ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    นาของเราเป็นนาที่ทำยาก

    “นาของเราเป็นนาที่ทำยาก จะทำอย่างง่ายดายเหมือนนาที่เขาทำง่ายนั้นไม่ได้ แต่เพราะนาแปลงนี้เป็นนาของเรา แม้จะทำยากแสนยากเราก็ต้องทำ ง่ายเราก็ต้องทำ จะไปทำนาคนอื่นไม่ได้ ผิดคติธรรมดาความนิยมของโลก นาของเขาจะง่ายหรือยาก เขาก็ต้องทำนาของเขาเช่นเดียวกับเรา

    นิสัยนี้เป็นนิสัยของเรา จะหยาบหรือละเอียดก็มิใช่ผู้อื่นใดมาสร้างนิสัยประเภทนี้ให้เรา เราเป็นผู้สร้างมาเอง เราต้องเป็นผู้บึกบึน แก้นิสัยของตัวเองจากนิสัยหยาบขึ้นสู่ความละเอียด ต่อไปก็จะกลายเป็นของง่ายขึ้นมา รายที่บำเพ็ญปรากฏผลได้ง่ายก็มีหน้าที่จะเร่งความเพียร เพื่อปรากฏผลขึ้นไปโดยรวดเร็วเช่นเดียวกัน จนถึงจุดหมายที่ต้องการ จะประมาทนอนใจ โดยถือว่าตนทำง่ายย่อมไม่ควรเหมือนกัน”

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๐๘

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  2. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  3. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    การเลือกคบคน
    ปัญหา ในการคบคนนั้น เราควรจะเลือกคบคนเช่นใด?
    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่ไม่ควรคบเป็นอย่างไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเลว โดย ศีล สมาธิ ปัญญา บุคคลเช่นนี้ไม่ควรคบ ไม่ควรเสพ ไม่ควรเข้าไปนั่งใกล้ นอกจากจะเอ็นดูอนุเคราะห์กัน
    “บุคคลที่ควรคบ… คืออย่างไร? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเสมอกับตนด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา บุคคลเช่นนี้ควรคบ…เพราะเหตุไร เพราะเราผู้เสมอกับตนด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา จักมีการสนทนากัน เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา การสนทนานั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความผาสุกแก่พวกเรา
    “บุคคลที่ควรสักการะ เคารพแล้วคบ…. คืออย่างไร? บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ยิ่งกว่าเราโดยศีล โดยสมาธิ โดยปัญญา บุคคลเช่นนี้ควรสักการะ เคารพแล้วจึงคบ…เพราะเหตุไร เพราะอาจหวังได้ว่า จักบำเพ็ญศีลขันธ์….. สมาธิขันธ์…. ปัญญาขันธ์…. ที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ หรือจักสนับสนุนศีลขันธ์….. สมาธิขันธ์…. ปัญญาขันธ์…. ที่บริบูรณ์แล้วด้วยปัญญาในที่นั้น ๆ….
    “บุรุษคบคนเลว ย่อมเลวลง คบคนเสมอกัน ย่อมไม่เสื่อมในกาลใด ๆ คบคนที่สูงกว่าย่อมพลันเด่นขึ้น ฉะนั้นจึงควรคบคนที่สูงกว่าตน..”
    เสวิสูตร ติก. อํ. (๔๖๕)
    ตบ. ๒๐ : ๑๕๗-๑๕๘ ตท. ๒๐ : ๑๔๑-๑๔๒
    ตอ. G.S. ๑ : ๑๐๘-๑๐๙

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  4. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  5. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “การรักษาศีล ปัญญาต้องมาก่อน”

    ” .. แต่เราพูดว่ารักษาศีลก่อน ตั้งศีลก่อน ศีลจะสมบูรณ์อย่างไรนั้นจะต้องมีปัญญา จะต้องค้นคิดกายของเรา วาจาของเรา พิจารณาหาเหตุผล นี่ตัวปัญญาทั้งนั้น

    ก่อนที่จะตั้งศีลขึ้นได้ต้องอาศัยปัญญา เมื่อพูดตามปริยัติก็ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา อาตมาพิจารณาแล้ว การปฏิบิตนี้ต้องปัญญามาก่อน

    มารู้เรี่องกาย วาจา ว่าโทษของมันเกิดขึ้นมาอย่างไร ปัญญานี้ต้องพิจารณา หาเหตุผล ควบคุมกาย วาจา จึงจะบริสุทธ์ได้ .. ”

    หลวงปู่ชา สุภัทโท

    -ปัญญาต้องมา.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  6. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…..อย่ามัวเมาเล่น เมาหัวนะ ครูบาอาจารย์แห่งหมดไปหน้านะ

    ทุกวันนี้ก็ร่วงไปร่วงไป เดี๋ยวองค์นั้นร่วงไป เดี๋ยวองค์นี้ร่วงไป

    ได้ยินได้ฟัง แล้วสลดสังเวช อาลัยพ่อแม่ครูบาอาจารย์เพิ่น

    แต่พวกที่ยังอยู่นี้กะให้พากันตั้งใจ อย่าสิมาทำเล่นทำหัว

    ให้ทำจริง ๆ แล้วจะได้เห็นจริงธรรมะของพระพุทธเจ้า

    บ่โดนหน๋าอายุคนเรา มันหดลงหดลง จ้อเข้าจ้อเข้า

    เวลานี้ครูบาอาจารย์ยังมี ให้รีบเร่งปฏิบัติความพากความเพียร

    เพราะเรื่องของจิตมันแก้ยาก หากขาดครูขาดอาจารย์ที่รู้จริงเห็นจริงแล้ว ก็ยากที่จะแก้ไขได้…..”

    โอวาทธรรมองค์หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองบัวซอ จ.อุดรธานี

    ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    1505464868_83_อย่ามัวเมาเล่น-เมาหัวน.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  7. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…จะทำกับข้าวสักอย่างหนึ่ง ให้คิดดูว่าจะใช้ภาชนะอุปกรณ์ครัวกี่ชิ้นกี่

    อันนับมิได้ กว่าจะสำเร็จเป็นต้มยำทำแกง เป็นกินอิ่มหนำ

    ทาน ศีล ภาวนา กิริยาบุญใด ๆ บารมีใด มรรคใด ๆ ก็เป็นแต่บริวาร

    บริขารของธรรมะ เป็นอุปกรณ์ธรรม อุปกรณ์วินัย อุปกรณ์สุตตันตะ

    เพื่อพรากกายจากใจ พรากจิตจากสังขาร ให้จิตเป็นกลาง

    เป็นขันธ์คงขันธ์ เป็นธรรมะคงธรรมะ ไม่กลับกลอก แปรปรวน กำเริบ

    จึงว่า หนทางอยู่นี่ อยู่ที่นี่ ที่หัวใจของผู้ปฏิบัตินี้แล…”

    โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม(วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  8. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    องค์หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ เล่าเรื่องสาวจะกระโดดกอด สมัยเป็นฆารวาส
    อายุ ๑๔ ปี ก่อนจะเข้าไปอยู่วัดรับใช้เพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) นั้น พ่อออก บ่าวเก๊อะ ฝึกหัดการค้าขายให้ เอาฝ้าย เอาไหม เอาของป่า ไม้ไร่ ยาสมุนไพรบางอันบางอย่างลงไปค้าขายเมืองยโสฯ เมืองอำนาจฯ บางปีก็ไปจนถึงอุบลฯ เอาของขายบรรทุกใส่เกวียน จนเต็มกำลังลากของวัวเกวียนจะไปได้
    จนครบรอบปีมานับเงินค้าขายในครอบครัวปีที่ได้น้อยสุด ๔๐๐ – ๕๐๐ ปีที่ได้มากสุด ๗๕๐ บาท ต่ำลงมา ๔๐๐ บาท ขยับขึ้นไป ๗๕๐ – ๗๖๐ บาท

    พ่อออก (โยมพ่อขององค์หลวงปู่จาม) ขายวัวขายควาย แต่ก่อนเขามาซื้อไปฆ่าก็ขาย พอเพิ่นครูอาจารย์มั่นมาห้าม ก็ขายให้แต่พวกนายฮ้อยหรือพวกที่มาซื้อไปเลี้ยง

    แม่ออก (โยมแม่ขององค์หลวงปู่จาม) ทำสวนฝ้ายปลูกหม่อนเลี้ยงไหม พอเพิ่นครูอาจารย์เสาร์ (กนฺตสีโล) มาห้ามมิให้เลี้ยงไหม ไม่ให้สาวไหม ก็เปลี่ยนมาซื้อแต่เส้นไหมเป็นกิโลละ ซื้อเก็บไว้ พอหน้าแล้งก็เอาไปขาย

    อายุ ๑๓ – ๑๔ ปี พ่อออกเอาไปค้าขายด้วย สอนให้ไปด้วยกันหลายคน เกวียน ๔ – ๕ ลำ ค่ำไหนก็นอนพัก พักให้วัวได้กินหญ้ากินน้ำ ไปพักอยู่บ้านเสาเล้าลำแขกนั้นหล่ะ บ่าวเก๊อะบอกให้ไปขอข้าวสุกกับลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน
    สาวก็บอกว่า “ ขึ้นมาเอาเทิงเฮือน ”

    เราก็ขึ้นไปเขาก็ทำกุกกักๆ อยู่ในเรือนไฟ “ เข้ามาเข้ามาเอาข้างใน ”
    เราก็ซื่อ เข้าไปข้างในเรือนไฟ เขาก็กระโดดมาจะกอดเรา เราก็หลบตัวสาวก็เซคะมำไป เกือบเสียท่าสาวแล้วนี่ ตัดสินใจกระโดดบ้านลงมา
    “ อีหล้าไปเฮ็ดอิหยังกับนายฮ้อย ” แม่เขาร้องมาจากเรือนใหญ่ สาวก็ได้แต่หัวเราะ

    แต่เขาก็เอาข้าวสุกพร้อมกับข้าวไปส่งให้ถึงหมู่เกวียน อีสาวน้อยกำลังเป็นสาวซิกริกนี้แหละ ก็มองเราตาใสเลยทีเดียว เราก็มาเล่าให้พ่อออกฟัง พ่อออกก็ว่า “ ระวังอย่าไว้ใจสาวไทลาว ”…นี่ขาไป
    …ขามา มาพักอยู่บ้านกระเดาตาดทอง พักอยู่นั้น ๓ วัน บ่าวเก๊อะ ได้เสี่ยวค้าขายด้วยกันจึงมาแวะพักอยู่บ้านเสี่ยว ก็มาเจออีก สาวคนนี้อายุ ๑๘ ปี ตัวเรา ๑๔ ปี
    บ่าวเก๊อะ ก็ว่า “ มึงอยากได้เมียก็เอาเสีย เอาลูกเสี่ยวกูนี้ล่ะ เอาเมือด้วยคราวนี้ก็ได้ กูจะขอให้ ”

    เราก็ว่า “ จะเอาได้อย่างไร ใครจะกล้าเอา ตัวก็ดำ ตาก็โก้ง มือตีนก็ใหญ่ นมก็หลวง ปากก็กว้าง เอามาเป็นเมีย ลูกจะได้ไหลออกเหมือนลูกหมูไม่เอาหรอก ”
    อยู่ตาดทองอยู่ ๓ วัน สาวคนนี้ก็มาเฝ้าอยู่ เราออกไปเลี้ยงวัว อยู่ทุ่งนามันก็ไปด้วย เราก็ระวังตัวอยู่ มันก็ถามนั่น ถามนี่ เราระวังตัวอยู่กลัวมากอดปล้ำเอา
    พอวันลากลับมาบ้าน มันก็ร้องไห้คิดฮอด
    บ่าวเก๊อะ ก็พูดหยอก “ นั่นเมียมึงไห้นำแล้วนั่น ” เราก็หันหลังให้ไม่ยอมกลับไปเหลียวมองสาวอีก รีบไล่วัวให้ออกไปไวๆ จะได้พ้นอันตรายไปได้

    ได้เงินมาแล้วก็ใช้จ่าย ซื้อเสื้อผ้า ซื้อของทำบุญ ซื้ออยู่ซื้อกิน ปีเพิ่นครูอาจารย์มั่นมาอยู่ด้วยนั้น แม่ออกซื้อพรมปูรองนอนลายดอกสีแดงเป็นพรมที่ทอด้วยผ้า ราคา ๓๐ บาท แล้วพ่อออกแม่ออกก็เอาไปวางบังสุกุลถวายเพิ่นครูอาจารย์มั่นอยู่เชิงกะไดกุฏิ เพิ่นก็รับให้แต่เพิ่นไม่ใช้ เอาไปถวายเพิ่นครูอาจารย์เสาร์อยู่ถ้ำจำปานาคันแท

    เอาของไปขายจนหมดแล้วก็กลับมา ขากลับมาซื้อเกลือ ซื้อปลาร้า ของอยู่ของกินอย่างอื่น เสื้อผ้า ของให้ทานพระเณร กลับมาแต่อุบลหรือถ้าไปแค่ยโสธร ก็ซื้อมาแต่ยโสธร ไปถึงอุบลก็ลำบากเรื่องการข้ามน้ำ ต้องจ้างพวกลากแพข้ามไป
    ขายได้ดีได้ง่ายคือผ้าไหมผืนที่ทอแล้ว อันนี้ขายได้ง่ายราคาดีเส้นไหมก็ขายได้ ไม้ไร่ทำกระติ๊บข้าวก็ขายได้ง่าย…

    ***คัดจาก ธรรมประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ : วัยติดตนต้นธรรม

    ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุก ๆ ท่าน

    1505472309_990_องค์หลวงปู่จาม-มหาปุญฺโ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  9. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    บุพพกรรมของตัวเอง

    หนีจากผีพวกนั้นมาอยู่สันป่าเคียะใกล้แม่กอย จะภาวนาอยู่นั้นก็ไม่อยู่ ทั้งที่ภาวนาก็ดีอยู่ จิตใจนึกคิดแต่ไปทางสะเมิง จึงได้ลงไปดอยแม่ปั๋ง อาจารย์หนูไม่ไปด้วย ลาจากกันแล้วก็ลงไปแม่แตง ต่อไปแม่ริม เข้าไปทางสะเมิง

    มาคิดดูเดี๋ยวนี้เห็นจะเป็นพระบุพพกรรมของตนก็เป็นไป ไปถึงสะเมิงแล้วก็ต่อไปทางแม่บ่อแก้ว ว่าจะไปเสาะหาที่เจริญภาวนาก็เลยหลงดงหลงป่า หมู่บ้านผู้คนในยุคสมัยนั้นก็อยู่ห่างไกลกันยิ่งนัก เดินลัดตัดดอยขึ้นลงๆ อยู่อย่างนั้น

    อาหารบิณฑบาตก็ลำบากที่สุด บางวันได้แต่ข้าวเปล่า บางวันได้กล้วยลูกสองลูก บางวันได้น้ำอ้อยก้อน บากบั่นมุทะลุแท้ๆ ล่ะ สมัยยังหนุ่มแน่น เดินทางตลอดวัน ค่ำไหนนอนนั่น มันอยากแต่จะไปก็ให้มันไปลองดู มันจะเป็นอย่างไร ได้ฉันบ้างไม่ได้ฉันบ้าง ร่างกายก็อ่อนเพลียลง ยังดีแต่จิตใจยังมุ่งมั่นบากบั่นอยู่ ยังสู้อยู่ ไม่บ้าก็ใกล้ๆ บ้า เป็นคนน้อยหนุ่มนี้คิดนึกปุ๊บก็แต่งบริขารใส่บาตรใส่ย่ามก็ออกเดินทางทันที

    ใกล้ค่ำแล้วจึงได้ไปพบปะหมู่บ้านหนึ่ง ก็เลยพักปักกลดอยู่ใกล้ริมน้ำสายหนึ่ง ชาวบ้านมาเห็นเข้าจึงได้พาไปพักอยู่เถียงนา แล้วเขาก็ไปแจ้งข่าวกับผู้ใหญ่กับผู้เฒ่าแก่บ้านแก่เมือง ว่ามีพระธุดงค์มาพักอยู่เถียงนานอกหมู่บ้าน

    โยมผู้ใหญ่บ้านคนนั้นก็จัดการฆ่าไก่แล้วต้มยำมาให้เราฉันตอนค่ำมืด จุดตะเกียงส่องทางมา

    “ท่านเอ๊ย นิมนต์ฉันเต๊อะ เดินทางไกลมาทั้งวัน นิมนต์ฉันภัตนี้เต๊อะ ลูกบ้านของผมได้เข้าไปบอกว่า นิมนต์ท่านมาพักอยู่นี้ ผมจึงได้ฆ่าไก่แล้วต้มทำมาให้ท่านได้ฉัน ภิกษุเดินทางฉันได้ นิมนต์เถอะครับ”

    เราก็ปฏิเสธว่า “อาตมาฉันวันละหน ฉันแต่เช้าแล้วก็แล้วไป ตื่นเช้ามาก็ออกบิณฑบาตขอมาฉันเหียแล้วก็แล้ว พระธุดงค์พระป่าไม่พากันนิยมฉันหลังตะวันเที่ยงตรงหัวเลยคล้อยบ่ายไปแล้ว”

    เมื่อปฏิเสธไปอย่างนั้น โยมผู้ใหญ่บ้านกับคนเฒ่าหลักบ้านนั้นก็เสียใจ พากันกลับไปกราบไหว้ก็ไม่ไหว้ แล้วกลับไปบอกลูกบ้านว่า…
    “วันพรุ่งนี้ไม่ต้องใส่บาตรให้ตุ๊ป่าต๋นนั้น มันไม่ฉันอาหารก็ให้ฉันใบไม้ยอดไม้อยู่ป่าไปเถอะ เมื่อคืนค่ำตะวานนี้ ข้าฯ ได้ต้มไก่ไปให้ฉัน ตุ๊ตนนี้ยังไม่ฉันให้เลย”

    เราเดินบิณฑบาตโยมผู้ใหญ่นั้นก็บอกประกาศไปก่อน มีคนเตรียมจะใส่บาตรพอผู้ใหญ่ บ้านประกาศไปก่อนแล้วเขาก็ไม่ยอมใส่บาตรให้ได้แต่ยืนมองเราอยู่ ไปจนสุดหมู่บ้านแล้วก็วกกลับมา ก็ไม่มีใครใส่บาตรสักคน

    กลับไปเถียงนา เก็บบริขารใส่บาตรใส่ย่าม กรองน้ำใส่กระบอก กรองน้ำฉันแล้วก็ออกเดินทาง มีโยมเดินสวนทางถามทางเขาก็ไม่ยอมบอกทางให้ว่าไปไหนต่อไปไหน หมู่บ้านอยู่ห่างเท่าไหร่ เขาไม่ยอมพูดด้วยเลย จึงได้เดาสุ่มไปตามเรื่อง จนบ่าย ๓ โมง จึงเห็นหมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่ง เข้าใจว่าพรุ่งนี้คงจะได้ฉันข้าวแน่นอนก็แวะพักใกล้ๆ กับทางนั้น เส้นทางเลาะไปตามลำห้วย อาบน้ำชำระกายตากผึ่งผ้าไว้ ค่ำมาก็ไหว้พระสวดมนต์ เจริญภาวนาจนดึกแล้วพักผ่อนไป

    ตื่นเช้าก็เข้าไปบิณฑบาต ผู้คนชาวบ้านเขาก็เดินหนีหลบเข้าในบ้าน ยืนอยู่หน้าบ้านนานๆ เขาก็ไม่ออกมา แรกๆ เราก็ไม่ได้สังเกต ไปจนสุดหมู่บ้านก็กลับมาทางเก่า มาถึงกลางหมู่บ้านเห็นศาลาที่ประชุมของเขา

    ยืนพิจารณาอยู่เห็นไม้กางเขน เห็นตัวหนังสือของฝรั่ง มองไปตามบ้านเรือนผู้คนก็เห็นไม้กางเขน จึงรู้ได้ว่า โอ… หมู่บ้านนี้เป็นบ้านพระเยซูนับถือคริตจักร

    วันนี้วันที่สองก็ไม่มีใครใส่บาตรให้เลย กลับไปที่พักเมื่อคืน เก็บบริขารได้แล้วเดินทางต่อไปอีก ได้อาศัยแต่กรองน้ำตามลำห้วยดื่มกินให้เต็มท้องแล้วก็ไปเรื่อยๆ วันนี้ไปจนค่ำมืด จึงได้พักปักกลดอยู่เลยค้อยต่ำจากสันดอย ได้ยินเสียงผู้คน ได้ยินเสียงหมาเห่า ได้กลิ่นควันไฟจางๆ นึกหมายในใจว่า พรุ่งนี้จะไปบิณฑบาตทางนั้น ขอให้ได้อาหารบิณฑบาตหน่อยเถอะ

    เมื่อตะวันขึ้นสายแล้วก็เก็บกลด เก็บบริขารแบกไปพร้อมเลย เอาไปซ่อนไว้ทางเข้าหมู่บ้าน แล้วห่มจีวรซ้อนสังฆาฏิเข้าบิณฑบาตก็เป็นอย่างเก่าอีก เราสังเกตดูตามหน้าบ้านของเขามีไม้กางเขนอยู่บ้างปละปลาย ยังไม่หมดทุกหลังคาบ้าน และยังไม่มีศาลาที่ประชุมของคริตจักร เดินไปจนสุดบ้านเรือนของผู้คนแล้วก็กลับคืนมาจนจะสุดหมู่บ้าน

    มีบ้านเรือนอยู่หลังหนึ่งอยู่ริมหมู่บ้านหลังสุดท้าย สังเกตดูมียายเฒ่ากับหลานน้อย ยายเฒ่านึ่งข้าวสุกแล้วพอดี หลานสาวยายเฒ่านั้นอายุสัก ๖ – ๗ ปี เราก็หยุดยืนอยู่นาน หลานน้อยมันก็อยากดูเรา ผลุบๆ โผล่ ลับล่ออยู่กับประตูบ้าน ตัวยายเฒ่านั้นหลบแอบมองอยู่ข้างใน เราก็ยืนต่ออีกอึดใจ หลานน้อยว่า…
    “อุ้ยๆ ตุ๊เจ้ามากุมบาตร”
    “บ่ต้องไปสนใจ อย่าได้ผ่อมัน”
    “บ่ผ่อบ่แลก็หันอยู่ ยืนอยู่ที่เก่านะอุ้ยเฒ่า”

    ยายเฒ่านั้นคงจะกลัวว่าเราจะยืนอยู่นาน ทำให้เรือนหลังอื่นมาเห็นเข้า ทำให้คนอื่นมาเห็นเข้า หรือจะอย่างไรก็ตาม จึงได้จกข้าวปั้นขนาดผลมะตูม ลูกขนาดกลางๆ ให้หลานน้อยออกมาใส่บาตรให้เรา เรารับแล้วเด็กน้อยมันก็ชะโงกดูบาตรของเขา

    “โห๊ะ… ได้ข้าวปั้นเดียว อุ้ยๆ ได้ข้าวปั้นเดียวเท่านั้นหน๋า”
    “อือ”

    เด็กน้อยมันก็วิ่งกลับเข้าบ้าน เราก็ยืนดูท่าทีอยู่นานอึดใจ ก็ตัดสินใจเดินออกจากหมู่บ้านมาที่ซ่อนบริขารไว้ ก็ว่าเดินไป หากมีน้ำมีที่นั่งฉันได้ก็จะฉันให้พอมีแรงอยู่บ้าง

    เดินได้ไกลจากหมู่บ้านพอสมควรแล้ว ก็รู้สึกว่ามีอะไรตามหลังมาจึงได้หันกลับไปมองดู เห็นหมาแม่ลูกอ่อน คงกำลังอยู่ในระหว่างการให้นมลูกน้อยของมัน มันคงตามมาแต่หมู่บ้าน จึงหันกลับเดินทางต่อ หมาตัวนั้นมันก็เดินตามมาเรื่อยๆ เราก็พิจารณาอยู่ว่า เอ… หมามันคงจะหิวเหมือนกันกับเรา ตัวเรานี้ชีวิตเดียว ตัวมันหลายชีวิต ชีวิตตัวมันลูกน้อยของมันก็คงจะหลายตัว ตัวมันก็ยอมโซ นมยานเหี่ยวแตบแซบ จึงพูดกับมันว่า…

    “หมาเอยกูก็ไม่มีอะไรจะให้ทานแก่มึง กูนี้ไม่ได้ฉันจังหันมาหลายวันแล้ว วันนี้ก็บิณฑบาตได้ไม่มาก กูจะสละให้มึงได้กิน เพื่อว่ามึงจะได้มีน้ำนมมีกำลังเรี่ยวแรงเลี้ยงลูกของมึงต่อไป”

    เราว่าแล้วก็จกข้าวปั้นนั้นในบาตรโยนให้มันมันก็อ้าปากรับแล้วคาบไปนอนหมอบกินอยู่ข้างทาง เราก็ยืนดูมันกินจนหมด มันคงยังไม่อิ่ม

    เราก็ว่า “หมดแล้วกูไม่มีอะไรให้มึงอีกแล้ว”

    จึงได้เอียงบาตรให้มันดู มันก็ดูว่าไม่มีอะไรในบาตรแล้วมันก็มองหน้าเราอยู่นานแล้วหันหลังให้เราวิ่งกลับเข้าหมู่บ้านไป เราก็หาที่ล้างบาตร เช็ดบาตรให้แห้ง เก็บบริขารใส่แล้วก็ออกเดินทางต่อไป

    สามวันแล้วที่ไม่ได้ฉันจังหัน วันนี้ท้องหิวแต่อิ่มใจ แต่ก็เหนื่อยเมื่อยล้ากับการเดินทางตลอดวันค่ำ แต่เช้าจนค่ำมาหลายวันแล้ว ก่อนหน้านี้หลายวันมาก็ขบฉันไม่ค่อยอิ่มท้องอิ่มไส้ ได้แต่ฉันน้ำเปล่ามาหลายวันแล้ว เช้าสายบ่ายคล้อย แดดก็ร้อน ใจก็หวิวๆ อยู่ หูอื้อกำลังเรี่ยวแรงเริ่มอ่อน เดินลัดดงลัดป่าขึ้นเขาลงห้วยขึ้นลง ขึ้นลง ขึ้นลงตลอดวัน เวลาตะวันเที่ยงตรงหัวนั่งพักฉันน้ำในกระบอกจนหมด กะว่าลงต่ำลงห้วยก็จะกรองเอาน้ำอีก ฉันน้ำแล้วก็นั่งพัก หายเหนื่อยแล้วก็เดินทางต่อ ใจยังสั่นๆ อยู่ อดใจเดินต่อไปอีก มองดูตะวันก็บ่ายคล้อย เดินต่อไปอีกได้เหนื่อยใหญ่ๆ หนึ่ง หูอื้อหนักเข้าตาก็ลายมืดตึบเข้ามา วูบดับทั้งยืนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ามันล้มลงในตอนไหน คงนอนสลบอยู่นานอยู่หรอก มารู้สึกตัวก็ว่า เอ…กูมานอนอยู่ตรงนี้แต่เมื่อไหร่ จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นเห็นดินเห็นใบไม้แห้ง เห็นก้อนหิน เห็นรากไม้ต้นไม้ เห็นป่าไม้

    โอ… กูนอนตายสลบไปนี่ นานเท่าใดหนอ จึงค่อยๆ พลิกตัวมองหาพระอาทิตย์ตะวันก็ค่ำลงมาก กะประมาณได้ประมาณสัก ๒ ชั่วโมง พอกำหนดสติได้แล้ว มีความรู้สึกเหมือนกับลมพัดลมเป่าเย็นเบาๆ เริ่มแต่ต้นคอไล่ลงไปจนบั้นเอว จากบั้นเอวก็กลับคืนขึ้นหาต้นคอตีนผม บาตรก็ยังคล้องไหล่อยู่ กลดก็วางข้างๆ ถุงย่ามก็ยังคล้องไหล่ อยู่ ความเย็นเบาๆ นั้นค่อยๆ ชัดขึ้น ชัดขึ้น ตัวเราเองก็เหมือนกับว่าพละกำลังเรี่ยวแรงมากขึ้นๆ จึงได้พลิกตัวไปทางหลัง

    เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณ ๒๐ ปี รูปร่างงดงาม หน้าตาดูดีเป็นคนหนุ่มรูปงาม ผิวดำแดง ดูมือเล็บดูเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านไม่เหมือนคนบ้านดงบ้านป่า

    เขาถามว่า “ท่านคงจะเหนื่อยมากนะครับ”

    “เหนื่อยอยู่” เราตอบพร้อมพยักหน้า

    “ไม่เป็นอะไรมากหรอก ให้นอนพักอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวผมจะเป่าให้หายเหนื่อย ขอโอกาสเน้อครับ”

    เขาว่าแล้วก็เริ่มเป่าให้อีกรอบไล่ลงจากหัวจนถึงปลายเท้า กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น ๓ รอบ ก็บอกว่า…

    “เอาล่ะท่านเอ๊ย ให้อดทนเน้อ บุพพกรรมมาถึงแล้ว ไม่เป็นไรหรอก สักพักคงจะหายเหนื่อย”

    เขาเป่าไปทั่วหมด เย็นๆ เบา เป่าไปถึงไหนมีกำลังเรี่ยวแรงไปถึงนั่น แล้วเขาก็ให้เราลุกขึ้น

    เราก็ว่า “ ดีแล้ว หายแล้ว สบายแล้ว คงจะนอนสลบอยู่ตรงนี้ เพราะเหนื่อยมาก หน้ามืดตาลาย ไม่ได้ฉันจังหันมาหลายวันแล้ว”

    “ท่านจะไปไหน ? ”

    “ตั้งใจจะไปป่าเมี่ยงแม่สม เลยหลงทางขึ้นๆ ลงๆ หลายดอยมาแล้ว แต่เช้า”

    “โอ… ดีล่ะผมก็จะไปทางนั้นเหมือนกัน ขอเอาของๆ ท่านมาให้ผมช่วยถือ ทั้งบาตร ทั้งย่าม ทั้งกลด ตัวท่านให้ถือเอาแต่ไม้เท้า ค่อยๆ เดินตามผมก็ได้”

    เราก็เอาบริขารให้เขาไป ถือเอาผ้าอาบน้ำผืนเดียวคลุมไหล่เดินตามเขาไป เดินไปไม่ช้าไม่เร็ว แต่ก็ไม่พอที่จะทันเขาได้ ในใจก็ว่าจะพูดคุยนั่นนี่อยู่ เราจ้ำเดินให้ทันตัวเขาก็เดินไวขึ้น เราเดินช้าเขาก็เดินช้า ระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกล จะคุยกันก็ไม่สะดวก จึงได้กำหนด “พุทโธ” เดินตามไป ทีนี้ไม่สนใจกับเขา กำหนดจิตอยู่รู้อยู่ตลอด สักพักมีความรู้สึกวูบวาบๆ ในจิต ยังตั้งตัวไม่ทันว่าอะไรเป็นอะไร ก็มาถึงทางแยก

    “ถึงทางแยกแล้วล่ะท่านเอย ผมเองมีธุระจะไปทางปลายห้วยน้ำแม่สมนี้ บ้านแม่สมให้ท่านเดินไปอีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว”

    ว่าแล้วเขาก็ประเคนบาตร ประเคนย่ามให้คืน เราก็ให้พรแก่เขา เราก็นั่งพักอยู่ตรงนั้นมองดูชายหนุ่มคนนั้นอยู่ แต่พอเราเผลอเขาก็เดินไปได้ไกลแล้ว พอเขาเลยต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไปเท่านั้นก็ไม่เห็นเดินต่อไปอีก

    เราก็รีบลุกด่วนไปดูว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้นอยู่หรือ เมื่อไปถึงต้นไม้นั้นแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร รอยเท้าที่เดินไปตามทางเดินก็ไม่มี เรื่องแปลกประหลาดวันนี้ก็เรื่องของหนุ่มน้อยคนนี้ เรื่องของบุพพกรรมของตัวเอง จึงเดินกลับคืน เดินตามทางไปสู่ป่าเมี่ยงแม่สม ตะวันค่ำมืดพอดี พวกญาติโยมเขาเห็นแล้วเขาก็ด่วนมารับบริขารทันที

    “อย่าฟ่าวมาถามอาตมาเน้อโยมเอย อาตมาเหนื่อยมากไม่ได้ฉันจังหันมาหลายวันแล้ว หลงป่าหลงทาง”

    เขาให้พักเรือนว่างหลังหนึ่ง แล้วก็ต้มน้ำอ้อยงบมาให้ฉัน ค่อยๆ จิบ จนน้ำอ้อยหมดขันแล้วก็ล้มตัวนอนพัก จนพอดึกดื่น รู้สึกตัวอีกทีก็ลุกขึ้นมาไหว้พระ นั่งภาวนาจนแจ้งเป็นวันใหม่ โยมเขาก็เอาอาหารมาให้ฉัน

    “อย่าฟ่าวอย่าด่วนเน้อท่านเอ๊ย ค่อยๆ ฉัน”

    ฉันอิ่มแล้วมีแรงมีกำลังแล้วจึงได้เล่าให้เขาฟัง ในเหตุการณ์ความเป็นมาตลอด หมู่บ้านที่เริ่มแรกแท้ๆ นั้น เขาเรียกบ้านนายาว บ้านนาใหม่ เป็นบ้านคริตจักรเข้าไปตั้งสอนศาสนาไว้ กรรมซัดไปซัดมาอยู่เมืองฝางก็อยู่สบายดีมาก อยู่เมืองพร้าวก็ภาวนาดีอยู่ อยู่แม่แตงก็พออยู่ได้ อยู่แม่ริมก็อยู่ได้ แต่กรรมมันแรงกว่าดึงไปจนถึงนาเม็ง นายาว สะเมิง

    ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ

    ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุก ๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  10. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ฝากตัวกับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต…”

    อายุ ๑๔ ปีเต็มเข้าปีที่ ๑๕ พ่อออกแม่ออก (โยมพ่อโยมแม่ขององค์หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ) บอกให้ไปอยู่วัดปฏิบัติดูแลรับใช้ปรนนิบัติพระเณรอยู่วัดหนองน่อง เราก็ไปทุกวันบางวันจนค่ำจนมืดจึงได้เข้าบ้าน ไปตัดไม้ตาด ตัดด้ามไม้ตาด หาฟืน ตัดไม้ สุดแท้แต่เพิ่นจะใช้ให้ทำอะไร เราก็ได้ประโยชน์ดีมาก คอยสังเกตพระเณรครูบาอาจารย์ กิริยาไปมา อาการของพระเณรแบบอย่างของเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต)

    ก่อนจะเข้าพรรษาต้องจัดการการงาน กิจธุระใดๆ ให้เสร็จให้เรียบร้อยทุกอย่างทุกอัน ในพรรษาไม่ให้มีกังวลอะไร งานในพรรษาก็มีแต่ทำไม้ตาด เหลาตีไม้เจ (ไม้สีฟัน) ย้อมผ้า ปะชุนผ้า และหายารากไม้มาต้มเป็นน้ำร้อนฉันเท่านั้น

    พอออกพรรษาแล้ว พระเณรก็เริ่มทยอยไปเสาะหาที่ภาวนาหรือบางองค์ก็มีกิจธุรการงาน พ่อออกแม่ออกก็แต่งขัน ๕ ขัน ๘ ลงไปหาเพิ่นครูอาจารย์มั่นเพื่อมอบตัวฝากตัวเราให้กับเพิ่นครูอาจารย์มั่นเป็นสิทธิ์ขาด
    “ พ่อออกกายังฮักห่วงลูกอยู่บ๊อ ”
    “ โดยยังห่วงอยู่ข้าน้อย ”
    “ ถ้ายังห่วงอยู่ก็ไม่รับ ”
    “ สุดแต่อัญญาท่าน ข้าน้อยห่วงก็ห่วงต่อหน้าต่อตานี้เท่านั้น หากไปกับอัญญาท่านแล้วก็เป็นลูกชายของอัญญาท่าน ข้าน้อยก็ไม่ห่วง ไม่อาลัยอะไรอีก ”
    “ แม่แดงละ เจ้าว่าจั๋งได๋ ”
    “ โดยข้าน้อย ข้าน้อยกะไม่มีอันใดขัดข้อง สักสิ่งสักอัน ขอมอบชีวิตกายใจบูชาคุณของอัญญาท่านอยู่แล้วล่ะ ข้าน้อย ”
    เมื่อไม่ติดขัดอันใดทั้งสองฝ่าย เพิ่นครูอาจารย์มั่นก็ตกลงรับไว้แล้วเพิ่นครูอาจารย์มั่นก็ว่า

    “ พ่อออกกา แม่ออกแดง เจ้าสองผัวเมียนับว่าเป็นผู้มีความคิดความอ่าน สติปัญญาก็มี ไม่เสียแรงที่เป็นโยมของเพิ่นครูอาจารย์เสาร์ (กนฺตสีโล) มาก่อน ธรรมะคำสอนระเบียบกฎเกณฑ์ของพระธุดงค์อาตมาก็ได้วางไว้แล้ว ชี้แจงไว้แล้ว ต่อไปเมื่อหน้าขอให้ตั้งใจให้ได้ดีขึ้นกว่านี้ ”

    ในพรรษานั้นโดยมากก็นอนอยู่วัด โรงต้มน้ำร้อน มีหน้าที่คือ ต้มน้ำร้อน พอแจ้งวันใหม่ก็ก่อไฟต้มใส่หม้อดินไว้ ตอนบ่ายก็ต้มอีกรอบหนึ่ง แต่ก็มีบางคืนเท่านั้นที่เข้าไปนอนในบ้าน แต่ก็ต้องรีบไปวัดแต่เช้าเพื่อให้ทันต้มน้ำร้อน

    พอออกพรรษาแล้ว ก็ไปรับเอาแม่ออกของเพิ่นครูอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาแต่ถ้ำจำปา ทำวัตรคารวะเพิ่นครูอาจารย์เสาร์ เพิ่นครูอาจารย์มั่นก็กราบลา บอกว่าจะเอาแม่ออกลงไปส่งให้กับญาติพี่น้องดูแล เมื่อถึงวันแล้วก็เดินทางไปเรื่อยๆ พวกพ่อออกก็เอาข้าวสารอาหารบางอันบางอย่าง บรรทุกเกวียน ตามไป เอาบาตรเอาบริขารอย่างอื่นใส่เกวียนจนเต็มเกวียน ไปส่งจนถึงบ้านหนองขอน อำเภอบุ่ง แล้วญาติพี่น้องของเพิ่นครูอาจารย์มั่นก็รับเอาคุณแม่ชีคนเฒ่าลงไปบ้านคำบงโขงเจียมเมืองอุบล หมู่พวกพ่อออกก็ขับเกวียนกลับคืนมาบ้าน
    พ่อออกเข้าหาเพิ่นครูอาจารย์มั่น เรียนถามเรื่องบริขารการบวชเป็นสามเณร ถวายเงิน ๒๖ บาท เพิ่นครูอาจารย์มั่นก็ว่า

    “ อย่าให้หลาย เอาแค่ ๑๖ บาทก็พอ เผื่อจะได้แลกเปลี่ยนบริขารที่ขาดเขิน บ่ต้องห่วงดอก สละใจได้เลย จะบวชให้ดอก กลับบ้านเสียเน้อ ” หมู่พ่อออกกราบลาเพิ่นกลับบ้าน

    ***คัดจาก ธรรมประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ : วัยติดตนต้นธรรม

    ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุก ๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  11. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ๒๑๒.) ชีวิตนี้ได้บวช พอได้บวชแล้วตอนเป็นพระน้อยตุ๊หนุ่ม มีแต่เรื่องผู้หญิงมารักมาชอบมาคุย ตัวเราเองก็ต้องได้ระวังตัวอยู่ตลอด
    (๒๔๗๑) อยู่ขอนแก่นสาวเมืองขอนแก่นก็มาจับมือจับแขน
    (๒๔๗๑) ไปอยู่บ้านดอนเงิน ก็หลานสาวท่านอาจารย์อ่อน (ญาณสิริ) มารักชอบขอให้ลาสิกขา
    (๒๔๘๒) ตอนไปบวชพระก็ได้นางสาวบาง บ้านผือ ลูกสาวร้านขายของบวชชวนเข้าห้องนอน ว่า “ พี่นาคไม่ต้องบวชดอกมาค้าขายด้วยกันนี้ ก็พออยู่ได้กินได้ ”
    (๒๔๘๓) ไปอยู่มหาสารคาม ก็ลูกสาวขุนชำนิฯ นางสาวทองใบ มาคุยนั่นนี่ขยับเข้ามาจนชิด ดีแต่มีพ่อออกมานั่งอยู่ด้วย
    (๒๔๘๔) ไปอยู่บ้านสองคอน อำเภอหล่มเก่า ก็ได้นางสาวสุนทรีย์ อายุ ๑๕ ปี เต็ม มาขอให้อยู่ด้วย มีนา ๘๐ ไร่ มีเงิน มีโคมีควายอีกมาก พ่อแม่ตายเหลือแต่ตัวนางสาวกับน้องสาวของแม่ นี่ก็อยากได้ผู้ครองทรัพย์
    (๒๔๘๕) ไปอยู่บ้านพุงต้อม ตำบลยูวา เจริญธรรมสันป่าตอง นายชื้น มามอบลูกสาวให้, นายเอี๋ยนเอาลูกสาวมาให้ดู, นางสาวสา มาสารอน มาร้องห่มร้องให้อยากได้เป็นคู่
    (๒๔๘๖) ไปเย็บจีวรอยู่บ้านกำนัน ลูกสาวกำนัน ๒ คน มาขนาบซ้าย ขนาบขวาเปิดนมให้ดู ตัวเราก็เย็บจีวรไม่ถูก วันหลังจึงเอาน้อยใจ๋ไปเป็นหมู่นั่งเฝ้า วันแรกนั้นกำนันนั่งเฝ้า พอลูกสาวมากำนันอยากได้ลูกเขยก็ลุกหนีไปทันที อยู่ลำปาง ก็ได้ยายแก้วพามาสู่มาหา เราก็ต้องระวังอยู่ตลอด
    อยู่เจดีย์หลวง ก็ยายวันดี ยายใส ยายเศรษฐี จนสุดท้ายไปอยู่หัวฝาย เรื่องผู้หญิงมารักมาชอบ จึงเบาลงไปหายไป ตัวเราก็อายุมากขึ้น

    ๒๑๓.) อยู่ศึกษาอบรมกับท่านอาจารย์น้อย (สุภโร) อยู่หลายปีไปไหมาไหนด้วยกัน ผู้ข้าฯเกาะติดกับอาจารย์องค์นี้ เพราะเพิ่นอยู่กับเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) มานาน เราก็เฝ้าถามว่า เพิ่นครูอาจารย์มั่น เพิ่นอยู่เมืองเหนือนี้พร่ำสอนแนะนำอะไรให้อุบายไปในแนวใดโดยมาก
    ท่านอาจารย์น้อยว่า

    “ ลูกศิษย์โดยมากแล้วเพิ่นแนะนำพร่ำสอนเอาแต่หมู่พระเณร ญาติโยมเพิ่นอยู่ที่ไหนนานเพิ่นครูอาจารย์มั่นจึงสอนแนะนำพวกเขาไปตามเรื่อง แต่ที่เน้นก็เน้นเอากับพระ พอบอกสอนแล้วเพิ่นก็ชี้บอกให้ออกไปภาวนา หรือบางครั้งตัวเพิ่นครูอาจารย์มั่นก็เป็นผู้บอกลาหมู่ลูกศิษย์ไปแต่เพิ่นองค์เดียว หรือมีพระติดตามไปแต่องค์เดียว

    การบอกอุบายโดยมากก็เน้นย้ำการปฏิบัติใจนั้น ให้ถือเอาการถอนอุปาทานเป็นเกณฑ์วัด แก้เหตุคือสมมติ บัญญัติสังขารต้องแก้ด้วยมรรคปฏิปทา เริ่มแต่การเห็นชอบในอริยสัจจ์การเดินอริยสัจจ์เป็นการพิจารณากำหนดในทุกข์ ใครเกิด ใครแก่ ใครเจ็บ ใครตาย รูปนาม ธาตุขันธ์ อายตนะ เกิดขึ้นอย่างไร ดับไปอย่างไร อะไรเป็นเหตุเกิดเหตุดับ ดับต้องอาการอย่างไร ปฏิบัติกรรมฐานอย่าหลงกรรมฐาน ความสงบของจิตแต่อย่างเดียวก็ไม่เอา สงบแล้วต้องใช้กำลังอริยสัจจ์ขึ้นมาพิจารณาเพื่อที่จะได้เพิกทุกขัง อนิจจัง อนัตตาออกจากตัวตนนี้

    ฌานเป็นสมาธิไม่พ้นทุกข์เป็นแต่เอามาเป็นฐานกำลังของปัญญาญาณ พิจารณาด้วยญาณจนรู้ระงับดับไปของรูป ของเวทนา ของสัญญา ของสังขาร ของวิญญาณ เพิกขันธ์ออกก็เป็นธรรม เพิกสมมติสังขารออกไปก็เป็นวิมุตติเป็นวิสังขารเป็นสังขารธรรม อุบายการถ่ายถอนมีอยู่
    เมื่อกำหนัดเกิด เอาอสุภเข้ามาแก้ไข พิจารณากายคตาสติให้มากเพราะเป็นอารมณ์ที่สบายแก่การปฏิบัติ, โทสะให้เอาเมตตาเข้าแก้ไข, อานาปานสติกรรมฐานตัดกระแสของวิตกที่มากเกินไป แม้จะศึกษาคือ กำหนดพิจารณาอนัตตา ก็พึงรู้พึงตั้งใจด้วยดี

    แต่การอธิบายธรรมเพิ่นครูอาจารย์มั่นไม่อธิบายมาก ชี้บอกแต่อุบายแนวทางเท่านั้นแล้วก็ชี้บอกที่ให้ไปภาวนา ไปทำด้วยตนเอง ผู้ใดติดขัดมาเพิ่นจึงช่วยเหลือชี้แนะให้แก้อย่างนี้ แก้ตรงนี้ พิจารณาตรงนี้ เพราะโดยมากหมู่พระสงฆ์ที่เข้าหาศึกษาอยู่ด้วยนั้นก็ติดปัญญาที่มาจากสัญญากันโดยมาก แต่ไม่ค่อยรู้จักปัญญาที่มาจากการเจริญภาวนา

    เพิ่นจึงไม่อธิบายมาก เพราะจะมาหลงติดกับสัญญา แล้วทำให้ไม่ก้าวหน้ามัวแต่ตรึกตรองให้ลงให้เข้ากันได้กับสัญญาการร่ำเรียนศึกษามาของตัวเอง ได้อ่านมาอย่างนี้ ได้ยินไว้อย่างนี้ ทรงจำมาได้อย่างนี้ แต่ภายในปฏิบัติมืดไม่เห็นหนทาง เว้นแต่ว่ามีใครติดขัดการภาวนาเท่านั้นเพิ่นจึงจะแก้ให้

    หมั่นขยัน มีสติสัมปชัญญะ มีสติในกาย รักษาตน ทำให้มาก เจริญให้มาก บริโภคภายนอกภายในอย่าให้ผิดพลาด อย่าทิ้งสติเพราะสติธรรมเป็นธรรมอันบำรุงศรัทธา วิริยะ สมาธิ ปัญญา สติเป็นหลักต้นการปฏิบัติทางจิตจึงจะเป็นไปได้

    ให้เป็นอยู่ด้วยการเจริญภาวนา เจริญที่ใจ เกิดขึ้นมีขึ้นที่ใจ แม้อกุศลกิเลสทั้งหลายก็ดับเสื่อมสูญไปจากใจดวงรู้นี้เท่านั้น ผมเป็นแต่บอกกับหมู่เท่านั้น ส่วนจะอาจหาญชาญชัย หรือเหลวเหลกล่มจมอย่างใดนั้นขึ้นอยู่กับหมู่ผู้นำไปปฏิบัติพิจารณาโดยเฉพาะ ผู้อื่นผู้ใดไม่มีส่วนด้วย

    คัดจากธรรมประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ : เดินทางเสาะหาครู สู่เมืองเหนือล้านนา

    ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุก ๆ ท่าน

    -ชีวิตนี้ได้บวช-พอได.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  12. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ที่ตั้งแห่งความไม่เดือดร้อน…”

    พิจารณาให้ดีซี…บ่ใช่เด็กหน้อยหนา กรรมนี้มัน (ยิ่ง) ใหญ่แท้ๆ เน้อ กรรมของตนนะตนเป็นไปตามกรรม = โลกเป็นไปตามกรรม โลกคือ สิ่งหมู่สัตว์กรรมความชั่ว แต่งให้ทุกข์ กรรมความดีให้ผลเป็นสุขสงบ
    ๑. ไม่ได้ทำบาปไว้
    ๒. ได้ทำแต่กรรมความดี
    คิดอ่านให้ได้ความเทอะ…!
    จะมีอันใดในโลกนี้ที่พอได้พึ่งพิงอิงอาศัยได้ดีเท่ากับความดีของคน ระลึกในความดีที่ตัวทำ ระลึกในความชั่วที่ตัวละ นี้หล่ะ ชื่อว่าทรัพย์ภายใน
    บุญ -๑-
    กุศลจิต -๑-
    สุจริตธรรม -๑-
    อันนี้ล่ะ…! กิจของสูเจ้าทุกๆคน ให้หมั่นตั้งจิตเอาไว้ในที่ไม่เดือดร้อน

    หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ

    ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุก ๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  13. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    …ให้สงบอยู่ในตนของตน
    ดีกว่าไปวุ่นวายให้ทุกข์แก่ผู้อื่น…

    ทุกคนด้วยกันนี้
    – เกิด
    – แก่
    – เจ็บ
    – ตาย

    มันมีอยู่ด้วยกันทุกคน
    เรียกว่าธรรมดานี้เป็นสมบัติ
    เป็นสมบัติของสัตว์โลก
    ด้วยเหตุนี้จึง…

    ไม่ควรทำความทุกข์อื่นๆ
    ให้แก่กันและกันอีก
    ผู้วุ่นวายก็ร้อนลุ่ม
    ผู้สบายก็สงบ

    จึงให้สงบอยู่ในตนของตน
    ดีกว่าไปวุ่นวายให้ทุกข์แก่ผู้อื่น

    หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร (คัดจาก คุรุธรรมล้ำเลิศวิศาล)

    ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุก ๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  14. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    …ตั้งใจของตน
    บำเพ็ญความดีของเจ้าของ
    อดทนเอาหล่ะ (ของใครของมัน)
    ใช้ขันติอดทน…

    โอวาทธรรม องค์หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ
    ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ (อบรมภาวนา)
    ***คัดจาก ธ คือครูอาจารย์ในธรรมอันวิสุทธิ์

    1505487191_824_ตั้งใจของตน.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  15. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ท่านอาจารย์หลุย (จนฺทสาโร) เล่าว่า “ ครูอาจารย์บุญ (ปญฺญาวุโธ) สอนผมไว้หลายเรื่อง การอุปัฏฐาก การเว้นอคติ การให้เป็นผู้ฉลาดในธรรม ให้ฝึกหัดเป็นผู้มักน้อย สันโดษ อดทน ไม่เย่อหยิ่งพองลม ไม่หยาบคาย ไม่เลียนแบบครูอาจารย์ ตื่นก่อนนอนทีหลัง คอยท่าระวังอยู่ว่าครูบาอาจารย์ต้องการสิ่งใด ให้ว่องไว ปราดเปรียว อย่าประพฤติตนเป็นศิษย์สมภารหลานเจ้าวัด

    ข้อวัตรทุกอย่างมีเหตุมูลพร้อมสมบูรณ์ เว้นเสียแต่ว่าตัวบุคคลจะเป็นผู้ทำหรือไม่ทำ ใส่ใจหรือไม่ใส่ใจเท่านั้น หากวันใดไม่ทำก็เป็นอันว่างจากคุณของตน คุณธรรมของนักบวชจะก้าวหน้าเจริญได้นั้นดี อยู่ที่การทำข้อวัตรรู้จักวัตรรู้จักข้อธุดงค์ รู้แล้วทำก็ย่อมสุขใจ อุ่นใจ มีหวัง สบายใจ จิตใจก็อ่อนเอื้อต่อสมาธิและปัญญา ”

    “ ท่านอาจารย์บุญเอาตัวรอดได้ แต่ลูกศิษย์ไม่ได้สักคน และไม่ได้นิสัยด้วย ”
    อันนี้เพิ่นครูอาจารย์มั่นเป็นผู้ว่าเอาไว้ แล้วท่านอาจารย์หลุยยังได้บันทึกไว้อีกหลายอย่างเกี่ยว กับเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต)

    “ แก้ติดดีนี้แก้ยาก เพราะความไม่ดีนั้นแก้ง่าย เพราะเห็นว่าไม่ดีอยู่แล้ว ผู้ที่ติดดีต้องพยายามแก้หลายอย่าง เพราะมันเป็นชั้นปัญญาที่เกิดขึ้นภายใน มีพร้อมทั้งเหตุผลจนทำให้เชื่อตนได้ วิปัสสนาไปสู่อริยสัจอยู่แล้ว แต่ดำเนินไม่มีความรู้รอบพอก็เลยเป็นวิปัสสนูไป ท่านอาจารย์มั่นห้ามไม่ให้ติดฌานและญาณ ”

    “ ท่านแนะนำอย่าหลงฌาน ผู้จะพ้นทุกข์จริงแล้วไม่หลง ญาณคือความรู้วิเศษที่เกิดขึ้นจากสมาธิสงบระลึกชาติหนลังได้ ๑ ญาณเหตุการณ์อดีต ๑ ญาณรู้จักอนาคต ๑ รู้จักความนึกคิดของคนอื่นเป็นต้น เป็นวิชาที่อัศจรรย์ทั้งนั้น เมื่อติดอยู่สิ่งเหล่านี้ ทำให้ล่าช้า เข้าสู่อริยธรรม ฌานเหล่านี้เป็นอุปกรณ์วิเศษ แต่สมัยนั้นเทวทัตติดกลับเสื่อมได้ เกิดทิฐิมานะแข่งขันสู้พุทธเจ้า ท่านอาจารย์มั่นว่าฌานเหล่านี้มันน่าติดจริง วิเศษได้ทางโลกีย์ ฉะนั้น ท่านฤาษีทั้งหลายติดฌานอันนี้ท่านอาจารย์หนูใหญ่ติดฌานอันนี้เอง เสื่อมแล้วก็สึกกันเท่านั้น ”

    “ ท่านเห็นความรู้นั้นว่าธาตุจริง ฌานรู้จริง มันจริงทางวิปัสสนูแต่ทำความรู้นั้นให้ยิ่ง จึงเป็นวิปัสสนา เครื่องเย็นใจ ท่านอาจารย์มั่นสอนศิษย์ในทางอย่าหลงฌาน อย่างหลงญาณ โยคาวจรเจ้าติดในตอนนี้มากติดพรหมโลก อ่อนทางวิปัสสนา ”

    “ ความรู้ของท่านที่มั่นคงอยู่นั้นสุดวิสัยของสัตว์ที่จะรู้ตามเห็นตาม เพราะฝ่าอันตรายลงไปหลายชั้นหลายเชิง จึงเห็นธรรมของท่านลึกลับสุขุมคัมภีรภาพ จึงเห็นคุณธรรมของท่านเกิดขึ้นในเฉพาะหน้า ถ้าจิตฟูตามกิเลสไม่เห็นคุณธรรมของท่านเลยเพราะอยู่คนละโลกเสียแล้ว จะเห็นหน้าท่านได้อย่างไร ”

    “ คนอื่นจะฟังเทศน์ท่านเข้าใจนั้น เมื่อจิตหดแล้ว รีบทำความรู้ ความเห็นจิตของตัว อย่านอนใจความวุ่นความวายในจิตของตัวได้แล้ว ทวนกระแสของจิตเข้าไป ตั้งใจฟังเรื่อย ๆ ก็จะเห็นอานิสงส์ดูดดื่มธรรมรสนั้นทีเดียว เต็มที่อย่างเดียวมันยุ่งนำหัวใจของตน กรรมของตน ไม่เปิดออก จะรับธรรมได้อย่างไร ”

    “ สติของท่านจับจิตอยู่เสมอ ท่านทำการงานอะไรลงไปไม่ผิด ”

    “ ท่านไม่ส่งจิตออกนอก เกรงจะเป็นมิจฉาทิฐิ ท่านพิจารณาแต่กายกับจิต แสงตาตกต่ำ เพราะท่านสำรวม ท่านทำปัญญาและสติคล่องแคล่วชำนิชำนาญมาก ความรู้ความเห็นของท่านหนักแน่นมาก ไม่มีที่จะชอนเข็มฉะนั้นท่านพูดธรรมไปไม่มีใครชอนเข็มคัดค้านได้เลย (นี้เป็นอัศจรรย์อันใหญ่หลวง) เรียกว่าท่านมีนิทัศนญาณภายในแจ่มแจ้ง ท่านพิจารณาดูโลกไม่มีผู้หญิงผู้ชาย เพราะธรรมเป็นสภาพธรรมอันเดียว ไม่มีนอกไม่มีใน ไม่มีไป ไม่มีมา โลกเป็นอยู่เช่นนั้น ส่วนรู้เห็นธรรมก็รู้เห็นอยู่เช่นนั้น ”

    “ ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ ไปท่าบ่อนาแก สกล ท่านไม่อยากไปเพราะไม่มีคนปฏิบัติตาม มีแต่ท่านอยู่ที่ไหนก็ทนได้ ท่านเพ่งประโยชน์เสียก่อนจึงไปและมีคนอาราธนานิมนต์ด้วย ”

    ลัทธิของท่านอาจารย์มั่น ๑๐.๑.(๒๔) ๔๘
    “ เสียงดังเป็นเสียงของบุรุษ เสียงเป็นรัศมีอำนาจเลี้ยงจิตมาก ฉลาดใช้ไหวพริบทางจิต ไม่เชื่อนิมิตท่านเชื่อธรรมะที่เกิดปัจจุบัน ปัญญาบริบูรณ์ไม่บกพร่อง กายวาจา จิตเข้มแข็งมาก พิจารณาธรรมะถึงแก่นเป็นผู้บริบูรณ์ทางปริยัติและปฏิบัติ กายวาจาใจเป็นอาชาไนยเสมอ จิตไม่มีการหดหู่จิตชื่นตื่นเต้นอยู่ด้วยสต ิ”

    “ สานุศิษย์ที่อยู่ด้วยมีการปฏิบัติ คือ จิตไม่ออกรับเหตุภายนอก จิตเยือกเย็น ขนหัวลุก จิตกลัวเกรงท่านมาก ดุจท่านเห็นจิตของเราอยู่เสมอ จิตของเราพิจารณาค้นเหตุผลอยู่เสมอไม่นอนใจ ฉะนั้นสานุศิษย์จึงมีสติเร็ว รู้เร็ว เห็นธรรมะเร็ว ผู้มีวาสนาน้อยไม่ติดตามท่านเพราะข้อวัตรของท่านเข้มแข็ง น้ำใจเด็ดเดี่ยวกะเพ็ชร ท่านพูดมีธรรมะภายในภายนอกเป็นที่อ้างอิง สานุศิษย์เข้าหาท่านร้อน ทำให้จิตผู้น้อยค้นคว้าหาเหตุผล เมื่อออกมาแล้วจิตจึงเห็นอานิสงส์เมื่ออยู่กะท่านไปแล้วยิ่งเห็นอัศจรรย์ใหญ่ ท่านเป็นคนเกรงใจคน ท่านเป็นคนใหม่ในตระกูลทั้งหลาย ไม่ติดอามิส และติดตระกูล เป็นคนชอบสันโดษ ไม่ยุ่งกังวลทุกอย่าง อุบายธรรมะแยบคายมาก อามิสได้ด้วยการเป็นเอง กินอร่อยดุจแมลงภู่ชมเกสร

    มีความรู้เท่าทันเหตุผล มีญาณความรู้ทุกเส้นขน เป็นคนราคะกับโทสะจริต ท่านได้พูดทำลงไปแล้วไม่มีใครคัดค้าน สติปัญญาแน่นหนามากหาที่จะซอนเข็มมิได้ (เป็นนักรู้นักปฏิบัติ) พูดไม่เกรงใจคน พูดถูกธรรมะก็เป็นอันที่แล้วกัน มีจิตน้อมไปเพื่อปฏิบัติให้สิ้นทุกข์ทีเดียว ไม่พูดตลกคะนอง

    “ แรงทางสมาธิและปัญญา แรงทางสติหนาแน่นมาก เพราะท่านค้นกายจิตพอ เพราะฉะนั้นสติของท่านจึงไม่เผลอ ”

    “ พิจารณากายให้มากเป็นอุคคหนิมิต พิจารณาอุคคหนิมิตให้มาก เป็นปฏิภาคนิมิต พิจาณาปฏิภาคให้มาก จิตรวมเป็นอริยสัจ เห็นแจ้งพร้อมด้วยญาณสัมปยุต เกิดขึ้นมาเรียกว่า อุฏฐาคามินีวิปัสสนา ทำในที่นี้ให้ชำนาญแล้ว เห็นพร้อมด้วยการรวมใหญ่ มีญาณสัมปยุตทวนกระแส แก้อนุสัยสมมุติเป็นวิมุติฯ ”

    “ อุบายของวิปัสสนาที่จะถ่ายถอนกิเลส ธรรมชาติของสวยของงามต้องมาแต่ของที่ไม่ดีดุจดอกประทุมชาติเกิด ณ ที่เปลือกตม, ธรรมวิเศษ ต้องพิจารณาออกจากกายอันเปื่อยเน่า ”

    “ การพิจารณากาย ต้องให้ก้าวเข้าไป ถอยออกมาเป็นอนุโลม ปฏิโลมจนให้ชำนาญต่อไป จิตเป็นเองจิตย่อมจะรวมใหญ่ จึงเห็นความเป็นอันเดียวกันหมดทั้งโลก เป็นธาตุทั้งสิ้น นิมิตจะปรากฏขึ้นพร้อมกันว่าโลก โลกราบดุจหน้ากลอง เพราะมีสภาพเป็นอันเดียว ”

    “ อริยสัจเป็นที่แก้สมมุติในจิต ”
    (หมายเหตุ ข้อความในข้อนี้ยกมาประกอบหนังสือเพื่อความสมบูรณ์ในเนื้อความ)

    คัดจากธรรมประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ : ครั้นคืนสู่อีสานบ้านเกิดเชิดชูธรรม

    ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุก ๆ ท่าน

    -จนฺทสาโ.jpg
    1505483469_837_ท่านอาจารย์หลุย-จนฺทสาโ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  16. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    โลก คือ จิตของคนเรา มาหลอกลวงจิตให้หลงในสิ่งต่างๆ ว่าเป็นจริงเป็นจัง แต่แล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นแต่เพียงมายาเท่านั้น เกิดมาแล้วก็สลาย แตกดับไปเป็นธรรมดาของมัน

    • หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี •

    -คือ-จิตของคนเรา-มาหล.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  17. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  18. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  19. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…รู้ผู้คน เปรต ผี นรก สวรรค์ เป็นปัญญาชั้นต้น
    รู้เหตุผลของกรรม การเวียนตายเกิด เป็นปัญญาชั้นกลาง
    รู้ช่องทางการตัดขาดอุปาทาน ตัดกิเลส เป็นปัญญาชั้นสูง…”

    คติธรรม -:- หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ -:-
    คัดจากหนังสือ -:- แปดรอบธรรม หน้า ๗ -:-

    ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุก ๆ ท่าน

    -เปรต-ผี-นรก-สวร.jpg
    1505494627_517_รู้ผู้คน-เปรต-ผี-นรก-สวร.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  20. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    น้อมศิรเกล้าบังคมคุณในองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์อันวิสุทธิ์
    แห่งวัดป่าวิเวกวัฒนาราม (วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    ปี พ.ศ.๒๔๖๔ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พร้อมหมู่สงฆ์ อยู่จำพรรษา

    ปี พ.ศ.๒๔๖๘ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พร้อมหมู่สงฆ์ อยู่จำพรรษา

    ปี พ.ศ.๒๔๗๑ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร พร้อมหมู่สงฆ์ อยู่จำพรรษา

    ปี พ.ศ.๒๔๙๕ หลวงตาพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน พร้อมหมู่สงฆ์ อยู่จำพรรษา จนลุขึ้นปี พ.ศ.๒๔๙๘ ได้ตั้งชื่อวัดใหม่จาก วัดหนองน่อง เป็น วัดป่าวิเวกวัฒนาราม

    ปี พ.ศ.๒๕๐๐ หลวงปู่สิงห์ทอง ธัมมวโร พร้อมหมู่สงฆ์ อยู่จำพรรษา

    ปี พ.ศ.๒๕๐๑ หลวงปู่ศรี มหาวีโร พร้อมหมู่สงฆ์ อยู่จำพรรษา

    ปี พ.ศ.๒๕๑๒ – ๒๕๕๖ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ พร้อมหมู่สงฆ์ อยู่จำพรรษา

    พ.ศ.๒๕๕๖ -ปัจจุบัน พระครูสังฆวิสุทธิ์ (พระอาจารย์พวงพิด
    ธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว) พร้อมหมู่สงฆ์ อยู่จำพรรษา

    ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุก ๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...