ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…โปรดผีและพญานาคปราถนาสาวกภูมิ…”

    “…เจ้าชื้น…เจ้าสุริฉาย สิโรรส มานิมนต์ผู้ข้าฯ ให้ไปด้วยว่าจะล่องแพน้ำตก ไปลงแพแต่ท่าตอน มาขึ้นท่าเมืองเชียงราย
    แต่น้ำตกไปลงน้ำโขงอยู่เชียงแสน เขาว่ายาว ๑๔๕ กิโลเมตร
    ท่าตอนเป็นเขตอำเภอแม่อาย เชียงใหม่ ลงแพแต่ท่าตอนล่องลงมาเรื่อย ๆ ค่ำไหนก็ผูกแพขึ้นนอนพักหาดทราย
    คนแพ ๒ คน เจ้าชื้นสองผัวเมีย ญาติพี่น้องอีก ๒ ผัวเมีย
    ผู้ข้าฯ กับพระมหาสุทธิ์ พระมหาวัดสันติธรรม ด้วยกันทั้งหมด ๘ คน คนแพถ่อแพ ทำอาหาร บริการทั่วไป เจ้าชื้นเป็นผู้ออกเงิน สองข้างทางน้ำริมฝั่งน้ำยังเป็นดงหนาป่าทึบ

    คนแพเขาเล่าให้ฟังว่า เลาะริมน้ำป่าลึกเข้าไปยังมีบ้านของคนภูเขาอีก้อ ลีซอ มอเซอ ไทใหญ่ กระเหรี่ยง กะเรนนี แต่มิได้แวะขึ้นไปหาพวกเขาหรอก อยู่แต่ในลำน้ำ กลางวันอยู่บนแพ กลางคืนขึ้นนอนพักหาดทราย
    พวกผู้หญิงนอนบนแพ คนแพเขาไล่ลำดับให้ฟัง ท่าตอนลงไปแม่สลัก ลงไปจะดือมูเซอ ลงไปผาขวาง กระเหรี่ยง ลงบ่อน้ำร้อน ลงไปปางช้าง บ้านกระเหรี่ยง ถ้ำพระเมืองเชียงราย

    ป่าสองข้างทางเขียวครึ้ม เกาะแก่งหาดทรายสวยงามเหมาะแก่การเจริญภาวนา บางที่ก็พัก ๒ วัน ให้คนแพเขาได้พักเอาแรงแล้วก็ล่องไป ก่อนจะลงแพล่องน้ำคนแพเขาก็บอกกล่าวผีฟ้าป่าเขา แล้วก็สัญญาบอกคนที่ไปด้วยกันว่า

    ๑. ห้ามด่าว่าให้กัน ห้ามพูดอัปปมงคล
    ๒. ห้ามลากหลัวลากฟืน ลากไม้ทางปลาย
    ๓. ไม่ตากผ้าพาดขอนไม้ พาดพุ่มไม้
    ๔. ห้ามทำกิริยาอาการหมิ่นประมาท ป่าเขา ถ้าหากฝืนจารีตป่าเขาแล้ว จะต้องมีอันเป็นไป

    วันแรกฉันจังหันแล้วก็ลงแพ เอาข้าวของสัมภาระ ของอยู่ของกินลงไปพร้อมแล้วเขาก็ปล่อยแพให้ไหลไปเรื่อย ๆ ถ่อให้ไหลไปตามสายน้ำ อยู่หัวคนหนึ่งอยู่ท้ายคนหนึ่ง คอยคัดหัวคัดท้ายระวังก้อนหิน ช่วงใดน้ำไหลแรงไหลเชี่ยวก็ถ่อดันไว้

    วันแรกก็ไปหมดวันค่ำก็ผูกแพขึ้นพักโนนหาดทราย ช่วยกันหาฟืน เรากับพระมหาสุทธิ์ ก็หาเก็บฟืนไม้แห้งที่ลอยมากับน้ำแต่หน้าน้ำหลากค้างอยู่ตามโนนทราย มีไม้เปือยตะแบกต้นใหญ่ลอยน้ำมาเกยหาดทราย เป็นต้นไม้ใหญ่ลำต้นออกพึงปีก ๔ แฉก

    เราก็บอกให้คนแพตัดไม้ค้อนให้หน่อยเต๊อะ ยาวศอกเศษๆ ๒ อัน ได้มาแล้วก็ตีพึงปีกไม้ หมดแรงตีเหมือนกับตีระฆัง ๓ ยก ลั่นสนั่นป่า ตีแล้วเราก็ว่า…

    “ มาเด้อ เสือตัวพี หมีแม่ลูกอ่อน สัตว์ร้ายขมายป่า ผีเจ้าดงพงษ์เจ้าป่า ผีกองกอยชะม้อยดง ขโมดป่าผีปลุกกะโหล่ง ให้มาหากู ผีฟ้าน้ำให้มาหากู วันนี้ คืนนี้กูมานอนพักอยู่ในดินแดนถิ่นของสูแล้ว จะให้เมตตาบารมีธรรมให้สูได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป ”

    เราว่าจบแล้วก็กระหน่ำตีอีก ๓ ยก แล้วก็สรงน้ำ ฉันน้ำไหว้พระสวดมนต์ ทีนี้พวกคนแพเขาก็กลัวกันแล้ว โยมที่ไปด้วยก็กลัว ต่างคนต่างนอนเงียบ เอาเทียนจุดมองแมง ๆ ที่ของใครของมันตลอดคืน เดี๋ยวก็ลุกสุมไฟ เราก็รู้ว่าเขากลัวกัน กลัวป่ากลัวเขากลัวผี เราก็ร้องบอกไปว่า…

    “ อย่าไปกลัวมันไม่มีอะไรหรอกพากันนอนเต๊อะอาตมาจะอยู่ยามให้ ”

    พวกนั้นเขาจึงได้พากันหลับนอน กรนครืดคราด ๆ คืนนั้นไม่มีอะไร เงียบอิ้งติ้ง สงัด เสียงจ๊อกแจ๊กของแมงต่าง ๆ ก็ไม่มี เสียงจี้จ้อใด ๆ ไม่มี ลมก็พัดมาพอเบา ๆ เย็น ๆ เราก็ลุกเดินจงกรมจนพอเหนื่อย
    ก็มานั่งเข้าที่ภาวนากำหนดจิตเฉยอยู่ จนใกล้แจ้งคนแพก็ลุกขึ้นมาหุงข้าวทำกิน คนอื่นก็ลุกมาช่วย เราก็หนีออกไปไกลเดินจงกรมเฉยอยู่ จนเขาทำอาหารจังหันเสร็จแล้วโยมเจ้าชื้นก็มานิมนต์ไปฉันจังหัน โยมเขาถวายจังหันแล้ว ก่อนให้พรเราก็บอกว่า…

    “ เอาเน้อโยมเน้อ ตั้งใจอุทิศบุญให้เขาด้วยผีดงผีป่าผีฟ้าผีน้ำ ”

    เรากับพระมหาสุทธิ์ก็ให้พร แล้วก็ฉัน โยมเขาก็กินส่วนเหลือ อิ่มกันหมดแล้วก็เก็บกองไฟที่พักให้เรียบร้อย แล้วก็ปล่อยแพล่องน้ำลงไป คนแพก็มาขอว่า…

    “ ท่านเอ๊ย คืนนี้ขอเถอะ อย่าได้ทำอย่างเก่าอีก เพราะจะไปค่ำนอนแรมอยู่แก่งหินหลวง ขึดแท้ ๆ หน๋าท่าน คนใด๋บ่เชื่อป่าเขา ตกคืนเสือจะมากัดลากออกจากหมู่เอาไปกิน ตายมะแฮง (ตายโหง) กันหลายคนแล้ว ”

    เราก็ไม่รับปากเขาได้แต่ยิ้มอยู่ พอ ๔ โมง ก็ถือจุดที่พักก็จริงอย่างเขาว่ามีหินก้อนใหญ่ขนาดบ้านหลังขนาดกลาง ๆ ไปหาใหญ่ เรียงกันอยู่ ๒ ก้อน เป็นเพราะรอบแถวนั้นเป็นแก่งหิน น้ำไหลตกลงไปในโบกหิน กระทบก้อนหิน จึงทำให้มีเสียงคล้ายกับเสียงดนตรี หลายอย่างผสมกัน ยิ่งดึกเข้ายิ่งเหมือนกับเขาเล่นดนตรีผสมเสียง และอีกอย่างมันเป็นท่าลงกินน้ำของสัตว์พวกฟาน พวกกวาง พวกงัวป่า และสัตว์ประเภทอื่น ๆ จึงเป็นที่ดักกินสัตว์ของเสือ

    คนที่ไปนอนค้างคืนตรงบริเวณนั้น อาจจะเผอเรอนอนหลับนอนไหลอยู่บนแก่งหิน ไม่ลุกสุมฟืนสุมไฟ หรือไม่ก็กินเหล้าเมาแล้วหลับไป เสือมันหาสัตว์กินไม่ได้มันจึงกินคนแทนสัตว์อื่น อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นป่า คนแพเขาข้ามน้ำไปตัดเอาไม้ไผ่มาทำข้าวหลาม เอามาหลามแกง หลามต้ม ใส่กระบอกไม้ไผ่ พวกผักป่าก็พอมีตามริมน้ำ คนแพก็เก็บมากินกัน ผักสะเม็ก ผักหนาม ผักไฮ ผักหนอก หลายอันหลายอย่าง อันที่เราไม่รู้จักชื่อก็มี

    หินใหญ่ ๒ ก้อน นั้นมีผีสถิตอยู่จริง เป็นผีเสื้อน้ำ ๒ ผัวเมีย อยู่กันคนละก้อนมีบริวารอยู่ ๑๒ ตน พอไปถึงเราก็สำรวจบริเวณดูก็ของหนายของเซ่นไหว้ ยอดไม้ดอกไม้คงจะเป็นที่เขามาเอาบูชาผีพวกนี้

    เราก็เอาตีนเขี่ยออก เอาปลายไม้ไผ่แขนงไม้ไผ่มาปัดกวาดพระลานหินใหญ่ใกล้ก้อนหินใหญ่ให้สะอาดสะอ้าน พอดีมีซอกหินก็ให้โยมเขาตัดกิ่งไม้มาทำกระโจม เอาใบไม้ทับอีกทีกันน้ำค้างตก ให้โยมเขาก่อไฟไว้เลยก้อนหินออกไป จะได้อาศัยความอบอุ่นตอนดึกน้ำค้างลง
    ไปถึงที่แรกยังไม่เห็นหรอกผีเสื้อน้ำพวกนั้น

    พอรวมกันไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็นจึงเห็นพวกผียักษ์เสื้อน้ำนั้น ดูท่าทางเขาไม่พอใจ ไม่เข้ามาหาพากันยืนถลึงหน้าถลึงตาอยู่ไกลออกไป สวดมนต์เสร็จแล้ว เราก็ว่าประสาเราไปว่า…

    “ กูมาอยู่นี้ก็ชั่วครั้งชั่วคราวเดี๋ยวด๋าวก็จากไป พวกสูเป็นผีน้ำอยู่มานานแล้วก็อยู่ให้เป็นสุขของตนไป สูเป็นผีเคยได้เห็นไหมพระสงฆ์นักบวช เคยได้ยินไหม อรหัง…นะโม พุทโธ ธัมโม สังโฆ อิติปิโส สูเคยได้ยินไหม นี่มาทำท่าทางให้เหมือนไม่พอใจ สูทำกิริยาอย่างนี้จะได้อะไร ความเป็นผีของสูมันแน่นอนเมื่อใด๋ สูหวงก้อนหินสูหวงแม่น้ำ คิดดูดุ๊ หิน ๒ ก้อนนี้กับสูใครเกิดก่อนกัน น้ำสายนี้มันไหลลงไปน้ำแม่โขง สูเอาคืนได้ไหม กูมาพักอยู่นี้ก็ไม่ได้เบียดเบียนสูแต่อย่างใด มีแต่ให้บุญให้เมตตาให้สุขแก่สู พวกสูก็จะได้รู้จักพระสงฆ์ นักบวช รู้จักพระพุทธ พระธรรม สูนี้เป็นผีก็เป็นเพราะโทษของสูเจ้ามาแต่เก่าก่อนมิใช่หรือ ทำไมไม่คิดที่จะแก้ไขตัวเอง ให้หลุดพ้นไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่านี้ มาเข้ามาหากู มานั่งทางนี้ ” เราเรียกเขาเข้ามา

    “ เอ้า คุกเข่าขึ้นกราบลงว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๓ ครั้ง ”

    ผีพวกนั้นก็ทำตามอย่างว่าง่าย “ จากนี้ไปให้ตั้งใจ กูจะว่าศีล ๕ ให้สูฟัง แล้วสูจะได้ระลึกระวังรักษา จะได้เป็นสมบัติหลุดพ้นไปได้จากภูมิทุคตะผีน้ำนี้ไปเป็นมนุษย์ได้ทำความดีสูงขึ้นต่อไป ”

    เราก็สอนให้เขาสมาทานศีล ๕ จนแล้วก็ให้เขานั่งฟังเทศน์ เราก็เทศน์อบรมญาติโยมที่ไปด้วยเรื่อง “ กมฺมุนา วตฺตติโลโก ”

    ผีก็นั่งฟังจนจบ ผีตัวที่เป็นหัวหน้าก็บอกว่า “ พระคุณเจ้ามาโปรดพวกผม ผีดงผีป่าในวันนี้ก็นับว่าได้คุณมหาศาลประมาณมิได้ จากนี้ไปข้าฯ จะขอปฏิญาณตนไม่เบียดเบียนผู้คนที่ล่องขึ้นลงตามแม่น้ำนี้ และขอถึงพระคุณเจ้าเป็นที่ระลึกไว้ตลอดจนกว่าจะพ้นวิบากกรรมของตนและพวกบริวารทั้งหลายขอนิมนต์พระคุณเจ้าพักตามสบายเถิด ”

    เมื่อผีพวกนั้นย้ายไปพักทางใต้ลงไปแล้ว เราก็บอกโยมว่า…

    “ ผีโขมดน้ำนี้ พวกเขาลงไปอยู่ทางใต้น้ำพู้นแล้ว บ่ต้องย้านบ่ต้องกลัวดอก ”

    พอแยกย้ายกันหลับนอนพักผ่อน พวกคนแพ ๒ คน ก็นอนแพกับผู้หญิง ๒ คนนั้น พระมหาสุทธิ์ ก็ย้ายกระเถิบกระโจมเข้ามานอนใกล้ๆ เรา เอ้า… เจ้าชื้นก็มาขอนอนทางปลายเท้า หนานพรหมพวกผู้หญิงก็ให้ลงไปนอนด้วยอยู่แพ เราก็บอกพระมหาสุทธิ์ ว่า..

    “ ท่านมหา อย่ามานอนใกล้ผมเน้อ ถ้าหากเสือตัวลาย ควายป่าตัวเป้ง เข้ามากัดผมตอนดึก เดี๋ยวท่านจะถูกเล็บเสือ เจ้าชื้นก็ให้ระวังไว้ ผีดงผีป่าขะม้อยก้องกอยน้ำจะมาจกกินไส้อาตมาตอนใกล้แจ้ง เดี๋ยวเจ้าจะเหม็นคาวเลือดหรือพวกผีมันจะลากไส้เจ้าอีกคนหนึ่ง ”

    เราว่าแล้วก็หัวเราะ ๒ คน เขาขี้กลัวหัวหด ดึกเข้าๆ หาคนลุกสุมไฟก็ไม่ได้ ได้แต่นอนดิ้นขอกแขกๆ เราก็ว่า “ นอนเสียเต๊อะ เจ้าเอ๊ย บ่ต้องย้าน อาตมานั่งภาวนาอยู่ นอนเสีย ท่านมหาก็เหมือนกัน นอนให้หลับเสียเต็มอิ่ม แล้วจึงค่อยลุกขึ้นภาวนา เมตตาให้ป่าให้น้ำ ”

    สักพักก็นอนหลับกัน เราก็ลุกสุมไฟให้ความอุ่นของไฟไล่น้ำค้างน้ำเหมยไป จนพอดึกจึงนอนพัก ตื่นเช้ามาผ้ามุ้งกลดเปียกน้ำเหมยหมด ช่วงแก่งหินหลวงนี้สองฝั่งเป็นป่าทึบป่าหนา น้ำเหมยน้ำหมอกจึงมาก เช้าๆ น้ำขึ้นเป็นไอขาวขะโน สุดลำห้วย จนแจ้งพวกคนแพจึงลุกมาทำอาหาร

    “ ทำไมลุกขวายแท้ล่ะ ”

    “ ใค่ย้านท่านเอ๊ย ”

    “ หลับไหมล่ะตะคืน ”

    “ หลับ ๆ ตื่น ๆ ”

    “ วันนี้ไม่ต้องปล่อยแพเน้อ ขอนอนนี่อีกสักคืน จะพิสูจน์ดูว่าผีหินหลวงนี่ขึดแท้บ่ ”

    “ โอย…ไม่ได้หรอกท่านเอ๊ย แค่คืนนี้ก็บ่ไหวแล้ว ”

    “ บ่เหวย บ่ไหวอะหยัง เฮาเป็นพ้อชายแท้ใค่ย้านป่าย้านน้ำ ”

    ฉันจังหันแล้วก็เดินป่าดูนั่นดูนี่ ตกบ่ายจึงมาพักผ่อน พอค่ำมองไปอีกฝั่งตรงข้ามเห็นงัวแดง เป็นหมู่ เป็นหมู่ลงมากินน้ำ เราก็ถามคนแพ

    “ โยม มันแม่นงัว เขามาเลี้ยงหรือนั่นนะ ”

    เขาว่า “ ไม่ใช่ท่าน เป็นงัวป่าลงมากินน้ำ ”

    ปลาบริเวณแก่งนั้นมีแต่ปลาตัวใหญ่ ดีดน้ำตูมตาม ตูมตาม ขึ้นมาบ้อนพว๋ายๆ ทั้งวัน ไม่มีใครกล้าจับปลาบริเวณนี้ เพราะถ้าใครจับปลาหย่อนเบ็ดลงไปต้องเป็นไข้เป็นหนาว หรือต้องได้ปล่อยแพหนีตอนกลางคืน เพราะผีพวกนั้นเขาหวงปลา ตัวยาวเป็นศอกตัวใหญ่เท่าแขนเท่าขาก็มี ฉันจังหันแล้ว เอาข้าวเศษไปให้มันกินมันมาแย่งกันกินสนุกสนานของมัน

    พักอยู่แก่งหลวงหินใหญ่ ๒ คืน แล้วก็บอกให้ผีเสื้อน้ำพวกนั้นกลับคืนไปอยู่ที่บ้านของเขา ก็บอกลา พวกเขาไป

    คืนแรกเทศน์เรื่องกรรมบุญบาป วัฏฏะหมุนวน
    คืนสองเทศน์เรื่องความอดทนกับเมตตา เทศน์สอนผีพวกนั้น

    โห…คืนที่ ๒ ผียิ่งมากมองไปเห็นแต่ผี ผีน้ำ ผีป่า ผีดง พวกรุกขภูมิมาเทวดาก็มีมาก มาแต่หัวค่ำ มารอท่า ไหว้พระสวดมนต์จนแม่สุริฉายมาว่า…

    “ ท่านอาจารย์ วันนี้ทำไมมีทั้งกลิ่นเหม็น มีทั้งกลิ่นหอม เหลียวหาของเน่า ดอกไม้ หรือ ของหอมอันใดก็ไม่เห็นมี เดี๋ยวเหม็น เดี๋ยวหอม เหม็นก็ไม่เหมือนที่เคยเหม็นมา หอมก็หอมกว่าดอกไม้บ้านเมืองเฮา ”

    ว่าอย่างนั้นยิ่งหอมเอ้าทั่วไปหมด เราก็ว่า “ เปรตผีทั้งหลาย เทวดาทั้งค่ายมารอท่า ไหว้พระภาวนา ”

    เมื่อล่องแพลงไปถึงเชียงรายแล้ว พระมหาสุทธิ์กับหมู่โยมก็กลับเชียงใหม่ ผู้ข้าฯ ก็ย้อนกลับขึ้นไปภาวนาอยู่ถ้ำพระเมืองเชียงราย ริมน้ำตก ไปอยู่แล้วสถานที่ก็ดีแต่ ภาวนาอย่างไรก็ไม่สงบ

    พิจารณาอะไรก็แล้ว ตรวจตราดูศีลดูวัตรของตนก็ไม่พร่องอะไรสักอันสักอย่าง เราก็ว่าไปตามประสาบ้าของเราว่า…

    “ ผีป่าผีเขาผีถ้ำผีนาคผีน้ำ ข้าฯ มาอยู่นี้ตั้งใจมาเจริญภาวนาเสาะหาหนทางพ้นทุกข์ หวังให้สูเจ้าได้รับผลอานิสงส์ แต่จิตไม่ลงไม่สงบเป็นเพราะฤทธิ์อำนาจของผีเทวดาตนใด๋ หรือเป็นเพราะความหยาบหนาภายในจิตใจของข้าฯ นี้ ”

    เราว่าแล้วก็เข้ากลดไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนาอยู่ ประมาณสัก ๑๐ นาที บริเวณข้างๆ ปากถ้ำมีหนองหลง เวลาน้ำหลากจากลำกกก็จะไหลเข้ามาในหนองหลงนี้ คนชาวบ้านไม่มีใครกล้าจับปลาในหนองน้ำนี้ ถ้ำพระก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ หากไปก็ต้องไปกันหลาย ๆ คน เขาถือว่า ศักดิ์สิทธิ์ ผีขึด ผีเข็ด ผีขวง

    เรานั่งภาวนาไปสัก ๑๐ นาที มีเสียงดังบึ่กๆๆ อยู่กลางหนองน้ำ ผักตบลอยน้ำก็ก็หมุนวนเหมือนกับน้ำบิดคอไก่ เราก็นั่งมองอยู่มันเสียงอะไรกัน “ บึ่กๆ ๆ ” ก็ลืมตามอง สักพัก งูใหญ่โผล่หัวลำคอขึ้นสูงประมาณ ๓ เมตร กลางหนองน้ำ ลำตัวมันใหญ่ขนาดกระบุง ข้าวเปลือกจุหมื่น หงอนแดง สีตัวมันเลื่อมเป็นพรายแสงยิบยับ เราก็ถามมัน…

    “ โยมเป็นนาคน้ำหรือ ” เขาก็หันหัวมองหาเรา

    “ ถูกแล้ว ท่านพระคุณเจ้าพญาธรรม ”

    “ มาธุระอันใด ”

    “ ได้ยินเสียงลั่นท้องฟ้าบาดาลสนั่นหวั่นไหว เหมือนพิภพจะถล่มจมพินาศ แต่เมืองบาดาลไม่มีอะไร ก็เลยขึ้นมาดู เห็นพระคุณเจ้าพญาธรรมอยู่นี่พอดี ”

    “ แล้วอย่างใด ”

    “ พระคุณเจ้าว่าภาวนาจิตไม่สงบ ไม่เกี่ยวกับผีน้ำ นาคป่าเขาแต่อย่างใด อยู่ที่จิตใจของเจ้าพญาธรรมที่เดียว ”

    “ เออ…ขออโหสิกรรมเน้อ อาตมาก็ว่าไปอย่างนั้นเอง นึกว่าจะไม่ไปกระทบใคร ถ้าหากรู้ว่าจะเบียดเบียนผู้อื่นก็จะไม่ว่าจาเด็ดขาด ขออภัยเถิด ”

    “ พระคุณเจ้าผู้พญาธรรม มาอยู่บริเวณนี้ ผมรู้เห็นตั้งแต่ล่องแพมา ลงมาแล้วก็ได้แต่อนุโมทนาสาธุการยินดีพอใจในการบำเพ็ญสมณธรรมของเจ้าพญาธรรมมาโดยตลอด ”

    “ เอาล่ะ ดีละ ให้สุขเจริญต่อไปเถิด ”

    ว่าแล้วเขาก็ค่อยๆ จมลงๆ น้ำก็นิ่งเงียบอย่างเดิม เราก็กำหนดภาวนาของตนต่อไป จึงรู้ได้ว่านาคน้ำตนนี้เป็นเจ้านายนาคแถบถิ่นนี้ บำเพ็ญบารมีของตนต้องการที่จะเป็นพระอสีติสาวกของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตข้างหน้า เขาเป็นนาคน้ำมาได้แต่ยุคศาสนาของพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ๔ พุทธันดร พระศรีอาริย์มาตรัสเขาจึงจะได้เป็นมนุษย์เกิดตายบำเพ็ญบารมีอีกต่อไป…”

    ธรรมประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ : กลับเมืองเหนือเครือคร่าววัยธรรม วัดป่าวิเวกวัฒนาราม(วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    ๖ ตุลาคม ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  2. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ทุก ๆวัน ก่อนหลับนอน ให้ตรวจตรองดูตนว่า

    ธรรมบารมีอันตนประกอบมาทั้งวันนั้น วันนี้ได้เครื่องอุ่นใจอันใด

    หากได้ก็ดี หากรู้สึกว่าเท่าทุนหรือขาดทุน ต้องปรับปรุงให้ประเมินผล

    งานอย่างนี้ อย่าประพฤติตนอย่างเหลาะแหละโลเล

    ไร้จุดหมาย อย่างนี้ไม่เอาไม่ชอบ…”

    โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม(วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    ๗ ตุลาคม ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    -ๆวัน-ก่อนหลับนอน-ให้.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  3. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กันตสีโล บูรพาจารย์ใหญ่วงศ์พระวิปัสนาธุระ สายพระธุดงค์กรรมฐาน…”

    ๗ ตุลาคม ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    -กันตส.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  4. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ไม่ต้องอาศัยเครื่องลางของขลังภายนอก ปลุกเสกจิตใจของเราให้เป็นผู้รู้ขึ้นมา เอาจิตใจพลังจิตของเรานี้แหล่ะให้ศักดิ์สิทธิ์แล้วใช้ประโยชน์ได้หมด…”

    โอวาทธรรมพระเทพวิสุทธิมงคล(หลวงปู่ศรี มหาวีโร)

    ๗ ตุลาคม ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  5. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…การรักษาศีล การให้ทาน การภาวนา การมีปัญญา ความหลุดพ้นในธรรมเหล่านี้ ใครปฏิบัติได้ชั้นใด ก็อาจหาญร่าเริงในชั้นนั้น…”

    โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    ๗ ตุลาคม ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    -การให้ทาน-ก.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  6. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ในวันหนึ่งๆ สูเจ้าเพิ่มบุญได้อยู่หรือ เป็นบุญอยู่หรือ

    เป็นศีลธรรมพระพุทธะอยู่หรือ สูเจ้ายังกะจะได้เกิดในโลกอันนี้อยู่อีก

    อย่าทำบาปนะ ไหว้พระ ทำบุญให้ทาน ศีล ๕ ฝึกหัดไป

    ถ้าไม่ได้ข้อวัตรเบื้องต้นนี้แล้ว ก็นับว่าแย่ที่สุด

    พุทโธ พุทโธ พุทโธ อยู่ในใจ ฝึกภาวนาบ้าง

    อย่าเอาแต่ให้ทานอย่างนี้ การให้ก็ดีอยู่หรอก

    แต่ให้มีศีล ๕ ด้วย ให้ภาวนาด้วย…”

    โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม(วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    ๗ ตุลาคม ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    -สูเจ้าเพิ่.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  7. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…คิดถึงอายุของตนวันนี้อายุเท่าใด วันไหนจะตาย

    จะตายด้วยอะไร ตายแล้วถืออะไรไป…”

    โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม(วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    ๗ ตุลาคม ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  8. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ตา หู จมูก ปาก ลิ้น กาย ใจ มิใช่กิเลส

    รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ อารมณ์ มิใช่กิเลส

    อายตนะนอก อายตนะใน มิใช่กิเลส

    ความดำริของใจเจ้าโง่ นี้ต่างหาก

    ที่มันพาให้เกิดเป็นกิเลส…”

    โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม(วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    ๗ ตุลาคม ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    -หู-จมูก-ปาก-ลิ้น-กาย-ใจ-ม.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  9. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  10. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “ความเจริญ ไม่ได้เกิดด้วยการพูด แต่เกิดด้วยมรรยาท ความประพฤติ และอัธยาศัยใจคอ นี่แหละเป็นลักษณะเครื่องหมายของ คนดี”

    …..ท่านพ่อลี ธมฺมธโร

    -ไม่ได้เกิดด้ว.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  11. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    โยม : หลวงปู่ครับผมได้ยิน พระบางรูปหรือ
    อาจารย์บางท่าน สอนว่าพุทโธพาเราไปได้
    แค่พรหมไม่สามารถพาเราไปนิพพานได้
    นี่ถูกต้องไหมครับ

    หลวงปู่ : คุณดูนั้น (ท่านชี้มือไปที่ต้นสะเดา
    ข้างอุโบสถ) คุณว่าต้นมะขามที่ขึ้นอยู่ข้าง
    ต้นสะเดา มันจะกลายเป็นต้นสะเดาได้ไหมหล่ะ

    โยม : ไม่ได้ครับหลวงปู่

    หลวงปู่ : หือ ไม่ได้หรอ เอาใหม่นะ ถ้าต้นมะขาม
    ออกใบ ออกดอก ออกผล แล้วร่วงหล่นลงมาที่
    โคนของต้นสะเดา ย่อยสลายกลายเป็นธาตุอาหาร
    ในดิน รากของต้นสะเดาก็ดูดเอา ปุ๋ยนั้นไปหล่อ
    เลี้ยงลำต้น ออกเป็นใบสะเดา ดอกสะเดา ผลสะเดา
    ผลสะเดาก็ตกลงมาเป็นต้นสะเดาเล็กๆ หลวงปู่
    ถามคุณอีกครั้งว่า มะขามกลายเป็นสะเดาได้ไหม

    โยม : ได้ครับผมหลวงปู่

    หลวงปู่ : เออ พุทโธ ที่คุณว่า ไม่พาคุณ
    ไปนิพพานหรอ แต่คุณต้องอาศัยพุทโธ
    พาคุณไปนิพพาน นิพพานหน่ะประตู
    ไม่กว้างนะและก็ไม่แคบ พอดีตัวคุณเลยหล่ะ
    คุณจะเอาอย่างอื่นเข้าไปด้วยไม่ได้
    บุญก็เข้าไม่ได้ บาปก็เข้าไม่ได้ ศีลก็เข้าไม่ได้
    ธรรมก็เข้าไม่ได้ พุทโธก็เข้าไม่ได้
    คุณต้องทิ้งหมด ทั้งดีทั้งชั่ว เข้าไปแค่
    ตัวคุณคนเดียว พุทโธ เป็นบาทเป็นฐาน
    เป็นสมถะที่เข้าสู่ วิปัสสนา

    วิปัสสนาตัวปัญญานั้นถึงจะพาคุณ
    ตัดกิเลสได้ แต่วิปัสนาของคุณต้อง
    อาศัยพุทโธ อาศัยสมถะ วิปัสนาเป็นรถ
    สมถะเป็นน้ำมัน รถที่ขาดน้ำมัน มันจะวิ่ง
    ไหมหล่ะ พองหนอ ยุบหนอก็ดี
    นะ มะ พะ ธะ ก็ดี สัมมาอรหังก็ดี
    ล้วนแต่เป็นปุ๋ยให้พระนิพพาน
    เหมือนกันหมด เหมือนต้นมะขาม
    ที่กลายเป็นสะเดานั้นไง เข้าใจนะ

    โอวาทธรรม หลวงปู่หา สุภโร

    -หลวงปู่ครับผมได้ยิ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  12. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    1507442292_488_ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุ.jpg

    ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ เพจ/กลุ่มพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  13. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…๙๖ ปี ศรีสงฆ์ธำรงศาสน์ วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑…”

    “…อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เราคบคนเช่นใด

    ก็จะเป็นคนเช่นนั้นเพราะยินดีพอใจ กับบุคคลนั้นอยู่ คนพาล ชื่อว่าคนเลว บัณฑิต ชื่อว่าคนดี เหลืออย่างหนึ่งนั้นอยู่กลาง ๆ

    ตามแต่เหตุนิสสัย อุปนิสสัย จึงเรียกว่า วาสนาบารมี

    บางคนมีบารมีอ่อน บางคนบารมีกล้า แต่พอมาพบปะกันกับบุคคลแล้วก็เป็นไปตามบุคคลเช่นนั้น

    คนอ่อนพบคนชั่ว ก็ตกต่ำ คนกล้าพบคนดี ก็เลื่อนตนเองขึ้นได้

    ตัวเราทุกคนนี้ชีวิตเกิดอยู่กรุงเทพฯ เกิดอยู่สุราษฏร์ธานี

    ดั้นด้นกันมาหาหลวงตาจาม(มหาปุญโญ) บ้านห้วยทราย
    ต้องให้รู้ตนเอง มีความหวังกันทั้งนั้น หวังในสุข หวังพ้นทุกข์ จึงว่า เดี๋ยวนี้คบคนเช่นใดอยู่

    จะดีก็ให้ดีของตน จะชั่วก็ให้ทำชั่วของตน เสรี เสรีภาพจะไปทางใด

    นรกไม่เต็ม สวรรค์ไม่เต็ม มรรคผลหนทางก็มีอยู่ ให้รู้อย่างนี้ทุกคน

    อย่าให้เป็นแต่พอก้ำก่า(กึ่งๆกลางๆ) ไม่ดี ไม่ร้าย

    เกิดมากินอยู่ตายไป หากประพฤติตนเช่นนี้ เรียกว่าไม่ไปไม่มา

    ทำความดีไม่ได้ ให้นึกถึงคุณงามความดี หน้าที่กิจของตนผู้เกิดมาแล้ว จะให้เป็นศีลก็ต้องเป็นศีลจริง ๆ ของตน ศีล ๕ ให้ได้

    ศีลอุโบสถให้ได้ กิจอย่างอื่น ๆ ให้ตั้งใจใส่ใจของตน บำเพ็ญเลือกคบแต่คนดี อย่าไปคบคนพาล…”

    คติธรรม -:- หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม(วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

    ๘ ตุลาคม ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  14. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  15. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ถ้าเรามีธรรมะเป็นทางประพฤติแล้ว
    จงอย่าเกรงกลัวต่อทุกข์ภัยใดๆเลย
    เพราะธรรมย่อมจะตามรักษาผู้ประพฤติธรรม
    เสมือนมีฉัตรคอยกางกั้น
    มิให้แดด ฝน และธุลีละอองต่างๆ มาแผ้วพาน

    ที่มา สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
    ประทานพระโอวาท เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๐

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  16. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า “ความผาสุกย่อมมีแก่ภิกษุอยู่แต่ผู้เดียว”
    [๓๗๑] ถ้าไม่มีผู้อื่นอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังเรา ความสบายใจอย่างยิ่งคงจะมี
    แก่เราผู้อยู่ในป่าผู้เดียว มิฉะนั้น เราผู้เดียวจักไปสู่ป่าอันพระพุทธเจ้า
    ทรงสรรเสริญว่า ความผาสุกย่อมมีแก่ภิกษุอยู่แต่ผู้เดียว มีใจเด็ดเดี่ยว
    เราผู้เดียวเป็นผู้ชำนาญในสิ่งที่เป็นประโยชน์ จักเข้าไปสู่ป่าใหญ่ อัน
    ทำให้เกิดปีติแก่พระโยคาวจร น่ารื่นรมย์ เป็นที่อยู่ของหมู่ช้างตกมัน
    โดยเร็วพลัน เราผู้เดียว จักอาบน้ำในซอกเขาอันเยือกเย็นในป่าอันเย็น
    มีดอกไม้บานสะพรั่ง จักจงกรมให้เป็นที่สำราญใจ เมื่อไรเราจึงจักได้
    อยู่ในป่าใหญ่อันน่ารื่นรมย์แต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสอง จักเป็นผู้ทำกิจสำเร็จ
    หาอาสวะมิได้ ขอความประสงค์ของเราผู้ปรารถนาจะทำอย่างนี้จงสำเร็จ
    เถิด เราจักยังความประสงค์ของเราให้สำเร็จจงได้ ผู้อื่นไม่อาจ
    ทำผู้อื่นให้สำเร็จได้ เราจักผูกเกราะ คือ ความเพียร จักเข้า
    ไปสู่ป่าใหญ่ เรายังไม่บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว จักไม่ออกไปจากป่า
    นั้นเมื่อลมพัดเย็นมา กลิ่นดอกไม้ก็หอมฟุ้งมา เราจักนั่งอยู่บนยอดเขา
    ทำลายอวิชชา เราจักได้รับความสุขรื่นรมย์อยู่ด้วยวิมุตติสุขในถ้ำที่เงื้อม
    เขา ซึ่งดารดาษไปด้วยดอกโกสุม มีภาคพื้นเยือกเย็น อันมีอยู่ใน
    ป่าใหญ่เป็นแน่ เรามีความดำริอันเต็มเปี่ยม เหมือนพระจันทร์ใน
    วันเพ็ญ เป็นผู้สิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี.

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  17. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  18. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า

    แว่นส่องความเป็นพระโสดาบัน
    อานนท์ ! เราจักแสดง ธรรมปริยายอันชื่อว่า
    แว่นธรรม ซึ่งหากอริยสาวกผู้ใด ได้ประกอบพร้อมแล้ว
    เมื่อจำนงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พึงทำได้ในข้อที่ตน
    เป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดเดรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปรตวิสัย
    สิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว, ในข้อที่ตนเป็น
    พระโสดาบันผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เที่ยงแท้ต่อ
    พระนิพพาน เป็นผู้มีอันจะตรัสรู้ธรรมได้ในกาลเบื้องหน้า
    ดังนี้.

    อานนท์ ! ก็ธรรมปริยายอันชื่อว่า แว่นธรรม
    ในที่นี้ เป็นอย่างไรเล่า ?

    อานนท์ ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
    ประกอบพร้อมแล้วด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น
    ไม่หวั่นไหวในองค์พระพุทธเจ้า…. ในองค์พระธรรม….
    ในองค์พระสงฆ์….และอริยสาวกในธรรมวินัยนี้
    เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีลทั้งหลายชนิดเป็นที่พอใจของ
    เหล่าอริยเจ้า คือเป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย
    เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา เป็นศีลที่ผู้รู้ท่านสรรเสริญ
    เป็นศีลที่ทิฏฐิไม่ลูบคลำ และเป็นศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิ.
    อานนท์ ! ธรรมปริยายอันนี้แล ที่ชื่อว่า
    แว่นธรรม ซึ่งหากอริยสาวกผู้ใดได้ประกอบพร้อมแล้ว
    เมื่อจำนงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พึงทำได้, ดังนี้แล.

    มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๕๐-๔๕๑/๑๔๗๙-๑๔๘๐.

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  19. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    หม่อมหลวงสราลี กิติยากร เป็นประธานทอดผ้ากฐิน ในงานกฐินสามัคคี ๘๔,๐๐๐ กอง ที่วัดป่าบ้านตาด โดยมียอดปัจจัยสมทบกองกฐินทั้งสิ้น ๓๔,๑๒๕,๑๓๙.๕๘ บาท

    1507526477_596_หม่อมหลวงสราลี-กิติยากร.jpg
    หม่อมหลวงสราลี กิติยากร เป็นประธานทอดผ้ากฐิน ในงานกฐินสามัคคี ๘๔,๐๐๐ กอง ที่วัดป่าบ้านตาด โดยมียอดปัจจัยสมทบกองกฐินทั้งสิ้น ๓๔,๑๒๕,๑๓๙.๕๘ บาท

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  20. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    การพิจารณาอสุภะอสุภังพิจารณาไปจนกระทั่งว่าราคะนี้ไม่ ปรากฏเลย ค่อยหมดไปๆ และหมดไปเอาเฉยๆ ไม่ได้บอกเหตุบอกผล บอกกาลบอกเวลา บอกสถานที่ บอกความแน่ใจเลยว่า ราคะความกำหนัดยินดีในรูปหญิงรูปชายนี้ ได้หมดไปแล้วตั้งแต่ขณะนั้นเวลานั้นสถานที่นั้น ไม่บอก จึงต้องมาวินิจฉัยกันอีก ความหมดไปๆ เฉยๆ นี้ไม่เอา คือจิตมันไม่ยอมรับ ถ้าหมดตรงไหนก็ต้องบอกว่าหมด ให้รู้ชัดว่าหมดเพราะเหตุนั้นหมดในขณะนั้น หมดในสถานที่นั้น ต้องบอกเป็นขณะให้รู้ซิ ฉะนั้น จิตต้องย้อนกลับมาพิจารณาหาอุบายวิธีต่างๆ เพื่อแก้ไขกันอีก เมื่อหมดจริงๆ มันทำไมไม่ปรากฏชัดว่าหมดไปในขณะนั้นขณะนี้นะ พอมองเห็นรูปมันทะลุไปเลย เป็นเนื้อเป็นกระดูกไปหมดในร่างกายนั่น ไม่เป็นหญิงสวยหญิงงาม คนสวยคนงามเลย เพราะอำนาจของอสุภะมีกำลังแรงเห็นเป็นกองกระดูกไปหมด มันจะเอาอะไรไปกำหนัดยินดีเล่าในเวลาจิตเป็นเช่นนั้น

    ทีนี้ก็หาอุบายพลิกใหม่ ว่าราคะนี้มันสิ้นไปจนไม่มีอะไรเหลือนั้นมันสิ้นในขณะใดด้วยอุบายใด ทำไมไม่แสดงบอกให้ชัดเจน จึงพิจารณาพลิกใหม่ คราวนี้เอาสุภะเข้ามาบังคับ พลิกอันที่ว่าอสุภะที่มีแต่ร่างกระดูกนั้นออก เอาหนังหุ้มห่อให้สวยให้งาม นี่เราบังคับนะ ไม่งั้นมันทะลุไปทางอสุภะทันทีเพราะมันชำนาญนี่ จึงบังคับให้หนังหุ้มกระดูกให้สวยให้งาม แล้วนำเข้ามาติดแนบกับตัวเอง นี่วิธีการพิจารณาของเรา เดินจงกรมก็ให้ความสวยความงามรูปอันนั้นน่ะติดแนบกับตัว ติดกับตัวไปมาอยู่อย่างนั้น เอ้า มันจะกินเวลานานสักเท่าไร หากยังมีอยู่มันจะต้องแสดงขึ้นมา หากไม่มีก็ให้รู้ว่าไม่มี

    เอาวิธีการนี้มาปฏิบัติได้ ๔ วันเต็มๆ ที่มันไม่แสดงความกำหนัดยินดีขึ้นมาเลย ทั้งๆ ที่รูปนี้สวยงามที่สุดมันก็ไม่แสดง มันคอยแต่จะหยั่งเข้าหนังห่อกระดูก แต่เราบังคับไว้ให้จิตอยู่ที่ผิวหนังนี่ พอถึงคืนที่ ๔ น้ำตาร่วงออกมา บอกว่ายอมแล้ว ไม่เอา คือมันไม่ยินดีนะ มันบอกว่ายอมแล้ว ด้านทดสอบก็ว่ายอมอะไร ถ้ายอมว่าสิ้นก็ให้รู้ว่าสิ้นซิ ยอมอย่างนี้ไม่เอา ยอมชนิดนี้ย่อมมีเล่ห์เหลี่ยม เราไม่เอา กำหนดไป กำหนดทุกแง่ทุกมุมนะ แง่ไหนมุมใดที่มันจะเกิดความกำหนัดยินดี เพื่อจะรู้ว่าความกำหนัดยินดีนี้มันจะขึ้นขณะใด เราจะจับเอาตัวแสดงออกมานั้นเป็นเครื่องพิจารณาถอดถอนต่อไป พอดึกเข้าไปๆ กำหนดเข้าไปๆ แต่ไม่กำหนดพิจารณาอสุภะนะตอนนั้น พิจารณาแต่สุภะอย่างเดียวเท่านั้น ๔ วันเต็มๆ เพราะจะหาอุบายทดสอบหาความจริงมันให้ได้

    พอสัก ๓-๔ ทุ่มล่วงไปแล้วในคืนที่ ๔ มันก็มีลักษณะยุบยับ เป็นลักษณะเหมือนจะกำหนัดในรูปสวยๆ งามๆ ที่เรากำหนดติดแนบกับตัวเป็นประจำในระยะนั้น มันมีลักษณะยุบยับชอบกล สติทันนะเพราะสติมีอยู่ตลอดเวลานี่ พอมีอาการยุบยับก็กำหนดเสริมขึ้นเรื่อยๆ นั่นมันมีลักษณะยุบยับ เห็นไหม จับเจ้าตัวโจรหลบซ่อนได้แล้วที่นี่ นั่นเห็นไหม มันสิ้นยังไง ถ้าสิ้นทำไมจึงต้องเป็นอย่างนี้ กำหนดขึ้นๆ คือ คำว่ายุบยับนั้นเป็นแต่เพียงอาการของจิตแสดงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทำอวัยวะให้ไหวนะ มันเป็นอยู่ภายในจิต พอเสริมเข้าๆ มันก็แสดงอาการยุบยับๆ ให้เป็นที่แน่ใจว่า เอ้อ นี่มันยังไม่หมด เมื่อยังไม่หมดจะปฏิบัติยังไง

    ที่นี่ต้องปฏิบัติด้วยอุบายใหม่โดยวิธีสับเปลี่ยนกัน ทั้งนี้เพราะทางไม่เคยเดินสิ่งไม่เคยรู้ จึงลำบากต่อการปฏิบัติอยู่มาก พอเรากำหนดไปทางอสุภะนี้สุภะมันดับพึบเดียวนะ มันดับเร็วที่สุดเพราะความชำนาญทางอสุภะมาแล้ว พอกำหนดอสุภะมันเป็นกองกระดูกไปหมดทันที ต้องกำหนดสุภะความสวยงามขึ้นมาแทนที่ สับเปลี่ยนกันอยู่นั้น นี่ก็เป็นเวลานานเพราะหนทางไม่เคยเดิน มันไม่เข้าใจก็ต้องทดสอบด้วยวิธีต่างๆ จนเป็นที่แน่ใจ จึงจะตัดสินใจลงทางใดทางหนึ่งได้

    ทีนี้วาระสุดท้ายนะ เวลาจะได้ความจริงก็นั่งกำหนดอสุภะไว้ตรงหน้า จิตกำหนดอสุภะไว้ให้ตั้งอยู่อย่างนั้น ไม่ให้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือตั้งให้คงที่ของมันอยู่นั้นละ จะเป็นหนังห่อกระดูกหรือว่าหนังออกหมดเหลือแต่กองกระดูก ก็ให้มันรู้อยู่ตรงหน้านั้น แล้วจิตเพ่งดูด้วยความมีสติจดจ่ออยากรู้อยากเห็นความจริงจากอสุภะนั้นว่า เอ้า มันจะไปไหนมาไหน กองอสุภะกองนี้จะเคลื่อนหรือเปลี่ยนตัวไปไหนมาไหน คือเพ่งยังไงมันก็อยู่อย่างนั้นละ เพราะความชำนาญของจิต ไม่ให้ทำลายมันก็ไม่ทำ เราบังคับไม่ให้มันทำลาย ถ้ากำหนดทำลายมันก็ทำลายให้พังทลายไปในทันทีนะ เพราะความเร็วของปัญญา แต่นี่เราไม่ให้ทำลาย ให้ตั้งอยู่ตรงหน้านั้นเพื่อการฝึกซ้อมทดสอบกันหาความจริงอันเป็นที่แน่ใจ

    พอกำหนดเข้าไปๆ อสุภะที่ตั้งอยู่ตรงหน้านั้น มันถูกจิตกลืนเข้ามาๆ อมเข้ามาๆ หาจิตนี้ สุดท้ายเลยรู้เห็นว่าเป็นจิตเสียเองเป็นตัวอสุภะนั้นน่ะ จิตตัวไปกำหนดว่าอสุภะนั้นน่ะมันกลืนเข้ามาๆ เลยมาเป็นตัวจิตเสียเองไปเป็นสุภะและอสุภะหลอกตัวเอง จิตก็ปล่อยผลัวะทันที ปล่อยอสุภะข้างนอก ว่าเข้าใจแล้วที่นี่เพราะมันขาดจากกัน มันต้องอย่างนี้ซิ นี่มันเป็นเรื่องของจิตต่างหากไปวาดภาพหลอกตัวเอง ตื่นเงาตัวเอง อันนั้นเขาไม่ใช่ราคะ อันนั้นไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ ตัวจิตนี้ต่างหากเป็นตัวราคะ โทสะ โมหะ ทีนี้พอจิตรู้เรื่องนี้ชัดเจนแล้ว จิตก็ถอนตัวจากอันนั้นมาสู่ภายใน พอจิตแย็บออกไปมันก็รู้ว่าตัวนี้ออกไปแสดงต่างหาก ทีนี้ภาพอสุภะนั้นมันก็เลยมาปรากฏอยู่ภายในจิตโดยเฉพาะ

    กำหนดอยู่ภายในพิจารณาอยู่ภายในจิต ทีนี้มันไม่เป็นความกำหนัดอย่างนั้นน่ะซิมันผิดกันมาก เรื่องความกำหนัดแบบโลกๆ มันหมดไปแล้ว มันเข้าใจชัดว่ามันต้องขาดจากกันอย่างนี้ คือมันตัดสินกันแล้ว เข้าใจแล้ว ทีนี้ก็มาเป็นภาพปรากฏอยู่ภายในจิตก็กำหนดอยู่ภายในนั้น พอกำหนดอยู่ภายในมันก็ทราบชัดอีกว่า ภาพถ่ายในนี้ก็เกิดจากจิต มันดับมันก็ดับไปที่นี่ มันไม่ดับไปที่ไหน พอกำหนดขึ้นมันดับไป พอกำหนดไม่นานมันก็ดับไป ต่อไปมันก็เหมือนฟ้าแลบนั่นเอง พอกำหนดพับขึ้นมาเป็นภาพก็ดับไปพร้อม ๆ กัน เลยจะขยายให้เป็นสุภะอสุภะอะไรไม่ได้ เพราะความรวดเร็วของความเกิดดับ พอปรากฏขึ้นพับก็ดับพร้อมๆ ต่อจากนั้นนิมิตภายในจิตก็หมดไป จิตก็กลายเป็นจิตว่างไปเลย ส่วนอสุภะภายนอกนั้นหมดปัญหาไปก่อนหน้านี้แล้ว เข้าใจแล้วตั้งแต่ขณะที่มันกลืนตัวเข้ามาสู่จิต มันก็ปล่อยอสุภะข้างนอกทันทีเลย รูป เสียง กลิ่น รส อะไรข้างนอกมันปล่อยไปหมด เพราะอันนี้ไปหลอกต่างหากนี่ เมื่อเข้าใจตัวนี้ชัดแล้ว อันนั้นไม่มีปัญหาอะไร มันเข้าใจทันทีและปล่อยวางภายนอกโดยสิ้นเชิง

    พ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...