ท่องสวรรค์ชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 18 สิงหาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    วันนี้จะพาไปท่องสวรรค์ต่อจากจาตุมหาราชิกาภูมิขึ้นไป สวรรค์ชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์ หรือตาวติงสาภูมิ หรือที่เรียกกันว่า สวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ ที่ได้ชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่าสวรรค์ชันนี้เป็นที่ประทับอยู่ของเทพผู้เป็นใหญ่ ซึ่งเป็นสหายกัน ๓๓ องค์โดยมี สมเด็จพระอมรินทราธิราชทรงเป็นประธานนั้นท่านจึงขนานนามว่าตาวติงสาภูมิ = ภูมิที่เป็นที่อยู่ของเทพสามสิบสามองค์ <!--MsgFile=0-->
    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ เดิมทีเดียวหาใช่เป็นที่ประทับอยู่ของเหล่าเทพยดา ซึ่งมีพระอินทร์เป็นจอมเทพไม่ ตามประวัติมีว่าท่านผู้ประดิษฐานวงศ์พระอินทร์องค์อธิบดีนั้น ครั้งท่านเกิดเป็นมนุษย์มีนามว่า มฆมาณพเป็นคนมีบุญสุนทาน ชักชวนบุรุษซึ่งเป็นสหายของตน ๓๒ คน ประกอบกองการกุศลต่าง ๆ มีการสร้างศาลา และทำถนนหนทาง เป็นต้น อันเป็นสาธารณประโยชน์ และบำเพ็ญสัตตปทานวัตร หรือวัตตบท ๗ ประการ คือ ๑. เลี้ยงดูบิดามารดาโดยเคารพ ๒. ยำเกรงต่อผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูล ๓. กล่าวถ้อยคำอ่อนหวานไพเราะ ๔. ไม่กล่าวเปสุญญวาทวาจาล่อเสียดผู้อื่น ๕.ไม่ตระหนี่เหนียวแน่น ๖. ตั้งอยู่ในความสัตย์ลุจริต ๗. ไม่ฟุ้งซ่านด้วยความโกรธ มาณพนั้นพยายามสร้างบุญกุศล และประพฤติธรรมอยู่อย่างนี้เป็นนิตย์พอตายแล้วก็ขึ้นไปเกิดที่เทวภูมิแห่งนี้ บรรดาเทพบุตรซึ่งได้ไปเกิดอยู่ก่อนมีมากมาย ครั้นเห็นพวกมาณพมาอุบัติเกิดขึ้นใหม่ก็ดีใจ ชวนกันนำน้ำ คันธบานอันเป็นทิพย์มาดื่มเลี้ยงต้อนรับ แล้วเชื้อเชิญมฆเทพผู้เป็นหัวหน้าให้เป็นอุปราชเสวยสมบัติกึ่งหนึ่ง ฝ่ายมฆเทพเจ้านั้นมิได้มีจิตยินดีด้วยอุปราชสมบัติ จึงให้สัญญาแก่เทพบริษัทผู้ เป็นบริวารแห่งตนมิให้ ดื่มซึ่งน้ำคันธบานที่เทพบุตรผู้อยู่ก่อนนำมาเลึ้ยง อันว่าน้ำคันธบานในเมืองสวรรค์นั้นมีรสหวานอร่อยยิ่งนัก แต่ทว่าพอดื่มเข้าไปแล้ว จะปรากฏมีอาการมึนเมาเหมือนสุรา เพราะฉะนั้นเมื่อเนวาสิกเทพบุตรพร้อมกับบริวารของตน แต่งน้ำคันธบานให้อาคันตุกเทพบุตร และตนก็ดื่มกินเองเสียจนมัวเมาหาสติมิได้ ท้าวสหัสนัยน์จึงใช้ให้บริวารจับเทพบุตรผู้อยู่ก่อนเหล่านั้นขว้างทิ้งลงจากสวรรค์ชั้นนี้ เพราะไม่ปรารถนาที่จะอยู่ร่วม แล้วตั้งตนเป็นใหญ่ปกครองเทพบริษัทของตนและทวยเทพทั้งหลายที่มาอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ ได้รับการเฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระอมรินทราธิราช พระองค์มีพระสหายสามสิบสองพระองค์ ซึ่งได้ร่วมสร้างกุศลกันมาครั้งเป็นมนุษย์ช่วยปกครองสวรรค์ชั้นนี้ด้วย ฉะนั้น สวรรค์ชั้นนี้จึงปรากฏนามสืบมา จนทุกวันนี้ว่า ดาวดึงส์ = สวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทพสามสิบสามองค์

    [​IMG] อสูรพิภพ[​IMG]

    ฝ่ายเนวาสิกเทพบุตรผู้เป็นเจ้าถิ่นเดิมครั้นถูกพวกของสมเด็จพระอมรินทราธิราชจับขว้างทิ้งลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในครั้งนั้น พอตกมาถึงท่ามกลางสิเนรุบรรพตก็ค่อยได้สติสมปฤดี แล้วจึงถ้อยทีถ้อยกล่าวแก่กันว่า "พ่อเอ๋ย ชาวเราทั้งหลาย! แต่นี้ต่อไปพวกเราอย่าไดัดื่มกินซึ่งน้ำคันธบานอันมีฤทธิ์ร้ายประดุจสุราเลย เพราะดื่มน้ำ คันธบานนี่เอง ชาวเราทั้งหลายจึงต้องได้ รับความอัปยศในครั้งนี้ จักขึ้นไปอยู่ในสถานที่เก่ากระไรได้" แต่เฝ้าเสียใจและให้โอวาทอนุสาสน์แก่กันดังนี้ แล้วก็พร้อมใจกันเลิกดื่มน้ำคันธบานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉะนั้น เทพบุตรเหล่านั้นจึงได้นามว่า อสูร ซึ่งแปลว่า ผู้ไม่ดื่มน้ำคันธบานอันมีฤทธิ์แรงคล้ายสุรา

    ด้วยเดชะแห่งกุศลกรรมที่เทพบุตรเหล่านั้นได้สร้างสมมาแต่ปางก่อน จึงบังเกิดเป็นเทพนครอันสวยสดงดงามตระการ กว้างใหญ่รุ่งเรืองคลัายกับดาวดึงล์พิภพทุกประการ เพียงแต่ว่าความวิจิตรพิสดารต่ำกว่าเล็กน้อยเท่านั้น นครนี้บังเกิดขึ้นที่เชิงสิเนรุบรรพต ปรากฏว่ามีน้ำล้อมรอบกำแพงเมืองเป็นปกติอยู่เสมอมิได้ขาด มีรุกขชาตินามว่า ไม้ปาตลี คือ ไม้แคฝอย ประดับงดงามประจำพระนครนี้ เพราะเหตุที่เทพบุตรเหล่านั้นเข้าอยู่อาศัยแสนสำราญฤทัย เทพนครนี้จึงได้นามว่า อสูรพิภพ = พิภพของอสูรเทพบุตร

    ความเป็นอยู่ในอสูรพิภพนี้ ก็มีความเป็นอยู่เช่นเดียวกับทวยเทพทั้งหลาย คือ เสวยทิพยสมบัติอันเป็นสุข มีแต่ความสดชื่นรื่นเริงใจอยู่เป็นอันมาก มิต้องลำบากยากเข็ญ แต่ประการใด ด้วยอำนาจกุศลกรรมที่เหล่าอสูรทำไวัแต่ปางก่อน โดยมีการแบ่งเขตปกครองดังต่อไปนี้

    ๑. ทิศตะวันออก มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ท่านท้าวสัมพรอสูร หรือท่านท้าวเวปจิตตาสูรที่กล่าวถึงเมื่อตะกี้นี้ ทรงเป็นองค์อธิบดีปกครองเองแล้วทรงแต่งตั้งให้ ไพจิตตาสูรเป็นองค์อุปราช
    ๒. ทิศใต้ ท้าวอสัพพราสูรเป็นองค์อธิบดี มีทัาวสุลิอสูรเป็นองค์อุปราช
    ๓. ทิศตะวันตก ท้าวเวลาสูรเป็นองค์อธิบดี มีท้าวปริกาสูรเป็นองค์อุปราช
    ๔. ทิศเหนือ ท้าวพรหมทัตตาสูรเป็นองค์อธิบดี มีท้าวอสุรินทราหูเป็นองค์อุปราช <!--MsgFile=1-->

    [​IMG] อสุรินทราหูโพธิสัตว์[​IMG]

    เบื้องอสูรพิภพอันแสนสุข ขณะนี้มีเทพบุตรสำคัญองค์หนึ่ง เทพบุตรองค์ที่ว่านี้คือ ท้าวอสุรินทราหู ผู้มีกายใหญ่เหนืออสูรทั้งหลาย ในอสูรพิภพแดนสุขาวดี อสุรินทราหูองค์นี้ เป็นองค์อุปราชจอมอสูร ปกครองด้านทิศเหนือแห่งอสูรพิภพ มีพละกำลังกล้าแข็ง และมีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าบรรดาอสูรทั้งหลาย ทั้งมีสรีระสูงใหญู่นักหนา เพราะค่าที่มีกายสูงใหญ่นี่เอง จึงเป็นเหตุให้เข้าใจผิด แม้ตนเองจะมีจิตเลื่อมใส ใคร่จะได้ทอดทัศนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจัา ก็ไม่กล้ามาเฝ้าซึ่งมีเรื่องราวปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เป็นใจความว่า อสุรินทราหูนั้นได้สดับกิตติศัพท์กิตติคุณแห่งสมเด็จพระสัมมาลัมพุทธเจ้าจากเทพยดาทั้งหลาย และได้เห็นเทพยดาเหล่านั้นพากันไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่เนืองๆ ก็มาดำริถึงตนเองว่า "เรานี้มีกายสูงใหญ่ จะไปสู่สำนักพระพุทธองค์เจ้าซึ่งมีพระองค์อันน้อยนิด และจะก้มตัวดูพระพุทธองค์นั้น ไม่สมควรเป็นการขาดคารวะ" ท้าวเธอดำริฉะนี้แล้ว ก็ไม่ได้ มาเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งที่ทรงมีความปรารถนาจะเฝ้านักหนา

    อยู่มาวันหนึ่ง อสุรินทราหูได้ฟังเทพดาทั้งปวงพากันสรรเสริญพระเดชพระคุณ แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันหาที่สุดมิได้ ก็เกิดความเลื่อมใสเป็นกำลัง อดใจมิได้แล้วจึงเดินทางมาพลางดำริว่า "เราจักอุตสาห์ไปให้ได้เห็น พระพุทธองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ แม้แต่สักครั้งหนึ่งคราวเดียวก็ยังดีแต่ว่าเราจะก้มจะกราบอย่างไรหนอ คิดพลางเดินพลางมาสู่สำนักสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความกังวลใจ

    กาลนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงทราบอัธยาศัยของจอมอสูร จึงรับสั่งใหัพระอานนท์ตบแต่งพระแท่นที่บรรทมแล้วพระองค์ก็ทรงเนรมิตพระวรกายให้ โตใหญ่สำเร็จสีหไสยาสน์ ฝ่ายอสุรินทราหูผู้มีกายอันสูงใหญ่ไดัสี่พันแปดร้อยโยชน์ ครั้นมาถึงสำนักพระพุทธองค์แล้ว ก็ต้องแหงนหน้าขึ้นแลดูสมเด็จพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระพุทธนฤมิตนั้น มีครุนาดุจทารกกุมารแหงนดูปริมณฑลแห่งพระจันทร์ก็ปานกัน สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า ''ดูกรอสุรินทร์! ท่านมาแลดูตถาคตนี้ เห็นเป็นประการใดบ้าง?" ท้าวเธอจึงกราบทูลว่า "ขอเดชะ ทรงพระกรุณา กระหม่อมฉันนี้ไม่ทราบเลยว่า พระองค์จักทรงพระเดชพระคุณอันล้ำเลิศประเสริฐเห็นปานนี้นฤมิตพระวรกายให้ใหญ่ยิ่ง เพื่อให้กระหม่อมฉันได้เข้าเฝ้าโดยสะดวก จึงเพิกเฉยมิกล้ามาสู่สำนักของพระพุทธองค์เจ้าเป็นเวลานาน"

    สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงมีพุทธฎีกาว่า "ดูกรอสุรินทร์! เมื่อตถาคตบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ทั้งปวงอยู่นั้น จักได้ก้มหน้าย่อท้อต่อความลำบากที่จะกระทำบำเพ็ญก็หามิได้ ตั้งใจบำเพ็ญมิได้หดห่อย่อท้อ แม้จักแสนยากเพียงไร ก็มิได้ก้มหน้าทอดอาลัยเลย เหตุฉะนี้บุคคลที่ปรารถนาจะแลดูตถาคตนี้ จะตัองก้มหน้าลงดูเหมือนอย่างท่านคิดก็หาไม่" มีพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้ แล้ว ก็โปรดประทานพระธรรมเทศนาแก่จอมอสูรซึ่งก็ทำให้จอมอสูรมีน้ำพระทัยเต็มตึ้นไปสัวยความเลื่อมใสจืงได้แปล่งคำนมัสการว่า "ตสฺส" ดังนี้ <!--MsgFile=2-->

    [​IMG] บุพพภาคนมการ [​IMG]

    แท้จริง คำนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งชาวเราพากันสวดอยู่ทุกวันนี้ ผู้ที่กล่าวครั้งแรกมีดังต่อไปนี้
    ๑. นโม = สาตาคิริยักษ์ และเหมวตายักษ์
    ๒. ตสฺส = อสุรินทราหู อุปราชแห่งอสุรพิภพ
    ๓. ภควโต = ตปุสสะภัลลิกะมาณพ
    ๔. อรหโต = สมเด็จพระอมรินทราธิราช
    ๕. สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส = ท่านท้าวพกาพรหม

    จึงรวมเป็น นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ซึ่งได้ ชื่อว่าบุพพภาคนมการ คือ คำกล่าวนมัสการนอบน้อมในเบื้องต้น ก่อนที่สาธุชนพุทธบริษัทจะประกอบศาสนกิจอย่างอื่นต่อไป และปรากฏยังยืนมาได้จนถึงปัจจุบันทุกวันนี้ อสุรินทราหูผู้นี้ ต่อไปภายหน้าอีกนานแสนนาน จักได้มาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตทรงพระนามว่า พระพุทธนารทะ เพราะได้สร้างสมอบรมบารมีอันสูงส่งยอดเยี่ยมมาแต่อดีตกาล

    [​IMG] สมบัติในดาวดึงส์ [​IMG]

    สมบัติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้มีมาก เพราะเหล่าเทพบุตรเทพธิดาซึ่งมีบุญญาธิการไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้มีเป็นจำนวนมาก ทั้งจอมเทพผู้เป็นประธานาธิบดี คือ สมเด็จพระอมรินทร์ ก็ทรงมีบุญูญูานุภาพเป็นอันมาก ทรงฝักใฝ่ในการกุศลอยู่เนืองนิตย์ ไม่ทรงมีความประมาทในบุญูกุศลแม้แต่น้อย เมื่อเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายต่างองค์ต่างก็มีบุญญาธิการเช่นนี้ สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จึงเจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในหมู่เทวดาแลมนุษย์ รู้กันว่าเป็นภูมิที่อยู่อันแสนสนุกสุขสำราญ โยคีฤๅษีสิทธิ์ผู้ได้ฌานก็ดี แม้แต่พระอริยเจ้าบางองค์ผู้ได้อภิญญาก็ดี ซึ่งมีฤทธาศักดานุภาพเหนือมนุษย์ธรรมดา ย่อมพากันมาชมมาดูสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์นี้มิได้ขาด

    นอกจากปราสาทไพชยนต์พิมาน อันเป็นที่ประทับอยู่ขององค์อมรินทร์จอมเทพแล้ว ในสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ ยังมีอุทยานอันเป็นทิพย์อยู่ มากมาย เมื่อนับแต่อุทยานใหญ่ ๆ ก็ได้ดังนี้
    ๑. ทิศตะวันออก มีอุทยานทิพย์ชื่อ นันทวัน ๒. ทิศตะวันตก มีอุทยานทิพย์ชื่อ จิตรลดาวัน ๓. ทิศเหนือ ...มีอุทยานทิพย์ชื่อ สักกวัน ๔. ทิศใต้ ...มีอุทยานทิพย์ชื่อ ผรุสกวัน

    สวนขวัญอุทยานทิพย์เหล่านี้ เป็นสถานที่สวยสดงดงาม สนุกสนาน จะหาเปรียบปานในมนุษยโลกนี้มิได้ เพราะเป็นอุทยานทิพย์ในสรวงสวรรค์ เต็มไปด้วยสรรพรุกขชาติบุปผชาตินานาพรรณ นอกจากนั้นก็มีสระโบกขรณี ซึ่งมีน้ำใสดุจแผ่นแก้วดูรุ่งเรือง และมีปาสาณศิลาคือก้อนหินศิลา ล้วนแต่เป็นทิพย์มีรัศมีสวยสด ทั้งมีแท่นที่นั่งเล่น สีขาวสะอาดดุจใครแสร้งวาดไว้ให้พิจิตรสวยงาม ฝูงเทพบุตรเทพธิดาย่อมมาเล่นสนุกในสวนสวรรค์อุทยานทิพย์เหล่านี้เป็นเนืองนิตย์ <!--MsgFile=3-->

    [​IMG] พระจุฬามณีเจดีย์ [​IMG]

    เมืองฟ้าชั้นไตรตรึงษ์นี้ มีสถานที่สำคัญที่สุดอยู่แห่งหนึง สถานที่ที่ว่านี้ก็คือ พระจุฬามณีเจดีย์เจ้า เป็นเจดีย์มีทรงสัณฐานใหญู่ ตั้งอยู่ด้านทิศอาคเนย์คือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของเทพนครไตรตรึงษ์ แลดูงดงามรุ่งเรืองนัก เพราะสร้างด้วยแก้วอินทนิล ตั้งแต่กลางถึงยอดเจดีย์ทำด้วยทองคำเนื้อแท้ แล้วประดับด้วยสัตตพิธรัตนะ คือ แก้ว ๗ ประการ ส่วนสูงทั้งหมดแปดหมื่นวา มีกำแพงทองคำาเนื้อแท้ ล้อมรอบกำแพง แต่ละด้านนั้นยาวหนึ่งแสนหกหมื่นวามีธงชนิดต่างๆ มีสีนานา แดงบ้าง เหลืองบ้าง เขียวบัาง ประดับประดา แลดูงามพรรณรายนักหนา ฝูงเทพยตาพากันถือเครื่องตีเครื่องเป่า สังคีตสรรพดริยางค์ทั้งหลาย มาบรรเลงถวายบูชาพระเจดีย์เจ้าทุกวันมิได้ขาด

    พระจุฬามณีเจดีย์องค์นี้ เพิ่งจะสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระอมรินทราธิราชองค์ปัจจุบันนี้เอง พระองค์สร้างไว้เพื่อจะได้เป็นที่สักการบูชาของหมู่เทวดาในชั้นฟ้า ภายในพระเกศจุฬามณีเจดีย์ ซื่งสถิตประดิษ ฐานอยู่บน สวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์นั้น บรรจุสิ่งสำคัญอันหาค่ามิไดัในพระพุทธศาสนาไว้ถึง ๒ อย่าง คือ

    ๑. พระเกศโมลี แห่งพระพุทธองค์ โดยมีประวัติความเป็นมา ว่า เมื่อครั้งจะเสด็จออกบรรพชา พระองค์ทรงตัดมวยพระ โมลี แล้วทรงอธิษฐานว่า "ถ้าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณแล้ว ขอให้มวยพระเกศโมลีจงลอยขึ้นไป บนนภากาศเถิด อย่าได้ตกลงมาสู่พื้นปฐพีเลย" คราที่นั้น สมเด็จพระอมรินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ จึงทรงนำผอบทองคำมารองรับพระเกศโมลีไว้ แล้วทรงนำขึ้นบนดาวดึงส์สวรรค์ สร้างพระเจดีย์นี้ สำหรับบรรจุพระโมลีนั้น

    ๒. พระบรมธาตุ เขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระพุทธองค์ โดยมีความเป็นมาว่า เมื่อครั้งถวายพระเพลิงพระพุทธ สรีระเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ท่านโทณพราหมณ์ ซึ่งได้รับ แต่งตั้งให้เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุเปิดรางทองคำ ออกนั้น โทณพราหมณ์เห็นเหล่ากษัตริย์ทั้งหลาย พิลาปร่ำไห้ถึงพระบรมครูก็พลันฉุกคิดได้ จึงแยกพระเขี้ยว แก้วนี้เสียต่างหากจากพระบรมสารีริกธาตุส่วนอื่น โดยซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะแห่งตน แล้วสาละวนจัดแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนเพื่อถวายกษัตริย์ เหล่านั้นต่อไป ฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราธิราชผู้เลื่อมใส ในพระสัพพัญญูเจ้าอย่างลึกซึ้ง ได้เสด็จมาสังเกตุการณ์ อยู่ ด้วยพระทัยประสงค์จะได้พระบรมสารีริกธาตุเหมือนกัน จึงอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาอันประเสริฐจากผ้าโพก ศีรษะของพราหมณ์เฒ่านั้น ลงสู่ผอบทองคำทิพย์อีกทอด หนึ่ง ด้วยกิริยาอันเลื่อมใสยิ่ง แล้วรีบเสด็จเอามา ประดิษฐานบรรจุไว้ ณ พระเกศจุฬามณีเจดีย์

    ฉะนั้น จึงปรากฏว่า เหล่าเทพยดาทั้งหลายต่างมีความเคารพเลื่อมใสในองค์พระเจดีย์นี้ยิ่งนัก สำหรับสมเด็จพระอมรินทร์เองนั้น แทบไม่ต้องกล่าวก็ได้ว่าทรงมีพระศรัทธาเลื่อมใลเพียงใด ทุกวารวันพระองค์พร้อมด้วยเหล่าบริษัทมีพระหัตถ์ถือดอกไม้ธูปเทียนของทิพย์สคนธชาดิไปถวายพระเจดีย์ กระทำประทักษิณเวียนเทียนเสมอมิได้ขาด นอกจากนี้แล้ว เทพเจ้าที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นอื่น เช่นท้าวจาตุมหาราชในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ และเทวดาชั้นยามา ดุสิต เป็นต้น ต่างก็มานมัสการพระเกศจุฬามณีเจดีย์เจ้านี้เป็นนิตย์ <!--MsgFile=4-->

    [​IMG] ปาริชาต [​IMG]

    นอกเมืองไตรตรึงษ์ออกไปทางทิศอีสาน คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีสวนอุทยานทิพย์แห่งหนึ่ง นามว่า ปุณฑริกวัน เป็นสวนกว้างใหญ่ยิ่งนักมีกำแพงล้อมรอบทั้ง ๔ ดัาน กลางสวนนั้นมีไม้ทองหลางใหญ่ต้นหนึ่ง เป็นไม้ทิพย์มีชื่อว่า ปาริชาต กัลปพฤษ์ ใต้ต้นไม้ทิพย์นั้นมีแท่นศิลาแก้วอันหนึ่ง ชื่อว่าบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เป็นแท่นสีแดงดังดอกชบา และอ่อนดุจผ้าฟูกหรือดังหงอนราชหงส์ทอง เมื่อสมเด็จพระอมรินทราธิราชประทับนั่ง แท่นศิลาจะอ่อนยุบลงไป พอเสด็จลุกขึ้น แท่นศิลานี้ก็จะเต็มขึ้นมาตามเดิม เป็นแท่นศิลาที่ฟุบลงได้ แลฟูขึ้นไดัโดยธรรมชาติอย่างนี้

    ดอกปาริชาตนั้น ต่อหนึ่งร้อยปีจึงบานครั้งหนึ่ง และเมื่อดอกไม้สวรรค์นี้จะบาน ฝูงเทพบุตรธิดาต่างยินดีนัก ย่อมเปลี่ยนเวรกันอยู่เฝัาดอกไม้นั้นจนกว่าจะบาน ครั้นดอกไม้ นั้นบานแล้ว ย่อมมีแสงอันรุ่งเรืองงามนักหนา รัศมีแห่งดอกปาริชาตินั้นเรือง ๆ ไปไกลได้แปดแสนวา เมื่อลมรำเพยพัดไปทิศใด ย่อมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทางทิศนั้นไกลสุดไกล เพราะไม่ใช่ดอกไม้ ดอกเดียว เป็นดอกไม้มากมายหลายดอก บานตลอดหมดทั้งต้นทุกกิ่งทุกกัาน ฝูงเทพยดาทั้ง หลายเมื่อต้องการดอกไม้ นั้น มิพักต้องขึ้นไปเก็บให้เหนื่อยยาก เพียงแต่เข้าไปภายใต้ต้น ดอกปาริชาตก็จะหล่นลงมาถึงมือเอง ประดุจจะรู้จิตใจของเขา ถ้าเขายังไม่ทันรับก่อนแล้ว ดอกไม้ก็หาตกถึงพื้นไม่ เพราะมีลมชนิดหนึ่งพัด ชูดอกไม้นั้นเข้าไว้บนอากาศ มิให้ตกถึงพื้นจนกว่าเทพยดาผู้ต้องประลงค์จะมารับ ฝูงเทพยดาทั้งหลายย่อมมาเล่นสนุกสนานที่ใกล้ต้นปาริชาตนั้นเนืองนิตย์

    [​IMG] สุธรรมาเทวสภา [​IMG]

    เทวสถานไม่ไกลจากต้นไม้ สวรรค์ปาริชาตเท่าใดมีศาลาใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่งามตระหง่านประเสริฐนัก ปรากฏนามว่า ศาลาสุธรรมา มีมณฑลกว้างขวางใหญ่โต พื้นศาลาแล้วด้วยแก้วผลึก และประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีกำแพงทองล้อมรอบศาลาสวรรค์นั้น และมีดอกไม้สวรรค์ชนิดหนึ่งนามว่าอสาพติ ดอกไม้ ชนิดนี้ นานนักหนากว่าจะบาน ถ้วนหนึ่งพันปีจึงจะบานลักครั้งหนึ่ง แต่ว่าเมื่อบานแล้วล่งกลิ่นหอมนักหนา เมื่อเวลาจะบานนั้น เทวดาทั้งหลายย่อมเปลี่ยนเวรกันอยู่เฝ้าเพราะเทวดาทั้งปวงเขามีจิตใจรักดอกไม้ ยิ่งนัก ภายในศาลาสุธรรมาเป็นที่ประชุมฟังธรรมของเหล่าเทพยดาทั้งหลาย จึงมีธรรมาสน์แก้วสวยงามใหญ่หลายวา เป็นธรรมาสน์ประจำตั้งอยู่ที่ศาลานั้น นอกจากนี้ก็มีราชอาสน์ทิพย์ที่ประทับนั่งของสมเด็จพระอมรินทราธิราชจอมเทพผู้เป็นใหญ่ แล้วก็มีที่นั่งของเทพเจ้าผู้เป็นพระสหายของพระองค์ ต่อจากนั้นก็เป็นอาสนะของเทพเจ้าทั้งหลายลดหลั่นกันไปตาม ฐานานุศักดิ์ เมื่อพูดถึงความรื่นรมย์ภายในศาลาลุธรรมานี้ มีความรื่นรมย์หาที่เปรียบมิได้ อบอวลหอมหวนด้วยดอกไม้ สวรรค์นานาพรรณอยู่ตลอดเวลา ได้ทราบว่า ที่นี่เป็นที่รื่นรมย์ชวนชมกว่าแห่งอื่นในสรวงสวรรค์ ผู้ที่ได้ไปเห็นมา เมื่อพบเห็นที่ใดที่หนึ่งที่น่ารื่นรมย์ในมนุษยโลกนี้ มักจะพูดเปรียบเทียบว่า "รื่นรมย์เหมือนสุธรรมาเทวสภาในสรวงสวรรค์ดาวดึงส์แดนสุขาวดี" <!--MsgFile=5-->

    [​IMG] เทวดาสดับธรรม [​IMG]

    เมื่อถึงวันธรรมสวนะ คือ วันพระ เหล่าเทพยดาทั้งหลายต่างก็มาประชุมพร้อมเพรียงกันที่ศาลาสุธรรมมานี้ เพื่อที่จะสดับธรรมตามกาล การสดับธรรมตามกาลตามโอกาสนี้ถือกันว่าเป็นอุดมมงคลอันสูงสุดสำหรับทวยเทพในสวรรค์ก็กิริยาที่เทพยดาทั้งหลายมานั่งประชุมพร้อมเพรียงกันที่อาสนะของตนตาม ฐานานุศักดิ์ ภายในศาลาลุธรรมาเพื่อสดับธรรมนี้ แลดูงดงามนักหนาเป็นทัศนียภาพที่จักหาสิ่งใดเปรียบปานมิได้ เมื่อเหล่าเทพนั่ง พร้อมเพรียงกันแล้ว ลำดับนั้นมีพระพรหมองค์หนึ่งนามว่า พระพรหมกุมาร พระองค์เป็นผู้ทรงธรรมและรู้ธรรมจึงเสด็จลงมาจากพรหมโลกอันไกลแสนไกล แต่ด้วยพรหมวิสัย พระองค์เสด็จมาชั่วเวลามาตรว่าลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ก็มาถึงเทวโลกสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ ครั้นถึงแล้วจึงขึ้นสู่ธรรมาสน์แก้ว แล้วเทศนาแจกแจงธรรมะไพเราะจับจิตจับใจเหล่าเทวดา ด้วยเสียงแห่งพรหมซึ่งประกอบไปด้วย องค์ ๘ ประการ คือ ๑. เสียงแจ่มใส ๒. เสียงชัดเจน ๓. เสียงนุ่มนวล ๔. เสียงน่าฟัง ๕. เสียงกลมกล่อม ๖. เสียงไม่พร่าแตก ๗. เสียงลึก ๘. เสียงมีกังวาน เมื่อองค์พรหมกุมารแสดงธรรมอยู่ ด้วยเสียงแห่งพรหม ซึ่งประกอบไป ด้วยองค์ ๘ ประการนี้ เหล่าเทพเจ้าผู้สดับย่อมเกิดความซาบซึ้งตรึงใจในรสแห่งพระธรรมนักหนา พอควรแก่เวลาแล้ว องค์พระพรหมกุมารก็เสด็จกลับไปพรหมโลกแดนไกล

    บางคราว เทพเจ้าทั้งหลายก็อัญเชิญเทพยดาผู้รู้ธรรมะในสวรรค์ชั้นดาวดึงล์นั่นเอง เป็นองค์แสดงธรรม เพราะว่าผู้รู้ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยตน ตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงล์นี้ก็มีมาก เทพยดาทั้งหลายมีสมเด็จอมรินทราธิราชเป็นประธานย่อมทราบได้ดีว่า เทวดาใดเป็นผู้ทรงคุณวิเศษรู้ธรรม ก็พร้อมกันอัญูเชิญให้เทพยดานั้น ขึ้นธรรมาสน์แก้วแล้วให้ แสดงธรรมโปรดพวกตน เสร็จแล้วจึงอนุโมทนาสาธุการด้วยเสียงแห่งเทพยดาน่าชื่นใจ

    บางคราวสมเด็จเจ้าจอมไตรตรึงษ์องค์อมรินทราธิราช ก็ขึ้นธรรมาสน์แสดงธรรมเอง วันไหนท้าวเธอทรงแสดงธรรมเอง วันนั้นเป็นวันพิเศษจริง ๆ และเทวดาทั้งหลายก็ตั้งอกตั้งใจนัก อยากจะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ เพราะองค์พระอมรินทร์จอมเจ้า ถึงแม้ว่าพระองค์เองจะเป็นพระโสดาบันอริยบุคคล ทรงสนใจในพระธรรมมาก หากมีกมลสันดานกอบด้วยศรัทธาเป็นบุญญาธิการอันสูงเยี่ยม

    [​IMG] สุพรรณบัฏ [​IMG]

    ท่านท้าวจตุโลกบาล คือ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ซึ่งเป็นจอมเทพอยู่ในจาตุมหาราชิกาภูมิ ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำ ใกล้ชิดกับมนุสสภูมิเป็นที่ลุด เมื่ออยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ ก็ย่อมจะทราบความเป็นไปของหมู่มนุษย์ได้มาก ประดุจมนุษย์เราอยู่ใกล้ชิดกับติรัจฉานภูมิ ก็ย่อมทราบความเป็นไปของติรัจฉานฉะนั้น ในฐานะที่ท่านท้าวมหาราชเป็นเทพเจ้าทรงชีพอยู่ได้ด้วยบุญ กุศล ก็ย่อมจะมีพระทัยฝักใฝ่ในบุญกุศลเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น เมือพระองค์ทรงทราบว่า ผู้ใดได้ลร้างบุญกุศลชนิดใดไว้บ้าง จะเป็นว่าทราบด้วยพระองค์เองก็ดีหรือเทวดาอื่นใดมีเทวดาผู้ตั้งอยู่ใน ฐานะแห่งบุตรของพระองค์ เป็นต้น ซึ่งท่องเที่ยวไปในหมู่มนุษย์ด้วยเทพวิสัย แล้วมากราบทูลให้ ทรงทราบก็ดีพระองค์ก็ทรงจดชื่อจารึกนามของท่านผู้ทำบุญูกุศลนั้นไว้ บนแผ่นทองเนื้อแท้ ด้วยดินสออันทำด้วยชาติหิงคุ โดยมีพระประสงค์จะนำไปถวายให้สมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้าจอมไตรตรึงษ์ ซึ่งมีพระอัธยาศัยใคร่จะรู้ ได้ทอดพระเนตร พอถึงวันที่พระอินทร์เทศนาท้าวจตุมหาราชก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วนำเอาสุพรรณบัฏแผ่นทองเนื้อแท้จารึกชื่อสัตบุรุษผู้ สร้างกองการกุศลนั้นไปมอบให้ แก่เทพบุตรผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่าปัญจสิขเทพบุตร ฝ่ายปัญจสิขเทพบุตร พอรับสุพรรณบัฏแลัว ก็นำเอาไปให้แก่พระมาตลีเทพบุตรอีกทีหนึ่ง เพื่อจักได้ทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า หลังจากที่พระองค์ทรงแสดงธรรมจบลง

    อายุ ทวยเทพที่สถิตเสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นตาวตึงสาภูมินี้มีอายุยืนนานได้ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้สามโกฏิหกล้านปี ด้วยการคำนวณปี แห่งมนุษยโลกเรา <!--MsgFile=6-->

    ถ้าชาวห้องศาสนาอยากไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อ่านพระสูตรนี้ครับ

    ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "ตายไปแล้ว เราจักได้เสวยผลทานนี้"
    แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า "การให้ทาน เป็นการกระทำที่ดี" เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยา ตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลาย ในชั้นดาวดึงส์สวรรค์
    (ปุญญกิริยาวัตถุสูตร อังคุตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๖ หน้า ๒๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)

    ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้ กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมี ประมาณยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีล มีประมาณยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จ ด้วยภาวนาเลย เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้น ดาวดึงส์

    ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ท้าวสักกะ จอมเทพในชั้นดาวดึงส์สวรรค์นั้น ได้กระทำบุญกิริยาวัตถุ ที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ได้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่ สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก พระองค์จึงทางเจริญก้าวล่วง เหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์โดยฐานะ ๑๐ ประการคือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์
    (ทานสูตร อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)

    ย่อและรวบรวมจาก 'โลกทีปนี' และ 'ภูมิวิลาสินี' โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) ขอขอบคุณภาพประกอบจากสมาชิกพันทิปครับ <!--MsgFile=7-->


    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    pantip.com
     
  2. kook1519

    kook1519 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    874
    ค่าพลัง:
    +3,159
    ถึงจะเป็นกระทู้ที่นานแสนนาน แต่วันนี้ทำให้เราเติมเต็มศรัทธาได้จนเต็มเปี่ยม

    _/l\_
     
  3. parnparn

    parnparn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +199
    สวรรค์ชั้นดาวดึงศ์ คือร่างกาย
    พระอินทร์ คือ อินทรี
    พระสหาย 32 องค์ คืออวัยวะ 32 ประการ ได้แก่ เกษา โลมา นักขา ทันตา ตะโจ เป็นต้น
    ช้างเอราวัณ คือ อารมณ์ มี 3 เศียร คือ โลภ โกรธ หลง
     

แชร์หน้านี้

Loading...