ธรรมะจากเพจต่างๆ พระสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ธรรมะสายหลวงปู่มั่น, 6 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชทานพระกฐินต้น ณ วัดประชาคมวนาราม จ.ร้อยเอ็ด หลวงปู่ศรี ยกย่องในหลวงฯ เป็นผู้สำเร็จสมาธิ พระผู้มีบุญบารมีสูงส่ง

    นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 8 พย.2559

    1504258924_877_พระบาทสมเด็จพระปรมินทร.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  2. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  3. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  4. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    “เป็นชาวพุทธแค่ไหน?”

    ฝรั่งมาถามอาตมาว่า คนไทยเป็นพุทธ ๙๕% แต่ทำไมสังคมไทยจึงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวและการเอารัดเอาเปรียบ เราตอบเขาได้เลยว่า “วันหนึ่งๆ คนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธไม่กี่นาทีหรอก”

    ให้พวกเราพิจารณาโทษของการไม่มีสติและคุณของการมีสติให้เห็นชัด สติเป็นเครื่องกำหนดพระพุทธศาสนา สติอยู่ พระศาสนาอยู่ สติไม่อยู่ พระศาสนาก็ไม่อยู่

    มองในแง่นี้อาจพูดได้ว่า ขณะที่เราครองสติ เราเป็นชาวพุทธ ขณะใดที่สติหลุดไป เรากลายเป็นเดียรถีย์คนนอกศาสนา

    หนทางปฏิบัติจึงอยู่ที่ความเพียรในชีวิตประจำวัน เราควรเป็นชาวพุทธให้มากที่สุด เป็นคนนอกศาสนาให้น้อยที่สุด เรามีทางเลือกอยู่ตลอดเวลาระหว่างการ “คิดพุทธ” และ “คิดผิด”

    พระอาจารย์ฌอน ชยสาโร
    วัดป่านานาชาติ อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี —

    ร่วมแชร์เป็นธรรมทาน
    เพจ ธรรมะของพระอรหันต์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    กลุ่ม ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  5. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    “ผมเชื่อนะครับว่าหลวงปู่ดูลย์ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ตอนที่หลวงพ่ออยู่กับท่าน ทำไมท่านยังบอกให้ไปอยู่กับหลวงตาบัว วัดป่าบ้านตาด?”
    ข้อวัตร ไปเอาข้อวัตร ไม่ได้ไปเอาธรรม เอาข้อวัตรหลวงปู่มั่นที่ท่านหลวงตามหาบัวท่านปฏิบัติดี ไปเอาข้อวัตรมาเฉยๆ ไม่ได้ไปเอาอย่างอื่น อาตมาก็พูดตามท่านล่ะนะ หลวงปู่ดูลย์ท่านก็หมดลมตรงหน้าอาตมานี่แหละ อาตมาก็ดูจนหมดลมสุดท้ายเลย อาตมาถามหลวงปู่ไปได้ไหม ท่านบอก “จิตไม่มีที่ตั้ง จิตไม่มีอารมณ์” อ้อ! ถ้าแบบนี้ไปได้ ถ้าคนไม่สนิทจะถามได้ไหม ถามดูเลยว่าองค์ไหสนิทกับหลวงปู่ อาตมานี่เลย
    “ช่วงที่หลวงพ่อรู้สึกว่าจิตบริสุทธ์แล้วนี่ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอะไรภายใน?”
    ไม่มี! มีแต่เรื่องภายนอกไปตรงไหนเขาก็ด่า ไปตรงไหนเขาก็เดินขบวนไล่ ก้อนอิฐยังโดนมาแล้ว
    “ไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนกับว่า จิตมีพลังที่จะสามารถบดขยี้ภูเขาให้ละเอียดเป็นทรายเลยหรือครับ?”
    อ้อ! นี่ตัวมันเองเลย ตัวผู้รู้เองเลย อำนาจมันมีของมันคือไม่ใช่ทำลายภูเขา มันมองเป็นธาตุมากกว่า อาตมาจะมองอยู่ตรงนี้เลย ไม่ได้มองอากาศหรืออื่นๆ ไม่มีเลย มันออกไม่ได้ก็อย่างนี้แหละ ถ้ามันออกได้ก็สึกไปแล้ว มันลำบากแน่วตลอด อยู่ตรงไหนก็แน่ว อย่างตอนนี้มันก็แน่วของมันอยู่ ไม่ไปไหนเลยเพียงแต่ในชีวิตเราเคยทำกรรมมาเยอะไปทางไหนก็ต้องเดินขบวนไล่ เรียกคนมาด่าไอ้เยื้อนอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ดีใจนะ เราไม่ธรรมดา มีคนมาด่าเรา ทำไมถึงโดน หน้าตาอย่างนี้ไม่หน้าโดน เอาขี้ใส่บาตรก็ยังมี หน้าแบบนี้ไม่น่าโดน น่าจะเป็นองค์อ้วนๆหัวล้านๆ ผิวพรรณผ่องแผ้วถึงจะดูเข้าท่า นี่ขาวที่สุดแล้ว เมื่อก่อนตัวดำมากก็หลวงตาขังไว้ในห้อง หลวงตามหาบัวหาไม่เจอ ไปทำกิจที่วัดเลยใส่กุญแจไปบิณฑบาตเฉยเลย หน้าต่างก็ใส่ลูกกรง ออกไม่ได้ จนท่านเอี้ยนกลับมาเอากุญแจไขให้ คราวหลังพอหลวงตาจะใส่กุญแจบอก “ออกมา! ออกมา!” ที่แท้เราออกไปนานแล้ว คือมองไม่ค่อยเห็น อยู่บ้านตาดเขาเรียก ดาร์กี้
    มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อยู่หมออวยก็อยู่ อาตมาเป็นมาเลเรียแรงมาก ผอมเหลือแต่กระดูก ไม่ได้ฉันข้าวตั้ง ๒ เดือน คุณจันทร์ บุญมี ปรึกษากับดอกเตอร์เชาว์ว่าต้องเอาท่านเยื้อนไปรักษา ก็ไปกราบเรียนหลวงตาบอกต้องเอาไปโรงพยาบาลไม่งั้นตายแน่ หลวงตาบอก “พวกนี้อยู่ใกล้ท่านเยื้อนก็ไม่รู้ท่านเยื้อนเลยนะ” เพราะหลวงตามาแอบดูอาตมาตอนตี ๒ ท่านบอกป่วยที่ไหนล่ะ คุณไปสังเกตดูตี ๑ ตี ๒ เดินจงกรมเฉย มันไม่ป่วยไม่ตายหรอก คุณไม่เห็นเฉยๆ ตอนกลางวันมันลุกไม่ขึ้น ไม่ต้องเอาไปหรอก มันจะตายยังไงโยม ไม่ต้องตายหรอกมันตื่นตลอด แต่คนอื่นมองภาพมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ข้างในก็อีกอย่างหนึ่งมันคนละเรื่องต้องพูดกันเท่านั้นถึงจะรู้ หลวงตาแอบมาดูเพราะอาตมาไม่เคยใส่รองเท้า หลวงตาหาอาตมาไม่เจอหรอก แล้วอาตมาไม่นอนกุฏิด้วย นอนกอไผ่คืออยู่บ้านตาดไม่นอน โน่นกางกลดนอนโน่น
    ถ้านอนกุฏิก็เหมือนเขา หลวงปู่ดูลย์อุตส่าห์ส่งไปแท้ๆ ไปนอนเหมือนคนอื่นมันเสียยี่ห้อหมด ฝนตกก็กลางกลดนอน ก็เปียกสมน้ำหน้ามัน เดินจงกรมฝนตกก็เปียกสมน้ำหน้ามัน ฉันข้าวก็ฉันวันละ ๗ คำ ท่านสุดใจจะกระอักเลือกตาย ฉันเร็วเกินไปแก่ก็ไม่อิ่ม เราลุกแก่ก็ต้องลุกตามอยู่ติดกันใช่ไหม ก็แล้วแต่ปัญญาใครปัญญามันมันใช่ไหม มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเชอรี่ เห็นอาตมาฉันหอยจุ๊บ ฉันเสร็จแล้วทิ้งจุ๊บใส่กระโถนเขาไม่ได้ยิน ท่านเชอรี่ก็มองอาตมา ๒-๓ ครั้ง ก็เอาหอยมาบ้างแกเล่นทั้งเปลือกเลย กร๊อบ เฮ้ย! ฝรั่งกินหอยทั้งเปลือก ความฉลาดมันต่างกันเนอะ
    อยู่กับหลวงตาก็ได้เยอะเพราะหลวงตาท่านไม่ได้สอนอาตมาแบบนี้ ท่านเหลือบสายตา องค์อื่นไม่โดน เราก็ไปดูที่จิตเรา พอเห็น ไปเอาได้เหมือนกันนะ ยิ่งเราเอาได้ยังไง ท่านก็ยิ่งสอนหนักกว่าเพื่อนเลย เหมือนต้องเล่นภายในกับภายในนะ เพระเราก็เรียกท่านเป็นพ่อเรา ท่านเลนสอนไม่เหมือนใครจะแตกต่างกันมาก เหมือนกับเรื่องจับงูเห่า ท่านว่า ธรรมสุรินทร์เอาเลย แต่ก่อนคนบ้านตาดเขานึกว่าอาตมาเป็นพระเขมร มีคาถาอาคมจับงูไม่กัด อาตมาบอก “ไม่ใช่! คาถาลาว ลาวสั่งเขมรจับ” ก็ลาวสั่ง เขมรปฏิบัติ เรามั่นใจว่าอาจารย์สั่งเราไปไล่งู อาจารย์จะให้งูกัดลูกศิษย์หรือ? เรามั่นใจ เราก็ไม่กลัวล่ะ เพระคำอาจารย์สั่ง จับคองูเห่าเลย กลับมาหลวงตาบอก “เฮ้ย! นั่นมันงูเห่า” ก็หลวงตาสั่ง อาตมาก็ต้องทำ ไม่เคยค้านด้วย ไม่เคยเดี๋ยวก่อน ไม่มี! ตรงนี้ไม่ใช่อาตมาแล้ว ขี้เกียจก็ไม่มี สั่งเดี๋ยวนี้ไปเดี๋ยวนี้เลย ทันทีเลย
    มีครั้งหนึ่ง ท่านนั่งเขียนหนังสือตุ๊กแกขี้ใส่หัวท่าน ท่านบอก “เทวทัตปล่อยขี้ใส่หัวกู” หลวงตาลงไปเท่านั้น อาตมาขึ้นไปอาละวาดตุ๊กแกเลย ตุ๊กแกมันเข้าไปในรู อาตมาก็เอามือแหย่ๆ ท่านขึ้นมา “ธรรมสุรินทร์ไปแหย่อะไร” “ผมจะตุ๊กแก แล้วไปแหย่ตุ๊กแกมันก็กัดครับ ถ้าไม่แหย่มันก็ไม่ได้ตัวล่ะครับ” มันก็กัดขาดังปุ๊บ แล้วก็ค่อยดึงๆๆ โห!ตุ๊กแกมันกัดไม่ปล่อยใช่ไหม ได้ตัวมาเลย เราไม่ได้กลัวนี่ กลัวหลวงตามากกว่าตุ๊กแก
    ผมไม่ได้กลัวใครจริงๆ ไม่รู้จะกลัวตรงไหน คือจิตตั้งแต่ตอนนั้นมันเปลี่ยน ไม่มีสภาพเลย ถ้าใครว่าเห็นผีอย่าหวังเลย เจอแน่เดินจับเลย ไม่ต้องโจงคาถาหรอก ถ้าเป็นตัวผมเอาแน่ ขนาดไม่เป็นตัวฟุด ๆผมยังไล่จับเลย ไม่ได้กลัวนี่ เพราะจิตตรงนี้มันไม่มีเลย เพราะจิตกลัวเป็นจิตที่เสียหายมาก
    อย่างอาตมามาดูประวัติหลวงปู่ตื้อเห็นช้างเดินอ้อม อาตมาไปหาช้างจนชนะช้าง ไม่อ้อมนะโยม ต้องไปองค์เดียว ถ้าไปสององค์ องค์หนึ่งวิ่งหนีเราต้องวิ่งด้วย เสียยี่ห้อกัมมัฏฐานหมด ต้องไปเจอช้าง ก็ธุดงค์ไปเจอเสือ เจอหลายครั้ง เฉพาะงูจงอางนี่ อยู่บ้านตาดจับหางเล่น แต่อาจารย์บุญมีไม่ถูกกัน เพราะจะเอาไม้กวาดตีมัน มันก็จะขู่ใส่ แต่อาตมานี่ไม่ใช่ โห! เสี่ยวๆ หลวงตาก็บอกหม่อมราชวงศ์เกษมศรี พระบ้านเราไม่ใช่พระธรรมดานะ เล่นกับงูจงอางได้ คุณหมอ “ไหนองค์ไหนคะ” งูรี่มันจะมาหาเรื่อย งูจงอางนะ
    อาตมาชอบนิสัยผจญภัย คือเราไปผจญภัยแล้วเราจะรู้เลยจิตของเราเป็นไง เพราะจิตของเราอยู่อย่างนี้ไปเจอช้างวิ่งหนีเสียยี่ห้อหมด ไม่ใช่ พุทโธ แล้ว ไม่ใช่ผู้รู้แล้ว อย่างนี้รู้วิ่ง ให้มันเจอเลย ก็เลยคิดว่า ลาหลวงตามหาบัวจะไปวัดบ้านตาด อาจารย์ทุยบอกว่ามีเสือโคร่ง หมูป่าแล้วก็งูใหญ่ๆ ส่วนมากไม่ได้ไป นานมากถึงได้ไป วันนั้นหมูป่าเดินผ่าน เราตามหมูไปถึงกุฏิหลวงตา บอกหลวงตา “เจอแล้วหมูป่า” ท่านบอก “เออ! แล้วจะไปดงชมพูอีกไหม” “ไม่ครับ ไม่ไปหรอกเพราะเจอแล้ว แต่เสือโคร่งนี่ยังไม่เจอ” ท่านบอก “ไม่เจอเหรอเสือโคร่ง ทุกวันมันวิ่งตามท่านอยู่นะ” “ไหนผมไม่เห็นเลย” “ก็ตอนเอาข้าวไปให้กระแตน่ะ” “อึ้ย! นั่นมันหมาไม่ใช่เสือโคร่งน่อ” จะไปกลัวอะไรหมา ก็บอกผมอยากจะเจอเสือโคร่ง แล้วก็อยากจะเจองูใหญ่ๆ วันนั้นไปเดินจงกรมเจองูหลามใหญ่เลย มันอยู่บนหัวเลย โอ! สะใจดี บอกอาจารย์บุญมี “อาจารย์มาช่วยดูสิ เข้าท่านะ” อาจารย์บุญมีบอก “อย่าไปยุ่งท่านเยื้อน” “ไม่ผมจะจับมัน” “เราไปกุฏิดีกว่า นี่จะจับงูอีกแล้วเหรอ” มันใหญ่นะ เราก็อยากจับมัน
    หลวงตาก็รู้ว่าเห็น แต่เสือยังไม่เจอ ก็ลาไปถึงดงชมพูจนไปชนเสือ เสือไม่มี มีแต่รอยเสือ ไม่ได้เลย เลยมาเจอเสือที่แถบเขมร ช้างนี่ไปเจอที่พม่า ไม่หลีกมันหรอก มันเหยียบก็เหยียบไป ให้มันเหยียบไปเลย จะกลัวมันทำไม เอ้า! จริงๆ นี่คือการพิสูจน์จิตของเราด้วย ถ้าจิตของเราดีจรองมันก็ต้องมีเมตตา เพราะจิตถึงธรรมมันมีพรหมวิหาร ๔ นะ โยมนะ จริงๆ มันเป็นอย่างนั้นเลย
    เดินไปเลยด่านเจดีย์สามองค์ไป แรกเดิมทีก็ไปถึงทองผาภูมิ แต่ก่อนเสือเยอะ เดินไปมีเพื่อน ๒ องค์ กลวงคืนเสือมันร้อง ก้อก ก่อก ก้อง ประมาณ ๓ ทุ่ม เขียดปาดโดดใส่กลดองค์หนึ่งอยู่ห่างกัน เขาวิ่งผ่านกลดอาตมาเลย อาตมาต้องวิ่งตาม มันบอกเสือตบ วิ่ง! เสือ เราก็เลยเสือตามวิ่งตามด้วย เสียยี่ห้อหมดเลย ตื่นเช้ามา “คุณกลับสุรินทร์ซะ ผมไม่ไปหรอก” แบบนี้ต้องไปองค์เดียวไม่ต้องวิ่ง ไปองค์เดียวไม่วิ่งเลยเสือมาก็เพื่อน ก็มีหลวงพ่ออุตตมะ ท่านให้ไปนอนทีโบสถ์ที่น้ำท่วม แข็งแรงนะ ท่านจะเอากัมมัฏฐานไปลองทุกครั้ง จะอยู่ไม่ได้ ๒ คืนหรอก แต่อาตมาไปนอน ๒ คืน ๓ คืนมีลูกศิษย์หลวงพ่ออุตตมะบอกว่า เอ้! ทำไมพระองค์นี้นอนได้ตั้ง ๒ คืน ไม่เห็นวิ่งหนีจากโบสถ์เลย นอน ๓ คืนหลวงพ่ออุตตมะเรียกไปฉันด้วย บอกท่านมาจากสุรินทร์ “ปกติโบสถ์ผมเขานอนนานขนาดนี้ไม่ได้นะ” “มันเป็นอะไรหลวงพ่อ” “เขาเรียกว่าผีบีบคอ เปรตใหญ่” ผมถามว่า “เปรตใหญ่เป็นไงหลวงปู่” “เปรตพม่า เปรตมอญ เปรตไทยใหญ่” “เชื่อไหมเปรตกระเหรี่ยงมันจะมาหลอก มันจะบีบผมได้ไง ผมเป็นเขมรน่ะ หลอกให้ตาย ผมก็ไม่สนมันหรอก มันคนละภาษากัน” หลวงปู่อุตตมะบอก “เอ่อ! พอแล้วไม่ต้องพูดมากหรอก ไอ้หนุ่มนี่มันแรงจริงๆ มันเล่นถึงขนาดนี้เลย ถามมันนะ ไม่เห็นมาก็เลยไม่รู้เรื่อง”
    ก็เลยลาหลวงปู่อุตตมะ จะไปด่านเจดีย์สามองค์ หลวงปู่ไม่ให้ไป “อย่าไปนะ” ต้องตามไปดู ห้ามแล้วต้องตามไปดู ต้องมีอะไรใช่ไหม ของเรามันบ้าอยู่แล้วก็อยากตามไปดู ไปถึงบ้านกระเหรี่ยงมั้ง ไปอยู่ถ้ำญี่ปุ่น เจองูจงอางตัวเบ้อเริ่มเลยมันไม่ให้เข้าเลย ไอ้นี่ เราจะไปอยู่ข้างนอกช้างก็จะเหยียบ แผ่แม่เบี้ยเข้ามา ไอ้นี่สงสัยไม่ใช่ลูกศิษย์พญานาคหรอก ไม่น่าจะเป็นลูกศิษย์เทวทัตเลยนะ มันน่าจะเป็นลูกศิษย์พญานาค เห็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้ามันต้องเคารพ นี่อะไรแบบนี้ไม่มีหรอกนะ ดูลึกๆ น่าจะเป็นลูกศิษย์พญานาค บอกนี่! เราจะไปนอน มันหมอบลงให้เข้าไปนอนในถ้ำเฉยเลย ไม่ต้องสวดวิรูปปักเขหรอก มันช้า มันเยอะเกินไปเอาสดๆเลย ก็ไปนอนนั้น ๒ คืน มันก็อยู่ด้านนอก เฝ้าไปเถอะ เราก็อยู่ของเราเรื่องขบฉันนี่อาตมาอดข้างได้เป็นเดือนได้ น้ำอด ๑๐ วันได้เลย เพราะฝึกฝนมาแล้วพร้อมแล้ว ไม่ต้องใครมาฝึกเรา อยู่ ๒ คืนก็ไป เดินตามเกวียนช้าง เกวียนช้างหนาขนาดนี้นะ ล้อท่วมหัวเลย ช้างลากไปเลย ตุ้มต้าม ตุ้มต้าม เราก็เดินไป พวกพม่ามันเอาของหนีภาษีไป ช้างนอนเราก็นอนด้วย พวกมันไปเราก็ไปด้วย ไปก็พูดภาษากันไม่รู้เรื่อง อาศัยตามช้างแหละ ยังไงๆ มันก็ต้องไปด่านเจดีย์สามองค์
    ตอนนั้นเดินเท้า ๕ วันถึงด่านเจดีย์สามองค์ ตอนนั้นยังไม่เจริญ เราไปนั่งต้นพอกใหญ่ เจอพอดี เย็นพอสมควรก็มีเสียงสะท้อน ฟุ้บ! เข้าในจิตเลย โอ้โห! พุ่งเลยนะ เอ! เราบอกตรงไม่ปกติน่ะ อาตมาก็นั่งไป ๒ ทุ่มก็เห็นคนมาสังเกตนะ ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่มก็สังเกต ตกประมาณ ๖ ทุ่ม อาจารย์หนีจากกลดเลยนะ หนีจากกลดไปนอนที่อื่น นอนที่นั่นไม่มีที่ว่างเลย ไปว่างอยู่ที่เดียว นอนไปมีแต่กระดูกผีที่เขาเผาผี นอนกับผีนั่นแหละ แต่มันยิงกลดอาตมารู้เลย รู้สึกเป็นอาก้ายิงทะลุกลดเลย ตื่นเช้ามาเราบิณฑบาต โอ! ศักดิ์สิทธิ์นะโยมนะ ขนาดยิงยังไม่ตาย โอโห! เราบิณฑบาตมันซุบซิบๆ กันเลย ที่แท้ไปนอนที่อื่น ไม่ได้ขลังหรอกโยม ไปที่อื่น ไม่รู้บังเอิญมันคือตัวจิต เขาเรียกจิตมันรักษาจิตเอง มันซุบซิบมากเลย ทุกคนมาดูทำไมยิงแล้วไม่ตาย บิณฑบาตเฉยเลย ตอนนี้มันไปบอกเจ้านายมันเลย มันอยากลองอีกทีหนึ่ง ถ้าลองได้ก็เป็นเจ้านายมันเลย อาตมาดูระยะ ๑ ระยะ๒ ระยะ ๓ มาเป็นระลอกๆ มันมาดู คือระยะสุดท้ายต้องยิงละ ยกสุดท้ายมันต้องยิงตี ๒ ตอนนั้นยิงตี ๔นี่ต้องยิงตี่ ๒ เชื่อไหมกลดอาตมาหายหมดเลย เอาทั้งกลดเลย
    ไปนอนโน่นโยม ประมาณเทเวศร์ ไม่กางกลดเลย นอนดำๆ อยู่แล้วไม่ต้องกลัว เดินเหยียบก็ไม่สนใจหรอก นอนอยู่นั่นแหละ เสร็จมันก็มาหาไม่เจอ แต่ตอนตี ๕ เราไปกางกลดใหม่ โอ้โห! ตอนนี้ศักดิ์มากเลย หายตัวก็ได้ ยิงไม่เข้าอีก บอกหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์บอกไอ้ศรีธนญชัย อ้าว! หลวงปู่ ผมไม่มีคาถาป้องกันปืน ผมก็ต้องทำอย่างนี้
    จากนี้ไปกินข้าวเสร็จไปต่อเลย ถึงไปเจอช้าง แรกๆมันก็กลัว เราเดินชนช้างเลย ไม่หนี ช้าง ๗ ตัว ก้าวไป ช้างนี่เคยเห็นพ่อพูด ๓ ระยะนะ ระยะ ๑ ระยะ ๒ ระยะ๓ ถ้าระยะ ๒ ไม่หนีเชียบเลย เราเดินไปมันปุ๊งเลยนะ เชื่อไหมขาอ่อนเลย ขาสปริงนั่งอยู่กับพื้นแปะเลย เหงื่อโชกเต็มจีวร เราบอก อ้าง! มันไม่เป็นอย่างนี้ เราตั้งสติใหม่แบบนี้ไม่ได้ ลุกขึ้นต่ออีก เดินไปอีกไม่อ้อมแน่นอน ต้องชนอย่างเดียว เดินไปอีก ต๊อกอีกเหมือนกัน มันมีระยะหนึ่งมันตีงวงของมัน ตีหูมัน แล้วเสียงอิ๊กเหยียบเลย พอดีครั้งที่ ๒ ไปนึกถึงก่อนอยู่กับหลวงตา งูเลือกเชือก งูยาวๆ มันชอบไล่กัดหลวงตา หลวงตาเดินซ้าย เดินขวากระโดดขึ้นกุฏิเลยคิดถึงงูเลือกเชือกตัวเล็ก หลวงตายังวิ่ง เราเอางูเลือกเชือกดีกว่าเดินเข้าไป จิตของเรามันฟู่ขึ้นมาเหมือนดอกบัว เรียกช้างเป็นเพื่อน “เพื่อนๆ จะไปไหน” ช้างเดินหนีเฉยเลย อ้าว! นึกว่าจะอยู่ หนีเฉยเลย สบายหายห่วงเจอช้างแล้ว เลยจบ
    ไปหลงป่าอยู่ประมาณ ๒๓ วัน ที่ภูเขาตะนาวศรี ไม่ได้ฉันข้าวหรอก สมน้ำหน้ามัน สบายมากเพราะเราฝึกวิทยายุทธมาแล้ว ก่อนเข้าป่าเราฝึกมาแล้วไม่ต้องห่วง ไปองค์เดียวสบายมากไม่ต้องกังวลเลย สององค์ไม่ได้โยม หลวงปู่ดูลย์ว่าไปองค์เดียวได้ไง หลวงปู่มั่นไปตั้งสอง อ้าว! ก็หลวงปู่ ผมธุดงค์ก็ต้องไปองค์เดียวน้อ มันเป็นลักษณะอย่างนี้ คือ แต่ละองค์ไม่เหมือนกัน

    พระอาจารย์เยื้อน ขันติพโล วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร จ.สุรินทร์

    นำมาพิมพ์ใหม่โดยกลุ่มและเพจ ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต (นำไปโพสต์ใหม่กรุณาให้เครดิตแต่ถ้ากรณีแชร์ไม่ต้องขออนุญาติสามารถแชร์ได้เลย)

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  6. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงปู่ขาว อนาลโย
    มีเช้าวันหนึ่งโยมพาหลาน 3 ขวบ มาถวายอาหารเช้าให้ท่าน เด็กเห็นเงาะในฝาบาตรหลวงปู่ก็อยากกิน หลวงปู่รู้ว่าเด็กคิดอะไรอยู่ จึงเรียกมานั่งใกล้ๆ แล้วถามว่าอยากกินเงาะไหม เด็กตอบว่าอยากกิน หลวงปู่จึงบอกว่ามาแลกกัน

    ถ้าหนูนั่งสมาธิให้หลวงปู่เห็น หลวงปู่จะให้เงาะทั้งฝาบาตรเลย เด็กถามว่านั่งสมาธิทำอย่างไร หลวงปู่แนะนำว่าให้นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย พร้อมกับหลับตาและภาวนาไปด้วย เด็กถามต่อว่าภาวนาทำอย่างไร หลวงปู่แนะนำเป็นภาษาอีสานว่า “ให้ภาวนาหมากเงาะ หมากเงาะ”

    ด้วยความอยากกินเงาะ เด็กจึงนั่งสมาธิและภาวนาว่า “หมากเงาะๆๆ” ทีแรกเด็กภาวนาพลางเลียริมฝีปากไปพลาง เพราะอยากกินหมากเงาะมาก แต่ไม่นานจิตก็เป็นสมาธิ รู้สึกสบาย สงบ เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง มาลืมตาอีกทีเมือได้ยินเสียงระฆังดังขึ้น เห็นแต่หลวงปู่นั่งสมาธิอยู่ ไม่มีใครในศาลาเลย ผู้คนหายหมด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว เสียงระฆังดังขึ้นเพื่อเรียกพระเณรมากวาดลานวัด แสดงว่าเด็กนั่งสมาธิเป็นเวลานานถึง 8 ชั่วโมง

    เด็กอยากกินหมากเงาะก็จริง แต่หลวงปู่ก็รู้ความอยากนั้น สามารถส่งเสริมให้เกิดสมาธิได้ หากใช้ให้เป็น เด็กไม่จำเป็นลดละความอยากเสียก่อนจึงจะภาวนาได้ ขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องภาวนา “พุท-โธ” อย่างที่นิยมทำกันก็ได้ ภาวนาว่า “หมากเงาะ” ก็ใช้ได้เช่นกัน

    1504257843_8_มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับห.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  7. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    พระสีวลีเถระ ๑ใน ๘๐พระอสีติมหาเถระ เป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ลำดับที่๓๐ นั่งทางพระปรัศว์ขวาของพระบรมศาสดา เอตทัคคะผู้มีลาภมาก
    บุพกรรมในอดีต สมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตระ ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระเถระได้เกิดเป็นกษัตริย์ในพระนครหงสวดี ได้ยินพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งพระสาวกเถระชื่อ สุทัสสนะ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้มีลาภมาก ทรงปรารถนาในตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้นิมนต์พระศาสดาพร้อมทั้งพระสาวก ให้เสวยและฉันถึง ๗ วัน ครั้นถวายมหาทานแล้วก็ได้ตั้งความปรารถนาว่า “แม้ข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีลาภมากของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล”พระปทุมุตระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระอนาคตังสญาณ จึงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า “ในกัปที่แสนนับแต่กัปนี้ไป พระศาสดามีนามว่าโคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราชจักเสด็จอุบัติขึ้น ท่านจักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นสาวกของพระศาสดามีนามว่าสีวลี ความปรารถนาของท่านจักสำเร็จดังปรารถนา”
    สมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ท่านบังเกิดในสกุลหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากพระนครพันธุมดี ท่านได้ช่วยชาวเมื่อถวายมหาทานแด่พระวิปัสสีสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมพระสาวก๖ล้าน๘แสนองค์ โดยเอาเครื่องเทศมา ๕อย่างแล้ว ผสมน้ำส้มมาจากนมส้มแล้ว คั้นรังผึ้งลงในนั้น ปรุงด้วยเครื่องเทศแล้วใส่ลงในใบบัว ถือไปนั่งในที่ไม่ไกลจากพระศาสดา เมื่อถึงลำดับตนถวายทานแล้วจึงเข้าเฝ้าพระศาสดาประคองอัญชลีแล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักการะอันยากไร้นี้เป็นของข้าพระองค์ ขอพระองค์ผู้เจริญโปรดอนุเคราะห์รับสักการะนี้ด้วยเถิด” พระศาสดาทรงรับทานนั้นด้วยบาตรศิลา แล้วทรงอธิษฐานให้ทานนั้นเพียงพอแก่พระสาวก๖ล้าน๘แสนองค์ ด้วยพระพุทธานุภาพ ทานนั้นก็บังเกิดเพียงพอแก่พระสาวกทั้งหลาย เมื่อเสร็จภัตกิจแล้วท่านได้กราบทูลพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยผลแห่งกรรมนี้ ขอข้าพระองค์พึงเป็นผู้เลิศด้วยลาภ ในภพที่เกิดแล้วดังนี้” พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนกุลบุตร ความปรารถนาของท่านจงสำเร็จดังนั้น”
    สมัยหนึ่งท่านได้จุติจากเทวโลกบังเกิดเป็นราชโอรสแห่งพระเจ้ากาสีผู้ครองกรุงพาราณสี ต่อมาพระเจ้าโกศลทรงกรีธาทัพมายึดกรุงพาราณสี ปลงพระชนม์พระเจ้ากาสีและได้สถาปนาพระอัครมเหสีของพระเจ้ากาสีนั้นให้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ในเวลาที่พระบิดาถูกปลงพระชนม์ พระราชกุมารได้หนีออกทางประตูระบายน้ำ รวมกำลังโดยแล้วเสด็จมายังกรุงพาราณสีตั้งค่ายใหญ่ไว้ในที่ไม่ไกล ทรงส่งพระราชสาสน์ถึงพระเจ้าโกศลว่าจะคืนราชสมบัติหรือจะรบ พระมารดาได้สดับสาสน์ของพระราชกุมารแล้วจึงส่งพระราชสาสน์ลับแนะนำไปว่าอย่ามีการต่อสู้ จงตัดการสัญจรทั่วทุกทิศโดยการล้อมกรุงพาราณสีไว้ พวกคนในกรุงก็จะพากันลำบากเพราะน้ำและอาหาร และจะจับพระเจ้าโกศลมาถวายเอง พระราชกุมารได้สดับสาสน์ของพระมารดาแล้วจึงล้อมประตูใหญ่ทั้ง ๔ ด้านไว้ ๗ ปี แต่การณ์ก็มิได้เป็นอย่างที่ทรงดำริ เนื่องจากพวกคนในกรุงพากันออกทางประตูเล็ก น้ำและอาหารมาทำกิจทุกอย่าง ครั้นพระมารดาของพระราชกุมารทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับถึงพระโอรสตำหนิพระโอรสว่าลูกเราโง่เขลาไม่รู้อุบาย ให้ปิดประตูน้อยล้อมกรุงไว้ทุกด้าน พระราชกุมารทรงสดับพระราชสาสน์ของพระมารดา จึงได้ทรงกระทำอย่างนั้นถึง ๗ วัน ชาวพระนครเมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้ วันที่ ๗ จึงได้เอาพระเศียรของพระเจ้าโกศลนั้นไปมอบแต่พระราชกุมาร พระราชกุมารได้เสด็จเข้ากรุงยึดราชสมบัติ ท่านได้กระทำกรรมนี้แล้วในกาลที่สุดแห่งอายุก็ไปบังเกิดในอเวจี หมกไหม้อยู่ในนรกตราบเท่ามหาปฐพีนี้หนาขึ้นได้ประมาณโยชน์หนึ่ง ครั้นพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วท่านก็ได้ท่องเที่ยวอยู่ในภพภูมิของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายเรื่อยมา
    พุทธุปบาทกาลปัจจุบัน พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระสีวลีเถระได้ประสูติเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าโกลิยะ กับพระนางสุปปวาสา ด้วยบุญบารมีที่ท่านได้กระทำมหาทานในสมัยของพระปทุมุตระพุทธเจ้าว่าขอจงเป็นผู้เลิศด้วยลาภ ในเวลาที่ท่านอยู่ในครรภ์พระมารดานั้น ชาวเมืองทั้งหลายได้นำบรรณาการ กระเช้าเมล็ดพืชพันธุ์ และธัญญาหารต่างๆมาให้พระนางสุปปวาสาทรงสัมผัส พืชแต่ละเมล็ดนั้นก็ผลิตผลออกมาเป็นพืชตั้งร้อยกำ พันกำ แม้ภาชนะที่พร่องไปแล้วก็กลับเต็มบริบูรณ์ด้วยบุญบารมีของโอรสในพระครรภ์ของพระนาง หากแต่บุพกรรมที่พระนางและพระราชโอรสกระทำร่วมกันในอดีต คือปิดล้อมเมืองไว้ถึง ๗ปี ก็ทำให้พระโอรสนั้นอยู่ในครรภ์ถึง ๗ปี และอีก ๗วันที่ได้ปิดประตูเล็กทำให้ชาวเมืองเกิดความทุกข์ยากนั้นพระนางก็ได้ทรงเสวยทุกข์หนักอยู่เป็นเวลา ๗วัน ในวันที่จะประสูตินั้น พระนางปรารถนาจะถวายทานแด่พระผู้มีพระภาคจึงปรารภกับพระเจ้าโกลิยะพระสวามี แล้วกำชับว่าหากพระศาสดาตรัสเช่นไรก็ให้กลับมาบอกพระนาง พระเจ้าโกลิยะทราบความแล้วจึงเสด็จไปเข้าเฝ้าพระศาสดา แล้วกราบทูลข่าวให้ทรงทราบ พระศาสดาจึงตรัสว่า “พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา จงมีความสุข จงมีความสบาย จงคลอดบุตรที่หาโรคมิได้เถิด” พระเจ้าโกลิยะสดับคำพระศาสดาแล้วเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ ในเวลานั้นเองที่พระศาสดาทรงให้พร พระนางสุปปวาสาก็คลอดบุตรโดยง่าย พระประยูรญาติต่างก็ดีใจกันทั่วหน้า เมื่อพระเจ้าโกลิยะเสด็จมาถึงก็ทรงเห็นความร่าเริงยินดีในหมู่พระญาติก็ทรงดำริว่าพระดำรัสของพระศาสดาคงจักสำเร็จผลเป็นแน่ จึงตรัสถึงพรที่พระศาสดาตรัสบอกแก่พระมเหสี พระนางจึงกระทำมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์เป็นเวลา ๗วัน มีพระศาสดาทรงเป็นประธาน แล้วขนานพระนามพระโอรสว่า “สีวลี”
    ด้วยความที่สีวลีกุมารอยู่ในครรภ์ถึง ๗ปี ๗วัน เมื่อคลอดออกมาแล้วก็เป็นผู้แข็งแรง ในวันที่ ๗หลัง จากคลอดนั้นพระกุมารก็เติบโตราวเด็กอายุ ๗ปีเป็นที่อัศจรรย์ พระกุมารนั้นก็ได้บรรพชาในสำนักของพระสารีบุตรเถระเจ้า ในวันบรรพชานั้นเองพระสารีบุตรเถระเจ้าให้ ตจปัญจกกรรมฐาน (กรรมฐาน๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ) แก่พระกุมารเพื่อพิจารณา เมื่อปลงผมปอยแรกสีวลีกุมารก็ได้พระโสดาบัน เมื่อโกนปอยที่สองก็ได้พระสกิทาคามี เมื่อโกนปอยที่สามก็ได้พระอนาคามี ครั้นเมื่อปลงผมเสร็จก็ได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา และอภิญญา๖ ในเวลานั้นเอง
    สมัยหนึ่งพระศาสดาทรงประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี พระสีวลีเถระถวายอภิวาทพระบรมศาสดาแล้ว กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักทดลองบุญของข้าพระองค์ ขอพระองค์จงมอบภิกษุ ๕๐๐ รูปแก่ข้าพระองค์เถิดพระเจ้าข้า” พระศาสดาตรัสว่า “จงรับไปเถิด” พระสีวลีเถระจึงพาภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางผ่านหิมวันตประเทศ ผ่านภูเขาชื่อว่าปัณฑวะ แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำวรสาคร ภูเขาหิมวันต์ ป่าฉัททันต์ และภูเขาคันธมาทน์ สถานที่ทั้ง๗นั้นขึ้นชื่อว่าทุรกันดาร หากแต่พระสีวลีเถระและภิกษุ ๕๐๐รูปนั้นก็มิได้กันดารด้วยอาหารและบิณฑบาตเลย มหาชนและเทวดาทั้งหลายก็ต่างติดตามมาให้ทานแก่พระเถระและภิกษุทั้ง๕๐๐รูป เป็นที่อัศจรรย์
    ต่อมาพระศาสดาทรงเสด็จไปเยี่ยม พระเรวตเถระ น้องชายของพระสารีบุตร เมื่อเสด็จมาระหว่างทางพร้อมภิกษุทั้งหลายถึงทางสองแพร่งแห่งหนึ่ง จึงตรัสถามพระอานนท์ว่า “อานนท์ ทางไหนเป็นทางตรง” พระอานนท์กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทางตรงมีระยะประมาณ ๓๐โยชน์ แต่เป็นหนทางที่มีแต่อมนุษย์เป็นทางกันดาร ทางอ้อมมีระยะทาง ๖๐โยชน์ เป็นหนทางสะดวกปลอดภัย มีภิกษาดีหาง่ายพระเจ้าข้า” ทรงตรัสถามว่า “สีวลีมาพร้อมกับพวกเรามิใช่หรือ” พระอานนท์ทูลว่า “พระเจ้าข้า พระสีวลีมาด้วย” พระศาสดาจึงทรงตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ถ้าเช่นนั้นจงไปทางตรงเถิด เราจะได้ทดลองบุญของสีวลีกัน” พระศาสดามีพระภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร จึงเสด็จขึ้นสู่เส้นทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อจะทรงทดลองบุญของพระสีวลีเถระ ได้เสด็จไปตามหนทาง หมู่เทวดาได้เนรมิตพระนครในที่ทุกๆ โยชน์ ช่วยกันจัดแจงพระวิหารเพื่อเป็นที่ประทับและที่อยู่แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เทวดาทั้งหลายนั้น ได้ถือเอาอาหารเที่ยวถามอยู่ว่า “พระสีวลีเถระอยู่ที่ไหน” เมื่อทราบแล้วจึงไปหาพระสีวลีเถระ พระสีวลีเถระจึงให้นำเอาสักการะเหล่านั้นไปถวายพระศาสดา พระศาสดาพร้อมทั้งพระภิกษุสงฆ์จึงได้เสวยบุญของพระสีวลีเถระผู้เดียว ทุกระยะที่เสด็จไปตลอดทางกันดารประมาณ ๓๐ โยชน์นั้นเอง
    เมื่อพระศาสดาจะทรงตั้งพระสีวลีเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้มีลาภมาก จึงมีพระดำรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสีวลีเป็นผู้เลิศ กว่าภิกษุสาวกทั้งหลายของเราผู้มีลาภมาก” พระสีวลีเถระดำรงอายุสังขารเหมาะแก่กาลเวลาแล้วก็นิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานนั้นเอง

    -๑ใน-๘๐พระอส.png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  8. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  9. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ~~ คาถากันฝนของพระป่า ~~
    ตอนที่ได้รับการทูลฟ้องว่า “ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ” ประพฤติตนไม่ถูกต้องตามพระวินัย
    สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งยังเป็นที่ สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ และเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ได้ขอออกธุดงค์กับพระอาจารย์กงมาเพียงสองต่อสอง และทรงขอร้องไม่ให้บอกว่าพระองค์เป็นใคร จากนั้นพระอาจารย์กงมาได้นำพาสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ท่านเคยออกธุดงค์มาแล้ว
    วันหนึ่งได้ไปปักกลดพักอยู่ที่เชิงเขาสระบาป จังหวัดจันทบุรี เกิดลมพายุฝนตก กลดไม่สามารถป้องกันน้ำฝนได้ อนึ่ง การปักกลดของพระธุดงค์ก็ต้องอยู่ห่างกันพอสมควร สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงเปียกปอนไปหมด ส่วนพระอาจารย์กงมาก็นั่งตากฝนแต่บริขารไม่เปียก เมื่อฝนหยุด ท่านก็ครองผ้าเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทำให้เกิดความฉงน
    สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ จึงตรัสถามว่า ทำไม่จึงไม่เปียก ได้รับคำตอบว่า มี “คาถาดี” ภายหลังเสด็จกลับจากเดินธุดงค์สู่วัดทรายงาม จังหวัดจันทบุรีแล้ว พระองค์จึงตรัสถาม “สามเณรวิริยังค์ บุญฑีย์กุล (พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร)” จึงได้ทราบว่า เมื่อเวลาฝนตกพระองค์ต้องเก็บของทั้งหมดใส่ลงไปในบาตร แล้วปิดฝาบาตรให้สนิท ถึงตอนนี้ทำให้สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงเข้าใจชัดว่า คาถาดีป้องกันฝนได้นั้นคืออย่างนี้เอง
    หลังจากธุดงค์หนึ่งอาทิตย์เศษ พระองค์ก็ตรัสว่า “การธุดงค์ของท่านกงมาและพระปฏิบัติกรรมฐานนี้ได้ประโยชน์เหลือหลาย อย่างนี้ธุดงค์มากๆ ก็จะทำให้พระศาสนาเจริญยิ่ง” นับแต่นั้นมา พระองค์ทรงให้ความสนับสนุนคุ้มครอง และสรรเสริญพระอาจารย์กงมาโดยตลอด

    “หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ”

    .png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  10. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ภาพมหามงคลหายากพระคุณเจ้า หลวงปู่ชอบ
    พระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์แห่งยุค

    คนเราถ้ารู้จักความพอใจมันก็บ่ทุกข์
    ที่ดิ้นด่าวๆแล่นหาความอยากกันอยู่
    ทุกวันนี้เพราะ….ใจมันบ่รู้จักพอ…

    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

    .jpg
    1504257005_418_ภาพมหามงคลหายากพระคุณเ.jpg
    1504257006_124_ภาพมหามงคลหายากพระคุณเ.jpg
    1504257006_718_ภาพมหามงคลหายากพระคุณเ.jpg
    1504257006_945_ภาพมหามงคลหายากพระคุณเ.jpg
    1504257007_968_ภาพมหามงคลหายากพระคุณเ.jpg
    1504257007_210_ภาพมหามงคลหายากพระคุณเ.jpg
    1504257007_761_ภาพมหามงคลหายากพระคุณเ.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  11. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    “คำบ่น คำด่าคนเฮานั้น มันเป็นลมออกมาทางปากซื่อๆ หลวงปู่ท่านเล่าว่า…หลวงปู่ชอบท่านเคยเปรียบเทียบคำบ่นคำด่าว่า ลมมันออกก้นบ่ได้มันเลยออกมาทางปากมันกะคือกันกับตดทางปาก ปากกะปากเขาลมกะลมเขาจักสิเอามาใส่ใจเฮ็ดหยัง เขามีทุกข์เขาจั่งบ่นจั่งด่าเฮาสิไปรับเอาเฮ็ดหยัง”

    โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร

    cr.หมอลำ

    -คำด่าคนเฮานั้น-มั.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  12. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    “…การบำรุ่งรักษาสิ่งใดๆ ในโลก การบำรุ่งรักษาตนคือ ใจเป็นเยื่ยม จุดที่เยื่ยมยอดของโลก คือ ใจ ควรบำรุ่งรักษาด้วยดี ได้ใจแล้ว คือได้ธรรมเห็นใจตนแล้วคือเห็นธรรม รู้ใจแล้ว คือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตนแล้วคือถึงพระนิพพาน ใจนี้คือสมบัติอันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจ คือไม่สนใจปฏิบัติต่อใจดวงวิเศษในร่างนี้ แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติก็คือเกิดผิดพลาดอยู่นั้นเอง…”

    โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    1504450014_670_การบำรุ่งรักษาสิ่งใดๆ.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  13. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  14. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” คนเราเกิดมาในเมืองมนุษย์
    ต้องพบมนุษย์อยู่ร่ำไป
    พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่
    ด้วยความสงบวิเวกด้วยใจ
    อย่าไปยึดเอาเรื่องของคนอื่น
    มาไว้เป็นอารมณ์ของใจ
    แล้วก็จะวิเวกอยู่คนเดียว
    ถ้าใจไม่สงบแล้วจะอยู่ในป่าคนเดียว
    มันก็ไม่สงบอยู่ดีๆ นั้นเอง ”

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  15. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  16. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    โอวาทธรรมที่องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ ให้เป็นคติแก่หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
    …มรรคผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกาย
    แต่มรรคผลขึ้นอยู่กับการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำสั่งสอนไว้แล้ว…

    .jpg
    1504256284_691_โอวาทธรรมที่องค์หลวงปู.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  17. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” พระพุทธเจ้าเพิ่นสอนว่า…
    มันบ่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาเด้อ
    อันรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสหมู่เนี่ยะ
    เฮากะเลยบ่เข้าใจนำเพิ่น
    เฮาก่าเมา ก่ามัวหลงติด
    หลงข้อง หวง มักยินดีพอใจกันอยู่อย่างนี้ละ
    ก็เพราะใจอันนี้ ใจดวงนี้ละเป็นผู้หลง
    ผู้มักผู้ชอบผู้ติด ผู้คา ผู้ข้องอยู่
    เพราะฉะนั้น เพิ่นจึงสอนให้เฮาฝึกให้เฮาหัด
    ดัดแปลงตบแต่งแก้ไขให้จิตใจเฮาดวงนี้
    ให้เป็นผู้รู้ ผู้เห็นตามความเป็นจริง
    ของรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพธรรมารมณ์
    ทั้งหลายเหล่านี้ละ ”

    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม
    เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  18. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  19. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ความรัก
    ตัดตอนมาจาก ปฏิปัตติวิภังค์ จากหนังสือ ธัมมานุธัมมปฏิบัติ
    โดย พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร

    ถาม เมตตา กรุณา กับรัก นั้นเหมือนกันหรือต่างกัน
    ตอบ ต่างกันมาก อย่างละอริยสัจทีเดียว ความรักนั้นเป็นสมุทัย เมตตานั้นเป็น
    มรรค
    ถาม เช่นรักบุตรหลาน ญาติมิตร คิดให้เป็นสุขและให้พ้นทุกข์หรือสงสารจะว่า
    เป็นสมุทัยได้อย่างไร รู้สึกรสชาติของใจประกอบด้วยความเอ็นดูปราณี
    ตอบ ความรักและความสงสารบุตรหลานญาติมิตร ประกอบด้วยฉันทราคะอาลัย
    ห่วงใยกังวลพัวพันยึดถือ หนักใจไม่โปร่ง เมื่อคนรักเหล่านั้นวิบัติไป เช่น ตาย เป็นต้นก็
    เกิดทุกข์โทมนัสเศร้าโศกเสียใจอาลัยคิดถึง ถ้ารักมาก็โศกมาก สมด้วยพระพุทธสุภาษิต
    คาถาธรรมบทปิยวรรคที่ ๑๖ ว่า
    เปมโต ชายเต โสโก ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก
    เปมโต ชายเต ภยํ ภัยย่อมเกิดแต่ความรัก
    เปมโต วิปฺปมุตฺตสฺส ความโศกไม่มีแก่ผู้พ้นแล้ว
    นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ จากความรัก ภัยจะมีมาแต่ที่ไหน
    เพราะฉะนั้น จึงผิดกับเมตตากรุณา ส่วนรักนั้นมีความชอบ และสงสารบุตรหลาน
    ญาติมิตร ไม่ทั่วไปในสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นแต่พรหมวิหาร ส่วนเมตตากรุณาที่เป็น
    อัปปมัญญานั้นทั่วไปในสัตว์ไม่มีประมาณและไม่ประกอบด้วยความห่วงใยอาลัยพัวพันยึดถือ มีความโปร่งและเบาใจไม่หนัก มีจิตเย็นเป็นสุขและเป็นข้าศึกแก่พยาบาทโดยตรง และได้รับอานิสงส์ ๑๑ ประการด้วย ตามแบบที่ท่านแสดงไว้ในเมตตานิสังสสูตรว่า
    ๑. สขํ สุปติ หลับก็เป็นสุข
    ๒. สุขํ ปฏิพุชฺฌติ ตื่นก็เป็นสุข
    ๓. น ปาปกํ สุปินํ ปสฺสติ ย่อมไม่ฝันเห็นลามก
    ๔. มนิสฺสานํ ปิโย โหติ ย่อมเป็นที่ชอบใจของมนุษย์ทั้งหลาย
    ๕. อมนุสฺสานํ ปิโย โหติ ย่อมเป็นที่ชอบใจของอมนุษย์ทั้งหลาย
    ๖. เทวตา รกฺขนฺติ เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา
    ๗. นาสฺส อคฺคิ วา วิสํ ไฟหรือยาพิษหรือศัสตรา
    วา สตฺถํ วา กมต ย่อมไม่ต้องผู้เจริญเมตตานั้น
    ๘. ตุวฏํ จิตฺตํ สมาธิยติ จิตของผู้เจริญเมตตาย่อมมั่นเป็นสมาธิเร็ว
    ๙. มุขวณฺโณ วิปฺปสีทติ สีหน้าของผู้เจริญเมตตาย่อมผ่องใส
    ๑๐. อสมฺมูโฬฺห กาลํ กโรติ ย่อมไม่มีสติหลงตาย
    ๑๑. อุตฺตริ อปฺปฏิวิชฺณนฺโต เมื่อยังไม่สำเร็จพระอรหันต์อันยิ่ง
    พฺรหฺมโลกุปฺโค โหติ ย่อมไปเกิดในพรหมโลก

    .jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  20. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ” ถ้าจะกล่าวใกล้ๆ ว่า ทุกข์เกิดแต่ความยากจน
    ไม่มีทรัพย์จะจ่ายบริโภคเครื่องนุ่งห่มที่อยู่ที่นอน
    ทุกข์เกิดแต่เพราะเป็นหนี้ท่านผู้อื่น ทุกข์เกิดแต่
    ประกอบการงานทางผิดมาก แต่พึงรู้เถิดทุกข์ใน
    โลกจะเสมอด้วยขันธ์ ๕ ไม่มี ”

    ” ความทุกข์ยิ่งกว่าความไม่สงบไม่มี ไม่สงบกาย
    ไม่สงบวาจา ไม่สงบใจลงได้ เพราะอวิชชา ตัณหา
    เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ”

    หลวงปู่มี ญาณมุนี
    วัดป่าสูงเนิน จ.นครราชสีมา

    -ว่า-ทุก.jpg

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...