ธรรมะพระธุดงคกรรมฐานสายพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 18 เมษายน 2016.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    กระผมขอนำธรรมะของสายพระป่ากรรมฐานหลวงปู่มั่น มาเผยแพร่เพื่อเป็นธรรมทาน ซึ่งได้คัดลอกมาจากเพจ

    https://www.facebook.com/ธรรมะพระธุดงคกรรมฐานสายพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น-ภูริทตฺตเถระ

    กราบขอบพระคุณเจ้าของเพจและอนุโมทนาบุญกับทุกท่านได้เจริญทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    "เราไม่อยากเป็นกรรมเป็นเวร เราก็ต้องตัด ตัดอารมณ์น่ะแหละ ให้กำหนดดูความรู้อยู่ตรงไหนแล้วเราก็เพ่งอยู่ตรงนั้น ปัญญาคือความรอบรู้ในกองสังขาร กรรมทั้งหลายไม่ได้มาจากอื่นไกล มาจากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเราเท่านี้..."

    โอวาทธรรม
    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ. สกลนคร
    (พ.ศ. ๒๔๔๒ - ๒๕๒๐)
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    "มนุษย์เราเกิดมาก็ต้องทำบาป เมื่อทำแล้ว ก็ต้องได้รับผลกรรมที่เราทำไว้ นี่เป็นสัจจะความจริงอย่างเด็ดขาด พ่อแม่ของเราทำกรรมมา เราเกิดมาก็ทำกรรมไป ทำไปทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว คนทำบาปจึงมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ทำบาปย่อมได้บาป ทำบุญย่อมได้บุญ

    มีบางคนชอบพูดคะนองปากว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป พูดอย่างนี้ผิด พูดไม่รู้จริง เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนี้ เราต้องใจเย็นคอยดูผลตลอดชีวิต อย่าดูในระยะสั้นๆ ต้องดูไปเรื่อยๆ ในระยะยาว อย่าใจร้อนอยากจะเห็นผลดี ในเวลาอันรวดเร็วนัก

    ทำดียังไม่ได้ดี เราต้องรอคอยผลดีได้ การทำดีเพื่อจะให้ดีนั้น เราต้องทำให้ถูกหลักคือ ทำให้ถูกดี ทำให้ถึงดี ทำให้พอดี อย่าทำเกินพอดี ทำให้ถูกบุคคล ทำให้ถูกกาลเทศะ การต้องการผลดีตอบแทนนั้น อย่าหวังผลแต่ด้านวัตถุท่าเดียว ต้องหวังผลทางใจคือ ความสบายใจ ความสุขใจด้วย..."

    พระธรรมคำสอน
    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
    วัดอรัญญวิเวก ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
    พ.ศ. ๒๔๓๑ - ๒๕๑๗
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    "การให้อภัยไม่คิดอิจฉา ริษยา อาฆาตร้ายต่อผู้อื่น ใครทำไม่ดีกับเราก็พยายามปล่อยวางให้ได้ พยายามรักทุกคนให้เสมอกันให้ได้ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำแบบนี้เรื่อย ๆ ความเมตตาจะบังเกิดขึ้นเอง คราวนี้ไปที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวอะไร เพราะถ้าเราไม่คิดร้ายใคร ใครก็ไม่คิดร้ายเราเช่นกัน..."

    โอวาทธรรม
    หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ
    วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
    พ.ศ. ๒๔๔๓ - ๒๕๐๕
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]

    "ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้ว มันจะไม่ไว้หน้าใคร มันทำลายทั้งสื้น แก่นแท้ของธรรมอยู่ที่สติ เราเองเป็นผู้ทำจิตของตนให้เศร้าหมอง ผู้อื่นช่วยไม่ได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ทำเอง รู้เอง ได้เอง..."


    คติธรรม
    หลวงปู่ขาว อนาลโย
    วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
    (พ.ศ. ๒๔๓๑ -๒๕๒๖)
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    เราสร้างวัดขึ้นมาเพื่อพวกท่านทั้งหลายให้หาทางพ้นทุกข์ไม่ใช่สร้างขึ้นมาเพื่อแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เอาไปทำไมได้ไปเพื่ออะไร ทำไม อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะถูกเผาไฟทิ้งอยู่แล้ว เห็นไหม พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านมียศถาบรรดาศักดิ์ขนาดไหน ท่านก็เป็นตัวอย่างให้พวกเราเห็นอยู่แล้ว แล้วพวกเราจะมุ่งหวังอะไรอีก

    ข้อสำคัญ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านได้สำเร็จมรรคสำเร็จผลแล้วท่านจึงช่วยเหลือโลก แต่พวกเราท่านทั้งหลายยังไม่มีอะไรกระโดดโลดเต้น หวังนั่นหวังนี่ ต้องการนั่น ต้องการนี่ อยากให้คนยกย่องเชิดชูบูชาสรรเสริญตัวเอง สิ่งเหล่านี้พวกท่านทั้งหลายคิดเอาไว้ ตระหนักในใจอย่าไปมุ่งหวังอะไรมากนอกจากธรรม ถ้ามุ่งหวังธรรมในใจแล้ว มีแต่ความผาสุข อยู่ ณ สถานที่ใด ไป ณ สถานที่ใด มีแต่ความผาสุขทั้งนั้น อยู่คนเดียวอยู่มากอยู่น้อยก็มีแต่ความผาสุข


    หลวงพ่ออินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก
    ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๔
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถ้ามีความโกรธ ต้องรักษาใจให้มันเย็นอย่าให้มันร้อนหาอุบายแก้ไขด้วยปัญญา น้ำที่ต้มเดือดออกมาจากเตาแล้วไม่นานก็เย็นลง ถ้าใส่ตู้เย็นก็เป็นน้ำแข็งได้ ใจเราก็เหมือนกัน มันเดือดแล้วก็เย็นได้ เย็นแล้วก็สบาย อย่าลุอำนาจแก่ความโกรธเด็ดขาด สติอย่ามืดอย่างเดียว อย่าเอาความโกรธมาใช้งานเลย โทสะเป็นไฟ อย่าตามใจมัน พอความโกรธหายไป บาปไม่หาย ตกนรกอย่างเดียว


    ...หลวงปู่ท่อน ญาณธโร...
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ ปรากฏว่าได้ทำประโยชน์แก่โลกมากมายจนคณนานับไม่ได้ ทรงสั่งสอนสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ไปได้ไม่มีประมาณ ขณะที่ยังทรงพระชนม์อยู่ก็มีจำนวนมากมายที่ได้รับแสงธรรมจากพระองค์ นอกจากนั้นพระโอวาทก็ยังเป็นแนวทางอันถูกต้องดีงามเรื่อยมา เพื่อบรรดาผู้ที่นับถือได้น้อมรับไว้ และได้นำไปประพฤติปฏิบัติตาม ดังเราทั้งหลายปฏิบัติบำเพ็ญอยู่เวลานี้

    อย่าเข้าใจว่า “พระพุทธเจ้า เสด็จเข้าปรินิพพานไปนานแล้ว มรรค ผล นิพพาน หมดเขตหมดสมัยไปแล้ว” นั้น เป็นความเข้าใจผิด ซึ่งมีฝังใจอยู่แทบทุกคนโดยไม่ทราบว่าเป็นความคิดผิด และตัดทอนผลประโยชน์ของตัว อันจะพึงได้พึงถึงจากการประพฤติการปฏิบัติตามศาสนา อันเป็น “สวากขาตธรรม” มาดั้งเดิม

    ถ้าคิดว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปนานแล้วนั้น เป็นไปตามกาลตามสมัยธรรมดา ก็ไม่มีความผิดและเสียหายอะไร แต่สำคัญที่ว่า “พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปนานแล้ว” เหมือน กับการรื้อถอนเอาศาสนธรรมไปด้วยหมด ทั้งฝ่ายมรรคฝ่ายผล ยังเหลือแต่ชื่อคัมภีร์ใบลานและตัวหนังสือเท่านั้น ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ความคิดในลักษณะนี้จึงเป็นความคิดที่ผิด

    ก่อนที่จะเสด็จปรินิพพาน พระองค์ก็ได้ประทานพระโอวาทไว้กับพระอานนท์ ตอน ที่พระอานนท์ไปทูลถามท่านว่า “เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วนานเท่าใด มรรค ผลนิพพาน จึงจะหมดเขตหมดสมัย” ท่านรับสั่งเฉียบขาดเผ็ดร้อนว่า “อานนท์ถามทำไม? โอวาท ทั้งหมดที่เราตถาคตสั่งสอนไว้แล้วเพื่อ มรรค ผล นิพพาน ทั้งนั้น เราไม่ได้เอา มรรค ผล นิพพาน ของใครทั้งสิ้นไป นอกจากตัวของเราเองเท่านั้นที่เราชำระบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว อันเป็นสมบัติของเราโดยเฉพาะเพียงเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไรบกพร่อง

    หากผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมยังมีอยู่ พระอรหันต์ไม่สิ้นไปจากโลก อานนท์อย่าสงสัย” นั่น

    พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๑๘
    โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    "ควรเห็นคุณค่าในตัวเราและชีวิตจิตใจซึ่งครองตัวอยู่ขณะนี้ พยายามอบรมดัดแปลงวิถีทางเดินของชีวิตและจิตใจให้เป็นไปด้วยความสม่ำเสมอและ ราบรื่น ทั้งทางโลกและทางธรรม จะมีความสุขกายสุขใจ อยู่ในโลกนี้ก็เห็นประจักษ์ใจ

    ถ้ามีธรรมเครื่องดัดแปลงให้ถูกทางจะไปโลกหน้าก็คือใจดวงกำลังดัดแปลงอยู่ ณ บัด นี้ จะเป็นผู้พาไป ไม่มีสิ่งใดจะไปโลกหน้าได้ นอกจากจิตดวงเดียวซึ่งเป็นของละเอียดยิ่งนี้เท่านั้น
    เราทุก ท่านต่างก็เป็นนายช่างผู้ฝึกฝนอบรมตนอย่างไรจะเป็นที่มั่นใจ โปรดกระทำลงไปจนสุดความสามารถในขณะมีชีวิตอยู่ ถ้าชีวิตหาไม่แล้วจะสุดวิสัย เพราะร่างกายแตกสลาย ต้องหมดทางเดินทันทีที่ชีวิตสิ้นสุดลง การบำเพ็ญความดีทุกประเภทเป็นต้นว่าเคยบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาก็ทำต่อไปอีกไม่ได้ ทำให้ขาดไปเสียทุกอย่าง

    เรา จึงไม่ควรเห็นสิ่งใดว่าเป็นของมีคุณค่ายิ่งกว่าใจ ซึ่งกำลังรับผิดชอบในสมบัติทุกสิ่งอยู่เวลานี้ แม้เราจะเสาะแสวงหาสิ่งใดมาเพื่อบำบัดร่างกายและจิตใจให้มีความสุขเท่าที่ ควรจะเป็นได้ แต่เราอย่าลืมตัวถึงกับได้ผิดพลาดไปกับสิ่งนั้นๆ จนถอนตัวไม่ขึ้น เพราะอำนาจความอยากเป็นเจ้าของเรือนใจ ถ้าได้รับการอบรมอยู่เสมอ อย่างไรก็ไม่ตกต่ำและถอยหลังมาสู่ความทุกข์และความต่ำทรามต่างๆ ที่ไม่พึงปรารถนา จะก้าวไปทีละเล็กละน้อย และก้าวไปเสมอจนถึงจุดประสงค์จนได้

    ผู้มีความเจริญรุ่งเรือง ทั้งทรัพย์ภายนอกและทรัพย์ภายใน คือคุณสมบัติของใจ ท่านเจริญรุ่งเรืองได้เพราะการฝึกฝนดัดแปลง อย่าเข้าใจว่าเป็นไปจากเหตุอื่นใดทั้งสิ้น เพราะกายวาจาใจเป็นสิ่งอบรมดัดแปลงได้ด้วยกัน ไม่เช่นนั้น จะหาคนดีคนฉลาดไม่ได้ในโลกมนุษย์เรา และจะไม่ผิดอะไรกับสัตว์ที่มิได้ฝึกหัดดัดแปลงเลย สิ่งที่จะทำให้คนดีคนชั่วได้จึงขึ้นอยู่กับการฝึกหัดดัดแปลงตัวเอง ตามใจชอบ ผลก็กลายเป็นคนดีคนชั่ว และสุขทุกข์ขึ้นมาเป็นเงาตามตัว

    ฉะนั้น การไม่ปล่อยตัว คือให้อยู่ในกรอบของการสังเกตสอดรู้ของตัวเสมอ นั่นแลเป็นทางเจริญก้าวหน้า ผู้ชอบความเจริญก้าวหน้าจงเป็นผู้สงวนตน

    อนึ่ง ธรรมเครื่องขัดเกลามนุษย์และสัตว์ให้เป็นคนดีและสัตว์ดีตามฐานะของตนนั้น มีอยู่กับทุกคน ไม่ว่านักบวชและฆราวาสหญิงชาย ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียร ความอดทน ความดีความชั่วขึ้นอยู่กับตัวผู้ชอบทำ ทำที่ไหนก็ได้ ไม่นิยมว่าในบ้านนอกบ้าน ในวัดนอกวัด ในน้ำ บนบก เพราะต้นเหตุความดีและชั่ว มันอยู่กับตัวของผู้ทำ ไม่ได้อยู่ที่อื่นใดทั้งนั้น "

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การฝึกตนให้มี สติสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม เป็นสิ่ง สำคัญต่อการดำรงชีวิต ผู้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา จะเป็นผู้ได้ รับประโยชน์ การกระทำกิจการใดๆ ก็ลุล่วงไปด้วยดี ไม่ี่ค่อย มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น

    ๑. มีสติรู้ตัว รู้ลมหายใจเข้า-ออก มีสติอยู่รู้ว่า ขณะนี้ หายใจเข้ายาว-หายใจออกยาว ก็รู้อยู่ หายใจเข้าสั้น-หายใจออกสั้น ก็รู้อยู่ อาจจะ ใช้คำภาวนาในใจ อย่างใดกำกับตามไปด้วยก็ได้

    ๒. มีสติรู้ตัว ตามรู้จิต เมื่อมีสติ รู้ลมหายใจอยู่ ก็ตามรู้จิต ธรรมชาติของจิต มีความหลุกหลิก กลิ้งกลอกอ่อนไหว ว่องไว คิดเรื่อยเปื่อยไปได้ทั้งดีและชั่ว ต้องใช้สติต่างเชือกมัดจิตไว้กับหลัก คือลมหายใจให้ได้ จิตคิดวิ่งไปที่ไหน ก็ใช้สติระลึกรู้ตาม ไปประคองจิตไว้ไม่ให้คิดในเรื่องชั่ว อันเป็น บาปทุจริต ประคอง จิตไว้ให้คิดในเรื่องดี อันเป็นบุญสุจริต เท่านั้น ความผ่องใส ในจิตจะเกิดเพิ่มขึ้น ความทุกข์ก็จะค่อยสิ้นไป

    ๓. มีสติรู้ตัวทุกอิริยาบถของร่างกาย มีสติระลึก รู้ตัวตั้งแต่ตื่น นอนลืมตาขึ้นมาว่า ตื่นแล้วกำลังจะลุกขึ้นนั่ง ย่างก้าวเดินเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน อาบน้ำ ขับถ่าย ๆลๆ มีสติระลึกรู้ตัวไปทั่วทุกสิ่ง ทั่วทุกอิริยาบถ เคลื่อนไหว ยืน เดิน นั่ง นอน เหลียวซ้าย แลขวา ก้าวหน้า ถอยหลัง ก็ทำสติตามรู้ทุกอย่างไป แม้จะยังไม่บริบูรณ์ ด้วยจิตหนีหายหลบไป เมื่อรู้ตัวก็กำหนดสติต่อไป จะเกิดผล เป็นผู้มีพลัง สติคุมจิต ตั้งมั่นเกิดสมาธิ

    ๔. มีสติรู้ตัวพิจารณาให้เห็นความจริง มีสติพิจารณา ในความเป็น ธรรมชาติ ที่มีเห็นอยู่ รอบๆ ตัวเรานี้ ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง คงทนถาวรอยู่ได้ตลอดไป เกิดมีขึ้นแล้ว ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่หยุดนิ่ง แล้วก็ดับหายตายจากไป ไม่เราจากสิ่งนั้นไปก่อน สิ่งนั้น ก็ จากเราไปก่อน ไม่มีใครจะยึดเหนี่ยวรั้งสิ่งใดไว้ได้ เป็น ธรรมชาต ิที่เลื่อนไหลไปอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดาอย่ายึดถือไว้เป็ีนความทุกข์

    ๕. มีสติรู้ตัว ถอนความยึดถือ ในตัวตนเสีย มีสติพิจารณา ดูลงไป ที่ตัวเราเองว่า มีอะไรบ้าง หรือที่เราบังคับได้บ้าง ร่างกายนี้ตั้งแต่เกิดมา มีแต่ ความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง เกิดมาได้อย่างไร ไม่รู้ตัว เลย(หรือใครรู้ตัวบ้างช่วยบอกที) มารู้ตัวเอาก็ต่อเมื่อเติบโตพอจำความได้แล้ว ก็มีความเปลี่ยนแปลง ไม่หยุดยั้ง แล้วก็ต้องตายไป ทำพิธีต่ออาย ุสืบชะตาอย่างไร ก็ต้องตายทุกคน แล้วจะยึดถือว่าเป็นตัวเรา ของเราได้อย่างไร ตายแล้วไม่เผาได ก็ฝังดินเท่านั้นเอง มันเป็นเพียงธรรมชาิติ ที่เกิด ขึ้นแล้วก็ดับไป เราเพียงยืมใช้ได้อาศัยศึกษา รักษาไว้เป็นพาหนะ ให้ทำความดี
    เพื่อข้ามวัฎสงสารเท่้านั้น

    ๖. มีสติรู้ตัว พูดจาให้น้อยลง พูดเท่าที่จำเป็น จะต้องพูด ด้วยความมีสติรู้ตัวอยู่ การพูดมากมีโอกาสพูดผิดได้มาก ไม่เกิดประโยชน์แล้วยังเป็นโทษอีกด้วย เป็นผู้ฟังแล้วตามคิด เลือกจำสิ่งดีๆ มาใช้จะได้ประโยชน์ กว่าคนพูดมาก มักขาดสติง่าย เป็นผู้ฟังที่โทษน้อย หรือไม่มีเลย แต่เป็นผู้ได้รู้มากกว่าผู้พูด

    ทั้ง ๖ ข้อนี้ ที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นสิ่งที่ควรสนใจฝึกอบรมสติ ควบคุมจิต ให้เกิดพลังจิตที่มีประสิทธิภาพ ที่ควรแก่การงาน การกระทำกิจการงานใดๆ จะมีความสำเร็จ ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ เป็นพื้นฐานที่ถูกต้องต่อการดำรงชีวิต
    และการปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า เจริญสู่ขั้นสูงได้ง่าย ต่อไป การฝึกฝนตนเอง ด้วยการมีสติควบคุมจิต ต้องใช้ความเพียรอย่างมาก เพียงใดก็ตาม ก็ อย่า ได้มีความท้อถอย ที่ใดมีความตั้งใจจริง เพียรพยายามอยู่ ความสำเร็จย่อมมี
    ตามมาอย่างมิสงสัย

    (จากหนังสือ โลกทิพย์ ฉบับที่ ๔๑๐ ประจำเดือน พฤษภาคม ๒๕๔๗ หน้าที่๓๐-๓๑)

    พระอาจารย์ ประสิทธิ์ ปุญญมากโร
    วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ...ให้รู้จักว่า.."วิธีทิ้งร่างกายทำอย่างไร"
    ร่างกายนี้เป็นเหมือน "บ้านที่เราอยู่อาศัยชั่วคราว"
    ไม่ใช่เป็นตัวเรานะ เราเป็นเพียงผู้อาศัยอยู่
    สักวันหนึ่งพวกเราทุกคน
    ก็ต้องทิ้งบ้านหลังนี้เหมือนกัน
    .
    ...และวิธีที่จะทิ้งคือ "ทำใจให้สงบ" พุทโธๆไป
    อย่าไปรัก อย่าไปหวง อย่าไปเสียดาย
    คิดว่าเป็น "ของที่เรายืมเขามา"
    เดี๋ยวเจ้าของเขาจะมาเอาคืนไป "ก็คืนเขาไป"
    .
    ...เรา "ไม่ได้เป็นร่างกาย"
    เพราะฉะนั้น..เราไม่ต้องกลัวนะ
    "เราไม่ได้ตายไปกับร่างกาย"
    .
    ...เราจะ "ทุกข์หรือไม่ทุกข์"
    อยู่ที่ว่า "เราสงบหรือไม่สงบ"เท่านั้นเอง
    ถ้าเราสงบ..เราก็จะไม่ทุกข์
    ก็เหมือนกับ..เวลานอนหลับไป..เท่านั้นเอง
    เวลาตายไม่มีอะไร
    .
    ...แล้วเวลาเกิดก็เหมือนกับ ตื่นขึ้นมาใหม่
    พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็ได้ร่างกายอันใหม่
    ดังนั้นขอให้เรา "ทำใจให้สงบ"
    .
    ...ความสงบนี่แหละ "เป็นบุญที่สูงส่งที่สุด"
    สูงกว่า..การทำทาน สูงกว่า..การรักษาศีล
    ทำใจให้สงบได้ก็จะ.."ไปสู่สุคติ ไปสบาย "
    และถ้ายังไป..ไม่ถึงพระนิพพาน
    ก็กลับมาเกิดใหม่ที่..ดีกว่าเก่า
    .
    ...ดังนั้น ขอให้เราหัด "ทำใจให้สงบ"
    พิจารณาสอนใจอยู่บ่อยๆ ว่า
    "ร่างกายไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา"
    ร่างกายเป็น..ดิน น้ำ ลมไ ฟ...
    .....................................................
    .
    คัดลอกการแสดงธรรม
    ธรรมะบนเขา 23/10/2557
    พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
    วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]

    ต้นหาย กำไรสูญ เปรียบเสมือนคนเราบางคนที่ตั้งอกตั้งใจทำงาน จะประกอบการค้าขาย หรือทำกิจการงานอะไรก็ดี ตั้งแต่เยาว์วัยจนกระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาวและแก่เฒ่าแก่ชราในที่สุด และถึงพร้อมด้วยความร่ำรวยสมบูรณ์พูนสุข สร้างบ้านสร้างเรือน สร้างหลักฐานได้อย่างมั่นคง ตลอดจนสร้างเกียรติยศ สร้างชื่อเสียง จนได้ลาภ ทุกสิ่งทุกอย่าง

    แต่คนบางคนที่กล่าวถึงเหล่านี้ เมื่อถึงกาลเวลาอันสมควร ซึ่งที่จริงก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับทรัพย์สมบัติในทางโลกที่ได้สร้างสม มามากแล้ว ก็ควรจะหยุด เพื่อรีบสร้างสมสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ในบั้นปลายของชีวิตให้มากที่สุดเท่า ที่จะกระทำได้บ้าง

    แต่เขาเหล่านั้นก็หาได้มีความหยุด ความยั้ง ความละ ความปล่อย ความวาง ในทรัพย์สมบัติที่หามาได้เหล่านั้นไม่ มุ่งหน้าที่จะคิดอ่านประกอบกิจการงานให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงถึงว่า สักวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว

    ความตายก็จะต้องมาถึงเข้าอย่างแน่นอน
    ในที่สุดร่างกายของเขาก็ถึงซึ่งควา มแตกดับจริงๆ และย่อยยับสูญหายไป ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนหามาได้ไว้ในโลกนี้ให้กับคนอื่นทั้งหมด
    ไม่สามารถที่จะนำเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นติดตามตนไปได้แม้แต่นิดเดียว โดยที่ตนเองมิได้ประกอบคุณงามความดีในทางสร้างสมในสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ใ ห้มากเท่าที่ควรเลย ซึ่งตนเองก็มีโอกาสและโชคดีอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็มิได้กระทำลงไป

    จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดในชีวิตของเขา เปรียบเสมือน ต้นหายกำไรสูญ ต้นก็คือ ร่างกายและทรัพย์สมบัติที่หามาได้ทั้งหมด กำไรก็คือ บุญกุศลหรือสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ แทนที่จะได้ก็ไม่ได้ และถ้าใช้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปในทางที่ไม่ดีผิดศีลธรรมอีกด้วยแล้ว หรือ ยึดในทรัพย์สมบัติที่หามาได้นั้นมากเกินไป ก็ยิ่งจะขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ต้นก็หาย กำไรก็สูญ ชีวิตนี้ก็ขาดทุน

    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    " ผลอานิสงส์ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ "

    ผู้ข้าฯ ออกปฏิบัติกรรมฐาน มีอยู่ครั้งหนึ่ง “เปรตอยู่วัดภูจ้อก้อ บ้านแวง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ ถูกมัดติดกัน ๓๐๐ ตน ผ่านมาแล้ว ๓ พุทธันดร มัดติดกัน ขยับก็มิได้ หิวไม่ได้กิน แต่ไม่ตาย ทนทุกข์เสวยวิปากกรรมอยู่

    เราถามดูได้ความว่า... เป็นญาติของครูบาขาว ชาวลำปาง มาอยู่จำพรรษาวัดหนองน่องแล้ว พากันไปอยู่ภูจ้อก้อออกพรรษาแล้ว

    ครูบาขาว คนลำปางอาวุโสกว่า ได้ปั้นพระพุทธรูปในถ้ำ แล้วให้แม่ชีเอาปัจจัยไป ซื้ออาหารมาปรุงทำบุญอุทิศให้ ได้กินข้าวกินน้ำ

    แต่ยังไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่ม แม่ชีเอาปัจจัยไปซื้อผ้าบังสุกุล ถวายพระเณรอีก อุทิศบุญให้ทีนี้ได้เสื้อผ้าสวมใส่ขอลาไปเกิด จะได้เกิดเป็นมนุษย์

    ๑. สร้างพระพุทธรูป
    ๒. ถวายอาหารข้าว น้ำ
    ๓. ถวายผ้านุ่งห่ม

    อุทิศไปให้ ผลอานิสงส์ได้ไปเกิด

    ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม

    (วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    ๒๐ เมษายน ๒๕๕๙
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    "มงคลของหมา"

    เรื่องที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ชอบพูดประกอบในเวลาที่ท่านสั่งสอนศิษย์ หรือบางครั้งในการแสดงพระธรรมเทศนา ท่านมักจะยกเรื่องความดีของสุนัข ซึ่งท่านเรียกว่า มงคลหมา

    หลวงปู่ ได้พิจารณาเกี่ยวกับสัตว์ ซึ่งเป็นสายของสัตว์โลก มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน หลวงปู่บอกว่าบางครั้งสัตว์ยังดีกว่าคนบางคนเลยอีก สัตว์ทุกจำพวกมันมีดีประจำอยู่ในตัวของมัน ตามภูมิของมัน การพิจารณาชีวิตของสัตว์อันเป็นเครื่องของวัฎฏสงสารเหมือนกันนี้ เป็นการหาอุปมาเครื่องเปรียบเทียบ ดังนั้นเวลามีโลกธรรมครอบงำ เราก็สามารถพิจารณาหาเหตุผลมายับยั้งชั่งใจได้ เช่น ถ้าใครเขาด่าเปรียบเปรย ว่าเราเป็นหมา ก็ไม่น่าจะโกรธ เพราะหมาก็มีความดีหลายอย่าง

    หลวงปู่ดื้อท่านบอกว่า ลองพิจารณาดูให้ดี จะเห็นว่าหมาก็มีมงคล คือ ความดีประจำตัว อย่างน้อยก็ ๒๐ ประการ คือ

    ๑. หมาวิ่งได้เร็ว คนวิ่งตามไม่ทัน
    ๒. หมาเดินกลางคืนได้ ไม่ต้องจุดไฟ
    ๓. หมาเข้าป่าหนามไม่ปักตีน
    ๔.. หมามีจมูกเป็นทิพย์
    ๕. หมากินอาหารได้ไม่เลือก
    ๖. เวลาเยี่ยวมันยกขาไหว้ธรณี
    ๗. ก่อนนอนหมาเดินเวียนสามรอบ
    ๘. เวลาสืบพันธุ์ หมาไม่รู้จักอาย
    ๙. หมารู้จักเจ้าของดี
    ๑๐. ถ้ามีแขกแปลกหน้ามา หมามันเห่า
    ๑๑. หมาออกลูกไม่ต้องมีแม่หมอ
    ๑๒. หมากินอาหารก้างไม่ติดคอ
    ๑๓. หมาไม่เคยห่มผ้า
    ๑๔. เวลานอนหมาไม่หนุนหมอน
    ๑๕. หมาไม่ต้องปูที่นอน
    ๑๖. หมากินข้าวแล้วไม่ต้องกินน้ำ
    ๑๗. หมาไม่ต้องคิดบุญคิดบาป
    ๑๘. หมานอนตากแดดได้นานถึง ๓ ชั่วโมง
    ๑๙. ไม่ถึงฤดูกาลไม่มีการสืบพันธุ์
    ๒๐. หมาตกน้ำไม่ตาย ว่ายน้ำได้เร็วกว่าคน

    หลวงปู่ท่านบอกว่า คนเราหากไม่มีดี ก็สู้สัตว์ไม่ได้ และจะถูกตราหน้าว่า เป็นคนประพฤติถอยหลัง ไม่สมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ หมาบางตัวที่เขาเลี้ยงไว้ มียศถึงนายพันเอกมีเงินเดือนหลายพันบาท ใครจะว่าหมาไม่ดีก็ว่าไม่ได้

    ลูกสาวคุณนายเลี้ยงมาแต่เล็กๆ หมดเงินเป็นแสน เวลาโตขึ้นมาทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ต้องลำบากเดือดร้อนเนรคุณก็มี เรื่องเช่นนี้ไม่มีในหมา

    หลวงปู่ยกมงคลหมาขึ้นมาแสดง เพื่อให้เราเห็นเป็นเครื่องเปรียบเทียบว่า คนเราถ้าไม่มีศีลธรรม ก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์


    ...หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม...
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    " ถ้าโยม ไม่เจริญกรรมฐาน รับรอง ๑๐,๐๐๐ % จะให้อภัยใครไม่ได้

    ผูกพยาบาทตลอดเวลา ถ้าท่านไม่มีกรรมฐานแล้ว ท่านจะให้อภัยได้ยาก อโหสิกรรมกันได้ยาก มีแต่ผูกใจโกรธ ผูกพยาบาทถึงท่านคนนั้น จะบริจาคทาน สร้างวัดกี่วัดก็ตาม ก็ยังให้อภัยทานไม่ได้

    ท่านต้องมีจิตใจสูงในกรรมฐาน ต้องมีสติปัฏฐานกำหนดจิต รู้หนอๆ รู้ว่าเราโกรธเขา รู้หนอๆ อย่าโกรธเขาเลย ให้อภัยเขาเถอะ มันด่าเรา กำหนดต่อไป ด่าเรายังโกรธ ก็โกรธหนอๆๆ อ๋อบัดนี้ข้าพเจ้า ไม่โกรธแล้ว ข้าพเจ้ามีกรรมฐาน ข้าพเจ้าจะไม่ขอโกรธท่าน

    เรียกว่า " อ โ ห สิ ก ร ร ม " ก ร ร ม นั้นจะ ไ ม่ ต่ อ ใ ห้ ยื ด ย า ว เรียกว่า ตัดให้สั้น เหมือน รถหมดน้ำมัน ไม่วิ่งอีกแล้ว กรรมไม่ต่อกรรมอีกแล้ว เรียกว่า อโหสิกรรม นี่แหละ กรรมฐาน จึง แก้กรรมได้

    เจริญกรรมฐาน อโหสิกรรมได้ จะได้ไม่มีกรรมเวรกันไปในชาติหน้า เราจึงนิยมการลากรรมฐาน ขออโหสิกรรม ขอขมาลาโทษพระรัตนตรัย อาจจะ เจตนาไม่ดี คิดไม่ดี อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นบาปเป็นกรรมทั้งสิ้น

    จึงต้องให้อภัยทาน ให้อภัยโทษเรียกอย่างหนึ่งว่า " อโหสิกรรม " จะไม่เอาเวรกรรมกันต่อไปอีก กรรมสิ้นกันเสียทีนับแต่บัดนี้คือการเจริญพระกรรมฐาน
    คนที่ เ จ ริ ญ ส ติ ไ ด้เขาจะให้อภัยทุกประการนี่ ขอฝากไว้ "


    พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
    หนังสือกฎแห่งกรรม วิปัสสนา สื่อวิญญาณตอนที่ ๙ หน้าที่ ๖๕-๖๖
    (ทำได้ ได้ธรรม)
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    “ อนาคตวงศ์ ”

    อีกเรื่องหนึ่งหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ได้ปรารภในวันนี้ว่า...

    “ นักบวช พระเณรหลายรูปที่เป็นนักบวช บางรูปบางองค์ก็ยังมีความเห็นขัดในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าอยู่

    เป็นศิษย์ของเพิ่นครูอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก็ไม่ได้ความเห็นอย่างเพิ่น ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะพากันมาจากอเจลกะเพิ่งจะพ้นมา แต่มายินดีในการบวชก็พากันบวชอยู่ได้จนเฒ่าแก่ตายไป

    ส่วนความเห็นผิดนั้นเพราะได้เคยได้เห็นได้ความรู้ผิดๆ มาโดยตลอดต่อไปหลายพุทธะก็จะเห็นถูกต้องได้ ”

    อีกเรื่องหนึ่งก็คือ “ อนาคตวงศ์ ” วงศ์ของพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้ามีอยู่ตามลำดับดังนี้

    ๑. พระศรีอาริยเมตไตรโย พระวิริยะที่ ๓ อายุยืน ๘๐,๐๐๐ ปี มาตรัสอยู่อินเดีย

    ๒. พระรามจะ เป็นพระวิริยะที่ ๑ อายุ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ตรัสอยู่หนองแส มีรัศมีครอบโลก

    ๓. พระมาราธิราช (ธรรมสามี) พระวิริยะที่ ๒ ตรัสอยู่เวียงจันทร์
    อายุ ๙๐,๐๐๐ ปี

    ๔. พระยาปเสนทิโกศล(พระธรรมราชา) พระศรัทธาที่ ๑ อายุ ๔๐,๐๐๐ ปี ตรัสอยู่อินเดีย

    ๕. พระอินทราธิราช หรือ พระนารโทพุทธะ เป็นพระศรัทธาที่ ๓ อายุ ๒๐,๐๐๐ ปี ตรัสอยู่อินเดีย ผู้เป็นสิริคุตต์อำมาตย์ในยุคสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ

    ๖. พระสุภะ(รังสีมุนีพุทธะ) แบบพระวิริยะที่ ๓ อายุ ๘ หมื่นปี ตรัสอยู่เวียงจันทร์

    ๗. พระโสณะ(พระเทวเทพ) แบบปัญญาที่ ๓ อายุ ๑๐๐ ปี
    อย่างเดียวกันกับ องค์พระพุทธเจ้าโคตมะ (องค์ปัจจุบัน)
    ตรัสอยู่จีน คุนหมิง อายุศาสนา ๕,๐๐๐ ปี

    ๘. พระพุทธเจ้าเตยยะ หรือ นรสีหพุทธะ แบบวิริยะที่1
    อายุ ๑๐๐,๐๐๐ ปี เป็นเสนาบดีถวายข้าว ๓ ห่อแด่พระพุทธเจ้ากัสสปะ ตรัสอยู่อินเดีย

    ๙. พระนาฬาคิลิงค์(ติสสะพุทธะ) วิริยะที่ ๑ ตรัสอยู่พาราณสี ตั้งสุญญกัปป์ ๑๑๕,๐๐๐ กัปป์

    ๑๐. พระปาลิไลยโย ครูบาศรีวิชัย(สุมังคโลพุทธะ) ตรัสอยู่เชียงใหม่ แบบวิริยะที่ ๑

    ครูบาศรีวิชัย จะได้มาตรัสเป็นพุทธองค์ที่ ๑๐ นับจากพระศรีอาริย์ฯ ไปตั้งใจของตนอย่างดีให้อภัยแก่ผู้เบียดเบียน ตั้งใจบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม

    เวลาได้เป็นพุทธะ รูปงาม วรรณะงาม รัศมีงาม เทศน์น้อย ลาภมาก
    ชีวิตนี้ก็เทศน์สอน ให้คนเรียนอิติปิโสฯ

    ตัวท่านก็ว่า... “ เรียน อิติปิโสอยู่ แต่ยังไม่จบ ใครเรียน อิติปิโสฯ จบ ก็ได้สำเร็จ ”

    ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม

    (วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่านครับ
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    “ เออ...พอได้ความ ”

    มีโยมคณะหนึ่ง ครอบครัวหนึ่ง นับเป็นลูกศิษย์ดั้งเดิมและเหนียวแน่นมาโดยลำดับสม่ำเสมอมาโดยตลอด จากพ่อแม่มารุ่นลูก มารุ่นหลาน วันหนึ่งเขามาถามว่า

    “ หลวงพ่อ พวกผม ลูกเมีย ลูกหลาน มาหาหลวงพ่อนี้ ๓๔ - ๓๕ ปีนี้แล้ว บุญก็ทำมามาก แต่พอเข้าที่ภาวนา ทำไมมันยากนัก ไม่เป็นไม่เห็นเหมือนกับคนบางคนที่เขามาปฏิบัติไม่นานก็เห็นนั่นเห็นนี่

    หลวงปู่ : อย่าไปอยากเห็นนั่นนี่กับเขา ให้เขาเห็นไปเถอะ นิมิตขี้จุ๊นั่นนี่ จะถามว่า...

    ๑. ให้ทานแล้วนี้ ความขี้เหนียวห่วงหาอาลัยมีไหมในใจ ?
    โยมตอบ : ไม่มี มีแต่อิ่มใจ

    ๒. ความโขด (โกรธ) น้อยลงไหมล่ะ ?
    โยมตอบ : น้อยลง รู้ตัวได้ไวขึ้น

    ๓. ความเมาโลกเมาทุกข์ล่ะ ?
    โยมตอบ : รู้ตัวเองดีขึ้น

    ๔. ความอยากได้เกินไปนั่นหล่ะ ?
    โยมตอบ : อยากร่ำอยากรวยไม่เท่าไหร่ ขอแต่พออยู่ได้ พออยู่พอกินเท่านั้น
    โยม : ภาวนาแล้วไม่เป็น ไม่เห็นนั่นนี่อย่างคนอื่นเขา แต่เมื่อผมมาพิจารณาตัวของตัวเอง อย่างที่หลวงพ่อถามมานี้ ก็รู้จักตัวเองได้ดีขึ้น

    หลวงปู่ : เออ...ต้องอย่างนั้น ได้ความแล้ว จะไปเก็บเอากากเอาเดนมาให้รกทำไป ?
    โยม : ครับผม


    (มหาปุญโญวาท) หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม
    (วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
    ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทุกทาง หากพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง ก็ถอนได้

    กามกิเลสนี้แหละ เป็นบ่อเกิดแห่งการฆ่ากันตาย ชิงดีชิงเด่น กิเลสตัวเดียว ทำให้มีการต่อสู้แย่งชิงกัน ทั้งความรักความชัง จะเกิดขึ้นในจิตใจก็เพราะกาม

    นักปฏิบัติต้องเอาให้หนักกว่าธรรมดา ทำใจของตนให้แน่วแน่ มันจะไปสงสัยที่ไหน ก็ของเก่าปรุงแต่งขึ้นเป็นความพอใจไม่พอใจ มันเกิดมันดับอยู่นี่ ไม่รู้เท่าทันมัน ถ้ารู้เท่า ทันมัน ก็ดับไป ถ้าจี้มันอยู่อย่างนี้ มันก็ค่อยลดกำลังไป ตัดอดีต อนาคตลงให้หมด จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน ทำในปัจจุบัน แจ้งอยู่ในปัจจุบัน


    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    " พุทโธ พุทโธ หมายความว่า ให้ใจยึดเอาพุทโธเป็นอารมณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้จิตออกไปสู่อารมณ์ภายนอก

    เพราะอารมณ์ภายนอกมันชอบไปจดจ่ออยู่กับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความถูกต้องทางกาย หากทุกสิ่งทุกอย่างมันไปจดจ่ออยู่ที่นั่น จิตมันจะไม่รวมลง นี่แหละ เรียกว่า มาร คือ ไม่มีสติ อย่าให้จิตไปจดจ่ออย่างนั้น

    ให้มาอยู่กับผู้รู้ ให้น้อมเอา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอารมณ์ จะอยู่ในอิริยาบถใด ก็ให้มีความเพียร ผู้ที่ภาวนาจิตสงบลงชั่วช้างพับหู งูแลบสิ้น ชั่วไก่ดินน้ำ นี่ อานิสงส์อักโข ให้ตั้งใจทำไป

    การที่จิตรวมลงไปบางครั้ง มี 3 ขั้นสมาธิ คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ

    หากรวมลง ขณิกสมาธิ เราบริกรรมไป พุทโธ หรืออะไรก็ตาม จิตสงบไปสบายไปสักหน่อย มันก็ถอนขี้นมา ก็คิดไปอารมณ์เก่าของมันนี่

    ส่วนหากรวมลงไปเป็น อุปจารสมาธิ ก็นานหน่อยกว่าจะถอนขึ้นไปสู่อารมณ์อีกให้ภาวนาไป อย่าหยุดอย่าหย่อน ค่อยเป็นค่อยไป

    ไม่ต้องไปนึกคาดหวังอะไร อย่าให้มีความอยาก เพราะมันเป็นตัณหา ตัวขวางกั้นไม่ให้จิตรวม

    ไม่ต้องไปกำกับว่า อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ การอยากให้จิตรวมลง เหล่านี้แหละเป็นนิวรณ์ตัวร้าย

    ให้ปฏิบัติความเพียรไม่หยุดหย่อน เอาเนื้อและเลือด ตลอดจนชีวิตถวายบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ เราจะเอาชีวิตจิตใจ ถวายบูชาพระรัตนตรัย ตลอดจนวันตาย นี่ก็เป็นมัชฌิมาปฏิปทา

    แล้วจิตจะรวมลงอย่างไร เมื่อไร ก็จะเป็นไปเองเมื่อใจเป็นกลาง ปล่อยวาง สงบถูกส่วน "


    หลวงปู่ขาว อนาลโย
    https://www.facebook.com/groups/ThammaLuangpuMun/
     

แชร์หน้านี้

Loading...