@@...ท่านผู้มีปนิธาณพุทธภูมิ มีกุศโลบายหรือแนวทางดูแลบุพการีอย่างไรครับ...@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 9 สิงหาคม 2014.

  1. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุตรพึงประคับประคองมารดา ด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่งเขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้ง ๒ นั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่านทั้ง ๒ นั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำ อย่างนั้นยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย

    ดูกรภิกษุทั้งหลายอนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดง โลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย

    ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา(ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา)
    ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล)
    ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค)
    ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา(ความถึงพร้อมด้วยปัญญา)
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้วและทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา ฯ
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    [​IMG]




    พระสารีบุตรเทศนาธรรมโปรดโยมมารดาจนบรรลุโสดาปัตติผล

    พระสารีบุตรพระอัครสาวกผู้เป็นเลิศในทางปัญญาอาพาธหนักด้วยโรคปักขันทิกาพาท(ถ่ายจนเป็นเลือด- โรคเดียวกับพระพุทธเจ้า) ตอบแทนคุณมารดาด้วยการเดินทางกลับไปแสดงธรรมเทศนาให้โยมมารดาที่บ้านของท่าน ท่านแสดงธรรมโปรดโดยพรรณนาถึงพระพุทธคุณนานาประการ อาทิ พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันต์ห่างไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง โยมมารดาฟังแล้วเลื่อมใสยิ่งนักเมื่อจบฟังธรรมเทศนานางก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล

    ท่านนิพพานเมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ในห้องที่ท่านเกิด เทวดาและมนุษย์ได้พร้อมใจกันฌาปนกิจศพของท่านอย่างสมเกียรติ พระจุนทะนำผ้าขาวมาห่ออัฐิของท่านแล้วนำไปพร้อมทั้งบาตรและจีวร เพื่อมอบให้พระอานนท์นำไปถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงรับอัฐิของท่านแล้วโปรดให้สร้างสถูปบรรจุไว้ที่ใกล้ประตูเชตวันมหาวิหารเพื่อให้พุทธบริษัทได้สักการะต่อไป



    0037]0037 :
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    [​IMG]



    พระพุทธองค์เสด็จโปรดพระราชบิดาที่ประชวรหนัก
    ทรงแสดงพระธรรมเทศนาจนพระบิดาได้บรรลุอรหัตตผล
    โปรดพระราชบิดาขณะประชวร
    พระพุทธเจ้าโปรดพระราชบิดา ๗ วันจึงทรงบรรลุเป็นพระอรหันต์เข้าถึงพระนิพพาน พระอานนท์ พระราหุล พระมหาปชาบดีและเหล่าพระประยูรญาติห้อมล้อมดูอาการประชวรอยู่ใกล้ๆ
     
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    [​IMG]
     
  5. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,268
    สำหรับของผมเอง...เท่าที่เคยทำมา

    1.ตื่นเช้ามาหุงข้าวให้ท่านกิน

    2.แบ่งเงินเดือนให้ท่านใช้

    3.ตั้งบาตร(สังฆทาน)ไว้กลางบ้าน เพื่อให้ท่านหยอด
    พอครบ 1 เดือน ก็จะนำไปถวายที่วัดแทนท่าน

    4.พาท่านไปทำบุญ (วิหารทาน สังฆทาน ธรรมทาน) ที่วัด เป็นระยะๆ

    5.บวชพระให้ท่านแล้ว

    6.ช่วงที่บวชเป็นพระอยู่นั้น....
    ท่านก็มาใส่บาตรเช้า(พระประมาณ 50 องค์= สังฆทาน)ที่วัด
    +พาท่านหยอดตู้ (วิหารทาน สังฆทาน ธรรมทาน)
    +พาท่านสวดมนต์ทำวัตรเช้า(+ฟังพระเทศน์) พร้อมพระที่ศาลาวัด
    ทุกวัน ตลอด 1 พรรษา(3 เดือน)


    7.ทำให้ท่านได้เป็นเจ้าภาพ"กฐินพระราชทาน" 1 ครั้ง

    8.พาท่านสวดมนต์+นั่งสมาธิ+เปิดเทปธรรมะใฟ้ฟัง+อุทิศบุญ ในตอนค่ำ

    9.พาท่านไปปล่อย ปลา เต่า หอย เป็นระยะๆ

    10. พาท่านไปทำบุญกับพระอริยะสงฆ์ เป็นระยะๆ

    11. เวลาพาท่านทำบุญ จะนำให้ท่านอธิษฐานว่า "ด้วยบุญนี้ ขอเข้าถึงพระนิพพาน"

    12.ไปทำบุญที่ใดมา เมื่อกลับมาถึงบ้านจะบอกให้ท่านอนุโมทนา ทุกครั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2014
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973


    สุดยอดเลยครับ..........อนุโมทนาสาธุ ขอให้ท่านสมปรารถนาในพระสัมมาสัมโพธิญาณ
     
  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973

    เป็นพุทโธวาท ที่เป็นที่มาของการทำให้หลายคนสำนึกในการทำดีต่อบุพการี


    ....แต่เพื่อให้เป็นไปตามชื่อกระทู้ ที่ต้องการทราบกุศโลบายหรือวิธีการ

    เพราะ จู่ๆ ไปบอกให้ท่านบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เลย ไม่ใช่เรื่องง่าย


    ขอแบ่งปัน ประสพการณ์จริงครับ เพื่อแชร์กุศโลบายแก่เพื่อนที่มุ่งมั่นจะโปรดบิดา มารดา ให้พ้นทุกข์ได้จริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 พฤศจิกายน 2014
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    พระสารีบุตรโปรดมารดา พ้นจากมิจฉาทิฐิ

    คราวเมื่อพระสารีบุตรใกล้ถึงกาลปรินิพพาน เกิดปริวิตกว่า มารดาของท่านมีบุตรธิดา 7 คนล้วนเป็นพระอรหันต์ แต่โยมมารดากลับเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีความเลื่อมใส และยังโกรธเคืองที่ท่านพาน้องๆออกบวชหมด ดำริที่จะต้องปลดเปลื้องโยมมารดา เพื่อทดแทนคุณ จึงทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเดินทางจากวัดเชตวันมหาวิหารสู่บ้านเกิดที่ นาลกคาม(นาละกะคาม) ล่วงไปเจ็ดวันจึงถึง...
    ...
    ครั้งนั้น พระสารีบุตร อนุเคราะห์ผู้คนตลอด ๗ วัน ในระหว่างหนทาง ถึงนาลกคามในเวลาเย็น แล้วหยุดพักอยู่ที่โคนต้นไทรใกล้ประตูบ้าน.
    ครั้งนั้น หลานชายของพระเถระชื่อว่า อุปเรวตะ ไปนอกบ้านพบพระเถระเข้าไปหาแล้วไหว้ยืนอยู่.
    พระเถระพูดกะหลายชายว่า ย่าของเจ้าอยู่ในเรือนหรือ.
    หลายชายก็ตอบว่า ขอรับกระผม.
    พระเถระบอกว่า เจ้าจงไปบอกว่าเรามาที่นี้แล้ว และเมื่อเขาถามว่าเพราะเหตุไรจงบอกว่า ได้ยินว่า ท่านจะพักอยู่ในบ้านนี้วันเดียวจงจัดห้องน้อยที่เราเกิด และจัดที่อยู่สำหรับภิกษุ ๕๐๐ รูป.
    หลานไปบอกว่า ย่า จ๋า ลุงฉันมาแล้ว.
    ย่าถามว่า เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนล่ะ.
    ตอบว่าอยู่ใกล้ประตูบ้าน ก็ถามว่ามาองค์เดียวหรือว่ามีภิกษุอื่นมาด้วย.
    หลานก็ตอบว่ามีภิกษุ ๕๐๐ รูปมาด้วย.
    เมื่อถามว่ามาทำไม. หลานก็บอกเรื่องนั้น.
    นางพราหมมณีคิดว่า ทำไมหนอจึงต้องสั่งให้จัดสถานที่อยู่สำหรับภิกษุถึงเพียงนั้น เขาบวชเมื่อหนุ่มอยากเป็นคฤหัสถ์เมื่อแก่ จึงให้จัดห้องที่เกิด ให้ทำที่อยู่สำหรับภิกษุ ๕๐๐ รูป ตามประทีปไว้ต้อนรับพระเถระ.
    พระเถระกับภิกษุทั้งหลายขึ้นไปยังปราสาทเข้าไปสู่ห้องที่เกิดแล้วนั่ง ครั้นแล้วก็ส่งภิกษุทั้งหลายไปด้วยกล่าวว่า
    จงไปที่อยู่ของพวกท่านกันเถิด.
    พอภิกษุทั้งหลายไปแล้ว อาพาธกล้าก็เกิดขึ้นแก่พระเถระ.
    โรคลงโลหิตเกิดเวทนาใกล้ตาย.
    ภาชนะหนึ่งรอง ภาชนะหนึ่งชักออก.
    นางพราหมณีคิดว่า ความเป็นไปแห่งบุตรของเราไม่เป็นที่ชอบใจ ยืนพิงประตูห้องที่อยู่ของตน.

    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตรวจดูว่าพระธรรมเสนาบดีอยู่ที่ไหนก็รู้ว่านอนบนเตียงที่ปรินิพพานในห้องน้อยที่เกิดในนาลกคาม เราจักไปดูเป็นปัจฉิมทัสสนะ แล้วพากันมาไหว้ยืนอยู่แล้ว.
    พระเถระถามว่าท่านเป็นใคร ตอบว่า พวกเราเป็นท้าวมหาราชเจ้าข้า.
    ถามว่ามาทำไม. ตอบว่ามาเป็นคิลานุปัฏฐาก(ดูแลผู้ป่วยไข้).
    พระเถระส่งไปด้วยกล่าวว่าช่างเถิด คิลานุปัฏฐากมีอยู่ไปเสียเถิดท่าน.
    ครั้นท้าวมหาราชไปแล้วท้าวสักกะจอมเทพ(พระอินทร์)ก็มาโดยนัยนั้นเหมือนกัน.
    เมื่อท้าวสักกะเสด็จไปแล้ว ท้าวสุยามะเป็นต้น แล้วท้าวมหาพรหมก็พากันมา.
    พระเถระส่งเทพและพรหมเหล่านั้นไปอย่างนั้นเหมือนกัน.
    นางพราหมณีเห็นพวกเทวดามาและไป คิดว่าพวกเหล่านั้นเป็นใครหนอ จึงมาไหว้แล้วไหว้อีกซึ่งบุตรของเราแล้วก็ไป จึงไปยังประตูห้องของพระเถระ ถามว่าเป็นอย่างไร พ่อจุนทะ พระเถระบอกเรื่องนั้นแล้ว กล่าวว่า มหาอุบาสิกามาแล้วขอรับ.
    พระสารีบุตรถามว่าทำไมจึงมาผิดเวลา.
    นางพราหมณีตอบว่า มาเยี่ยมเจ้าซิลูก แล้วถามว่าพวกใครมาก่อนพ่อ.
    พระเถระตอบว่าท้าวมหาราชทั้ง ๔ อุบาสิกา.
    นางพราหมณีถามว่า พ่อ เจ้าเป็นใหญ่กว่าท้าวมหาราชทั้ง ๔ หรือ.
    ตอบว่าอุบาสิกา ท้าวมหาราชเหล่านั้นก็เหมือนเด็กวัด ทรงถือพระขรรค์อารักขา ตั้งแต่พระศาสดาของเราทรงถือปฏิสนธิ.
    ถามว่าครั้นท้าวมหาราชเหล่านั้นกลับไปแล้ว ใครมาอีกล่ะลูก.
    ตอบว่าท้าวสักกะจอมเทพ.
    ถามว่าเจ้าเป็นใหญ่กว่าท้าวสักกะหรือลูก.
    ตอบว่าอุบาสิกา ท้าวสักกะนั้นก็เหมือนสามเณรถือของเมื่อพระศาสดาของเราลงจากดาวดึงส์ ก็ทรงถือบาตรและจีวรลงมา.
    ถามว่า ครั้นท้าวสักกะนั้นเสด็จกลับแล้ว ใครสว่างจ้ามาล่ะลูก.
    ตอบว่าอุบาสิกาผู้นั้นชื่อท้าวมหาพรหม ชั้นสุทธาวาส เป็นทั้งผู้มีบุญคุณ ทั้งครูของแม่ จ๊ะ.
    ถามว่าเจ้ายังเป็นใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมอีกหรือ.
    ตอบว่า จ้ะ อุบาสิกา. ได้ยินว่า ในวันที่พระศาสดาของเราประสูติ ท้าวมหาพรหมทั้ง ๔ ชื่อนี้ ใช้ข่ายทองมารับพระมหาบุรุษ
    ครั้งนั้น เมื่อนางพราหมณีคิดว่า บุตรของเรายังมีอนุภาพถึงเพียงนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าศาสดาของบุตรเรา จะมีอานุภาพสักเพียงไหน.
    ปิติ ๕ อย่างเกิดขึ้นแผ่ไปทั่วเรือนร่างอย่างฉับพลัน.
    พระเถระคิดว่า มารดาของเราเกิดปิติโสมนัส บัดนี้เป็นเวลาเหมาะที่จะแสดงธรรมจึงกล่าวว่า จะคิดไปทำไมมหาอุบาสิกา.
    นางพราหมณีกล่าวว่า บุตรของเรามีคุณถึงเพียงนี้ พระศาสดาของบุตรเราจักมีคุณสักเพียงไหน ดังนั้น แม่จึงคิดอย่างนี้นะลูก.
    พระเถระกล่าวว่า ท่านมหาอุบาสิกา สมัยพระศาสดาของเราประสูติ ออกมหาภิเนษกรมณ์ตรัสรู้ และประกาศพระธรรมจักร หมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหว ขึ้นชื่อว่าผู้เสมอด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติญาณทัสสนะไม่มีแล้วกล่าวพระธรรมเทศนาอันประกอบด้วยพระพุทธคุณอย่างพิสดาร ว่าแม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นต้น.
    เวลาจบพระธรรมเทศนาของบุตรที่รัก นางพราหมณีก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วกล่าวกะบุตรว่า พ่ออุปติสสะ เหตุไร เจ้าจึงได้กระทำอย่างนี้ล่ะลูก เจ้าไม่ให้อมตธรรมชื่อนี้แก่แม่ ตลอดเวลาถึงเพียงนี้.
    พระเถระคิดว่า บัดนี้ค่าน้ำนมข้าวป้อน ที่นางสารีพราหมณีมารดาของเราให้ไว้ ก็ได้รับชดใช้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงส่งนางพราหมณีไปด้วยกล่าวว่า ไปเถิดมหาอุบาสิกา แล้วถามว่าจวนสว่างหรือยัง.
    ตอบว่าจวนสว่างแล้วขอรับ.
    สั่งว่าถ้าอย่างนั้น จงประชุมพระภิกษุสงฆ์เถิด.
    ตอบว่าพระสงฆ์ประชุมกันแล้วขอรับ.
    สั่งว่ายกเราขึ้นนั่งทีซิ. พระจุณทะ ก็ยกขึ้นให้นั่ง.
    พระเถระเรียกภิกษุทั้งหลายว่าผู้มีอายุ พวกท่านอยู่กับเรามาถึง ๔๔ ปี ไม่ชอบใจกรรมทางกาย หรือกรรมทางวาจาของเราอันใด ผู้มีอายุจงงดโทษนั้นเสียเถิด.
    ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่าท่านขอรับ พวกเราเที่ยวไปไม่ละท่านเหมือนเงาชื่อว่า กรรมที่ไม่ชอบใจถึงเพียงนี้ย่อมไม่มีแก่พวกเรา แต่ขอท่านโปรดงดโทษแก่พวกเราเสียด้วย.
    ครั้นแสงอรุณปรากฏ พระเถระยังมหาปฐพีให้เลื่อนลั่นแล้วปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. เทพดาและ
    มนุษย์เป็นอันมาก พากันกระทำสักการะในสถานที่ปรินิพพาน.
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    พระสุวรรณสาม ผู้มีความกตัญญู และ มหาเมตตา

    <iframe width="640" height="480" src="//www.youtube.com/embed/iksO5RlYcPw?rel=0&amp;showinfo=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    ความเป็นมาของพระพุทธเจ้า (โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง )

    ตอนเริ่มปรารถนาพระโพธิญาณ

    นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อาตมาจะนำความเป็นมาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มาแสดงแก่บรรดาพุทธบริษัท เพื่อเป็นประวัติในการประพฤติดีประพฤติชอบตามที่พระองค์ทรงปฏิบัติมา

    ในวันนี้ ก็ขอเริ่มเรื่องเบื้องต้นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงปรารถนาพระโพธิญาณ
    แต่ความจริงเรื่องนี้ จะหาตำราที่ไหนมาอ่านก็หาไม่ได้ เป็นอันว่าก็จะขอนำมาจากความรู้ จากองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ที่พระองค์ทรงมีพระพุทธประสงค์ให้รู้ความต้นเหตุ ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จะทรงปรารถนาพระโพธิญาณ
    เนื้อความมีอยู่ว่า นับถอยหลังจากกัปนี้ไป ปรากฎว่าได้ 4 อสงไขยกับแสนกัปเศษในสมัยนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเกิดเป็นลูกชาวบ้านชาวป่าธรรมดา มีความเป็นอยู่ด้วยความแร้นแค้น ท่านเลี้ยงบิดามารดา มีความกตัญญูรู้คุณทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจว่าอะไรมันจะเป็นบุญ อะไรมันจะเป็นบาป แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ คือทรงความดี ชีวิตินทรีย์ของตนที่ทรงอยู่ได้นี้ก็เพราะอาศัยบิดามารดาเป็นปัจจัย

    ฉะนั้น เมื่อพระองค์ทรงมีกำลังกายใหญ่พอเป็นหนุ่มที่จะเลี้ยงบิดามารดาได้ ภาระอันใดที่บิดามารดาหยุด ตัวเองเป็นผู้ทำแทนทุกอย่างคือ กิจภายนอกบ้านและกิจภายใน

    ตอนนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บิดามารดาของพระองค์นั้นเป็นชาวป่าหาฟืนขาย ความเป็นอยู่ก็ไม่ได้มีความสุขสบายคือ เรียกว่าขายได้ขายวันหนึ่งก็กินไปวันหนึ่งเท่านั้น ไม่มีส่วนแห่งการเหลืออะไรเป็นพิเศษ แต่ก็เป็นความดีที่บิดามารดาขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ รู้สึกว่าเป็นคนดี มีศีล มีธรรม
    ท่านกล่าวว่า การเกิดในครั้งนั้นมีความลำบากยากแค้นมาก ต้องหาเช้ากินค่ำ ผลกำไรที่จะเหลือไว้ในวันอื่น ๆ ต่อ ๆ ไปก็มีน้อย และท่านก็เป็นลูกชายคนเดียวของบิดามารดา แต่ก็พยายามปฏิบัติมาด้วยความกตัญญูรู้คุณ ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย เมื่อทำภารกิจภายนอกคือตัดฟืนมาได้แล้ว กลับมาบ้านก็หุงข้าวหาอาหารเลี้ยงบิดามารดา เป็นต้น นับว่าเป็นคนดีที่มีจิตประกอบไปด้วยกุศล กล่าวคือความฉลาดในการปฏิบัติความดี
    ต่อมาภายในไม่ช้า ในชีวิตของท่านนี้กล่าวว่าอายุประมาณ 23 ปี ปรากฎว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อุทุมพร ซึ่งอุบัติแล้วในโลกในขณะนั้น ท่านประกาศพระศาสนาในแคว้นอื่น
    สำหรับเมืองที่องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเกิดในแคว้นนั้น เรียกว่า แคว้นกุรุรัฐ ซึ่งองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์กล่าวว่า เป็นแคว้นในอินเดียแห่งหนึ่งที่เรียกกันว่า เมืองอาฬวี
    ความจริงพระพุทธเจ้า ถ้าจะอุบัติก็ต้องอุบัติในแคว้นชมพูทวีปเหมือนกัน ไม่ไปที่อื่น เพราะว่าในสถานที่นั้นเป็นที่ของบุคคผู้มุ่งผลคือบุญใหญ่ ได้แก่พระนิพพาน โดยเฉพาะเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัส คนในเขตชมพูทวีปก็มักจะปฏิบัติทางจิตใจกันมาก เป็นการเหมาะที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงสอนในด้านจิตใจ
    วันหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ประมาณ 80,000 รูป ได้เสด็จมาในแคว้นอาฬวี หรือแคว้นกุรุในสมัยนั้น ได้มีบรรดาชาวบ้านที่มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พากันไปบำเพ็ญกุศล
    สำหรับกระทาชายนี้ คือองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนจนก็จริงแหล่ แต่ทว่าเมื่อเห็นชาวบ้านเขาไปใส่บาตรพระ และเวลากลางวันที่ท่านจะไปตัดฟืน เห็นชาวบ้านเขาเดินเป็นแถว ๆ ถือดอกไม้ ธูปเทียนเครื่องสักกาวรามิส มีอาหารและเครื่องเภสัชเป็นต้น เพื่อจะนำไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดา ซึ่งมีนามว่า อุทุมพร สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านมีความสงสัย จึงได้ถามชาวบ้านเหล่านี้ว่า
    “ท่านไปไหนกัน”
    เขาก็บอกว่า ข้าพเจ้าจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า อุทุมพร พร้อมไปด้วยพระอรหันต์ 80,000 รูป ไปเฝ้าแล้ว ถวายภัตตาหารแล้วพวกเราก็ฟังเทศน์กัน ส่วนมากคนที่เดินมานั้นเป็นพระอริยเจ้าเป็นส่วนมาก
    ท่านก็ถามว่า “องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าน่ะ มีรูปร่างลักษณะเป็นยังไง”
    ชาวบ้านก็ “พรรณนาให้ฟังว่า องค์สมเด็จพระผู้มีพระจอมไตรบรมศาสดามีความสวยสดงดงามมากมีลักษณะ 32 ครบถ้วน มีลักษณะพิเศษอีก 80 และนอกจากนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์ยังมีฉัพพรรณรังสี รัศมี 6 ประการ เวลาแสดงพระธรรมเทศนานั้น องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี 6 ประการ สว่างไสวมาก และกระแสสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ไพเราะเสนาะโสตเป็นที่น่าฟัง ฟังแล้วไม่อิ่มไม่เบื่อ”
    ท่านจึงได้ถามคนทั้งหลายว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนจน กลางวันจะต้องตัดฟืน และกลางคืนจึงจะมีเวลาว่าง อยากจะทราบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศน์เฉพาะกลางวัน หรือเทศน์กลางคืนด้วย”
    บรรดาชาวบ้านก็บอกว่า “พระพุทธเจ้าเทศน์ทั้งกลางวัน และก็เทศน์ทั้งกลางคืน ถ้ามีคนไปฟัง”
    ท่านจึงตัดสินใจว่า ถ้ากระนั้นเราจะขอไปฟังในเวลากลางคืน กลางวันเป็นหน้าที่ในการเลี้ยงดูบิดามารดา ปฏิบัติบิดามารดาให้เป็นสุข กลางคืนจะเปลื้องทุกข์ด้วยการฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านก็ยกมืออนุโมทนาความดีของบรรดาประชาชนทั้งหลาย เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็หลีกไปสู่มหาวิหาร
    สำหรับองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ซึ่งเป็นกระทาชาย คือบุคคลผู้ยากจนเข็ญใจก็เข้าป่า ใจก็คิดไปว่า
    “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีรูปร่างเป็นอย่างไรหนอ”
    “รัศมี 6 ประการขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประการใด”
    “กระแสพระสัทธรรมเทศนา ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เขาลือว่าเพราะ เพราะแบบไหน”
    และคำเทศน์ เทศน์ยังไง ไม่เคยฟัง อยากจะฟัง ไอ้มือก็ฟันฟืนไป ใจก็นึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    เป็นอันว่าจิตใจของท่านเวลานั้นมีความผูกพันกับพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ได้รับคำว่าพระพุทธเจ้าเข้ามาแล้ว จิตใจก็นึกถึงอย่างนี้ ท่านเรียกว่า “พุทธานุสสติกรรมฐาน” นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
    เวลากลับมาบ้าน คือเวลาเย็นหาอาหารเลี้ยงบิดามารดาเรียบร้อยแล้ว บริโภคอาหารเสร็จ เวลาค่ำก็แจ้งแก่บิดามารดาทั้งสองว่า
    “เขาลือกันว่าพระพุทธเจ้ามาโปรดที่นี่ วันนี้จะขอลาบิดามารดาทั้งสองไปฟังเทศน์ในเวลาราตรี”
    บิดามารดาก็ค้านว่า “กลางวันเหนื่อยมากถ้าไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากลางวันจะดีกว่า”
    ท่านก็บอกว่า “เวลากลางวันมันมีงาน ถ้าหากว่าขาดวันหนึ่ง อาหารอาจจะขาด จะบกพร่องได้ ถึงแม้ว่าจะไม่หมดก็ไม่เป็นไร แต่ว่าจะบกพร่องการบริโภคนั้นจะไม่เป็นสุข ฉะนั้น ขอบิดามารดาจงอย่าห่วงใย ข้าพเจ้าจะไปพอกำลังกายทนได้ ถ้าเพลียเมื่อไหร่ก็จะกลับ”
    เป็นอันว่า ท่านบิดามารดาทั้งสองก็กล่าวว่า
    “ปิยะ ปุตโต ดูก่อน บุตรที่รัก ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้าย่อมหาได้ยากในโลก พ่อเองแม่เองก็ไม่เคยฟังคำว่าพระพุทธเจ้า เพราะเราเป็นคนอยู่ป่า บังเอิญถ้าได้ฟังคำว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติมาแล้ว ก็มีพระอรหันต์เข้าใจว่าทั้งหมด คือพระพุทธเจ้าก็ดีพระอรหันต์ก็ดี ต้องเป็นพระดี ต้องเป็นคนดี ไม่อย่างนั้นปวงประชาชีจะไม่พากันไปฟังเทศน์ เอาของไปถวายแด่พระพุทธเจ้า ถ้าอย่างนั้น ถ้าลูกจะไป พ่อกับแม่ทั้งสองก็จะไปด้วย ไปเคารพพระพุทธเจ้า ไปรับฟังความดี”
    องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็พร้อมปฏิบัติตนให้แก่บิดามารดา อาบน้ำให้ท่าน หาผ้าที่พอสมควรมาให้ท่านที่จะพึงมี พอเสร็จแล้วทั้งสามศรีพ่อแม่ลูกก็ไปสู่พระมหาวิหาร
    เวลานั้น ปรากฎว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในที่พักผ่อน ยังไม่ถึงเวลาที่จะแสดงพระธรรมเทศนา แต่ทว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์พุทธอุปัฏฐากขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์ได้ถูกเรียกเข้าไปเฝ้าตรัสว่า
    “เธอจงจัดแจงสถานที่แสดงพระสัทธรรมเทศนา วันนี้ตถาคตจะลงก่อนเวลา"
    พระอุปัฏฐากจึงกล่าวว่า “เวลานี้ยังไม่ค่ำสนิท ขอองค์สมเด็จพระธรรม
    สามิสรโปรดพักผ่อนเถิดพระเจ้าข้า”
    สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “วันนี้พักไม่ได้ ต้องลงก่อนเวลา เพราะว่าคนดีจะมาวิหารของเรา เวลานี้เขากำลังเดินมา ยังไม่ทันจะถึงแต่ก็จวนจะถึงแล้ว”
    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดา จึงได้ประทับอยู่ก่อน
    ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระชินวร คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันและบิดามารดาเข้าไปถึงมหาวิหาร พระสงฆ์ที่เป็นพุทธอุปัฏฐากจึงได้พาองค์สมเด็จพระพิชิตมารกับบิดามารดาทั้งสองท่านไปเฝ้า
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่บนอาสนะอันสมควร ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี 6 ประการ เฉพาะพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและบิดามารดาทั้งสอง ทั้งสามท่านเห็นเข้าตะลึงงัน ไม่ทราบเลยว่าองค์สมเด็จพระภควันต์จะสวยงามแบบนี้
    “โภ ปุริสะ ดูก่อน บุรุษผู้เจริญผู้มีความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา เมื่อบิดามารดาเลี้ยงท่านท่านก็เลี้ยงตอบ คนประเภทนี้ตถาคตขอสรรเสริญว่าเป็นคนดี”
    เมื่อฟังคำขององค์สมเด็จพระมหามุนี บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนั้นก็ทรงมีธรรมปีติ มีความอิ่มอกอิ่มใจ ใจสบายเป็นสุขเป็นกรณีพิเศษ ยิ่งเห็นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีความสวยงาม เปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี 6 ประการ ก็ชื่นใจ พระสุรเสียงที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสออกมาก็ไพเราะ
    ต่อจากนั้นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรด เป็นอันว่าเทศน์ก่อนเวลา เทศน์คนฟังแค่ 3 คนเมื่อเทศน์จบก็ปรากฎว่าบิดามารดาทั้งสองท่านได้พระโสดาปัตติผล
    สำหรับองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาอาศัยมีธรรมปีติมากเกินไป จึงไม่ได้อริยมรรค อริยผล ได้แต่การเข้าถึงไตรสรณคมน์
    การเทศน์คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเทศน์ถึงบุญกิริยาวัตถุ 3 ประการ เทศน์ว่า
    ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
    สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
    ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
    และกล่าวอานิสงส์ของสังฆทานว่า บุคคลใดได้ถวายสังฆทานแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต ตายไปแล้วกี่ชาติ ๆ กว่าจะเข้าพระนิพพาน คนนั้นก็พ้นจากความยากจนเข็ญใจจะมีขึ้นมาบ้าง ก็อาศัยกรรมที่เป็นอกุศลอาศัยมากลั่นแกล้งไม่ช้าก็สลายตัวไป องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงผูกพันเรื่องสังฆทาน เพราะมันไม่จน
    เมื่อฟังเทศน์จบ ก็ลาองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับบ้าน บิดามารดาก็ดีใจว่าได้เป็นพระอริยะเจ้า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดีใจว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าคือพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อุทุมพร ชมว่าเป็นคนดีมีความกตัญญูรู้คุณ ต่างคนต่างดีใจ และก็มาผูกพันว่า เมื่อไรหนอเราจึงจะมีโอกาสได้ถวายสังฆทาน
    นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกคืนก็ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า กลางวันก็ทำงานเป็นพิเศษ จนกระทั่งตั้งใจที่จะถวายทานแด่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์สัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ 80,000 รูปเป็นเหตุ แต่ว่าต้นทุนมันน้อย แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า การถวายสังฆทาน ของเล็กน้อยก็ทำได้ จึงได้รวบรวมกำลังทรัพย์สินที่พึงหาได้ในกรณีพิเศษมาเพื่อถวายสังฆทาน ก็ได้ข้าวไปหนึ่งหม้อน้อย ๆ แกงหนึ่งหม้อ ขนมอีกหนึ่งหม้อ น้ำอีกหน่อยหนึ่ง ไปประกาศถวายสังฆทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
    เวลานั้น ทิพย์อาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมาของท้าวโกสีย์สักกเทวราชก็เกิดแข็งกระด้าง คิดว่าคนนี้ต่อไปจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า เราจะต้องไปช่วย
    ฉะนั้น ในการถวายทานคราวนั้น ความจริงอาหารอื่นของพระก็มีอยู่ แต่ว่าองค์สมเด็จพระบรมครูทรงพระนามว่าอุทุมพร ตรัสกับพระว่า จงอย่าฉันอาหารที่บิณฑบาตรมาในตอนเช้าแล้วให้เหลืออยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูให้ฉันอาหารหม้อเดียวของกระทาชายนายนั้น ด้วยอำนาจของพระอินทร์บันดาล พระ 80,000 รูป กับพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งฉันอาหารไปหมด
    เมื่อพระพุทธเจ้าฉันภัตตาหารเสร็จ พระสงฆ์ฉันเสร็จ ก่อนที่จะโมทนากระทาชายนายนั้น จึงเข้าไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอปรารถนาพระโพธิญาณ คืออยากจะเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอุทุมพรจึงได้ทรงพยากรณ์ว่า
    “นับตั้งแต่กัปหน้าต่อไป กัปนี้ไม่นับ อีก 4 อสงไขยกับแสนกัป เธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดมบรมครู”
    และหลังจากนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนา เมื่อเทศน์จบก็ปรากฎว่า บิดามารดาทั้งสองบรรลุอรหัตผล ลูกชายเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เข้าถึงไตรสรณาคมณ์
    เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว บิดามารดาทั้งสองก็ขอบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุมัติ ตรัสว่า “เอหิ ภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” สองท่านก็เป็นพระในทันที แล้วสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กลับบ้าน
    นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ภาระมันก็น้อย ก็เลยไปหาพระพุทธเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน แบ่งเวลาตอนเช้าไปตัดฟืน ตอนเที่ยงก็เลิก ตอนบ่ายไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนเย็นก็กลับ ตอนกลางคืนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าฟังเทศน์แล้วก็กลับ มีจิตปรารถนาอย่างเดียวคือ พระโพธิญาณ
    นี่แหละ บรรดาท่านพระพุทธบริษัททุกท่าน เรื่องนี้เห็นจะหาตำราอ่านได้ยาก เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
    “ก่อนที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคย์จะปรารถนาพระโพธิญาณนั้น ก็เริ่มต้นมาจากการถวายสังฆทานเป็นเหตุ ฉะนั้น จึงเป็นปัจจัยให้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ”
    และองค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้ตรัสว่า “คนที่ถวายสังฆทานแล้ว ถ้าจะปรารถนาพุทธภูมิ ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนาเป็นพระสาวก ก็ได้เป็นพระพุทธสาวก ปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ย่อมได้ ถ้าปรารถนาจะเป็นอรหันต์ในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา องค์ใดองค์หนึ่งก็ย่อมได้เช่นเดียวกัน และยิ่งไปกว่านั้น สังฆทานยังเป็นปัจจัยให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชและมหาเศรษฐี”
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า เป็นอันว่าประวัติความเป็นมาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วที่หาได้ยากในการเริ่มต้น ในปรารถนาพระโพธิญาณ เล่ามาก็พอสมควรแก่เวลา
    ในที่สุดนี้ อาตมภาพในฐานะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะทั้ง 3 ประการ ขอจงบันดาลให้ท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า
    ถ้าจะปรารถนาเป็นพระโพธิญาณ ก็ขอให้ได้บรรลุพระโพธิญาณสมความปรารถนา
    ถ้าจะปรารถนาเป็นอัครสาวก พระมหาสาวก พระสาวก ปกติธรรมดาก็สำเร็จผล
    และขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน จงประสบแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง 4 ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านมีความประสงค์สิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ
     
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    <iframe width="640" height="480" src="//www.youtube.com/embed/t9WL0ibJ5_4?&autoplay=1&rel=0&amp;controls=0&amp;showinfo=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    ....แม้มารดา บิดาของใครก็ตาม

    อาจไม่ได้ดีดังใจหวัง


    ...ทำให้เป็นแผลในใจจนไม่อยากกล่าวถึง


    อย่างน้อย พระคุณที่ท่านให้เลือดเนื้อ เลี่้ยงดูมา

    ..ก็คือความดี แม้เพีัยงอย่างเดียว ที่ประเสริฐยิ่ง ที่เราต้องตอบแทน....
     
  13. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,268
    มาตุโปสกชาดก

    พญาช้างยอดกตัญญู

    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้ลี้ยงมารดารูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาช้างเผือกขาวปลอด มีรูปร่างสวยงาม มีช้าง ๘๐,๐๐๐ เชือกเป็นบริวารเลี้ยงดูมารดาตาบอดอยู่ เมื่อพาบริวารออกหากินได้อาหารอันมีรสอร่อยแล้วก็จะส่งกลับมาให้มารดากิน แต่ก็ถูกช้างเชือกที่นำอาหารมากินเสียระหว่างทาง เมื่อกลับมาทราบว่ามารดาไม่ได้อาหารก็คิดจะละจากโขลงเพื่อเลี้ยงดูมารดาเท่านั้น ครั้นถึงเวลาเที่ยงคืนก็แอบนำมารดาหนีออกจากโขลงไปอยู่ที่เชิงเขาแล้วพักมารดาไว้ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ส่วนตนเองออกเที่ยวหาอาหารมาเลี้ยงดูมารดา

    อยู่ต่อมาวันหนึ่ง มีพรานป่าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่งเข้าป่ามาแล้วหลงทางออกจากป่าไม่ได้จึงนั่งร้องไห้อยู่ พญาช้างพอได้ยินเสียงคนร้องไห้ด้วยความเมตตากรุณาในเขา จึงนำเขาออกจากป่าไปส่งที่ชายแดนมนุษย์ ฝ่ายนายพรานเมื่อพบช้างที่สวยงามเช่นนั้น ก็คิดชั่วร้าย "ถ้าเรานำความกราบทูลพระราชา เราจักได้ทรัพย์มากเป็นแน่แท้" ขณะอยู่บนหลังช้างได้หักกิ่งไม้่กำหนดไว้เป็นสัญลักษณ์

    ในสมัยนั้น ช้างมงคลของพระราชาได้ตายลง พระราชาจึงมีรับสั่งให้ตีกลองร้องประกาศว่าใครมีช้างที่สวยงามขอให้บอก นายพรานนั้นได้โอกาสจึงรับสั้งให้นายควญช้างพร้อมด้วยบริวารติดตามนายพรานนั้นเข้าป่านำพญาช้างนั้นมาถวาย

    นายควาญช้างเมื่อพบพญาช้างแล้วก็ถูกใจ ส่วนพญาช้างขณะนั้นกำลังดื่มน้ำอยู่ในสระ เมื่อเห็นนายพรานนั้นกลับมาพร้อมผู้คนอีกจำนวนมากก็ทราบถึงภัยมาถึงตัวแล้ว จึงกำหนดสติข่มความโกรธไว้ในใจยืนนิ่งอยู่ นายควาญช้างได้นำพญาช้างเข้าไปในเมือง พาราณสี ฝ่ายช้างมารดาของพญาช้าง เมื่อไม่เห็นลูกมาจึงคร่ำครวญคิดถึงลูกว่า "ลูกเราสงสัยถูกพระราชาหรือมหาอำมาตย์จับไปแล้วหนอ เมื่อไม่มีพญาช้างอยู่ ไม้อ้อยช้าง ไม้มูกมัน ไม้ช้างน้าว หญ้างวงช้าง ข้าวฟ่าง และลูกเดือย จักเจริญงอกงาม"

    ฝ่ายนายควาญช้างในระหว่างทางขณะกลับเข้าเมืองได้ส่งสาส์นไปถึงพระราชาเพื่อตบแต่งเมืองให้สวยงาม เมื่อถึงเมืองแล้วก็ประพรมน้ำหอมพญาช้าง ประดับเครื่องทรงแล้วนำไปไว้ที่โรงช้างขึ้นกราบทูลพระราชา

    พระราชาทรงนำอาหารอันมีรสเลิศต่าง ๆ มาให้พญาช้างด้วยพระองค์เอง พญาช้างคิดถึงมารดาจึงไม่กินอาหารนั้น พระองค์จึงอ้อนวอนมันว่า "พญาช้างตัวประเสริฐเอ๋ย เชิญพ่อรับคำข้าวเถิดเจ้ามีภารกิจมากมายที่ต้องทำ"
    พญาช้างพูดลอย ๆ ขึ้นว่า "นางช้างผู้กำพร้า ตาบอดไม่มีผู้นำทาง คงสะดุดตอไม้ล้มลงตรงภูเขาเป็นแน่"
    พระราชาตรัสถามว่า "พญาช้าง… นางช้างนั้นเป็นอะไรกับท่านหรือ"
    พญาช้าง "นางเป็นมารดาของข้าพระองค์เอง"
    พระราชาเมื่อฟังแล้วเกิดความสลดใจมีรับสั่งให้ปล่อยพญาช้างว่า "พญาช้างนี้เลี้ยงดูมารดาตาบอดอยู่ในป่า ท่านทั้งหลายปล่อยมันกลับไปเถิด"

    พญาช้างเมื่อถูกปล่อยให้อิสระพักอยู่หน่อยหนึ่งแล้วแสดงธรรมต่อพระราชาว่า "มหาราชเจ้า ขอพระองค์จงอย่าเป็นผู้ประมาทเถิด" แล้วได้กลับไปยังที่อยู่ของตน ได้นำน้ำในสระไปรดตัวมารดาที่นอนร่างกายผ่ายผอมเพราะไม่ได้อาหารมาแลัว ๗ วัน เป็นอันดับแรก

    ฝ่ายช้างมารดาเมื่อถูกน้ำราดตัวเข้าใจว่าฝนตกจึงพูดขึ้นว่า "ฝนอะไรนี่ตกไม่เป็นฤดู ลูกเราไม่อยู่เสียแล้ว"
    พญาช้างจึงพูดปลอบใจมารดาว่า "แม่.. เชิญลุกขึ้นเถิดลูกของแม่มาแล้ว พระราชาผู้ทรงธรรมให้ปล่อยมาแล้วละ"
    นางช้างดีใจมากได้อนุโมทนาแก่พระราชาว่า "ขอให้พระองค์ทรงพระชนม์ยืนนาน เจริญรุ่งเรืองเถิดที่ได้ปล่อยลูกของข้าพระองค์คืนมา"

    ฝ่ายพระราชาทรงเลื่อมใสในพญาช้าง จึงมีรับสั่งให้ตั้งอาหารไว้เพื่อพญาช้างและมารดาเป็นประจำ ตั้งแต่วันที่ปล่อยพญาช้างไปและรับสั่งให้สร้างรูปเหมือนพญาช้างจัดงานฉลองช้างขึ้นเป็นประจำทุกปี พญาช้างเมื่อมารดาเสียชีวิตแล้วก็ได้อยู่อุปัฏฐากคณะฤๅษี ๕๐๐ ตน จนตราบเท่าชีวิต


    -----------------------------------------------------------------

    ขอบพระคุณที่มา
    dhammathai.org
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool:({) สวัสดีครับคุณ นักรบเงา ต้องขอขอบคุณนักรบเงามาก ที่นำ พระสัทธรรมเทสนา ของหลวงพ่อ ฤาษี วัดท่าซุง มาแสดง ที่ประวัติองค์สมเด็จองค์พระปัจจุบัน ผมลืมไปนานแล้ว ได้ฟังใหม่ ฟังแล้ว ชื่นใจ การทำความปราถนา ของสมเด็จสมเด็จในสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ :cool:
     
  15. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    โอวาทธรรมหลวงปู่สด จนฺทสโร
    #การทดแทนคุณมารดาบิดาของบุตร#

    การบวชในธรรมวินัยน่ะ ได้ชื่อว่า สนองคุณมารดาบิดาจริงๆเชียว มารดาบิดาน่ะ ถ้าว่าเห็นลูกบวชแล้ว ปลาบปลื้ม เอิบอิ่ม เต็มตื้นนัก อะไรจะไปเท่าไม่มีล่ะ ร่าเริงบันเทิงใจ จะกินข้าวหรือไม่กินไม่รู้ละ อิ่มเอิบไปหมด บอกไม่ถูกทีเดียว ถ้าว่าลูกของใครบวชเข้าไปแล้ว ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายปลาบปลื้ม อิ่มเอิบ ตื้นเต็มอย่างนั้น บาลีท่านยืนยันในมงคลทีปนทีว่า

    #มารดาบิดาไม่มีศรัทธา ไม่เชื่อในพระรัตนตรัย เชื่อในพระรัตนตรัยขึ้น นี่เป็นแทนคุณข้อที่ ๑

    #มารดาบิดาไม่มีศีล ให้มีศีลขึ้น นี่เป็นแทนคุณข้อที่ ๒

    #มารดาบิดาไม่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ให้เลื่อมใสหนักขึ้น นี่เป็นแทนคุณข้อที่ ๓

    #มารดาไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ แก้ไขมารดาบิดา ให้รู้จักประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ขึ้น

    เหมือนกับตนผู้บวชในวันนี้ มารดาบิดาไม่เลื่อมใส ทำให้เลื่อมใสหนักขึ้น หรือเลื่อมใสน้อย ทำให้เลื่อมใสมากขึ้น มารดาบิดาไม่มีศีล เข้าใกล้พระรับศีล เมื่อเข้าก็รับศีลแล้ว เมื่อตอนก่อนก็รับศีลเหมือนกัน นี่เขาเคยรับศีลมาบ้างแล้ว รับศีลแน่นหนาหนักขึ้น ให้ทั่วไปกับพระภิกษุอื่น เมื่อลูกบวชเช่นนี้ เห็นพระภิกษุอื่น สามเณรอื่น ก็เหมือนอย่างกับลูกเรา รักใคร่ภิกษุสามเณรขึ้นทีเดียว สมเพชเวทนา มีข้าวปลาอาหารก็เอามาเลี้ยงดูทีเดียว นี่เป็นต้นเป็นตัวอย่าง

    เมื่อมารดาบิดา ไม่เชื่อแท้แน่นอน ลงไปในพระพุทธศาสนา ก็ให้มีธรรมกายเสีย เชื่อแท้แน่นอนแล้ว ลูกน่ะแก้ไขให้มีธรรมกายแท้แน่นอนแล้ว มารดาบิดาไม้รู้จักสูงต่ำ เมื่อรู้จักพุทธศาสนาแล้ว รู้จักสูงต่ำทีเดียว นี่มันชั้นสูง อ้อ!เมื่อก่อนเราเล่นมีลูกมีเต้ามาเดิมน่ะ มันเล่นอย่างเด็กๆนี่ นี่พระท่านไม่เล่นด้วย ท่านไปไกลอย่างนี้ มาเป็นธรรมกายพระอรหัตเข้าแล้ว ไปไกลหนักขึ้นไป ก็ดีอกดีใจ ชอบอกชอบใจ อย่านี้ได้ชื่อว่า ได้แทนคุณมารดาบิดาจริงๆทีเดียว

    ถ้าว่าจะแทนคุณมารดาบิดาน่ะ ให้เอาทองคำมาทั้งแผ่นนั่นแหละ เป็นเจ้าจักรพรรดิ นิมิตแผ่นปฐพีให้เป็นทองคำทั้งแผ่น มอบให้บิดามารดา มอบให้เป็นสมบัติพรรดิตราธิราช ให้บิดาเป็นเจ้าจักรพรรดิตราธิราช ให้มารดาเป็นพระมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิตราธิราช เป็นแต่กตัญญูต่อมารดาบิดา ไม่ใช่ว่าตอบแทนคุณ แม้ว่าจะเอามารดาขึ้นนั่ง ให้มารดาขึ้นนั่งบ่าขวา บิดาขึ้นนั่งบ่าซ้าย ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ บนนั้น เสร็จจนหมดอายุของลูกนั่นแหละ จะชื่อว่าแทนคุณบิดามารดาก็หาไม่ ได้ชื่อว่าเป็น กตัญญูกตเวทีต่อมาดาบิดาเท่านั้น ชื่อว่าแทนคุณแท้ๆ ดังกล่าวแล้ว #มารดาบิดาไม่มีศรัทธาให้มีศรัทธาขึ้น #ไม่มีศีลให้มีศีลขึ้น #ไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใสขึ้น #ไม่รู้บาปบุญคุณโทษให้รู้จักบาปบุญคุณโทษขึ้น ๔ ประการนี้ วางหลักไว้

    .......................
    พระมงคลเทพมุนี
    หลวงปู่สด จนฺทสโร
    .......................
    จากเทศนาธรรมเรื่อง
    รัตนะ
    ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๙๗
    ....................
    เทศนาธรรมในวันอุปสมบทพระบวชใหม่ ซึ่งพระบวชใหม่ในวันนั้นคือ พระวีระ คณุตฺตโม ปัจจุบันท่านดำรงสมณศักดิ์ที่ พระราชพรหมเถร (หลวงปู่วีระ คณุตฺตโม) รองเจ้าอาวาสและพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำภาษีเจริญ






    [​IMG]
     
  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    “อมตะวาทะ”
    หลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ------------------------------
    พระอรหันต์ของบุตร

    มารดาบิดารักลูกออกใหม่ๆ มีเมตตารักใคร่จะให้เป็นสุข ไม่ต้องการอะไรเลยในลูก กรุณาอยากจะช่วยลูกให้พ้นทุกข์ มุทิตาเมื่อลูกเดินได้นั่งได้คลานได้ ไปในทิศานุทิศได้ เลี้ยงตัวได้ก็ยินดีด้วย โมทนาด้วย หรือถึงความวิบัติพลัดพราก ที่เหลือวิสัยที่จะช่วยได้ก็อยู่ในอุเบกขา อย่างนั้นมารดาที่รักลูกน่ะ รักใคร่ลูกน่ะ ถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกน่ะ ไม่ประกอบด้วยกาม ประกอบด้วยพรหมวิหารแท้ๆ ถึงได้กล่าวว่ามารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร พระพุทธเจ้าก็เป็นพรหมของบุตร เป็นพระพุทธเจ้าด้วย เป็นพรหมด้วย มารดาบิดาเป็นบุรพาจารย์ของบุตร เพราะสอนบุตรและธิดามาก่อนใคร มารดาบิดาเป็นพระอรหันต์ของบุตร บุตรจะเพาะเลี้ยงมารดาบิดาด้วยประการใด ก็ได้ชื่อว่าเลี้ยงพระอรหันต์แท้ๆ

    จาก พระธรรมเทศนากัณฑ์ที่ ๓๓
    เรื่อง กรณียเมตตสูตร
    ๑ มิถุนายน ๒๔๙๗

    ....
    เพจวิชชาธรรมกาย
    เพื่อการเผยแผ่วิชชาธรรมกายที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ตามที่หลวงพ่อวัดปากน้ำสั่งสอนและถ่ายทอดไว้
    www.facebook.com/pagedhammakaya
     
  17. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973





    [​IMG]


    (สมเด็จโต พรหมรังสี)

    ลูกเอ๋ย...ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง ใจน้อยง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม จิตใจก็หมดความสุขสดชื่น ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่ เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เจ้าช่วยท่านให้ได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอน อันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น แต่จิตใจของท่าน หาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่



    เจ้าจงจำไว้ว่า การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ การให้ธรรมะ ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆให้พ่อแม่ของเจ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา

    ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ



    ....ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด
     
  18. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    [​IMG]
     
  19. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    ปรากฎความในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกามหาวรรค ภายหลังการบรรลุอนุตราสัมมาสัมโพธิญาณของพระบรมศาสดา พระองค์ได้เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก และเมื่อทราบทราบว่าพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาประชวรหนัก จึงเสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์อีกครั้งเพื่อเยี่ยมอาการพระพุทธบิดา พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นจำนวนมาก ทรงถวายพยาบาลพระพุทธบิดาตามพุทธวิสัย และโปรดให้พระพุทธบิดาได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในกาลต่อมาพระพุทธบิดาก็ปรินิพพานบนพระแท่นบรรทมภายใต้เศวตฉัตรนั้งเอง ภายหลังถวายพระเพลิงพระศพพระพุทธบิดา พระพุทธองค์ตรัสว่า


    "บุคคลใดมีจิตปรารถนาพระโพธิญาณ

    ....จงอุตสาหะภิบาลบำรุงบิดามารดา
    .... ประพฤติกุศลสุจริตธรรม

    จักสมปรารถนาทุกประการ "


    ******************************


    ผลานิสงส์จากการเลี้ยงดูบิดามารดา ยังส่งผลร่วมให้ผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ได้สำเร็จดังเจตนาได้ปานนั้น ดังที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ และกล่าวรับรอง


    กัลยาณชน ปุถุชนชั้นดี เมื่อได้บำรุงเลี้ยงดูบิดามารดา ย่อมได้รับผลานิสงส์อันเป็นกรรมดีมากมายนานับประการ แม้ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แต่ทำด้วยสำนึกอันดี
     
  20. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...