ธรรมะทะลุโลก : ท่านพ่อลี ธมฺมธโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 เมษายน 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คำปรารภ

    [​IMG]

    พระธุตังคเจดีย์ เป็นนามของพระเจดีย์หมู่รวม ๑๓ องค์ ประดิษฐานรวมกันอยู่บนฐานใหญ่ ๓ ชั้น ซึ่งท่านพ่อลี ธมฺมธโร หรือพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ ผู้สถาปนาวัดอโศการาม ได้ริเริ่มสร้างขึ้นไว้เป็นอนุสรณ์แห่งธุดงควัตร ๑๓ ประการ เมื่อปี พ.ศ. ๔๕๐๐ แต่ท่านได้ล่วงลับดับขันธ์ไปเสียก่อน
    ต่อมาในสมัยของท่านเจ้าคุณพระเทพโมลี เจ้าอาวาสองค์ถัดมา จึงได้ก่อสร้างสานต่อจนสำเร็จเรียบร้อยลงเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙

    ล่วงกาลผ่านมา องค์พระเจดีย์ได้ชำรุดทรุดโทรมลง ท่านเจ้าคุณพระญาณวิศิษฏ์ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน จึงได้ตัดสินใจให้ทำการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ให้มีความมั่นคงงดงาม และขยายขนาดให้สูงใหญ่กว่าองค์ก่อนตามสมควร โดยรักษาพระเจดีย์องค์ประธานภายในไว้อย่างเดิม ซึ่งกำลังสำเร็จสมบูรณ์ตามโครงการลงได้ภายในปีนี้

    ธุดงควัตร ๑๓ ประการนี้ เป็นคุณธรรมส่งเสริมความมักน้อย สันโดษ ช่วยขจัดกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไปจากจิตใจเป็นสำคัญ จัดว่าเป็น “ธรรมะทะลุโลก” ก็ว่าได้

    หากว่าบรรดาพระสงฆ์หรือผู้มุ่งบำเพ็ญจิตภาวนาทั้งหลายจะได้พากันขวนขวายประพฤติปฏิบัติตามปฏิปทานี้แล้วไซร้ ก็ย่อมสามารถกระทำปาฏิหาริย์บางประการให้บังเกิดมีขึ้นได้ ทั้งสามารถจะบรรลุโลกุตรธรรมทำที่สุดแห่งทุกข์ขึ้นมาได้โดยไม่เนิ่นช้าดังบรรดาพระบูรพาจารย์กรรมฐานทั้งหลายผู้ปรากฏชื่อลือนามว่าเป็นพระอริยเจ้าแห่งเมืองไทยเรานี้เช่นกันนั้นแล

    ด้วยอานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญบารมีของท่านพ่อลี ธมฺมธโร ตลอดจนกุศลผลบุญทั้งปวงที่ท่านผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายได้ประกอบบำเพ็ญไว้ และตั้งใจน้อมอุทิศถวายแด่ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ในวาระแห่งวันมรณภาพครบรอบปีที่ ๔๖ ครั้งนี้ จงเป็นพลวปัจจัยช่วยอนุบาลรักษาทุกท่าน ให้พ้นจากทุกข์โศก โรค ภัย และอันตรายทั้งหลายทั้งปวง ขอจงได้ประสบแต่จตุรพิธพรชัย มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ พร้อมทั้งปฏิภาณธนสารสมบัติ สมดังปรารถนาโดยทั่วกัน เทอญ


    คณะศิษยานุศิษย์
    ๒๖ เมษายน ๒๕๕๐
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ความนำ


    สิ่งที่ควรเข้าใจก่อนอ่าน

    ...คนเราโดยส่วนมากมักลุแก่อำนาจกิเลส มีนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นในเรื่องของคนอื่น แล้วก็นำมาซุบซิบนินทาแบบหวานปาก จริงบ้างเท็จบ้างก็พูดกันไป ขอเพียงให้ได้ทำร้ายคนอื่นก็สาสมสะใจตน แค่นี้ก็มีความสุขแล้วสำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคทางจิต

    หลวงตามหาบัว ท่านเป็นพระอริยเจ้าแท้ ๆ ยังเอือมระอา ถึงกับพูดว่า “ฟังแล้ว ต้องไปล้างหูให้สะอาด เพราะปากมันอมขี้มาพ่น... เหม็น... สกปรก...”

    ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนทุกท่าน “มาสอดรู้สอดเห็น” ในเรื่องธรรมะและเรื่องครูบาอาจารย์ที่หมดกิเลสจะดีกว่า

    จิตใจจะได้ชุ่มเย็นมีคุณค่าสูงขึ้น อันจะเป็นประโยชน์มากกว่า

    ประวัติพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ และหลักธรรมเป็นสิ่งที่ดีงาม ล้ำค่าเหนือกาลเวลา หาใดเสมอเหมือนมิได้

    เราควรนำเอามาเป็นแบบอย่างเพราะท่านผู้ทรงคุณอันประเสริฐเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์เดินดินกินข้าวเหมือนกันกับพวกเรา !

    ต่างกันก็แต่ว่า สติปัญญาความคิดอ่านไตร่ตรองของท่านไม่เหมือนเรา แม้ว่าเราจะเป็นผู้มืดบอดอยู่ ถ้าหากพยายามแสวงหาสิ่งที่ดีบรรจุเข้าในห้องหัวใจอย่างสม่ำเสมอ ย่อมมีหวังที่จะได้พบหนทางแห่งแสงสว่างได้เช่นเดียวกัน

    ให้คิดเสียว่า ถ้าเราไม่รีบศึกษาและปฏิบัติในวันนี้...เราจะเลี้ยงกิเลสให้อ้วนพีไปอีกนานแค่ไหน?

    ในหลักแห่งความเป็นจริง ชีวิตทุกชีวิต ต้องถูกตามต้อนด้วยเครื่องประหารคือโลกธรรม ท่านกล่าวไว้ว่า

    ...ผู้ที่หลงโลก ติดโลก ย่อมเกิดมาเพื่อกระโจนขึ้นกระโจนลงไปตามเกลียวคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลง

    ..เป็นเพราะคนเหล่านั้นหลงรักและหลงติดในความสุขอันเป็นมายา ซึ่งเกิดขึ้นเพียงแค่ช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น (สุขนิดหน่อย เป็นครั้งคราว)

    มนุษย์และสัตว์จึงติดอยู่ในบ่วงของโลกคือการเวียนว่ายตายเกิด เหมือนเนื้อติดบ่วงเพราะเหยื่อล่อเพียงเล็กน้อย

    ส่วนผู้ที่ท่านผ่านการทะลุโลก พ้นโลก เหนือโลกไปแล้ว

    กล่าวคือท่านผู้ดับเสียได้ถึงความตะกละตะกรามในกามกิเลสที่มายั่วเย้า

    ..ไม่ปล่อยใจให้หลงระเริงทะเยอทะยานไปตามสิ่งที่โลกนี้มีไว้ยั่วยวนมนุษย์

    ท่านผู้ที่จะทะลุโลกคือกิเลสอันเต็มไปด้วยพงหนาม มีเรื่องกาม เรื่องกิน เรื่องเกียรติ เป็นต้น

    ต้องทำลายกำแพงหนามหึมาของโลกที่กิเลสสร้างไว้

    นั่นคือ ตัณหาและอุปาทาน !

    เมื่อทะลุได้แล้วย่อมไปถึงที่โล่งแจ้งเข้าสู่แดนอวกาศของจิตของธรรม ปราศจากความว้าวุ่นขุ่นมัวและเร่าร้อน

    ได้รับแต่ความเย็นดับสนิทแห่งธรรมในใจ

    ความเศร้าหมองใด ๆ มาแทรกแซงมิได้

    เป็นผู้ทะลุโลกไปเพื่อเหนือโลกสมมุติ เป็นใหญ่ในตนเองได้เต็มที่

    เรียนจบพรหมจรรย์ ไม่เอาใจไปเกี่ยวเกาะในสิ่งทั้งหลายละได้ซึ่งสิ่งทั้งปวง

    หักกงกำแห่งสังสารจักร หาสิ่งใดเปรียบเทียบไม่มี

    เป็นพระอรหันต์ในโลก

    พระพุทธองค์ตรัสว่า “...ท่านผู้มีปัญญาแหลมคม ย่อมตั้งตนได้ด้วยทุนเพียงเล็กน้อย เหมือนกองไฟใหญ่เริ่มจากกองเล็ก ๆ

    ในทำนองเดียวกัน ท่านผู้มีความเพียรสม่ำเสมอไม่ทอดทิ้งธุระในไตรสิกขา ย่อมมีโอกาสได้รับธรรมะอันสามารถเจาะทะลุโลก

    เหมือนลูกไก่สามารถเจาะฟองไข่ออกมาได้

    โลกนี้มืดยิ่งนัก สัตว์โลกส่วนใหญ่เป็นผู้มืดบอด

    มีน้อยคนนักจะมีปัญญาเห็นแจ้ง และมีคนจำนวนน้อยที่จะไปสวรรค์ เหมือนนกที่ติดบ่วงของนายพราน น้อยตัวนักจักหลุดรอดไปได้”

    นี่แหละท่านทั้งหลาย ! สัตว์ทั้งหลายส่วนใหญ่จมอยู่ในความหลง ตกอยู่ในความมืด คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลกเหมือนนกที่เคยกรง แม้ประตูกรงจะอ้าออกก็หากล้าบินออกไปไม่ เพราะเต็มไปด้วยความหวั่นไหวและกลัวเกรง

    แต่พระพุทธเจ้าและพระอรทันต์นั้น เหมือนนกที่กล้าหาญเมื่อประตูกรงอ้าออกเพียงเล็กน้อยก็จะกระโจนโผออกทันทีกางปีกสู่โลกกว้างเป็นอิสระอย่างเต็มที่

    หนังสือ "ธรรมะทะลุโลก” เล่มเล็กนี้ เกิดขึ้นได้เพราะผู้เขียนได้รับคำขอร้องจากทางวัดอโศการาม ให้ช่วยจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะกิจเนื่องในวาระทำบุญคล้ายวันมรณภาพปีที่ ๔๖ ของท่านพ่อลี ธมฺมธโร ในวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐

    และอีกวาระหนึ่งคืองานฉลองพระธุตังคเจดีย์ ซึ่งจะมีในอนาคตอันใกล้นี้ที่วัดอโศการาม ทางวัดนำโดยท่านพระอาจารย์ทอง พระอาจารย์บุญกู้ มุ่งหวังที่จะจัดทำหนังสือเล่มใหญ่ รักษามรดกธรรมของท่านพ่อลี ที่นับวันจะสูญหายและหายาก ยิ่งต่อไปนานวัน จะยิ่งทรงคุณค่าหาประมาณไม่ได้ รวมจัดไว้เป็นหมวดหมู่

    อีกทั้งยังต้องการเผยแผ่ธรรมะและประวัติท่านพ่อลีให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน จึงมอบหมายให้ข้าพเจ้าจัดทำสื่อเผยแผ่ดังต่อไปนี้

    ๑)หนังสือพระธุตังคเจดีย์ เจดีย์แห่งพระอรหันต์และประวัติท่านพ่อลี ธมฺมธโร (รวมในเล่มเดียวกัน)

    ๒)หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ

    ๓)DVD สารคดีตามรอยธรรมพระอรหันต์ท่านพ่อลี

    ๔)CD ประวัติย่อท่านพ่อลี

    ๕)บทเพลงประกอบสารคดี

    ส่วนหนังสือ “ธรรมะทะลุโลก” ที่ท่านถืออยู่นี้ ถึงจะเป็นหนังสือเล่มเล็กแต่ก็เป็นแนวแปลกใหม่ เรื่องใหม่ ๆ อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาที่จัดสรรมาสมกับชื่อเรื่อง ผู้เขียนไม่อยากให้จำเจกับงานที่เคยทำ จึงแหวกแนวออกไปบ้างในเรื่องรูปแบบ ซึ่งเนื้อเรื่องมีเวลาเขียนต้นฉบับเพียง ๗ วัน

    แต่ที่สำเร็จได้ทั้งนี้ก็ด้วยบุญบารมีของท่านพ่อลี ธมฺมธโร

    ..ผู้เขียนและทีมงานขอน้อมคารวะด้วยเศียรเกล้าต่อองค์ท่านอย่างสุดซึ้ง...สุดหัวใจ การที่พวกเราได้มีโอกาสรับใช้ท่านพ่อในคราวนี้ได้ศึกษาธรรมะและชีวิตของท่าน คุณงามความดีที่ท่านทำไว้เป็นแบบอย่าง...

    ท่านได้ทำให้พวกเรารักและเข้าใจในองค์ท่าน เข้าใจในพระกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และพระพุทธศาสนามากขึ้น..มั่นคงในศาสนามากขึ้น..แม้พวกเราจะเป็น

    ......เพียงต้นกล้าอ่อน ๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน !

    หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นที่งอกเงยแห่งธรรมและเป็นแรงบันดาลใจให้หลาย ๆ ท่านหันมาสนใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า...โดยมีพระอริยเจ้าในยุคปัจจุบันเป็นผู้ถ่ายทอด

    กราบขอบพระคุณพระญาณวิศิษฎ์ (หลวงพ่อทอง) พระครูพุทธิสารสุนทร (พระอาจารย์บุญกู้) พระสมุห์อมร ฐิตโสภโณ พระเณร แม่ชี อุบาสกอุบาสิกาวัดอโศการามและคณะศิษยานุศิษย์ท่านพ่อลีทั้งมวล

    หากข้อเขียนผิดพลาดประการใด ขอท่านพ่อลีและท่านทั้งหลายโปรดเมตตาให้อภัย..อโหสิกรรมด้วย..


    [​IMG]

    ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๐

     
  3. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    ขออนุโมทนาสาธุธรรม เป็นอย่างสูง ครับ





    ------------------------------------------------------------------------------------------------
    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคท่อส่งน้ำถวาย วัดเขาชี หมู่ ๑๕ ต.บ้านกลาง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก


    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคท่อส่งน้ำถวาย-วัดเขาชี-จ-พิษณุโลก.233681/

    http://www.watkhaochee.com/ <O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คิดแบบท่านพ่อลี

    หลักคิดหาเหตุผล ความเชี่ยวชาญ กล้าหาญ
    เข้มแข็ง และแววแห่งปัญญา คืออุปนิสัย
    ของท่านพ่อลี ธมฺมธโร
    ท่านมีนิสัยที่แตกต่างจากคนทั่วๆ ไปราว
    ฟ้ากับดิน
    ท่านช่างคิด คิดทะลุปรุโปร่ง
    ช่างพินิจพิจารณา
    ช่างชอบไตร่ตรองด้วยปัญญา
    เพราะนี่เป็นส่วนแห่งบุญที่ก่อตัวจนกลาย
    มาเป็นท่าน


    <TABLE id=table12 border=0 width=150 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top>
    ท่านพ่อลี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ท่านเป็นผู้มีบุญหนุนส่งให้มาเกิด ย่อมมีความคิดที่แตกต่างออกไปจากนิสัยของคนทั่วไป
    ท่านทำอะไรมักจริงจังเด็ดขาดเพราะบุพเพชาติท่านเอาความดีเติมใส่ในจิตใจไว้มาก
    ดังคำที่ว่า “สุขเป็นผลมาจากการทำความดี ผลแห่งการกระทำความดีย่อมสอดคล้องกับเหตุผล ทำให้เกิดปัญญา”
    เมื่อสองขาท่านยืนหยัดมั่นคง จึงมองเห็นทางที่ยาวไกลได้ใกล้ตั้งแต่วัยเด็ก
    ในวัยเด็กท่านมีนิสัยที่แปลกแตกต่างจากเด็กทั่วไป บางทีต้องถูกผู้ใหญ่ดุด่าว่ากล่าวอยู่บ่อย ๆ และคิดว่าท่านเป็นคนอวดดี แต่แท้จริงแล้วท่านมีดีที่จะอวดมากกว่า
    ผู้เขียนจะนำมาเล่าให้อ่านสักเล็กน้อย (เรื่องชีวิตท่านพ่อลี ได้เรียบเรียงเป็นเพลงประกอบสารคดีในงานฉลองพระธุตังคเจดีย์)
    เมื่ออายุ ๑๑ ปี ท่านมีความคิดแตกต่างจากคนทั่วไปว่า
    “ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ท่านจะทำไม่ได้
    ยกเว้น! เรื่องเดียวที่ท่านจนใจเป็นที่สุดนั้นคือเลือดในอกของแม่ที่ท่านดื่มเข้าไปเท่านั้น ที่หามาตอบแทนให้ไม่ได้”
    พออายุ ๑๕ ปี ท่านมีคติธรรมฝังแน่นในตัวใจ ๓ อย่างคือ
    ๑. ในจำนวนคน ๘๐ หลังคาเรือน ในหมู่บ้านเดียวกันนี้ ท่านจะไม่ยอมให้ใครมาเหยียบหัวแม่ตีนเด็ดขาด
    ๒. ในบรรดาคนที่เกิดในปีเดียวกัน ท่านจะไม่ยอมแพ้ใครในเชิงหาเงิน
    ๓. ถ้าอายุไม่ถึง ๓๐ ปี จะไม่ยอมมีเมีย และจะต้องเป็นคนเลือกเอง
    อายุ ๑๙ ปี ท่านมีความคิดที่แตกต่างจากหนุ่มทั่วไปว่า
    “...คนที่เป็นบ่าวเขาก็เพราะตัวไม่มีอำนาจที่จะเป็นนายเขา
    ส่วนคนที่เขามีอำนาจ เขาก็สามารถชี้นิ้วให้คนอื่นทำอะไรๆ ก็ได้
    ถ้าเราไม่สร้างอำนาจให้มีในตัวแล้ว เราก็จะต้องเป็นบ่าวเขาตลอดไป (เป็นทาสกิเลสตัณหา) เราสะสมความดีในตัวเพื่อให้ได้ “ธาตุกายสิทธิ์” คือ “มโนมยิทธิ”
    ถ้าเราเป็นนายมีอำนาจใช้เขาได้ เราก็จะได้นั่งนอนสบายปลอดภัย คุณความดีเกิดขึ้นได้ทางจิตใจ
    ถ้าใจไม่ดี ความดีทางกายกับความดีทางวาจามันก็ไม่ดี
    ความดีเห็นได้ง่ายที่สุด แต่มันเกิดได้ยากที่สุดเช่นกัน
    พออายุ ๒๐ ปี ท่านคิดไปไกลทะลุโลกว่า
    “ได้เวลาบวชแล้ว..การบวชเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และปลอดภัยที่สุด... ”
    ท่านเทียบความรักของพ่อแม่กับความรักที่พระพุทธเจ้ามีให้เหล่าพระสาวกอย่างน่าสนใจว่า
    “..พ่อแม่นั้นถึงแม้ว่าจะรักเราสักเพียงไร ก็ยังมีเวลาที่โกรธเกลียดลูกในบางขณะ
    แต่พระพุทธเจ้านั้นนับแต่วันที่พระองค์ได้ตรัสรู้จนถึงวันเสด็จปรินิพพาน ท่านไม่เคยโกรธเกลียดลูกศิษย์คนหนึ่งคนใดเลย
    เหตุนั้นพ่อแม่ของเราก็ไม่ดีเลิศเท่าพระพุทธเจ้าได้
    พระองค์ได้มีพระหฤทัยเมตตาสงสารพวกเราจริง ๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าหากเราตกนรกหมกไหม้แล้ว พระพุทธเจ้าก็มาโปรดได้ยากนัก
    พ่อแม่ที่รักเรามากปานชีวิตก็ช่วยไม่ได้ !
    คนที่จะช่วยได้ก็คือตัวของเราเอง !
    อย่ากระนั้นเลย ! เราจงทำตัวของเราให้เป็นที่พึ่งแก่ตนดีที่สุด ที่พึ่งนั้นคืออะไร? คือการออกบวช เราออกบวชแสวงหาทางพ้นทุกข์ ตามอย่างพระพุทธเจ้าจะดีกว่า”
    เมื่อบวชแล้วท่านคิดว่า เราเป็นพระกินข้าวชาวบ้านเขา
    ข้าวจะเข้าปากก็ให้คิดยาว ๆ ให้คิดว่า
    ข้าวนี้ชาวบ้านเขาได้มาด้วยวิธีใด ?
    ก่อนสุกมีความเป็นมาอย่างไร ?
    เซ่น ต้องหุง ต้องหา ต้องเก็บ ต้องเกี่ยว ต้องฝัด ต้องตำ ต้องปลูก ฯลฯ
    ...กว่าจะมาถึงบาตรเราต้องลำบากไม่ใช่น้อย ฯ

    <TABLE id=table13 border=0 width=150><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>วัดหนองสองห้อง จังหวัดอุบลราชธานี วัดบ้านเกิดท่านพ่อลี ท่านพ่อลีเป็นผู้สร้าง
    </TD><TD vAlign=top align=middle>ถ้ำเมืองออน เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ท่านพ่อลี
    เดินธุดงค์ไปตามคำสั่งหลวงปู่มั่น
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เมื่อคิดได้เช่นนี้ท่านจึงเตือนตนเองว่า

    “เรากินข้าวเขา เราต้องทำตัวให้ดี”

    ..เมื่อท่านได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่นประสบความสมหวังในชีวิตแล้ว ก็ย้อนกลับมาบ้านเกิด ได้พูดกับโยมพ่อว่า

    “อาตมาได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว เป็นที่พอใจในชีวิต อาตมาจักไม่กลับมาตายบ้านนี้อีก

    ทรัพย์สินเงินทองของโยม

    ต่อแต่นี้ไปจะไม่มาเกี่ยวข้องตลอดชีวิต”

    โยมป้าของท่านได้ฟังดังนั้นก็พูดตำหนิว่า “ท่านจะเกินไปละมัง”

    ท่านตอบไปว่า “ถ้าฉันสึกมา ฉันมาขอข้าวป้ากิน ขอให้ป้าเรียกฉันว่าสุนัขก็แล้วกัน”

    ท่านตัดสินใจว่า จะบวชตลอดชีวิต และจะไม่ยอมจนในเรื่องชีวิต

    และมีคติธรรมที่ยิ่งใหญ่ไว้ในใจอยู่ว่า

    “..เกิดมาเป็นคน ต้องพยายามไต่ขึ้นอยู่บนหัวใจคน

    บวชเป็นพระต้องพยายามไต่ขึ้นไปอยู่บนหัวใจพระให้ได้

    และมีมโนปณิธานที่เด็ดขาดและมุ่งมั่นสูงสุดว่า

    “...จะให้เลือดทุก ๆ หยดในร่างกาย
    ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
    เป็นไปเพื่อกิจพระศาสนา ไม่ว่าจะเป็นบนฟ้า หรือใต้ดิน
    ก็จะต้องขอสู้ถวายหัวจนสุดชีวิต”

    ท่านพ่อลีท่านได้กล่าวตอกย้ำในเรื่องการบวชของท่านเพื่อเป็นทิฏฐานุคติแก่อนุชนรุ่นหลังเพิ่มอีกว่า...

    “ที่ท่านบวชไม่สึกนั้นเพราะท่านกลัว กลัวความแก่ กลัวความเจ็บ และกลัวความตาย

    ..บวชจนมันไม่รู้จักคำว่า แก่ เจ็บ ตาย ทำความพากเพียรภาวนาไปให้มันเห็นร่างกายนี้ไม่มีสาระสำคัญอะไรเลย

    มันจะแก่ก็แก่ไป มันเจ็บก็เจ็บไป มันจะตายก็ให้ตายไป ไม่ต้องไปทุกข์ร้อนอาลัยอาวรณ์กับซากมนุษย์!

    การที่เราทำสมาธิก็เหมือนการสะสมเมล็ดพันธุ์ผักไว้ เมื่อมันแก่จัดพอถูกน้ำเข้ามันก็จะแตกกิ่งก้านสาขาเป็นต้นเป็นดอกเป็นใบ

    เรามีสมาธิเป็นพื้นฐานสั่งสมไว้ พิจารณาก็เกิดปัญญา รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งด้านโลกด้านธรรมได้ง่าย

    สอนจิตฝึกใจให้รู้ว่า อะไรเป็นธาตุ ขันธ์ อายตนะ ฯลฯทุก ๆ ส่วนของร่างกาย จนเราไม่ต้องกลัวแก่กลัวเจ็บกลัวตายอีกต่อไป

    <TABLE id=table16 border=0 width=150 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    ท่านพ่อลีตอนเดินธุดงค์
    แม่ชีขันทอง สายเจริญ บริจาคเขียนภาพ 15,000 บาท
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เหมือนเราโตขึ้น ความเป็นเด็กมันก็หายไปเอง

    จะไปกังวลในเรื่องอดีตที่ผ่าน อนาคตที่ยังไม่ถึง ให้ใจเร่าร้อนทำไม.. เพราะอะไร

    เมื่อเราสู้มาถึงขั้นนี้แล้ว เราจะไม่เห็นว่าร่างกายนี้เป็นของสำคัญมีสาระแก่นสารอะไรเลย

    พระพุทธองค์ทรงมุ่งประสงค์ให้ปฏิบัติทางจิตใจเป็นข้อใหญ่ ใครไม่ปฏิบัติตาม เรียกว่าไม่รักไม่เคารพในพ่อของตนเลย

    พระพุทธเจ้านั้นทรงมีพระคุณยิ่งใหญ่กว่าพ่อแม่เพียงใด

    ถ้าเราไม่ทำตามคำสอนของพระองค์ก็เท่ากับเราหลอกท่าน

    คนที่หลอกพ่อของตนจะเจริญงอกงามไพบูลย์ในทางธรรมได้อย่างไร”

    ..ท่านพ่อลีท่านกล่าวถึงความมุ่งมั่นของท่านเพิ่มอีกว่า

    “คราวที่ธุดงค์อยู่ทางภาคเหนือ ติดตามหาท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

    ..ท่านกินใบไม้บนยอดเขาต่างข้าว เพราะท่านตำหนิตัวของท่านเองว่า “ยังไม่ดีพอ”

    เมื่อมันยังดีไม่พออย่างที่ใจหวัง ให้มันเป็นบุ้งเป็นหนอนไปเสียเถิด อย่าสมควรกินข้าวของชาวบ้านเขาเลย

    ท่านสอนใจเตือนตัวเอง..พูดกับตัวเอง..ว่า

    “มาบวชอยู่ป่าแล้วก็ยังคิดถึงคนนั้น
    รักคนนี้ เกลียดคนโน้นอยู่
    มึงมันเลวอย่างนี้ มึงอย่ากินข้าวของเขาหนา
    ถ้ามึงไม่ดีเป็นผู้เป็นคนแล้ว ก็อย่ากลับไปให้เขาเห็น
    หน้าอีก
    ..ทิ้งร่างกายตายมันอยู่ในป่านี่แหละ”
    ท่านพ่อลีท่านชอบท่องเที่ยววิเวกไปตามป่าเขา
    เพียงรูปเดียวสละตายเพื่อการปฏิบัติธรรมหลายครั้ง ท่านให้คติเป็นข้อคิดในการเดินทางของท่านว่า..

    “...ท่านไม่คิดว่าจะตั้งตัวเป็นคนบ้านนั้น เมืองนี้วัดนั้นวัดนี้
    ดังนั้นจึงเที่ยวสัญจรไปทั่วทุกหนแห่ง เหมือนแมลงผึ้งบินโฉบไปดูดรสหวานจากเกสรดอกไม้แล้วก็บินลับจากไปโดยไม่อาลัย และไม่ทำให้ดอกไม้นั้นชอกช้ำ”

    ท่านเล่าว่า “..ได้ตั้งใจจะศึกษาหาความรู้จากคนทั้งโง่และฉลาด จะสั่งสอนคนทุกจำพวก ตลอดจนคนมิจฉาทิฐิ เหมือนกับน้ำฝน ซึ่งตกลงมาให้เป็นประโยชน์ ตลอดทั้งคน สัตว์ ต้นไม้ ดิน หญ้า

    คนใดที่เขาโง่กว่าเรา ๆ ก็เป็นครูเขา
    ถ้าเขาฉลาดกว่าเรา ๆ ก็ยอมเป็นศิษย์เขา
    เราไม่ควรคิดว่าเราจะโง่ไปทุก ๆ อย่าง และฉลาดไปทุก ๆ
    อย่าง
    สิ่งที่เราโง่ก็มี สิ่งที่เราฉลาดก็มี
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ฝรั่งเขาศึกษาวิชาจากพืชจากสัตว์ เขาก็ยังสามารถนำความรู้มาใช้เป็นประโยชน์ได้เป็นอันมาก

    พระพุทธเจ้าเอง บางอย่างพระองค์ก็ยังทรงศึกษาแม้จากสัตว์ซึ่งพูดไม่ได้

    ..ฉะนั้นจิตต้องเปลี่ยนที่ เหมือนกับเราเปลี่ยนอิริยาบถจึงจะอยู่ได้ อยู่ท่าเดียวที่เดียวก็มีแต่คนตายเท่านั้น คนเป็น ๆ ต้องย้ายไปโน่นบ้างนี่บ้าง เป็นธรรมดา

    เหมือนกับเวลาเราอยู่ที่วัดเห็นแมว เราก็รู้สึกอย่างหนึ่ง...เฉย ๆ..ธรรมด๊า ธรรมดา

    เวลาเราไปอยู่ป่าเห็นเสือ เราก็รู้สึกไปอีกอย่างหนึ่ง...กลัวตาย..ตัวสั่น..ความขี้ขลาดตาขาวปรากฏ...ต้องพึ่งสมาธิภาวนา..ไม่งั้นเป็นบ้าตาย..

    ความรู้สึกทั้ง ๒ อย่างนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน!

    <TABLE id=table17 border=0 width=150 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top>
    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ..แล้วท่านพ่อลีท่านก็เล่าต่อให้สานุศิษย์ฟังพร้อมเปรียบเทียบความคิดของท่านที่เกี่ยวกับการบวชและการออกธุดงค์ไปอยู่ป่าว่า

    ...คนที่บวชแล้วไม่เคยออกป่าเลย ก็เหมือนกินข้าวสุกที่ไม่มีแกง คนที่บวชแล้วเดินธุดงค์แสวงหาที่วิเวก ย่อมได้ดื่มด่ำรสของพระสัทธรรม เปรียบเหมือนบุคคลที่กินข้าวสุกมีกับ (แกง) ด้วย ตัวอย่างง่าย ๆ ในหลักธรรมซาติ เช่น

    ไก่ป่า” มีลักษณะต่างกันกับ “ไก่บ้าน” คือ ตาไว หางกระดก ขันสั้น ปีกแข็ง ลักษณะการเหล่านี้เกิดขึ้นจากความระวัง

    ส่วน “ไก่บ้าน” มีหางตก ตาตก ปีกอ่อน ขันยาว ลักษณะเหล่านี้ ย่อมเป็นเหยื่อของเสือดาว

    ...ถ้าอยากพิสูจน์ตัวเองลองไปอยู่ในป่าช้าผีดิบคนเดียว..จะได้เห็นตัวเอง.. ถ้าเราทำจริง อยู่ได้จริง ก็จะเกิดความวิเศษขึ้นมาจากการปฏิบัติ

    จักได้เห็นอานิสงส์ของ ความดี นั้นว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้มีความสามารถขจัดทุกข์ได้จริง กำจัดภัยได้จริง และกำจัดโรคได้จริง เพียงใด

    ความดีที่เราได้ทำด้วย กาย วาจา ใจ หมั่นพากเพียรพยายามประกอบให้มีขึ้น เจริญงอกงามไพบูลย์ขึ้น แล้วก็มีความสุขกายสุขใจทุกขณะที่ ยืน เดิน นั่ง นอน”

    นี่แหละท่านทั้งหลาย! ชีวิตชีวิตหนึ่งที่เป็นแบบอย่างได้อย่างเยี่ยมยอด ทำ ทำจริง รัก รักจริง สู้ สู้จริง เห็น เห็นจริง ไม่หลอกลวงตัวเองและบุคคลอื่น เป็นคนดีเองมาตั้งแต่ยังไม่เกิด

    ชีวิต คติธรรม และปฏิปทาของท่านพ่อลี ซึ่งผู้เขียนนำมาเล่าเพียงน้อยนิด เป็นชีวิตที่ท้าทายจริง ๆ

    บางทีเราอ่านแล้วฟังแล้วยังไม่อยากจะเชื่อว่า คน ๆ หนึ่งสามารถมีความคิดละเอียดอ่อนละมุนละไมและการกระทำได้ถึงเพียงนี้

    ....แต่สิ่งนี้ได้มีได้เป็นไปแล้ว

    นึก ๆ แล้วอัดอั้นตันอยู่ในหัวอกทั้งอยากจะหัวเราะและร้องไห้ปะปนกันไป

    การที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างพระพุทธเจ้า พระอรทันต์และอย่างท่านพ่อลีนี่

    มันช่างยากเสียจริง ๆ !

    เบื้องหลังของท่านกรำศึกยิ่งกว่าพระเจ้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่

    ...เพราะพระเจ้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ออกรบยังมีทหารเอกเคียงข้างห้อมล้อมเป็นหมื่นเป็นแสน

    ..แต่นี่ท่านออกรบเพียงผู้เดียว และรบกับกิเลสร้ายที่มองไม่เห็นตัวได้ง่าย ๆ และไม่ทราบว่ากองทัพของมันซุ่มซ่อนตัวอยู่ที่ใด...ในซอกหลืบใดในกายวาจาใจเรา

    ...แต่ท่านก็ยังอุตส่าห์กำชัยชนะมาได้

    ...ช่าง ! สุดยอดเสียจริง ๆ ฯ

    <TABLE id=table15 border=0 width=150><TBODY><TR><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>
    ๑. พระเจดีย์หลวง ๒. วิหารหลวงปู่มั่น ๓. ป้ายวัดเจดีย์หลวง
    วัดเจดีย์หลวง เป็นวัดที่ท่านพ่อลีเคยมาจำพรรษากับหลวงปู่มั่น
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่มั่นสอนอะไรท่านพ่อลี

    ท่านพ่อลี ธมฺมธโร พระอริยะเจ้าผู้ทรงคุณ
    อันประเสริฐ ถึงพร้อมด้วยอำนาจแห่งบารมี
    และบุญที่สั่งสมไว้ มีชีวประวัติอันงดงาม

    ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ปฏิบัติดีปฏิบัติ
    ชอบ ที่มีภูมิธรรมและพลังจิตสูงยิ่งมีจริยวัตร
    ที่งดงามมีศรัทธาที่เต็มเปี่ยมในการเผยแพร่
    สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    สมศักดิ์ศรีที่ได้รับความไว้วางใจจาก
    ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ให้เป็น
    อัศวินแห่งกองทัพธรรมกรรมฐานสายท่าน
    พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่มีธรรมะเป็นอาวุธ
    จนได้รับสมัญญานามว่า “อัศวินนักรบ
    ธรรม ของพระกรรมฐานสายป่า”

    ท่านเป็นพระผู้ล้ำเลิศด้วยคุณธรรม เป็นที่เคารพบูชาของบรรดาพุทธศาสนิกชนทุกผู้ทุกนาม

    บรรดาสานุศิษย์ของท่านก็มีมากมาย ท่านเป็นพุทธทายาทที่องอาจในศีลบารมี สมาธิบารมี และปัญญาบารมี

    อีกทั้งยังเป็นพระนักปฏิบัติที่องอาจในการเผยแพร่ธรรมะโดยแท้

    ปฏิปทาอันละมุนละไมของท่าน ทำให้บรรดาสาธุชนเลื่อมใสทั้งกาย วาจา และใจ ขันติธรรมและเมตตาธรรมของท่านเป็นที่ซาบซึ้งแก่พุทธบริษัททั้งปวง สั่งสอนอบรมพุทธบริษัทให้เป็นบุคคลพลเมืองดีในชาติ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่บูชา

    แสงแห่งพุทธธรรมส่องสว่างโดยพุทธสาวกผู้บริสุทธิ์ให้ความอบอุ่นสงบสุขแก่ผู้คนทั้งปวง

    ท่านจึงเป็นศิษย์ที่ท่านพระอาจารย์มั่นเมตตาและให้การยกย่องเป็นพิเศษว่า

    “มีพลังจิตสูง เป็นผู้เด็ดเดี่ยว อาจหาญ เฉียบขาด ถึงพร้อมด้วยศีลด้วยธรรม”

    และหลวงตามหาบัว ได้กล่าวถึงท่านพ่อลีด้วยความศรัทธาเลื่อมใส ว่า

    “เรามองดูท่านพ่อลีทีแรกเราก็เลื่อมใสเลยนะ

    ท่านเป็นผู้มีบุญวาสนาจริง ๆ น่าชมเชย น่าเคารพ น่าเลื่อมใส มีสง่าราศี สง่าผ่าเผย องอาจกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวจริงจังเป็นนักเสียสละ

    ท่านพระอาจารย์มั่นโปรดที่จะสนทนาและเมตตามากไม่เคยตำหนิอะไรเลย มีแต่ยกย่องชมเชย”

    <TABLE id=table18 border=0 width=167 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ท่านพ่อลีนับว่าเป็นพระเถระที่มีพลังอำนาจจิตสูงและสำคัญยิ่งรูปหนึ่ง ในสายกรรมฐานของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่ประสบความสำเร็จทั้งในทางธรรมและทางโลก

    ท่านได้บรรลุภูมิธรรมในขั้นสูงสุด

    และองค์ท่านทราบว่า อดีตชาติ ได้เกี่ยวข้องกับจอมจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คือ “พระเจ้าอโศกมหาราช” โดยตรง


    ครั้งแรกที่ท่านพ่อลีเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ในปี ๒๔๖๙ ท่านพระอาจารย์มั่นได้สอนบทภาวนาสั้น ๆ ว่า “พุทโธ” คำเดียว และสั่งให้ไปอยู่ป่ากับพระอาจารย์สิงห์และพระอาจารย์มหาปิ่น ที่เสนาสนะป่าบ้านท่าวังหิน อำเภอเมืองจังหวัดอุบลราชธานี
    ปี ๒๔๗๔ ได้มีโอกาสพบกับท่านพระอาจารย์มั่นที่วัดบรมนิวาสอีกครั้ง ท่านพระอาจารย์มั่นได้สอนธรรมใจความสั้นๆ ว่า

    “ขีณา ชาติ วุสิตํ พฺรหฺมจริยนฺติ”

    พระอริยะเจ้าขีณาสพทั้งหลาย ท่านทำตนให้เป็นผู้พ้นจากอาสวะแล้ว มีความสุข นั่นคือพรหมจรรย์อันประเสริฐ

    จากนั้น ในกลางปี ๒๔๗๔ ท่านได้ติดตามท่านพระอาจารย์มั่นไปจำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่

    ท่านพ่อลีเล่าว่า.....ในขณะอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ได้ออกบิณฑบาตกับท่านพระอาจารย์มั่นเป็นนิจ ขณะเดินบิณฑบาตท่านได้สอนกรรมฐานเตือนใจอยู่เสมอ

    พอเห็นหญิงสาวสวย ๆ งาม ๆ ผ่านมา ท่านบอกว่า “มองดูให้ดีสิ นั่นเป็นอย่างไร สวยไหม งามไหม ดูให้ดี ๆ ดูเข้าไปข้างใน มูตรคูถทั้งนั้น”

    ไม่ว่าท่านจะเห็นอะไร เซ่น บ้านหรือถนน สัตว์หรือสิ่งของท่านก็จะให้โอวาทพร่ำสอนเตือนใจท่านพ่อลีทุกวี่ทุกวัน

    จีวรใหม่ สบงใหม่ ที่คนเขาเอามาถวาย ท่านพระอาจารย์มั่นไม่ให้ท่านพ่อลีใช้ ให้ใช้สบงเก่า ๆ ขาด ๆ วิ่น ๆ เอามาปะชุนใช้ผืนที่มีสีสันสดสวย หรือขาว ท่านพระอาจารย์มั่นให้เอาไปทำลายสีเดิม แล้วย้อมด้วยแก่นขนุน

    วันหนึ่งท่านพ่อลีได้เดินตามท่านพระอาจารย์มั่นไปบิณฑบาตถึงที่แห่งหนึ่ง ท่านเอาเท้าของท่านเตะกางเกงขาดที่เขาทิ้งไว้ข้างถนน แล้วก้มลงเก็บกางเกงขาดตัวนั้นเหน็บไว้ใต้จีวร เมื่อกลับถึงกุฎีแล้ว ท่านก็นำเอาไปซักแล้วพาดไว้ที่ราวตากผ้าแห่งหนึ่ง

    ต่อมาวันหลังได้เห็นกางเกงขาดตัวนั้น ได้กลายเป็นถุงย่ามใบน้อยและสายรัดประคดเอวที่เย็บด้วยมืออันกะทัดรัด

    ท่านบอกว่า

    “ท่านลี...ถุงย่ามใบนี้และรัดประคดอันนี้เอาไปใช้ซะ”

    แล้วท่านพ่อลีได้กล่าวสรุปในเรื่องนี้ไว้ว่า

    “การได้ปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่นนี้เป็นการดีที่สุด

    แต่ก็ยากที่สุด

    ต้องยอมฝึกหัดทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นนักสังเกตที่ดีและละเอียดรอบคอบจึงจะอยู่กับท่านได้

    ..เวลาเดินบนพื้นกระดานทำเสียงดังก็ไม่ได้

    ..เดินไปแล้วมีรอยเท้าติดพื้นก็ไม่ได้

    ..เวลากลืนน้ำมีเสียงดังก็ไม่ได้

    ..เวลาเปิดประตูมีเสียงดังก็ไม่ได้

    ..เวลาจะตากผ้า เก็บผ้า พับผ้า ปูที่นั่ง ที่นอน เป็นต้น

    ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำอย่างเป็นผู้มีวิชา

    ต้องละเอียดลออรอบคอบเรียบร้อย ทำอย่างตั้งใจ

    ถ้าไม่ตั้งใจจะต้องถูกไล่หนีกลางพรรษา

    แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องอดทน พยายามใช้ความสังเกตของตน”

    บางวันเมื่อฉันแล้ว จัดแจงเก็บบาตร เก็บจีวร ผ้าปูนั่ง ปูนอน กระโถน กาน้ำ หมอน ฯลฯ และทุกสิ่งทุกอย่างในห้องของท่าน ต้องเข้าไปจัดไว้ก่อน ท่านเข้าไปข้างใน จัดเสร็จแล้วก็จดจำไว้ในใจ แล้วรีบกลับออกไปอยู่ในห้องของตน ซึ่งกั้นไว้ด้วยใบตองเจาะช่องฝาไว้พอมองเห็นบริขารและตัวท่านได้ เมื่อท่านเข้าไปในห้องแล้ว เห็นท่านมองข้างล่างข้างบน ตรวจตราบริวารของท่าน บางอย่างท่านก็หยิบย้ายที่ บางอย่างท่านก็ปล่อยไว้ที่เดิมไม่จับต้อง เราก็ต้องคอยมองดูแล้วจดจำไว้วันหลังก็ทำใหม่จัดใหม่ ให้ถูกต้องอย่างที่เห็นท่านทำเอง

    ต่อมาวันหลังเมื่อเข้าไปจัดเสร็จแล้วก็กลับเข้าห้องของตนมองลอดช่องฝาสังเกตดูว่า เวลาท่านเข้าไปในห้อง ท่านเข้าไปแล้วนั่งนิ่ง มองซ้ายมองขวา มองหน้ามองหลัง มองดูข้างบนข้างล่างแล้วก็ไม่จับต้องอะไรอีก ผ้าปูนอนก็ไม่กลับ แล้วท่านก็กราบสวดมนต์ไหว้พระสักครู่หนึ่งท่านก็จำวัด

    เมื่อเห็นเช่นนี้ ก็ดีใจว่าเราได้ปฏิบัติเป็นที่ถูกอกถูกใจท่านนอกจากเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้

    ในการนั่งสมาธิก็ดี เดินจงกรมก็ดี ก็ได้ฝึกหัดจากท่านไปจนเป็นที่พอใจทุกอย่าง

    แต่ก็เอาอย่างท่านได้อย่างมากเพียง ๖๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

    ท่านพระอาจารย์มั่นสั่งผ่านพ่อลีว่า ให้ช่วยท่านในเรื่องสืบทอดข้อวัตรปฏิบัติ เพราะท่านมองไม่ใคร่เห็นใครที่จะช่วยได้

    และสั่งกำชับเป็นพิเศษว่า “จังหวัดเชียงใหม่นี้เป็นสถานที่อาศัยวิเวกของบรรดานักปราชญ์ในกาลก่อน ฉะนั้น ก่อนที่ท่านพ่อลีจะออกจากจังหวัดนี้ให้ปฏิบัติตาม ๓ ข้อ

    ๑) ให้ไปพักวิเวกอยู่บนยอดดอยขะม้อ จังหวัดลำพูน
    ๒) ให้ไปพักวิเวกในถ้ำบวบทอง จังหวัดเชียงใหม่
    ๓) ให้ไปพักวิเวกอยู่ในถ้ำเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

    พ่อลีท่านกล่าวว่า “...ผู้ปฏิบัติธรรม จะต้องมีการเสียสละไม่เห็นแก่ตัว บุคคลใดมีธรรมอันพอจะช่วยให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ แต่ไม่ช่วย พระพุทธเจ้าย่อมไม่สรรเสริญบุคคลชนิดนั้นและตัวเราเองก็ติเตียนตัวเราเอง

    ถ้าหากเราจะทำอย่างนั้นบ้าง เราก็สบายไปนานแล้วไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปนี่ก็เพราะเห็นแก่ศาสนาเป็นส่วนใหญ่”

    หลวงตามหาบัว ได้กล่าวถึงหลวงปู่มั่นกล่าวชมและต้อนรับท่านพ่อลี ในคราวท่านพ่อลีไปพักที่วัดบ้านหนองผือ จังหวัดสกลนครว่า..

    “หลวงปู่มั่นชมตลอดว่า “ท่านลี..นี่..เด็ดเดี่ยวมาก” เพราะท่านพ่อลีเคยอยู่กับท่านมานาน

    หลวงตาเล่าต่อไปอีกตอนหนึ่งว่า “....พอท่านพ่อลีไปนมัสการหลวงปู่มั่นที่วัดป่าบ้านหนองผือ หลวงปู่มั่นก็สั่งเรา (หลวงตา) ว่า

    “ไปจัดที่พักในป่าให้ท่านลีนะท่านลีไม่ได้อยู่ในป่ามานานแล้วกระดูกหมูกระดูกวัวเต็มคออยู่นี่เห็นมั๊ย?”

    ท่านพูดอย่างนี้แสดงว่าท่านเมตตากันนะ ภายนอกฟังไม่ได้ภายในลึกลับอยู่ด้วยกัน

    เราอยู่กับท่านมาแสนนาน ท่านก็ไม่เคยบอกให้เราไปจัดเสนาสนะให้องค์อื่นเลย

    พอตอนเช้าฉันเสร็จ เราเข้าไปจัดที่พักในป่าก่อนแล้วหลวงปู่มั่นท่านเดินด้อม ๆ ตามไปดู
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    กิริยาแบบนี้ ๆ ท่านไม่เคยทำกับองค์ไหนเลย

    ท่านเข้าไปดูเอง แล้วถามเราว่า “ไหน...ไหน..จัดตรงไหนให้ท่านลีล่ะ”

    แล้วท่านก็มองโน่นมองนี่ แล้วพูดแบบสบายว่า “เออ! เข้าท่าดีนะ

    คือ เราเอาเตียงไปวางให้เรียบร้อยให้ท่านพักสบาย ๆ หน่อย

    นี่คือท่านพ่อลี ท่านได้รับการต้อนรับพิเศษจากหลวงปู่มั่นเสมอมา”

    เรื่องราวที่กล่าวมานี้ ผู้เขียนคิดว่า “เป็นตอนที่สำคัญมาก”

    เราได้เห็นธรรมกิริยา และธัมโมชปัญญา ที่อาจารย์กับศิษย์ปฏิบัติต่อกันดุจดังพ่อกับลูกน้อย

    เห็นความเป็นมาตั้งแต่เบื้องต้น ! ท่ามกลาง ! และที่สุด !

    ..กว่าท่านจะได้มาเป็นครูบาอาจารย์ของพวกเรา

    ช่างลำบากยากเย็นเหลือเกิน !

    ท่านฆ่าฟันอะไรมาบ้าง แทบเป็นแทบตาย

    และไม่ง่ายเลยที่ใครจะทำอย่างท่านได้

    เพราะนี่คือสุดยอดแห่งพระอริยสงฆ์รูปหนึ่งในยุคปัจจุบันฯ

    <TABLE id=table19 border=0 width=150><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD rowSpan=2>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>
    ภูเขาสูงด้านหน้าคือยอดดอยขะม้อ เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่ท่านพ่อลีไปธุดงค์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลงป่าดีกว่าหลงโลก

    คำพูดที่ว่า “ชีวิตคือการเดินทาง การ
    เดินทางเป็นกำไรของชีวิต”

    แต่ทางที่เดินนั้นต้องเป็นทางที่ดี ไม่
    ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าเป็นทางดีก็เป็น
    กำไรไป แต่ถ้าเป็นทางที่ชั่วก็อัปรีย์จัญไรไป

    คำพูดที่กล่าวอ้างข้างต้นถ้าเป็นความจริง
    ท่านพ่อลีคงหาบหามกอบโกยเอากำไร
    ชีวิตมาได้มิใช่น้อย

    เพราะท่านชอบการเดินทางที่ดีและประเสริฐ

    <TABLE id=table20 border=0 width=150><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2 align=middle>ถ้ำเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
    เป็นสถานที่ท่านพ่อลีเคยมาธุดงค์ปฏิบัติธรรมตามคำสั่งหลวงปู่มั่น
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ท่านชอบท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนแห่งด้วยปลีแข้งสองเท้าก้าวเดินดุ่ม ๆ ตะลุยตามป่าเขาลำเนาไพร อาศัยอยู่ตามท้องถ้ำ ไมเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า

    ท่านถือว่าชีวิตที่หยุดอยู่กับที่เหมือนรถไฟหยุดนิ่งไม่ออกจากชานชาลา

    ไม่มีประโยชน์ มีแต่จมปลัก !

    เมื่อใดก็ตามที่ล้อหมุนก็เกิดประโยชน์แก่ผู้คนที่สัญจรไปมา

    ท่านพูดให้ลูกศิษย์ฟัง อย่างน่าคิดมากกว่า

    ...คราวหนึ่งท่านเดินทางเข้าไปในป่าลึกทางภาคเหนือ เดินวนเวียนหลงอยู่ในป่าหลายวันแล้วก็ไปเจอชาวป่าชาวเขากำลังทำไร่

    พวกเขาเห็นท่านเข้าก็แสดงความสงสาร จึงพูดขึ้นว่า

    “ท่านครับท่านจะมาหาความลำบากทำไม ป่านี้เป็นป่าใหญ่พวกผมเองยังไม่กล้าเดินเข้าไปในที่ลึก ๆ เปลี่ยว ๆ สัตว์ป่าช้างเสือก็มีมาก อันตรายทั้งนั้น ถ้าท่านยังจะเดินบุกต่อไปอีกมีแต่ตายเปล่า ๆ”.

    “โยมเอย..อาตมาหลงมาหลายวัน ก็ยังน่าชื่นชม ถ้าอาตมาหลงโลกโยมจะชื่นชมมั้ย? ” ท่านตอบ แล้วกล่าวสอนเป็นธรรมว่า

    “หลงโลกนี้หลงมาแสนนานหลายภพหลายชาติ สร้างเวรสร้างกรรมไม่รู้จักเบื่อหน่าย ไม่คลายความกำหนัด

    พวกโยมที่ปลูกเผือกปลูกมันอยู่นี่ไม่รู้จักเบื่อบ้างหรือ?

    หลงทางหลงป่าเพียงสองสามวัน เหนื่อยหน่อยเดียวก็หาทางออกเจอ

    แต่หลงโลกอันย้อมด้วยกิเลสเป็นเครื่องฉาบทานี้สิ

    โยมเอย..ตายจากความดีอย่างเดียว

    ตายเข้าโลงแล้ว เขาเอาไปเผาไฟยังไม่รู้สึกตัวเลย”

    ท่านพูดเพียงเท่านี้ พวกเขาฟังแล้วก็ยังงง ๆ แล้วท่านก็ลาชาวบ้านป่า ให้พรแผ่เมตตา กุลีกุจอเดินลับสายตาเข้าสู่ป่าทึบ เหมือนเดินเข้าสู่บ้านอันเป็นสถานที่ปลอดภัย เข้าสู่อ้อมกอดแห่งพระธรรมวินัย ยังถ้อยคำอันน่าคิดสะกิดใจทิ้งไว้ให้เขาได้คิด....หรืออาจจะไม่คิด...!!

    ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าควรนำมากล่าวไว้ในหมวดนี้

    คราวหนึ่งท่านพ่อลีเดินทางไปพักที่อุดรฯ ๑ คืน รุ่งขึ้นได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ แล้วย้อนกลับไปยังวัดสุปัฏน์ฯ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อประกอบงานพิธีฉลองพระบรมธาตุ โดยบัญชาของเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน)

    และเมื่อเสร็จพิธีนั้นแล้วได้เดินทางไปอบรมทางจังหวัดอื่นมีศรีสะเกษ สุรินทร์ นครราชสีมา สระบุรี และลพบุรี โดยลำดับแล้วจึงกลับกรุงเทพฯ

    ...ในระหว่างพักที่จังหวัดอุบลฯ ท่านได้โต้ตอบกับสุภาพสตรีสาวสวยคนหนึ่งใจความนำมาย่อ ๆ ว่า...

    “ท่านอาจารย์..ทุกวันนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ใคร่จะมีเวลาให้ญาติโยมทางนี้ได้พบหน้ากันเลยนะ” เขาต่อว่าท่านแบบบ่น ๆ

    <TABLE id=table21 border=0 width=167 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    วัดสุปัฏนารามวรวิหาร เป็นสถานที่
    ท่านพ่อลี นำพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมาเอง มาฉลอง ตามคำบัญชาของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ในครั้งนั้นเกิดเหตุอัศจรรย์หลายประการ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    “อาตมาก็ไม่ชอบ ดูหน้า คนเสียด้วย ชอบดูแต่ ใจคน’

    ท่านตอบสั้น ๆ แต่กินใจความกว้าง

    “ท่านอาจารย์บวชมานานหน้าตาก็ออกจะหล่อเหลาเอาการไม่อยากสึกบ้างเหรอ ?” เขาถามเหมือนพอใจในตัวท่าน แล้วทำตาชมดชม้อย ขยับเอียงซ้ายเอียงขวาตามมารยาหญิง


    การสึก หรือ การบวช มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสวย ไม่สวย หล่อหรือไม่หล่อของคนหรอกโยม มันอยู่กับ ใจที่มีกิเลส ต่างหาก” ท่านตอบด้วยกิริยานิ่ง มีคนนั่งฟังหลายคนต่างก็ยิ้มน้อย ๆ ที่นานทีเห็นท่านถูกสตรีรุกด้วยวาทะ ท่านก็รับด้วยคารมคมแห่งธรรมะ

    แล้วท่านก็กล่าวสอน เป็นธรรมะเปรียบเทียบว่า

    “...รูปร่างหน้าตาของคนบางคน หน้าดำเหมือนกับก้นหม้อก็ยังสึกได้

    จะหล่อหรือขี้เหร่ มันไม่ได้เป็นเครื่องวัดว่าใครดีกว่าใคร ใครกิเลสน้อยกว่าใคร ใจต่างหากเป็นตัวมารร้ายทำให้คิดปรุง
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระพุทธเจ้า พระอานนท์ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระมหากัจจายนะ ท่านหล่อเหลาเอาการ ไม่เห็นมารที่ไหนมาแหยมท่านได้ และไม่เห็นท่านสึก

    เพราะท่านหลุดพ้นจากเรื่องขี้ ๆ เหล่านี้ ขี้โลภ โกรธ หลง ไงล่ะโยม”

    สตรีสาวนางนั้นนั่งฟังตาแป๋ว เมื่อเจอคำว่า “ขี้ ๆ” ที่ท่านหมั่นสาธยาย เธอนั่งนิ่งไม่โต้ตอบ จะเป็นเพราะว่าเธอซึ้งใจในพระธรรมที่ท่านสอน หรือเป็นเพราะว่าเธอก็เคยเห็นขี้ของเธอเองว่ามันน่าเกลียดเพียงไร เพื่อนำมาเทียบกับเรื่องใบหน้าอันแสนสวยของเธอ

    เมื่อเธอนิ่ง ท่านพ่อลีผู้มีปัญญาก็รุกต่อ เหมือนนักรบเห็นข้าศึกตัวฉกาจเพลี่ยงพล้ำ ก็กรูเข้าไปหมายปลิดชีวิต หรือเหมือนเสือเห็นลูกกวางตัวน้อย ๆ หลงฝูง หมายกระโจนเข้าตะปบให้สิ้นชีวิต ท่านจึงกล่าวด้วยเสียงที่เข้มแข็งว่า...

    “ โยมลองพิจารณาถึงความเป็นจริงดูสิว่า อาหารที่อยู่ในชามข้าวของเรานี้ มันก็ดีขณะเวลาที่อยู่ในปากเท่านั้น ประเดี๋ยวอีกไม่นานไม่ช้า มันก็กลับกลายเป็นของเสียบูดเน่าเท่านั้น

    ในโลกไม่มีอะไรที่น่ายินดี และน่าพอใจ พอที่จะไปยุ่งไปยินดีกับมันนักหนา

    สตรีและบุรุษที่อยู่ร่วมกัน รักกัน ส่วนมากเพราะอำนาจกาม

    ธรรมชาติของกามใหม่ ๆ ก็มีรสอร่อย นานไปก็เป็นของบูดเน่าเสียเหมือนกันนั้นแหละ

    <TABLE id=table22 border=0 width=167 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พระพุทธรูปวัดสุปัฏนารามวรวิหาร อุบลราชธานี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ถ้าไม่มีธรรมเสียอย่างเดียว มนุษย์ในโลกนี้อยู่ร่วมกันลำบากนะ และอยู่ไปอยู่มาก็ต้องตายจากกันไป

    ทางที่ดี โยมเอ๊ย!..อย่ายินดีในการอยู่ อย่าเสียใจในการตาย สิ่งเหล่านี้มันทำให้เรารู้จักทุกข์

    อาตมานี่จะว่าดีก็ได้ จะว่าไม่ดีก็ได้ เวลาไปเห็นคนตายหรือคนที่กำลังจะตาย ใจมันไม่มีความรู้สึกอะไรเลย เพราะคิดว่า นั่นมันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา

    ความรู้สึกขณะที่แลเห็นคนจะตาย ก็เหมือนกับแลเห็น ไฟที่มันกำลังไหม้ท่อนไม้อยู่

    โยมเอ๊ย! เราจะอาศัยอยู่ในโลกนี้อีกนานสักเท่าไร แล้วก็จะต้องจากกันไป ให้รีบ ๆ ทำความดีกันไว้ อย่าเอาแต่กินแต่นอนแล้วก็ปรุงเรื่องกิเลสตัณหา

    อาตมารู้ตัวเองดีว่า ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรดีสักอย่าง รูปร่างหน้าตาก็ไม่สวยไม่งาม วาจาที่พูดกับเขามันก็ไม่เพราะ ไม่น่าฟังแต่มันมี “ดี” อยู่ข้างใน “นิด” เดียวเท่านั้น คือ ความเมตตาสงสารนี่แหละ”

    “อาตมาพูดจริง ๆ” ท่านพ่อลีย้ำ “ทางโลกเขานิยมกันที่คำพูด แต่อาตมาไม่เอาเลย ชอบเอาความจริงที่มีอยู่กับใจ เพราะถือว่าคำพูดนั้นเป็นของที่เราบ้วนทิ้ง ไม่ใช่ของเก็บของจริงอะไร

    ของจริงนั้นมันอยู่ที่ใจ จะพูดดีหรือไม่ดีก็ตาม เพราะหรือไม่เพราะก็ตาม แต่ให้ “ใจ” มันดีอยู่ก็แล้วกัน

    โยมลองนั่งสมาธิดูสิ..กิเลสจะได้เบาบาง วิธีนั่งสมาธินั้นต้องทำความรู้สึกเหมือนกับเรากำลังนั่งอยู่บนก้อนเมฆหรือศาลากลางน้ำหรือกลางทุ่งนา ปล่อยลมออกไปให้เย็นโล่ง ใจไม่เกาะเกี่ยวกับสัญญาอดีต อนาคต ทั้งดีไม่ดี ทำใจให้เงียบ แล้วกำหนดดูลม หายใจเข้า “พุท” ออก “โธ” เบื้องต้นทำแค่นี้ก็พอ”

    ท่านพ่อลีพูดจบลง เธอก้มลงกราบ ขอบใจในเมตตาธรรมของท่าน หลังจากนั้นมาเธอเป็นสตรีที่มีศรัทธาในทางพระพุทธศาสนาอย่างเต็มเปี่ยม

    <TABLE id=table23 border=0 width=167 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD rowSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพฯ เป็นวัดที่ท่านพ่อลีเคยมาอยู่จำพรรษา และศึกษา๒รยัติธรรม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    นี่แหละท่านทั้งหลาย โดยที่สุดแล้วท่านพ่อลีเป็นผู้ชนะไม่หลงพัวพันมัวเมาจมดิ่งอยู่ในอุ้งมือแห่งกิเลสมาร สมดั่งท่อนฮุกวรรคหนึ่งของบทเพลง “สุดยอดแห่งความดี” ที่แต่งประกอบสารคดีของท่าน..กล่าวสรรเสริญคุณธรรมของท่าน..ว่า

    ...วันเวลาหลงโลกได้หมดไปแล้ว
    หัวใจดั่งแก้วสดใสไม่หมอง
    ไกลสุดฟ้าตามล่าหาสุดยอดความดี
    ท่านพ่อลี..สละโลกีย์...ไม่อาลัย..
    นี่คือท่านพ่อของเราที่เรารัก
    ได้สร้างสำนักสอนธรรมะอันยิ่งใหญ่
    ได้สร้างชีวิตโลกด้วยชีวิตที่จากไป
    นี่คืออุทาหรณ์สอนใจผู้ใฝ่ธรรม ฯ

    .....บทเพลงปราบกิเลสนี้ ถ้าใครอยากฟังติดต่อทางวัดอโศฯ ก็แล้วกัน.. ระวังช้าไม่ทันเขานะ.. ฟังแต่เพลงทางโลก.. ฟังแล้วเป็นบ้า..ฟังเพลงธรรมะพระกรรมฐานไปแก้อาการบ้านั้นบ้างซี ! ! ฯ
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    กลัวตาย...ท่านจะต้องตายอีก

    ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ทุกคน
    ความกลัวอันนี้กลับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงใน
    แต่ละวันและในชีวิตประจำวัน ที่ทุกคนต้อง
    พานพบ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครสามารถตัดใจ
    จากมันได้เลย เว้นแต่พระพุทธเจ้า พระ
    ปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์เท่านั้น

    แม้พระพุทธเจ้าจะพร่ำสอนสักเท่าใดว่า

    ..ความตายเป็นเรื่องธรรมดา
    ..ใครเกิดมาก็ตายหมดโลก
    ..ทุกคนต่างบ่ายหน้าไปสู่ความตาย
    ..เมื่อตายทรัพย์สินสักนิดก็เอาติดตามไปไม่ได้
    ..ผู้ที่เศร้าโศกถึงคนตาย ก็เหมือนเด็กน้อยร้องไห้ขอพระจันทร์ในอากาศ

    พระพุทธองค์ยังสอนย้ำให้ชัดเจนขึ้นว่า

    <TABLE id=table24 border=0 width=167 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    หลวงพ่อพระงาม วัดเขาพระงาม อ.เมือง จ.ลพบุรี สร้างโดยพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ฉัตรสร้างโดยคณะศิษย์ท่านพ่อลี เป็นสถานที่ท่านพ่อลีเคยมาบำเพ็ญเพียรภาวนาได้พบความอัศจรรย์มากมาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ..จะตายก็ไปคนเดียว จะเกิดก็มาคนเดียว จะอยู่ก็ทุกข์คนเดียว

    ความสัมพันธ์ของคนและสัตว์บนโลกใบนี้ ก็แค่เพียงได้เกิดมาพบปะเกี่ยวข้องกันชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง

    ..ผู้ที่โศกสลดสลัดใจจากความเศร้าเพราะการตายไม่ได้

    เขาย่อมประสบความทุกข์หนักยิ่งขึ้นอีก

    ที่กล่าวถึงเรื่องความตายอันสาธยายมาแล้ว พระพุทธเจ้าสอนเรา ฟังดูเหมือนง่าย แต่ทำใจตามนั้นยาก แต่ท่านผู้ที่ทำใจได้อย่างนั้นก็มี..แต่มีน้อยนัก..

    ท่านพ่อลี ท่านเคยกลัวต่อความตาย.. แต่ต่อมาท่านเอาชนะได้จึงไม่กลัว มีเรื่องของท่านที่จะเล่าให้ฟัง..

    สมัยที่ท่านอยู่วัดสระปทุม กรุงเทพฯ ราวปี ๒๔๗๑-๒๔๗๓

    ...เมื่อย่างเข้าฤดูแล้ง ด้วยอุปนิสัยที่ท่านชอบท่องเที่ยวอยู่ป่า จึงได้กราบลาพระอุปัชฌาย์เพื่อออกธุดงค์ไปยังจังหวัดอยุธยา สระบุรี ลพบุรี อำเภอตาคลี ภูเขาภูคา ล่วงเข้าเขตจังหวัดนครสวรรค์ ผ่านอำเภอท่าตะโก และบึงบอระเพ็ด

    ...ท่านพักอยู่ในเสนาสนะป่าห่างจากหมู่บ้าน ๒๐ เส้น วันนั้นช้างป่ากับช้างบ้านตัวตกมันต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่านยาวนานถึง ๓ วัน ๓ คืน ช้างป่าสู้ไม่ได้ถึงแก่ความตาย ช้างบ้านตัวตกมันก็ยิ่งเพิ่มความดุร้ายทวี พลุกพล่านอาละวาดหนักขึ้นได้วิ่งขับไล่ ใช้งาทิ่มแทงผู้คนซึ่งอยู่ในบริเวณป่าที่ท่านพักอยู่ ท่านขุนจบฯ เจ้าของช้างตกมันกับชาวบ้านซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นได้ตะโกนขอนิมนต์ให้ท่านหลบลี้หนีเข้าไปในหมู่บ้าน ท่านก็ไม่ยอมไป เพราะเชื่อในอำนาจแห่งเมตตาธรรม

    ..ช้างตกมันตัวดุร้ายนั้นได้วิ่งชูงวงยื่นงายาวอันขาวปลอดมุ่งตรงมายังที่ท่านพัก ยืนหูชัน ตีหูพึ่บ ๆ ๆ ร้องแปร๋นๆ ท่านเกิดความกลัวกระโดดวิ่งออกจากที่พักจะไปปีนต้นไม้ใหญ่ใกล้ ๆ ขณะกำลังเอามือเหนี่ยวปีนป่ายต้นไม้ ก็ได้ยินเสียงคล้ายเสียงคนมากระซิบที่ข้างหูว่า...

    “คนไม่จริง กลัวตาย คนกลัวตาย จะต้องตายอีก”

    เมื่อท่านได้ยินเลยงกระซิบเตือน จึงได้สติรีบเดินกลับไปยังที่พัก ประจันหน้ากับช้างซึ่งยืนจังก้า แผดเสียงร้องแปร๋นๆ ๆ ลั่นอยู่ใกล้ ๆ

    ท่านก้มตัวลงช้า ๆ นั่งสมาธิภาวนา แล้วค่อย ๆ ลืมตาเพ่ง.แผ่เมตตาให้แก่ช้าง

    ช้างจ้องมองท่าน...ท่านก็จ้องมองช้าง !

    สายตาแห่งความโกรธกับพลังแห่งความเมตตากรุณาอันบ่มบำเพ็ญมาช้านานซ่านปะทะกันอย่างจัง ช้างใหญ่หยุดชะงักเหมือนรถวิ่งชนภูเขาหิน
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ..เสียงชาวบ้านกรีดร้องดังลั่นวี๊ด ๆ อกสั่นขวัญหนี เสียงเซ็งแซ่ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยท่านได้ มีเพียงเสียงตะโกนร้องอยู่ไกล ๆ

    “ออกมา ออกมา ท่านรีบออกมา ไม่ออกมาแย่แน่”

    บ้างก็ว่า “น่าสงสารนะ..พระหนุ่มนี้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเหลือท่าน ”

    “ชีวิตยังมีค่า รีบออกมา อย่าเอาไปเสี่ยงเลย”

    ..ท่านนั่งแผ่เมตตาจิตไม่สนใจในคำวิงวอนขอร้องของใครๆ

    ..ไม่นานนัก ช้างตัวนั้น ตีหูพึ่บ ๆ ๆ โบกขึ้นลงเสียงพุ่บพั่บ ๆสลับกับเสียงร้องแปร๋นๆ

    ..ใจของช้างที่เร่าร้อนกระวนกระวายเพราะโมหะสงบเย็นลงเหมือนไฟน้อยกระทบสายน้ำเชี่ยวที่เยือกเย็น พลันวูบดับลง มันค่อย ๆ หมอบลง แสดงกิริยาแท่งการกราบ เหมือนตุ๊กตาช้างตัวน้อย ๆ ที่เด็กเล่น แสดงอาการสารภาพผิด ความมึนเมาและตกมันหายไปหมดสิ้นในพริบตา !

    จากนั้นมาก็ลุกหันหลังกลับ เดินเข้าป่าไป

    นี่แล..สังฆานุภาพ ของพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

    ท่านขุนจบฯ เจ้าของช้างและประชาชนเห็นเป็นอัศจรรย์

    พากันสักการบูชาท่านอย่างมากมาย แล้วพากันอ้อนวอนขอของดีจากท่าน ท่านตอบว่า..

    <TABLE id=table25 border=0 width=167 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    ภายในถ้ำเขาฉกรรจ์ อันเป็นสถานที่สำคัญที่ท่านพ่อลีมาบำเพ็ญภาวนา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    “..ญาติโยมทั้งหลาย..อาตมาขอบอกตามตรง ตั้งแต่เกิดมาอาตมายังไม่เคยมีพระแขวนคอสักองค์เดียว แล้วจะมีของดีอะไรมาแจกพวกญาติโยม อาตมามีแต่ความดีแจกจ่าย จะเอามั้ยจะฟังมั้ย?”

    “เอา ๆ ๆ” เสียงประสานของชาวบ้านตอบรับ

    ท่านจึงกล่าวสอนสั้น ๆ เพื่อเป็นการสั่งลาและตอบแทนบุญคุณข้าวน้ำที่เขาใส่บาตรให้ฉันว่า.....

    “ญาติโยมทั้งหลาย..ถ้าเราเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความดี ใครจะทำดีทำชั่วหรือประทุษร้ายให้แก่เรา เราก็แผ่เมตตาให้เขาร่มเย็นเป็นสุขมีจิตเป็นธรรม ตั้งจิตเป็นกลาง ทั้งเขาทั้งเราก็จะปลอดภัย

    ธรรม” นั้น เปรียบเหมือนน้ำฝนในอากาศ

    เมื่อตกลงมาย่อมชะล้างความสกปรกในพื้นแผ่นดินให้สะอาด
    ยังสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตให้สดชื่น
    ทั้งยังเป็นน้ำอุปโภคบริโภคแก่คนและสัตว์ แก้ความหิวกระหาย
    เป็นเครื่องทำความเย็นให้โลกได้บรรเทาความร้อน ฯลฯ

    เหตุนั้นคุณของธรรมะจึงยังคนให้สะอาดร่มเย็นเป็นสุข คือดับเพลิงกิเลสไม่ให้ลุกลาม เมื่อใครเขาจะทำให้เรารัก เกลียด โกรธ โลภ หลง เราก็ไม่เป็นไปตามเขา เราก็ย่อมมีอิสรภาพ ปลอดภัยจากอันตรายและจากกิเลสทั้งมวล อันนี้เป็นของสำคัญ”

    ขอให้ญาติโยมทั้งหลายทราบไว้อย่างถึงใจว่า

    ...สิ่งทั้งหลายที่มาในลักษณะของศัตรูนั้น ย่อมทำร้ายคนไม่ถนัด เราอาจหาวิธีหลบหลีกหรือต่อสู้ได้

    เหมือนช้างวิ่งเข้ามาถึงหน้า หวังทำร้ายห้ำหั่นอาตมา อาตมายังใช้สติปัญญาภาวนาตั้งสติสมาธิสู้ได้ทันการณ์

    ..แต่ถ้าเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้มันมาในลักษณะเพื่อนสนิทมิตรสหาย เป็นของน่ายินดีน่าปรารถนา มันมีโอกาสทำร้ายเราได้ง่ายและรุนแรง โดยที่เรายังมิทันได้ระวังตั้งตัว

    เหมือนช้างตกมันตัวนี้ ถ้ามันมาดี ๆ แกล้งมาคลอเคลียว่านอนสอนง่าย เวลาเราเผลอมันกระทืบเราตายเลย

    นี่เราจะป้องกันมันได้อย่างไร

    ธรรมะที่กล่าวสอนพวกโยมนี้เองเป็นสิ่งที่สร้างปาฏิหาริย์ให้อาตมารอดพ้นจากช้างตกมันตัวดุร้ายมาได้แบบหวุดหวิดเฉียดตาย..มิใช่อย่างอื่น..มิใช่เครื่องรางของขลัง...แต่เป็นหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า..ให้พากันจำเอา”

    เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ จากปากต่อปากชื่อเสียงของท่านก็โด่งดังแบบยังไม่ทันตั้งตัว... ยังไม่ทันข้ามคืน ความไม่สงบก็เกิดขึ้น ท่านจึงหนีกลับจังหวัดพระนคร

    นี่แลท่านทั้งหลาย.. ท่านผู้ไม่กลัวตายย่อมไม่ตาย ส่วนผู้ที่วิ่งหนีความตายทุกวี่วัน ได้ตายจากความดีไปแล้ว และตายแบบไม่มีวันฟื้นจากหลุมนรกได้ง่าย ความตายเป็นสิ่งที่พึงพิจารณาและน่าปรารถนา เพราะเป็นดอกไม้ของพระอริยเจ้าประทานมาเพื่อมิให้มวลมนุษย์หลงใหลมัวเมาในชีวิตและทรัพย์สินจนโงหัวไม่ขึ้น ฯ
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    โปรดเสือร้าย

    ธรรมะเป็นที่พึ่งของคนดีและเป็นที่พึ่งของ

    คนชั่วที่กำลังกลับตัวกลับใจเป็นคนดี
    คนที่ไม่เชื่อว่าทำชั่วได้ชั่ว เพราะเขายังไม่
    ประสบกับผลกรรมอันโหดร้ายที่ตนเองทำไว้
    คนที่เป็นนักเลงโต เป็นเสือร้าย เป็นโจร
    เป็นคนพาล คนเหล่านี้มีจิตใจเหี้ยมโหด
    ไม่ยอมก้มหัวให้ใครง่าย ๆ แต่ถ้าเขาเจอสิ่ง
    ที่เหนือกว่าเขา เขาก็ยอมนับถือบูชาได้

    <TABLE id=table26 border=0 width=167 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    ธรรมบทเรื่ององคุลีมาล ในภาพ องคุลีมาลวิ่งไล่ตามพระพุทธเจ้า ตอนมาโปรดเพื่อไม่ให้ฆ่าแม่ตัวเอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    อย่างเช่นโจรองคุลีมาล ยอมก้มหัวให้พระพุทธเจ้า และต่อมาได้กลายเป็นพระอรหันต์

    ..จากชีวิตที่ต่ำสุด..ก้าวขึ้นสู่ความสูงสุดได้ เพราะอาศัยหลักพระธรรมคำสอนเป็นประทีปส่องทางดำเนินชีวิต

    คำพูดที่ว่า

    “พระราชาเป็นพลังของคนอ่อนแอ
    การร้องไห้เป็นพลังของเด็กตัวเล็ก ๆ
    การนิ่งเงียบคิดไม่ออกเป็นพลังของคนโง่
    การพูดเท็จเป็นพลังของพวกโจร
    โจรลักขโมยได้แต่ทรัพย์ภายนอก

    แต่ทรัพย์ภายในคือ ศิลปวิทยา สติ สมาธิ ปัญญา เป็นต้นโจรลักเอาไปไม่ได้

    พระพุทธเจ้าท่านเทียบคนพาลว่า

    ..ไม่เป็นผู้พยายามจะลดละความชั่วนั้น เหมือนสัตว์ป่ามีเสือโคร่งเป็นต้น เมื่อมันวิ่งเลยไปแล้ว มีหรือที่มันจะพยายามหันกลับมาลบรอยที่เหยียบย่ำ

    ถึงจะเป็นโจรหรือคนพาลที่ว่าร้าย ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็ปราบปรามให้คนเหล่านั้นสยบมานักต่อนัก ท่านสามารถสอนคนที่คนอื่นสอนได้ยาก ไม่เพียงแต่สมัยพุทธกาลเท่านั้น

    ในปัจจุบันอันใกล้นี้ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ก็เป็นพุทธสาวกอีกรูปหนึ่ง ที่สามารถทำเช่นนั้นได้ ดังมีเรื่องเล่าดังนี้

    “ประมาณปี ๒๔๙๓ ท่านท่องเที่ยวธุดงค์ไปทางภาคใต้ ท่านพักอิริยาบถภาวนาเป็นที่สบายกายและจิต อยู่ที่บนเนินเขาสูงแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี

    ที่นั้นมีโจรสำคัญเที่ยวปล้นฆ่ามนุษย์ โจรผู้นี้มีฝ่ามือชุ่มด้วยโลหิต เป็นคนใจร้าย เหี้ยมโหดไม่ปรานีใคร เข้ารุกรานหมู่บ้านใด หมู่บ้านนั้นก็พังร้าง !

    ผู้คนพากันอพยพหลบหนีบ้าง ถูกฆ่าตายบ้าง ชาวบ้านพากันหวาดสะดุ้ง พ่อค้าที่ใช้ทางนั้นสัญจรไปมา ก็เว้นทางนั้นเสีย โดยขับรถไปทางอื่น

    <TABLE id=table27 border=0 width=167 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ท่านพ่อลีท่านเข้าไปพักอยู่ที่ถิ่นโจรนั้น แม้มีเสียงทัดทานจากผู้หวังดีอย่างไร ท่านก็ไม่สนใจ ดำเนินไปอย่างสงบตามสมณวิสัยปกติ จะโจรผู้ร้าย ไพร่หรือผู้ดี ท่านก็ไม่กลัวทั้งนั้น พระพุทธเจ้าไม่สอนให้กลัวหรือกล้าในสิ่งเหล่านี้ อันไหนไม่ผิดหลักพระธรรมวินัยก็ดำเนินไปตามนั้น ถ้ามัวแต่คิดเรื่องคนดีคนร้ายให้เป็นกังวลคงไม่ต้องไปไหน เพราะคนร้ายในคราบคนดีมีมากกว่า และร้ายกว่า

    “..แต่การจะก้าวเข้าไปในถิ่นอันตราย ต้องรู้จักประมาณตัว..อันนี้สำคัญ

    ..อย่างน้อยต้องมีฤทธิ์ทางใจ เป็นที่อบอุ่นใจในความปลอดภัย” ท่านพ่อลีท่านย้ำ

    ท่านพักที่เสนาสนะหลังน้อยบนเขาสูง..คืนวันนั้นได้มีชาย ๒ คน ชื่อ “พ่วง” และ “ผาด” เป็นพี่น้องกัน เขาเข้ามาสังเกตการณ์และสนทนา

    ในคืนอันมืดมิดนั้น มีเพียงแสงเทียนสาดส่อง

    ท่านผู้ทรงศีล และบุรุษสองคนผู้ไร้ศีล กำลังสนทนา โต้วาระกันอย่างขะมักเขม้น

    ท่านสามารถทายใจและรู้ทุกสิ่งที่เขาทั้ง ๒ คิดจะทำ

    เพียงเขานึกขึ้นเท่านั้น

    ท่านก็ตอบออกมาได้ทุกเรื่อง

    เขาเกิดความอัศจรรย์ใจ เชื่อเลื่อมใสขอกราบฝากตัวเป็นศิษย์

    และได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตอันโหดร้ายให้ท่านฟังเขาเล่าพร้อมทั้งน้ำตา น้ำตาแห่งโจร ใจที่แข็งกระด้างถูกหักลงด้วยธรรมดั่งหินหัก หักความชั่วเหลือแต่ความดี เขาเล่าว่า

    “ผมเคยเป็นเสือร้ายฆ่าคนตายมาหลายศพ ครั้งสุดท้ายได้ใช้มีดดาบบั่นคอยายแก่คนหนึ่งขาดตายคาที่ เพราะมีคนหลอกให้เข้าใจผิดว่า ยายแก่มีเงินซ่อนอยู่ใต้หมอน ๔,๐๐๐ ที่จริงแกจนมีเงินเพียง ๔๐ บาทเท่านั้น

    “แกมีเท่านั้นจริง ๆ” เสียงสั่นเครือของโจรร้ายกล่าวทั้งน้ำตา

    “ตั้งแต่นั้นมาผมก็คิดเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากแต่ก็เลิกไม่ได้ เพราะได้ขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงไม่ได้ ถ้าลงก็มีแต่ตายเท่านั้น

    ผมยังกลัวตายด้วยลูกปืนอยู่ ขอให้หลวงพ่อช่วยหาเครื่องป้องกันให้ด้วย” เขากล่าวแล้วก็กราบลงตรงหน้าท่านพ่อลี

    “ผมไม่เห็นที่พึ่งอื่นที่จะพึ่งได้ ท่านเป็นผู้วิเศษ ผมคิดอะไรมาท่านรู้หมด ผมเชื่อแล้วว่านรกสวรรค์มีจริง บาปบุญมีจริง ขอท่านเมตตาช่วยผมด้วยเถอะ”

    เขากล่าววิงวอนแล้วเล่าเหมือนเด็กน้อยที่กลัวต่อความตาย พยายามหาที่ซุกซ่อนตัวเข้าไปในอกแห่งมารดาบิดา

    “ถ้าโยมเว้นได้จริงละก็ อาตมาจะให้ของดี แต่โยมต้องปฏิญาณสาบานว่า จะเลิกแน่นอน” เขาทั้งสองกราบและสาบานตนเป็นพุทธมามกะตลอดชีวิต

    ท่านจึงเขียนคาถาให้ไว้ภาวนาประจำตัว แล้วกล่าวสอนด้วยความเมตตาว่า

    “...ผู้เบียดเบียนผู้อื่น คือผู้เบียดเบียนตนเอง ผู้สงเคราะห์ผู้อื่น คือผู้สงเคราะห์ตนเอง

    ..ความเมตตากรุณาที่มนุษย์มีต่อกันมีเดชานุภาพยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ

    ..ผู้ที่ฆ่า ผู้ชนะ ผู้ด่า ผู้ประทุษร้ายเขา ย่อมได้ ผู้ฆ่า ผู้ชนะ ผู้ด่า และผู้ประทุษร้ายตอบ

    ..โยมทั้งสอง..ต่อไปนี้จงอย่าทำการใด ๆ อย่าคิดสั้น และอย่าสร้างความพินาศย่อยยับแก่ตนและคนอื่น เพราะนั่นคือการปลูกศัตรูเหมือนเงากรรมอันชั่วร้ายติดตามตัวไปทุกภพทุกชาติ”

    เขาทั้งสองนั่งฟังนิ่ง..มีน้ำตาไหลพรากจากขอบตาอาบแก้มซึ่งตอบบางหยาบกร้านเพราะตรากตรำ เขาซาบซึ้งในสายธารแห่งความกรุณาที่ท่านมีต่อตน

    “..ตั้งแต่เกิดมาก็มีเพียงครั้งนี้ที่ได้ฟังสิ่งที่ดี” เขาพูดพร้อมร้องไห้ฟูมฟาย อย่างน่าสงสาร..แล้วเขาก็กราบลาท่านกลับไป

    พอวันรุ่งขึ้นนายพ่วงก็ได้กลับมาหาอีก ท่าทีตื่นตกใจพูดว่า

    “เวลานี้นายผาด น้องชายของผมที่มาเมื่อวานนี้ กับพรรคพวกอีก ๙ คนกำลังยิงต่อสู้กับตำรวจอย่างดุเดือด บางคนได้ถูกตำรวจจับตัวได้ แต่น้องชายผมยังไม่ถูกจับ ผมกลัวว่าเรื่องนี้จะบานปลายเกี่ยวพันมาถึงตัวผมด้วย หลวงพ่อจะให้ผมทำอย่างไรดี”

    “โยมรีบกลับไปแจ้งความที่สถานีตำรวจโดยด่วน แล้วให้นำกำลังเจ้าหน้าที่ออกติดตามนายผาด ส่วนเราจะช่วยทางใน (สมาธิ)” พูดแล้วท่านก็ตั้งจิตแผ่เมตตาภาวนา

    เป็นที่น่าอัศจรรย์! โจรทุกคนปลอดภัยจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ที่ระดมยิงยังกับห่าฝน พวกเขายอมเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตามที่ท่านสั่ง

    ในที่สุดเมื่อคดีถึงศาล ศาลตัดสินให้จำคุก แต่เพราะสารภาพศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ได้ประกันตัวออกมา ผู้คนทั้งหลายที่ได้ทราบข่าวเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้พากันมาสักการบูชาท่านพ่อลีเป็นอันมาก โจรทุกคนกลับใจและปลอดภัยมีชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา (เสียดายถ้าท่านพ่อลียังอยู่คงไปช่วยปราบโจรใต้ได้)

    นี่แหละ..สังฆานุภาพของท่านพ่อลี พระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

    ท่านทั้งหลาย...คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า พระพุทธศาสนานั้นเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกได้มากเพียงไร ยังความร่มเย็นมาสู่คน ชาติบ้านเมือง แม้กระทั่งพวกโจรที่ว่าร้าย ๆ ก็กลายมาเป็นคนดีนี้คือเสี้ยวแห่งส่วนในเรื่องทั้งหลายเท่านั้น ทราบว่าท่านพ่อลีได้ปราบโจรด้วยคุณธรรมหลายอีกหลายครั้ง

    เช่นที่เขาฉกรรจ์ จังหวัดปราจีนบุรี เขาสีเสียดอ้า กลางดงปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ด้วยความเก่งกล้าและพลังจิตสูงสามารถสยบผู้ร้ายให้หมอบกราบได้เป็นที่น่าอัศจรรย์

    ทำให้บุคคลสำคัญ ๆ ในบ้านเมืองที่เก่งเรื่องวิชาอาคมมายอมตนถวายตัวเป็นศิษย์ท่านเป็นจำนวนมากเช่น ขุนประเสริฐสุมาตรา พระยาฤทธิ์อาคเนย์ เป็นต้น

    ในเรื่องนี้ขอกล่าวถึงเรื่องท่านไปปราบโจรที่เขาสีเสียดอ้า จังหวัดนครราชสีมาเป็นตัวอย่าง

    .....จากป่าที่ร้อนเป็นไฟ เป็นที่ซ่องสุมกำลังของผู้ก่อการร้ายท่านพ่อลีได้เข้าไปอาศัยอยู่บนถ้ำเล็ก ๆ บนหน้าผา พากเพียรภาวนา

    เหล่าคนร้ายคิดว่าท่านเป็นสายทางราชการปลอมตัวมาในคราบพระ จึงพยายามหาทางฆ่าท่านด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นยิงด้วยปืน วางยาพิษ สิ่งที่เขาพยายามทำขึ้น ก็ไม่สามารถทำอันตรายให้แก่ชีวิตท่านได้ พวกโจรผู้ร้ายเหล่านั้นจึงศรัทธาท่านเป็นยิ่งนัก และยอมกลับตัวกลับใจวางอาวุธ.. จากมือที่เปื้อนเลือดได้กลายเป็นมือที่นบไหว้พระรัตนตรัย จากป่าอันแสนจะน่ากลัวไม่มีผู้คนกล้าสัญจรไปมา..ได้กลายเป็นวัดวาอารามที่ร่มเย็นเป็นสุขคือวัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม ตราบเท่าทุกวันนี้..

    <TABLE id=table28 border=0 width=167 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พระพุทธสกลสีมามงคล (หลวงพ่อขาว) วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม จังหวัดนครราชสีมา ประดิษฐาน ณ “เทือกเขาสีเสียดอ้า” ที่ท่านพ่อลีเคยมาธุดงค์ปฏิบัติธรรม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ..ถ้าเรานั่งรถผ่านอำเภอปากช่อง ตำบลกลางดง จังหวัดนครราชสีมา จะเห็น หลวงพ่อขาวพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก มีป่าเขียวขจีเป็นฉากหลัง นั่นแหละผลงานของท่านพ่อลี ท่านสั่งให้นายทหารคนหนึ่งชื่อพงษ์ ปุณณกันต์ ในคราวที่ดำรงยศนายร้อยว่า “สถานที่แห่งนี้เป็นมงคล ต่อไปเธอได้เป็นใหญ่ให้เธอมาสร้างพระใหญ่หน้าตักกว้าง ๒๗ เมตร สูง ๔๕ เมตร”

    ต่อจากนั้นมา นายทหารยศเล็ก ๆ ได้กลายเป็นพลเอกและเป็นรัฐมนตรีในหลายกระทรวง เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในวงศ์สังคมสืบมาจนถึงปัจจุบัน

    ในเรื่องนี้พลเอกพงษ์ได้เปิดใจเล่าให้พระอาจารย์บุญกู้ อนุวฑฺฒโน ฟังว่า “ตอนที่ท่านพ่อลีพูดไม่ได้เชื่อเลยว่า จะสามารถมาสร้างพระใหญ่ที่สุดในโลก และสร้างวัดเทพพิทักษ์ปุณณารามได้ท่านพ่อลีท่านรู้ด้วยญาณจริง เรื่องอื่นยังมีอีกเราคิดอะไรไปจากบ้าน เมื่อไปถึงท่าน เรายังไม่ทันถาม ท่านตอบให้เสร็จ

    ..ผมเป็นคนเชื่อยาก เลื่อมใสพระยาก แต่สำหรับท่านพ่อลีผมยอม..ยอมหมอบแบบที่ไม่มีข้อโต้แย้ง

    สาธุ...ผู้รู้แจ้งเห็นจริงยังมีอยู่ในโลกปัจจุบัน” ฯ
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    รู้วันตาย..ทำไมต้องตาย

    คนทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในโลก ส่วนมากล้วน
    ตายไปกับความมืดบอด ตอนยังมีชีวิตก็หลง
    มัวเมาสนุกสนานเพลิดเพลินในการอยู่การกิน
    หัวเราะร้องไห้กันไป ตามแต่ใจจะประสบสุข
    ทุกข์ รักและชัง ปล่อยตัวปล่อยใจให้ชีวิต
    เดินไปตามยถากรรม โดยไม่สนใจที่จะคิด
    สร้างกรรมดีขึ้นด้วยจิตใจและเรี่ยวแรงตาม
    กำลังสติปัญญาที่มี ปล่อยให้วันคืนล่วงไป
    เหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ที่เขาเลี้ยงอย่างอ้วนพี
    แล้วก็นำไปสู่โรงฆ่า...ช่างน่าเวทนาเลยจริงๆ !

    แล้วก็สรุปเอาเองว่า “เป็นเพราะโชคชะตา เป็นเพราะพรหมลิขิต ”

    ที่จริงเป็นเพราะการกระทำของตนนั้นเอง !

    <TABLE id=table29 border=0 width=150 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    หลวงปู่ผั่น ปาเรสโก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    โคที่ถูกเขานำไปสู่โรงฆ่าไม่ใช่เป็นเพราะความที่เกิดมาเป็นโคแต่เป็นเพราะจิตดวงนี้ไม่ได้สร้างคุณงามดีไว้ในชาติปางก่อนเมื่อความดีน้อยจึงมาเกิดเป็นโค เป็นหมู หรือเป็นสัตว์อื่นๆ ในภพภูมิอื่นๆ ที่ตกต่ำ ถ้าความดีมากก็เกิดเป็นมนุษย์ เทวดาพรหม ความดีมากสุดได้ถึงวิมุตติพระนิพพานเป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบัน

    ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายจึงเวียนว่ายในห้วงน้ำคือการเทียวเกิดเทียวตายไม่มีที่สิ้นสุด

    ..เหมือนดวงอาทิตย์ ใครจะอ้อนวอนขอร้องให้คงอยู่กับที่ ย่อมเป็นไปไม่ได้

    ..เหมือนคนคร่ำครวญร้องไห้อ้อนวอนพระอาทิตย์ว่าอย่าอัสดงเลย..ผู้ร่ำไห้จักต้องมีน้ำตาเจิ่งนองเป็นสายเลือดและตายไปเปล่า ๆ

    ..ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน. ไม่มีใครหยุดยั้งการตายได้

    พระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกเท่านั้นที่สามารถหยุดการเกิดตายได้
    ความตายสำหรับท่านเป็นทางแห่งแสงสว่าง เพราะท่านตายอย่างสมประสงค์ ไปสู่แดนอันเกษมคือพระนิพพาน

    นอกจากนี้ท่านยังสามารถรู้วันเกิดตาย เรื่องในอดีตชาติของท่านเองและคนอื่น

    ความตายกับท่านเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากและซับซ้อนเลย

    แต่สำหรับปุถุชนคนหนาปัญญาหยาบแล้ว ชีวิตหลังความตายเป็นชีวิตที่ลี้ลับ ยากที่ใคร ๆ จะสามารถไขปริศนาในมุมืดนี้ได้

    พอพูดถึงความตายต้องบอกให้หยุด! หยุด! อย่าได้พูดไม่อยากฟัง ฟังแล้วมันไม่สบายใจ ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย

    พระพุทธเจ้าตั้งแต่วันที่พระองค์ตรัสรู้มา ก็ทรงทราบแล้วว่าจะปรินิพพานในวันไหน แต่พระองค์เลือกที่จะบอกก่อนตาย๓ เดือน แก่พระอานนท์ว่า “อานนท์อีก ๓ เดือนเราตถาคตจักปรินิพพาน ”

    แม้พระอรหันต์รูปอื่นๆ ท่านก็สามารถรู้วันตายล่วงหน้าได้เช่นกัน

    สมัยปัจจุบันท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ก็ได้บอกล่วงหน้าแก่หลังตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโนว่า “อายุ ๘๐ ปี จะนิพพาน”

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เขียนใส่สมุดบันทึกว่า “๗๘ ปี อายุจะต้องสิ้นสุด”

    หลวงปู่ผั่น ปาเรสโก บอกวันตายล่วงหน้าได้ถึง ๒ ปี
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE id=table30 border=0 width=150 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เขียนใส่สมุดบันทึกว่า “๗๘ ปี อายุจะต้องสิ้นสุด”
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    แม้ท่านพระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ พระอาจารย์วัน อุตฺตโม พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโรก่อนจะรับนิมนต์แล้วประสบอุปัทวเหตุเครื่องบินตกมรณภาพที่ทุ่งรังสิต จังหวัดปทุมธานี ก็ได้บอกเป็นนัยแก่สานุศิษย์ว่า “การเดินทางไปคราวนี้จะไม่ได้กลับมา”

    สำหรับท่านพ่อลี ธมฺมธโร มีบทสนทนาเป็นเรื่องราว การบอกวันเวลาตายล่วงหน้าเป็นอย่างดี ผู้เขียนขอนำมาเล่าย่อ ๆ พอให้เข้าใจเลา ๆ

    ....กลางคืนวันหนึ่ง หลังงานฉลองกึ่งพุทธกาลจบลง... ณ กุฎีปุณณสถาน ที่วัดอโศการาม ท่านพ่อลียังร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า ท่านได้ปรารภกับพระอาจารย์แดง ธมฺมรกฺขิโตซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ เรื่องอายุขัยคือการสิ้นสุดแห่งชีวิตว่า

    “ท่านแดง...อายุ ๕๕ ปี ผมต้องตาย ชีวิตถึงคราวสิ้นสุด ให้ท่านอยู่ช่วยดูแลหมู่คณะที่วัดอโศฯ เมื่อผมตายไปแล้ว ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งพาอาศัยของหมู่เพื่อน”

    การกล่าวในครั้งนี้ ท่านกล่าวก่อนมรณภาพเป็นเวลาหลายปี

    จนกระทั่งมาถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ท่านพ่อลีได้ไปนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลพระปิ่นเกล้า ธนบุรี ท่านเรียกพระอาจารย์แดงมาหาแล้วกล่าวย้ำว่า

    “เราอายุ ๕๕ จะลาตายแล้ว”

    “ตายยังไงครับ... ท่านพ่อ”

    “ก็ตายขาดลมหายใจ นะสิถามได้ ก็เราเคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือ ”

    “ผมลืมไปแล้ว แต่เมื่อท่านพ่อทักขึ้นผมก็จำได้ ทำไมท่านพ่อจะต้องตายด้วย ไม่ตายไม่ได้หรือ? ”

    “เราได้รับนิมนต์เขาแล้ว..เสียดายที่จะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้นานเกิดมาได้มีโอกาสช่วยพระศาสนาน้อยเหลือเกิน คิดแล้วก็ยังไม่อยากตายเลย..เพราะเห็นแก่ประโยชน์คนอื่น..ส่วนเราเองไม่ได้มีปัญหาในการเกิดการตาย”

    “รับนิมนต์ใคร”

    <TABLE id=table31 border=0 width=150 align=right><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    ท่านพ่อลี ธมฺมธโร หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านเจ้าคุณแดง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    “รับนิมนต์เทวดา เขาอาราธนา”

    “เขาอาราธนาไปทำไม”

    “เขาอาราธนาไปสอนมนต์ให้”

    “ไปสอนมนต์อะไรครับ ช่วยสอนให้ผมด้วย”

    “มนต์ก็ไม่มีอะไรมาก พรหมวิหาร ๔ ของเรานี้แหละ แต่คนอื่นสอนมันไม่ขลัง ต้องให้เราสอนมันถึงขลัง เขาบอกอย่างนี้

    “ผมขออาราธนาท่านพ่อไว้ อย่าเพิ่งตายเลย”

    “เราได้ตกลงรับอาราธนาเขาแล้ว อยู่ไม่ได้”

    “ท่านพ่อครับ ไม่มีวิธีอื่นบ้างเลยหรือ ที่จะสามารถต่ออายุไปได้อีก”

    ท่านพ่อลีเล่าถึงรอยต่อแห่งชีวิตอันมีความเป็นความตายเป็นเครื่องเดิมพันว่า...

    “วิธีนั้นมี แต่เรื่องมันผ่านเป็นอดีตไปแล้ว เราจะหวนกลับมาเป็นอย่างเดิมไม่ได้ หลักธรรมหลักความจริงท่านใช้ปัจจุบันเป็นเครื่องตัดสิน

    พวกเธอจำได้ไหม?..ในสมัยประชุมคณะกรรมการจะสร้างเจดีย์ และโบสถ์ เราปรารภให้สร้างพระเจดีย์เสียก่อน แต่ไม่มีลูกศิษย์คนใดกล้ารับงานนี้

    บางคนเขาคิดเอาเองว่า ถ้าสร้างเสร็จแล้วเราจะหนีเข้าป่าบ้าง ตายบ้าง (เพราะท่านไม่ได้บอกพวกเขาถึงเหตุว่าการสร้างพระเจดีย์จะต่ออายุท่านได้)

    กรรมการที่ประชุมมีความเห็นว่า สร้างโบสถ์ก่อน ก็เป็นอันตกลง ซึ่งเขาไม้รู้จักจุดลึกในชีวิตของเรา การที่จะมาแก้ไขสิ่งที่ล่วงเลยมา มันก็สายเสียแล้ว”

    แล้วท่านพ่อลีกล่าวย้ำว่า “...ก็พวกเธอเกาไม่ตรงที่คัน ต่อให้มีโบสถ์ตั้ง ๒๐ หลัง ก็ไม่เท่ากับสร้างพระเจดีย์เพียงหนึ่งองค์..ท่านเอ๊ย!

    เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมดหวังในชีวิตของท่านพ่ออีกต่อไป

    พระอาจารย์แดงจึงเรียนท่านว่า “เมื่อตายไปแล้ว ก็ขอให้ท่านพ่อมาช่วยเหลือวัดอโศการาม”

    ท่านพ่อลีก็หัวเราะ ฮึ ๆ ตอบว่า “เราก็เป็นห่วงเหมือนกัน คิดว่าจะคายอะไรไว้ให้เขากินกัน แต่ชีวิตก็จวนเสียแล้ว ก็ให้พวกยังอยู่หากินกันไป ถ้าไม่มีปัญญาก็ช่างมัน”

    และได้เรียนถามท่านอีกว่า “ท่านพ่อมีคาถาอะไรดี ๆ ก็สอนให้ผมด้วย”
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ท่านพ่อลีตอบว่า “คาถานั้นมีอยู่ แต่สู้ใจเราไม่ได้ ให้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จคุณธรรม เมื่อเราทำความเพียรอย่างสูงสุดเสียสละชีวิตแล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคน

    นี้เป็นเพียงบทสนทนาสั้น ๆ (ฉบับเต็มจะตีพิมพ์ในหนังสืองานฉลองพระธุตังคเจดีย์) แต่เต็มไปด้วยความหมายแห่งผู้ปฎิบัติธรรมได้เต็มขั้นเต็มภูมิ

    <TABLE id=table32 border=0 width=150 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    สรีรร่างท่านพ่อลีที่มรณภาพอย่างสงบ เมื่อ ๒๖ เมษายน ๒๕๐๔
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ชีวิตพระอริยเจ้าจึงเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ

    ท่านไม่ได้นอนรอความตาย
    ท่านทราบเรื่องความตาย
    ตายแล้วไปไหน หลังจากตายจะไปทำอะไรได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน

    และคำว่า “พระนิพพาน” เป็นอย่างไร สุขสบายดีไหม ท่านรู้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ต้องคิดหาคำตอบมาถกเถียงให้เมื่อยกราม

    เพราะพระนิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ท่านประสบพบเห็นเองอยู่

    ท่านมีชีวิตอยู่ก็เป็น “สอุปาทิเสสนิพพาน

    ตายไปก็เป็น “อนุปาทิเสสนิพพาน

    พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “พระนิพพาน อันผู้บรรลุเห็นได้เองไม่ขึ้นกับกาล แต่เป็นของรู้ได้เฉพาะตน”

    “..ผู้บรรลุพระนิพพาน..จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่เดือดร้อน ถึงจะตายก็ไม่เศร้าโศก..เพราะมองเห็นที่หมายข้างหน้าแล้ว

    ...ความตายเรา (ตถาคต) ก็มิได้ชื่นชอบ ชีวิตเราก็มิได้ติดใจ เราจักทอดทิ้งร่างกายนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ มีสติมั่น..เรารอท่าเวลาตาย เหมือนคนรับจ้างทำงานเสร็จแล้ว รอรับค่าจ้าง...(เสร็จกิจพรหมจรรย์..รอตายไปอนุปาทิเสสนิพพาน)

    ในเรื่องบางอย่างพวกเราผู้เป็นปุถุชนไม่รู้ แต่จะไปอวดเก่งกว่าท่านผู้รู้จริงไม่ได้ อย่างเรื่องท่านพ่อลี ถ้าบรรดาศิษย์เชื่อฟังท่านเสียหน่อย ท่านก็ยังจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังอย่างนี้

    ในเรื่องแบบนี้มีหลักฐานยืนยันได้ ในสมัยพุทธกาล ก่อนพระพุทธเจ้าจะทรงปลงพระชนมายุสังขาร..แล้วปรินิพพาน ถ้าเพียงพระอานนท์อาราธนานิมนต์ให้พระองค์ดำรงพระชนม์อยู่โปรดเวไนยสัตว์ต่อไป พระพุทธองค์จะทรงห้ามเสียสองครั้งครั้งที่สามพระองค์จะทรงรับอาราธนานิมนต์..และทรงอยู่ต่อไปได้อีกถึง ๑๒๐ ปี...เพราะทรงบำเพ็ญอิทธิบาทภาวนามาเป็นอย่างดี

    ในสมัยปัจจุบันผู้เขียนขอยกตัวอย่าง ในปี ๒๕๔๐ หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ท่านป่วยหนัก ผลที่หมอตรวจที่วัดป่าบ้านตาด ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น ที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ

    เป็นที่แน่นอนว่าท่านป่วยเป็น “โรคมะเร็งลำไส้” ขั้นสุดท้าย

    หมอบอกว่า ท่านจะต้องตายก่อนเข้าพรรษาปีนั้นอย่างแน่นอน

    ท่านได้นิมิตภาวนาในเรื่องนี้ก่อนแล้ว

    แล้วต่อมาในปีเดียวกัน มีคนนิมนต์ให้ท่านอยู่ช่วยชาติบ้านเมือง

    ท่านจึงประกาศตั้งโครงการช่วยชาติ..

    โรคได้หายเป็นปลิดทิ้งเพราะอานิสงส์นั้นเท่าทุกวันนี้

    แล้วท่านได้ยาดีอะไรมารักษา?

    ก็ตอบได้ว่า เป็นยาวิเศษที่เทวดานำมาถวายโดยบันดาลผ่านทางมนุษย์เป็นผู้ประกอบ

    ยาเทวดาเป็นยาแบบไหนหนอ?

    ผู้เขียนขอไขปริศนา..ที่หลวงตาได้เล่าเฉพาะที่โรงน้ำร้อนวัดป่าบ้านตาดต้นปี ๒๕๕๐ นี้เอง

    คือตามปกติท่านจะไม่เล่าเรื่องลึกลับลี้เร้นเหล่านี้ เพราะท่านว่า เป็นปัจจัตตัง รู้เห็นเฉพาะตน การนำออกมาเผยแผ่บางคนอาจไม่เข้าใจ เกิดการตำหนิลบหลู่เป็นการก่อกรรมแก่เขาได้

    ท่านเล่าว่า คราวหนึ่งท่านอยู่ในป่าลึกเพียงรูปเดียว เร่งความเพียรภาวนาอดอาหารเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายซูบซีดผอมเหลืองเรี่ยวแรงหดหายเหลือแต่ใจอันดวงเด่นมีพลังมหาศาลข้างในหมุนไปด้วยธรรมจักรตลอดวันคืน แต่พลังกายเหนื่อยล้าเต็มที

    ขณะที่ท่านเดินจงกรมพิจารณาธรรมบางประการในยามค่ำคืน เทพธิดาตนหนึ่งได้ปรากฏกายเข้ามานั่งกราบไหว้ข้างบริเวณทางจงกรม เฝ้ารักษาอยู่โดยตลอดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

    แล้วนางเทพธิดาจึงกราบเรียนท่านว่า

    “..เขาเคยเป็นแม่ของท่านในอดีตชาติ เกี่ยวข้องกันมานาน

    บัดนี้ได้มาเจอกัน ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นท่านซูบผอมซีดเซียวก็อยากมาช่วยเหลือด้วยการถวายอาหารทิพย์อันจะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสดชื่นขึ้น ขอให้ท่านเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าในอดีตชาติที่เคยเป็นแม่เป็นลูกโปรดเมตตารับอาหารทิพย์เถิด”

    หลวงตาท่านตอบว่า “...เวลานี้เป็นเวลาวิกาลโภชน์ (เลยเที่ยง) รับภัตตาหารไม่ได้”

    “อาหารนี้ไม่มีสี ไม่มีรส เป็นอาหารพิเศษ ไม่ต้องกินด้วยปากเพียงไล้ไปตามร่างกาย การไล้นั้นก็ไม่ต้องถูกเนื้อต้องตัว..ก็ถือว่าได้ดื่มด่ำรสของทิพย์แล้ว” นางเทพธิดากล่าวสาธยาย

    “แม้ถึงกระนั้นก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเจตนานั้นแหละเป็นตัวกรรมคือการกระทำ...

    ..แม้เป็นอาหารทิพย์ ก็ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถึงไม่มีใครเห็น เราก็รู้อยู่แก่ใจ ใจนี่แหละเป็นตัวพาสร้างเวรสร้างกรรมมิใช่อวัยวะอื่นใด”

    เมื่อหลวงตาท่านพูดจบ ก็ก้าวเดินจงกรมต่อไป ท่ามกลางความเงียบในไพรสณฑ์ นางเทพธิดาก็นั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมเคลื่อนร่างที่เบาเหมือนปุยนุ่นไปไหน เพ่งมองท่านด้วยความห่วงใยและภูมิใจที่มีพระลูกชายเป็นพระอริยสงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อความพ้นทุกข์

    แล้วนางจึงกราบเรียนท่านว่า “พรุ่งนี้เช้าจะนำอาหารทิพย์มาถวายใหม่ ”

    พอรุ่งเช้านางเทพธิดาได้มานั่งรออยู่หน้ากุฏิหลังน้อยมุงด้วยหญ้า กิริยาแช่มช้อยงดงาม หาสตรีใดในโลกเหมือนหรือเพียงเทียบเทียมมิมีได้

    สตรีที่เขาว่าสวยที่สุดในโลก เป็นนางงามจักรวาล เมื่อเทียบกับนางเทพธิดาแล้วก็เหมือนลิงโก๊กตัวหนึ่งเท่านั้น..

    น่าขำจริง ๆ โลกมนุษย์เอย..

    เมื่อพระหลวงตาเห็นดังนั้นจึงถามนางว่า..การที่เธอมานั่งอยู่หน้ากุฏิเราตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ใครมาเห็นเข้า เดี๋ยวจะเข้าใจผิดเอาได้ว่าพระอยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง ข้อครหาต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นได้

    นางตอบว่า “ท่าน..ไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น ไม่มีใครสามารถเห็นฉันได้..นอกจากท่านเท่านั้น นี่เป็นเทพเนรมิตเพื่อมาถวายอาหารทิพย์แก่ท่านได้ง่ายขึ้นเท่านั้น”

    “ถวาย ก็ถวายมาสิ..” หลวงตาตวาดนางเทพธิดาหน่อย ๆ

    นางจึงบอกให้ท่านนั่งนิ่ง ๆ ครู่หนึ่ง การถวายอาหารทิพย์ก็เป็นอันเริ่มขึ้นและจบลง

    ร่างกายของท่านกระปรี้กระเปร่าอย่างเห็นได้ชัด
    เหมือนปลาขาดน้ำแล้วพลันได้น้ำ
    เหมือนคนหิวกระหายมานานวัน พลันมาเจอบ่อน้ำอันใสสะอาด
    ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณที่ซีดเซียวกลับผุดผ่อง หายเมื่อยหายหิว
    ปฏิบัติภาวนาต่อไปได้อีกหลายวันโดยไม่ต้องมีอาหารตกท้อง..อยู่เย็นสบายคลายความทุกข์กังวล
    นี่คืออาหารเทวดา ยาเทวดาก็คงทำนองนี้เหมือนกัน

    เพราะนั้นเป็นของวิเศษ.. ที่มนุษย์ผู้ศีลน้อย ธรรมน้อยจะไม่มีวันได้พบพานเป็นอันขาด..เว้นแต่ในนิทานหลอกเด็กเท่านั้น!!

    ท่านพ่อลีเองก็เคยรับอาหารบิณฑบาตจากเทวดาที่ดอยขะม้อ จังหวัดลำพูน ท่านผู้สนใจโปรดติดตามจากหนังสือเล่มใหญ่ในวาระฉลองพระธุตังคเจดีย์ ที่วัดอโศการาม ก็แล้วกัน

    นี่แหละท่านทั้งหลาย! พระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกเป็นที่อัศจรรย์อย่างหาที่สุดมิได้ ท่านเป็นผู้นำจิตวิญญาณและชีวิตจิตใจของเราผู้ศรัทธาทั้งหลาย

    เหมือนโคจ่าฝูงที่นำพวกเราผู้พยายามเพื่อธรรมเป็นเครื่องพ้นทุกข์ ว่ายตัดกระแสน้ำคือกิเลสอันเชี่ยวกราก อันเป็นห้วงน้ำใหญ่มีอันตรายมาก ข้ามขึ้นถึงฝั่งอันราบเรียบเป็นภูมิภาคน่ารื่นรมย์ เกษมสำราญไม่มีเวรภัยถึงเมือง “อุดมบุรี” (อุดมธรรม) และ “นิพพานนคร” โดยปลอดภัย ฯ

    <TABLE id=table33 border=0 width=150><TBODY><TR><TD rowSpan=2>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>
    ๑ ท่านพ่อลีจัดงานฉลองพระบรมสารีริกธาตุที่วัดบรมนิวาส
    ๒. พระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมาเอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    สอนพระสมเด็จฯ

    เรื่องของธรรมเป็นหลักธรรมชาติที่เป็นกลาง
    ตัวธรรมะเองไม่มีเพศไม่มีวัย เป็นหลัก
    ธรรมชาติที่มีอยู่โดยทั่ว แล้วแต่ใครจะสามารถ
    ไขว่คว้าเอามาได้ การปฏิบัติธรรมจึงเป็นวิชา
    ที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก
    เพราะต้องทำเอง ใครทำแทนใครไม่ได้

    การที่บุคคลคิดที่จะเผยแผ่ศาสนานั้น
    เป็นสิ่งที่ดี แต่ที่ถูก! ต้องควรเผยแผ่ในใจ
    ตนก่อน เพราะจุดศูนย์กลางแห่งการปฏิบัติ
    มิใช่อยู่ที่พระพุทธเจ้า หรือครูบาอาจารย์
    เพียงอย่างเดียว หากอยู่ที่ตัวผู้ปฏิบัติเอง

    <TABLE id=table34 border=0 width=150 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน)
    วัดบรมนิวาส ปทุมวัน กรุงเทพฯ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    พระพุทธเจ้าจัดสรรธรรมเพื่อเทวดา มนุษย์ แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานไว้อย่างลงตัวเหมาะสม “ธรรมจึงไม่มีวัย ใจจึงไม่มีกาล เป็นสภาพที่ทรงตัวอยู่ เป็นธรรมฐีติ” ผู้รู้ทั่วถึงธรรมคือพระนิพพาน จึงอยู่เหนือไตรภูมิ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่หวนกลับมาเป็นทาสของกิเลสตัณหาได้อีก

    ในสมัยพุทธกาลสามเณรน้อยอายุ ๗ ขวบสามารถบรรลุธรรมขั้นสูงได้ เด็กหญิงตัวน้อย ๆ อายุ ๗ ปีสามารถบรรลุธรรมได้เป็นที่น่าอัศจรรย์!

    พระธรรมคำสอนจึงเป็นเรื่องของการศึกษาและต้องปฏิบัติเพียงศึกษาแล้วจำมาคุยโม้เฉย ๆ ยังใช้ไม่ได้ ต้องประพฤติปฏิบัติเต็มรูปแบบจึงจะปรากฏผลพิเศษ..วิเศษ..ขึ้นมา พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้หลงใหลในตำรามากจนเกินไป มัวแต่ศึกษาแต่ไม่ปฏิบัติยังไม่ถูกต้อง ดังคำภาษิตที่ว่า

    ...ตำราช่วยให้คนหายโง่ไม่ได้ แต่กลับให้คนชั่วมัวเมายิ่งขึ้น ดุจดั่งไฟส่องสว่างให้แก่คนตาดี แต่กลับทำให้ตานกเค้าแมวมืดมน...นกเค้าแมวมันไม่ชอบแสงสว่าง..

    พระพุทธองค์ทรงตรัสเปรียบเทียบถึงเป้าหมายของผู้ปฏิบัติธรรมะ ว่า

    “..ป่าเปลี่ยวเป็นที่ไปของฝูงเนื้อ
    กลางหาวเป็นที่ไปของฝูงนก
    การสิ้นความกำหนัดเป็นเป้าหมายของธรรมะ
    พระนิพพานเป็นที่ไปของพระอรหันต์..”

    ดังนั้นผู้ที่จะได้ดื่มด่ำรสพระสัทธรรมต้องเป็นผู้ได้ออกสนามรบกับกิเลส อย่างน้อยต้องเคยได้อยู่อาศัยตามถ้ำตามป่าออกเที่ยวภาวนาแสวงหาที่วิเวก เราจะเห็นตัวอย่างสมัยพุทธกาลพระโปฐิละ ท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่แตกฉานในพระไตรปิฏกและอรรถกถามายาวนานในศาสนาของพระพุทธเจ้าถึง ๗ พระองค์ท่านสอนลูกศิษย์จนเป็นพระอรหันต์มามาก แต่ท่านก็ยังเป็นพระมีกิเลสอยู่ ต่อมาท่านก็สละทิฏฐิมานะ ยอมตนเข้าไปประคองอัญชลีประนมมือไหว้สามเณรน้อยซึ่งเป็นอรหันต์ซึ่งเป็นศิษย์ของตน เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ ขอให้สามเณรสอนธรรม ท่านน้อมใจรับฟังธรรมะคำสอนจากสามเณรนั้น ได้สำเร็จอรหันต์เช่นกัน

    ในสมัยปัจจุบันนี้ก็มีเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรนำมาเป็นคติแต่ที่นำมาเขียนทั้งนี้มิได้โอ้อวดว่าท่านพ่อลีเก่งเกินใคร

    แต่นำความจริงแห่งเนื้อธรรมมาตีแผ่ชี้แจงให้เราได้ทราบสายทางแห่งกรรมที่เดินจากใจดวงหนึ่งสู่ใจอีกดวงหนึ่ง เพราะธรรมเกิดขึ้นจากความเคารพรักและเมตตาอันประจักษ์เฉพาะหน้า

    ดังเช่นพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์เป็นจอมจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อได้ฟังธรรมจากสามเณรนิโครธซึ่งเป็นเด็กตัวน้อย ๆ ฟันยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมว่า “ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย ผู้ประมาทแล้ว เหมือนคนตายแล้ว” บทธรรมสั้นๆ นั้นได้สร้างศรัทธาแก่พระเจ้าอโศกฯ เป็นยิ่งนัก

    ก็อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า ธรรมไม่มีวัย ใจไม่มีกาล คนจะดีจะชั่วจะบริสุทธิ์ขึ้นอยู่กับความประพฤติและการกระทำ ไม่ใช่ว่าชาติตระกูลดี เกิดนาน บวชนาน จะดีบริสุทธิ์ขึ้นมาเองได้

    ..ข้อนั้นไม่ใช่ทางแห่งพุทธธรรม

    ในเรื่องนี้ขอนำเรื่องท่านพ่อลีสอนสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) เล่าโดยหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน มาตีแผ่ให้ท่านทั้งหลายได้อ่านทั่วกัน

    เพราะสมเด็จฯ ผู้มีปฏิปทาอย่างนี้ หาได้ยากยิ่งนัก !

    เพราะสมัยปัจจุบันนี้อย่าหวังเลยว่า จะหาพระสมเด็จฯ ที่อ่อนน้อมถ่อมตน ยอมลดตน ลดทิฏฐิมานะเพื่อแสวงหาธรรมชั้นสูงนั้นเจอ

    ..หางมเข็มในมหาสมุทรยังง่ายเสียกว่า! เป็นไหน ๆ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ...ในสมัยที่ท่านพ่อลีอยู่จำพรรษากับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) วัดบรมนิวาส ปทุมวัน กรุงเทพฯ ท่านได้รับความเมตตา จากเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นอย่างมาก

    <TABLE id=table35 border=0 width=150 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ....แต่สมเด็จฯ ท่านไม่ค่อยจะเชื่อน้ำยาพระกรรมฐานสักเท่าไรท่านเคยออกคำสั่งไล่พระกรรมฐานออกจากป่า แม้หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโตเองก็เคยถูกท่านไล่มาแล้ว

    ท่านพ่อลีจึงคิดหาทางที่จะดัดนิสัยสมเด็จฯ ให้รู้เสียบ้างว่า

    “ธรรมของจริง ผู้รู้จริงเป็นอย่างไร สมเด็จท่านอ่านตำรามาก ชอบวิจารณ์วิจัย แต่วัน ๆ ผ่านไปโดยไม่สนใจปฏิบัติสมาธิภาวนาพิจารณาสังขาร ทำแต่งานเผยแผ่ภายนอก คิดดูแล้วก็น่าสงสาร ท่านเห็นผู้มีคุณูปการต่อเรา เราต้องปฏิการตอบแทนพระคุณท่านด้วยธรรมที่รู้เห็น มาตามสติปัญญาที่มี”

    เมื่อท่านพ่อลีคิดอย่างนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติการ

    เบื้องต้น..ท่านจึงกำหนดจิตเพ่งกสิณน้ำและไฟ

    ในบางคราวเพ่งกสิณน้ำไส่สมเด็จฯ สมเด็จฯก็จะหนาวสะบั้นสั่นเทาเหมือนคนเป็นไข้จับสั่น

    ...บางคราวเพ่งกสิณไฟ กำหนดเป็นไฟไปเผา สมเด็จฯ ร้อนรนกระวนกระวายผ่าวไปทั้งร่าง

    แต่การเพ่งกสิณทั้งนี้ไม่ให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ..แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

    เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อยๆ สมเด็จฯ ท่านจึงเรียกท่านพ่อลีมาถามว่า

    “..เอ..วันนี้มัน มันเป็นอะไรกันนะ เดี๋ยวร้อนเหมือนถูกไฟเผา เดี๋ยวหนาวจนสะบั้น”

    เมื่อท่านพ่อลีเข้าไปหา ทำทีท่าจับโน่นจับนี่ พูดว่า “ไหน..ไหน..มันเป็นอะไร? อากาศร้อนหนาวมันก็เปลี่ยนแปลงบ้างแหละ...ขอรับ เจ้าประคุณ!”

    เมื่อเป็นดังนี้หลายครั้งหลายหน ด้วยความที่สมเด็จท่านเป็นนักปราชญ์ฉลาดหลักแหลม ช่างสังเกตหาเหตุผลเสมอ จึงเอะใจเป็นที่น่าสงสัย เพราะถ้าท่านพ่อลีมาเมื่อใด อาการนั้นก็หายทันที

    ท่านจึงพูดกับพระใกล้ชิดว่า “เหตุที่เป็นดังนี้... ท่านลีคงทำเราแหละ เราเคยดูถูกพ่อของพระกรรมฐานคือท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน”

    <TABLE id=table36 border=0 width=150 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>“พระพิชิตมาร” พระประธานภายในศาลาอุรุพงษ์ วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ เป็นศาลาที่ท่านพ่อลีใช้อบรมสมาธิแก่พระเณร อุบาสก อุบาสิกา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    หลังจากนั้นมา สมเด็จท่านก็เข้าใจพระป่า อุดหนุนส่งเสริมในการสร้างวัดป่ากรรมฐาน เช่น วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมาซึ่งเป็นวัดที่สำคัญเป็นกองทัพธรรมกรรมฐานในสมัยนั้น

    ต่อมาสมเด็จท่านขอร้องให้ท่านพ่อลีสอนสมาธิให้ทุกวันเมื่อท่านปฏิบัติได้ถึงขั้นจิตลงสู่ความสงบ ท่านถึงกล่าวชมท่านพ่อลี

    “..คำพูดของคุณแปลกจากพระกรรมฐานองค์อื่น

    แม้เราจะทำไม่ได้ไม่ถึง ก็เข้าใจได้ชัดแจ้งไม่สงสัย
    พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เสาร์ ที่เคยอยู่ใกล้ชิดกับเรา
    เราก็ไม่ได้ประโยชน์เหมือนคุณมาอยู่กับเรา เพราะเรา
    รู้สึกมีสิ่งแปลกประหลาดใจหลายอย่างในขณะนั่งสมาธิ”

    แล้วเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านก็เผยความในใจว่า

    “...เราไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่า การนั่งสมาธิจะมีประโยชน์มากอย่างนี้ เราบวชมานานก็จริง ไม่เคยเกิดความรู้สึกอย่างนี้เลยแต่ก่อนเราไม่นึกว่าการทำสมาธิเป็นของจำเป็น แต่บัดนี้เราได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง อันมีผลปรากฏที่ใจแล้ว”

    <TABLE id=table37 border=0 width=150 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>ถ้ำเชียงดาว
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ด้วยความเมตตาที่ท่านมีต่อท่านพอลี ท่านจึงกำชับว่า

    “....ท่านลี..เธอต้องอยู่กับเราจนตาย ถ้าเราไม่ตายจะหนีไปไหนไม่ได้ จะมาเฝ้าหรือไม่เฝ้าอยู่ปฏิบัติก็ตาม ขอให้รู้ว่าอยู่กับเราเท่านั้นก็พอ ”

    หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้กล่าวสรุปไว้อย่างน่าฟังว่า “ท่านพ่อลีนี่เอง เป็นผู้ที่สามารถเอาชนะใจสมเด็จฯ ได้ แต่ก่อนนั้น ท่านเป็นคนบ้ายศ แล้วเที่ยวขนาบกรรมฐานไปทั่ว เที่ยวไล่ไล่พระกรรมฐานที่อยู่ในป่าในเขา หลวงปู่มั่นก็เคยถูกไล่

    ต่อมาในงานเผาศพหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล สมเด็จฯ ได้พบกับหลวงปู่มั่น ท่านจึงเดินเข้าไปหาและพูดกับหลวงปู่มั่นว่า”

    “เออ! ท่านมั่น เราขอขมาโทษเธอ เราเห็นโทษแล้ว แต่ก่อนเราก็บ้ายศ”

    หลวงตามหาตัวเล่าพร้อมทั้งหัวเราะ มีรอยยิ้มหน่อยที่ริมฝีปาก เป็นกิริยาที่น่ารักเคารพของพระอริยเจ้าผู้สงบระงับ

    นี่เองสาระสำคัญในบทนี้ ท่านผู้มีธรรมท่านปฏิบัติต่อกันด้วยความงดงาม ถือธรรมวินัยเป็นใหญ่ ไม่ได้ถือยศตำแหน่งอันกิเลสแต่งแต้มให้ลุ่มหลง เหมือนในยุคปัจจุบัน

    ผู้รักธรรมจึงยอมตน สละตนจากความยึดมั่นถือมั่น ไปสู่ความว่างเปล่าจากกิเลส แต่เต็มตื้นไปด้วยคุณธรรม

    เพราะการบรรลุธรรม บรรลุด้วยใจ หาใช่บรรลุด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ เพศภาวะ ชาติตระกูล ญาติพี่น้อง ทรัพย์สินเงินทองไม่ หากอยากได้ต้องมีการประพฤติปฏิบัติ พระกรรมฐานมีวิชา มีธรรม มีศีล และมีชีวิตอันอุดมไปด้วยความดีเท่านั้น...เพียงเท่านั้นจริง ๆ ฯ

    <TABLE id=table38 border=0 width=150><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>
    หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เมตตาให้บันทึกภาพการเดินจงกรมเผยแพร่
    พร้อมกล่าวคติเตือนใจไว้ว่า “เราปฏิบัติอยู่ในป่าในเขาแทบเป็นแทบตาย ไม่มีใครรู้ใครเห็นนะ
    ไอ้ที่ถ่ายภาพนี้ ไม่ใช่ถ่ายภาพโก้ๆ เก๋ๆ นะ เราปฏิบัติจริงๆ ทำจริงๆ” (๒๓ ธ.ค. ๒๕๔๘)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE id=table39 border=0 width=150><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD rowSpan=2>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2 align=middle>๑. ศาลาหลังใหม่ วัดป่าคลองกุ้ง จันทบุรี ๒. ต้นโพธิ์อินเดียที่ท่านพ่อลีปลูก
    ๓. หุ่นขี้ผึ้งท่านพ่อลี ๔. วิหารท่านพ่อลี ที่ผู้คนมาสักการะอธิษฐานขอพร
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ผู้สามารถพิชิตโรคร้าย

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ"
    ช่างเป็นความจริงที่ไม่มีใคร
    สามารถปฏิเสธได้

    แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์และสัตว์จะ
    ไม่มีโรค เพราะทุกชีวิตเป็นรังของเชื้อโรค
    เป็นบ่อแห่งทุกข์ และเป็นที่หลั่งแห่งเวทนา
    คือน้ำตา

    ผู้ที่ไม่มีโรคหรือมีโรคน้อยจึงเป็นบุญ
    ลาภอย่างมหาศาลเลยทีเดียว

    พระพุทธองค์ทรงสอนไม่ให้ประมาท ไม่ควรไว้วางใจในชีวิตว่า จะไม่ป่วยไข้ ผู้ใดตายใจในสิ่งเหล่านี้ มักจะประสบทุกข์ระทมเป็นผลภายหลัง พระพุทธเจ้าไม่ให้ไว้วางใจอะไรบ้าง

    บุรุษอย่าไว้วางใจสตรี สตรีอย่าไว้วางใจบุรุษ ที่เห็นกันเพียงครู่เดียว
    อย่าไว้วางใจคนชั่วอย่าคิดว่าจะกลับตัวได้ง่าย
    อย่าไว้วางใจอสรพิษอย่าคิดว่ามันจะไม่ขบกัด
    อย่าไว้วางใจสัตว์มีเขา อย่าคิดว่ามันจะไม่ขวิด
    อย่าไว้วางใจแม่น้ำเพราะคิดว่าเราสามารถแหวกว่ายได้โดยไม่จม
    อย่าไว้วางใจโรคภัยไข้เจ็บว่าจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับตัวเรา

    ...เพราะว่าความเสื่อมของวัย โรคภัยรุมเร้า และการจากไปของชีวิตสัตว์ มีขึ้นเกิดขึ้นทุกหลับตา ทุกลืมตาเลยทีเดียว!

    พระพุทธเจ้าท่านเป็นห่วงสุขภาพทางกายและใจของสรรพสัตว์จึงตรัสธรรมะเบา ๆ ฟังแล้วเข้ากับยุคสมัยว่า

    “คนที่กินแล้วนั่งจะอ้วน คนที่ยืนเสมอจะเพิ่มพูนกำลัง ถ้าจะให้มีอายุยืนควรเดินไปเดินมา ผู้วิ่งอยู่เสมอจะปราศจากโรค”

    แล้วพระองค์ก็นำเรื่องของคนไม่มีโรคภัยมาเปรียบเทียบถึงวิถีชีวิตอันยิ่งใหญ่ของบุคคลที่ควรนำไปดำเนินว่า

    “บุคคลที่ชอบบำเพ็ญประโยชน์ ๑ มิตรที่ดี ๑ ปราชญ์ ๑ ล้วนเป็นบุคคลที่หาได้ยาก ทำนองเดียวกับยาที่มีรสอร่อย และคนที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ย่อมหาได้ยากเช่นกัน”

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเพื่อจะยกตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้เห็นภาพรวมในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ แต่บางทีโรคที่ว่าร้าย ๆ ก็หายได้ด้วยพลังจิตพลังธรรมอย่างน่าอัศจรรย์!ได้เร็วพลันเช่นกัน

    ท่านผู้บำเพ็ญศีลธรรม ตบะธรรม ย่อมมีความข่มใจสูง ท่านทำจิตให้สงบได้ท่ามกลางความไม่สงบ..หาความสุขได้ท่ามกลางความทุกข์..

    เช่นในสมัยพุทธกาล สุภาภิกษุณี เป็นสตรีที่สวยงาม ถูกโจรดักหมายปล้นความสาวอันเป็นพรหมจรรย์ (ข่มขืน) ท่านได้ใช้สติปัญญาต่อรองอยู่นาน แล้วถามโจรเหมือนฮุกหมัดเด็ดว่าท่านชอบอะไรในตัวเราที่สุด โจรบอกว่า “แม่นางดวงตางาม เมื่อมองดวงตาแม่นาง ราคะของข้าพเจ้ากำเริบ”

    สุภาภิกษุณีฟังคำของโจรจบลง จึงควักดวงตายื่นให้ทันทีโจรเห็นดังนั้นตกใจกลัววิ่งหนี นางจึงดำเนินไปหาพระศาสดาด้วยวิถีแห่งญาณ

    พอนางกราบพระศาสดา พระพุทธรูปองค์ทรงให้พร ดวงตาของนางได้หายกลับเป็นอย่างเดิม อย่างน่าอัศจรรย์!

    นี่เป็นเพราะพุทธานุภาพ อานุภาพของพระพุทธเจ้าบันดาลความมหัศจรรย์ได้เสมอ

    ที่ยกตัวอย่างเรื่องนี้เพื่อให้ได้ทราบว่าโรคบางทีหายได้ด้วยธรรมโอสถ
    ในสมัยปัจจุบัน ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และสานุศิษย์ท่านอยู่ป่าอยู่เขาต้องใช้ธรรมโอสถ ไม่พึ่งแต่หมอแต่หยูกยาเพียงอย่างเดียวต้องพึ่งธรรมภายในด้วย

    ท่านพ่อลี เป็นพระรูปหนึ่งสามารถทำเช่นนั้นได้จริง ไม่เพียงเพื่อตนเองเท่านั้น ท่านยังสามารถเผื่อแผ่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อีกด้วย แต่ที่เขียนมาทั้งนี้เพื่อเป็นคติสอนใจ มิได้คิดเทียบชั้นกับพระพุทธเจ้าแม้แต่น้อย เพราะเป็นที่ทราบอยู่แล้วว่าพุทธบารมีมากขนาดไหน พระสาวกบารมีขนาดใด เทียบกันไม่ได้อยู่แล้วเรื่องมีดังนี้

    ขณะที่ท่านพ่อลีจาริกโปรดสัตว์อยู่ทางภาคเหนือ พักอยู่ที่ป่าวัดอรัญญิก จังหวัดพิษณุโลก..มีข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนมานั่งสมาธิกับท่านมากหลาย อาทิ ผู้กำกับการตำรวจ หลวงสัมฤทธิฯ หลวงชิ้นฯ ขุนเกษมฯ ร.อ. แผ้ว ฯลฯ ล้วนเป็นผู้ฝักใฝ่ในธรรมะปฏิบัติ

    ขณะที่ท่านกำลังนั่งสนทนาธรรมะอยู่นั้นก็มีโยมคนหนึ่งชื่อมหาน้อม เขากราบนิมนต์ท่านให้ไปเยี่ยมคนป่วยที่บ้าน ซึ่งเป็นภรรยาชื่อ แม่ฟื้น ป่วยเป็นโรคในสมัยอยู่ไฟ นอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลา ๓ ปีแล้ว ใช้เงินรักษาจนหมดเนื้อหมดตัว แต่ก็ยังไม่หาย และไม่มีทีท่าว่าจะหาย มีแต่ทีท่าว่าจะตาย”

    “ท่านอาจารย์ครับ..” มหาน้อมกล่าวกราบเรียนท่านพ่อลีต่อไป“อยู่มาวันหนึ่ง มีพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินทางมาจากภาคเหนือ ได้พรมน้ำมนต์ให้คนป่วย แล้วท่านก็บอกว่า ฉันรักษาไม่หายดอกโยมจะมีพระองค์หนึ่งมาโปรดโยมเร็ว ๆ นี้ ลักษณะเป็นอย่างนี้ คำพูดของพระธุดงค์นั้นทำให้ผมมีความหวังขึ้นมาบ้าง แล้วผมก็มาพบท่านอาจารย์นี้แหละ ที่ลักษณะตรงตามที่พระธุดงค์รูปนั้น ทำนายไว้เป๊ะ” เขากราบเรียนท่านด้วยความดีอกดีใจจนออกนอกหน้า

    เมื่อท่านพ่อลีได้ฟังดังนั้น ท่านก็ตอบว่า “ฉันจะไปดูให้ แต่อย่ามาหวังอะไรกับฉันมากนักนะ”

    ....เมื่อท่านพ่อลีไปถึงบ้านนั้น เพียงเดินผ่านเข้าไปในธรณีประตูเพียงเท่านั้น สิ่งมหัศจรรย์ก็พลันเกิดขึ้นต่อหน้าคนทั้งหลายที่ติดตามมา

    คนป่วยที่นอนแอ่งแม้งเหมือนตายทั้งเป็นมา ๓ ปี สามารถยกมือขึ้นไหว้ผงับ ๆ ขยับได้เล็กน้อย

    ท่านพ่อลีได้นั่งสมาธิสักครู่หนึ่ง หญิงป่วยปางตายเหมือนคนที่ตายแล้ว พูดได้ทันที ๒ - ๓ คำ แล้วไหวตัวยกมือไหว้ จนกระทั่งลุกขึ้นนั่งหมอบอยู่กับหมอนได้ เป็นที่แปลกประหลาดแก่สายตาของใครต่อใครที่เข้ามามุงดู มาดูเรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยายพลิกฟื้นชีวิตคนที่นอนเหมือนตายมา ๓ ปี ลุกขึ้นมานั่งหมอบต่อหน้าต่อตา ท่านพ่อลี ทำสิ่งที่อัศจรรย์อะไรเช่นนั้น

    นี่ชีวิตจริง มิใช่ละครพอที่จะแกล้งป่วยแกล้งตายกันได้

    แลแล้วท่านพ่อลีก็กล่าวด้วยถ้อยคำอันอ่อนโยนละมุนละไมเต็มไปด้วยเมตตาว่า

    “ให้หายนะโยม หมดกรรมหมดเวรแล้ว อาตมาขอให้พร”

    เธอพยักหน้ารับ พร้อมกับกัดฟันกลั้นใจพยายามยกมือที่สั่นไหวขึ้นไหว้ มีอาการเหนื่อยหอบเล็กน้อย แล้วค่อยตะกายเคลื่อนไหวร่างอันโรยแรงหยิบไม้ขีดจุดบุหรี่แล้วยื่นให้สามีถวายท่านพ่อลี

    เมื่อท่านพ่อลีรับ แกแสดงอาการกระปรี้กระเปร่าตามสภาพแววตามีความหวัง เหมือนปลาใกล้ตายเพราะน้ำเหือดแท้ง แต่อีกไม่นานฝนฟ้าก็พรำโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ปลานั้นจะลิงโลดและดีใจสักปานใด

    คนทั้งหลายทั้งที่เป็นญาติและมิใช่ญาติที่เห็นเช่นนั้นบางคนน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม กล่าวคำว่า “อัศจรรย์! อัศจรรย์!”

    บางคนยกมืออัญชลี มองท่านพ่อลีเหมือนเทวดาสามารถบันดาลสุขขจัดทุกข์ให้คนยากไร้ได้ราวปาฏิหาริย์

    ...เสียงซุบซิบตามประสาชาวบ้าน “มันเป็นไปได้อย่างไร ? ที่ทำคนใกล้ตายให้ฟื้นคืนชีพได้”

    ..พอวันรุ่งขึ้นแกสามารถกินข้าว ล้างถ้วยชาม ลุกขึ้นคืบคลานไปได้เอง

    ..เดือนต่อมาลุกขึ้นเดินได้..อีก ๓ ปีต่อมาแม่ฟื้นคนนั้นได้หายขาดเป็นปกติดังเดิมและติดตามมาปฏิบัติธรรมกับท่านพ่อลีที่วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ

    นี่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดและอัศจรรย์อย่างยิ่ง ท่านพ่อลีโด่งดังเป็นพลุแตกในสมัยนั้น

    ผู้เขียนไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกเพราะท่านสามารถทำในสิ่งที่มหัศจรรย์ที่พระรูปอื่นในยุคนั้นทำไม่ได้...ก็ใครจะทำได้ล่ะเรื่องแบบนี้

    ยังมีอยู่อีกหลายเรื่อง แต่จะนำมาเขียนนิดหน่อย มากไปเดี๋ยวจะเฟ้อ

    ..เมื่อปี ๒๔๙๖ ที่วัดป่าคลองกุ้ง จังหวัดจันทบุรี มีสตรีคนหนึ่งชื่อว่า “แม่ลูกอินทร์” อายุ ๔๕ ปี เธอเดินทางไปหาท่านพ่อลี เพื่อขอให้ท่านช่วยรักษาโรคร้าย เพียงเธอนั่งลงยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด ท่านพ่อลูกสามารถรู้ชื่อ อาชีพ การงานและโรคร้ายที่ทับถมประดังร่างกายเธออยู่ เธออัศจรรย์ใจและเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในท่านพ่อลีเป็นอย่างมาก จึงเอ่ยปากขอยาวิเศษกับท่านพ่อลี ท่านพ่อลีจึงขากเสลดใส่แก้วยื่นให้เธอเธอก็สามารถข่มใจรับประทานเสลดนั้นเข้าไปได้โดยไม่รังเกียจพร้อมกับกล่าวว่า “เสลดที่ท่านพ่อขากถุย ๆ ออกมานี่ มัน มันส์ดี นะท่านพ่อ ”

    ปรากฏว่าโรคร้ายที่รุมเร้าเธอมานานแสนนานตั้งแต่เป็นสาวก็พลันหายโดยเด็ดขาดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    นี่เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากความศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในองค์ท่านพ่อลี (ท่านผู้อ่านต้องพิจารณาให้ดี อย่าไปเชื่อพระปลอม ๆรู้ไม่จริง อวดรู้อวดฉลาดหลอกต้มตุ๋นคน เพราะพระแบบท่านพ่อลี เราไม่ค่อยได้พบแล้วในปัจจุบัน... พระขี้กลากมีเยอะ)

    ผู้เขียนขอเล่าเพิ่มอีกเรื่องก็แล้วกัน หากจะเล่าทั้งหมดกระดาษอีก ๒๐๐ หน้าก็คงไม่พอ ขอเล่าพอดีพองามดีกว่า การเล่าถึงจะน้อยจะมากไม่เป็นเรื่องเสียหายเพราะเป็นความจริงเรื่องจริงมิได้แต่งแต้มทาสีขึ้นมา ท่านขลังจริง ดีจริงเป็นเรื่องของท่านเอง ผู้เขียนก็ได้แต่ชื่นชมอนุโมทนา.. และรจนา.. หาได้กุเรื่องขึ้นมาไม่
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องของสตรีชาวจีนที่ชื่อว่า “ซิ้มหลา” เป็นคนมาจากเมืองจีน ได้ติดตามญาติผู้เป็นอาเข้ามาอยู่ในเมืองไทยที่จังหวัดจันทบุรี ในระยะแรกนั้นมีฐานะยากจนมาก เมื่ออยู่เมืองจีนซิ้มหลามีพ่อแม่ที่มีฐานะพอสมควรไม่ลำบากนัก เป็นคนที่มีความกตัญญู ครั้นเข้ามาอยู่เมืองไทยต้องมาอาศัยญาติที่เป็นอาและต้องหาเลี้ยงลูก ๆ ถึง ๙ คน ต้องหาเลี้ยงครอบครัวด้วยความลำบาก

    ต่อมาซิ้มหลาได้พูดคุยกับแม่ชีคนหนึ่ง เธอแนะนำให้ไปหาท่านพ่อลีที่วัดป่าคลองกุ้งบอกว่า “ท่านพ่อลี..เป็นอาจารย์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์”

    ซิ้มหลาก็ถามว่า “ศักดิ์สิทธิ์” แปลว่าอะไร ?

    แม่ชีก็บอกไปว่า แปลว่า “ช่วยให้รวยได้”

    <TABLE id=table40 border=0 width=150 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>๑. พระประธานในศาลาหลังใหม่วัดป่าคลองกุ้ง
    ๒ ประชาชนมาปฏิบัติธรรมถวายท่านพ่อลี ที่วัดป่าคลองกุ้ง ในวันที่ ๒๖ ของทุกเดือน
    ซึ่งชาวจันทบุรีถือว่า “เป็นวันท่านพ่อลี”
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    แกอยากรวยจึงก็ตอบตกลงทันที แม่ชีจึงพาแกไปหาท่านพ่อลีครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๙๒

    พอไปถึงวัดป่าคลองกุ้ง เห็นมีคนเฒ่าคนแก่นั่งอยู่หลายคนพอแกเข้าไปถึง ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องรอดูว่าเขากราบพระกันอย่างไรแล้วก็กราบตามอย่างเขา เขาก้มก็ก้ม เขาเงยก็เงย

    ท่านพ่อลีก็ชี้มือมาแล้วถามว่า “โยมมาจากไหน”

    “ฉันอยู่กับอาเวลานี้ออกมาอยู่เองแล้ว” แกตอบไปคนละเรื่องเดียวกัน

    “ฉันยังไม่รู้จักแกเล๊ย” ท่านพ่อลีเปล่งเสียงดัง

    “ฉันไม่เคยเข้าวัด ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง” แกตอบซื่อๆ

    “ไม่รู้แล้วมาทำไม” ท่านพ่อลีตวาดหน่อย ๆ

    “แม่ชีที่พามา บอกวาให้มากราบทานพ่อและขอพรท่านพ่อช่วยให้รวย ๆ” แกตอบตามความจริง

    “อ๋อ.. อยากรวยนี่เอง.. ถึงมาวัด ?” ท่านพ่อลียิ้มที่ริมฝีปากนิด ๆ

    ซิ้มหลาตอบว่า “ค่ะ” สั้น ๆ อย่างมั่นใจ

    จากนั้นท่านพ่อลีเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับถือธูป-เทียนออกมาส่งให้ซิ้มหลา ๑ กำมือ บอกให้บูชาพระแล้วอยากได้อะไรก็อธิษฐานเอา แกก็ทำตาม เสร็จแล้วท่านสั่งว่า “โยม..ต้องนั่งสมาธิด้วย...ถึงจะรวย”

    “นั่งสมาธิเขาทำกันอย่างไรเพราะไม่รู้จัก” แกถามทำสีหน้าตางงเหมือนไก่ตาแตก เกิดมาแกไม่เคยรู้จักคำว่า “สมาธิ” แต่แกอยากจะนั่งมาก เพราะแกอยากรวยม๊าก มาก

    “ให้นั่งหลับตาเฉย ๆ พร้อมกับภาวนาว่าพุทโธ ๆ โดยหายใจเข้าก็ภาวนา “พุท” หายใจออกก็ภาวนาว่า “โธ” อยู่อย่างนี้ ให้นั่งไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องกลัว” ท่านพ่อลีสอนเน้น ๆ ช้า ๆ ย้ำวิธีการหลายครั้งหลายหน

    แกก็นั่งขัดสมาธิตามที่ท่านสั่ง แกนั่งไปก็กลัวไป ตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้าทรง นั่งนาน ๆ เข้าตัวเริ่มเบาคล้ายจะลอยขึ้นจากพื้น รู้สึกสบาย

    ท่านพ่อก็ถามว่า “เห็นอะไรหรือเปล่า” แกนั่งนิ่งเฉยไม่ตอบ

    อีกสักพักท่านก็ถามอีก คราวนี้แกตอบว่า “เห็นกระถางธูปที่ไหว้หอมตลบอบอวลไปหมด”

    “เออ..ดีแล้ว” ท่านพ่อลีให้กำลังใจ

    ต่อมาอีกสักพักท่านพ่อก็ถามว่า “เห็นอะไรอีกไหม? ”

    “เห็นป้ายตัวหนังสือสีทองพื้นสีแดง สวยมาก”

    “ดีแล้ว ”

    แล้วท่านพ่อลีก็เพ่งกระแสจิตใส่ตัวแก จวนมืดค่ำคนเขากลับกันหมดแกก็ยังนั่งอยู่กับตาแป๊ะหงวนสองคน แกได้รู้ได้เห็นอีกหลายอย่างแต่ไม่ชัด รู้สึกสบายมาก และหลังจากนั้นมาแกก็จะทำสมาธิทุกครั้งถ้ามีเวลา

    อยู่มาวันหนึ่งซิ้มหลาเข้าไปกราบท่านพ่อลีแล้วพูดว่าฉันไม่เห็นรวยขึ้นเลย ท่านพ่อบอกว่า “ซิ้มไม่ต้องกลัวเพราะซิ้มเป็นคนกตัญญู”

    ต่อมาซิ้มหลาป่วยจำเป็นต้องผ่าตัด ในขณะนั้นท่านพ่อลีจำพรรษาอยู่ที่วัดบรมนิวาสในกรุงเทพฯ

    ซิ้มหลาก็เดินทางไปผ่าตัดในกรุงเทพฯ เช่นกัน พอไปถึงโรงพยาบาลหมอก็ให้ผ่าตัดเลย ยิ้มไม่ยอม จึงขออนุญาตหมอไปหาท่านพ่อลีที่วัดบรมนิวาสก่อน โดยไปวัดกับญาติผู้หญิงถึงวัดก็ประมาณ ๑๑ โมงกว่าแล้ว ขณะนั้นท่านพ่อลีกำลังจำวัดอยู่ในท้องมีลูกศิษย์มาคอยพบอยู่หลายคน รอท่านพ่อจนถึงบ่าย ๔ โมงท่านก็ยังไม่ออก พอดีเกิดไฟไหม้ขึ้นใกล้ ๆ บ้านของญาติที่ไปส่ง ญาติก็กลัวไฟจะไหม้บ้าน

    <TABLE id=table41 border=0 width=150 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>กุฏิท่านพ่อลีที่วัดป่าคลองกุ้ง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ท่านพ่อลีก็ยังไม่ออกมาจากห้อง ซิ้มจึงยกมือขึ้นอธิษฐานจิตว่า “ถ้าท่านพ่ออยู่ในห้องนี้ก็ขอให้ออกมาเถิด...ซิ้มหลามากราบไหว้ ”

    “..ซิ้มหลา ป่วยเป็นอะไร” เสียงผ่านพ่อลีร้องถามจากข้างในห้องพร้อมกับเปิดประตูออกมาทันที

    แกบอกว่า “ฉันเจ็บท้องหมอให้ผ่าตัด ฉันจึงมาหาท่านพ่อ ก่อน ”

    ท่านพ่อลีจึงสั่งว่า “เอ้า! นั่งสมาธิวิปัสสนาก่อน” แกนั่งตามที่ท่านสั่งทันที

    สักพักหนึ่งท่านพ่อจึงบอกว่า “โยม..ไม่ต้องผ่าตัดแล้ว.หายแล้ว ”

    จากนั้นท่านก็เดินเข้าไปในห้อง ถือยาออกมาถ้วยหนึ่งและน้ำมนต์มาถ้วยหนึ่งบอกว่า “เอ้า..กินยาเข้าไปก่อน แล้วกินน้ำมนต์ตามเข้าไปให้หมดถ้วยนะ”

    ซิ้มหลาก็ทำตามที่ท่านพ่อสั่ง อาการเจ็บท้องค่อย ๆ บรรเทาหายไปเอง

    ในคืนนั้นเอง ขณะที่ซิ้มหลานอนหลับพักผ่อนอยู่บ้านญาติในกรุงเทพฯ ฝันเห็นแสงสว่างลอยออกไปจากร่างกายจึงตกใจตื่น อาการปวดท้องก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

    รุ่งเช้าไปหาหมอ แกบอกหมอว่าไม่ต้องผ่าตัดแล้วมันหายไปแล้ว หมอไม่เชื่อ จึงตรวจดูอีกครั้งพบว่า โรคของแกหายไปจริง ๆ ไม่ต้องผ่าตัด จึงทำให้ซิ้มหลานับถือท่านพ่อลีมาก

    เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเรียกว่าอะไรดี

    ...มหัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ เทพบันดาล อานุภาพของพระอริยสงฆ์ หรือท่านผู้วิเศษ ก็อาจเรียกได้ไม่กระดากปากนัก เรียกได้เต็มปากเต็มคำ

    ไม่เหมือนสมัยทุกวันนี้เที่ยวหลอกลวงว่า เคร่งครัด เก่งกาจ หยั่งรู้ฟ้าดิน แต่แท้ที่จริงแล้ว คุณความดีเพียงศีล ก็แทบไม่มีภายในใจ แต่ก็เที่ยวโอ้อวดฤทธาศักดานุภาพว่าเก่ง ว่าดี ว่าวิเศษแต่ที่จริงหยาบหนายิ่งกว่าหมาขี้เรื้อน ๕๐๐ ตัว มันก็สู้ไม่ได้ฯ

    ท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย!.. ยุคนี้..เป็นยุคท่านผู้วิเศษจอมปลอมเต็มบ้านเต็มเมือง คนโง่ก็เห่อเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่ก็ภูมิใจในสิ่งนั้น เพราะเหมือนหมู่หนอนชอนไชขี้ ไม่รู้จักคำว่าอิ่ม ว่าเบื่อ ว่าน่าสะอิดสะเอียนแม้แต่น้อย

    .....เพราะพวกเขา เป็นเช่นนั้นเอง ฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...