ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เมื่อหลายสิบปีก่อน ครั้งที่มีข่าวในหลวงรัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคตหลวงปู่เคยเล่าว่า
    ท่านเกิดความสลดสังเวชมาก ว่าคนไทยหลายคน ยังขาดกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อพระเจ้าอยู่หัวท่านคิดอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรจะให้คนไทยมีความรักชาติศาสนา และพระมหากษัตริย์ องค์ท่านเองนั้นตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้กาลเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี กิจวัตรอันหนึ่งที่ท่านทำอยู่มิได้ขาดคือ การสวดมนต์ถวายพระพรแด่ในหลวงทุกวันตลอดมาขอให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนานเป็นมิ่งขวัญคนไทยตลอดไป

    หลวงพ่อยังได้กล่าวไว้อีกว่าเพราะพระเจ้าแผ่นดิน (ร.๙) ท่านปฏิบัติ (ธรรม) ต่อไปพุทธศานาในเมืองไทยจะเจริญขึ้นเพราะท่านเป็นผู้นำเป็นแบบอย่าง
    สมัยหนึ่งเมื่อหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ยังทรงสังขารอยู่นั้นบ่ายของวันที่แดดร่มลมตก จู่ ๆ ท่านก็เปรยกับคณะศิษย์ที่ประกอบด้วย “คนตาดี” หลายคนว่า
    “พวกแกลองดูทีซิว่า มีพระรูปไหนอยู่กับในหลวงบ้าง”

    เข้าใจว่าท่านคงหมายถึงกายทิพย์ หรือ บารมีที่พระมหาเถระแต่ละองค์อธิษฐานพิทักษ์รักษาในหลวงศิษย์ท่านหนึ่งก็ “เข้าที่” ตามหลวงปู่สั่ง พักหนึ่งก็ลืมตาแล้วตอบว่า “หลวงพ่อเกษมครับ” หลวงปู่ยิ้มแล้วว่า “นั่นองค์หนึ่งละ มีใครอีก” ศิษย์แสนซนคนหนึ่งตอบทันที “หลวงพ่อนั่นแหละครับ” ท่านมองหน้าแล้วถาม “ทำไมแกจึงว่าอย่างนั้น” ศิษย์จอมซนอธิบายว่า “อ้าว ก็หลวงพ่อรู้ได้ว่ามีองค์นั้น องค์นี้อยู่กับในหลวง แสดงว่าหลวงพ่อก็ต้องไปมาด้วยน่ะสิ ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไง”

    เมื่อเข้าเนื้อท่านโบกมือให้ยุติเรื่องทันที ศิษย์ก็ถึงที่ยิ้มไป…
    นี่คือเรื่องเล่า ที่อาจบอกได้ว่ายังมีอะไร ๆ ในโลกที่เราผู้ครองความเป็นปุถุชนยังเข้าไปไม่ถึงอีกมาก สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าจะไม่มี
    ค่ำของวันหนึงเป็นที่เลื่องลือกันมานานปากต่อปากรุ่นต่อรุ่นนานมาแล้วสมัยหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ ยังไม่ย่างเข้าวัยชรามากนัก มีรถคันหนึงขับเข้ามาในวัดสะแกและมีคน ๒ คนลงจากรถมุ่งไปยังกุฎิหลวงปู่ ภายหลังเป็นที่ทราบมาว่าเป็นพ่อกับลูกสาวมากราบนมัสการหลวงปู่ โดยมากันเองพร้อมคนขับรถและผู้พ่อใส่แว่นดำ พอมาถึงหลวงปู่ก็ได้จัดแจงรออยู่แล้วเสมือนรู้ทั้งๆที่ไม่ได้มีการนัดหมายก่อนมา

    พ่อลูกคู่นั้นได้สนทนากับหลวงปู่ประมาณชั่วโมงจึงได้กราบลาหลวงปู่ หลวงปู่ได้ให้พร และยังแซวว่า “มาแบบเงียบๆนี้และดีเพราะเดี๋ยวคนจะล้นวัด” ทั้งหลวงปู่กับพ่อลูกคู่นั้นได้หัวเราะอย่างรู้กัน

    หลังคุณพ่อและลูกสาวออกมาจากกุฎิหลวงปู่คุณพ่อและลูกสาวก็ได้ให้คนขับรถขับมาเทียบหน้าวัดพอมาถึงคนลูกสาวก็ได้ลงมาซื้อข้าวแกงกับแม่ค้าแถวนั้นโดยผู้พ่อก็ลงมาสมทบด้วย และพูดคุยกับแม่ค้าอย่างไม่ถือตัวและเป็นกันเองระหว่างนั้นแม่ค้าผู้นั้นก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมพ่อลูกคู่นี้ช่างคุ้นหน้าเสียจริง จนทั้งคู่ได้กลับขึ้นรถและขับออกไปแม่ค้าจึงได้ถึงบางอ้อด้วยความตื้นตัน หลังจากนั้นมีผู้เห็นพ่อลูกคู่นั้นได้มาในลักษณะเดียวกันอีก ๒-๓ ครั้ง โดยมีบางครั้งผู้พ่อมาคนเดียวก็มี

    พ่อลูกคู่นั้นจะเป็นใครอันนี้ก็แล้วแต่ผู้อ่านจะคิดพิจารณาถ้าคิดๆดูคงพิจารณาออกไม่ยาก หากรู้แล้วก็ขอให้ประทับความซึ้งใจนี้ไว้ในจิตเป็นบุญที่ได้รู้ก็พอ

    แหมก็คนลูกสาว เมื่อวันเปิดพิพิธพันธ์หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ที่วัดสะแกเมื่อปี ๒๕๓๕ ก็ยังมาร่วมงานอยู่เลย..

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    -ครั้.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  2. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  3. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ้าเราอยู่บ้านเราพยายามเปิดเทป
    เปิดเสียงสวดไว้

    หลวงตาม้า วิริยธโร : ถามตอบปัญหาธรรม
    ณ วัดพุทธพรหมปัญโญ(ดู่)อ.เชียงดาว
    จ.เชียงใหม่
    วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560

    หลวงตา : ถ้าเราอยู่บ้านเรา พยายามเปิดเทป
    ถ้าใครมีเทปอ่ะ เปิดเสียงสวดไว้เพราะเสียง
    สวดเนี่ยถึงแม้ว่าภพภูมิเป็นเสียง อดีต

    ก็จริง แต่เวลาเค้าฟังแล้วเนี่ยมันจะ เย็นเย็น
    มันจะเย็น คลื่นจะเย็นคลื่นจะสบาย คลื่นบท
    สวดมนต์จะเป็น บทไหนก็ตาม ถ้าเราเปิดไว้

    เปิดไว้นะฮะ บริเวณแถวนั้นน่ะมันจะมีภพภูมิ
    แถวจาตุมมั่งอะไรมั่ง แล้วมันก็จะเกิดเย็น
    เค้ามีความสุข เค้าก็จะ มากระจุกอยู่ตรงนั้น

    แต่ทีนี้ถ้าเรา สวดตามไปด้วยเนี่ย เค้าก็ ้อม
    มากะเรา เค้าได้แสงสว่างได้บุญจากเรา ได้อายุ
    เพราะนั้นภูมิทั้งหลาย ในโลกวิญญาณน่ะ

    เค้าไม่มีธาตุ เค้ามีแต่จิต ท่านเรียกว่า นามธรรม
    ออกจากรูปธรรม เป็นนามธรรม ถ้าจะรับบุญรับ
    กระแสของแสงสว่าง มันต้องรับจากรูปและนาม

    ของ มนุษย์ เพราะฉะนั้นมนุษย์เนี่ย คนอย่าง
    เราเนี่ย เวลาเราสวดเวลาเราแผ่ มันก็ไปตาม
    คลื่นที่เรา สถานที่ๆเราแผ่ เราแผ่ให้มนุษย์

    มันก็ไปที่มนุษย์นั่นแหละ แต่ถ้ามนุษย์คนนั้น
    ีอารมณ์สบายๆ เค้าจะมีความสุข ถ้าอารมณ์
    เค้าไม่ดีขัดข้องอะไร ันก็ไม่ได้ไม่ได้รับ

    แต่ที่ได้รับคือ โลกของวิญญาณมากกว่า ทีนี้
    ถ้าเราสวดมนต์ไปเรื่อยเนี่ย บางคนบางคร้้งมี
    คนแผ่เมตตาให้เราเนี่ย เราก็ได้นะฮะ

    เราได้รับนะฮะ เพราะจิตเรา อยู่ในความดี อยู่
    ในคลื่นของจักรพรรดิ ไตรสรณคมน์ คลื่นของ
    การแผ่เมตตา เพราะฉะน้้น ีมันก็บวกดี นั่นน่ะ

    ท่านว่า เพราะนั้นมันรับหมดหละ รับคลื่นของ
    ความดี ั้งกลางวันและกลางคืน เพราะฉะนัิน
    เวลาใครเค้า ึกถึงเรา และเค้าแผ่ให้เรา

    เราก็ได้ส่วนนั้นด้วยนะฮะ คือมันได้รอบทิศทาง
    ถ้าเรา ขยัน ซะตอนนี้นะฮะ เนี่ย ท่านบอกเอ็ง
    ขยันซะตอนเนี้ย ขยันอยู่ในบทสวด เนี่ย

    จิตอยู่ในจักรพรรดิ อยู่กับข้า อยู่กับพระ อยู่กับ
    ไตรสรณคมน์นี่แหละ แล้วมันก็จะ ิน ใน
    อนาคตจิตเอ็งก็จะเบา จิตเบาจิตสบายใช่มั้ยล่ะ

    ันก็รับคลื่นของความดีได้หมดรอบทิศทาง
    คลื่นจากมนุษย์ คลื่นจากใครก็ตามประมาณ
    นั้นแหละ ถ้าเราพิจรณาให้ดีนะฮะ ชีวิตเนี้ยนะ

    ถ้าเราเข้าใจจริงๆนะฮะ หลวงตาว่าถ้าคนเข้าใจ
    จริงๆนะ ิดโลกได้เลย ฮะ อารมณ์ทางโลก
    หรืองานทางโลกอะไรก็ตามอ่ะ ต่อให้มียังไง

    จนยังไงก็ ไม่เอาแล้วฮะ เพราะโลกเนี้ยมัน
    ก็เป็นปกติ ตายไปแล้วก็เอาไปไม่ได้ สูตรตรง
    นั้นมันเอาไปไม่ได้ สูตรที่เราฝึกนี่มันได้ เพราะ

    มันเป็น ทรัพย์ภายใน ทรัพย์ภายในที่มันอยู่
    ภายในเราเน่ี่ยตลอดไปกี่ภพกี่ชาต มันจะเพิ่ม
    ไป ท่านเรียกว่าทรัพย์ภายใน เพราะฉะนั้น
    กรรมคือ การกระทำ ฐานก็คือ จิต

    กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    1509634687_950_ถ้าเราอยู่บ้านเราพยายา.jpg
    1509634687_680_ถ้าเราอยู่บ้านเราพยายา.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  4. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    วันนี้วันที่ ๒ พฤศจิกายนเป็นวันคล้ายวันมรณภาพครบ ๑๙ ปี ของสมเด็จพระมหามุนีวงศ์(หลวงปู่มหาสนั่น จันทปัชโชโต) วัดนรนาถสุนทริการาม เขตเทเวศร์ กรุงเทพมหานคร ท่านเจ้าคุณสมเด็จถือกำเนิด ตรงกับวันอังคารที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๑ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก ณ บ้านหนองบ่อ ต.หนองบ่อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ท่านอุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๑ ณ วัดบรมนิวาส พระนคร โดยมี พระครูสีลวรคุณ(หลวงปู่อ่ำ ภัทราวุโธ) เป็นพระอุปัชฌาย์

    สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เป็นพระมหาเถระที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับองค์พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ดังเรื่องที่หลวงตา นำมาเล่าเป็นตัวอย่างสอนแก่พระเณรว่า
    “..สมเด็จมหามุนีวงศ์ วัดนรนาถฯ ท่านพูดคำไหนออกมามีเป็นคำสะดุดใจทุกประโยคนะ เราอดคิดไม่ได้ ท่านเป็นเปรียญ ๙ ประโยค ชื่อท่านชื่อสนั่น .. ท่านพูดคำไหนรู้สึกสะดุดใจกึ๊กเลยนะ พอเราเข้าไปหาท่าน ท่านรู้สึกว่าตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นด้วยความดีใจ กำลังท่านคุยกับโยมอะไร พอเราโผล่เข้าไป ท่านจะคึกคักขึ้นทันทีเลยนะ ว่า “โอ๊ พระเศรษฐีธรรมมาแล้ว พระเศรษฐีธรรมนับวันจะหายากเข้าทุกวัน ๆ ไม่เหมือนพระเศรษฐีเงินซึ่งนับวันเกลื่อนกลาดไปหมด เศรษฐีธรรมนี้นับวันจะหายากเข้าทุกวัน แต่พระเศรษฐีเงินนี้นับวันจะเกลื่อนเข้าไปทุกวัน”

    นั่นน่าคิดไหมล่ะ เราสะดุดกึ๊กทันทีเลย พระเศรษฐีธรรม เศรษฐีเงิน ท่านพูดคำไหนออกมาทำให้คิด อย่างท่านอยู่โรงพยาบาลศิริราชก็เหมือนกัน หมอทางศิริราชแหละเขาไปบอกว่า ‘สมเด็จฯ ท่านมารักษาตัวอยู่ที่ศิริราช’

    ทีนี้พอได้โอกาสเราก็ไปกราบเยี่ยมท่านที่ศิริราช ไปก็พอดีเป็นเวลาที่ .. ปกติก็ต้องนอนนั่นแหละ นั่งมันลำบาก นี่ไปท่านนอนหันหน้าไปทางฝาโน้น เราเข้าไปทางนี้ พระขึ้นไปเหมือนหนึ่งว่าจะไปปลุกท่าน เรารีบบอกพระ ‘ผมไม่ได้มากวนท่าน ให้ท่านอยู่สะดวกสบาย จะพบท่านเมื่อไรก็ได้เวลานี้เป็นเวลาท่านพักผ่อน ไม่ให้กวน’

    คือคุยกันเมื่อไรก็ได้ เราก็นั่งรอ ไม่นานนะท่านหันหน้ามา อันนี้ที่น่าคิดมากอีกนะ ตามธรรมดาต้องพยุงท่านขึ้นนะ เวลาท่านจะนั่งจะอะไรต้องพยุงขึ้น อันนี้พอท่านหันหน้ามามองเห็นเรานี้ดีดผึงเลยเทียว แล้วก็มีอุทานออกแบบน่าคิด เราก็ลืม ๆ เสีย เพราะพบท่านทีไรท่านจะมีคติธรรมให้เป็นที่ระลึกกับเราอยู่เสมอ

    คราวนี้ก็อีกเหมือนกัน ท่านดีดผึงเลยนะ ลุกขึ้นเอง ‘พระหายากมาแล้ว พระหายากนับวันจะหาได้ยากเข้าทุกวัน ๆ ไม่เหมือนพระหาง่าย เกลื่อนตลาดเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง’

    เอาอีกแหละ แน่ะฟังซิ โอ๋ย ท่านคุยท่านรื่นเริงจริง ๆ นะ อีกสองวันหมอที่เขาบอกไปหาเราว่า ‘สมเด็จฯ ท่านกลับวัดแล้ว ท่านหายแล้ว’ ‘เหรอ’ เราก็ถาม “โอ๊ย เหมือนปาฏิหาริย์ พอหลวงพ่อไปเยี่ยมท่านคึกคักขึงขังตึงตังยิ้มแย้มแจ่มใส พอวันหลังท่านออกจากโรงพยาบาลเลย”

    ท่านว่า ‘ทีนี้ไปได้แล้ว’ ท่านไปแล้วจะออกแล้ว ท่านว่า ‘มันเป็นยังไงนะ อาจารย์มหาบัวมาเยี่ยมมันเหมือนปาฏิหาริย์ เอายาอะไรมาชโลมเรา’
    ท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านพูดเอง เหมือนเอายาทิพย์มาชโลมเรา ดีดผึงเลย มีกำลังวังชาขึ้นทันทีทันใด ท่านพูดคำไหนน่าคิดนะ สมเด็จฯ นี้ท่านมีความสนใจต่ออรรถต่อธรรม ท่านไม่ได้ลืมตัวนะ เพราะเคยสนิทกันมานานแล้วตั้งแต่ท่านเป็นมหาอยู่ พอเป็นสมภารเจ้าวัดท่านก็หนักแน่นในธรรมตลอดมา…”

    หลังจากวันนั้นไม่นาน ท่านก็หายอาพาธอย่างรวดเร็วจนเป็นที่ประหลาดใจแก่แพทย์ผู้ให้การรักษา ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าความปีติรื่นเริงในธรรมจัดว่าเป็นธรรมโอสถรักษาโรคชั้นเลิศทีเดียว องค์หลวงตากล่าวยกย่องคุณธรรมเจ้าคุณสมเด็จฯ ว่า.. “เจ้าประคุณสมเด็จพระมหามุนีวงศ์เป็นพระแท้ กราบไหว้ได้ด้วยความสนิทใจ นอกจากท่านจะเป็นนักปริยัติแล้ว ท่านยังเป็นนักปฏิบัติ นักภาวนา เวลาพบปะสนทนากับเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านจะสนทนาแต่เรื่องการปฏิบัติธรรมเกี่ยวกับสมาธิภาวนาด้วยทุกครั้ง ท่านจะไม่พูดถึงเรื่องโลกๆ ภายนอกอันเป็นสิ่งสกปรกโสมมเลย พระเณรเราควรที่จะประพฤติ ปฏิบัติ รักษา ตามแบบอย่างที่ท่านเคยปฏิบัติเอาไว้ โดยเฉพาะเจ้าอาวาสนี้สำคัญมากนะ เพราะเป็นผู้นำคนปกครองคน”

    หลวงปู่มหาสนั่น ได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือสมณศักดิ์ใด ท่านมีความมักน้อย สันโดษ ไม่โอ้อวด ไม่ถือยศตลอดอายุของท่าน บรรดาพระป่ากัมมัฏฐานต่างๆ เช่น หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปณฺโณ ได้กล่าวถึงหลวงปู่ว่า “เป็นพระแท้ กราบไหว้ได้ด้วยความสนิทใจ” โดยทุกๆเช้าหลวงปู่จะตื่นตี ๔ ลุกขึ้นมาไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิไปจนกระทั่ง ๖ โมงเช้า จากนั้นจึงลงไปเดินจงกรมรอบๆโบสถ์ ปฏิบัติเช่นนี้มาตลอด ไม่เคยขาดแม้กระทั่งเจ็บป่วย ท่านเคยได้ออกธุดงค์และบำเพ็ญเพียรในป่า ตามแบบอย่างของครูบาอาจารย์ของท่าน มีท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ สิริจนฺโท) และ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นต้น

    ในช่วงท้ายของชีวิต หลวงปู่ได้อาพาธด้วยโรคไต และปอด มีอาการเจ็บป่วยอยู่เป็นระยะ ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ หลวงปู่เข้ารับการรักษาอาการอาพาธ ในครั้งนี้หลวงปู่ได้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้แก่ เบาหวาน ความดันต่ำ และหอบหืด ทำให้มีอาการรุนแรงกว่าทุกครั้ง หลวงปู่มีสติดีเยี่ยม รับรู้อาการทรมานแห่งโรค รับรู้การรักษาพยาบาล ซึ่งท่านไม่ได้มีอาการทุรนทุราย กระสับกระสาย หรือร้องครวญครางให้ใครได้ยินเลย ท่านแสดงถึงความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว จนกระทั่งวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๑ หลวงปู่อยู่ในอารมณ์สมาธิ เงียบสงบ ลมหายใจแผ่วเบา และอ่อนลงตามลำดับ จนกระทั่งมรณภาพลง สิริอายุได้ ๙๐ ปี ๑ เดือน ๒๔ วัน พรรษา ๗๑

    “… การปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะปฏิบัติแนวไหน สายไหน ก็ใช้ได้ทั้งนั้น สำคัญตรงที่เราปฏิบัติกันอย่างจริงๆจังๆ ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะปฏิบัติในแบบภาวนาพุทโธ หรือ สัมมาอะระหัง หรือยุบหนอพองหนอ เป็นต้น แต่ละอย่างล้วนต่างก็ให้ผลดี คือทำจิตใจให้สงบระงับจากกิเลสอาสวะได้ทั้งสิ้น…” โอวาทธรรมคำสอนของสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (หลวงปู่มหาสนั่น จันทปัชโชโต)

    _/_ _/_ _/_

    1509638348_17_วันนี้วันที่-๒-พฤศจิกายน.jpg
    วันนี้วันที่ ๒ พฤศจิกายนเป็นวันคล้ายวันมรณภาพครบ ๑๙ ปี ของสมเด็จพระมหามุนีวงศ์(หลวงปู่มหาสนั่น จันทปัชโชโต) วัดนรนาถสุนทริการาม เขตเทเวศร์ กรุงเทพมหานคร ท่านเจ้าคุณสมเด็จถือกำเนิด ตรงกับวันอังคารที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๑ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก ณ บ้านหนองบ่อ ต.หนองบ่อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ท่านอุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๑ ณ วัดบรมนิวาส พระนคร โดยมี พระครูสีลวรคุณ(หลวงปู่อ่ำ ภัทราวุโธ) เป็นพระอุปัชฌาย์

    สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เป็นพระมหาเถระที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับองค์พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ดังเรื่องที่หลวงตา นำมาเล่าเป็นตัวอย่างสอนแก่พระเณรว่า
    “..สมเด็จมหามุนีวงศ์ วัดนรนาถฯ ท่านพูดคำไหนออกมามีเป็นคำสะดุดใจทุกประโยคนะ เราอดคิดไม่ได้ ท่านเป็นเปรียญ ๙ ประโยค ชื่อท่านชื่อสนั่น .. ท่านพูดคำไหนรู้สึกสะดุดใจกึ๊กเลยนะ พอเราเข้าไปหาท่าน ท่านรู้สึกว่าตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นด้วยความดีใจ กำลังท่านคุยกับโยมอะไร พอเราโผล่เข้าไป ท่านจะคึกคักขึ้นทันทีเลยนะ ว่า “โอ๊ พระเศรษฐีธรรมมาแล้ว พระเศรษฐีธรรมนับวันจะหายากเข้าทุกวัน ๆ ไม่เหมือนพระเศรษฐีเงินซึ่งนับวันเกลื่อนกลาดไปหมด เศรษฐีธรรมนี้นับวันจะหายากเข้าทุกวัน แต่พระเศรษฐีเงินนี้นับวันจะเกลื่อนเข้าไปทุกวัน”

    นั่นน่าคิดไหมล่ะ เราสะดุดกึ๊กทันทีเลย พระเศรษฐีธรรม เศรษฐีเงิน ท่านพูดคำไหนออกมาทำให้คิด อย่างท่านอยู่โรงพยาบาลศิริราชก็เหมือนกัน หมอทางศิริราชแหละเขาไปบอกว่า ‘สมเด็จฯ ท่านมารักษาตัวอยู่ที่ศิริราช’

    ทีนี้พอได้โอกาสเราก็ไปกราบเยี่ยมท่านที่ศิริราช ไปก็พอดีเป็นเวลาที่ .. ปกติก็ต้องนอนนั่นแหละ นั่งมันลำบาก นี่ไปท่านนอนหันหน้าไปทางฝาโน้น เราเข้าไปทางนี้ พระขึ้นไปเหมือนหนึ่งว่าจะไปปลุกท่าน เรารีบบอกพระ ‘ผมไม่ได้มากวนท่าน ให้ท่านอยู่สะดวกสบาย จะพบท่านเมื่อไรก็ได้เวลานี้เป็นเวลาท่านพักผ่อน ไม่ให้กวน’

    คือคุยกันเมื่อไรก็ได้ เราก็นั่งรอ ไม่นานนะท่านหันหน้ามา อันนี้ที่น่าคิดมากอีกนะ ตามธรรมดาต้องพยุงท่านขึ้นนะ เวลาท่านจะนั่งจะอะไรต้องพยุงขึ้น อันนี้พอท่านหันหน้ามามองเห็นเรานี้ดีดผึงเลยเทียว แล้วก็มีอุทานออกแบบน่าคิด เราก็ลืม ๆ เสีย เพราะพบท่านทีไรท่านจะมีคติธรรมให้เป็นที่ระลึกกับเราอยู่เสมอ

    คราวนี้ก็อีกเหมือนกัน ท่านดีดผึงเลยนะ ลุกขึ้นเอง ‘พระหายากมาแล้ว พระหายากนับวันจะหาได้ยากเข้าทุกวัน ๆ ไม่เหมือนพระหาง่าย เกลื่อนตลาดเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง’

    เอาอีกแหละ แน่ะฟังซิ โอ๋ย ท่านคุยท่านรื่นเริงจริง ๆ นะ อีกสองวันหมอที่เขาบอกไปหาเราว่า ‘สมเด็จฯ ท่านกลับวัดแล้ว ท่านหายแล้ว’ ‘เหรอ’ เราก็ถาม “โอ๊ย เหมือนปาฏิหาริย์ พอหลวงพ่อไปเยี่ยมท่านคึกคักขึงขังตึงตังยิ้มแย้มแจ่มใส พอวันหลังท่านออกจากโรงพยาบาลเลย”

    ท่านว่า ‘ทีนี้ไปได้แล้ว’ ท่านไปแล้วจะออกแล้ว ท่านว่า ‘มันเป็นยังไงนะ อาจารย์มหาบัวมาเยี่ยมมันเหมือนปาฏิหาริย์ เอายาอะไรมาชโลมเรา’
    ท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านพูดเอง เหมือนเอายาทิพย์มาชโลมเรา ดีดผึงเลย มีกำลังวังชาขึ้นทันทีทันใด ท่านพูดคำไหนน่าคิดนะ สมเด็จฯ นี้ท่านมีความสนใจต่ออรรถต่อธรรม ท่านไม่ได้ลืมตัวนะ เพราะเคยสนิทกันมานานแล้วตั้งแต่ท่านเป็นมหาอยู่ พอเป็นสมภารเจ้าวัดท่านก็หนักแน่นในธรรมตลอดมา…”

    หลังจากวันนั้นไม่นาน ท่านก็หายอาพาธอย่างรวดเร็วจนเป็นที่ประหลาดใจแก่แพทย์ผู้ให้การรักษา ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าความปีติรื่นเริงในธรรมจัดว่าเป็นธรรมโอสถรักษาโรคชั้นเลิศทีเดียว องค์หลวงตากล่าวยกย่องคุณธรรมเจ้าคุณสมเด็จฯ ว่า.. “เจ้าประคุณสมเด็จพระมหามุนีวงศ์เป็นพระแท้ กราบไหว้ได้ด้วยความสนิทใจ นอกจากท่านจะเป็นนักปริยัติแล้ว ท่านยังเป็นนักปฏิบัติ นักภาวนา เวลาพบปะสนทนากับเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านจะสนทนาแต่เรื่องการปฏิบัติธรรมเกี่ยวกับสมาธิภาวนาด้วยทุกครั้ง ท่านจะไม่พูดถึงเรื่องโลกๆ ภายนอกอันเป็นสิ่งสกปรกโสมมเลย พระเณรเราควรที่จะประพฤติ ปฏิบัติ รักษา ตามแบบอย่างที่ท่านเคยปฏิบัติเอาไว้ โดยเฉพาะเจ้าอาวาสนี้สำคัญมากนะ เพราะเป็นผู้นำคนปกครองคน”

    หลวงปู่มหาสนั่น ได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือสมณศักดิ์ใด ท่านมีความมักน้อย สันโดษ ไม่โอ้อวด ไม่ถือยศตลอดอายุของท่าน บรรดาพระป่ากัมมัฏฐานต่างๆ เช่น หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปณฺโณ ได้กล่าวถึงหลวงปู่ว่า “เป็นพระแท้ กราบไหว้ได้ด้วยความสนิทใจ” โดยทุกๆเช้าหลวงปู่จะตื่นตี ๔ ลุกขึ้นมาไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิไปจนกระทั่ง ๖ โมงเช้า จากนั้นจึงลงไปเดินจงกรมรอบๆโบสถ์ ปฏิบัติเช่นนี้มาตลอด ไม่เคยขาดแม้กระทั่งเจ็บป่วย ท่านเคยได้ออกธุดงค์และบำเพ็ญเพียรในป่า ตามแบบอย่างของครูบาอาจารย์ของท่าน มีท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ สิริจนฺโท) และ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นต้น

    ในช่วงท้ายของชีวิต หลวงปู่ได้อาพาธด้วยโรคไต และปอด มีอาการเจ็บป่วยอยู่เป็นระยะ ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ หลวงปู่เข้ารับการรักษาอาการอาพาธ ในครั้งนี้หลวงปู่ได้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้แก่ เบาหวาน ความดันต่ำ และหอบหืด ทำให้มีอาการรุนแรงกว่าทุกครั้ง หลวงปู่มีสติดีเยี่ยม รับรู้อาการทรมานแห่งโรค รับรู้การรักษาพยาบาล ซึ่งท่านไม่ได้มีอาการทุรนทุราย กระสับกระสาย หรือร้องครวญครางให้ใครได้ยินเลย ท่านแสดงถึงความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว จนกระทั่งวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๑ หลวงปู่อยู่ในอารมณ์สมาธิ เงียบสงบ ลมหายใจแผ่วเบา และอ่อนลงตามลำดับ จนกระทั่งมรณภาพลง สิริอายุได้ ๙๐ ปี ๑ เดือน ๒๔ วัน พรรษา ๗๑

    “… การปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะปฏิบัติแนวไหน สายไหน ก็ใช้ได้ทั้งนั้น สำคัญตรงที่เราปฏิบัติกันอย่างจริงๆจังๆ ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะปฏิบัติในแบบภาวนาพุทโธ หรือ สัมมาอะระหัง หรือยุบหนอพองหนอ เป็นต้น แต่ละอย่างล้วนต่างก็ให้ผลดี คือทำจิตใจให้สงบระงับจากกิเลสอาสวะได้ทั้งสิ้น…” โอวาทธรรมคำสอนของสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (หลวงปู่มหาสนั่น จันทปัชโชโต)

    _/_ _/_ _/_

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  5. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  6. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “พระพุทธองค์ของเราสอนว่า
    ให้ทำเมื่อมีชีวิตนี้แหละ
    เป็นคนใจดี เป็นคนใจงาม
    เป็นคนใจกว้างขวาง ไม่อิจฉาพยาบาทกัน
    ให้ความสุขซึ่งกันและกัน
    ทุกคนถ้าเข้าใจธรรมะอย่างนี้
    บุญมันก็เกิดขึ้นมาเป็นบุญ
    ความดีที่ปราศจากโทษนั้นแหละชื่อว่า “บุญ”
    ถ้าใครรู้จักความดีที่ปราศจากโทษ
    คนนั้นก็รู้จักตัวบุญ
    บุญนั้นมันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา”

    หลวงปู่ชา สุภทฺโท

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  7. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ปฏิปทาขององค์หลวงปู่ในปลายปัจฉิม

    (อายุแต่ ๙๒ ปีลำดับมา)

    ภายหลังที่องค์หลวงปู่ประกาศงดการบิณฑบาตแล้ว ปกติภายหลังจากลุกจากที่นั่งภาวนาแล้วก็จะทำวัตรเช้า
    ทำวัตรเช้าเสร็จก็สรงน้ำ – สรงด้วยอุ่น นั่งสรงน้ำ แปรงฟันก่อนเสมอแล้วสรงน้ำฟอกสบู่

    สรงน้ำเสร็จแล้ว นุ่งห่มเรียบร้อย ลงไปศาลาหอฉันด้วยรถเข็น นั่งรอพระเณรกลับมาจากบิณฑบาต น้อยวันที่องค์ท่านจะไม่ถามว่า “ไปบิณฑบาตแล้วบ่อ”
    “ไปบิณฑบาตหือยัง”
    “เขาตีระฆังไปบิณฑบาต กลับมาหือยัง เป้ง เป้ง ตั้งแต่เช้า”

    เมื่อพระเณรกลับมาแล้วก็รวมกันที่หอฉัน จัดอาหารใส่บาตรส่วนจังหันที่เป็นส่วนขององค์หลวงปู่นั้น จะจัดใส่บันโตกไม้ใบใหญ่ ข้าวเหนียวนึ่งใส่กระติบแยกถวายจากส่วนหนึ่ง หวานขนมผลไม้อีกส่วนหนึ่ง และอาหารเสริมอีกส่วนหนึ่ง

    ครั้งจัดอาหารเสร็จแล้วก็อนุโมทนาภัตให้พรแก่ญาติโยมที่มาทำบุญและถวายอาหารบิณฑบาตมา

    ภายหลังที่องค์หลวงปู่ออกบิณฑบาตมิได้แล้ว ญาติโยมก็ใส่บาตรฝากมาถวายองค์หลวงปู่ก็มี โดยเขาจะบอกว่า “อันนี้ ถวายหลวงปู่ อันนี้ ถวายครูบา” อย่างนี้เป็นต้น

    เมื่ออนุโมทนาสาธุการให้พรแล้วก็จะพิจารณาอาหารบิณฑบาตตามอัธยาศัยของใครของมัน จากนั้นก็ฉันตามลำดับที่นั่งจนสุดท้ายสามเณรน้อยปลายแถวนั่ง บางวันพระเณรมาก องค์หลวงปู่ก็จะแบ่งไปให้เณรน้อยผู้อยู่สุดท้ายปลายแถว

    การให้พรนั้นในช่วงปัจฉิมวัยนี้ องค์หลวงปู่เป็นผู้ขึ้นยถา… พระองค์นั่งที่รองเป็นผู้รับสัพพี แล้วให้พรพร้อมกัน วรรคที่ ๑ วรรคที่ ๒ วรรคที่ ๓

    วรรคที่ ๑ ยถา…สัพพี
    วรรคที่ ๒ อายุโท…บ้าง

    อายุวัฒโก…บ้าง
    อายุวัฒกา…บ้าง
    สัพพพุทธา…บ้าง
    อัคคโต เว…บ้าง
    อทาสิ เม…บ้าง
    อยัญจ โข…บ้าง
    กาเลทะ… บ้าง

    วรรคที่ ๓ ภวตุ สัพพะมังคะลัง

    หรือบางวันก็ขึ้น มงคลจักรวาลน้อย อย่างเดียว เช่นวันพระวันสำคัญทางศาสนา

    บทกาเลทะ… นั้นใช้วันที่ญาติโยมมาทำบุญกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง วันถวายผ้าอาบน้ำฝนบ้าง วันทำบุญตามกาลกำหนด
    บท อยัญจโข…,บท อทาสิเม… นั้นใช้วันที่มีการทำบุญอุทิศ
    บทอนุโมทนานอกนั้น ใช้สลับกันไป

    เมื่ออายุมากขึ้น องค์ท่านมอบภารกิจนี้แก่พระรูปที่นั่งรองลงมาโดยองค์ท่านเป็นผู้บอกอนุญาตว่า…
    “ปันพรให้เขาแหมะ”
    “ปันพรให้เขาเสีย”

    เมื่อให้พรแล้วก็ฉัน ช่วงขณะฉันจังหัน ญาติโยมที่มาจังหันก็จะสวดมนต์ทำวัตรเข้า นั่นคือ

    “ต่างคนก็ต่างเก็บบุญกุศลของตน บุญจากการให้ทานบุญจากการไหว้พระสวดมนต์ เจริญเมตตาพิจารณาเกิดแก่เจ็บตาย แบ่งส่วนบุญส่วนกุศล อันนี้เป็นกิจของญาติโยม เป็นบุญกุศลของเขาดีกว่าที่เขาจะมาส่งแต่จังหันเฉยๆ ส่วนพระสงฆ์สามเณรก็พิจารณาในการขบฉันกัปปิยะจังหัน มีสติในการเลี้ยงธาตุขันธ์ของตนไป

    เป็นช่วงขณะเวลาที่พระเณรฉันพอดีอิ่มกับ ญาติโยมไหว้พระสวดมนต์จบพอดีกันพอดี

    เมื่อช่วงขณะอายุแห่งองค์ท่านมากขึ้น พอญาติโยมประเคนจังหันถวาย แล้ว องค์ท่านจะลงมือฉันทันที ส่วนพระลูกวัดให้พรเสร็จแล้วก็ฉันทีหลังองค์ท่านเสมอตลอดมา

    การฉันหนเดียวนี้ เป็นปฏิปทาธุดงค์วัตรที่เด็ดขาดมั่นคงมากขององค์ท่านแม้จะอายุมากขึ้นเป็นลำดับแล้ว ชราพยาธิมากขึ้น คณะแพทย์พยาบาลจะแนะนำนิมนต์ให้ฉันเสียสัก ๒ ครั้งขณะเพล องค์ท่านก็ไม่ยอมเด็ดขาด พร้อมบอกว่า…

    “พระพุทธเจ้าไม่พาทำ กินแล้วก็แล้วไปปรัมปราจู้จี้จุบจิบหาอะไรกัน”

    การขบฉันจังหัน โดยมากจะเป็นข้าวเหนียวนึ่ง แม้จะย่ำเคี้ยวอยู่ลำบากอยู่บ้างก็เป็นไปได้เยียวยาธาตุขันธ์พอเพียง

    อายตนทวารที่เริ่มเสียศูนย์ก็คือ หูดับเมื่อ ๒ ก.ค. ๔๗ ดับสนิทตลอดมาจมูกรับกลิ่นได้ดีมาก โดยเฉพาะกลิ่นเหม็นควันบุหรี่แม้พระลูกวัดจะสูบอยู่ไกลๆ แม้ญาติโยมจะสูบอยู่ไกลๆ หากอยู่ในวิถีของสายลมองค์ท่านยังบ่นว่าให้
    “ไอ้นี่กินบุหรี่หรือ”
    “ไอ้ตัวได๋มันกินบุหรี่ เหม็นควันมาถ่วดๆ”

    ส่วนตาเมื่อแก้ไขลอกตาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐ จากนั้นมาก็ใช้การได้ดีมองดูมองเห็นอะไรได้ชัดเจน อ่านฉลากข้างกล่องนมได้ อ่านหนังสืออื่นๆ ได้

    ส่วนปากลิ้น ทำงานได้ดี การรับรสอาหารได้ แต่อาหารที่มีรสเค็มรสเผ็ดองค์ท่านจะไม่ค่อยถูกกัน แม้ผลไม้รสเปรี้ยวก็เช่นกัน

    เมื่อฉันจังหันคาวหวานเรียบร้อยแล้ว องค์ท่านก็จะเมตตาทำน้ำมนต์บ้าง เป่ากระหม่อมบ้าง แผ่จิตอธิษฐานในวัตถุมงคลแก่ผู้มาขอเมตตาบารมีจากองค์ท่านหากมีผู้มาขอ หากไม่มีหรือไม่มีการขอก่อนองค์ท่านจะไม่ทำให้ใครเด็ดขาด โดยเฉพาะเรื่องวัตถุมงคลใดๆ องค์ท่านไม่เคยพูดจาปรารภในการที่จะทำจะสร้าง แต่ก็หากมีอยู่ก็เป็นส่วนของลูกศิษย์ใกล้ชิดที่ประสงค์จะมีไว้เพื่อกราบไหว้บูชา จึงได้ขออนุญาตต่อองค์ท่าน แต่ก็ไม่มากมายอะไร

    และในช่วงขณะภายหลังฉันจังหันนี้เอง เป็นช่วงที่ญาติโยมกำลังรับประทานอาหารกัน และเป็นช่วงที่ญาติโยมเข้าถวายวัตถุปัจจัยไทยธรรม ครั้นว่างจากญาติโยมแล้วองค์ท่านก็จะฉันอาหารเสริมได้แก่ รักนก ๑ แก้วหู โอวัลติน + นมข้น + นมจืดต้มสุก ๑ แก้วหู ข้าวโอ๊ต อาหารเสริมรวมมิตร ๑ แก้วหู ซุปไก่ ๒ – ๓ ขวด

    การขบฉันคาวหวานผลไม้และขนมองค์ท่านจะรับได้ไม่มากนัก แต่อาหารเสริมยังรับได้มากอยู่ ภายหลังฉันอาหารเสริมเสร็จแล้วก็จะฉันยาบำรุง วิตามินรวม ๑ – ๒ เม็ด

    …แปรงฟันบ้วนปาก กราบพระขึ้นกุฏิจำวัดพักผ่อน

    การพักผ่อนช่วงกลางวันค่อนข้างจะยาวเพราะจะตื่นอีกครั้ง เวลา ๑๑.๓๐ – ๑๒.๐๐ น. เหตุเพราะองค์ท่านนอนพักช่วงกลางคืนน้อยมาก

    …ตื่นจากจำวัดแล้วก็ฉันน้ำ ๑ แก้วหูใหญ่

    จากนี้ก็นั่งภาวนาบ้าง นอนพักบ้าง รับญาติโยมบ้าง ให้พระอุปัฏฐากอ่านหนังสือพระไตรปิฎกให้ฟังบ้าง หรือธรรมะของครูบาอาจารย์องค์ที่ท่านเคารพนับถือบ้าง เช่น ธรรมะของเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์วัดบริมนิวาสบ้าง ธรรมะขององค์หลวงปู่มั่น (ภูริทตฺโต) บ้าง

    แต่ก็ไม่มากครั้งนานๆ ครั้งองค์ท่านจะเรียกหาหนังสือให้อ่านให้ฟัง โดยมากในแต่ละวันองค์ท่านมักจะใช้เวลาให้หมดไปด้วยการนั่งภาวนาเสียมากกว่าหากมีญาติโยมมาหาก็รับเสีย โดยอบรมเทศน์ธรรมให้ฟัง

    บ่าย ๒ โมง ฉันน้ำอีก ๑ แก้วหูใหญ่ หรือไม่บางวันก็ฉันน้ำชา ๑ ป้านใหญ่เรื่องการชงชาถวายนั้นต้องระมัดระวังไม่ให้มากไป ไม่ใส่ใบชาให้น้อยไปและน้ำร้อนต้องเดือดจัด และเป็นน้ำต้มที่ผ่านกาต้มน้ำร้อนเท่านั้น ไม่ใช้น้ำร้อนจากกระติกไฟฟ้า เว้นเสียแต่อยู่ในวิสัยที่จะต้มมิได้ เช่นไปกิจนิมนต์อย่างนี้เป็นต้น

    …ส่วนชาที่ใช้ในเป็นอูหลง ๓ ม้า หรือ อูหลง เป็นชาจีน

    ขณะที่นั่งฉันน้ำชานี้เอง ลูกศิษย์ผู้อยู่ใกล้ชิดจะได้ฟังอรรถฟังธรรมฟังข้อปฏิบัติแลผลปฏิเวธขององค์ท่านเสมอ จนลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดได้รวบรวมธรรมะที่องค์ท่านได้แสดงไว้ในช่วงเวลาดังกล่าวได้เป็นอีกเล่มหนึ่ง

    ฉันน้ำบ้าง ฉันน้ำชาบ้าง จากนั้นก็จะนั่งสมาธิ หรือรับญาติโยมหรือไม่ก็พักผ่อน กำหนดจิตภาวนา ขององค์ท่าน

    อารมณ์ภาวนาในช่วง อายุมากขึ้นโดยมากก็จะเป็นพรหมวิหาร และมรณานุสสติ รัตนานุสสติ เสียมากกว่าอารมณ์อื่นๆ เช่นนอนพิจารณาใบไม้สักร่วงหล่นในหน้าหนาวเข้าหน้าร้อนเป็นต้น

    หรือไม่ก็เดินจงกรมทะแยงมุมของกุฏิ หรือเดินรอบบริเวณวัด ครั้นอายุมากขึ้นก็เหลือแต่เดินอยู่บนกุฏิ จนสุดท้ายก็งดการเดินจงกรมเหลืออิริยาบถยืนนอนและนั่ง โดยมากจะนั่งและนอนสลับกันทั้งวัน

    หน้าหนาวบ่าย ๔ โมง จะสรงน้ำอุ่นจัด
    หน้าร้อน บ่าย ๕ โมง จะสรงน้ำอุ่น

    ฤดูฝนนั้นระหว่าง บ่าย ๔ โมง ถึงบ่าย ๕ โมง หากวันใดมีญาติโยมมาในช่วงเวลานี้ก็จะถอยร่นเวลาสรงน้ำออกไป

    เมื่อสรงน้ำเสร็จแล้วก็จะลงเดินจงกรมหน้ากุฎิหลังเก่าหรือเดินรอบบริเวณวัดเดินออกไปหน้าวัด

    …เมื่ออายุมากขึ้นเดินได้น้อยลง ก็จะเปลี่ยนไปไหว้พระเจดีย์แทน

    ภายหลังสรงน้ำ โดยพระเณรชุดอุปัฏฐากจะเข็นรถเข็นให้องค์ท่านนั่งออกเปลี่ยนอิริยาบถที่หน้าวัดบ้าง ปากทางเข้าวัดบ้าง

    ครั้นหยุดจากเดินจงกรมหรือกลับเข้ามาก็จะมานั่งทำวัตรสวดมนต์เย็นที่กุฏิขององค์ท่าน จากนั้นก็ฉันยาวิตามิน ฉันน้ำแก้วสุดท้ายของวันนั้นประมาณ ๑๙.๓๐ น.

    การจะไหว้พระทำวัตรสวดมนต์นั้น องค์ท่านต้องนุ่งห่มให้เรียบร้อยก่อนเสมอเมื่อ ก่อนนั่งกราบพระคุกเข่ากราบไหว้ได้ ต่อมานั่งคุกเข่าไม่ได้แล้วก็เปลี่ยนมานั่งพับเพียบ เมื่อนั่งพับเพียบไม่ได้อีกก็มานั่งขัดสมาธิแทน

    การประชุมทำวัตรเย็น แต่ก่อนนั้นองค์ท่านจะนำเป็นประธาน ต่อมาก็ของดมอบหน้าที่ให้พระรองอันดับต่อไป

    แต่ก่อนนั้น ไหว้พระสวดมนต์จบแล้ว องค์ท่านก็อบรมธรรมนำทำสมาธิภาวนา รวมเวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง จากเวลา ๑๙.๐๐ น. – ๒๑.๐๐ น.

    …เมื่ออายุมากขึ้นก็งดเสีย เป็นแต่องค์ท่านทำกิจของตนที่กุฏิเฉพาะองค์

    การเจริญสมาธิภาวนา ทำความพากเพียรนับเป็นกิจประจำวันเพราะองค์ท่านจะทำด้วยตนเอง บังคับตนเองได้ กล่าวคือ ทุกวันก่อนจะจำวัดต้องนั่งภาวนาก่อนนั่งเข้าที่ก็ไหว้พระสวดมนต์โดยย่อแล้วนั่งต่อไป

    นั่งไปจนเหนื่อยพอสมควรบางวันก็ชั่วโมง บางวันก็ ๒ ชั่วโมง หรือบางครั้งก็น้อยกว่านี้หรือมากกว่านี้ก็มี บางทีก็ลุกเบา เยี่ยวเสร็จก็นั่งต่อไปอีก ด้วยเหตุนี้การพักผ่อนจำวัดจึงกำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้ แต่ที่แน่นอนและสม่ำเสมอที่สุดคือ ครั้นตื่นจากจำวัดเมื่อใดต้องนั่งสมาธิก่อนจนกว่าจะง่วงนอน จึงนอนพัก

    ตื่นมาลุกปัสสวะก็นั่งก่อน บางทีง่วงนักองค์ท่านก็เดินจงกรมเสียก่อนแล้วจึงนั่งต่อไป รวมเวลาจำวัดหลับทั้งคืนจะได้ประมาณ ๓ – ๔ ชั่วโมง แต่องค์ท่านจะชดเชยเวลาพักผ่อนนี้ในช่วงกลางวันแต่เช้าฉันจังหันเสร็จ

    รับญาติโยมเสร็จ กลับขึ้นกุฏิก็จะไหว้พระสวดมนต์โดยย่อแล้ว นอนพักไปจนกว่าจะได้เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๒.๐๐๐ โดยประมาณ

    การรับกิจนิมนต์เข้ากรุงเทพก็จะฉันเช้าให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ถึงกำหนดวันแล้วองค์ท่านจะเตรียมพร้อมเสมอ และรวดเร็วกว่าลูกศิษย์ เสียด้วยซ้ำไป หากมีการแวะฉันข้างหน้าเช่น โยมนิมนต์ให้ฉันที่ร้อยเอ็ด การตื่นเช้าก็จะร่นเวลาขึ้นอีก ตี ๓ ท่านพร้อมที่จะเดินทาง

    การขบฉันในระหว่างเดินทางนั้น องค์ท่านจะฉันไม่มาก และการเดินทางก็ต้องการความรวดเร็ว และในระหว่างนั่งอยู่ในรถก็จะถามโยมที่ขับรถอยู่เสมอว่า…

    “เต็มที่หรือยัง”
    “เอ้า…เหยียบเข้า ไม่ต้องห่วงอันตรายหรอก อาตมาเทวดามาคุ้มครองรักษาอยู่หลายแสนตน อย่ากลัว”
    “เหยียบได้แค่นี้เหรอ”
    “เอ้า เอาให้ไวๆ”
    “อย่าช้า เอาให้ไวๆ”
    “อย่าให้เขาแซงได้”

    การเดินทางไปไหนมาไหนองค์ท่านถนัดที่จะใช้รถยนต์ก็มากกว่า การนั่งเครื่องบินนั้นก็จะมีอยู่บ้างนับครั้งได้ และไม่รับรถยนต์ที่มีญาติโยมประสงค์ก็จะถวายองค์ท่านให้เหตุผลว่า…

    “ไม่มีคนขับ ไม่มีน้ำมัน เดี๋ยวรถจะขี่คน ต้องวุ่นวายกับทะบงทะเบียนเสียภาษี”
    “อย่าเอามาให้เลย มันเกินกิจเกินกำลังของอาตมา”
    “ไม่ต้องการ”
    “ไม่เอา มีรถยนต์อยู่วัดแล้วมันก็ต้องไปนั่นไปนี่ทั้งพระทั้งเณรจะไม่มีใครอยู่วัด หนีเที่ยวกันหมด เดินทางก็อันตรายมากมายต้องจ่ายค่าน้ำมัน ค่าคนขับค่าการบำรุงอีกมาก “รถยนต์” แล้วมัน “ลด” กับ “ย่น” เพราะเราไม่ใช่คนรวยไม่ใช่คนทันสมัย”

    การใช้สอยการขบฉัน เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่องค์ท่านเคร่งครัดอย่างยิ่ง มิได้เอ่ยปากขอของนั่นนี่สิ่งนั้นสิ่งนี้กับใครๆ แม้แต่น้อย ขอยกให้เป็นศรัทธาของโยมเขาเองเถ๊อะไม่เคยบ่นเรื่องอาหาร อย่างใดก็ได้ แต่ไม่ชอบรสเผ็ดรสเปรี้ยว

    จึงยกให้เป็นหน้าที่ของลูกศิษย์ผู้ดูแลว่าอาหารอย่างใดท่านฉันได้ อาหารอย่างใดฉันไม่ได้ ชอบฉันอย่างใด อะไรที่เป็นของแสลงหรือถูกกับธาตุกับขันธ์

    การฉันยาบำรุงหรือผลิตภัณฑ์ที่เสริมอาหารต่างๆ ก็ฉันได้ง่าย ไม่ยุ่งยากหากจัดถวายมากไปก็ไม่รับเช่นกัน จึงถวายได้ครั้งละไม่เกิน ๒ เม็ด…ยาบำรุงนี้ยังฉันได้ง่ายกว่ายาแก้โรค

    หากป่วยเป็นไข้ อาพาธขึ้นมาแล้วเป็นเรื่องยุ่งยากที่สุดในการที่จะจัดยาถวายให้องค์ท่านได้ฉันตามคาบตามเวลาที่แพทย์กำหนดไว้ จนบางครั้งใช้ยาไม่หมดขนาดไม่ครบขนาน

    ยิ่งแพทย์ทำให้เจ็บด้วยแล้วยิ่งไม่ถูกกับองค์ท่าน เช่นการเจาะเลือดการแทงเข็มฉีดยา ให้น้ำเกลือ ให้เลือด

    องค์ท่านว่า “หมอก็ตาย อาตมาก็ตาย ร่างกายนี้ปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องของมันไม่ได้หรือ”

    แต่เมื่อองค์ท่านสู้เวทนาความเจ็บปวดไม่ไหวเช่นเมื่อคราวเจ็บปวดนิ่วในถุงน้ำดี คณะแพทย์ก็ถามว่า…
    “หลวงปู่ครับจะให้ผ่าไหมครับ”
    “ผ่าแล้วมันหายก็สุดแท้แต่ ทว่าผ่าแล้วตายไม่ผ่าก็ตายก็อย่าผ่าย้านเจ็บ ตายไม่ย้าน”

    ของขบฉันในช่วงบ่ายนั้นองค์ท่านระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะองค์ท่านบอกว่า… “กลัวว่าจะมีอาหารเจือปนอยู่”

    ที่รับได้ก็คือ น้ำตาลโตนด น้ำชา สมอ มะขามป้อม ยาปนมัต น้ำโสม น้ำผึ้ง อย่างอื่นนอกจากนี้เป็นอันปฏิเสธ

    และองค์ท่านมักเตือนลูกศิษย์อยู่เสมอว่า…“ระวังสูเจ้านะ ระวังจะได้กินอาหารยามบ่าย บาปกินหัวไม่รู้เรื่องหน๋า เมาแต่อยากหลายเน้อ”

    “ผู้ข้าฯ นะ กาแฟไม่เอา บุหรี่ไม่สูบ หมากไม่เคี้ยว ยานัตถุ์ไม่เอา ของอันใดมันจุกจิกรุงรังไม่เอาหรอก กินแต่ข้าวกับน้ำก็พอเลี้ยงได้แล้วธาตุขันธ์อันนี้”

    การดำรงอยู่ของธาตุขันธ์ร่างกายขององค์หลวงปู่นี้มิเสียเปล่าประโยชน์อันใดเลย เพราะองค์ท่านอยู่ด้วยเมตตาธรรม อยู่เพื่อโปรดศรัทธาสาธุชน อยู่เพื่อลูกศิษย์ญาติโยมและองค์ท่านว่า…

    …“อยู่ไปตามเรื่องของหลวงตาแก่ๆ ต๋นหนึ่งเท่านั้น”…

    แม้เรื่องเล่าประวัติชีวิตขององค์ท่านที่ผู้เขียนได้รวบรวมไว้นี้เคยได้ขออนุญาตจากองค์ท่านแล้วก็ถูกถามกลับว่า…

    …“จะเป็นประโยชน์แก่ผู้คนอยู่หรือ”…

    “หากเป็นประโยชน์ก็ควรอยู่ หากไม่ได้ประโยชน์ก็อย่าได้ทำเลย อย่าโกหกเขานะ ส่วนมากประวัติคนเรานั้นมันเอาแต่ของดีมาเขียนยกย่องเยินยอกัน ของเน่าของบูดเหมือน กับไม่มี ทั้งที่มันอาจจะเน่าจะบูดมากกว่าด้วยซ้ำไป”

    บางวันยามหัวค่ำผู้เขียนนั่งเรียบเรียงอยู่ องค์ท่านลุกมาจากเตียงนอนบ้างจากเตียงที่นั่งสมาธิบ้างเดินมาถามว่า…
    “เขียนอะไร”
    “เขียนเรื่องราวของหลวงปู่ครับ”
    “จะโฆษณาขายหรือ”
    “ไม่ขายดอกครับ”

    “เร่งภาวนาไม่ดีกว่าหรือ ทำกิจอันควรทำดีกว่าทำปัจจุบันของตนนักบวชนี้ดีกว่า จะมัวเมาอยู่กับตัวหนังสือ จะให้ไกลสงสาร (สังสารวัฏฏ์) มันก็ยากลำบากต้องมานั่งเก็บตัวหนังสืออยู่อย่างนี้”

    ถ้อยคำน้ำเสียงจากญาติโยมเจ้าศรัทธาทั้งหลาย ก็เรียกร้องถามหากันอยู่ทุกหมู่คณะที่เข้าหากราบไหว้เพราะโดยมากก็มาด้วยความเคารพรัก เลื่อมใสศรัทธา ปฏิบัติตามอย่างสุดซึ้ง แต่ก็ยังไม่พอ ยังไม่สาแก่ใจ ยังมีประสงค์ต้องการที่จะได้รับรู้ความเป็นมาต้องการที่จะรับเมตตาธรรมกรุณาธรรมให้มากขึ้นกว่านี้อีก

    ผู้มาใหม่ก็จะถามว่า…
    “ท่านเป็นมาอย่างไร”
    “ท่านทุกข์ยากลำบากมาอย่างไร”
    “อยากรู้จริงๆว่าท่านมีร่องมีรอยอย่างไร”

    สารพัดสารพันกับความประสงค์ของญาติโยม จนที่สุดองค์ท่านก็อนุญาตอย่างเสียมิได้ ว่าหากเป็นประโยชน์ก็ควร

    ที่ว่า “ควร” เพราะเพื่อเป็นประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลัง เป็นแบบอย่างเป็นแนวคติแก่ผู้สนใจศึกษา เพื่อผู้ที่เคารพรักจักได้เทิดทูนบูชา เป็นกำลัง เป็นเครื่องบำรุงให้เป็นอยู่ใคร่ธรรมใคร่วิมุตติจะได้เร่งรุดในตนของตนสืบไป

    ลูกศิษย์บางคนถึงกับปีติแล้วปีติเล่า ในความงดงาม น่าเลื่อมใส น่าศึกษาน่าเรียนรู้ติดตาม น่าถือเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ น่าถือเป็นเนติแบบอย่าง ท้อแท้ท้อถอยวันใดก็อาศัยองค์ท่านเป็นผู้คอยให้กำลังใจ มองรูปขององค์ท่านก็หายเหนื่อยแล้ว

    การเขียนเรื่องราวแห่งองค์หลวงปู่นี้ แม้ไม่มีที่ใดที่จะเขียนเพื่อโกหกหลอกลวงแต่ไม่สามารถที่จะถ่ายทอดความเป็นจริงในชีวิตแห่งองค์ท่านออกมาให้หมดได้…จนด้วยปัญญา

    “พระ” ผู้เป็นผู้ประเสริฐ
    ผู้เป็นผู้เลิศแล้ว
    ประเสริฐเลิศแล้วเพราะ เป็นผู้ปฏิบัติดี
    เป็นผู้ปฏิบัติตรง
    เป็นผู้ปฏิบัติชอบ
    เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม
    เป็นผู้ปฏิบัติได้เหมาะได้ควร
    เป็นผู้ควรแก่อัญชลีกราบไหว้บูชา
    เป็นผู้ควรแก่ทักขิณาทาน
    เป็นนาบุญของโลก
    เป็นผู้ยิ่งด้วยธรรม
    เป็นที่รักใคร่ เคารพเทิดไท้ในหมู่มนุษย์
    และแม้แต่เทวดาก็แซ่ซร้องสรรเสริญ”

    การไปเที่ยววิเวกตามที่ต่างๆ เมื่อครั้งที่องค์ท่านยังไปมาได้สะดวกก็จะรับนิมนต์จากศรัทธาญาติโยมโดยง่ายเพราะไม่ขัดข้องอะไร เช่นไปบางแสนไปเมืองกาญจนบุรี ท่องเที่ยวกราบพระพุทธรูปตามวัดต่างๆ เจดีย์ต่างๆของเมืองเหนือการไปพักตามเขื่อนต่างๆ องค์ท่านว่า “มีเหตุจึงไป”

    คำว่าเหตุก็ คือ เหตุของมนุษย์ แลเหตุเพื่อภูติภูมิอื่นนั่นเอง

    ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ

    ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  8. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “ระวังจะสายเกินไป”

    ….เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว มักไม่เห็นคุณพระศาสนา มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจ ให้ประพฤติทุจริตผิดศีลธรรมอยู่เป็นประจำนิสัย เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มีนั่นแหละ จึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว.

    “หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ”

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  9. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  10. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  11. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    -พรหมปัญโญ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  12. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร

    ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมคำสอนนี้ ทุกๆ ท่าน

    -วิริยธโ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  13. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    1f340.png ถึงจะเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์
    ที่เขาลือกันว่าเป็นพระอรหันต์ พระอริยเจ้า
    ในที่สุดแล้ว ความดีของท่าน
    ก็เป็นความดีของท่าน ไม่ใช่ความดีของเรา

    1f340.png ในสมัยพุทธกาล พระที่ไม่เอาไหนก็มีเยอะ
    พระที่ทำสิ่งที่น่าเกลียด น่าอนาถใจก็มีเยอะ
    ทั้งที่อยู่ในวัดเดียวกับพระพุทธเจ้า

    1f340.png ในสมัยนี้ ในแต่ละวัดที่มีครูบาอาจารย์
    ที่มีชื่อเสียงว่าท่านเป็นพระอริยเจ้า
    ก็อาจเจอพระที่ปฏิบัติไม่ดีไม่งามมาก

    1f340.png ฉะนั้น การที่ได้เข้าใกล้อาจารย์
    เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ
    ที่จะช่วยให้จิตใจของเราสูงขึ้นมาได้
    มันก็อยู่ที่เราเองแต่ละคน

    1f340.png ท่านก็เป็นเพียงผู้ชี้บอก แต่ในที่สุดแล้ว
    ตัวเราเองต้องเป็นผู้พายเรือทวนกระแส
    ครูบาอาจารย์ยกเอาเรือมาให้
    เราต้องเป็นผู้พายเรือ ท่านไม่พายให้เรา

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  14. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ผู้ภาวนา ย่อมรู้เรื่องราวความเป็นไปของตนเองได้ดีกว่าคนอื่น เสื่อมหรือเจริญอย่างไรย่อมรู้ได้ชัด เพราะเป็นผู้ปฎิบัติด้วยตนเอง

    เมื่อรู้เรื่องของตนเอง ย่อมรู้ความพอดีของตนเอง ทั่งการพูด การทำและการคิด แต่ให้รู้และเข้าใจด้วยว่า ความพอดีของแต่ล่ะคนล่ะท่าน นั้นย่อมไม่เท่ากัน….

    บัณฑิต นักปราชญ์ ผู้ฉลาดรอบรู้ ย่อมไม่เอาความรู้ที่ตนเข้าใจ ไปตัดสินคนอื่น ว่าผิดหรือถูกโดยฝ่ายเดียว•

    …….โอวาท พระอาจารย์นิรุตน์ นรุตฺตโม……

    -ย่อมรู้เรื่องร.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  15. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    วันนี้วันที่ ๖ พฤศจิกายน เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่โฮม ญาณธัมโม “พระอริยสงฆ์ผู้ปล่อยวาง” ครบ ๔ ปี “..พอแล้ว ไม่กลับมาแล้ว ไม่มีภพ ไม่มีชาติแล้ว พอแล้ว พอ..” ปัจฉิมวาจา โอวาทธรรมสุดท้ายที่หลวงปู่โฮม ญาณธัมโมกล่าวไว้ขณะที่ท่านนั่งพิจารณาอยู่ที่กุฏิ ในตอนเที่ยงวันของวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ก่อนเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ๑ วัน และในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ หลังจากไปฉีดยาที่โรงพยาบาลยโสธร ก่อนกลับท่านได้กล่าวกับพระอุปัฏฐากว่า “..เจ้ากรรมนายเวรเขาตามมาทวงแล้ว” จึงให้พระอุปัฏฐากไปนั่งเบาะหลังกลับเณร ส่วนท่านย้ายมานั่งด้านหน้าข้างโชเฟอร์แทนเอง ภายหลังขณะกลับวัด รถเกิดยางระเบิดพุ่งชนต้นไม้ในตำแหน่งที่ท่านนั่งพอดี ทำให้ท่านบาดเจ็บต้องได้รับการผ่าตัด และมรณภาพลงในที่สุด

    ประวัติปฏิปทาหลวงปู่โฮม ญาณธัมโม โดยย่อ

    นามเดิมของท่านชื่อ “โฮม” เกิดในสกุล “ทุ่มโมง” บิดาชื่อ นายเผือก มารดาชื่อ นางบับผา ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๙ ตรงกับปีขาล มีพี่น้องรวม ๑๐ คน ท่านเป็นคน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร โดยกำเนิด ซึ่งคนป่าติ้วนี้มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายรูปมาถือกำเนิดอยู่ เช่น หลวงปู่ดี ฉันโน ,หลวงปู่สิงห์ทอง ธัมมวโร , หลวงปู่เพียร วิริโย ,หลวงปู่ทองสี กตปุญฺโญ ,หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต , หลวงปู่พวง สุขินทริโย ,หลวงตาสรวง สิริปุญฺโญ ,หลวงปู่บุญมา สุชีโว ,หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม เป็นต้น

    ท่านจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ใช้ชีวิตอย่างครอบครัวชนบทชาวอีสานทั่วไป เนื่องจากมารดาท่านมีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง จึงได้ลาจากโลกนี้ไป เมื่อท่านอายุได้ ๑๗ ปี บิดาท่านจึงได้แต่งงานใหม่ ท่านกับน้องชายก็ไปอาศัยอยู่กับตา ยาย พออายุท่านได้ ๒๑ ปี ท่านก็แต่งงานอยู่กินกับ “นางฟอง” เป็นคนคำสร้างบ่อ จ.ยโสธร มีบุตรธิดาด้วยกัน ๗ คน จากนั้นก็ใช้ชีวิตทางโลกเรื่อยมา คือทำไร่ไถนา แต่ก็ฝึกสมาธิไปด้วย สมัยเป็นฆราวาส หลวงปู่ท่านเคยฝึกสมาธิมาก่อนเป็นเวลา ๑๙ ปี การฝึกนั่งสมาธิครั้งแรกนั้น เป็นวันเพ็ญเดือนหก ซึ่งมีพระอาจารย์ล้อม วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี มาเทศน์อบรมสอนการนั่งสมาธิให้ญาติโยม ท่านก็บอกให้ญาติโยมลองฝึกนั่งสมาธิ

    นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลวงปู่เริ่มนั่งสมาธิ พอเริ่มนั่งขณะตายังหลับแทบไม่ทัน จิตก็รวมลงอย่างรวดเร็ว เผ่นออกไปที่ถ้ำคูหาสวรรค์ ท่านสามารถเดินไปดูรอบ ๆ ถ้ำคูหาสวรรค์ ที่อยู่ จ.ลพบุรีได้ ทั้ง ๆ หลวงปู่ไม่เคยไปที่นั่นเลยสักครั้ง หลวงปู่เดินสอดส่องดูจนทั่วเห็นพระเก่าแก่อยู่มากโข พอดูจนพอใจแล้วก็กลับมา สักพักอาจารย์ก็ถามโยมที่นั่งสมาธิว่าเป็นอย่างไร คำตอบของทุก ๆ คนก็คือ บอกว่าจิตไม่สงบ วุ่นวาย ปวดแข้งปวดขาบ้าง แต่พออาจารย์หันมาถามหลวงปู่โฮม หลวงปู่บอกอาจารย์ว่า “เดี๋ยวก่อนอาจารย์ วัดถ้ำคูหาเป็นอย่างนี้ใช่ไหม”แล้วเล่าให้อาจารย์ฟัง พระอาจารย์ถามว่า“ไปตอนไหน” ตอบท่าน“เมื่อกี้” อาจารย์ถามต่อไปว่า “ฝึกนั่งสมาธิมานานยัง”ตอบว่า “เพิ่งฝึกเมื่อกี้นี้” นับว่าเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มาก และคงเป็นเพราะบารมีเก่าที่ได้สร้างสมมานาน หลายชาติ จิตถึงรวมได้รวดเร็วขนาดนี้ จากนั้นหลวงปู่เริ่มฝึกสมาธิมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดการรู้ธรรมเห็นธรรม ก็เป็นมาเรื่อย ๆ

    คืนหนึ่งฝันไปว่าเห็นหลวงปู่จุล วัดถ้ำคูหาสวรรค์มาหา มือถือดอกบัวมาด้วย ๓ ดอก พร้อมพูดว่า“บักหล่าเอาอันนี้ไว้จะได้มีแสงสว่างเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา” เลยรับและกำเอาไว้ พอดีตื่นขึ้นมามือยังกำแน่นอยู่ แต่ในมือไม่มีดอกบัว จึงมานึกดูคำว่า “แสงสว่าง” ก็คือ“ปัญญาในทางธรรม” นั่นเอง

    พอปฏิบัติมาจนถึงปีที่ ๙ เดือน ๙ แรม ๙ ค่ำ พอนั่งสมาธิ เกิดเห็นธรรมขึ้นมา รู้เกี่ยวกับการเกิดของคน สัตว์ ไม่ว่าสัตว์บก สัตว์น้ำ เข้าใจโลก บนบก ในน้ำ ในอากาศ เข้าใจอย่างละเอียดว่า มีอะไรบ้างในพื้นโลกที่เป็นส่วนบนบก ในน้ำ ในอากาศก็เช่นเดียวกัน ยังรู้ลึกลงไป อีกว่า ในร่างกาย บัญญัติ ๖๔ อาการ ๓๒ รวมเป็น ๙๖

    ต่อมาก็ปฏิบัตินั่งสมาธิเรื่อยๆ ทุกๆ วัน ไม่ท้อถอย จนถึงอายุ ๕๕ ปี ก็เลยพูดกับย่าว่า “อายุ ๖๐ ปี กะบาท (ผม) จะปลงสังขาร” ย่าบอกว่า “อย่าเพิ่งไปเลย ให้อยู่กับลูกหลานก่อน ” หลวงปู่เล่าว่า ชาติก่อน เมียตายเมื่อหลวงปู่อายุ ๕๕ ปี ก็เลยออกบวชเป็นตาผ้าขาวได้ ๕ ปี พออายุ ๖๐ ปี ก็เลยตาย หลังจากตายแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะอานิสงส์ของการรักษาศีล ๕ ศีล พระอุโบสถ พอสิ้นบุญเลยกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง อยู่ต่อมาพออายุ ๖๐ ปี ก็เริ่มป่วย ปวดตามข้อมือ ปวดตามกระดูก ปวดตามข้อทุกๆ ข้อ เริ่มมีอาการหล่อย (อัมพาตขั้นต้น) ไม่มีเรี่ยวแรง ลูก ๆ จะพาไปหาหมอ ก็ไม่ยอมไป ไม่ยอมกินยา ไม่ไปโรงพยาบาล

    ต่อมานอนตอนกลางคืน ฝันเห็นแม่นุ่งขาวห่มขาว (แม่ในอดีตชาติ) แม่ถามว่า “เป็นอะไรลูกถึงนอนอยู่อย่างนี้ ไม่สบายดอกหรือ”ตอบท่านว่า “ลูกจะปลงสังขาร” แม่บอกว่า “ไม่ได้สร้างบารมี ยังไม่พอ ยังไม่จบสิ้น ยังไม่ตาย” แล้วก็พูดว่า “อ้าปากขึ้นกินยาซะ” พอแม่พูดจบ ก็แหงนหน้าขึ้น มองเห็นเม็ดยาเหมือนหยดน้ำ ลอยลงมาจากฟ้า แล้วก็เข้าไปในปาก พอเข้าไปในปาก รู้สึกว่ามีความเย็นตั้งแต่ลำคอถึงกระเพาะ พอกินยาเสร็จ แม่บอกว่า “จะกลับแล้วนะ” พอแม่กลับ ก็ตื่นขึ้นมาสังเกตุอาการก็ยังเย็นอยู่ พอถึงตอนเช้าอาการป่วย อาการปวดในตัวหายไป ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ต่อมาอีก ๓ วัน อาการปวดอาการป่วยก็หายขาด ตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยป่วยหนักๆ อีกเลย

    อยู่ต่อมาเมียมาตาย วันหนึ่งแกว่งเปลหลานอยู่รู้สึกมีอาการร้อนในตัวมาก คือ ร้อนภายในตัว ทั้งภายในและภายนอก พอวันที่สอง อาการร้อนก็ร้อนมากกว่าวันแรก พอวันที่สามยิ่งร้อนกว่าทั้งสองวัน พอร้อนมาก ๆ ก็เลยอธิษฐานว่า “ถ้าจะอยู่ต่อไปขอให้ร้อนมาก ๆ กว่าเดิม แต่ถ้าจะออกบวชให้อาการร้อนหายไป”ความร้อนค่อย ๆ ทุเลาลงจนหายไป ในที่สุดก็เลยตัดสินใจว่า จะบวชแน่นอน ก่อนจะบวชได้เอาหนังสือมาหัดอ่านท่องนาค และอธิษฐานว่า ให้ท่องนาคได้อย่างคล่องแคล่ว ก็เป็นดังคำอธิษฐาน พอท่องได้จึงเลยไปหาพระอุปัชฌาย์ขอบวช พระอุปัชฌาย์บอกว่า “พอดีมีนาคจะบวชอยู่ จะบวชคู่ให้” หลวงปู่บอกว่า“จะขอบวชนาคเดี่ยว” พระอุปัชฌาย์ตกลงจะบวชให้ มีพระร่วมทั้งหมด ๙ รูปในวันบวช

    หลวงปู่โฮม ท่านอุปสมบทขณะมีอายุ ๖๘ ปี เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๗ เวลา ๒๐.๒๖ น. ณ พัทธสีมาวัดเทพรังษี ต.หนองคู อ.เมือง จ.ยโสธร โดยมี พระครูบวรคณานุศาสน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิฑูรฐิติคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูโสภณสุทธิวัตร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สังกัดธรรมยุติกนิกาย วัดป่าสุทธิมงคล ต.กระจาย อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร

    หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว การเห็นธรรมะก็เกิดขึ้นธรรมดา แต่ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะรู้ และเห็นมาแล้วในตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาส แต่ในช่วงต้นพรรษาที่ ๕ หลวงปู่โฮม ท่านนิมิตเห็นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มาหา แล้วพูดว่า“ถ้ารู้แล้วเห็นแล้ว ทำให้ถึงที่สุด”

    ในพรรษาที่ ๕ ต้นพรรษา มียมบาลพาพวกสัตว์นรก มาขอฟังธรรมประมาณ ๑๐๐ ตน เห็นจะได้ พอกราบเสร็จก็พากันกลับ สักครู่พวกเทพก็พากันมา นำดอกบัวมาด้วย กะดูประมาณกระเฌอเกวียน พอเอาดอกบัวสักการะแล้วก็พากันจากไป อีกสักพักมีพรหมมาสักการะเสร็จแล้วก็หายไป พอพรหมจากไป มองไปข้างหลัง เห็นเป็นกองๆ อยู่ แต่ไม่ทราบว่ากองอะไร สักครู่ก็มีเทพสององค์เดินเข้ามาที่กอง แล้วก็มาประกอบบันไดทองสูงขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ แหงนหน้ามองดูจนสุดลูกหู ลูกตา บันไดก็หายไป สักพักก็มีราชรถมีเทพนั่งมาด้วยหนึ่งองค์ ราชรถลอยมาจอดข้างกุฏิ ข้าง ๆ ทางเดินจงกรม มองไปที่บนราชรถแล้ว ก็นึกว่าอะไรหนอ เทพก็เลยเอาร่มลงมาจากราชรถแล้วบอกว่า“จะกางร่มให้หลวงปู่” หลวงปู่บอกว่า “ให้กางดู” พอกางร่มเสร็จ ร่มที่กางออกใหญ่มาก สามารถคลุมกุฏิ แล้วคลุมไปถึงบริเวณแถวนั้น พอกางเสร็จ เทพ ร่ม และราชรถก็หายไป

    ในพรรษาที่ ๙ วันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๕ เวลา ๖ โมงเย็น หลวงปู่เริ่มเดินจงกรม เที่ยวแรกเดินไปยังไม่ถึงปลายทาง ประมาณสัก ๕ วา อาการที่เกิดขึ้นมันไม่มีความรู้สึกใด ๆ และไม่สามารถอธิบายอาการนั้นได้ เพราะไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน มันไม่รู้กาลเวลา มันเร็วมาก เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ก็เดินจงกรมต่อไป ปรากฏว่า เท้าไม่ถูกดิน เหมือนเดินมาตามยองใยของสำลี เป็นอยู่อย่างนี้ ๓ เที่ยว เดินจะวางเท้าแรง ๆ ก็ไม่ดัง พอเที่ยวที่ ๔ เดินกลับมา เมื่อถึงกลางทางที่เดิน มีอาการขนลุกไปทั้งตัว ก็นึกว่า จะกระทืบลงไป โลกจะต้องสะเทือนแน่ ถ้ายันลงไป พื้นดินจะทะลุลงไปถึงปฐพี พอก้าวขามา อีก ๑ ก้าว จะมีอภินิหารเกิดขึ้นอย่างรุนแรงมากขึ้น จะยันภูเขา ให้เรียบราบไปในพริบตาเดียวก็ยังได้ จิตใจไม่มีความเกรงกลัวต่ออะไรทั้งสิ้น โลกนี้เราจะทำให้มันเป็นอย่างไรก็ได้ทั้งหมด

    หลวงปู่โฮม นิมิตไปที่ทุ่งนา ที่นั่นไม่เคยมีหญ้าคา ก็บังเอิญไปมองเห็นตอหญ้าคา ที่เขาตัดต้นเรียบร้อยไปหมดแล้ว แต่ก่อนเรามีเรื่องค้างคา คาเรื่องอะไร เราไม่รู้ แต่รู้ว่า เรามีเรื่องค้างคา มีข้อข้องใจ พอเห็นตอหญ้าคา เราถึงรู้ทันที่ ว่าเราคาอะไร เราคาหญ้าคา เราไม่ได้คาตอหญ้าคา เราจะทำอย่างไรถึงจะถอนรากถอนโคน อันนี้เราก็รู้ว่า มันเป็นกิเลส ต้องมีวิธีต้องมีปัญญาในการถอนรากถอนโคนมันได้ ถ้าถอนตอหญ้าคาได้แล้ว ความสว่างก็จะเกิดขึ้น

    วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ก่อนตี ๔ ตื่นขึ้นมา แต่ยังไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นอน ก็ได้ยินเสียงเทวดาเขาทำวัตรสวดมนต์ เสียงดังก้อง และไพเราะมาก บทสวดว่า…
    อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา ธรรมใดแล้วอันเป็นบุญ พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ
    สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ธรรมใดแล้วอันเป็นบุญ ธัมมังนะมัสสามิ
    สุปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ผู้ภาวนาเป็นแล้วหนีไปไม่กลับมา สังฆังนะมามิ
    พอเขาสวดมนต์เสร็จดูนาฬิกาตีสี่พอดี หลวงปู่ก็ลุกขึ้นทำข้อวัตรส่วนตัว เสร็จแล้วก็ออกไปรับบิณฑบาตตามปกติ

    วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ตุลาคา ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา เมื่อเวลา ๑๐ นาฬิกา หลวงปู่โฮม ญาณธัมโม ขณะกลับมาจากไปฉีดยาที่โรงพยาบาลยโสธร อีก ๕ กิโลเมตรกำลังจะถึงวัด บริเวณบ้านคำเกิด อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ยางรถได้แตก จึงทำให้รถเสียหลักไปชนกับต้นไม้ริมทางเข้า ตรงตำแหน่งที่หลวงปู่โฮม ท่านนั่งพอดี ทำให้กระดูกขาองค์ท่าน รวม ๒ ข้างหัก ๕ ท่อน และมีอาการบอดช้ำภายใน ซึ่งครูบาซิ่ว พระอุปัฏฐาก (อดีตพระอุปัฏฐากหลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม วัดศรีวิชัย จ.นครพนม ซึ่งในพรรษานี้ ท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสุทธิมงคล) ท่านได้เล่าว่า.. ปกติแล้วครูบาจะนั่งกับโชเฟอร์ ซึ่งเป็นลูกชายของหลวงปู่โฮมเอง รถนี้ก็เป็นรถใหม่ ออกมาได้ ๓ เดือนเอง แต่วันเดินทางขากลับจากโรงพยาบาลยโสธร หลวงปู่โฮม ท่านเรียกให้ครูบาซิ่ว ไปนั่งกับเณรข้างหลังแทน หลวงปู่จะนั่งหน้า ท่านกล่าวต่อไปอีกว่า หลวงปู่โฮม บอกว่า “เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงเราแล้ว”

    ภายหลังจากเกิดอุบัติเหตุ องค์ท่านได้ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลยโสธรทันที จากนั้นจึงถูกย้ายท่าน เพื่อไปรับการผ่าตัดที่อุบลราชธานี คณะท่องถิ่นธรรม และญาติธรรมทางเฟสบุ๊คได้รวบรวมปัจจัยถวายค่ารักษาพยาบาลผ่าตัดองค์หลวงปู่ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ขออนุโมทนาบุญกุศลในครั้งนี้ให้กับทุกท่านนะครับ

    หลวงปู่โฮม ญาณธัมโม ละสังขารลงตรงกับวันพุธที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เวลาประมาณ ๔ นาฬิกา ด้วยภาวะปอดติดเชื้อรุนแรง และติดเชื้อเข้ากระแสโลหิต ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี สิริอายุ ๘๗ ปี ๒ เดือน ๒๑ วัน พรรษา ๒๐

    _/_ _/_ _/_

    -๖-พฤศจิกายน.jpg
    วันนี้วันที่ ๖ พฤศจิกายน เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่โฮม ญาณธัมโม “พระอริยสงฆ์ผู้ปล่อยวาง” ครบ ๔ ปี “..พอแล้ว ไม่กลับมาแล้ว ไม่มีภพ ไม่มีชาติแล้ว พอแล้ว พอ..” ปัจฉิมวาจา โอวาทธรรมสุดท้ายที่หลวงปู่โฮม ญาณธัมโมกล่าวไว้ขณะที่ท่านนั่งพิจารณาอยู่ที่กุฏิ ในตอนเที่ยงวันของวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ก่อนเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ๑ วัน และในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ หลังจากไปฉีดยาที่โรงพยาบาลยโสธร ก่อนกลับท่านได้กล่าวกับพระอุปัฏฐากว่า “..เจ้ากรรมนายเวรเขาตามมาทวงแล้ว” จึงให้พระอุปัฏฐากไปนั่งเบาะหลังกลับเณร ส่วนท่านย้ายมานั่งด้านหน้าข้างโชเฟอร์แทนเอง ภายหลังขณะกลับวัด รถเกิดยางระเบิดพุ่งชนต้นไม้ในตำแหน่งที่ท่านนั่งพอดี ทำให้ท่านบาดเจ็บต้องได้รับการผ่าตัด และมรณภาพลงในที่สุด

    ประวัติปฏิปทาหลวงปู่โฮม ญาณธัมโม โดยย่อ

    นามเดิมของท่านชื่อ “โฮม” เกิดในสกุล “ทุ่มโมง” บิดาชื่อ นายเผือก มารดาชื่อ นางบับผา ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๙ ตรงกับปีขาล มีพี่น้องรวม ๑๐ คน ท่านเป็นคน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร โดยกำเนิด ซึ่งคนป่าติ้วนี้มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายรูปมาถือกำเนิดอยู่ เช่น หลวงปู่ดี ฉันโน ,หลวงปู่สิงห์ทอง ธัมมวโร , หลวงปู่เพียร วิริโย ,หลวงปู่ทองสี กตปุญฺโญ ,หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต , หลวงปู่พวง สุขินทริโย ,หลวงตาสรวง สิริปุญฺโญ ,หลวงปู่บุญมา สุชีโว ,หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม เป็นต้น

    ท่านจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ใช้ชีวิตอย่างครอบครัวชนบทชาวอีสานทั่วไป เนื่องจากมารดาท่านมีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง จึงได้ลาจากโลกนี้ไป เมื่อท่านอายุได้ ๑๗ ปี บิดาท่านจึงได้แต่งงานใหม่ ท่านกับน้องชายก็ไปอาศัยอยู่กับตา ยาย พออายุท่านได้ ๒๑ ปี ท่านก็แต่งงานอยู่กินกับ “นางฟอง” เป็นคนคำสร้างบ่อ จ.ยโสธร มีบุตรธิดาด้วยกัน ๗ คน จากนั้นก็ใช้ชีวิตทางโลกเรื่อยมา คือทำไร่ไถนา แต่ก็ฝึกสมาธิไปด้วย สมัยเป็นฆราวาส หลวงปู่ท่านเคยฝึกสมาธิมาก่อนเป็นเวลา ๑๙ ปี การฝึกนั่งสมาธิครั้งแรกนั้น เป็นวันเพ็ญเดือนหก ซึ่งมีพระอาจารย์ล้อม วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี มาเทศน์อบรมสอนการนั่งสมาธิให้ญาติโยม ท่านก็บอกให้ญาติโยมลองฝึกนั่งสมาธิ

    นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลวงปู่เริ่มนั่งสมาธิ พอเริ่มนั่งขณะตายังหลับแทบไม่ทัน จิตก็รวมลงอย่างรวดเร็ว เผ่นออกไปที่ถ้ำคูหาสวรรค์ ท่านสามารถเดินไปดูรอบ ๆ ถ้ำคูหาสวรรค์ ที่อยู่ จ.ลพบุรีได้ ทั้ง ๆ หลวงปู่ไม่เคยไปที่นั่นเลยสักครั้ง หลวงปู่เดินสอดส่องดูจนทั่วเห็นพระเก่าแก่อยู่มากโข พอดูจนพอใจแล้วก็กลับมา สักพักอาจารย์ก็ถามโยมที่นั่งสมาธิว่าเป็นอย่างไร คำตอบของทุก ๆ คนก็คือ บอกว่าจิตไม่สงบ วุ่นวาย ปวดแข้งปวดขาบ้าง แต่พออาจารย์หันมาถามหลวงปู่โฮม หลวงปู่บอกอาจารย์ว่า “เดี๋ยวก่อนอาจารย์ วัดถ้ำคูหาเป็นอย่างนี้ใช่ไหม”แล้วเล่าให้อาจารย์ฟัง พระอาจารย์ถามว่า“ไปตอนไหน” ตอบท่าน“เมื่อกี้” อาจารย์ถามต่อไปว่า “ฝึกนั่งสมาธิมานานยัง”ตอบว่า “เพิ่งฝึกเมื่อกี้นี้” นับว่าเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มาก และคงเป็นเพราะบารมีเก่าที่ได้สร้างสมมานาน หลายชาติ จิตถึงรวมได้รวดเร็วขนาดนี้ จากนั้นหลวงปู่เริ่มฝึกสมาธิมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดการรู้ธรรมเห็นธรรม ก็เป็นมาเรื่อย ๆ

    คืนหนึ่งฝันไปว่าเห็นหลวงปู่จุล วัดถ้ำคูหาสวรรค์มาหา มือถือดอกบัวมาด้วย ๓ ดอก พร้อมพูดว่า“บักหล่าเอาอันนี้ไว้จะได้มีแสงสว่างเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา” เลยรับและกำเอาไว้ พอดีตื่นขึ้นมามือยังกำแน่นอยู่ แต่ในมือไม่มีดอกบัว จึงมานึกดูคำว่า “แสงสว่าง” ก็คือ“ปัญญาในทางธรรม” นั่นเอง

    พอปฏิบัติมาจนถึงปีที่ ๙ เดือน ๙ แรม ๙ ค่ำ พอนั่งสมาธิ เกิดเห็นธรรมขึ้นมา รู้เกี่ยวกับการเกิดของคน สัตว์ ไม่ว่าสัตว์บก สัตว์น้ำ เข้าใจโลก บนบก ในน้ำ ในอากาศ เข้าใจอย่างละเอียดว่า มีอะไรบ้างในพื้นโลกที่เป็นส่วนบนบก ในน้ำ ในอากาศก็เช่นเดียวกัน ยังรู้ลึกลงไป อีกว่า ในร่างกาย บัญญัติ ๖๔ อาการ ๓๒ รวมเป็น ๙๖

    ต่อมาก็ปฏิบัตินั่งสมาธิเรื่อยๆ ทุกๆ วัน ไม่ท้อถอย จนถึงอายุ ๕๕ ปี ก็เลยพูดกับย่าว่า “อายุ ๖๐ ปี กะบาท (ผม) จะปลงสังขาร” ย่าบอกว่า “อย่าเพิ่งไปเลย ให้อยู่กับลูกหลานก่อน ” หลวงปู่เล่าว่า ชาติก่อน เมียตายเมื่อหลวงปู่อายุ ๕๕ ปี ก็เลยออกบวชเป็นตาผ้าขาวได้ ๕ ปี พออายุ ๖๐ ปี ก็เลยตาย หลังจากตายแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะอานิสงส์ของการรักษาศีล ๕ ศีล พระอุโบสถ พอสิ้นบุญเลยกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง อยู่ต่อมาพออายุ ๖๐ ปี ก็เริ่มป่วย ปวดตามข้อมือ ปวดตามกระดูก ปวดตามข้อทุกๆ ข้อ เริ่มมีอาการหล่อย (อัมพาตขั้นต้น) ไม่มีเรี่ยวแรง ลูก ๆ จะพาไปหาหมอ ก็ไม่ยอมไป ไม่ยอมกินยา ไม่ไปโรงพยาบาล

    ต่อมานอนตอนกลางคืน ฝันเห็นแม่นุ่งขาวห่มขาว (แม่ในอดีตชาติ) แม่ถามว่า “เป็นอะไรลูกถึงนอนอยู่อย่างนี้ ไม่สบายดอกหรือ”ตอบท่านว่า “ลูกจะปลงสังขาร” แม่บอกว่า “ไม่ได้สร้างบารมี ยังไม่พอ ยังไม่จบสิ้น ยังไม่ตาย” แล้วก็พูดว่า “อ้าปากขึ้นกินยาซะ” พอแม่พูดจบ ก็แหงนหน้าขึ้น มองเห็นเม็ดยาเหมือนหยดน้ำ ลอยลงมาจากฟ้า แล้วก็เข้าไปในปาก พอเข้าไปในปาก รู้สึกว่ามีความเย็นตั้งแต่ลำคอถึงกระเพาะ พอกินยาเสร็จ แม่บอกว่า “จะกลับแล้วนะ” พอแม่กลับ ก็ตื่นขึ้นมาสังเกตุอาการก็ยังเย็นอยู่ พอถึงตอนเช้าอาการป่วย อาการปวดในตัวหายไป ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ต่อมาอีก ๓ วัน อาการปวดอาการป่วยก็หายขาด ตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยป่วยหนักๆ อีกเลย

    อยู่ต่อมาเมียมาตาย วันหนึ่งแกว่งเปลหลานอยู่รู้สึกมีอาการร้อนในตัวมาก คือ ร้อนภายในตัว ทั้งภายในและภายนอก พอวันที่สอง อาการร้อนก็ร้อนมากกว่าวันแรก พอวันที่สามยิ่งร้อนกว่าทั้งสองวัน พอร้อนมาก ๆ ก็เลยอธิษฐานว่า “ถ้าจะอยู่ต่อไปขอให้ร้อนมาก ๆ กว่าเดิม แต่ถ้าจะออกบวชให้อาการร้อนหายไป”ความร้อนค่อย ๆ ทุเลาลงจนหายไป ในที่สุดก็เลยตัดสินใจว่า จะบวชแน่นอน ก่อนจะบวชได้เอาหนังสือมาหัดอ่านท่องนาค และอธิษฐานว่า ให้ท่องนาคได้อย่างคล่องแคล่ว ก็เป็นดังคำอธิษฐาน พอท่องได้จึงเลยไปหาพระอุปัชฌาย์ขอบวช พระอุปัชฌาย์บอกว่า “พอดีมีนาคจะบวชอยู่ จะบวชคู่ให้” หลวงปู่บอกว่า“จะขอบวชนาคเดี่ยว” พระอุปัชฌาย์ตกลงจะบวชให้ มีพระร่วมทั้งหมด ๙ รูปในวันบวช

    หลวงปู่โฮม ท่านอุปสมบทขณะมีอายุ ๖๘ ปี เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๗ เวลา ๒๐.๒๖ น. ณ พัทธสีมาวัดเทพรังษี ต.หนองคู อ.เมือง จ.ยโสธร โดยมี พระครูบวรคณานุศาสน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิฑูรฐิติคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูโสภณสุทธิวัตร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สังกัดธรรมยุติกนิกาย วัดป่าสุทธิมงคล ต.กระจาย อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร

    หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว การเห็นธรรมะก็เกิดขึ้นธรรมดา แต่ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะรู้ และเห็นมาแล้วในตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาส แต่ในช่วงต้นพรรษาที่ ๕ หลวงปู่โฮม ท่านนิมิตเห็นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มาหา แล้วพูดว่า“ถ้ารู้แล้วเห็นแล้ว ทำให้ถึงที่สุด”

    ในพรรษาที่ ๕ ต้นพรรษา มียมบาลพาพวกสัตว์นรก มาขอฟังธรรมประมาณ ๑๐๐ ตน เห็นจะได้ พอกราบเสร็จก็พากันกลับ สักครู่พวกเทพก็พากันมา นำดอกบัวมาด้วย กะดูประมาณกระเฌอเกวียน พอเอาดอกบัวสักการะแล้วก็พากันจากไป อีกสักพักมีพรหมมาสักการะเสร็จแล้วก็หายไป พอพรหมจากไป มองไปข้างหลัง เห็นเป็นกองๆ อยู่ แต่ไม่ทราบว่ากองอะไร สักครู่ก็มีเทพสององค์เดินเข้ามาที่กอง แล้วก็มาประกอบบันไดทองสูงขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ แหงนหน้ามองดูจนสุดลูกหู ลูกตา บันไดก็หายไป สักพักก็มีราชรถมีเทพนั่งมาด้วยหนึ่งองค์ ราชรถลอยมาจอดข้างกุฏิ ข้าง ๆ ทางเดินจงกรม มองไปที่บนราชรถแล้ว ก็นึกว่าอะไรหนอ เทพก็เลยเอาร่มลงมาจากราชรถแล้วบอกว่า“จะกางร่มให้หลวงปู่” หลวงปู่บอกว่า “ให้กางดู” พอกางร่มเสร็จ ร่มที่กางออกใหญ่มาก สามารถคลุมกุฏิ แล้วคลุมไปถึงบริเวณแถวนั้น พอกางเสร็จ เทพ ร่ม และราชรถก็หายไป

    ในพรรษาที่ ๙ วันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๕ เวลา ๖ โมงเย็น หลวงปู่เริ่มเดินจงกรม เที่ยวแรกเดินไปยังไม่ถึงปลายทาง ประมาณสัก ๕ วา อาการที่เกิดขึ้นมันไม่มีความรู้สึกใด ๆ และไม่สามารถอธิบายอาการนั้นได้ เพราะไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน มันไม่รู้กาลเวลา มันเร็วมาก เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ก็เดินจงกรมต่อไป ปรากฏว่า เท้าไม่ถูกดิน เหมือนเดินมาตามยองใยของสำลี เป็นอยู่อย่างนี้ ๓ เที่ยว เดินจะวางเท้าแรง ๆ ก็ไม่ดัง พอเที่ยวที่ ๔ เดินกลับมา เมื่อถึงกลางทางที่เดิน มีอาการขนลุกไปทั้งตัว ก็นึกว่า จะกระทืบลงไป โลกจะต้องสะเทือนแน่ ถ้ายันลงไป พื้นดินจะทะลุลงไปถึงปฐพี พอก้าวขามา อีก ๑ ก้าว จะมีอภินิหารเกิดขึ้นอย่างรุนแรงมากขึ้น จะยันภูเขา ให้เรียบราบไปในพริบตาเดียวก็ยังได้ จิตใจไม่มีความเกรงกลัวต่ออะไรทั้งสิ้น โลกนี้เราจะทำให้มันเป็นอย่างไรก็ได้ทั้งหมด

    หลวงปู่โฮม นิมิตไปที่ทุ่งนา ที่นั่นไม่เคยมีหญ้าคา ก็บังเอิญไปมองเห็นตอหญ้าคา ที่เขาตัดต้นเรียบร้อยไปหมดแล้ว แต่ก่อนเรามีเรื่องค้างคา คาเรื่องอะไร เราไม่รู้ แต่รู้ว่า เรามีเรื่องค้างคา มีข้อข้องใจ พอเห็นตอหญ้าคา เราถึงรู้ทันที่ ว่าเราคาอะไร เราคาหญ้าคา เราไม่ได้คาตอหญ้าคา เราจะทำอย่างไรถึงจะถอนรากถอนโคน อันนี้เราก็รู้ว่า มันเป็นกิเลส ต้องมีวิธีต้องมีปัญญาในการถอนรากถอนโคนมันได้ ถ้าถอนตอหญ้าคาได้แล้ว ความสว่างก็จะเกิดขึ้น

    วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ก่อนตี ๔ ตื่นขึ้นมา แต่ยังไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นอน ก็ได้ยินเสียงเทวดาเขาทำวัตรสวดมนต์ เสียงดังก้อง และไพเราะมาก บทสวดว่า…
    อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา ธรรมใดแล้วอันเป็นบุญ พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ
    สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ธรรมใดแล้วอันเป็นบุญ ธัมมังนะมัสสามิ
    สุปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ผู้ภาวนาเป็นแล้วหนีไปไม่กลับมา สังฆังนะมามิ
    พอเขาสวดมนต์เสร็จดูนาฬิกาตีสี่พอดี หลวงปู่ก็ลุกขึ้นทำข้อวัตรส่วนตัว เสร็จแล้วก็ออกไปรับบิณฑบาตตามปกติ

    วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ตุลาคา ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา เมื่อเวลา ๑๐ นาฬิกา หลวงปู่โฮม ญาณธัมโม ขณะกลับมาจากไปฉีดยาที่โรงพยาบาลยโสธร อีก ๕ กิโลเมตรกำลังจะถึงวัด บริเวณบ้านคำเกิด อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ยางรถได้แตก จึงทำให้รถเสียหลักไปชนกับต้นไม้ริมทางเข้า ตรงตำแหน่งที่หลวงปู่โฮม ท่านนั่งพอดี ทำให้กระดูกขาองค์ท่าน รวม ๒ ข้างหัก ๕ ท่อน และมีอาการบอดช้ำภายใน ซึ่งครูบาซิ่ว พระอุปัฏฐาก (อดีตพระอุปัฏฐากหลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม วัดศรีวิชัย จ.นครพนม ซึ่งในพรรษานี้ ท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสุทธิมงคล) ท่านได้เล่าว่า.. ปกติแล้วครูบาจะนั่งกับโชเฟอร์ ซึ่งเป็นลูกชายของหลวงปู่โฮมเอง รถนี้ก็เป็นรถใหม่ ออกมาได้ ๓ เดือนเอง แต่วันเดินทางขากลับจากโรงพยาบาลยโสธร หลวงปู่โฮม ท่านเรียกให้ครูบาซิ่ว ไปนั่งกับเณรข้างหลังแทน หลวงปู่จะนั่งหน้า ท่านกล่าวต่อไปอีกว่า หลวงปู่โฮม บอกว่า “เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงเราแล้ว”

    ภายหลังจากเกิดอุบัติเหตุ องค์ท่านได้ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลยโสธรทันที จากนั้นจึงถูกย้ายท่าน เพื่อไปรับการผ่าตัดที่อุบลราชธานี คณะท่องถิ่นธรรม และญาติธรรมทางเฟสบุ๊คได้รวบรวมปัจจัยถวายค่ารักษาพยาบาลผ่าตัดองค์หลวงปู่ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ขออนุโมทนาบุญกุศลในครั้งนี้ให้กับทุกท่านนะครับ

    หลวงปู่โฮม ญาณธัมโม ละสังขารลงตรงกับวันพุธที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เวลาประมาณ ๔ นาฬิกา ด้วยภาวะปอดติดเชื้อรุนแรง และติดเชื้อเข้ากระแสโลหิต ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี สิริอายุ ๘๗ ปี ๒ เดือน ๒๑ วัน พรรษา ๒๐

    _/_ _/_ _/_

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  16. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  17. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  18. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  19. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  20. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...