่ะ ^^
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ถ้าแน่ใจว่าตนเองทำสิ่งดีสิ่งถูกต้องเพื่อการเรียนรู้แล้วปฏิบัติธรรมอันเป็นอุปนิสัยสืบต่อไปในอีกสองชาติหรืออีกหลายๆชาติก็ตามนั้น ไม่ต้องกลัวเลยคำกล่าวต่างๆ จะด่าก็ดี ชื่นชมก็ดี ให้มันเปื้อนเปรอะเลอะเทอะในจิตเลย เพราะสิ่งต่างๆล้วนเกิดที่จิตที่ใจตนเองเท่านั้น จะโกหกคนอื่นสักกี่หมื่นแสนล้านได้ก็ไม่สามารถโกหกจิตใจตนเองได้เลยครับ
    อนุโมทนา ครับ รออ่านของท่านอื่นดีกว่าครับ
     
  4. จิตวิสุทธิ

    จิตวิสุทธิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +101
    จิตหรืออาการของจิตไม่เที่ยง

    สำหรับความคิดของผมนะครับผมว่าจิตไม่เที่ยงครับเพราะจิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ส่วนอาการของจิตเป็นเพียงสภาวะอย่างหนึ่งที่จิตไปเกาะหรือยึดอยู่ หากรู้ตามความเป็นจริงสภาวะนั้นก็จะดับไปก็จะเกิดจิตดวงใหม่ที่มีสติแทนครับ
     
  5. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,697
    ค่าพลัง:
    +1,559
    ไม่รู้สิเผลอยิ้มออกมานี้โกรธไหมนะ

    เพิ่มเติม เมื่อประมาณ5วันก่อน เข้าไปแหย่คุณรอดมี โดนคุณรอดมีตามกัดอยู่3วันยังไม่โกรธเลย (ที่จริงไม่ถึง3วันหรอกต้องเรียกว่า3-4โพสเท่านั้น 3วัน วันละโพส2โพส^^) เขากัดไปกัดมาเขาก็เผลอชมเรานะ แต่สงสัยไม่รู้ตัว เขาว่า เมื่อก่อนคนๆนี้เกรียนมาก 55 อ่านแล้วถือว่าชมนะ เพราะแปลว่าเดี๋ยวนี้ไม่เกรียนแล้ว..
    ตอนนั้นก็รอดูนะว่า คุณรอดมี จะตามกัดผมได้สักกี่วัน แต่แค่3-4โพส ก็เลิกซะละ หุหุ(เดี๋ยวมาไหม่แหงแบบนี้)

    ครั้งสุดท้ายที่คุยกระทู้แล้วโกรธนี้ คงเป็นตอนที่คุยกับ คุณ อัลนะ
    คนเรา ปฏิบัติแล้วมันต้องเปรี่ยนแปลง.. ไมไช่เหมือนเดิม เนอะหุหุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2009
  6. 1000lert

    1000lert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +143
    [FONT=&quot]จิตเที่ยงหรือไม่เที่ยงตอนนี้ยังรู้ไม่ได้นะ[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]แต่ที่รู้ตอนนี้คือ อารมณ์ของจิตตอนนี้กำลังขยำขยี้จิตขยี้หัวใจเราอยู่นะ[/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกข์ทรมานมากเลยนะ รู้บ้างมั้ย[/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกข์ลมหายใจในตอนนี้ไม่ได้อยู่อย่างสุขสบายนะ[/FONT]
    [FONT=&quot]หัวจิตหัวใจ ตอนนี้ถูกขยำขยี้ไม่มีชิ้นดีเลยนะ รู้บ้างมั้ย ขอให้รับรู้หน่อยนะ[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]มันไม่ใช่เวลาจะมาสนใจนะว่าจิตนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง[/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]ก็เมื่อหัวจิตหัวใจของเราตอนนี้ ถูกขยำขยี้ อยู่อย่างทุกข์ทรมานนะ

    เอ้อ...แก้ไขให้แล้ว
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2009
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ขี้เกียจคิด เลยเอาความคิดของคนอื่น มาช่วยปั่นกระทู้นะ
    จะได้ร่วมด้วยช่วยกันเบ่งบานด้านความคิด
    ด้วยฟามเคารพและนับถือจากใจ

    จิต ต่างกัน โดยประเภทของ สังขาร

    คือ

    เป็น อสังขาริก หรือ สสังขาริก.


    .


    คำว่า "สังขาร"

    ในพระไตรปิฎก มีความหมายหลายนัย

    คือ

    สังขารธรรม ๑.

    สังขารขันธ์ ๑.

    อภิสังขาร ๑.

    อสังขารริก และ สสังขาริก ๑.


    .


    สังขารธรรม.

    คือ

    สภาพธรรม ที่เกิดขึ้นเพราะ ปัจจัยปรุงแต่ง

    เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดับไป

    สังขารธรรมทั้งหลาย ไม่เที่ยง

    เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะที่เล็กน้อยที่สุด

    แล้วก็ดับไปหมดสิ้น.!


    .


    สังขารธรรม.

    ได้แก่ จิต เจตสิก รูป.


    ปรมัตถธรรม มี ๔.

    คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน.


    แต่

    ปรมัตถธรรม ๓.

    คือ จิต เจตสิก รูป......เป็น สังขารธรรม.

    ซึ่ง เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น

    และตั้งอยู่เพียงชั่วขณะที่เล็กน้อยที่สุด แล้วดับไปหมด.


    .


    ส่วน นิพพาน.

    เป็นสภาพธรรม ที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง

    นิพพาน จึงเป็นสภาพธรรมที่ ไม่เกิด ไม่ดับ

    นิพพาน เป็น วิสังขารธรรม.


    .


    สังขารธรรม ๓.

    คือ จิต เจตสิก รูป

    ซึ่ง จำแนกโดยนัยของ "ขันธ์ ๕"


    ได้แก่


    ๑. รูปทุกรูป เป็น รูปขันธ์.

    ๒. เวทนาเจตสิก เป็น เวทนาขันธ์.

    ๓. สัญญาเจตสิก เป็น สัญญาขันธ์.

    ๔. เจตสิก ๕๐ ประเภท เป็น สังขารขันธ์.

    ๕. จิตทุกประเภท เป็น วิญญาณขันธ์.


    .


    ฉะนั้น

    สังขารขันธ์

    คือ เจตสิก ๕๐ ประเภท

    เว้น เวทนาเจตสิก และ สัญญาเจตสิก.


    .


    ส่วน สังขารธรรม

    คือ

    จิตทั้งหมด

    ซึ่งมี ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภท.


    เจตสิกทั้งหมด

    ซึ่งมี ๕๒ ประเภท.


    รูปทั้งหมด

    ซึ่งมี ๒๘ ประเภท.


    .


    ความหมายของ สังขารธรรม กว้างขวางกว่า สังขารขันธ์

    เพราะว่า

    จิต เจตสิก รูป เป็น สังขารธรรม.


    แต่

    มี เฉพาะ เจตสิก ๕๐ ประเภท เท่านั้น ที่เป็น สังขารขันธ์.


    และ

    เจตนาเจตสิก เท่านั้น ที่เป็น "อภิสังขาร"


    .


    โดยนัยของ ปฏิจจสมุปปบาท

    กล่าวว่า


    "อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร

    สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ ฯ"


    คำว่า "สังขาร"

    โดยนัยของ ปฏิจจสมุปปาท

    หมายถึง

    "เจตนาเจตสิก"

    ซึ่งเป็น "อภิสังขาร"

    คือ สภาพธรรมที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง.!


    .


    "อภิสังขาร"

    คือ

    กุศลกรรม และ อกุศลกรรม (เหตุ)

    ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิด "ผล"

    คือ วิบากจิต และ วิบากเจตสิก.


    .


    แม้ว่า เจตสิก ประเภทอื่น ๆ

    ก็เป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดขึ้น

    เช่น ผัสสเจตสิก.


    ถ้าไม่มี ผัสสเจตสิก ซึ่งเป็น สภาพธรรมที่กระทบอารมณ์

    จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส

    จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย และ จิตคิดนึกต่าง ๆ

    ก็มีไม่ได้.!


    แต่

    ผัสสเจตสิก ไม่ใช่ อภิสังขาร

    เพราะว่า

    ผัสสเจตสิก เพียงกระทบอารมณ์...แล้วก็ดับหมดสิ้นไป.


    .


    ฉะนั้น

    สังขารขันธ์ (เจตสิก) ๕๐ ประเภท นั้น

    เฉพาะ "เจตนาเจตสิก" เท่านั้น

    ที่เป็น "อภิสังขาร"

    ซึ่งเป็น

    "สภาพธรรมที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง"

    .

    โดยเป็น

    กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม

    ซึ่งเป็น "กัมมปัจจัย" ที่ทำให้เกิด "ผล"

    คือ วิบากจิต และ วิบากเจตสิก.


    สังขาร ใน ปฏิจจสมุปปาท

    มี ๓ คือ


    ปุญญาภิสังขาร ๑.

    อปุญญาภิสังขาร ๑.

    อาเนญชาภิสังขาร ๑.


    .


    ปุญญาภิสังขาร.

    ได้แก่

    เจตนาเจตสิก

    ที่เกิดร่วมกับ กามมาวจรกุศลจิต และ รูปาวจรกุศลจิต.


    .


    อปุญญาภิสังขาร.

    ได้แก่

    เจตนาเจตสิก

    ที่เกิดร่วมกับ อกุศลจิต.


    .


    อาเนญชาภิสังขาร.

    ได้แก่

    เจตนาเจตสิก

    ที่เกิดร่วมกับ อรูปฌานกุศลจิต

    ซึ่งเป็น กุศลที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว.


    .


    กามาวจรกุศลจิต.

    เกิดขึ้นชั่วขณะเล็ก ๆ น้อย ๆ

    และ หวั่นไหวง่าย.!

    เพราะว่า

    กามาวจรกุศลจิต ที่เกิดขึ้นในวาระหนึ่ง ๆ

    มีเพียงชั่ว ๗ ขณะเท่านั้น.!

    เช่น

    การให้ทาน การวิรัติทุจริต และ การเจริญกุศลอื่น ๆ

    ย่อมเกิดขึ้น เป็นครั้งคราว.


    นอกจากนั้น

    มีปัจจัยให้ "อกุศลจิต" ก็เกิดขึ้น

    มากมาย หลายวาระ ทีเดียว.!


    .


    รูปาวจรกุศลจิต.

    เป็น กุศลญาณสัมปยุตต์ คือ เกิดร่วมกับ ปัญญาเจตสิก.


    รูปวจรกุศลจิต.

    เป็นจิตที่สงบ ถึงขั้น อัปปนาสมาธิ ซึ่งมี รูป เป็น อารมณ์.


    รูปาวจรกุศลจิต.

    เป็น มหัคคตกุศลจิต ที่ใกล้เคียงกับ กามาวจรกุศลจิต

    เพราะว่า ยังมี รูป เป็น อารมณ์.


    .


    อาเนญชาภิสังขาร เป็น อรูปฌานกุศลจิต.

    คือ เป็น ปัญจมฌาน ที่ไม่มีรูป เป็น อารมณ์.


    อรูปฌานกุศลจิต.

    มั่นคง ไม่หวั่นไหว เพราะไม่มีรูป เป็น อารมณ์

    จึงให้ผลอย่างไพบูลย์.

    คือ

    อรูปฌานกุศลจิต.

    เป็นปัจจัยให้ อรูปฌานกุศลวิบากจิต เกิดในอรูปพรหมภูมิ

    ซึ่งเป็นภูมิที่มีอายุยืนยาวมาก

    ตามกำลังของอรูปฌานกุศลจิต.


    .


    สำหรับ การเกิดในภูมิสวรรค์ (เป็นผลของกามาจรกุศลจิต) นั้น เป็นสุข

    เพราะ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ

    ไม่ทุกข์ยากลำบากกาย เหมือนในภูมิมนุษย์ และ อบายภูมิ.


    แต่ ภูมิสวรรค์ นั้น

    มีอายุไม่ยืนยาว เท่ากับ รูปพรหมภูมิ.


    และ การเกิดในรูปพรหมภูมิ (เป็นผลของกามาวจรกุศลจิต) นั้น

    มีอายุไม่ยืนยาวเท่ากับ อรูปพรหมภูมิ.


    เพราะว่า

    การเกดในอรูปพรหมภูมิ เป็นผลของ อรูปฌานกุศลจิต

    ซึ่งเป็น อาเนญชาภิสังขาร.


    .


    สังขารธรรม.

    ได้แก่

    จิตทั้งหมด เจตสิกทั้งหมด รูปทั้งหมด.


    .


    สังขารขันธ์.

    ได้แก่

    เจตสิก ๕๐ ประเภท.

    (ยกเว้น เวทนาเจตสิก และ สัญญาเจตสิก)


    .


    อภิสังขาร.

    ได้แก่

    เจตนาเจตสิก.

    (ซึ่งเป็นสังขารขันธ์ ๑ ในจำนวน สังขารขันธ์ทั้งหมด ๕๐ ประเภท)
    จิตต่างกัน
     
  8. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,697
    ค่าพลัง:
    +1,559
    ขยำขี้จิตขยี้หัวใจเลยเหรอ เหม็นแย่เลยนะ^^" แค่ขยำขยี้ก็แย่พอแล้ว นี้ขยำขี้มาขยี้หัวใจ โอวว ..ล้อเล่นน่า . .^^
     
  9. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,697
    ค่าพลัง:
    +1,559
    ยาวๆขี้เกียจอ่านนะเจ๊ รู้บันหยัดมากบางทีก็วุ่นมาก วุ่นเพราะเอาบันหยัดมา จิตนาการ
    เดี๋ยวว่างๆค่อยอ่านของเจ๊นะ ชิ
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    รับทราบแล้วค่ะ
     
  11. 1000lert

    1000lert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +143
    เป็นอย่างคิดจริง ๆ นะ
    พอโพสต์เสร็จรู้สึกแปลก ๆ
    เอ้...เหมือนเหม็นอะไรกันน้า
    ไม่รู้ใครต่อใครนะ ผุดขึ้นบอกมาในจิต
    พอกลับมาดู เป็นอย่างคิดจริง ๆ แฮะ

    พลังจิตของคนเรานี่แรงน่าดูนะ
    ส่งถึงกันได้นะ...............
     
  12. สรวงสุดา

    สรวงสุดา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    จิตหลุดพ้น

    เที่ยงไหมคะ!​
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    [​IMG] ...อิอิ แค่เห็นตัวหนังสือเยอะๆ จิตฉันมันเป็นงี้....แร้วอะ...
    เหมือน ยาขมน้ำเต้าทอง...กัว
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    แร้ว จิตเรา เหม็นมากไหม...ไม่ค่อยรู้ตัวเองซักเท่าไร
    รู้แต่ว่าจิตฉันก็...โสโครก...มิใช่น้อย
     
  15. 1000lert

    1000lert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +143
    ไม่อยากอวดอุตริ
    ไม่อยากบอก

    แต่พวกดูจิตในนี้นี่
    ชอบอวดอุตริมนุสสธรรมนะ
     
  16. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    คุยในสิ่งที่มองไม่เห็นแถมยังไปไม่ถึงก็ยากนะ เรารู้แค่ว่ามันซ้อนๆกันอยู่

    แถมไม่ใช่เราด้วยซิ
     
  17. Carry on

    Carry on สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +9
    พระอรหันต์เมื่อตายแล้ว จิตไม่ได้สูญไปไหนหรอก​

    จิตมีความโลภ โกรธ หลง ก็รู้อยู่ว่าความโลภ โกรธ หลง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของเรา ​

    จิตหลุดพ้น ก็รู้อยู่ว่าจิตบรรลุพระนิพพานแล้ว ไม่มีใครสามารถดับจิตให้สูญไปได้หรอก

    ลองดูตัวอย่างสมบูรณ์แบบที่ได้ผล
    <TABLE class=tborder id=post2685723 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_2685723 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">
    นิพพานของหมอธรรม
    ประสบการณ์การปฎิบัติธรรมของแก้วนารายณ
    ถอดจิตจากอารมณ์พระโสดาบัน พิจารณากายในกาย

    ตอนนี้รักษาศีล ๕ เป็นปกติดีมาก แบบว่ายุงกัดไม่มีเผลอตบ บ้าศีลว่างั้นนะ กลัวบาปสุดๆ นึกถึงตอนเด็กๆที่ไปยิงนกตกปลาแล้วเสียว ทำบาปมาเยอะแยะตาแป๊ะโหล ทำสมาธิจับลมหาบใจเข้าออกภาวนาพุทโธ เหมือนกับว่าเคยชินมาแต่ก่อน ผมหายใจออกคิดว่าลมหายใจออกทางรูขุมขนทั่วร่างกาย คือทำความรู้สึกไปทั่วกาย จะรู้สึกว่าคล้ายตัวชาแต่ไม่ใช่ กายจะค่อยๆเบาเร็วกว่าทำด้วยวิธีอื่น คือตั้งจิตไว้ที่กาย หรือเรียกว่าตั้งกายไว้ที่จิตก็ได้ ถ้าพูดในหัวข้อกสิณ ก็เอากายเป็นกสิณ ถ้าพูดในหัวข้อสมาธิก็เป็นพุทธานุสติบวกกับกายานุสติกรรมฐาน ถ้าพูดในหัวข้อมหาสติปัฏฐาน ๔ ก็เป็นกายานุปัสสนารวมเลยอย่างนั้น พอกายเบาใจเบา ก็โดนผีหลอก ตกใจกลัวสุดขีดที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยเป็นมา ตัดตายยอมตายคิดว่าถ้าตายตอนนี้จะขอไปอยู่พระนิพพานที่เดียว พร้อมกับคิดว่าพระพุทธเจ้าอยู่บนหัว ภาวนาพุทโธๆๆๆๆๆๆๆ จิตกายทิพย์ก็กระเด็นออกไปจากร่างกาย อันนี้เป็นฌาน ๔ ละเอียด เหมือนคนตายแล้ววิญญาณออกจากร่างไป เห็นร่างกายตัวเอง แต่ยังกลัวตายอยู่พอเป็นห่วงร่างกายจิตกายทิพย์ก็วูปกลับเข้าร่างกายตามเดิม เวลานี้จิตยอมรับนับถือความเป็นจริงเลยคือ ร่างกายไม่ใช่ของเรา มันตัดเลย เพราะเห็นชัดๆ จิตกับกายมันคนละตัวกัน มิน่าล่ะ หลวงพ่อถีงบอกว่า ฌาน ๔ นี่กำลังเหมือนกำลังช้าง ปัญญามันเห็นแจ้งเองโดยอัตโนมัติ อย่างนี้ตายแล้วไม่มีสูญแน่นอน ฟันธง!
    ถอดจิตจากอารมณ์พระโสดาบัน พิจารณาเวทนาในเวทนา
    มาตอนนี้เวลาทำสมาธิจิตจะละเอียดขึ้นไปเองโดยไม่รู้ตัว คือชอบนอนตัดตายไปเลย พอจัดท่าจัดทางเสร็จสรรพ์เรียบร้อย ผมก็จะนอนในท่าที่สบายที่สุด ปล่อยกายไม่บังคับร่างกาย เหมือนนอนดูซากศพตัวเองอย่างนั้น แล้วก็ดูลมหายใจเข้าออกในกายานุปัสสนา ไม่ใช่ อานาปานุสติกรรมฐานนะ คือมันคล้ายๆกัน จะต่างกันที่อานาปานุสติกรรมฐานในกรรมฐาน ๔๐ นั้นจะใช้วิธีบังคับลมหายใจกำหนดฐาน แต่อานาปานบรรพ์ในมหาสติปัฏฐาน ๔ จะไม่บังคับลมหายใจ ต้องได้ฌาน ๔ หยาบแล้วนั่นเอง จึงจะมาเจริญสติปัฏฐาน ๔ ได้ จิตกับลมหายใจต้องแยกออกจากกัน คือ แยกจิตตัวรู้ออกมาดูอยู่เฉยๆ ลมหายใจเข้าออกยาวหรือสั้นก็รู้อยู่ ผมแยกจิตทำความรู้สึกไปทั่วกายด้วย บางครั้งสมาธิสติดี ตัวก็เบาใจก็เบา แต่ตอนนี้จะพูดถึงช่วงที่สมาธิไม่ดี พอเรานอนตัดตายคิดว่าถ้าตายตอนนี้ก็ขอไปอยู่พระนิพพานทีเดียวไม่ขอกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว เบื่อสุดๆ พอจิตเข้าฌานสูงๆไม่ได้ ร่างกายมันก็ปวดเมื่อย ก็ดูทุกขเวทนาไปเรื่อย ครั้งนี้จิตแก่กล้าคิดว่าตายเป็นตายไม่ยอมเลิก ร่างกายก็ได้รับความเจ็บปวดมากจนทนไม่ไหวแล้วไม่ไหวอีก พิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของเรา คือท่องไปไง ทุกขเวทนาที่เจ็บปวดจนทนไม่ไหวอยู่นี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเรา อยู่ๆจิตก็ตกวูปตัวเบาไปหมดเห็นได้รอบทิศ ๓๖๐ องศา ก็เจอผีอีก ก็กลัวสุดขีดอีกภาวนาพุทโธๆๆๆๆๆคิดว่าพระพุทธเจ้าอยู่บนหัว จิตกายทิพย์ก็กระเด็นออกไปจากร่างกาย ด้วยฌาน ๔ ละเอียด เหมือนคนตายอย่างนั้น
    ถอดจิตจากอารมณ์พระอานาคามีขั้นต่ำ พิจารณาจิตในจิต
    ถึงตรงนี้ก็ถือศีล ๘ อยู่ ใหม่ๆต้องทนต่ออารมณ์กามคุณเป็นอย่างมาก เวลาเกิดอารมณ์ขึ้นมา ผมก็ใช้วิธีนอนตัดตายดูร่างกายตัวเอง ไม่บังคับใดๆทั้งสิ้น นอนดูอารมณ์กามคุณที่เกิดขึ้น คิดในใจว่าจะเอายังไงดีวะ ศีลขาดนะโว๊ย! ก็ได้แต่แยกจิตตัวรู้ออกจากจิตที่มีราคะอย่างมากมายมหาศาล มากกว่าธรรมดาๆที่เคยเป็น เพราะต้องฝืนทนกับมัน คิดว่าให้มันตายกันไปข้างหนึ่งเลย ไม่นานนักอารมณ์ราคะก็แปรเปลี่ยนไปเอง เพราะมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ใช่ไหม ตอนนี้พิจารณาว่า ความกำหนัดนี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราเหมือนกัน แต่เบาๆไปหนักที่ศีล ๘ คือไม่ยอมให้ศีลขาด หมายความว่า ใช้ศีลตัดกิเลสข่มกิเลสเป็นตัวนำนั่นเอง ยิ่งตอนที่บวชอยู่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ พอโดนผีผู้หญิงหลอกแก้ผ้าเข้ามากอดเลย ผมก็ทำเหมือนเดิม คือ แยกจิตออกจากกาย คิดว่าเราไม่ผิดศีลเพราะเราไม่มีเจตนา เราไม่ยินดีในกามคุณ ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา จิตที่มีราคะนี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเรา แล้วก็ภาวนาพุทโธๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จิตก็หลุดออกไปอยู่บนหัวตัวเอง อยู่นอกร่างกายนะ แบบคนตาย แต่คราวนี้มีแต่จิตตัวรู้ ไม่มีกายทิพย์เหมือนที่เคยออกไป คิดว่าร่างกาย*********ไม่ใช่กู กูก็ไม่ใช่********* ร่างกายไม่ใช่ตัวตนของเรา เราคือจิตผู้รู้ มันวิเศษจริงๆว่าเราสามารถวัดความรู้สึกตัดอารมณ์ได้ เหมือนกับมีเครื่องมือตรวจสอบให้มีความมั่นใจอย่างชัดเจน เพราะเห็นของจริง ไม่เหมือนเวลาที่เราท่องจำว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนของเราใช่ไหม เรื่องราคะจะเจอมากเป็นพิเศษ ถ้ามีเวลาจะเล่าให้อ่านกันในโอกาศต่อไป
    ถอดจิตจากอารมณ์พระอรหันต์ พิจารณาธรรมในธรรม
    วันนี่ยังไม่ได้ทำสมาธิอะไร นอนอ่านหนังสือคิดอะไรเพลินไปเรื่อยเปื่อย คิดว่าเราก็ปฏิบัติมาก็มากแล้ว ตัดขันธ์ ๕ มาก็มากต่อมาก เจอเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาก็เยอะแยะ ถึงกับมีความรู้สึกว่าบรรลุพระนิพพานแล้วๆๆๆ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่รู้กี่ทีต่อกี่ที แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีญาณหยั่งรู้ว่าบรรลุพระนิพพานจริงๆเลย ได้แต่เทียบเคียงกับสังโยชน์ ๑๐ คิดว่าน่าจะบรรลุถึงตรงนี้ถึงตรงนั้นเท่านั้นเอง ครั้งก่อนตอนจิตหลุดออกไปจากร่างกาย เราก็ตัดได้เด็ดขาดกระจุยแล้วนี่ เราคือจิตผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ผู้รู้นี้แหละที่จะไปพระนิพพาน ก็รู้สึกว่ามั่นใจเหมือนกันว่าตอนตายเราไปนิพพานแน่นอน มันไม่ติดอะไรเลยนี่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเราทั้งหมดทั้งสิ้น เรา คือจิตผู้รู้ นอกนั้นไม่ใช่ตัวตนของเราทั้งนั้น ก็พิจารณาขันธ์ ๕ ถึงตอนท้ายมหาสติปัฏฐาน ๔ ที่ว่าก็หรือ สติมีเฉพาะหน้าแก่เธอนั้นก็สักแต่ว่าเป็นที่รู้ที่อาศัยระลึกเท่านั้น เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วยไม่ติดในอะไรๆในโลกด้วย แล้วก็เข้าฌาน ๔ หยาบใช้งานในวิญญาณัญจายตนฌาน ซ้อนฌาน ๑ คิดว่าจิตตัวรู้อยู่นี้ มันเป็นวิญญาณ ความรู้สึกของใจนี่หว่า ในเมื่อเป็นวิญญาณความรู้สึกก็หมายความว่า มันต้องไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนของเรา อ๋อ! ใช่เระ! เพราะเราอาศัยขันธ์ ๕ ของเราเองนี่แหละ รู้ตัวของตัวเองว่า ขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา ก็น้อมองค์พระพุทธเจ้าเข้ามาหากาย แล้วแยกจิตของเราออก เหมือนน้ำกับน้ำมันที่อยู่ในแก้วเดียวกัน ก็สว่างไสวไปทั้งจักรวาล ที่แท้แม้จิตผู้รู้นี้ก็เป็นวิญญาณ เป็นขันธ์ ๕ ตัวหนึ่งนั่นเอง ที่เรียกว่า กายพระอรหันต์ นั่นแหละ! จิตที่เข้าใจขันธ์ ๕ จนหมดเปลือกก็ คือ จิตของพระอรหันต์ หรือเรียกว่า กายพระอรหันต์ หรือจะเรียกว่าธรรมกาย หรือจะเรียกว่าอารมณ์พระนิพพานก็ได้
    ถอดจิตออกจากความโกรธ
    แรกตอนเริ่มปฏิบัติธรรมตามสมควรนั้น เวลาความโกรมเกิดขึ้นก็จะลืมตัวเสียเป็นส่วนใหญ่ มารู้ตัวว่าโกรธเวลาก็ผ่านไปเป็นวัน ด้วยผลบุญจากการรู้ตัวนี้ จิตก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จนเหลือเป็นชั่วโมง นาที และแค่วินาที ตามลำดับ คล้ายกับเวลาที่เรารักษาศีลยังไงอย่างนั้น สุดท้ายก็สามารถระงับจิตรู้ทันไม่เผลอไปตบยุง เป็นต้น พอสามารถระงับความโกรธได้ทันทีทันใด ก็คิดว่าเราบรรลุพระนิพพานแล้ว แต่แล้ววันหนึ่งความคิดมันขัดกันเอง เมื่อขณะพิจารณาขันธ์ ๕ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเรา งั้น! ความไม่โกรธตัวนี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราน่ะสิ! ปกติเราก็ไม่ได้มีความโกรธตลอดเวลาอยู่แล้ว ไปดูในจิตตานุปัสสนา ที่ว่า จิตมีความโกรธก็รู้อยู่ จิตไม่มีความโกรธก็รู้อยู่ว่าจิตของเรามีความโกรธ หรือไม่มีความโกรธ ทั้ง ๒ ตัวนี้มันไม่เที่ยงย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปเสื่อมไปเป็นของธรรมดา เมื่อไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์ก็เป็นอนัตตา ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนของเรา แต่พิจารณาไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นว่าจะบรรลุพระนิพพานเลย อย่างมากก็แค่รู้ทันความโกรธและความไม่โกรธเท่านั้นเอง แต่ก็ยังดีที่ไม่สร้างความเสียหายเมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้ว เพราะสามารถระงับได้ทันท่วงที ต่อมาก็คิดว่าในเมื่อร่างกายของเรานี้ มันสกปรกเต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนองต่างๆนานาไม่ใช่ตัวตนของเราซะหน่อย ใยเลยเราถึงจะมาทำให้ร่างกายสอาดบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสอีกเล่า ที่ผ่านมาแสดงว่าปัญญาของเรานี้ยังไม่คมพอที่จะตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทประหารได้ จีงเข้าฌาน ๔ หยาบใช้งาน ถอดจิตที่ประกอบไปด้วยสติระลึกรู้ สมาธิฌาน ๔ ออกจากร่างกาย และความโกรธ ถอยจิตลงมาที่ฌาน ๔ ซ้อนฌาน ๑ พิจารณาว่าความโกรธไม่ใช่ตัวตนของเรา ก็เกิดปัญญาญาณสว่างไสวไปทั้งจักรวาล ว่าความโกรธตัวนี้มันอยู่กับร่างกายขันธ์ ๕ มันไม่หายไปจากขันธ์ ๕ ตัวนี้หรอก แต่เราพยายามจะทำให้ความโกรธให้มันหมดไปจากขันธ์ ๕ พยายามจะทำให้ขันธ์ ๕ บริสุทธิ์ผุดผ่องนี่เอง ถึงไม่รู้แจ้งพระนิพพานเสียที ปัญญาที่คมกริบมิใช่ปัญญาของมนุษย์แม้จะฉลาดปราดเปรื่องที่สุดในทางโลก ก็ไม่มีทางจะตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทประหารได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า ปัญญายังไม่คมพอที่จะบรรลุซึ่งพระนิพพานได้นั่นเอง เพราะฌาน ๔ นี่เอง ที่เป็นประตูไปสู่ปัญญาอันคมกริบที่ทำให้สามารถจะตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทประหารได้ ถ้าไม่มีฌาน ๔ ถ้าไม่สามารถถอดจิตออกจากความโกรธ ก็จะไม่มีทางจะตัดความโกรธได้เลย อย่างมากก็แค่ระงับความโกรธเพื่อไม่ให้ทำความชั่วเท่านั้นเอง เมื่อจิตเปลี่ยนไปเป็นความไม่โกรธ ก็คิดว่าขันธ์ ๕ เราบริสุทธิ์แล้ว ที่แท้ความไม่โกรธตัวนี้มันเป็นโมหะ ความหลงนั่นเอง ก็เข้าฌาน ๔ ออกจากความไม่โกรธอีกที แล้วถอยลงมาที่ฌาน ๔ หยาบใช้งาน ซ้อนฌานที่ ๑ พิจารณาว่าแม้ความไม่โกรธนี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเรา ถึงตรงนี้ คิดว่าเราบรรลุพระอรหันต์แล้วๆๆๆ เพราะเราสามารถถอดจิตผู้รู้
    จิตหลุดออกไปจากความยินดีดีใจสุดขีด
    เดือนก่อนโน้นผมถูกล๊อตเตอร์รี่รางวัลที่ ๕ บอกตรงๆว่าไม่เคยถูกรางวัลใหญ่มาก่อนเลยในชีวิต ทำให้ดีใจสุดๆจนลืมตัวไปเลย อยู่ๆจิตก็หลุดออกไปจากกาย และความยินดีที่สุดในชีวิต จิตอยู่ในฌาน ๔ ซ้อนฌาน ๑ คิดว่าโอหนอ! ความยินดีนี่มันช่างร้ายเหลือคณานับจริงๆ แม้ความโกรธก็ยังสู้ไม่ได้ เพราะความโกรธเห็นง่ายกว่าความไม่โกรธ ความไม่โกรธเห็นง่ายกว่าความยินดีปรีดา ที่แท้ความยินดีดีใจสุดๆที่สุดในชีวิตนี้มันก็เป็นขันธ์ ๕ ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ใช่ตัวตนของเราเลย ที่ถูกรางวัลมันเป็นเพียงผลบุญผลกรรมที่เราสร้างไว้เมื่อชาติก่อนๆโน้นมาสนองแก่เราในเวลานี้ก็เท่านั้นเอง
    โดนผีอำกดหน้าอกจนขาดใจตาย
    วันนั้นจำได้ว่านอนครึ่งหลับครึ่งตื่น โดนผีอำ เอา ๒ มือกดหน้าอกผม เป็นผีผู้หญิง ผมขยับตัวไม่ได้เลย แปลกถูกกดหน้าอกแค่นี้อารมณ์มันทนไม่ได้ทนไม่ไหว จะขาดใจตายให้ได้ พอตั้งท่าได้ก็เข้าฌาน ๔ หยาบใช้งาน แยกจิตออกจากกายออกจากความรู้สึกทุกขเวทนาที่ทนไม่ไหวจะขาดใจตาย คิดว่า*********จะกดก็กดไป เพราะไม่โดนตัวกูอยู่แล้ว ร่างกายนี้มันไม่ใช่ตัวตนของกู ความรู้สึกทุกข์จนจะทนไม่ไหวอยู่นี้ก็ไม่ใช่ตัวกูของกูเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว จิตก็ตัวหนึ่ง กายก็ตัวหนึ่ง ความรู้สึกทนไม่ไหวจะขาดใจตายก็ตัวหนึ่ง มันคนละตัวกัน ไม่ใช่ของของเรา จิตตัวรู้ที่ประกอบไปด้วย สติ สมาธิฌาน ๔ และปัญญาพิจารณาไตรลักษณ์ อยู่นี้ก็สักแต่ว่าเป็นที่อาศัยระลึกรู้เท่านั้น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเราทั้งหมดทั้งสิ้น ตายไปก็เอาอะไปไม่ได้สักอย่างเดียว ก็ดูมันอยู่อย่างนี้จนทนไม่ไหวขาดใจตายไปเลย ไม่รู้สึกตัวไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกที เอ้า! เรายังไม่ตายนี่หว่า!
    กินยาผิดเกินขนาดขาดใจตาย
    เดือนนั้นเป็นเดือนที่ผมเป็นหวัดอย่างหนักไอเป็นบ้าเป็นหลัง เพราะต้องขับรถพาคนไข้มะเร็งไปฉายแสงทุกวัน เป็นเวลา ๑ เดือน เลยไม่กล้าทานยาแก้ไอ เดี๋ยวง่วงนอน จะเกิดอันตรายจากการขับรถได้ มันก็สะสมหวัดเข้าไปทุกวันๆ จนเข้าขั้นโคม่า ทานยาแก้ไอไปตามปกติก็เลยไม่หาย จาก ๑ เม็ดเป็น ๒ เป็น ๓ เป็น ๑ ซองๆละ ๔ เม็ด ก็ยังเอาไม่อยู่ ไปหาหมอ คุณหมอก็ให้เราทานยามื้อละ ๑ เม็ด มันก็ไม่หายซะที จนกระทั่งเราทานยาตาลายอยู่เป็นอาทิตย์ๆ มีวันหนึ่งตั้งใจจะทานยาสัก ๑๐ เม็ด จะได้ง่วงนอนนอนได้ เพราะนอนไม่หลับ ทรมานมากไอจนปวดท้องเจ็บหน้าอกไปหมด อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ก็หยิบยาตรงหลังตู้เย็น แล้วกินยาตรงนั้นแหละ ฉีกหนึ่งซองๆละ ๔ เม็ด ก็นับ ๑ ซองที่ ๒ ก็นับ ๒ จนกระทั่งกินยาเข้าไปทั้งสิ้น ๑๐ ซองพอดิบพอดี แต่เข้าใจว่ากินเข้าไป ๑๐ เม็ด ตกลงผมรับประทานยาแก้ไอไป ๑๐ ซองๆละ ๔ เม็ด รวมเป็น ๔๐ เม็ด ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร จนยาออกฤทธิ์ก็ยังเข้าใจว่ากินเข้าไปเยอะตั้ง ๑๐ เม็ด แต่ที่ไหนได้น้ำในตัวผมมันค่อยๆแห้งๆจนหนังติดกระดูก ตาโบ๋ กระดุกกระดิกตัวไม่ได้ มันหมุนติ้วไปหมด แล้วก็ลืมตาไม่ขึ้นแค่กระพริบตาแผลบๆเห็นลางๆเท่านั้นเอง ผมเป็นอัมพาตไปในทันใดนั้นเอง จนเกือบจะทนไม่ไหวอยู่แล้วมันจะขาดใจตายให้ได้ คิดว่าเราจะมาตายน้ำตื้นเอาง่ายๆอย่างนี้เลยหรือ แต่ไหนๆก็ไหนแล้วทำไงได้ ตายก็ตายมันไม่มีทางเลือกแล้วนี่ เลยเข้าฌาน ๔ หยาบใช้งาน แยกจิตออกจากร่างกาย และออกจากความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คิดรวบเดียวไปเลยว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของๆเราเลย แม้จิตผู้รู้อยู่นี้ก็เป็นความรู้สึกของใจตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา มันจะตายก็ให้มันตายไป ถือว่าเราหมดหน้าที่ต่อพระศาสนา เพียงเท่านี้ แต่ไม่คิดว่าจะตายเร็วแบบนี้ไง จนทนต่ออาการความรู้สึกไม่ไหวจะขาดใจตาย คิดว่าความรู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหวจะขาดใจตายอยู่นี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตนของเรา จนขาดใจตายไม่รู้สึกตัวอีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีเอ้า! เรายังไม่ตายนี่หว่า!
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    ผมเป็นพระโสดาบัน มาแทนเจ้าที่คนเก่า
    ตอนที่พ่อกับแม่ย้ายบ้านเข้ามาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ ปกติเวลาจะนอนผมจะกำหนดลมหายใจภาวนาพุทโธจนกระทั่งหลับไป วันหนึ่งเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ที่เชิงบันได ตรงจู่ตี๋เอี๊ย พอผมกำลังจะเดินขึ้นบันไดไปขั้นบน ท่านก็ยกมือไหว้แล้วพูดว่า"ท่านครับผมเป็นพระโสดาบัน มาแทนเจ้าที่คนเก่า"
    กระผมเป็นพระอานาคามี จะขอตายแทนท่านเองขอรับ
    เป็นปกติก่อนนอนก็ต้องจับลมหายใจเข้าออกภาวนาพุทโธ จนหลับไป คือติดคำสอนของเจ้าประคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เห็นตัวเองกำลังอาบน้ำอยู่ เหลือบไปเห็นสัตว์มีพิษ ๒ ตัว ๒ ชนิด ที่กัดถึงตาย ก็ได้ยินคนมาเคาะประตูห้องน้ำเรียกผม พอเปิดประตูก็เห็นชายแก่คนหนึ่ง ใส่กางเกงสามส่วนไม่ใส่เสื้อ พนมมือไหว้แล้วท่านก็พูดว่า "ท่านครับกระผมเป็นพระอานาคามี จะขอตายแทนท่านเองขอรับ"
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) --><!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("2685723")</SCRIPT> [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2009
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    พ้นจากอะไรครับ เมื่อพ้นแล้วยังเห็นว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยงอยู่หรือครับ
     
  19. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    ..........มีสิ่งหนึ่งยึดสิ่งที่ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงเกิดตายไปกับสิ่งนั้นแต่สึ่งหนึ่งนั้นก็ยังคงอยู่ไม่ได้ตายไปกับสิ่งต่างๆจริง ยึดแล้วก็เกิดตายเพราะสึ่งที่ยึดมันไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตน เมื่อเห็นแล้วก็รู้ความจริงว่าไม่มีสิ่งใดตาย ตัวตนความยึดมั่นต่างหากที่เกิดตาย เมื่อวางสิ่งที่ไม่เที่ยงลงได้เพราะเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ยึดไม่ใช่ตัวตนแม้เพียงชั่วคราวก็รู้ว่าสิ่งต่างๆไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ก็รู้ถึงหนทางการปฏิบัติเพื่อสิ่งใดและจุดมุ่งหมายของการเดินทางวันนึงก็จะถึงการปล่อยวางที่แท้จริงรู้ว่าทางเดินๆไปเพื่ออะไร "มีไม่มี ไม่มีมี" คำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นของจริง ความคิดกับความจริงมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 ธันวาคม 2009
  20. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256

    ปรับพื้นฐานความเข้าใจให้ตรงกันก่อนนะครับ...

    1.ตัวจิต( ผู้รู้ ) เที่ยงหรือไม่เที่ยง ( ประเด็นที่ถก )

    2.จิตมีอาการปรุงแต่งของจิตเอง ไหวไปมา เกิดดับ เรียกว่าอาการของจิต ( เข้าใจตรงกันว่าไม่เที่ยง )

    ผมเห็นว่า จิตดวงนี้ปถุชนรวมทั้งผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังไม่เห็นความจริงหรือลัทธิฤาษีทั่วไปเข้าใจว่าเที่ยง ไม่มีวันแตกดับสูญสลาย เป็นอมตะ ยืนยงคู่ฟ้า

    แต่ผู้ที่ดวงตาเห็นธรรม( พระโสดาบัน ) เห็นว่าตัวจิตไม่เที่ยง มีการแตกดับสูญสลาย แต่ไม่ใช่ร่างกายตายแล้ว จิตตายตามไปด้วยอย่างที่ท่านสองชาติฯเข้าใจ

    ยกตัวอย่างที่ถาม....
    จิตเดิมที่เคยเป็นนาย ก.มันดับไปแต่เพียงแค่จิตที่เป็นนาย ก. พอเกิดไหม่เป็นนาย ข. ปฏิสนธิจิตมีแต่กรรมติดมาเท่านั้นแต่ตัวจิตเดิมที่เป็น นาย ก.มันดับไปแล้วสิ

    คำตอบ......

    ตัวจิตของนาย ก.ไม่ได้ตายไปด้วย เกิดใหม่เป็นนาย ข. ตัวจิตก็เป็นดวงเดิมอยู่

    แต่เริ่มมีความเห็นว่า จิตมีการตายได้ ในตอนที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน และจิตตายโดยสมบูรณ์ในตอนที่ เป็นพระอรหันต์

    การตัดสังโยชน์ของพระโสดาบันนั้น.... ไม่ใช่แค่เห็นว่าร่างกายไม่เที่ยงเท่านั้น แต่เห็นเลยไปถึงความรู้ืที่ว่า ตัวจิตไม่เที่ยง

    มันอาจจะค้านความรู้สึกของบุคคลทั่วไป โดยบุคคลทั่วไปมีความเห็นว่า มีอะไรบางอย่างที่เป็นเราอยู่ในใจ หรือบางคนที่ยังแน่นหนาอยู่ ก็เห็นว่า ร่างกายเป็นเรา

    แต่พระโสดาบันนั้น... ท่านมองลงไปในใจนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นแก่น มีแกนอะไรที่เป็นเราเลย

    ท่านมองเห็นใจเป็นสภาพว่างเสมอเหมือนกับสภาพว่างภายนอก เท่าเทียมกัน


    ขอบคุณครับ....
     

แชร์หน้านี้

Loading...