ธรรมะจากหลวงพ่อ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 30 กันยายน 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๑ : วัด กับทางมาวัด</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี ทั้ง ๓ ประการนี้ ท่านเรียกว่า มรรค
    มรรค นี้ยังมิใช่ศาสนา อีกทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่พระศาสดาทรงต้องการอย่างแท้จริงเลย แต่ก็เป็น
    หนทางที่จะดำเนินเข้าไปเหมือนกับท่านมาจากกรุงเทพ จะมาวัดหนองป่าพง ท่านคงไม่ต้อง
    การหนทาง ต้องการจะถึงวัดต่างหาก แต่หนทางก็จำเป็นสำหรับท่านที่จะต้องมา

    ฉะนั้น ถนนที่ท่านมาก็ไม่ใช่วัด มันเป็นเพียงถนนมาวัดเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมาตามถนน จึง
    จะถึงวัดได้ ศีล สมาธิ ปัญญา คือถนนที่จะเข้าไปถึงความสงบ ซึ่งเป็นจุดที่ต้องการ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๒ : ตัณหาเกิดจากอะไร</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาละวัน จังหวัดนครราชสีมา </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    พระพุทธเจ้าถามพระอานนท์ว่า "อานนท์ เธอว่าตัณหาเกิดจากอะไร ?"
    "ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรม"
    พระองค์ก็ทรงตอบว่า "ตัณหาเกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เกิดได้ เพราะตาเห็นรูป หูได้
    ยินเสียง จมูกได้กลิ่นลิ้นได้รส กายสัมผัส"
    "มันจะดับที่ตรงไหน ?"
    "มันเกิดที่ไหน มันก็ดับที่ตรงนั้น คือมันจะดับที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ"
    "ทำอย่างไร มันจึงจะดับ ?"
    "ฝึกสติ"

    อันนี้หลักฐานยืนยันชัดเจน เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฝึกสติ ไม่ต้องไปคำนึงว่า เราจะไปนั่งสมาธิที่ไหน
    ในวัดใด สมาธิจะได้ลึกตื้นหนาบางเพียงใด แค่ไหน ขอให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๓ : อรหันต์ในเรือน</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    ถ้าหากเราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เราไม่ดี เราไปตักบาตรพระล้านครั้ง ไม่เท่าเรายื่นอาหารให้คุณพ่อ
    คุณแม่ เรารับประทานเพียงครั้งเดียว คนเราในเมื่อเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ไม่ดี ไปเที่ยวหาเลี้ยงคนอื่น
    มันจะมีประโยชน์อะไร
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22> หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๔ : ใจใส กายสุข</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    ถ้าเราสามารถทำใจให้ว่างๆ ได้บ่อยๆ สุขภาพร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์ เพราะใต้สมอง
    ของคนเรามันมีสารอยู่ตัวหนึ่ง ถ้าเวลาใจว่าง มันจะกระจายออกมาทำงาน จะทำให้สุขภาพ
    ร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์

    หลวงพ่อนี่วิ่งอยู่ไม่หยุด ถ้าไม่อาศัยภาวนาแล้ว ล้มไปนานแล้ว ในร่างกายของคนเรานี่มันมีสิ่ง
    ที่ช่วยตัวของเขาเองอยู่ตลอดเวลา แต่เราไปมองข้าม มีอะไรนิดหน่อย วิ่งหาแต่หมอวิ่งหา
    แต่ยา มันก็เลยเคยตัว

    เพราะฉะนั้น ให้พยายาม ถ้าอยู่ว่างๆ นั่ดูนอนดูลมหายใจเฉยๆ... อย่าไปกังวลถึงอะไรเลย
    พุทโธก็ไม่ต้องว่า ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหังก็ไม่ต้องว่า ดูลมหายใจมันเฉยๆนี่ทีนี้จิตของ
    เรามีพลัง ถ้าหากว่าเราตั้งใจกำหนดรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งในกายของเรา มันจะเกิดพลังงาน พลังจิต
    มันมาประสานกับวัตถุคือร่างกาย มันทำให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๕ : อุบายเลิกเหล้า</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    "การทำมาหาเลี้ยงชีพไม่รู้จักหา ไม่รู้จักทำ มีแต่กินท่าเดียว มีสตางค์มาก็วิ่งเข้าร้านขายเหล้า
    ลงผลสุดท้าย เราก็จะลำบาก เรายังน้อยยังหนุ่ม รีบพยายามที่จะพิจารณาตัว แล้วรีบเลิกละมัน
    เสีย นึกถึงตอนแก่นั่นซิ ตอนแก่แล้ว เรามัวแต่เมา ไม่ประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพ งานการไม่
    ทำมีแต่เมา มีแต่กิน เมื่อแก่ลงมา เราหาอยู่หากินไม่ได้ พ่อแม่ล้มหายตายจากไปหมด เราจะไป
    พึ่งพาอาศัยใคร ถ้าเราไม่ดี พี่น้องก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้ พยายามนึกถึงเรื่องนี้ให้มากๆ ประเดี๋ยว
    ใจมันก็ค่อยๆแข็ง ขึ้น มันก็ค่อยๆเลิกไปเอง เรากำลังหนุ่มแน่น กำลังจะเจริญ พยายามทำใจให้
    แข็งเสีย

    วิธีฝึกตน ก็พยายาม ทีแรกนี่ พยายามว่างๆ ก็ไปจำศีลอยู่กับพระกับเจ้าเสีย ทีละอาทิตย์ สอง
    อาทิตย์ มันจะค่อยห่างไปๆ ทางโปรดของหลวงพ่อก็มีอย่างนี้แหละ ให้พยายามทำใจให้แข็ง
    อดทน ใครมาหาหลวงพ่อ ก็เทศน์ให้ฟังอย่างนี้ ใครเอาจริง เขาก็เลิกได้ อยู่ที่ใจ... ไม่มีอะไร
    แก้ อยู่ที่ใจเรา ถ้าเราเห็นความชั่วความไม่ดีของการกินเหล้า เวลาปกติ ที่เราสร่างเมาแล้ว ก็
    ค่อยๆพิจารณา ดูโทษของมัน พยายามรีบๆ ปรับปรุงตัว อดมันเสีย ตั้งใจให้มันเด็ดขาด แล้ว
    ก็อย่าไปสบถสาบาน ตั้งใจให้มันแข็ง ให้นึกถึงใจพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ที่เขาก็เป็นห่วง เป็นใย
    เรา กลัวเราไม่ได้ดิบได้ดี นึกถึงความหวังดีของพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย"
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22> หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๖ : อิทธิพลของสมาธิ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    ขณะใดที่เราภาวนา แล้วจิตของเราสงบ นิ่ง สว่าง หรือไปรู้สึกนิ่งแจ่มๆ อยู่ในจิตในใจก็ตาม

    นั่นแสดงว่า จิตใต้สำนึกของเรากำลังเริ่มตื่นขึ้นแล้ว ทีนี้เมื่อเราฝึกต่อเนื่องกันทุกวัน จนคล่อง
    ชำนิชำนาญ เราสามารถทำจิตให้สงบได้ ตามที่เราต้องการ เมื่อจิตสงบลงนิดหน่อย เราจะน้อม
    ไปใช้ประโยชน์ในทางไหนก็ได้ อยากจะเป็นหมอรักษา คนไข้ ก็สำรวมจิต อธิษฐานแผ่เมตตา
    ให้คนไข้ แม้เพื่อนฝูงของเราเจ็บไข้ อยู่ในที่ห่างไกล เรานั่งสมาธิสำรวมจิต แล้วอธิษฐานจิตแผ่
    เมตตาให้เพื่อนของเราที่กำลังป่วยไข้ ก็สามารถที่จะหายได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๗ : ลักษณะของมหาบุรุษ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : พระธรรมกิติวงศ์ วัดราชโอรสาราม กรุงเทพ </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    คนที่เป็นมหาบุรุษ หรือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ น่าเคารพน่านับถือนั้น ก็คือคนที่มีลักษณะในด้าน
    เสียสละ คนจะร่ำรวย มีฐานะสูงส่งอย่างไร มียศฐาบรรดาศักดิ์สูงขนาดไหน แต่ถ้าไม่เสียสละ
    เป็นมหาบุรุษไม่ได้

    ลักษณะมหาบุรุษนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า มีลักษณะที่พอจะมองเห็นได้ เป็น ๔ ลักษณะด้วยกัน คือ

    ๑. มีเพื่อให้
    ๒. ได้เพื่อแจก
    ๓. แบกเพื่อสบาย
    ๔. ตายเพื่ออยู่

    มีเพื่อให้ ได้เพื่อแจก แบกเพื่อสบาย และตายเพื่ออยู่ นี่เป็นลักษณะของมหาบุรุษ ใครก็ตาม
    มีเพื่อให้ มีในที่นี้ก็คือมีทรัพย์ มีสมบัติ มีอะไรก็แล้วแต่ จะขยันทำมาหากินอย่างไร ได้เงินได้
    ทองทรัพย์สินอะไรอย่างไร ก็มีเพื่อให้คนอื่นทั้งนั้น เช่นพ่อแม่ทำมาหากิน ได้เงินได้ทองมา มี
    เงินมีทองก็เพื่อให้ลูก

    เพราะฉะนั้น พ่อแม่ก็ถือว่า เป็นมหาบุรุษของลูกได้ เพราะเข้าในลักษณะมีเพื่อให้ยิ่งให้คนอื่น
    ด้วยซึ่งไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่พี่น้อง เช่นให้ทาน บริจาคทาน สร้างสาธารณกุศล อันนี้ก็ถือว่า ยิ่งเป็น
    มหาบุรุษสูงส่ง ให้ลูกให้เต้า ให้ญาติพี่น้อง นั่นถือว่าเป็นปกติธรรมดา เพราะเป็นลูก เพราะเป็น
    พ่อเป็นแม่กัน เพราะเป็นญาติ เป็นพี่เป็นน้องกัน ให้กันก็ไม่เห็นจะแปลก แต่ถ้าให้ได้ ก็ถือว่าเข้า
    ลักษณะที่ว่า มีเพื่อให้

    แต่ถ้าให้คนอื่น ซึ่งไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่น้อง ไม่ใช่พวกพ้อง เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ก็ให้ นี่เรียกว่าเป็นคน
    มีสินน้ำใจ มีเพื่อให้อย่างนี้ จัดว่าเป็นมหาบุรุษแท้

    ได้เพื่อแจก ก็คือได้อะไรมา ไม่ใช่ได้เพื่อเก็บ ได้มาก็เพื่อให้ ได้มาก็เพื่อแจกจ่ายกันไป ได้มาก็
    เพื่อเสียสละไปอย่างนี้ เรียกกันว่า ลักษณะมหาบุรุษ มีเพื่อให้ ได้เพื่อแจกๆไป

    แบกเพื่อสบาย แบกเพื่อสบายก็คือรับภาระทำซะเอง เพื่อให้คนอื่นสบาย ก็คือเป็นลักษณะของ
    ผู้ที่มีน้ำใจเสียสละไม่งอมืองอเท้า ไม่นิ่งดูดาย เห็นใครตกทุกข์ได้ยากก็รับภาระที่จะช่วยเหลือ
    เกื้อกูล เหมือนพ่อเหมือนแม่ ดังที่กล่าวมาในตอนต้น แบกภาระทุกอย่างในครอบครัว ทำโน่นทำ
    นี่ เพื่อให้ลูกสบาย คือแบกภาระซะเอง รับภาระซะเอง เพื่อให้ลูกเต้าสบาย นั่นเป็น

    ลักษณะมหาบุรุษ หรือผู้บังคับบัญชายอมรับผิดชอบ เรียกว่ายอมรับแบกภาระอันหนักไว้ซะเอง
    เพื่อให้ลูกน้อง ผู้ใต้บังคับบัญชาสะดวกสบาย นั่นก็เป็นลักษณะมหาบุรุษ ไม่ปัดสวะพ้นตัว คนที่
    แบกเพื่อให้คนอื่นสบาย นั่นมีลักษณะของ มหาบุรุษ โดยแท้

    ตายเพื่ออยู่ คือยอมตาย เพื่อให้คนอื่นได้อยู่ ไม่ทิ้ง และตายเพื่ออยู่ในอีกลักษณะหนึ่งก็คือว่า
    ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อฝากไว้ในโลกนี้ แม้ตัวเองจะตายไปแล้ว ก็ขอให้สิ่งที่เเป็นผลงานนั้น ยัง
    ปรากฏอยู่ คือทำฝากไว้กับโลก ทำฝากไว้กับตระกูลวงศ์ ทำฝากไว้กับลูกกับหลาน นี่เรียก กันว่า
    [COLOR=#cc000]ตายเพื่ออยู่


    ในอดีตกาลที่ผ่านมา ผู้ที่เป็นลักษณะมหาบุรุษเป็นจำนวนมาก ตายแล้วไม่ตาย ตายแล้วคนก็
    ระลึกถึง ตายแล้วคนก็สร้างอนุสาวรีย์ แล้วก็เคารพกราบไหว้กัน สูงสุดก็คือสมเด็จพระสัมมา
    สัมพุทธเจ้า รองลงมาก็คือมหาบุรุษต่างๆ ในประเทศนั้นๆ หรือในประเทศไทย พระราชามหา
    กษัตริย์หลายพระองค์ หรือประชาชนคนธรรมดา ที่ทำประโยชน์ให้แก่หมู่บ้านนั้นๆ ตำบล
    อำเภอ จังหวัดนั้นๆ เขาก็สร้างอนุสาวรีย์ไว้กราบ ไหว้บูชา ศึกษาเล่าเรียนกันว่า ได้ทำอย่างนั้น
    ทำอย่างนี้เข้าไว้ นี่เรียกกันว่า ลักษณะมหาบุรุษ[/COLOR]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๘ : ปัจจุบันนั้นสำคัญกว่า</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรไปทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งของที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริงแม้จะ
    ทำความผูกพัน และมั่นใจในสิ่งนั้น กลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปมิได้ ผู้ทำความสำคัญมั่นหมาย
    นั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว โดยความไม่สมหวังตลอดไป

    อนาคต ที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นสิ่งไม่ควรยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน
    อดีต ควรปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตก็ควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน
    ปัจจุบัน เท่านั้นที่จะสำเร็จเป็นประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ ไม่สุดวิสัย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๙ : ผู้มีสติ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    ผู้ใดมีสติอยู่ทุกเวลา ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเมื่อตา
    มองเห็นรูปก็เป็นธรรมะ หูได้ยินเสียงก็เป็นธรรมะ จมูกได้กลิ่นก็เป็นธรรมะ ลิ้นได้รสก็เป็น
    ธรรมะ ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใดเป็นธรรมะเมื่อนั้น

    ฉะนั้น ผู้มีสติจึงได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน มันมี
    อยู่ทุกเวลาเพราะอะไร ? เพราะเรามีความรู้อยู่

    ในเวลานี้ เราจึงเรียนอยู่กลางธรรมะ จะเดินไปข้างหน้าก็ถูกธรรมะ จะถอยไปข้างหลังก็ถูก
    ธรรมะ ท่านจึงให้มีสติถ้ามีสติแล้ว มันจะเห็นกำลังใจของตน เห็นจิตของตน ความรู้สึกนึกคิด
    ของตัวเองเป็นอย่างไรก็ต้องรู้ รู้ถึงที่แล้ว ก็รู้แจ้งแทงตลอดเมื่อมันรอบรู้อยู่เช่นนี้ การประพฤติ
    ปฏิบัติมันก็ถูกต้องดีงามเท่านั้นแหละ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๐ : ชีวิตเหมือนดอกไม้</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : พระราชวรมุนี วัดประยูรวงศาวาส กรุงเทพ </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    ดอกไม้ที่สุมเป็นกองอยู่นี้ ช่างดอกไม้ที่ชาญฉลาด สามารถจัดสรรมา ร้อยเป็นพวงมาลัยให้
    สวยสดงดงามได้ฉันใด

    ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน ควรร้อยเข้าเป็นมาลัยชีวิตให้สวยงามเช่นนั้น นั่นคือทำความดีให้
    มากเข้าไว้

    ชีวิตของท่านก็เหมือนดอกไม้ บางคนเป็นดอกหญ้าให้คนเหยียบย่ำ บางคนอยู่ในแจกันทอง
    บูชาพระ ขึ้นอยู่แต่ว่า ท่านใช้ทำอะไรต่างหาก

    มีสองแขนสองขาเหมือนกัน แต่บางแขนเป็นมือของโจร บางแขนเป็นมือของพระผู้สร้างโลก
    สุดแต่ว่าท่านจะใช้มือของท่านทำอะไร นั่นคือท่านจะร้อยมาลัยชีวิตของท่านอย่างไร ?
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๑ : แหวน 2 วง</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : พระราชวรมุนี วัดประยูรวงศาวาส กรุงเทพ </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    มีเศรษฐีคนหนึ่งตายจากไป มีลูกชาย 2 คน ทิ้งมรดกไว้ให้ลูก ลูกก็แบ่งมรดกกันทุกชิ้นเลย พี่
    แบ่งครึ่งกับน้อง ในที่สุดก็เหลือสมบัติชิ้นสุดท้าย ที่จะต้องแบ่ง เป็นแหวน 2 วง

    วงหนึ่งเป็น แหวนเพชร อีกวงหนึ่งเป็น แหวนทอง ที่แหวนทองมีจารึกว่า
    "อิทัง อนิจจัง...สิ่ง
    นี้ไม่เที่ยง"


    พี่ชายก็บอกว่า แหวนเพชรคงเป็นแหวนประจำตระกูล พี่เอาไปก็แล้วกัน น้องเอาแหวนทอง
    เกลี้ยงๆนี้ไป น้องชายก็ตกลง สวมแหวนทอง แล้ว 2 คน ก็แยกกันไปทำงาน ทำธุรกิจพี่ชายทำ
    ธุรกิจ พอเศรษฐกิจดี หุ้นขึ้น ที่ดินและบ้านบูม ได้กำไร ก็ดีใจจนเนื้อเต้น พอเศรษฐกิจตก เสียใจ
    จนปรับตัวไม่ทัน ก็เป็นโรคจิตโรคประสาท

    ในขณะที่น้องชายนั้น เวลาไปทำธุรกิจ พอเศรษฐกิจขึ้นดี บูมดี น้องชายก็มองมาที่แหวน
    "อิ
    ทัง อนิจจัง...สิ่งนี้ไม่เที่ยง"
    ประมาทไม่ได้ ต้องเตรียมตัวเอาไว้ในช่วงเศรษฐกิจมันตก มีเงิน
    ก็ออมไว้บ้าง อย่าไปลงทุนกู้หนี้ยืมสิน จนเกินตัว เตรียมใจไว้ พอเศรษฐกิจมันตก ขาดทุน แทน
    ที่จะเสียใจ เป็นโรคประสาทแกมองมาที่แหวน "อิทัง อนิจจัง....สิ่งนี้ไม่เที่ยง" ฟื้นขึ้นมาได้
    ทำใจได้ ไม่เป็นโรคจิตโรคประสาท

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๒ : มีด</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    การฝึกจิตให้มีกำลัง กับ การฝึกกายให้มีกำลัง มีลักษณะอันเดียวกัน แต่มี วิธีต่างกัน การฝึกกาย
    ให้มีกำลัง เราต้องเคลื่อนไหวอวัยวะ แต่ การฝึกจิตให้มีกำลัง คือ ทำจิตให้ " ห ยุ ด " ให้พัก
    ผ่อนเช่น ทำสมาธิ พยายามปล่อยวางสิ่งทั้งหลาย ไม่ปล่อยจิตให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้สารพัด ให้
    มีอยู่อารมณ์เดียว จิตก็จะมีกำลัง ปัญญาก็จะเกิด เช่นเดียวกับ มี มีด เล่มหนึ่ง เราลับไว้ดีแล้วมัว
    แต่ฟันหิน ฟันอิฐ ฟันหญ้าทั่วไป ฟันไม่เลือก มีด ก็จะหมดความคม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22> หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๓ : ปล่อยงูพิษไป</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    อารมณ์ทั้งหลาย เหมือนกับงูเห่าที่มีพิษร้าย ถ้าไม่มีอะไรขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติ
    ของมัน แม้พิษมันจะมีอยู่ มันก็ไม่แสดงออกมา ไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะ เราไม่ได้เข้าไปใกล้
    มัน งูเห่าก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่ามันก็อยู่อย่างนั้น ถ้าหากเป็นคน ที่ฉลาดแล้ว ก็จะปล่อยหมด
    สิ่งที่ดี ก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่ว ก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป เหมือนอย่างเรา ปล่อยงู
    เห่า
    ตัวที่มีพิษร้ายนั้น ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป มันก็เลื้อยไป ทั้งที่มี " พิษ " อยู่ในตัวมัน
    นั่นเอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22> หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๔ : อยู่กับงูเห่า</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    ขอให้โยมจำไว้ในใจ อารมณ์ ทั้งหลายนั้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ที่พอใจก็ตาม หรือ อารมณ์ที่ ไม่พอใจก็ตาม อารมณ์ทั้งสองอย่างนี้ มันเหมือน งูเห่า ซึ่งมีพิษมาก ถ้ามันฉกคนแล้ว ก็ทำให้ ถึงแก่ความตายได้ อารมณ์นี้ ก็เหมือนงูเห่า ที่มีพิษร้ายนั้น อารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมาก อารมณ์ที่ไม่ พอใจก็มีพิษมาก มันทำให้จิตใจของเรา ไม่เสรี ทำให้จิตใจ ไขว้เขว จาก หลักธรรม ของ พระพุทธเจ้า
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22> หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๕ : เปรียบไปก็คล้ายน้ำ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    ใจของเรามันเป็นปกติอยู่ เปรียบเหมือนน้ำฝน เป็นน้ำที่ใสสะอาด มีความใสสะอาดบริสุทธิ์
    เป็นปกติ ถ้าเราเอาสีเขียวใส่ลงไป เอาสีเหลืองใส่เข้าไป น้ำก็จะกลายเป็นสีเขียว สีเหลืองไปจิต
    ของเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อไปถูกอารมณ์ที่ชอบใจ ใจก็ดี ใจก็สบายเมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจแล้ว
    ใจนั้นก็ขุ่นมัว ไม่สบาย เหมือนกันกับน้ำที่ถูกสีเขียว ก็เขียวไปถูกสีเหลืองก็เหลืองไป เปลี่ยนสีไป
    เรื่อย

    จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าถูกอารมณ์มาถูก มันก็กวัดแกว่งไปตามอารมณ์ ยิ่งมันไม่รู้เรื่องธรรมะ
    แล้ว ก็ยิ่งปล่อยไปตามอารมณ์ของเจ้าของเรื่อยไป อารมณ์สุขก็ปล่อยไปตามไป วุ่นวายไปเรื่อยๆ
    จนมนุษย์ทั้งหลายเป็นโรคประสาท
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๖ : ให้ถูกกับจริต</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    อารมณ์ของสมถกรรมฐานนี้ ถ้าไม่ถูกจริตของเรา มันก็ไม่สลด ไม่สังเวช อันใดที่ถูกกับจริต
    อันนั้นก็จะประสบบ่อยๆ มีความรู้สึกนึกคิดในอาการนั้นบ่อยๆ แต่เราไม่ค่อยจะได้สังเกตจึงควร
    สังเกตเพื่อให้ได้ประโยชน์

    เปรียบเหมือนกับอาหาร ที่เขาจัดมาให้สำรับหนึ่ง มันก็มีหลายอย่าง เราก็ชิมไปทุกถ้วยทุกอย่าง
    นั่นแหละแล้วก็จะรู้เองว่า อาหารอย่างไหนที่เราชอบ อย่างไหนที่เราไม่ชอบอย่างไหนชอบ ก็ว่ามี
    รสชาติอร่อยกว่าอย่างอื่น นี่พูดถึงอาหาร นี่ก็เทียบให้เห็นกับจริตของคนเรา กรรมฐานที่ถูกกับ
    จริต มันก็สบาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๗ : ตัวหนังสือกับของจริง</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    หยุดเอาความรู้ปริยัติใส่หีบใส่ห่อไว้เสีย อย่าเอามาพูด ไม่ใช่ความรู้พวกนั้นจะเข้ามาอยู่นี่หรอก
    มันพวกใหม่ เวลาเป็นขึ้นมามันไม่เป็นอย่างนั้น

    เหมือนกับเราเขียนหนังสือว่า ความโลภ เวลามันเกิดขึ้นในใจ ไม่เหมือนตัวหนังสือเวลาโกรธก็
    เหมือนกัน เขียนใส่กระดานดำก็เป็นอย่างหนึ่ง มันเป็นตัวอักษร เวลามันเกิดในใจอ่านอะไรไม่ทัน
    หรอกมันเป็นขึ้นมาที่ใจเลย สำคัญนัก สำคัญมาก
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๘ : ไฟไหม้น้ำท่วม</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    พระพุทธองค์ท่านก็ทรงสอนว่า ร่างกายจิตใจนี้ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น มันจะเป็นของมันอยู่
    อย่างนั้น มันจะไม่เป็นไปอย่างอื่น คือเริ่มเกิดขึ้นมา แล้วก็แก่ แก่มา แล้วก็เจ็บ เจ็บมา แล้วก็ตาย
    อันนี้เป็นความจริงเหลือเกินเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว ก็มองดูมันด้วยปัญญา ให้เห็นมันเสียเท่านั้น

    ถึงแม้ว่าไฟมันจะมาไหม้บ้านของเราก็ตาม ถึงแม้ว่าน้ำมันจะท่วมบ้านของเราก็ตามก็ให้มัน
    เป็นเฉพาะบ้านเฉพาะเรือน

    ถ้าไฟมันไหม้ ก็อย่าให้มันไหม้หัวใจเรา ถ้าน้ำมันท่วม ก็อย่าให้มันท่วมหัวใจเรา ให้มันท่วมแต่
    บ้าน ให้มันไหม้แต่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกกายของเรา ส่วนจิตใจของเรานั้น ให้มันมีการปล่อย
    วาง เพราะในเวลานี้มันสมควรแล้ว มันสมควรที่จะปล่อยแล้ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๙ : กล้วย - มะพร้าว</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    เปรียบง่ายๆให้ฟัง เราไปซื้อกล้วยหรือซื้อมะพร้าวใบหนึ่งจากตลาด แล้วก็เดินหิ้วมา

    อีกคนหนึ่งก็ถาม "ท่านซื้อกล้วยมาทำไม ?"
    "ซื้อไปรับประทาน"
    "เปลือกมันต้องรับประทานด้วยหรือ ?"
    "เปล่า"
    "ไม่เชื่อหรอก ไม่รับประทานแล้วเอาไปทำไมเปลือกมัน ?"
    หรือเอามะพร้าวใบหนึ่งมาก็เหมือนกัน
    "เอามะพร้าวไปทำไม ?"
    "จะเอาไปแกง"
    "เปลือกมันแกงด้วยหรือ ?"
    "เปล่า"
    "จะเอาไปทำไมล่ะ ?"

    เอ้า จะว่าอย่างไรล่ะ จะตอบปัญหาเขาอย่างไรด้วยความอยาก ถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ได้ทำให้มัน
    มีปัญญานะ การทำความเพียรก็เป็นเช่นนั้น คือทำด้วยการปล่อยวาง อย่างกล้วย อย่างมะพร้าว
    เอาไปทำไมเปลือกมัน ? ก็เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเอามันทิ้ง มันก็ห่อเนื้อในมันไปอยู่นั้น ยังไม่ถึง
    เวลาจะทิ้ง ก็ถือมันไว้ก่อนการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน สมมติ วิมุตติ ก็ต้องปนกันอยู่อย่างนั้น
    เหมือนมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือก ทั้งกะลา ทั้งเนื้อ เราก็เอามาทั้งหมดแหละ เขาจะหาว่า
    เรากินเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขา เรารู้จักของเราอยู่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=550 bgColor=#eeeeee align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ff9933 height=22>หั ว ข้ อ เ รื่ อ ง ที่ ๔๐ : สามในหนึ่ง</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffcc66 height=22> โ ด ย : หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top><TABLE border=0 cellPadding=5 align=center><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD vAlign=top>
    ปัญญา กับ สมาธิ เมื่อเราพูดแยกกันออก ก็คล้ายๆ คนละตัว แต่ความเป็นจริง เป็นตัวเดียวกัน
    นั่นเองแหละ ปัญญาเป็นเครื่องเคลื่อนไหวของสมาธิเท่านั้น มันออกจากจิตอันนี้เอง แต่แยก
    กันออกไปเป็นคนละลักษณะเหมือนมะม่วงใบหนึ่ง เมื่อมันเล็กก็ใบนี้ เดี๋ยวมันก็โตขึ้น เดี๋ยวมัน
    ก็สุก คือมะม่วงใบเดียวกันไม่ใช่คนละใบ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือของอันเดียวกัน เหมือน
    มะม่วงนั่นแหละ เพียงแต่มันเป็นคนละอาการ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...