ธรรมะจากเพจต่างๆ พระสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ธรรมะสายหลวงปู่มั่น, 6 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    กรรม อันบุคคลกระทำแล้วด้วยโลภะ… โทสะ… โมหะ…
    เกิดจากโลภะ… โทสะ… โมหะ…
    มีโลภะ… โทสะ… โมหะ…เป็นเหตุ
    มีโลภะ… โทสะ… โมหะ…เป็นสมุทัย อันใด ;

    …กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย
    อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพของบุคคลนั้น.

    กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด
    เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น
    ในอัตตภาพนั้นเอง

    ไม่ว่าจะเป็นไปอย่างในทิฏฐธรรม (คือทันควัน)
    หรือว่า เป็นไปอย่างในอุปะปัชชะ (คือในเวลาต่อมา)
    หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ (คือในเวลาต่อมาอีก) ก็ตาม.

    ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุทั้งหลาย ๓ ประการ
    เหล่านี้แล (โลภะ,โทสะ,โมหะ)
    เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย.

    (บาลี) ติก. อํ. ๒๐/๑๗๑/๔๗๓.

    ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

    …..สาธุธรรมอันประเสริฐ….

    -อันบุคคลกระทำแล้วด.jpg

    ที่มา ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น
     
  2. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    วันคืนล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่
    สมาชิกชุมนุมพุทธธรรมกรรมฐาน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ร่วมกันสวดมนต์ทำวัตรเย็น-นั่งสมาธิภาวนา ในวันอังคาร ที่ 14 พฤศจิกายน 2560 เวลา 16.00-17.00 น. ณ ห้องนิติธรรม ชั้น 4

    -บัดนี้เราท.jpg
    1510662872_173_วันคืนล่วงไป-บัดนี้เราท.jpg
    1510662872_993_วันคืนล่วงไป-บัดนี้เราท.jpg
    1510662872_901_วันคืนล่วงไป-บัดนี้เราท.jpg
    1510662872_591_วันคืนล่วงไป-บัดนี้เราท.jpg

    ที่มา พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  3. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    สวรรค์ในอก นรกในใจ
    .
    ครั้งหนึ่ง ข้าหลวงเมืองเชียงใหม่ได้กราบอาราธนานิมนต์พระราชาคณะ ๓ รูป เพื่อมาถวายถามปัญหาธรรมว่า “สวรรค์ในอก นรกในใจ มีจริงหรือ” แต่ก็ไม่มีองค์ไหนตอบได้เป็นที่ถูกใจ เป็นที่เข้าใจ ทำให้หายสงสัยได้
    .
    ข้าหลวงเมืองเชียงใหม่จึงได้มอบหมายให้นายอำเภอไปกราบอาราธนานิมนต์ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เข้าไปตอบปัญหาธรรมดังกล่าว โดยหลวงปู่ตื้อ ตอบว่า
    .
    “ทำดีไว้ในตัวเป็นสวรรค์ ใจสวรรค์ ทำชั่วไว้ในตัวเป็นนรก ใจนรก หัวอกคนดีเป็นหัวอกสวรรค์ หัวอกคนบาปเป็นหัวอกนรก นรกดิบอยู่ในเมืองมนุษย์ คือ หัวใจมนุษย์ สวรรค์ดิบอยู่ในเมืองสวรรค์ คือ หัวใจสวรรค์
    สวรรค์ที่ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์
    สวรรค์ที่ ๒ ไม่หยิบหยองมองลัก
    สวรรค์ที่ ๓ ไม่ผิดลูกเมียใคร
    สวรรค์ที่ ๔ ไม่ขี้ปด
    สวรรค์ที่ ๕ ไม่กินเหล้า
    สวรรค์ที่ ๖ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”
    .
    พอท่านเทศน์แจกแจงอย่างนี้แล้ว จึงเป็นที่พอใจ เป็นที่เข้าใจของข้าหลวงเมืองเชียงใหม่ เป็นอย่างมาก นับแต่นั้นมาหลวงปู่ตื้อจึงเป็นพระป่าที่มีชื่อเสียงมากองค์หนึ่งในสมัยนั้น.
    .
    • หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม •

    -นรกในใจ.jpg

    ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น
     
  4. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ขอเชิญร่วมงานมุทิตาสักการะอายุวัฒนมงคล ครบรอบ 84 ปี พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ในวันที่ 14-16 พฤศจิกายน พ.ศ.2560 ณ วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

    .jpg
    1510666531_702_ขอเชิญร่วมงานมุทิตาสัก.jpg
    1510666531_559_ขอเชิญร่วมงานมุทิตาสัก.jpg
    1510666532_807_ขอเชิญร่วมงานมุทิตาสัก.jpg

    ที่มา พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  5. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    “พี่ตูน” เล่าประสบการณ์การบวช

    จุดประสงค์เดียวในการบวชของผมคือ ผมอยากบวชให้พ่อแม่ ให้ท่านมีความสุข ในวันที่บวชผมเห็นท่านร้องไห้ น้ำตาของท่านมาจากความดีใจ ปลื้มใจ ผมก็รู้สึกมีความสุขมากแล้ว วัดที่บวชเป็นวัดป่าในจังหวัดขอนแก่น สายธรรมยุติ จึงเคร่งมาก พกโทรศัพท์ไม่ได้ ไม่มีทีวีดู ไม่มีหนังสือพิมพ์อ่าน ตัดขาดการสื่อสารทุกทาง แต่ผมก็ตั้งใจจะทำให้ดีที่สุดและเต็มที่ที่สุด ผมไม่ได้หวังอะไรมากมายจากการบวชแค่สามสัปดาห์ นอกเหนือไปจากการบวชเพื่อให้พ่อแม่มีความสุข แต่ถ้าผมได้อะไรมากกว่านั้นก็ถือว่าเป็นโชคดี แล้วผมก็โชคดีจริงๆ
    ผมรู้สึก “โล่ง” มาก อาจเป็นเพราะไม่ต้องเตรียมตัวขึ้นคอนเสิร์ตไม่ต้องคิดเรื่องงาน ถ้าช่วงนั้นไม่ติดมีงาน ผมก็อยากจะบวชต่อ เพราะผมได้เห็นตัวเองในแบบที่ถ้าอยู่ข้างนอกคงไม่มีทางได้เห็น ได้อยู่กับตัวเองเต็มที่ จากที่เคยคิดมาตลอดว่าตัวเองเก่ง เพราะคนอื่นให้ค่ากับผม แต่พอมาอยู่ที่วัด ไม่มีใครมาพูด ไม่มีใครมาคอยให้ค่าผม มีแค่ตัวผมกับผ้าเหลือง กับกุฏิในป่าและตุ๊กแก ผมได้อยู่ในสภาวะนั้นในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น
    เข้าใจเลยว่าตัวเองเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ผมไม่ได้เก่ง ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เจ๋งอย่างที่ผมเคยคิดว่าผมเป็น หรืออย่างที่คนอื่นคิดว่าผมเป็น ผมกลับรู้สึกอ่อนแอมากจนร้องไห้ออกมา ร้องไห้ทั้งผ้าเหลืองอย่างนั้น เข้าใจเลยคำว่า“ร้อนผ้าเหลือง” เป็นยังไง รู้สึกทนแทบไม่ไหว ไม่อยากอยู่ตรงนั้น อยากจะออกไปข้างนอกไปรับกับความรู้สึกเดิมๆ อยากออกไปหาเพื่อน ไปอยู่กับความสำเร็จเหมือนที่ผ่านๆ มา

    ตูน บอดี้สแลม ,นักดนตรีร็อค

    cr. Saran Wiki

    -เล่าประสบการณ์ก.png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  6. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  7. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ….• การอภัยไม่ต้องเสียอะไรเพิ่ม • .…
    การจองเวรสิต้องเสียยิ่งกว่าเดิมไม่รู้เท่าไหร่
    ทั้งเวลา ทั้งกำลังกาย กำลังใจ
    บุญ บาป ทำหน้าที่อยู่แล้ว
    เราปล่อยเขาไปตามทางที่เขาสร้างเอง เดินเอง
    และ เสวยผล เองน่ะดีที่สุด
    ถ้าผูกใจเจ็บก็เท่ากับพลอยกระโจนไปร่วมรับบาป
    อย่างใดอย่างหนึ่งบนเส้นทางของเขาด้วย

    ….สาธุธรรมอันประเสริฐ….

    **ดังตฤณ**

    [​IMG]

    ที่มา ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น
     
  8. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ชาติหน้ามีจริงไหม

    ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา (หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี) เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่ ?

    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม ?

    ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ ?

    ผู้ถาม : เชื่อ

    ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ……คุณก็โง่

    ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม ?

    ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ ? ถ้าเชื่อ……คุณโง่หรือฉลาด ?

    แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า

    หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม ? ถ้าเชื่อคุณก็โง่ เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามี พาผมไปดูหน่อยได้ไหม ? เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด

    ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม ? อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม ? ถ้ามีพาไปดูได้ไหม ? อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็นวัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้

    ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องไปถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้จัก เรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม ? ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร ? นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย

    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวานนี้เสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว

    ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง

    .jpg

    ที่มา พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  9. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ๏ หลวงปู่ตื้อ ดังระเบิด ๏

    รถโดยสารสาย แม่แตง – เชียงใหม่ มักจะชินตากับ หลวงตาพระป่าแก่ๆ กับศิษย์ชาวเขาผู้เฒ่าที่โกนหัว นุ่งขาวห่มขาว สะพายย่ามเดินตามหลัง พวกรถโดยสารคงรำคาญและหมั่นไส้พระป่ารูปนั้นเอาการอยู่ เพราะพอขึ้นไปนั่งบนรถ พระรูปนั้นก็เอาเท้าขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเบาะทันที โดยไม่สนใจใคร

    เด็กหนุ่มกระเป๋ารถ จึงพูดจากึ่งขอร้องกึ่งไม่พอใจว่า “ ป้อหลวง ตุ๊เจ้า ตื่น ตื่นเอาตีนลงจากเบาะเน่อ ” หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ตอบทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ว่า “ ลงบ่ได้ ” เด็กกระเป๋ารถกล่าวเสียงดังว่า “ มันเป็นอะหยังหือ จึงเอาตีนลงบ่ได้ ” พร้อมกับเอามือกระชากขาหลวงปู่ลงจากเบาะ ทันใดเครื่องยนต์รถโดยสารคันนั้นก็ดับสนิท ผู้โดยสารทั้งคันหัวคะมำไปตามๆกัน

    หลวงปู่ตื้อพูดขึ้นว่า “ หลวงตาบอกแล้ว ลงบ่ได้ ลงบ่ได้ ”

    คนขับพยายามติดเครื่องอยู่หลายครั้ง แต่เครื่องก็ไม่ติดสักที หลวงปู่จึงพูดขึ้นว่า “ ผู้ใด๋เอาตีนกูลง มาเอาขึ้นคืนเน่อ ” กระเป๋ารถจำเป็นต้องทำด้วยความจำยอม จากนั้นเครื่องยนต์ก็ติด รถโดยสารวิ่งสะดวกจนถึงตัวเมืองเชียงใหม่

    เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าผู้โดยสารหลายคน นับจากนั้นมา หลวงตาพระป่าแก่ๆใน อ.แม่แตง ก็ดังระเบิด รถโดยสารทุกคันไม่เก็บเงินหลวงปู่ตื้อ และต่างก็อยากให้หลวงปู่นั่งรถของตน แม้ท่านจะนั่งคนเดียวทั้งคันก็ยินดี

    -หลวงปู่ตื้อ-ดังระเบิด.jpg

    ที่มา พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  10. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ชาติหน้ามีจริงไหม

    ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา (หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี) เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่ ?
    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม ?
    ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ ?
    ผู้ถาม : เชื่อ
    ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ……คุณก็โง่
    ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม ?
    ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ ? ถ้าเชื่อ……คุณโง่หรือฉลาด ?
    แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า
    หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม ? ถ้าเชื่อคุณก็โง่ เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามี พาผมไปดูหน่อยได้ไหม ? เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด
    ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม ? อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม ? ถ้ามีพาไปดูได้ไหม ? อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็นวัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้
    ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องไปถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้จัก เรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม ? ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร ? นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย
    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวานนี้เสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว
    ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง

    .png

    ที่มา ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  11. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เมื่อจิตใจไม่คิดมากไป หลายเรื่อง หลายราว
    แล้วจิตก็จะมี “ความสุข” เกิดขึ้น
    เหมือนกับ บุคคล นี่แหละ
    ถ้าไม่ถือสิ่งของ หลายอย่าง
    ถือแต่ของเบาๆ ก็เดินไป “สบาย”
    หรือปล่อยวางหมด เดินแต่ตัวเปล่าๆไป

    -:- โอวาทธรรมคำสอน -:-
    หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป
    วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

    -ห.jpg

    ที่มา พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  12. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    จะมี “พุทโธ” เป็นหนึ่งกับลมหายใจ

    สมาชิกชุมนุมพุทธธรรมกรรมฐาน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ร่วมกันสวดมนต์ทำวัตรเย็น-นั่งสมาธิภาวนา ในวันพุธ ที่ 15 พฤศจิกายน 2560 เวลา 16.00-17.00 น. ณ ห้องนิติธรรม ชั้น 4

    -พุทโธ-เป็นหนึ่งกับ.jpg
    1510754375_776_จะมี-พุทโธ-เป็นหนึ่งกับ.jpg
    1510754376_739_จะมี-พุทโธ-เป็นหนึ่งกับ.jpg
    1510754376_280_จะมี-พุทโธ-เป็นหนึ่งกับ.jpg

    ที่มา พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  13. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ
    พระราชธรรมานุวัตร (หลวงปู่เลื่อน สุกวโร)
    อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเหนือ
    ปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้ง มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด
    ศิษย์ต้นในองค์หลวงปู่ใหญ่ พระเทพวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร)
    ณ เมรุชั่วคราว มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด
    ถนนเลี่ยงเมือง ตำบลดงลาน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด
    วันอาทิตย์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    .jpg

    ที่มา พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  14. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    เมื่อสัญญาผ่านเข้ามา ก็ปล่อยให้ผ่านไปตามเรื่องของมัน ความรู้ของเราก็ให้เฉยอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว

    ข้อที่ว่าใจเราไปอย่างนั้นไปอย่างนี้มันก็ไม่ใช่ตัวจริง เป็นเพียงแต่สัญญามันพาไป เท่านั้น

    สัญญา นี้เปรียบเหมือนกับ “เงา” ส่วนตัวจริงของมันนั้นก็คือ “จิต” ต่างหาก

    ถ้ากายของเราเฉยไม่มีอาการเคลื่อนไหวไปมาแล้ว เงาของเราจะเคลื่อนไหวไปได้อย่างไร?
    เพราะกายของเรามันไหวไม่อยู่นิ่ง เงาของเราจึงไหวไปด้วย และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราจะไปจับเอาเงามาอย่างไร? เงานี้จะจับมันก็ยาก จะละมันก็ยาก จะตั้งให้เที่ยงก็ยาก

    ความรู้ที่เป็นตัวปัจจุบัน นั่นแหละคือ “ตัวจริง” ส่วนความรู้ที่เป็นไปตามสัญญานั้น ก็คือ “เงา”

    ท่านพ่อลี ธมฺมธโร

    -ก็.jpg

    ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น
     
  15. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ๖๑ ปี แห่งการทรงพระผนวช…ทรงขอให้ทุกคนจงมีส่วนได้รับกุศลอันพึงจะเกิดขึ้นแต่การทรงบรรพชาอุปสมบทของพระองค์นี้โดยทั่วกัน

    เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จออกทรงพระผนวช และทรงลาพระผนวชในวันจันทร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ รวมระยะเวลาทั้งสิ้น ๑๕ วัน และทรงมีกระแสพระราชดำรัสในการทรงลาพระผนวช ความว่า…

    ตามที่พระองค์ได้ทรงแจ้งพระราชดำริ เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๙๙ ว่าจะทรงบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนานั้น บัดนี้พระองค์ได้ทรงบรรพชาอุปสมบท และได้ทรงลาสิกขาแล้ว ในวันนี้

    พระองค์ทรงมีความยินดีที่ทรงได้รับความร่วมมือช่วยเหลือในการนี้โดยพร้อม เป็นที่เรียบร้อยทุกประการ

    ทรงขอขอบพระทัยสมเด็จพระบรมราชินี และทรงขอบใจรัฐบาล ตลอดจนผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่ได้ช่วยกันบริหารแผ่นดินให้เป็นไปด้วยดี

    ทรงขอให้ทุกคนจงมีส่วนได้รับกุศลอันพึงจะเกิดขึ้นแต่การทรงบรรพชาอุปสมบทของพระองค์นี้โดยทั่วกัน

    กรรมดีอันเกิดจากประโยชน์ จากความพึงพอใจ และเกิดจากการร่วมกันเผยแพร่ของปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าฯ ถวายกุศลจิตทั้งหมดนี้เป็นพระราชกุศลแด่องค์สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

    ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    -ปี-แห่งการทรงพระผนวช.jpg

    ที่มา ธรรมะพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  16. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ประวัติหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ผู้มีปัญญาดุจพรหม ตอนที่ ๑

    ชาติภูมิ

    พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มีชาติกำเนิดในสกุล “หนูศรี” เดิม ชื่อ ดู่ เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๗ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พุ่ม ท่านมีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ๓ คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้าย มีโยมพี่สาว ๒ คน มีชื่อตามลำดับดังนี้
    ๑ . พี่สาวชื่อ ทองคำ สุนิมิตร
    ๒ . พี่สาวชื่อ สุ่ม พึ่งกุศล
    ๓ . ตัวท่าน

    ปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้น

    ชีวิตในวัยเด็กของท่านดูจะขาด ความอบอุ่นอยู่มาก ด้วยกำพร้าบิดา มารดาตั้งแต่เยาว์วัย นายยวง พึ่งกุศล ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของท่าน ได้เล่าให้ฟังว่า บิดามารดา ของท่านมีอาชีพทำนา โดยนอกฤดูทำนาจะมีอาชีพทำขนมไข่มงคลขาย เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นเด็กทารก มีเหตุการณ์สำคัญที่ควรบันทึกไว้ คือในคืนวันหนึ่งซึ่งเป็นหน้าน้ำ ขณะที่บิดามารดาของท่านกำลังทอด“ขนมมงคล”อยู่นั้น ท่านซึ่งถูก วางอยู่บนเบาะนอกชานคนเดียว ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กลิ้งตกลงไปในน้ำ ทั้งคนทั้งเบาะแต่เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งที่ตัวท่านไม่จมน้ำ กลับลอยน้ำจนไปติดอยู่ข้างรั้วกระทั่งสุนัขเลี้ยงที่บ้านท่าน มาเห็นเข้าจึงได้เห่าพร้อมกับวิ่งกลับไปกลับมาระหว่างตัวท่านกับมารดาท่าน เมื่อมารดาท่านเดินตามสุนัขเลี้ยงออกมา จึงได้พบท่านลอยน้ำติดอยู่ที่ข้างรั้ว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มารดาท่านเชื่อมั่นว่าท่าน จะต้องเป็นผู้มีบุญวาสนามากมาเกิด
    มารดาของท่านได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านยังเป็นทารกอยู่ ต่อมาบิดาของท่านก็จากไปอีกขณะท่านมีอายุได้เพียง ๔ ขวบเท่านั้น ท่านจึงต้องกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กจำความไม่ได้ ท่านได้อาศัยอยู่กับยายโดยมีโยมพี่สาวที่ชื่อ สุ่ม เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ และท่านก็ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศน์ธรรม

    ประวัติสู่เพศพรหมจรรย์

    เมื่อท่านอายุได้ ๒๑ ปี ก็ได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันอาทิตย์แรม ๔ ค่ำ เดือน ๖ ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงพ่อ กลั่น เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ มีหลวงพ่อ แด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก ขณะนั้นเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีหลวงพ่อ ฉาย วัดกลางคลองสระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า “พรหมปัญโญ”
    ” ในพรรษาแรกๆ นั้น ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรมซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่าวัดประดู่โรงธรรมโดยมีพระอาจารย์ผู้สอนคือท่านเจ้าคุณเนื่อง พระครูชม และ หลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น

    ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น ท่านได้ศึกษากับหลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นอุปัชฌาย์ และหลวงพ่อเภา ศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่สองประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๙ หลวงพ่อกลั่นมรณภาพ ท่านจึงได้ศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อเภา เป็นสำคัญ นอกจากนี้ท่านยัง ได้ศึกษาจากตำรับตำราที่มีอยู่จากชาดกบ้าง จากธรรมบทบ้างและด้วยความที่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้รักการศึกษา ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์อีกหลายท่านที่จังหวัดสุพรรณบุรี และสระบุรี

    ประสบการณ์ธุดงค์

    ประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๖ ออกพรรษาแล้วท่านก็เริ่ม ออกเดินธุดงค์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีเป้าหมายที่ป่าเขาทางแถบจังหวัดกาญจนบุรี และแวะนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น พระพุทธฉายและ รอยพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี จากนั้นท่านก็เดินธุดงค์ไปยังจังหวัดสิงห์บุรี สุพรรณบุรี จนถึงจังหวัดกาญจนบุรี จึงเข้าพักปฏิบัติตามป่าเขาและถ้ำต่างๆ

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าเริ่มแรกที่ท่านขวนขวายศึกษาและปฏิบัตินั้น แท้จริงมิได้มุ่งเน้นมรรคผลนิพพานหากแต่ต้องการเรียนรู้ให้ได้วิชาต่างๆ เป็นต้นว่าวิชาคงกระพันชาตรี ก็เพื่อที่จะสึกออกไปแก้แค้นพวกโจรที่ปล้นบ้าน โยมพ่อโยมแม่ท่านถึง ๒ ครั้ง แต่เดชะบุญ แม้ท่านจะสำเร็จวิชาต่าง ๆ ตามที่ตั้งใจไว้ท่านกลับได้คิด นึกสลดสังเวชใจตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์อาฆาตแค้นทำร้าย จิตใจ ตนเองอยู่เป็นเวลานับสิบ ๆ ปี ในที่สุดท่านก็ได้ตั้งจิตอโหสิกรรมให้แก่โจรเหล่านั้น แล้ว มุ่งปฏิบัติฝึกฝน อบรมตน ตามทางแห่งศีล สมาธิ และปัญญา อย่างแท้จริง

    ในระหว่างที่ท่านเดินธุดงค์อยู่นั้น ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าได้พบฝูงควายป่ากำลังเดินเข้ามาทางท่าน ท่านตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว หยุดยืนภาวนานิ่งอยู่ ฝูงควายป่าที่มุ่งตรงมาทางท่าน พอเข้ามาใกล้จะถึงตัวท่าน ก็กลับเดินทักษิณารอบท่านแล้วก็จากไป บางแห่งที่ท่านเดินธุดงค์ไปถึง ท่านมักพบกับพวกนักเลงที่ชอบลองของ ครั้งหนึ่งมีพวกนักเลงเอาปืนมายิงใส่ท่านขณะนั่งภาวนาอยู่ในกลด ท่านเล่าให้ฟังว่า พวกนี้ไม่เคารพพระ สนใจ แต่ “ของดี” เมื่อยิงปืนไม่ออก จึงพากันมาแสดงตัวด้วยความนอบน้อม พร้อมกับอ้อนวอนขอ “ ของดี ”ทำให้ท่านต้องออกเดินธุดงค์หนีไปทางอื่น

    การปฏิบัติของท่านในช่วงธุดงค์อยู่นั้น เป็นไปอย่างเอาจริงเอาจัง ยอมมอบกายถวายชีวิตไว้กับป่าเขา แต่สุขภาพธาตุขันธ์ของท่านก็ไม่เป็นใจเสียเลย บ่อยครั้งที่ท่านต้องเอาผ้ามาคาดที่หน้าผาก เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ อีกทั้งก็มีอาการเท้าชารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระนั้นท่านก็ยังไม่ละความเพียรสมดังที่ท่านเคย สอนลูกศิษย์ว่า “นิพพานอยู่ฟากตาย” ในการประพฤติปฏิบัตินั้น จำต้องยอมมอบกายถวายชีวิตลงไป ดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “ถ้ามันไม่ดีหรือไม่ได้พบความจริงก็
    ให้มันตายถ้ามันไม่ตายก็ให้มันดี หรือได้พบกับความจริง” ดังนั้น อุปสรรคต่างๆ จึงกลับเป็นปัจจัยช่วยให้จิตใจของผู้ปฏิบัติแข็งแกร่งขึ้นเป็นลำดับ

    นิมิตธรรม

    อยู่มาวันหนึ่ง ประมาณก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เล็กน้อย หลังจากหลวง ปู่ดู่สวดมนต์ทำวัตรเย็น และปฏิบัติกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็จำวัด เกิดนิมิตไปว่า ได้ฉันดาวที่มีแสงสว่างมาก ๓ ดวง ในขณะที่กำลังฉันอยู่นั้นก็รู้สึกว่ากรอบๆ ดี ก็เลยฉันเข้าไปทั้งหมด แล้วจึงตกใจตื่น
    เมื่อท่านพิจารณาใคร่ครวญถึงนิมิตธรรมที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจขึ้น ว่าแก้ว ๓ ดวงนั้น ก็คือพระไตรสรณาคมน์นั่นเอง พอท่านว่า…

    “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นในจิตท่าน พร้อมกับอาการปีติอย่างท่วมท้น ทั้งเกิดความรู้สึกลึก ซึ้งและมั่นใจว่า พระไตรสรณาคมน์นี้แหล่ะเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดเอามาเป็นคำบริกรรมภาวนาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเน้นหนักที่การปฏิบัติ

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนา ท่านว่า“ถ้าไม่เอา(ปฏิบัติ)เป็นเถ้าเสียดีกว่า” ในสมัยก่อนเมื่อตอนที่ศาลาปฏิบัติธรรมหน้ากุฏิท่านยังสร้างไม่เสร็จนั้น ท่านก็เมตตาให้ใช้ห้องส่วนตัวที่ท่านใช้จำวัด เป็นที่รับรองสานุศิษย์และผู้สนใจได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งนับเป็นเมตตาอย่างสูง

    สำหรับผู้ที่ไปกราบนมัสการท่านบ่อยๆ หรือมีโอกาสได้ฟังท่านสนทนาธรรม ก็คงจะได้เห็นกุศโลบายในการสอนของท่านที่จะโน้มน้าว ผู้ฟังให้วกเข้าสู่การปรับปรุงแก้ไขตนเอง เช่นครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์วิพากษ์วิจารณ์คนนั้นคนนี้ให้ท่านฟังใน เชิงว่ากล่าวว่า เป็นต้นเหตุของปัญหาและความยุ่งยาก แทนที่ท่านจะเออออไปตามอันจะทำให้เรื่องยิ่งบานปลายออกไป ท่านกลับปรามว่า “เรื่องของคนอื่น เราไปแก้เขาไม่ได้ ที่แก้ได้คือตัวเรา แก้ข้างนอกเป็นเรื่องโลก แต่แก้ที่ตัวเรานี่เป็นเรื่องธรรม” ”

    คำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ จึงสรุปลงที่การใช้ชีวิตอย่างคนไม่ประมาทนั่นหมายถึงว่าสิ่งที่จะต้องเป็นไปพร้อมๆ กัน ก็คือ ความพากเพียรที่ลงสู่ภาคปฏิบัติ ในมรรควิถีที่เป็นสาระแห่งชีวิตของผู้ไม่ประมาท ดังที่ท่านพูดย้ำเสมอว่า “หมั่นทำเข้าไว้ๆ…”

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา

    ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    1510813068_729_ประวัติหลวงปู่ดู่-พรหมป.jpg

    ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น
     
  17. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  18. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
  19. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ชุมนุมพุทธฯ คือเรือนเหย้าแห่งกัลยาณมิตร

    วันพฤหัสบดี ที่ 16 พฤศจิกายน 2560 สมาชิกชุมนุมพุทธธรรมกรรมฐาน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ร่วมกันสวดมนต์ทำวัตรเย็น-นั่งสมาธิภาวนา ในเวลา 16.00-17.00 น. ณ ห้องนิติธรรม ชั้น 4

    -คือเรือนเหย.jpg
    1510834893_934_ชุมนุมพุทธฯ-คือเรือนเหย.jpg
    1510834893_984_ชุมนุมพุทธฯ-คือเรือนเหย.jpg
    1510834893_112_ชุมนุมพุทธฯ-คือเรือนเหย.jpg
    1510834894_125_ชุมนุมพุทธฯ-คือเรือนเหย.jpg
    1510834894_914_ชุมนุมพุทธฯ-คือเรือนเหย.jpg
    1510834894_570_ชุมนุมพุทธฯ-คือเรือนเหย.jpg
    1510834894_717_ชุมนุมพุทธฯ-คือเรือนเหย.jpg
    1510834894_733_ชุมนุมพุทธฯ-คือเรือนเหย.jpg
    1510834894_895_ชุมนุมพุทธฯ-คือเรือนเหย.jpg

    ที่มา พระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  20. ธรรมะสายหลวงปู่มั่น

    ธรรมะสายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2017
    โพสต์:
    15,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +375
    ประวัติหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ผู้มีปัญญาดุจพรหม ตอนที่ ๓

    “…การสอนของท่านก็พิจารณาดูบุคคลด้วย เช่น คนบางคนพูดให้ฟัง เพียงอย่างเดียวไม่เข้าใจ บางทีท่านก็ต้องทำให้เกิดความกลัว เกิดความ ละอายบ้างถึงจะหยุด เลิกละการกระทำที่ไม่ดีนั้นๆ ได้ หรือบางคนเป็นผู้มีอุปนิสัยเบาบางอยู่แล้วท่านก็สอนธรรมดา การสอนธรรมะของท่าน บางทีก็สอนให้กล้าบางทีก็สอนให้กลัวที่ว่าสอนให้กล้านั้นคือ ให้กล้าในการทำความดี กล้าในการประพฤติปฏิบัติเพื่อถอดถอนกิเลสออกจากใจ ไม่ให้ตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป ส่วนที่สอนให้กลัวนั้น ท่านให้กลัวในการทำความชั่ว ผิดศีลธรรม เป็นโทษ ทำแล้วผู้อื่นเดือดร้อน บางทีท่านก็สอนให้เชื่อ คือให้เชื่อมั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อในเรื่องกรรม อย่างที่ท่านเคยกล่าวว่า “เชื่อไหมล่ะ ถ้าเราเชื่อจริง ทำจริง มันก็เป็นของจริง ของจริงมีอยู่ แต่เรามันไม่เชื่อจริง จึงไม่เห็นของจริง ”

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านสอนให้มีปฏิปทาสม่ำเสมอท่านว่า“ขยันก็ให้ทำขี้เกียจก็ให้ทำ ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำวันไหนเลิกกินข้าวแล้วนั่นแหละจึงค่อยเลิกทำ”

    การสอนของท่านนั้นมิได้เน้นแต่เพียงการนั่งหลับตาภาวนา หากแต่หมายรวมไปถึงการกำหนดดู กำหนดรู้ และพิจารณาสิ่งต่างๆ ในความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านชี้ให้เห็นถึงสังขารร่างกายที่มันเกิดมันตายอยู่ตลอดเวลา ท่านว่า เราวันนี้กับเราเมื่อตอนเป็นเด็กมันก็ไม่เหมือนเก่า เราขณะนี้กับเราเมื่อวานก็ไม่เหมือนเก่า จึงว่าเราเมื่อตอนเป็นเด็ก หรือเราเมื่อวานมันได้ตายไปแล้ว เรียกว่าร่างกายเรามันเกิด – ตาย อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก มันเกิด – ตาย อยู่ทุกขณะจิต ท่านสอนให้บรรดาศิษย์เห็นจริงถึงความสำคัญของความทุกข์ยาก ว่าเป็นสิ่งมีคุณค่าในโลก
    ท่านจึงพูดบ่อยครั้งว่า การที่เราประสบทุกข์ นั่นแสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว เพราะอาศัยทุกข์นั่นแหละ จึงทำให้เราเกิดปัญญาขึ้นได้

    ใช้ชีวิตอย่างผู้รักสันโดษและเรียบง่าย

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านยังเป็นแบบอย่างของผู้มักน้อยสันโดษใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่นิยมความหรูหราฟุ่มเฟือย แม้แต่การสรงน้ำ ท่านก็ยังไม่เคยใช้สบู่เลย แต่ก็น่าอัศจรรย์ เมื่อได้ทราบจากพระอุปัฏฐากว่าไม่พบว่า ท่านมีกลิ่นตัว แม้ในห้องที่ท่านจำวัด มีผู้ปวารณาตัวจะถวายเครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับท่าน ซึ่งส่วนใหญ่ท่านจะปฏิเสธ คงรับไว้บ้างเท่าที่เห็นว่าไม่เกินเลยอันจะเสียสมณะสารูป และใช้สอยพอให้ผู้ถวายได้เกิดความปลื้มปีติที่ได้ถวายแก่ท่าน ซึ่งในภายหลังท่านก็มักยกให้เป็นของสงฆ์ส่วนรวมเช่นเดียวกับข้าวของต่างๆ ที่มีผู้มาถวายเป็นสังฆทาน โดยผ่านท่าน และเมื่อถึงเวลาเหมาะควรท่านก็จะจัดสรรไปให้วัดต่างๆ ที่อยู่ในชนบท และ ยังขาดแคลนอยู่

    สิ่งที่ท่านถือปฏิบัติสม่ำเสมอในเรื่องลาภสักการะ ก็คือการยกให้เป็นของสงฆ์ส่วนรวม แม้ปัจจัยที่มีผู้ถวายให้กับท่านเป็นส่วนตัวสำหรับค่ารักษาพยาบาลท่านก็สมทบเข้าในกองทุนสำหรับจัดสรรไปในกิจสาธารณประโยชน์ต่างๆ ทั้งโรงเรียน และโรงพยาบาล

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านไม่มีอาการแห่งความเป็นผู้อยากเด่นอยากดังแม้แต่น้อย ดังนั้น แม้ท่านจะเป็นเพียงพระบ้านนอกรูปหนึ่งซึ่งไม่เคยออกจากวัดไปไหน ทั้งไม่มีการศึกษาระดับสูงๆ ใน ทางโลก แต่ในความรู้สึกของลูกศิษย์ทั้งหลาย ท่านเป็นดั่งพระเถระผู้ถึงพร้อมด้วยจริยวัตรอันงดงาม สงบ เรียบง่าย เบิกบาน และถึงพร้อมด้วยธรรมวุฒิที่รู้ถ้วนทั่วในวิชชาอันจะนำพา ให้พ้นเกิดพ้นแก่พ้นเจ็บพ้นตายถึงฝั่งอันเกษม เป็นที่ฝากเป็นฝากตายและฝากหัวใจของลูกศิษย์ทุกคน
    ในเรื่องทรัพย์สมบัติดั้งเดิมของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นา ซึ่งมีอยู่ ประ มาณ ๓๐ ไร่ ท่านก็ได้แบ่งให้กับหลานๆ ของท่าน ซึ่งในจำนวนนี้ นายยวง พึ่งกุศล ผู้เป็นบุตรของนางสุ่ม โยมพี่สาวคนกลางที่เคยเลี้ยงดูท่านมาตลอด ก็ได้รับส่วนแบ่งที่นาจากท่านด้วยจำนวน ๑๘ ไร่เศษ แต่ด้วยความที่นายยวงผู้เป็นหลานของท่านนี้ไม่มีทายาท ได้คิดปรึกษานางถมยา ผู้ภรรยาเห็นควรยกให้เป็น สาธารณประโยชน์จึงยกที่ดินแปลงนี้ให้กับโรงเรียนวัดสะแก ซึ่งหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านก็อนุโมทนาในกุศลเจตนาของคนทั้งสอง

    กุศโลบายในการสร้างพระ

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านมิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ การที่ท่านสร้างหรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่องหรือพระบูชา ก็เพราะเห็นประโยชน์ เพราะบุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ท่านมิได้จำกัดศิษย์อยู่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นคณะศิษย์ของท่านจึงมีกว้างขวางออกไป ทั้งที่ใฝ่ใจธรรมล้วนๆ หรือที่ยังต้องอิงกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล” ทั้งนี้ ท่านย่อมใช้ดุลยพินิจพิจารณาตามความเหมาะควรแก่ผู้ที่ไปหาท่าน

    แม้ว่าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ จะรับรองในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องที่ท่านอธิษฐานจิตให้ แต่สิ่งที่ท่านยกไว้เหนือกว่านั้นก็คือการปฏิบัติดังจะเห็นได้จากคำพูดของท่านว่า “เอาของจริงดีกว่า พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สรณัง คัจฉามิ นี่แหละของแท้” ”

    จากคำพูดนี้จึงเสมือนเป็นการยืนยันว่าการปฏิบัติภาวนานี้แหละเป็นที่สุดแห่งเครื่องรางของขลัง เพราะคนบางคนแม้แขวนพระที่ผู้ทรงคุณวิเศษอธิษฐานจิตให้ก็ตาม ก็ใช่ว่าจะรอดปลอดภัยอยู่ดีมีสุขไปทุกกรณี อย่างไรเสียทุกคนไม่อาจ หลีกหนีวิบากกรรมที่ตนได้สร้างไว้ ดังที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็คือ กรรม

    ดังนั้น จึงมีแต่ พระ “สติ” พระ “ปัญญา” ที่ฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว เท่านั้นที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติรู้เท่าทันและพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาและสิ่งกระทบต่างๆ ที่ เข้ามาในชีวิต อย่างไม่ทุกข์ใจ ดุจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเสมือนฤดูกาลที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางครั้งร้อนบางครั้งหนาว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามธรรมดาของโลก

    พระเครื่องหรือพระบูชาต่างๆ ที่ท่านอธิษฐานปลุกเสกให้แล้วนั้น ปรากฏผลแก่ผู้บูชาในด้านต่างๆ เช่น แคล้วคลาดฯลฯ นั่นก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ทางโลกๆ แต่ประโยชน์ที่ท่านสร้างมุ่งหวังอย่างแท้จริงนั้นก็คือ ใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติภาวนา มีพุทธานุสติ กรรมฐาน เป็นต้น นอกจากนี้แล้วผู้ปฏิบัติยังได้อาศัยพลังจิตที่ท่านตั้งใจบรรจุไว้ในพระเครื่องช่วยน้อมนำและประคับประคองให้จิตรวมสงบได้เร็วขึ้น ตลอดถึงการใช้เป็นเครื่องเสริมกำลังใจและระงับ ความหวาดวิตกในขณะปฏิบัติ ถือเป็นประโยชน์ทางธรรมซึ่งก่อให้เกิดพัฒนาการทางจิตของผู้ใช้ไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ในที่สุด…”

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา

    ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    1510824031_3_ประวัติหลวงปู่ดู่-พรหมป.jpg

    ที่มา เมตตาธรรม ศิษย์พระธุดงค์กรรมฐาน สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...