ธรรมะจากพระนิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Me, myself, 12 มีนาคม 2010.

  1. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    [​IMG]

    กระทู้นี้จะคัดเฉพาะธรรมะของสมเด็จองค์ปฐม
    พระศาสดาและหลวงพ่อฤาษี มาลงไว้นะคะ
    เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามอ่าน เพราะถ้าผู้มาใหม่
    ไปตามอ่านจากกระทู้เดิมก็อ่านกันหลายหน้ามาก
    กระทู้นี้จะไม่ลงเรื่องการพูดคุยนะคะ
    หากต้องการสอบถามข้อสงสัยหรือข้อปฏิบัติ
    หรือต้องการพูดคุยก็ให้ไปติดตามดูที่กระทู้เดิม
    ตามลิงค์นี้ค่ะ

    http://palungjit.org/threads/ไม่เคย...เองสื่อได้-คล้ายๆจะมาทางด้านนี้.177072/page-4

    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ค่ะ
    อานิสงส์ในส่วนแห่งธรรมทาน ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา
    ด้วยพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ และเทวานุภาพ
    โปรดประทานพรให้เว็บพลังจิตและทีมงานทุกท่าน สมาชิกทุกท่าน
    รวมทั้งทุกๆ ท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน ประสพแต่ความสุขความเจริญ
    ทั้งทางโลกและทางธรรม และเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ทุกท่าน เทอญ


    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    อนึ่ง สิ่งที่รู้ที่เห็นมานี้ ได้มาโดยวิชามโนมยิทธิซึ่งเป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตน ดังนั้นโปรดอย่าเชื่อในทันทีตามกฏกาลามสูตร โปรดใช้ปัญญาพิจารณาในการอ่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มีนาคม 2010
  2. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    คนใกล้ตายถ้าจิตนึกถึงพระนิพพาน จะไปพระนิพพานได้จริงหรือไม่

    คืนหนึ่ง ได้ขึ้นไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่มีคำถามค้างคาใจจะไปถามด้วย ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม องค์ตถาคตก็เอ่ยขึ้นก่อน

    ตถาคต - เอ้า ว่าอย่างไร มีอะไรจะถามเรา

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ ตถาคต คือมีเรื่องสงสัยน่ะค่ะ จากที่ศึกษาหนังสือที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวไว้ว่า คนที่ใกล้จะตาย ถ้าหากว่าจิตตอนนั้นนึกถึงนิพพาน ก็ไปนิพพานเลย จริงเหรอเจ้าคะ

    ตถาคต - จริง

    ดิฉัน - เพราะบางเรื่อง เห็นมีคนก็ทำชั่วไว้เหมือนกัน แต่พอจะตาย ก็เห็นพระอริยะ แล้วก็เลยได้ปิติ กลายเป็นได้ไปนิพพานเลย ไม่ลงนรก

    ตถาคต - ถูกต้องแล้ว

    ดิฉัน - งั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องทำดีก็ได้นี่คะ ในเมื่อพอจะตาย ก็นึกถึงพระ นึกถึงนิพพาน เราก็ไปสวรรค์ ไปนิพพานได้เลย อย่างนี้คนก็ต้องคิดว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องทำดี ทำชั่วซะก็ยังได้ไปสวรรค์นิพพาน แล้วจะทำดีไปทำไมละเจ้าคะ

    ตถาคต - ดูก่อน...(ชื่อดิฉัน)....เธอคิดหรือว่า คนที่ไม่เคยฝึกจิตให้นึกถึงแต่นิพพาน ไม่เคยคิดเรื่องทำดี ทำแต่กรรมชั่ว พอท้ายที่สุด จิตจะนึกถึงพระหรือนิพพานได้

    ดิฉัน - ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เจ้าค่ะ

    ตถาคต - ถูกต้องแล้ว คนที่ทั้งชีวิตทำแต่กรรมชั่ว ไม่เคยทำกรรมดี พอตอนจะตาย จิตก็คิดแต่เรื่องที่ตัวเองทำไม่ดีไว้ อีกทั้งกฎแห่งกรรมก็จะคอยจ้องอยู่ ทำอย่างไร เขาก็ไม่มีทางที่จะเห็นพระหรือนิพพานได้หรอก ดังนั้นหนทางที่จะได้ไปสวรรค์หรือนิพพานจึงไม่มี สำหรับบางคนที่ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง พอตอนใกล้จะตาย จิตเป็นกุศล ก็ได้ไปสวรรค์หรือนิพพานได้ แต่ถ้าหากจิตเป็นอกุศลก็ต้องลงนรก ตถาคตถึงสอนว่าให้ทำดี ฝึกจิตให้นึกถึงแต่นิพพานเข้าไว้ บุคคลผู้ฝึกจิตให้นึกเห็นแต่นิพพาน ย่อมต้องเป็นผู้อยู่ในศีลในธรรมอยู่แล้ว ดังนั้นการที่จะไปทำกรรมชั่ว ย่อมไม่อาจทำได้ง่าย ดังนั้นเมื่อจิตเป็นกุศล คิดแต่เรื่องดีๆ พอใกล้จะตาย ย่อมได้ขึ้นสวรรค์หรือนิพพานแน่นอน จงจำเอาไว้

    ดิฉัน - สาธุ ลูกได้ความกระจ่างแล้วค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มีนาคม 2010
  3. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    การมีอาชีพที่ไม่สมควร เป็นเหตุให้ตกนรกได้

    จะเล่าเรื่องจากบันทึกที่จดไว้ ในการทำสมาธิของวันที่ 23 มีนาคม 2552

    ว้นนี้องค์ตถาคตได้เสด็จลงมารับ แล้วก็พากันขึ้นไปที่นิพพาน ก็ได้สนทนากัน

    ตถาคต - เป็นอย่างไร

    ดิฉัน - ทุกข์ค่ะ

    ตถาคต - ทุกข์เพราะอะไร

    ดิฉัน - ทุกข์เพราะไม่มีงานทำ ทุกข์เพราะกลัวเงินจะหมด แล้วจะไม่มีเงินใช้ ทุกข์เพราะเป็นห่วงลูกแล้วก็พ่อแม่

    ตถาคต - แล้วรู้สึกอย่างไร ยังอยากเกิดอีกไหม

    ดิฉัน - รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากเกิดอีกแล้ว หากชาตินี้ตายไป ก็ขอไปนิพพานค่ะ

    ตถาคต - ก็ต้องตั้งจิตให้นึกถึงแต่นิพพานไว้

    ดิฉัน - ค่ะ วันนี้ได้เข้าไปอ่านเกี่ยวกับเรื่องนรกภูมิค่ะ แล้วก็ไปอ่านที่นักกรรมฐานคนหนึ่งบันทึกไว้ ก็เกิดความสงสัยเจ้าค่ะ

    ตถาคต - สงสัยเรื่องอะไรรึ

    ดิฉัน - เรื่องมีอยู่ว่า ผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกผู้ชายข่มขืน แล้วก็ตั้งท้อง ผู้ชายก็ให้ไปทำแท้ง ผู้หญิงก็ไม่ยอมทำ ผู้ชายก็ทำร้ายจนแท้ง ผู้หญิงคนนั้นจึงประชดชีวิตด้วยการขายตัว เพราะฐานะก็ยากจน ก็ขายตัวเลี้ยงพ่อแม่พี่น้อง เวลาได้เงินมา พ่อก็เอาไปกินเหล้า ใช้จ่ายจนหมด เธอไม่เคยมีความสุข ได้แต่เสียใจกับชีวิตของตัวเอง ตอนหลังเธอก็เป็นโรค สุดท้ายก็ตาย เธอเลยไปตกนรก...ทำไมเธอถึงต้องตกนรกละคะ ก็เธอทำงานหาเลี้ยงพ่อแม่พี่น้อง ก็น่าจะได้ผลบุญตรงนี้ แล้วก็ไม่ได้ทำผิดอะไรอีก นอกจากขายตัว

    ตถาคต - การที่เธอเลี้ยงพ่อแม่ก็เป็นความดีที่ทำให้เธอจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี หรือไม่ก็ได้ขึ้นสวรรค์แน่ แต่เพราะจิตของเธอมีแต่ความเศร้าเสียใจ คิดแต่ว่าตัวเองไม่มีความสุข เวลาจะตาย จิตก็ไม่ได้ยึดติดกับนิพพานหรือความดี จึงทำให้เธอต้องตกนรก

    ดิฉัน - แล้วทำไมเธอถึงต้องตกนรกล่ะคะ การขายตัวก็เป็นอาชีพสุจริตไม่ใช่หรือคะ

    ตถาคต - ในทางโลก ในแต่ละที่ก็แตกต่างกัน บางที่ก็เป็นอาชีพที่ถูกกฎหมาย แต่ถึงแม้จะถูกกฎหมาย ในทางกฎแห่งกรรม ตถาคตถือว่าเป็นอาชีพที่มิชอบมิสมควรจะกระทำ เพราะเป็นอาชีพที่ส่งเสริมให้คนผิดศีลข้อกาเม ดังนั้นจึงถือว่าเป็นอาชีพที่ไม่สมควรจะกระทำ กรรมอันนี้จึงทำให้ต้องไปตกนรก

    ดิฉัน - อ๋อ...เข้าใจแล้วค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  4. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    พบสมเด็จองค์ปฐมครั้งแรก ทรงสอนให้พิจารณาว่าสังขารนี้มันไม่เที่ยงฯ

    บันทึกการทำสมาธิวันที่ 1 พ.ค. 52

    วันนี้พอจิตเป็นสมาธิ ก็เห็นพระศาสดาเสด็จลงมารับ ก็เลยได้ตามท่านขึ้นไปที่นิพพาน ท่านก็ถามว่าเป็นอย่างไร ดิฉันก็ตอบว่า ก็เหมือนเดิมค่ะ ดำรงชีวิตเป็นปกติเหมือนทุกวัน ท่านก็ว่า ไม่ทุกข์ร้อนหรือวันนี้ ก็บอกท่านว่าก็ทุกข์ร้อนเป็นปกติของมนุษย์อยู่แล้วค่ะ ท่านก็ว่า ใช่ แล้วท่านก็ถามว่า วันนี้จะไปดูนรกอีกไหม ก็บอกท่านว่า วันนี้ไม่ไป ท่านก็เลยพาไปที่ลานแสดงธรรม ก็เดินผ่านมวลมนุษย์ เทวดา พรหมทั้งหลายไปที่ประทับ ดิฉันเดินตามหลัง มองเห็นจีวรของตถาคตสีสรรสดใสเชียววันนี้ ยังคิดในใจว่า วันนี้เห็นสีจีวรของตถาคตชัดดีแท้ๆ พอตถาคตนั่งในที่ประทับ ดิฉันก็กราบนมัสการท่านรวมถึงพระอรหันต์องค์อื่นๆด้วย

    ก็ถามตถาคตว่า ทำไมให้ดิฉันมานั่งใกล้ที่ประทับ คนอื่นๆ เขานั่งกันอยู่ตั้งไกล เขาจะไม่ว่าเอาเหรอ ท่านก็บอกว่า ไม่มีใครว่าหรอก คนอื่นเขาก็เข้ามาเหมือนกัน ตถาคตไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง เขามาจนกลับออกไปแล้ว ส่วนดิฉันน่ะมาช้า แล้วท่านก็ว่า เรายังไม่เคยพบสมเด็จองค์ปฐมใช่ไหม อยากเจอใช่ไหม (แหม...ท่านอ่านใจออกทุกที) ท่านก็บอกว่า สมเด็จองค์ปฐมนั่งอยู่ข้างหน้าเธอนั่นไง ดิฉันก็มองไปเห็นสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องแต่งกายแบบกษัตริย์ ดิฉันก็นั่งจ้องท่านอยู่พักหนึ่งแบบงงๆอึ้งๆ แล้วหลังจากนั้นก็ได้ก้มลงกราบท่าน

    สมเด็จองค์ปฐมก็ถามถึงเรื่องการปฎิบัติ ก็ตอบท่านว่าก็ยังไม่เก่ง บางครั้งก็สงสัยแล้วรู้สึกว่าตัวเองยังโง่อยู่อีกมาก พระศาสดาเลยว่า นี่แหละท่านสมเด็จองค์ปฐม คนนี้น่ะปัญหาเยอะ ข้อสงสัยก็เยอะ ท่านมีวิธีสอนบ้างหรือไม่

    สมเด็จท่านก็ว่า เจ้านี่มันคิดยิบคิดย่อยไปหมด แต่เอาเถอะมีข้อสงสัยแล้วมาหาความรู้ ดีกว่ามีข้อสงสัย ไม่เชื่อ แล้วยังไม่ศึกษาหาความจริง ท่านว่าวันนี้จะสอนธรรมะง่ายๆก็แล้วกัน เรื่องสังขารของคนเรา ให้เจ้าพิจารณาว่าสังขารนี้มันไม่เที่ยง ไม่ช้าไม่นานก็ต้องแตกสลายไป มีแต่จิตเท่านั้นที่ยังคงอยู่ เมื่อร่างกายสังขารแตกดับ จิตก็ต้องไปหาที่จุติ หากว่าตอนจะตายจิตมีอกุศลมากก็จะจุติในนรกทันที หากว่าจิตมีบุญมีกุศลก็จะไปจุติในสวรรค์ในพรหมหรือในนิพพานทันทีเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ทำมา

    อยากให้เจ้าพิจารณาว่า ร่างกายนี้เป็นสิ่งเน่าเหม็น เป็นที่เก็บของที่ตายแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่พวกเจ้ากินเข้าไป ก็ไปหมักหมมกันอยู่ในนี้ เกิดการเน่าเสีย ร่างกายของพวกเจ้าประกอบไปด้วยของเน่าของเสีย ทั้งเลือดเนื้อที่มีอยู่ก็เกิดมาจากของเสียทั้งหลาย ให้พิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเป็นของโลก เมื่อถึงเวลาก็จะแตกสลายกลับไปเป็นธาตุทั้งสี่ของโลกเหมือนเดิม ร่างกายนี้ไม่ได้อยู่ถาวรไม่ได้ยั่งยืน มีแต่จิตเท่านั้นที่ยังคงอยู่ อย่าคิดเป็นห่วงสังขารร่างกายนี้ ดูให้ดีจะเห็นว่ามันเป็นทุกข์ จะต้องหาอาหารมากินเพื่อให้สังขารนี้อยู่ได้ ต้องคอยดูแลเอาใจใส่มันทุกอย่าง ขอให้เจ้าอย่ายึดติด ให้ละสักกายทิฐินี้เสีย ให้คิดว่าร่างกายไม่มีในเรา เราไม่มีในกาย อย่าไปคิดว่านี่คือตัวกูของกู ให้ละซะให้หมดเพื่อชำระจิตใจเจ้า เพื่อการฝึกฝนเพื่อไปให้ถึงซึ่งนิพพาน หากเจ้าละสักกายทิฐินี้ได้ ก็จะทำให้เจ้าฝึกจิตได้ วันนี้ก็เอาเท่านี้ก่อน วันหน้าค่อยมาว่ากันเรื่องอื่น

    ดิฉันก็ได้ถามสมเด็จองค์ปฐมว่า เห็นแต่ละคนก็เขียนแนวทางการฝึกปฎิบัติต่างกัน เห็นต่างกัน ดูแล้วสับสนงุนงง

    สมเด็จองค์ปฐมมีเมตตาตรัสสอนว่า คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีมากมายหลายทางอยู่ เพื่อให้เหมาะให้ถูกจริตกับคนทุกประเภท และคำสอนนั้นๆก็เป็นเรื่องที่ถูกที่ควร เป็นคำสอนที่ถูกต้อง แต่พวกมนุษย์นี่ซีที่เอาไปทำกันซะจนเละ ต่างคนต่างความคิด เห็นแต่ของตัวเองดี ตัวเองถูก ของคนอื่นที่ไม่ตรงกับตัวเองก็หาว่าเขาผิด ที่จริงคำสอนของพระพุทธองค์ไม่มีอันไหนผิด ทุกสิ่งทุกอย่างสอนให้มุ่งไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ทั้งนั้น

    แล้วการที่เจ้าอ่านมากเจอมาก ก็ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องไปเอามาทำตามเสียทั้งหมด ให้ดูว่าอันไหนเราทำได้ถูกจริตกับเรา ก็ให้รับอันนั้นมาปฎิบัติ ไม่มีตำราไหนถูกต้องตรงกับเรา 100% เราต้องรู้จักเอามาปรับปรุงให้เหมาะแก่ตัวเราเอง ให้ใช้ปัญญาในการพิจารณาเอา

    ดิฉันก็น้อมรับคำสั่งสอนจากสมเด็จองค์ปฐมมา จากนั้นก็ได้ลากลับลงมา แวะไปกราบหลวงพ่อโตก่อนออกจากสมาธิ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  5. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    การสะเดาะเคราะห์ที่ถูกต้องควรทำอย่างไร

    วันนี้จะมาพูดกันถึงเรื่องการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาค่ะ อันนี้ก็ไม่ได้มีเจตนากล่าวหาผู้ใด หรือ วัดใด ใครใคร่ทำก็ทำไปค่ะ เป็นเพียงการสงสัยของดิฉันเองผู้เดียว ก็เลยต้องหาคำตอบ ดังนั้นท่านกัลยาณมิตรทั้งหลายโปรดใช้ปัญญาในการพิจารณาค่ะ

    ดิฉันเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องการสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีบังสุกุลเป็น-บังสุกุลตาย หรือว่านอนในโลง ก็เลยทำให้ไม่ได้สนใจที่จะไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีนี้ แต่เพื่อนดิฉัน (คนที่เคยทำแท้ง) เป็นคนที่ชอบมากๆเลยเรื่องแบบนี้ ใครว่าที่ไหนดีเป็นต้องไป ไกลแค่ไหนก็ไป ดิฉันเคยบอกว่าให้ไหว้พระ สวดมนต์ แล้วก็ไปใส่บาตรทำบุญบ้าง เธอก็ไม่เคยทำ เวลาดิฉันชวนไปวัด ชวนไปทำบุญ ก็จะอ้างแต่ว่าเงินไม่มีแล้วก็ไม่ไป เคยชวนไปถวายอาหารให้แก่พระอาพาธที่โรงพยาบาลสงฆ์ เธอก็ว่าไม่ไป ไม่มีเงิน ทั้งๆที่ดิฉันไม่ได้ให้เธอออกเงิน เพราะว่าเวลาไปก็จะมีเพื่อนๆอีกหลายคนที่ไปทำบุญร่วมกันประจำ ก็จะช่วยกันแชร์ค่าใช้จ่าย แค่อยากให้เธอไปประเคนอาหารร่วมกับเราจะได้มีบุญไว้ช่วยตัวเอง เธอก็ไม่เอา ดิฉันก็จนปัญญาไม่รู้จะช่วยให้เธอพ้นทุกข์ได้ยังไง

    แต่ที่ทำให้ดิฉันพูดไม่ออก บอกไม่ถูกก็คือ เวลาที่เธอไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีการต่างๆ เธอกลับมีเงินไป ไหนจะค่าน้ำมันรถ ค่าอะไรต่อมิอะไร ใครว่าที่ไหนดีช่วยได้ เธอก็ให้เขาพาไปหมด ทั้งสมุทรสงคราม นครนายก ฯ เธอก็ไปมาหมดแล้ว แต่ดิฉันก็ไม่เห็นชีวิตเธอดีขึ้นเลย ล่าสุดเธอบอกว่าที่นครนายกเธอไปมาสามครั้งแล้ว ดิฉันถึงกับอึ้งไปเลย ยังถามเลยว่า ไปทำไมตั้งสามครั้ง ที่วัดสลุดเธอก็ไปบ่อย เธอก็เคยชวนดิฉันไปเป็นเพื่อนด้วย

    เห็นเพื่อนก็ไปมาทุกที่ ชีวิตก็ยังย่ำแย่อยู่เหมือนเดิม ด้วยความสงสัยคืนหนึ่งได้ขึ้นไปเฝ้าพระศาสดาก็เลยได้ถามท่านถึงเรื่องนี้

    ดิฉัน - พระศาสดาเจ้าคะ การสะเดาะเคราะห์ด้วยการบังสุกุลเป็น-บังสุกุลตาย หรือว่าไปนอนในโลง จะทำให้เราพ้นเคราะห์พ้นกรรมได้จริงๆหรือคะ

    พระศาสดา - เป็นไปไม่ได้เลย และตถาคตก็ไม่เคยสอนอย่างนี้ด้วย

    ดิฉัน - แต่เห็นหลายวัดก็ทำพิธีนี้นะคะ คนก็ไปเยอะด้วยเจ้าค่ะ

    พระศาสดา - ก็เป็นอุบายในการให้คนเข้าวัด แล้วก็หาเงินเข้าวัดทางหนึ่ง ตถาคตไม่เคยสอนให้คนงมงาย สอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาถึงปัญหาต่างๆ ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง ไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรมพ้น แล้วกรรมก็ไม่สามารถลบล้างได้ด้วยการไปนอนในโลงหรือด้วยวิธีที่งมงาย ผู้ที่ไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีการนี้ ตถาคตถือว่าบุคคลนั้น ไร้ปัญญาโดยแท้ หากจะไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีนี้ สู้ไปปล่อยสัตว์ที่ถึงฆาตยังจะได้บุญกุศลกว่า

    ดิฉัน - แต่ก็มีคนบางคนเขาก็ดีขึ้นจริงๆนะคะ เห็นเขาว่ากัน

    พระศาสดา - เป็นเพราะกรรมดีส่งผลพอดี เลยทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ไม่เกี่ยวกับการสะเดาะเคราะห์อันนี้หรอก แต่ถ้าคนที่ไม่ใช้ปัญญาก็จะคิดว่าทำอย่างนี้แล้วได้ผลจริงๆ

    ดิฉัน - ก็อาจจะเป็นจริงอย่างที่พระศาสดาว่า เพื่อนของลูกเขาก็ไปมาหลายที่ บางที่ก็ไปมาหลายหนแล้ว

    พระศาสดา - แล้วชีวิตเขาดีขึ้นไหมล่ะ

    ดิฉัน - ไม่เลยเจ้าค่ะ แถมอาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ

    พระศาสดา - เธออยากรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงไม่ดีขึ้น

    ดิฉัน - อยากรู้เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - ศีลห้าข้อ ทำไม่ได้สักข้อนึงเลย ข้อหนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เขาก็ทำแท้งมาสองครั้ง ข้อสองห้ามลักขโมย เขาก็ยักยอกเงินบริษัท โกงบริษัท ข้อสามห้ามประพฤติผิดในกาม ก็คบชู้สู่ชาย ข้อสี่ห้ามพูดปด ก็ต้องโกหกสามีเพราะเรื่องที่ตัวเองทำ ข้อห้า ห้ามดื่มของมึนเมา เขาก็ดื่ม แล้วอย่างนี้จะให้ชีวิตของเขาดีขึ้นอย่างไร

    ดิฉันถึงกับตกใจแล้วก็อึ้งไปกับคำบอกเล่าขององค์พระศาสดา เพราะที่ท่านกล่าวมานั้นถูกทุกข้อ ดิฉันรู้เกี่ยวกับเรื่องของเพื่อนเป็นอย่างดี จนบางครั้งแทบจะไม่อยากรับรู้ซะด้วย เนื่องจากเหมือนน้ำท่วมปาก จะพูดบอกใครก็ไม่ได้ จะว่าไม่เคยเตือนเพื่อนเลยก็ไม่ใช่ ทั้งเตือนทั้งว่าจนเพื่อนไม่คุยด้วยไปพักนึงเลย ตอนหลังดิฉันเลยเฉยๆไม่อยากว่ากล่าว ก็คิดว่ากรรมของใครก็ของคนนั้น

    ดิฉัน - ที่พระศาสดากล่าวมานั้นถูกต้องทุกอย่างเลยค่ะ

    พระศาสดา - ศีลห้ายังรักษาไม่ได้ แล้วจะให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร การสะเดาะเคราะห์ที่ดีก็คือเป็นผู้ตั้งตนอยู่ในศีล ทำบุญทำทานตามแต่ฐานะ ปล่อยสัตว์ที่ถึงฆาต หมั่นเจริญสมาธิภาวนา เพื่อให้บุญมาช่วยให้หนีห่างพ้นจากกรรมที่ไม่ดี หากทำได้ดังนี้ ชีวิตนี้จะต้องมีความสุขความเจริญแน่นอน

    ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  6. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    พบพระสยามเทวาธิราช ท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๑๖

    บันทึกการทำสมาธิวันที่ 3 มิ.ย. 52

    เข้าสมาธิก็ไปกราบหลวงพ่อโตที่โบสถ์เป็นปกติ

    ดิฉัน - นมัสการค่ะหลวงพ่อ

    หลวงพ่อโต - เจริญพร สบายดีแล้วหรือ

    ดิฉัน - ค่ะ เอ่อ..หลวงพ่อคะ เรื่องที่ให้ปล่อยปลาแก้โรค มันได้ผลจริงๆนะคะ เดือนนี้หนูไม่ปวดหัวหนักเหมือนก่อน แค่มึนๆ

    หลวงพ่อโต - ก็พยายามไปปล่อยเรื่อยๆ เอาให้ที่มันเจ็บป่วยต่างๆให้หายไปเลย ที่เจ็บเข่าเส้นเอ็นอะไรน่ะ ก็เอาให้มันหายด้วย (คือดิฉันเป็นเอ็นหัวเข่าอักเสบ)

    ดิฉัน - ค่ะ หนูจะพยายามปล่อยปลาไปเรื่อยๆ

    หลวงพ่อโต - ดีแล้วๆ พยายามทำบุญทำกุศลให้มาก เป็นพระโสดาบันแล้วนี่เรา

    ดิฉัน - โหย..หลวงพ่อ ขอคืนได้ไหมคะ เดี๋ยวนี้จะทำอะไรๆ ก็เป็นโสดาบันนะ จะคิดจะพูดจะทำอะไรก็โสดาบันนะ แหม..คำว่าโสดาบันเนี่ยมันค้ำคอหนูอยู่ตลอดเลย แทบจะไม่กล้ากระดิก ระแวงไปหมด

    หลวงพ่อโต - ไม่ได้ สมเด็จท่านคงไม่ยอมง่ายๆหรอก ท่านให้มาแล้ว ห้ามลดลงมีแต่จะต้องทำให้เลื่อนขั้นขึ้นไป จริงๆโสดาบันมันก็ไม่ได้มีอะไรพิสดารเลย มันก็เป็นสิ่งที่เจ้าปฏิบัติตัวอยู่เป็นปกตินั่นแหละ เพียงแต่เดี๋ยวนี้พอเจ้ารู้ ก็เลยทำให้เจ้ากังวลไปเท่านั้นเอง ก็ทำให้เหมือนปกติของเจ้านั่นแหละ ม้นก็ทรงตัวอยู่แล้ว

    ดิฉัน - ค่ะ หลวงพ่อ เอ่อ..มีเรื่องจะถามค่ะ

    หลวงพ่อโต - ขึ้นไปถามข้างบนเลย

    ดิฉัน - อ้าว..งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ

    หลวงพ่อโต - เชิญ

    ก็ลาหลวงพ่อโตเพื่อขึ้นไปหาพระศาสดา ก็กำหนดจิตเรียกหาท่าน

    ดิฉัน - พระศาสดาคะ อยู่ไหนเจ้าคะ

    พระศาสดา - อยู่ที่วิหาร

    ก็เลยไปตามที่พระศาสดาบอกมา แต่ก็งงเหมือนกัน วิหารไหนหว่า ที่เห็นมันไม่เหมือนวิหารของพระศาสดาเลยนี่นา เหมือนโรงลิเกไงๆไม่รู้ มีภาพวาดพระราหูอมจันทร์บนผนังด้านหลังใหญ่เบ้อเร่อ เห็นพระศาสดาประทับนั่งอยู่บนแท่นตรงกลางวิหาร ก็เลยเดินเข้าไปจะไปกราบนมัสการพระศาสดา แล้วพอใกล้ถึง หางตาก็เห็นเหมือนเทวดานั่งอยู่ข้างซ้ายมือ แต่..แหม..ชุดอลังการมากเลย แบบว่าคุ้นๆนะ แต่ก็ผ่านเลยไปก่อน ไปกราบพระศาสดา

    ดิฉัน - นมัสการค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร

    ดิฉัน - ที่นี่มันที่ไหนกันแน่เจ้าคะ มันไม่ใช่วิมานของพระศาสดานี่คะ แล้วก็เหมือนไม่ใช่ที่นิพพานด้วยค่ะ

    พระศาสดา - วิมานของพระสยามเทวาธิราช

    ดิฉัน (ตาโต) - หือ???

    พระศาสดา - วิมานของพระสยามเทวาธิราชเค้า อยู่บนพรหมชั้นที่ 16

    ดิฉัน - อ้าว..พระสยามเทวาธิราช ไม่ใช่เป็นเทวดาหรอกเหรอคะ เป็นพรหมเหรอ คิดว่าเป็นเทวดา

    พระศาสดา - ไม่ใช่ อันนี้อยู่บนพรหมชั้นที่ 16 แล้วท่านก็อยู่ข้างๆนั่นน่ะ

    ดิฉันก็หันไปมองท่าน วุ๊ย..หน้าตาผ่องใสงามเชียว ยิ้มแบบคนอารมณ์ดี

    ดิฉัน - ถวายบังคมค่ะ เอ้ย..สวัสดีค่ะ เอ..มันต้องพูดยังไงคะนี่

    พระสยามเทวาธิราช - เอาแบบธรรมดาๆเถอะ

    ดิฉัน - ค่ะ งั้นขอถามท่านหน่อยค่ะ ดวงเมืองไทยเป็นยังไงคะ (เอาเชียวตรู)

    ขอโทษนะคะ เป็นอะไรที่ไม่สมควรพูดจริงจริ๊ง เพราะพาดพิงถึงบุคคลอื่นอีกหลายคน ดิฉันขอไม่เล่า เอาเป็นว่าตัดข้ามไปข้อธรรมะเลยดีกว่า

    ดิฉัน - พระศาสดาคะ มีคนเขาสงสัยว่าการที่เราขับรถแล้วมีแมลงบินมาชนรถเราตาย หรือมีกบหรือสัตว์กระโดดเข้ามาแล้วโดนเราเหยียบตาย อย่างนี้เราบาปข้อปาณาหรือเปล่าเจ้าคะ

    พระศาสดา - อย่างนี้ไม่บาปเพราะไม่ได้มีเจตนา การที่จะบาปต้องเป็นไปในลักษณะต่อไปนี้ คือ รู้เห็นว่ามีสัตว์เหล่านั้นอยู่จริง รู้เห็นว่าสัตว์เหล่านั้นมีชีวิตอยู่ มีเจตนาที่จะทำลายสัตว์เหล่านั้น มีความพยายามที่จะทำลายสัตว์เหล่านั้น และสัตว์นั้นตายด้วยความพยายามของเรา หากเราไม่ได้ทำอย่างที่กล่าวมาก็ไม่บาป แล้วบางทีก็เป็นกรรมของสัตว์เหล่านั้นด้วย

    ดิฉัน - ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ พระศาสดาคะ แล้วที่ว่าลูกถูกเลือกให้มาเกิดนี่มันยังไงคะ

    พระศาสดา - ใช่ มีหลายคนถูกเลือกให้ไปช่วยคน เนื่องจากเดี๋ยวนี้จิตใจคนเสื่อมทรามลงมาก ไม่ค่อยสนใจในพระพุทธศาสนา อีกทั้งพระที่ดีๆเดี๋ยวนี้ก็หายาก ดังนั้นจึงต้องมีคนมาช่วยชี้นำทาง แล้วแต่ละคนแต่ละกลุ่มก็มีกรรมเกี่ยวเนื่องกับบุคคลแตกต่างกัน หากไม่มีกรรมเกี่ยวเนื่องมาด้วยกันแล้วก็จะสอนไม่ได้ จึงต้องใช้บุคคลที่เคยมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมา อย่างเธอมีหน้าที่ที่จะต้องให้ความรู้ด้านธรรมะเพื่อช่วยเหลือบริวารของเธอทั้งหลายให้หลุดพ้น

    ดิฉัน - แต่ถ้าต้องมาให้ลูกต้องมาทำสำนักแล้วตั้งตัวเป็นหัวหน้าเหมือนคนอื่นๆที่เห็น ลูกไม่เอาค่ะ นั่นมันไม่ใช่การหลุดพ้น ยิ่งเป็นการหลงในตัวตนมากเข้าไปอีก

    พระศาสดา - ดูก่อน เธอไม่คิดเหรอว่า ทำไมเธอถึงได้มโนมยิทธิมาได้อย่างง่ายดายโดยที่เธอไม่ต้องเรียนรู้จากที่ไหนเลย ผิดกับหลายๆคนที่เขาทั้งฝึก ทั้งมีอาจารย์แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ แล้วตลอดระยะยี่สิบกว่าปีมานี่ เธอก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอเองก็ไม่ได้หลงไปกับสิ่งที่รู้ที่เห็น แล้วยังสงสัยพิสูจน์อยู่ตลอดเวลา ทำให้ตถาคตเชื่อมั่นและไว้ใจในตัวเธอว่าเธอจะไม่มีทางหลงไปในทางไม่ดีแน่นอน ส่วนอภิญญาอื่นๆที่เธอเคยได้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะได้ เพราะว่าจิตใจเธอมันดีเกินไป คอยแต่จะช่วยเหลือคนอื่นไปหมด เดี๋ยวเธอจะไปขวางกฏแห่งกรรมแล้วเธอจะลำบาก เอาไว้ให้จิตใจเธอยอมรับเรื่องกฏแห่งกรรมให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อน เมื่อนั้นจึงจะถึงเวลา

    ดิฉัน - อภิญญาอะไรเหรอคะ

    พระศาสดา - ก็อภิญญาที่เธอมีความคิดจะฝึกอยู่นั่นแหละ (แหม..รู้อีก หลบไม่ได้เล้ย)

    ดิฉัน - ค่ะ งั้นลูกขอลากลับก่อนนะคะวันนี้ นมัสการค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  7. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สมเด็จองค์ปฐม ทรงสอนน้องฝน

    อันนี้เป็นของน้องฝนนำมาโพสต์ไว้นะคะ คำแนะนำจากสมเด็จองค์ปฐมค่ะ
    ---------------------------------------------------------------------------------

    เมื่อกี้นั่งสมาธิสมเด็จองค์ปฐมท่านสอนเราว่า

    ให้สวดมนต์โดยใช้จิตเป็นหนึ่งอย่าเเยกจิตสวด จิตหนึ่งสวดอีกจิตหนึ่งฟุ้งซ่านนั้นไม่ได้

    ก่อนนั่งสมาธิทุกครั้งให้อธิษฐานจิตทุกครั้งว่า ถ้าเป็นอะไรไปขณะนั่งสมาธิขอไปพระนิพพาน อธิษฐานอย่างนี้ทุกครั้งเพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้เกิดความหนักเเน่นในจิต สุดท้ายเเล้วจิตจะไปไหนไม่ได้นอกจากพระนิพพาน

    ที่ท่านสอนเราเเบบนี้เพราะพระอาจารย์ท่านบอกเราว่า เราต้องเกิดอีก บุญเรายังไม่เต็มไปพระนิพพานยังไม่ได้ เเต่ท่านบอกว่าการที่เเม่เราไปได้เพราะเเม่ของเรามีศีล เราก็ถามพระอาจารย์ว่าถ้าเรามีศีลเราจะไปพระนิพพานได้ไหม ท่านบอกว่า เรื่องนี้ยากเเก่การทำนาย

    เราก็ฟ้องสมเด็จท่านหลายรอบเหมือนกันว่าพระอาจารย์บอกว่าหนูยังต้องเกิดอีก ท่านบอกว่า พระอาจารย์ดูจากจิตเราในปัจจุบันนี้ เรายังไม่ถึงจริงๆ ทั้งทางด้าน ทาน ศีล สมาธิ เเละภาวนา ท่านบอกว่าที่คนพูดกันเเค่ ทาน ศีล เเละภาวนา เพราะว่ารวมสมาธิไปในภาวนาเเล้ว

    เราเองก็บ่นว่าหนูอยู่ตั้งไกล กลับเมืองไทยปีละสองครั้งเอง หนูจะสร้างบุญ บารมีจากที่ไหน ท่านบอกว่าเราห่างจากพระอาจารย์เเค่ทางกาย ทางจิตพระอาจารย์ท่านปกป้อง ดูเเลอยู่ ทาน ให้หยอดกระปุกวันละ $1 พยายามอย่าลืม ศีล ดีเเล้ว รักษาเอาไว้ให้ได้ ส่วนภาวนาอย่าลืมสมาธิ ให้เอาสมาธิไว้ในการภาวนาด้วย

    ถ้าวันไหนจะรักษาอุโบสถศีล ไม่ต้องทำอะไรมาก สวดมนต์ ฟังเทศน์หลวงปู่เหรียญที่พระอาจารย์ท่านให้มา นั่งสมาธิอานาปานุสติกรรมฐาน สลับกับมโนยิทธิ เท่านี้ก็พอเเล้ว

    ทุกครั้งในการปฏิบัติท่านสอนให้เราหนักเเน่นในการไปพระนิพพาน ท่านบอกให้เราไปคุยกับพระอาจารย์ใหม่ ว่าเราจะไม่ไป สวรรค์ พรหม จะไปที่เดียวคือพระนิพพาน จะพูดอย่างหนักเเน่นอย่างเดียวไม่ได้ ต้องควบคู่กับการปฏิบัติเพื่อหนทางเเห่งพระนิพพานด้วย

    เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องของเราเองค่ะ เราไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องของคนอื่น ท่านบอกเราไว้ตั้งเเต่เราได้วิชานี้จากครูเเล้ว เวลาถามเรื่องของคนอื่น ท่านมักจะพูดว่า "เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับเจ้า เเล้วเจ้าไปยุ่งอะไรกับเรื่องของเขา"

    ใช้วิจารณญานในการอ่านด้วยนะคะ

    ขอบคุณค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  8. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    พระบรมศาสดาทรงสอนเรื่องวิกฤตโลก

    แหม...ถามกันจังเลยเรื่องวิกฤตโลก คำตอบที่ได้ไม่ได้เหมือนที่อื่นหรอกจ้า เล่นเอาหงายหลังไปละไม่ว่า อิอิ

    -------------------------------------------------------------------

    บันทึกการทำสมาธิวันที่ 9 มิ.ย. 52

    หลังจากกราบหลวงพ่อโตเสร็จแล้วก็ขึ้นไปเฝ้าองค์พระศาสดาเพื่อที่จะถามคำถามยอดฮิตที่หลายคนอยากรู้

    ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร

    ดิฉัน - พระศาสดาคะ อยากจะถามถึงเรื่องวิกฤตโลกที่เขาพูดกันนะค่ะ ตกลงว่าจะเกิดจริงหรือเปล่าเจ้าคะ

    พระศาสดา - อยากรู้ไปทำไม

    ดิฉัน - ก็จะได้หาทางป้องกันไงคะ

    พระศาสดา - ถ้าพระศาสดาทำนายว่าเธอจะตาย ณ เวลานั้น เธอจะป้องกันยังไง

    ดิฉัน (อึ้งๆๆ) - ก็คงจะไม่ได้มังคะ

    พระศาสดา - แล้วเธอจะกังวลหรือไม่

    ดิฉัน - ก็คงจะกังวลมังคะ

    พระศาสดา - ถ้าหากพระศาสดาทำนายว่าโลกนี้จะถูกไฟบันลัยกัณฑ์แผดเผา น้ำท่วมใหญ่ ไม่เหลือผู้รอดชีวิต เธอคิดว่าจะมีคนกังวลไหม จะกลัวกับการรับรู้นี้ไหม

    ดิฉัน - มีแน่นอนเจ้าค่ะ

    พระศาสดา - แล้วเมื่อทุกคนเกิดการกังวลเกิดการกลัว เธอคิดว่าเขาจะเสียเวลามานั่งปฎิบัติไหม

    ดิฉัน - ก็อาจจะเป็นบางคนเจ้าค่ะ

    พระศาสดา - แล้วสมควรที่พระศาสดาจะทำนายเพื่อให้คนเกิดความวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรือยังไง ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร จะไปรู้เรื่องนี้มาจากที่ไหน จะจริงหรือไม่ ถ้ามาทางกลุ่มนี้ พระศาสดาจะไม่พูดไม่กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระศาสดาตั้งใจให้กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องปฎิบัติตนเพื่อการหลุดพ้น เป็นกลุ่มที่มีปัญญา ใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา ไม่ใช่งมงายแบบไม่มีเหตุผล เธอเองก็เหมือนกัน หน้าที่ของเธอคือการใช้ปัญญาในการนำพาเพื่อนพ้องบริวารไปสู่การหลุดพ้น ด้วยธรรมะ ด้วยการปฎิบัติ ด้วยการที่เข้าถึงพระรัตนตรัย ไม่ใช่ด้วยการวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ให้รู้อยู่กับปัจจุบันแล้วทำให้ดีที่สุด หากใครที่ต้องการอยากรู้อยากกังวลกับเรื่องวิกฤตโลก ก็ให้เขาไปหาข้อมูลจากที่อื่น แทนที่จะมัวมานั่งวิตกกังวล สู้เอาเวลามาฝึกตัวเองไม่ดีกว่าหรือ เมื่อถึงเวลาคับขัน ผู้ที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบเท่านั้นถึงจะรอดชีวิต บุญกุศลจะส่งให้บุคคลเหล่านั้นผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ดังนั้นพวกเธอทั้งหลายจงเตรียมพร้อมอย่าถึงซึ่งความประมาทใดๆ จงเร่งปฎิบัติตัวให้อยู่ในศีลในธรรม ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม จำเอาไว้

    ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  9. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    คนตกปลาเล่นๆ กับตกปลาเป็นอาชีพใครบาปกว่ากัน

    ธรรมะจากสมเด็จองค์ปฐม โพสต์โดยน้องฝนค่ะ

    ------------------------------------------------------------------------

    เมื่อคืน ฝนเห็นคนรู้จักกำลังล้างทำความสะอาดปลาอยู่ ปลาค่อนข้างสดค่ะเลยสงสัย เค้าบอกว่า เค้าไปตกปลากับเพื่อนมาเลยเอามาทำเป็นอาหาร

    ตอนจะนอนเลยขึ้นไปถามสมเด็จองค์ปฐมท่านว่า ระหว่างคนที่ตกปลาเป็นอาชีพกับคนที่ตกปลาเพราะความสนุกอันไหนจะบาปกว่ากัน

    ท่านบอกว่า จริงๆเเล้วก็บาปด้วยกันทั้งคู่ เเต่ตกปลาเพื่อความสนุกสนานนั้นบาปมากกว่า คนที่ตกเป็นอาชีพนั้นมีความจำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด เเต่คนที่ตกเพื่อความสนุกนั้น มีอย่างอื่นให้เลือกทำเเต่ไม่ทำดันไปเลือกทำบาปตกปลา

    ท่านยังสอนให้คิดว่า ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ก็มีจิตดวงเดียวเหมือนกับเราทั้งนั้น ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปรังเเกสัตว์เหล่านั้น เพราะมันต่างรักตัวกลัวตายเหมือนกับเรา<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  10. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ผู้ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก

    หลวงพ่อโตท่านบอกบ่อยๆว่า ขนาดพระศาสดายังโดนนินทา นับประสาอะไรกับเรา พี่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อวานเกิดความสงสัยว่าองค์พระศาสดาท่านทำยังไงเวลาเจอคนนินทา ก็เลยได้ไปถามท่าน

    ดิฉัน - พระศาสดาเจ้าคะ เวลาที่มีคนติฉินนินทาพระองค์ พระองค์ทรงทำอย่างไรเจ้าคะ

    พระศาสดา - เราก็วางเฉยไม่โต้ตอบ หากว่าเราโต้ตอบไปก็เท่ากับว่าเราเป็นอย่างที่เขาว่า แล้วเราก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย ดังนั้นตถาคตจึงวางเฉยซะ

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - เจ้าก็สมควรวางเฉยไปซะ จงทำตนให้เป็นผู้ที่เจริญแล้วทั้งทางโลกและทางธรรม อย่าได้ไปสนใจเลย ให้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวเขาก็ไปเอง

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  11. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    การปรามาสพระรัตนตรัย มีโทษหนัก ควรระมัดระวัง

    บันทึกการทำสมาธิวันที่ 24 มิ.ย. 52

    เมื่อคืนขึ้นไปเฝ้าพระศาสดา แบบว่ามีคำถามอยากรู้ไปถามท่าน

    ดิฉัน - พระศาสดาเจ้าคะ หากว่าเราเผลอไปปรามาสพระอริยเจ้าตั้งแต่ขั้นโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ เราบาปไหมคะ

    พระศาสดา - บาปซี

    ดิฉัน - แล้วอย่างนี้มีสิทธิ์ตกนรกไหมคะ บาปหนักแค่ไหน

    พระศาสดา - ทำให้ตกนรกได้ บาปหนักเบาขึ้นอยู่กับว่าพระอริยเจ้านั้นอยู่ในระดับไหน

    ดิฉัน - แล้วเราจะป้องกันยังไงคะ ถ้าหากเราไม่รู้ว่า คนๆนั้นหรือพระองค์นั้นเป็นพระอริยะหรือเปล่า

    พระศาสดา - ก็พระศาสดาถึงสอนว่า อย่าได้กล่าวโทษผู้อื่นยังไงละ จงกล่าวโทษตัวเองไว้ตลอด อย่าว่าแต่คนๆนั้นเป็นพระอริยะหรือเปล่าเลย ถึงเขาเป็นแค่คนธรรมดาๆอย่างเธอ เธอก็ไม่สมควรกล่าวโทษผู้อื่นอยู่ดี เพราะจะทำให้เกิดเป็นกรรมใหม่เกี่ยวเนื่องกันต่อไป

    ดิฉัน - แล้วหากว่าเราทำไปแล้ว เราจะมีวิธีแก้หรือเปล่าเจ้าคะ

    พระศาสดา - ก็ให้ไปขอขมาพระรัตนตรัย

    ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ....แล้วอย่างหากว่าเราใช้พระอริยะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เราละเจ้าคะ บาปหรือเปล่า และบาปแค่ไหนเจ้าคะ

    พระศาสดา - บาปแน่นอนอยู่แล้ว มีสิทธิ์ตกนรกหรือไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำได้

    ดิฉัน - ค่ะ เกิดหากว่าเราไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นพระอริยะละเจ้าคะ จะทำยังไง

    พระศาสดา - ไม่ยาก อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราก็ต้องสมควรทำงานทำการของเราด้วยตัวเราเอง อย่าไปใช้คนอื่น นอกเสียจากว่าเขาจะรับอาสามาช่วยเราเอง

    ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  12. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ

    ช่วงนี้เครียดๆเลยไม่ค่อยได้ขึ้นไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาเลยได้ขึ้นไปเฝ้าท่าน (ปกติตื่นขึ้นมาต้องขึ้นไปเฝ้าท่านขอพรตอนเช้า) ช่วงหลังมานี่ไม่ได้ขึ้นไปหลายวันแล้ว

    ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

    พระศาสดา - อ้าว ทำไมเช้านี้ขึ้นมาได้ สบายใจหรือยัง

    ดิฉัน - ก็ยังหรอกค่ะ ก็ยังเครียดอยู่เหมือนเดิม ยังไม่รู้จะทำไงกับชีวิตดี

    พระศาสดา - ไม่ต้องคิดมากหรอก เดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีขึ้นเองแหละ

    ดิฉัน - ดียังไงคะ มองไม่เห็นทางเลยค่ะ งานก็ยังไม่ได้เลย เศรษฐกิจตอนนี้งานหายากค่ะ มีแต่บริษัทปลดพนักงานออก เลิกจ้างกันอยู่เรื่อยๆ ลำบากกันไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง เงินก็จะหมดแล้วค่ะ ต้องแย่แน่ๆ เมื่อไหร่จะหมดกรรมคะเนี่ย มันหลายปีมากเลย

    พระศาสดา - อีกไม่นานนี่แหละ อย่าบ่นนักเลย พระศาสดาไม่ให้เจ้าตายหรอกน่า

    ดิฉัน - แต่ก็ใกล้จะตายเต็มทีแล้วละค่ะ เฮ้อ..เห็นไหมคะ ที่ไม่ขึ้นมาเฝ้าพระศาสดาก็เพราะไม่อยากเอาปัญหาขึ้นมาน่ะค่ะ เลยเครียดอยู่ข้างล่างดีกว่า

    พระศาสดา - หนังสือสองเล่มที่ยืมมา เจ้าคิดว่าเป็นการบังเอิญหรือไม่ที่ทั้งสองเล่มเป็นธรรมะสำหรับคนที่จะเป็นพระอริยะชั้นอนาคามี

    ดิฉัน - ไม่ทราบซีคะ อาจจะบังเอิญก็ได้ ก็เห็นๆว่าเป็นหนังสือของหลวงพ่อฤาษี รื้อๆดูเจออยู่สองเล่มก็หยิบมาเลยค่ะ

    พระศาสดา - ไม่มีอะไรบังเอิญหรอกนะ มันถูกกำหนดมาแล้ว

    ดิฉัน - อืมม...ตอนนี้ลูกคงยังฝึกไปถึงขั้นนั้นไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเรื่องราวของชีวิตบนโลกก็ยังวุ่นๆอยู่เลย ยังไม่รู้ว่าจะไปยังไงเลยค่ะ ก็ได้แค่อ่านๆไว้เป็นความรู้ก่อนเท่านั้นเอง

    พระศาสดา - ไม่เป็นไร ก็อ่านเตรียมไว้

    ดิฉัน - แล้วเรื่องที่ต้องช่วยเหลือคนอื่นนี่ ลูกก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปช่วยนะคะเนี่ย ความรู้ก็นิดเดียว ปฏิบัติก็ยังไปได้ไม่ถึงไหน จะไปช่วยใครได้ยังไง กัลยาณมิตรบางท่านยังเก่งกว่าลูกด้วยซ้ำ เขาน่าจะมาช่วยได้มากกว่าลูกอีก

    พระศาสดา - อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจให้กับหลายๆคนหันกลับเข้ามาหาธรรมะ ไม่หลงทางไปอบายภูมิก็ถือว่าดีแล้ว

    ดิฉัน - ค่ะ งั้นลูกกลับก่อนดีกว่าค่ะ

    พระศาสดา - แล้ววันนี้ไม่เอาพรเหรอ

    ดิฉัน - เอาก็ได้ค่ะ

    พระศาสดา - ขอให้เจ้าร่ำรวยทันตาเห็นเอาไหม

    ดิฉัน - แหม...พระศาสดาก็ ไม่ต้องมาลองใจหรอกค่ะ ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้

    พระศาสดา - อ่ะ งั้นก็เอาใหม่ ขอให้เจ้าเป็นคนมีความคิดพิจารณาให้มองเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้น เรื่องไหนที่ยังไม่เกิดก็ไม่ต้องไปคิดให้ฟุ้งซ่าน ให้คิดรู้อยู่แต่ในปัจจุบัน ถ้าหากว่าช่วงไหนที่อารมณ์มันเริ่มฟุ้งซ่าน ก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจแล้วภาวนาไป จะได้ไม่ทำให้เกิดความฟุ้งซ่านได้ ให้คิดพิจารณานึกถึงความตายไว้ทุกขณะจิตอย่าได้ประมาท มองชีวิตที่เกิดมานี้ให้รู้ว่ามันเป็นทุกข์ เกิดมาก็ทุกข์ การใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ทุกข์ แล้วก็สมควรปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ แล้วก็พยายามอย่าเอาจิตส่งออกนอก ให้เอาจิตดูรู้อยู่ในตนเอง แล้วก็....

    ดิฉัน (พรอะไรทำไมไม่เหมือนครั้งก่อนๆเลย) - เอ่อ...พระศาสดาคะ ไม่ยาวไปเหรอคะ ต้องตื่นแล้วค่ะ

    พระศาสดา - อ้าว..จะไปแล้วเหรอ ยังไม่จบเลย

    ดิฉัน - ค่ะ ตกลงจะให้พรไหมคะ เมื่อกี้มันเทศน์ค่ะ

    พระศาสดา - งั้นก็ขอให้เจ้ามีชีวิตที่ดีในวันนี้

    ดิฉัน - กราบขอบคุณพระศาสดาค่ะ นมัสการลาเจ้าค่ะ

    ว่าแล้วก็ลาท่านมา เหตุเพราะไม่ได้ขึ้นไปหาท่านหลายวัน เลยโดนเทศน์ตอนขอพรซะเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  13. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    มีศีลต้องมีพรหมวิหาร ๔ ด้วย

    มีเพื่อนกัลยาณมิตรถามคำถามไว้ เพิ่งมีโอกาสไปถามพระศาสดาค่ะ

    ดิฉัน - พระศาสดาค่ะ มีคนเขาอยากรู้ว่า ถ้าเขาจ่ายเงินใต้โต๊ะ ให้คนขายของให้เขาคนเดียว เขาผิดศีลไหม แล้วถ้าคนนั้นพูดขึ้นก่อน แล้วเขาจ่ายเงิน อย่างนี้ผิดศีลไหมคะ

    พระศาสดา - ถ้าถามเกี่ยวกับศีลห้าไม่ผิดศีล แต่ไม่ถูกต้อง

    ดิฉัน - อย่างไรเจ้าคะ

    พระศาสดา - ศีลห้ามีอะไรบ้างละ เธอก็พิจารณาดูซิ ข้อแรก ห้ามฆ่าสัตว์ ข้อสอง ห้ามลักขโมย ข้อสาม ห้ามประพฤติผิดในกาม ข้อสี่ ห้ามโกหก ข้อห้า ห้ามดื่มของมึนเมา ที่เขาถามมาไม่มีข้อไหนตรงกับศีลห้าเลยไม่ผิดศีล แต่ที่พระศาสดาว่าไม่ถูกต้องนั้น เพราะการทำธุรกิจการค้า ควรทำด้วยความสุจริต จริงใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คนเราเมื่อรักษาศีลห้าแล้วควรจะควบคู่ไปกับพรหมวิหาร 4 ซึ่งก็คือต้องมี เมตตา กรุณา ความพลอยยินดีกับผู้อื่น และการวางเฉย

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ กราบขอบคุณพระศาสดาเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  14. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    การอุทิศบุญกุศลให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ผลจริงหรือไม่

    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ naruphos [​IMG]
    ถามนิดครับเวลาผมทำบุญผมมักจะให้พวกท่านด้วยเสมอ พ่อ แม่ และพี่ชาย แต่ผมไม่เคยบอกเลยว่าผมทำบุญไรไป แบบนี้พวกเขาจะได้รับบุญไหมครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ปัญหานี้เคยไปถามพระศาสดามาเหมือนกัน เพราะอ่านเจอที่ว่าถ้าบุคคลที่เราอุทิศบุญให้ยังมีชีวิตอยู่ ต้องไปบอกให้เขาอนุโมทนาบุญด้วย ไม่งั้นจะไม่ได้ แต่ก็อีกละ ก็ไปอ่านเจออีกเหมือนกัน ที่เขาอุทิศบุญให้คนป่วย แต่คนป่วยก็ได้รับ ทำให้เกิดอาการงงๆๆ เพราะคนป่วยก็ยังไม่ตายใช่ไหม แต่ว่านอนป่วยแบบไม่รู้สึกตัวอยู่ในโรงพยาบาล ถ้าคิดว่าต้องไปบอกเขาให้มาอนุโมทนาบุญด้วย จะไปบอกยังไงละ ก็นอนนิ่งอย่างนี้ ไม่ได้การละอย่างนี้ต้องไปถามพระศาสดาให้รู้แจ้งเห็นจริง

    ดิฉัน - พระศาสดาคะ การที่เราอุทิศบุญให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เราต้องไปบอกให้เขาอนุโมทนาด้วยเหรอคะ ไม่งั้นจะไม่ได้เหรอ แล้วทีทำไมคนป่วยที่นอนไม่รู้ตัวอยู่ในโรงพยาบาลเขาถึงได้รับโดยที่ไม่ต้องบอกให้เขามาอนุโมทนาละคะ แล้วจริงๆเราต้องทำประการใดถึงจะถูกคะ

    พระศาสดา - การอุทิศบุญกุศลให้บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ไม่จำเป็นต้องให้เขามาอนุโมทนา เขาก็ได้รับเหมือนกัน แต่ทางที่ดีถ้าเขารู้แล้วได้ร่วมอนุโมทนาด้วย บุญกุศลที่ได้มันจะมากกว่าเนื่องเพราะจิตใจเขามีใจร่วมอนุโมทนาในบุญที่เธอทำด้วย ส่วนคนป่วยไม่สามารถรับรู้หรือมาร่วมอนุโมทนาด้วยได้ เราก็อาศัยกำลังจิตของเราอุทิศให้เขาได้ ซึ่งการที่เราอุทิศให้ด้วยใจบริสุทธิ์และตั้งใจจริง ผลบุญนี้ก็สามารถถึงคนป่วยได้เหมือนกัน

    ดิฉัน - สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  15. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ย่อมเป็นที่รักของเทพพรหมและสรรพสัตว์ทั้งหลาย

    เอาคำสอนของพระศาสดาเรื่องพรหมวิหาร 4 มาฝากค่ะ เมื่อก่อนพระอาจารย์อนุรุททะ ท่านเคยเทศน์สอนมาหนหนึ่งแล้วเหมือนกันว่า ถ้าไม่มีพรหมวิหาร 4 ศีลห้าก็จะไปไม่ถึงไหนเหมือนกันค่ะ คราวนี้พระศาสดาก็เลยเทศน์โปรดอีกรอบ


    ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ วันนี้พระศาสดามีอะไรจะสอนไหมคะ

    พระศาสดา - เจริญพร พระศาสดาจะสอนเรื่องพรหมวิหาร 4 ก็แล้วกัน เอาธรรมะพื้นฐานก่อน สำหรับบุคคลทั่วๆไป

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - คนเราทุกคนควรมีพรหมวิหาร 4 อยู่ในใจตลอดไป ต้องทรงให้ได้ หากว่าเราทุกคนมีพรหมวิหาร 4 ประจำใจทุกคน โลกนี้คงจะไม่วุ่นวายเหมือนทุกวันนี้หรอก พรหมวิหาร 4 ประกอบไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

    อันแรกเมตตา เราควรจะมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน มีความคิดดี ทำดีให้แก่กัน รู้จักให้อภัยแก่กัน ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข และการกระทำนั้นต้องไม่หวังผลตอบแทนใดๆ นั่นคือเมตตา

    อันกรุณานั้น เป็นความต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มีความสงสารในเพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย เป็นการสงเคราะห์ในสิ่งที่ผู้อื่นขาดแคลนหรือต้องการ และการกระทำนั้นๆก็ต้องไม่หวังผลตอบแทนเช่นกัน

    มุทิตาคือความรู้สึกพลอยยินดีที่ผู้อื่นได้ดี โดยที่ไม่มีความอิจฉาริษยา เห็นเขามีชีวิตที่ดีก็พลอยยินดีด้วย เห็นเขามีปัญญาดีก็พลอยยินดีด้วย โดยความยินดีนี้ทำไปก็โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆเช่นกัน

    อุเบกขาคือการวางเฉยในทางธรรม ไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยไม่เป็นธรรม การที่เรามีเมตตา กรุณา มุทิตา กับผู้อื่นแล้ว แต่เราไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ ก็ไม่ให้เก็บเอามาคิด ก็ต้องให้วางเฉยกับเรื่องนั้นไป ถือว่าเป็นกรรมของเขา

    หากทุกคนมีเมตตา กรุณา อยู่กับตัวแค่สองข้อนี้ ก็ทำให้การผิดศีลข้อ 1-3 ทำได้ยากขึ้น ในเมื่อเรามีเมตตา กรุณา คือความรักความสงสารในเพื่อนร่วมโลก เราก็ไม่สามารถที่จะไปฆ่าหรือทำร้ายใครได้ เราไม่สามารถไปลักขโมยของๆใครได้ เราไม่สามารถที่จะไปทำร้ายครอบครัวของใครได้ หากว่ามีพรหมวิหาร 4 ครบทุกข้อ บุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศีลบริสุทธิ์ได้ ตถาคตถึงสอนว่าการถือศีลจึงต้องควบคู่ไปกับพรหมวิหาร 4 หากว่าใครทรงพรหมวิหาร 4 ได้นี้ก็จะทำให้การปฏิบัติในเรื่องอื่นๆก็จะทำได้ง่ายขึ้น และผู้ที่ทรงพรหมวิหาร 4 ก็จะทำให้เป็นที่รักของเหล่าเทพเทวดา พรหมทั้งหลาย อีกทั้งสัตว์โลกทั้งหลายด้วย ทำให้ชีวิตมีความสุข ความเจริญ มีคนนับหน้าถือตา ให้ความเคารพยำเกรง มีปัญญาดี มีความปลอดภัยในชีวิต มีหน้าตาผ่องใส จิตใจดี ไม่ขุ่นมัว นอนหลับสนิท ผลดีมีเยอะอย่างนี้ ทำไมถึงไม่รีบปฏิบัติกัน

    ดิฉัน - กราบขอบพระคุณในคำสอนของพระศาสดาค่ะ นมัสการลาค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  16. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    กรรมบท ๑๐

    บันทึกการทำสมาธิของวันที่ 11 ก.ค. 52

    เข้ามโนฯขึ้นไปเฝ้าพระศาสดาค่ะ

    ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร เป็นยังไงวันนี้

    ดิฉัน - ปวดหัวเจ้าค่ะ เป็นมาหลายวันแล้ว ไม่ทราบว่าเพราะอะไรค่ะ

    พระศาสดา - เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวง ช่วงนี้เป็นช่วงที่กรรมชั่วของเธอกำลังจะหมด กรรมดีจะเริ่มส่งผล เจ้ากรรมนายเวรเลยเร่งเข้ามาเยอะ เพราะกลัวว่าจะตามเธอไม่ทัน

    ดิฉัน - เหรอคะ มิน่าถึงปวดหัวทุกวันเลยค่ะ วันนี้พระศาสดาจะสอนธรรมะเรื่องอะไรคะ

    พระศาสดา - เรื่องกรรมบท 10

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - กรรมบท 10 เป็นสิ่งที่ช่วยให้ศีลของพวกเธอสมบูรณ์มากขึ้น สำรวมกาย วาจา ใจ เพิ่มมากขึ้น กรรมบท 10 ประกอบไปด้วย อกุศลกรรมสามอย่าง คือ กาย 3 วจี 4 มโน 3

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - กาย 3 คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม จะเห็นว่าสามอย่างนี้ก็คืออยู่ในศีลห้าข้อที่ 1ถึง 3 นั่นเอง

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - วจี 4 คือ ไม่พูดปด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดส่อเสียดนินทาทำให้เขาแตกแยกกัน ไม่พูดไร้สาระ อันนี้จะเพิ่มเติมในส่วนของศีลห้าข้อที่สี่มาอีกสามอย่าง ซึ่งศีลข้อมุสานั้นได้แก่ ไม่พูดปดอย่างเดียว แต่กรรมบท 10 จะเพิ่มขึ้นมาอีกสามอย่าง

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - มโน 3 คือ ไม่มีความคิดอยากได้ของของคนอื่น ไม่มีความอาฆาตพยาบาทจองเวรกับใคร ไม่ค้านกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - เมื่อทรงศีลห้ากับพรหมวิหาร 4 ได้อยู่ตัวแล้ว สมควรนำกรรมบท 10 มาเสริมเพื่อทำให้ศีลของพวกเธอดียิ่งๆขึ้นไป หากว่าทรงกรรมบท 10 ได้ด้วย จะทำให้ศีลของพวกเธอบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ ขอกราบแทบพระบาทพระศาสดาเจ้าค่ะ เดี๋ยวลูกจะนำไปบอกกล่าวแก่ท่านกัลยาณมิตรค่ะ

    พระศาสดา - ดีแล้ว เจริญพร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  17. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เมื่อเกิดภัยพิบัติ คนดีมีศีลธรรมเท่านั้นที่จะอยู่รอด

    บันทึกการนั่งสมาธิวันที่ 6 ส.ค. 52

    ขึ้นไปเฝ้าพระศาสดาที่วิหารของท่าน

    ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร เป็นอย่างไรบ้าง

    ดิฉัน - เฮ้อ...เห็นชีวิตคนอื่นๆก็หลากหลายเรื่องเหมือนกันนะคะ ยิ่งกว่านิยายอีก

    พระศาสดา - รู้แล้วเห็นทุกข์ไหม

    ดิฉัน - ทุกข์ค่ะ

    พระศาสดา - แล้วยังอยากเกิดอีกไหม

    ดิฉัน- ไม่ละค่ะ

    พระศาสดา - ดีแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญเพียรไป

    ดิฉัน - ค่ะ เอ่อ..พระศาสดาคะ ตกลงต้องฝึกกสิณจริงๆหรือคะ แล้วเรื่องต่างๆมันจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่าคะ คือลูกไม่อยากฝึกแล้วอ่ะค่ะ มันเครียด

    พระศาสดา - ต้องฝึก แต่ตอนนี้ก็พักไว้ก่อนก็ได้ให้ใจสบายๆก่อน

    ระหว่างนั้นรู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อนขึ้นมา ตอนแรกก็ยังไม่ค่อยสังเกตุ แต่เอ๊ะ...ดูไปดูมา มันเป็นภาพน้ำท่วมใหญ่นี่นา แล้วก็เหมือนตัวเองมองเห็นประเทศไทยจากข้างบนลงมา เห็นท้องทะเลปั่นป่วน คลื่นซัดเข้าสู่ประเทศไทย ท้องฟ้าก็มืดมิด แล้วก็เห็นว่ามีคนลอยคอโต้คลื่นกันอยู่ เรือก็ถูกคลื่นซัด ดูน่ากลัว

    ดิฉัน - พระศาสดาค่ะ ลูกเห็นภาพน้ำท่วมใหญ่ แสดงว่าเรื่องนี้มันต้องเกิดจริงๆน่ะซีคะ แต่เห็นแต่น้ำกับลมพายุ แล้วที่เขาว่ามันจะมีไฟละคะ

    พระศาสดา - ลองดูให้ดีๆ

    จากนั้นก็เห็นว่ามีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินแยกออก แล้วภาพก็หายไป

    ดิฉัน - แล้วประเทศเราจะเป็นยังไงคะ ประเทศอื่นอีกละคะ เราแก้ไขหรือป้องกันได้อย่างไรบ้างคะ

    พระศาสดา - คนดีมีศีลธรรมเท่านั้นถึงจะอยู่รอด ประเทศไทยจะโชคดีกว่าประเทศอื่นเพราะว่าเป็นเมืองพุทธ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่โดน มันถึงเวลาล้างโลก เพื่อให้คนดีๆได้อยู่ต่อไป และช่วยกันทำนุบำรุงพระศาสนาของพระศาสดาให้คงอยู่ต่อไปจนถึงห้าพันปี ถ้าทุกคนช่วยกันบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็อาจจะช่วยทำให้สถานการณ์มันทุเลาลงได้

    ดิฉัน - ค่ะ งั้นเดี๋ยวลูกก็ลาไปหาพระอาจารย์อนุรุทก่อนนะคะ

    พระศาสดา - ได้ ตามสบาย

    ดิฉัน - นมัสการลาเจ้าค่ะ

    แล้วดิฉันก็ไปหาพระอาจารย์อนุรุททะ

    ดิฉัน - นมัสการพระอาจารย์เจ้าค่ะ

    พระอาจารย์ - เจริญพร เป็นยังไงละ

    ดิฉัน - ไปเฝ้าพระศาสดามาค่ะ คือว่าช่วงนี้ก็ไม่ได้ฝึกกสิณเพราะเครียด แล้วก็ไปเจอเรื่องราวเพื่อนๆอีก รู้แล้วก็เหนื่อยแทน

    พระอาจารย์ - รู้เห็นไว้แล้วก็อุเบกขาซะ เราทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่เหรอ กรรมของใครก็ของคนนั้น

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    พระอาจารย์ - พระศาสดาท่านสอนไว้เรื่องอริยสัจ 4 นั่นยังไง ธรรมะข้อนี้ของพระองค์เป็นสัจธรรมจริงแท้แน่นอน ดังนั้นทุกคนก็ควรหาทางพ้นจากทุกข์พ้นจากวัฏสงสารนี่ซะในชาตินี้

    ดิฉัน - ค่ะ

    พระอาจารย์ - พระอาจารย์ก็ไม่เข้าใจคนอีกหลายคนว่าทำไมต้องขอไปเกิดในยุคพระศรีอารย์ ทั้งๆที่สามารถจะไปนิพพานกันได้ในชาตินี้ เกิดอยู่ในยุคของพระศาสดาแท้ๆยังปฏิบัติไม่ได้ แล้วไปเกิดในยุคนั้นมันจะไปได้อย่างไร

    ดิฉัน - แต่บางคนเขาก็ปรารถนาพุทธภูมินี่เจ้าคะ ก็เลยต้องเกิดไปเรื่อยๆ

    พระอาจารย์ - ใช่ แต่คนที่ไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ แทนที่จะศึกษาพระธรรมแล้วก็หาวิธีดับทุกข์เพื่อไปนิพพานในชาตินี้ก็กลับไม่ทำ กลับคิดที่แต่จะตั้งใจขอไปเกิดในยุคพระศรีอารย์ กว่ายุคของพระศาสดาสมณโคดมจะหมดไปก็ยังอีกหลายปี แล้วหลังจากนั้นก็เป็นยุคที่ว่างเว้นพระพุทธเจ้าไปอีกนานเลย กว่าพระศรีอารย์ท่านจะมา หากหลงไปเกิดในยุคนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเลย แค่ในยุคปลายๆศาสนาก็พระสมณโคดมเองก็เริ่มไม่ดีแล้ว ศาสนาก็เริ่มเสื่อม คนก็มีจิตใจทราม แทนที่จะไปเกิดใหม่ก็สู้ไปนิพพานในชาตินี้ไม่ดีกว่าเหรอ

    ดิฉัน - ก็ยังมีหลายคนที่เขายังเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของศาสนาน่ะเจ้าค่ะ

    พระอาจารย์ - อืมม ก็เป็นไปตามวาระกรรมของแต่ละคนแหละ ถ้าเมื่อใดเกิดดวงตาเห็นธรรมแล้วเขาถึงจะคิดได้

    ดิฉัน - ค่ะ งั้นเดี๋ยวศิษย์ขอลากลับก่อนนะเจ้าคะ นมัสการลาเจ้าค่ะ

    พระอาจาย์ - เจริญพร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  18. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สมบัติทางธรรมมีค่าสูงสุดดีกว่าสมบัติทางโลก

    เมื่อคืนขึ้นไปเฝ้าพระศาสดา ก็ได้เจอสมเด็จองค์ปฐมด้วย ก็นั่งสนทนาไปหลายเรื่องเหมือนกัน ทั้งเรื่องที่โดนทดสอบจิตตอนฝัน แล้วก็เรื่องงาน เรื่องส่วนตัว

    เรื่องที่ถูกทดสอบนี่ รู้สึกว่าจะเจอทุกคืนเลยค่ะ ดิฉันจะเจออยู่สองเรื่องคือ เรื่องอารมณ์โกรธกับเรื่องเพศตรงข้าม คืนก่อนฝันว่ามีเด็กผู้ชายจับลูกแมวไปใส่ในกระสอบแล้วให้ลูกชายดิฉันทุบให้ตาย เราก็ยั้งอารมณ์ไม่ได้โกรธลูกว่าลูกทำไมทำอย่างนี้ ตีลูกค่ะ แล้วก็ว่าเด็กชายคนนั้นไล่เขาไป พอตื่นขึ้นมามีสติคิดได้ว่าโดนอีกแล้ว เพราะปกติลูกชายก็เป็นคนใจบุญ เขาไม่ยอมทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่เราอ่ะระงับอารมณ์ไม่ได้ ส่วนใหญ่เรื่องที่มาทดสอบจะมีลูกเป็นตัวประกอบตลอด เพราะเราจะหงุดหงิดง่ายกับลูกค่ะ เลยไม่ผ่านสักที

    ส่วนเรื่องเพศตรงข้ามยังผ่านได้ง่ายกว่า แต่ก็มีบางทีเหมือนกันช่วงที่จิตตกมากๆ โดนไปเหมือนกันค่ะ แสดงว่าเรายังเลวอยู่มาก ต้องสำรวมตัวเองและปฏิบัติให้มากกว่านี้

    ได้สอบถามท่านเรื่องงานเพราะว่าจริงๆที่ดิฉันยังไม่ได้งานเนี่ย เป็นเพราะท่านไม่อยากให้ทำงานกับคนหมู่มาก เดี๋ยวศีลจะขาด ท่านต้องการให้เราฝึกปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น ท่านว่าให้ทำงานตัวเอง ซึ่งดิฉันก็เลิกหางานไปแล้วค่ะ เริ่มที่จะทำงานฝีมือที่ตัวเองถนัดก็ค่อยๆเริ่มไป ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับใครมากด้วย สบายใจดี แต่พวกนี้มันไม่รวยหรอกนะคะ ก็พออยู่พอกิน ท่านเลยว่าสมบัติอะไรก็ไม่ดีเท่าสมบัติทางธรรม สมบัติทางโลกตายไปก็เอาไปไม่ได้ สู้มาสร้างสมบัติธรรมไม่ดีกว่าเหรอ

    แล้วก็ได้สอบถามท่านถึงเรื่องที่ไปฝันเห็นเรือโบราณ เหรียญทองโบราณ กับเจดีย์ที่อยู่ใต้ดิน โดยมีหลวงพ่อองค์นึงพาไป ซึ่งจะไม่ขอเล่าในตอนนี้ เนื่องจากว่าไปพาดพิงถึงพระท่าน แต่ว่ามีเรื่องต้องรอให้ไปพิสูจน์ก่อน โดยบอกกับท่านว่าขอยังไม่เชื่อในตอนนี้ ขอไปพิสูจน์ก่อน ท่านก็ว่าแล้วแต่ แล้วสักพักก็ลาท่านกลับลงมาค่ะ แวะไปกราบหลวงพ่อโตแล้วก็ออกจากสมาธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  19. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    อบายมุข คือหนทางแห่งความเสื่อม

    บันทึกการทำสมาธิวันที่ 15 ส.ค. 52

    ขึ้นไปเฝ้าพระศาสดาแล้วก็นั่งสนทนากันและได้สอบถามในเรื่องที่สงสัยอยากรู้

    ดิฉัน - พระศาสดาเจ้าคะ คือว่าลูกสงสัยน่ะเจ้าค่ะ เมื่อก่อนนี้ลูกจะเป็นคนที่ฝันเห็นเลขเห็นหวยประจำเลย ส่วนใหญ่ก็ตรงนะคะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เคยฝันเลยค่ะ เป็นเพราะอะไรคะ

    พระศาสดา - ยังอยากจะเล่นหวยอยู่อีกเหรอ

    ดิฉัน - ไม่ค่ะ ปกติก็ไม่ค่อยได้เล่น แต่ส่วนใหญ่จะเอาไปบอกคนอื่นน่ะค่ะ

    พระศาสดา - หวยมันเป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง ในเมื่อเธอเดินเข้ามาในทางสายนี้แล้ว ทางที่ต้องปฏิบัติไปเพื่อการหลุดพ้น ดังนั้นเธอจึงต้องละทุกอย่าง ปกติบุคคลทั่วไปก็ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขอยู่แล้ว

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ...ก็แค่สงสัยน่ะค่ะ เพราะเมื่อก่อนฝันเรื่อยเลยค่ะ แต่เดี๋ยวนี้มันหยุดไปเฉยๆ

    พระศาสดา - เมื่อก่อนพวกเทวดาพรหมเขาก็มาช่วยสงเคราะห์น่ะซี แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโชคกับเรื่องแบบนี้หรอก แล้วตอนนี้เธอต้องปฏิบัติตน เรื่องแบบนี้จึงไม่สมควรอย่างยิ่ง เทวดาหรือพรหมก็เลยไม่สงเคราะห์ตรงนี้เพราะจะทำให้บาปได้เนื่องจากจะเป็นการส่งเสริมให้ลุ่มหลงมัวเมาในอบายมุขแล้วยังขัดขวางการบำเพ็ญธรรมอีกด้วย

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - แล้วรู้ไหมว่าอบายมุขคืออะไร

    ดิฉัน - ทราบเจ้าค่ะ อบายมุขคือหนทางแห่งความเสื่อม

    พระศาสดา - ถูกต้อง แล้วอบายมุขมีกี่อย่าง

    ดิฉัน - มีสองหมวดค่ะ คือ อบายมุข 4 กับอบายมุข 6

    พระศาสดา - อบายมุข 4 คืออะไร

    ดิฉัน - นักเลงผู้หญิง นักเลงสุรา นักเลงการพนัน และคบคนพาลเป็นมิตรค่ะ

    พระศาสดา - แล้วอบายมุข 6 ละ

    ดิฉัน - เที่ยวกลางคืน ดื่มสุรา ชมมหรสพ เล่นการพนัน คบคนพาลเป็นมิตร แล้วก็เกียจคร้านเจ้าค่ะ

    พระศาสดา - แล้วโทษของอบายมุขทั้งหมดมีอะไรบ้าง

    ดิฉัน - แต่ละข้อมีแยกย่อยไปค่ะ ลูกจำได้ยังไม่หมด แต่รู้ว่าโดยรวมๆแล้วจะทำให้เกิดความเสียหายกับทรัพย์สิน ร่างกาย การงาน ผู้คนรอบข้างค่ะ

    พระศาสดา - ไปอ่านให้รู้แจ้งนะ แล้วจำเอาไว้

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    หลังจากนั้นก็สนทนากับท่านอยู่อีกพักหนึ่ง แล้วก็ลาท่านกลับลงมา ก็ตรงไปกราบหลวงพ่อโตที่โบสถ์ จากนั้นก็อุทิศส่วนกุศลแล้วก็ออกจากสมาธิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010
  20. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    ธรรมะจากสมเด็จองค์ปฐม โพสต์โดยน้องฝนค่ะ
    ---------------------------------------------------------------------------------

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ |ฅนจร| [​IMG]
    ช่วงนี้สอบภาษาเยอรมันเลยต้องอ่านหนังสือหน่อย เลยไม่ค่อยได้มาอ่านเลยครับยังห่างจากหน้าปัจจุบันอยู่เลย T_T พอดีจากหน้า 125 ครับ ที่บอกว่าหากเราไม่ได้ฝึกมโนยิทธิแล้วเลยไม่รู้ว่าพระนิพพานนั้นเป็นยังไง ให้เราทำจิตนึกถึงพระนิพพานเหรอครับ(คือให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเหรอครับ แล้วคิดว่าชาตินี้ขอไปพระนิพพานอย่างเดียวเหรอครับ) ตอนนี้ยังไม่ได้ฝึกมโนยิทธิครับ เพราะผมนั่งกรรมฐานกับพี่ๆๆเค้าบอกว่าเอาทีละอย่างเดียว เพราะกลัวผมจะบ้าเอาเพราะชอบเพ่ง เลยกะว่าเอาทีละอย่าง ต้องพยามยามให้ได้ฌาณ 4 ตอนนี้ยังอยู่ปฐมฌาณหรือฌาณ 2 อยู่เลยมั้งครับไม่มีความคืบหน้าเลยจิตนิ่งอย่างเดียวนั่งเป็นชั่วโมงแต่รู้สึกว่าไม่ไปไหนสงสัยกิเลสยังหนา กลัวผิดทางจังเลย -T_T- .....Guten Tag!! ครับ



    </TD></TR></TBODY></TABLE>ที่บอกว่าหากเราไม่ได้ฝึกมโนยิทธิแล้วเลยไม่รู้ว่าพระนิพพานนั้นเป็นยังไง ให้เราทำจิตนึกถึงพระนิพพานเหรอครับ(คือให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเหรอครับ แล้วคิดว่าชาตินี้ขอไปพระนิพพานอย่างเดียวเหรอครับ)

    ระลึกถึงบุญคุณของพระพุทธเจ้าท่าน ที่ท่านลำบากบำเพ็ญเพียรเพื่อหลุดจากทุกข์ เเละนำพระธรรมคำสอนของพระองค์มาสั่งสอนเรา เพื่อให้เราพ้นทุกข์เหมือนกันกับท่าน ความเมตตาของพระองค์หาที่สิ้นสุดไม่ได้

    สมเด็จองค์ปฐมท่านสอนพี่ฝนว่า เเค่ทำจิตใจให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเเล้วขอไปพระนิพพานโดยไม่ปฏิบัติเลย เเค่คิดอย่างเดียวนั้นไปไม่ได้เพราะการคิดอยากของจิตนั้นเป็นกิเลส ท่านสอนพี่ฝนไว้สองข้อ

    1. เวลาทำบุญอะไรก็เเล้วเเต่ให้ อธิษฐานว่า "เราทำบุญในครั้งนี้เพื่อถวายเเด่ พระพุทธ พระธรรม เเละพระสงฆ์ ขอให้พระสงฆ์นี้(ที่เราได้ตักบาตร ถวายปัจจัยต่างๆ)เป็นตัวเเทนสงฆ์รับไว้เพื่อใช้ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนานี้ด้วยเถิด"

    2. หลังจากทำบุญเสร็จเเล้วให้อธิษฐานว่า "ขอให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรม ในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นเป็นไปเพื่อการเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด สาธุ"

    การตั้งจิตไว้ให้นึกถึงพระนิพพานเป็นเพียงให้จิตมีที่ยึดเกาะ เวลาเราตายไปเราจะได้รู้ว่าเราจะไปที่ไหน เเต่การจะไปถึงพระนิพพานได้นั้นเราต้องปฏิบัติเอง จิตต้องตั้งมั่นเเละเเน่วเเน่ตรงต่อพระนิพพานนั้นจริงๆ

    ถ้าจะถามต่อว่าสองข้อที่กล่าวมาเเล้ว พี่ฝนปฏิบัติเห็นผลเเล้วหรือยัง พี่ฝนกล้ายืนยันค่ะว่าเห็นเเล้ว เเต่ไม่ได้เห็นทั้งหมดโดยทันที เริ่มมีดวงตาการมองเห็นสิ่งรอบข้างภายนอกไปในทางของไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)ซึ่งน้อมนำไปตามคำสอนของสมเด็จองค์ปฐมที่สอนพี่ฝนไว้ว่า "พยายามมองสิ่งรอบตัวให้เห็นเป็นไตรลักษณ์" ว่าทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เเละในที่สุดมันก็ดับไป

    การออกไปสนุกสนาน เฮฮา ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง มันสนุกก็จริง เเต่เป็นความสนุกที่มีวันจบซึ่งเป็นของไม่เที่ยง (ในความคิดพี่ฝนความสนุกเหล่านั้น เป็นความสุขที่หลอกลวง) ไม่ใช่ความสุขที่เเท้จริง เเล้วเราจะไปหาความสุขที่เเท้จริงได้จากที่ไหน ตอนนี้คิดได้เเล้วว่า ได้จากการปฏิบัตินำไปสู่การหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารตามเเนวทางของพระพุทธเจ้า

    ตอนนี้เหลืออีกข้อที่ยังไม่ได้เริ่มทำ เเต่สมเด็จท่านเมตตาสอนทุกวันคือ มองปัจจัยภายในตัวเราให้เป็นอสุภะ เเล้วพิจารณาขันธ์ 5 เริ่มค่อยๆตัดมันทีละน้อย

    สรุปคำสั่งสอนที่สมเด็จท่านเมตตาสอนพี่ฝนเพื่อเป็นไปเพื่อการเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน คือ

    - ใช้ไตรลักษณ์เป็นการมองเห็นปัจจัยภายนอกว่าสังคมโลกเป็นเรื่องน่าเบื่อ หาความเที่ยงเเท้นั้นไม่ได้เลย เมื่อเริ่มคิดได้ มองเห็น จิตจะเริ่มปลงไปเอง

    - ใช้อสุภะกรรมฐานเป็นการมองเห็นปัจจัยในร่างกายของตัวเองว่าไม่เที่ยงเเท้เเน่นอน เป็นเพียงสภาวะธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประกอบกันเป็นร่างกาย เมื่อเริ่มเห็นจิตที่ยึดมั่นในความเป็นตัวตนของเราจะน้อยลง เริ่มปลงไปเรื่อยๆ

    ทั้งสองข้อที่สมเด็จองค์ปฐมท่านสอนพี่ฝนมานั้นเป็นหัวข้อยึดถือปฏิบัติเป็นเเนวทางเพื่อการหลุดพ้น เข้าสู่พระนิพพานอย่างเเท้จริง โดยไม่ต้องใช้มโนยิทธิเป็นตัวช่วย

    เป็นกำลังใจให้ในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนะคะ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...