ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    …ทุกคนมีความทุกข์ ทุกคนจะต้องมีความตายไปในที่สุด แล้วเราจะมานั่งถือตัวถือตน เสมอกัน เลวกว่ากัน ดีกว่ากัน เพื่อประโยชน์อะไร เพราะต่างคนต่างก็ไม่มีร่างกายเป็นเรา เป็นของเราจริง เรือนร่าง ร่างกายเป็นแต่เพียงบ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น ..

    (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)

    -ทุกคน.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  2. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จอนุโมทนา พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลังจากท่านบรรลุธรรมขั้นสูงสุด…”

    “…จากท่านเดินทางถึงแดนแห่งวิมุตติแล้ว คืนต่อ ๆ มามีพระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกจำนวนมากเสด็จมาอนุโมทนาวิมุตติธรรมกับท่านเสมอ มิได้ขาด? คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นกับพระสาวกบริวารเป็นจำนวนหมื่นเสด็จมาเยี่ยม ? คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีสาวกเท่านั้นเสด็จมาเยี่ยมอนุโมทนา จำนวนพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์นั้นมีจำนวนไม่เท่ากัน ทั้งนี้ท่านว่าขึ้นอยู่กับวาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ไม่เหมือนกัน? ที่พระสาวกตามเสด็จมาด้วยแต่ละพระองค์นั้น มิได้ตามเสด็จมาทั้งหมดในบรรดาพระสาวกของแต่ละพระองค์ที่มีอยู่? แต่ที่ตามเสด็จมามากน้อยนั้นต่างกันนั้นพอแสดงให้เห็นภูมิพระวาสนาบารมีของ แต่ละพระองค์นั้นต่างกันเท่านั้นบรรดาพระสาวกจำวนมากของแต่ละพระองค์ที่ตาม เสด็จมานั้น มีสามเณรติดตามมาด้วยครั้งละไม่น้อยเลย? ท่านสงสัยจึงพิจารณาก็ทราบว่า คำว่าพระอรหันต์ในนามธรรมนั้นมิได้หมายเฉพาะพระ แต่สามเณรที่มีจิตบริสุทธิ์หมดจดก็นับเข้าในจำวนสาวกอรหันต์ด้วย ฉะนั้น ที่สามเณรติดตามมาด้วยจึงไม่ขัดกัน ในพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ประทานอนุโมทนาแก่ท่านพระอาจารย์มั่น นั้น ส่วนใหญ่มีว่า? เราตถาคตทราบว่าเธอพ้นโทษจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขังแห่งเรือนจำของวัฏฏทุกข์ จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนาที่คุมขังแหล่งนี้ใหญ่โตมโหฬารและแน่นหนามั่นคงมาก และมีเครื่องยั่วยวนชวนให้เผลอตัวและติดอยู่รอบตัวไม่มีช่องว่าง จึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้ เพราะสัตว์โลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจกับทุกข์ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมา ว่าเป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาด้วยวิธีต่าง ๆ เหมือนคนเป็นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึงไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้น ธรรมของเราตถาคตก็เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัณหาภายในใจเบียดเบียนเสียดแทง ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่าจะหายได้เมื่อไร สิ่งตายตัวก็คือ โรคพรรค์นี้ถ้าไม่รับยาคือ ธรรมจะไม่มีวันหายได้ ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายเกิดคละเคล้าไปกับความทุกข์กายทุกข์ใจ และเกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่ ตลอดอนันตกาล ธรรมแม้จะมีเต็มไปทั้งโลกธาตุก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่สนใจนำไป ปฏิบัติรักษาตัวเต็มไปทั้งโลกธาตุก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่สนใจ นำไปปฏิบัติรักษาตัวเท่าที่ควรจะได้รับจากธรรม? ธรรมก็อยู่แบบธรรม? สัตว์โลกก็หมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่แบบสัตว์โลก? โดยไม่มีจุดหมายปลายทางว่าจะสิ้นสุดทุกข์กันลงได้เมื่อใด?ไม่มีทางช่วยได้? ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเองโดยยึดธรรมมาเป็นหลักใจและพยายามปฏิบัติตาม?

    พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เพิ่มจำนวนองค์และสั่งสอนมากมายเพียงไร ผลที่ได้รับก็เท่าที่โรคประเภทคอยรับยามีอยู่เท่านั้น? ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด มีแบบตายตัวอยู่อย่างเดียวกัน คือสอนให้ละชั่วทำดีทั้งนั้น ไม่มีธรรมพิเศษและแบบสอนพิเศษไปกว่านี้ เพราะไม่มีกิเลสตัณหาพิเศษในใจสัตว์โลกที่พิเศษเหนือธรรมซึ่งประกาศสอนไว้? เท่าที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทานไว้แล้วเป็นธรรมที่ควรแก่การรื้อถอนกิลส ทุกประเภทของมวลสัตว์อยู่แล้ว? นอกจากผู้รับฟังและปฏิบัติตามจะยอมแพ้ต่อเรื่อกิลสตัณหาของตัวเสียเอง แล้วเห็นธรรมเป็นของไร้สาระไปเสียเท่านั้น? ตามธรรมดาแล้วกิเลสทุกประการต้องฝืนธรรมดาดั้งเดิม คนที่คล้อยตามมันจึงเป็นผู้ลืมธรรมไม่อยากเชื่อฟังและทำตาม โดยเห็นว่าลำบากและเสียเวลาทำในสิ่งที่ตนชอบ? ทั้งที่สิ่งนั้นให้โทษ? ประเพณีของนักปราชญ์ผู้ฉลาดมองเห็นการณ์ไกลย่อมไม่หดตัวมั่นสุมอยู่เปล่า ๆ เหมือนถูกน้ำร้อนไม่มีทางออก? ต้องยอมตายในหม้อที่กำลังเดือดพล่าน โลดเดือดพล่านอยู่ด้วยกิเลสตัณหาความแผดเผา ไม่มีกาลสถานที่ที่พอจะปลงวางลงได้? จำต้องยอมทนทุกข์ทรมานไปตาม ๆ กันโดยไม่นิยมสัตว์น้ำ? สัตว์บก? สัตว์อยู่บนอากาศและใต้ดิน เพราะสิ่งแผดเผาเร่าร้อยอยู่กับใจ ความทุกข์จึงอยู่ที่นั่นที่นี่เธอเห็นพระตถาคตอย่างแท้จริงแล้วมิใช่หรือ?? พระตถาคตแท้คืออะไร? คือความบริสุทธิ์แห่งใจที่เธอเห็นแล้วนั้นแล? ที่พระตถาคตมาในร่างนี้มาในร่างแห่งสมมติต่างหากเพราะพระตถาคตและพระอรหันต์ อันแท้จริงมิใช่ร่างแบบที่มากันนี้? นี่เพียงเป็นเรือนร่างของตถาคตโดยทางสมมติต่างหาก? ท่านพระอาจารย์กราบทูลว่า? ข้าพระองค์ทราบพระตถาคตและพระสาวกอรหันต์อันแท้จริงไม่สงสัย? ที่สงสัยก็คือ? พระองค์ทั้งหลายกับพระสาวกท่านที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานไม่มีส่วน สมมติยังเหลืออยู่เลย? แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้อย่างไร ?

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า? ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์ทางใจด้วยดีแล้ว แต่ยังครองร่างอันเป็นส่วนสมมติยังเหลืออยู่ ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้องแสดงสมมติตอบรับกัน คือต้องมาในร่างสมมติตซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุ ปาทิเสสนิพพานด้วยกันแล้วไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่? ตถาคตก็ไม่มีสมมติอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก?ฉะนั้นการมาในร่างสมมตินี้จึง เพื่อสมมติเท่านั้น ถ้าไม่มีสมมติเสียอย่างเดียวก็หมดปัญหา พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่องอดีตอนาคตก็ทรงถือเอานิมิต? คือสมมติอันดั้งเดิมของเรื่องนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายให้ทราบ เช่น? ทรงทราบอดีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าทรงเป็นมาอย่างไร เป็นต้น ก็ต้องถือเอานิมิตของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น และพระอาการนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายพิจารณาให้รู้ ถ้าไม่มีสมมติของสิ่งนั้น ๆ เป็นเครื่องหมาย ก็ไม่มีทางทราบได้ในทาสมมติ เพราะวิมุตติล้วน ๆ ไม่มีทางแสดงได้ ฉะนั้นการพิจารณาและทราบได้ต้องอาศัยสมมติเป็นหลักพิจารณาดังที่เราตถาคตนำ สาวกมาเยี่ยมเวลานี้ ก็จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมติดั้งเดิม เพื่อผู้อื่นจะพอมีทางทราบไดว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๆ และพระอรหันต์องค์นั้น ๆ มีรูปลักษณะอย่างนั้น ๆ ถ้าไม่มาในรูปลักษณะนี้แล้ว ผู้อื่นก็ไม่มีทางทราบได้เมื่อยังต้องเกี่ยวกับสมมติในเวลาต้องการอยู่ วิมุตติก็จำต้องแยกแสดงออกโดยางสมมติเพื่อความเหมาะสมกัน ถ้าเป็นวิมุตติล้วน เช่นจิตที่บริสุทธิ์รู้เห็นจิตที่บริสุทธิ์ด้วยกันก็เพียงแต่รู้อยู่เห็น อยู่เท่านั้น ไม่มีทางแสดงให้รู้ยิ่งกว่านั้นไปได้ เมื่อต้องการทราบลักษณะอาการของความบริสุทธิ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็จำต้องนำสมมติเข้ามาชวยเสริมให้วิมุตติเด่นขึ้นพอมีทางทราบกันได้ว่าวิ มมุตมีลักษณะว่างเปล่าจากนิมิตทั้งปวดมีความสว่างไสวประจำตัว มีความสงบสุขเหนือสิ่งใด ๆ เป็นต้น? พอเป็นเครื่องหมายให้ทราบได้โดยทางสมมติทั่ว ๆ ไห้ ผู้ทราบวิมุตติอย่างประจักษ์ใจแล้ว จึงไม่มีทางสงสัยทั้งเรื่องวิมุตติเสดงตัวออกต่อสมมติในบางคราวที่ควรแก่ กรณี และทรงตัวอยู่ตามสภาพเดิมขอบงวิมุตติ ไม่แสดงอาการ ที่เธอถามเราตถาคตนั้น ถามด้วยความสงสัยหรือถามพอเป็นกิริยาแห่งการสนทนากัน ท่านกราบทูลว่า ข้าพระองค์มิได้มิความสงสัยทั้งสมมติและวิมุตติของพระองค์ทั้งหลาย แต่ที่กราบทูลนั้นก็เพื่อถวายความเคารพไปตามกิริยาแห่งสมมติเท่านั้น แม้พระองค์กับพระสาวกจะเสด็จมาหรือไม่ก็มิได้สงสัยว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ อันแท้จริงมีอยู่ ณ ที่แห่งใด แต่เป็นความเชื่อประจักษ์ใจอยู่เสมอว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต อันแสดงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ มิใช่ธรรมชาติอื่นใดจากที่บริสุทธิ์หมดจดจากสมมติในลักษณะเดียวกันกับพระ รัตนตรัย พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่เราตถาคตถามเธอ ก็มิได้ถามด้วยความเข้าใจว่าเธอมีความสงสัย แต่ถามเพื่อเป็นสัมโมทนียธรรมต่อกันเท่านั้น บรรดาพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุธเจ้ามาแต่ละพระองค์และแต่ละครั้งนั้น มิได้กล่าวปราศรัยอะไรกับท่านพระอาจารย์มั่นเลย มีพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทพระองค์เดียวส่วนพระสาวกทั้งหลายเป็นเพียงนั่ง ฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม น่าเคารพเลื่อมใสมากเท่านั้นแม้สามเณรองค์เล็ก ๆ ที่น่ารักมากกว่าจะน่าเคารพเลื่อมใส…”

    ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

    ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    .jpg
    1511087736_400_พระพุทธเจ้าและพระสาวก.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  3. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  4. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  5. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    พระแก้วแดงทรงเครื่องจักรพรรดิ ประดับทองคำและอัญมณีแท้ ทั้งองค์ สื่อพุทธบารมีกำลังจักรพรรดิรวมแห่งพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า อฐิษฐานจิตอาราธนาบารมีองค์พระแก้วแดง โดย พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร หลวงตาม้า ประดิษฐาน ณ วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อเป็นศาสนสมบัติสืบทอดอายุพระศาสนาสืบไป และเป็นพุทธบารมีที่พึ่งแด่พุทธศาสนิกชน ตลอดจนภพภูมิทั้งหลายทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุ เพื่อความมงคลร่มเย็นเป็นสุข น้อมนำจิตสู่กระแสแห่งธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..

    เหตุใดพระพุทธรูปองค์ในรูปจึงเป็นสีแดง ?

    เสริมความรู้ “พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ และพระแก้วคู่บารมี”

    พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระแก้วประจำองค์ และมีได้ตั้งแต่ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่และจะปรากฎชัดขึ้น ตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้าง ยุคพระศรีก็จะมีพระแก้วแดงทำจากทับทิมแดง ส่วนพระแก้วขององค์ปฐมนั้นจะเป็นองค์สีขาว

    ยกตัวอย่างพระแก้วคู่บารมีพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ในภัทรกัปนี้

    ๑. “พระกกุสันธพุทธเจ้า” หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากนั้น ๘ อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ ๓๗,๐๒๔ พระองค์ เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย ๔๐,๐๐๐ พรรษา พระสรีระสูง ๔๐ ศอก หรือ ๒๐ เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย ๑๐ เดือน พุทธรังสีสร้านไปไกล ๑๐ โยชน์ (๑๖๐ กิโลเมตร) พระแก้วประจำองค์ พระแก้วขาว หน้าตักกว้าง ๒๐ วา

    ๒. “พระโกนาคมพุทธเจ้า” หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น ๘ อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ ๓๗,๐๒๔ พระองค์ เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย ๓๐,๐๐๐ พรรษา พระสรีระสูง ๓๐ ศอก หรือ ๑๕ เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย ๑ เดือน พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์ พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเหลือง หน้าตักกว้าง ๑๕ วา

    ๓. “พระกัสสปพุทธเจ้า” หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น ๘ อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ ๓๗,๐๒๔ พระองค์ เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย ๒๐,๐๐๐ พรรษา พระสรีระสูง ๒๐ ศอก หรือ ๑๐ เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย ๗ วัน พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์ พระแก้วประจำองค์ พระแก้วน้ำเงิน หน้าตักกว้าง ๑๐ วา

    ๔. “พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า” หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น ๔ องไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าหลังได้รับพุทธพยากรณ์อีก ๒๔ พระองค์ เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย ๘๐ พรรษา พระสรีระสูง ๔ ศอก หรือ ๒ เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย ๖ ปี พุทธรังสีสร้านไปข้างละ ๑ วา เป็นปกติ พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเขียว(เขียวมรกต) หน้าตักกว้าง ๕ วา

    ๕. “พระศรีอริยเมตตรัยพุทธเจ้า” หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น ๑๖ อสงไขยแสนกัป ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ ๔๗๗,๐๒๙ พระองค์ เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย ๘๐,๐๐๐ พรรษา พระสรีระสูง ๘๐ ศอก หรือ ๔๐ เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย ๗ วัน พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้ พระแก้วประจำองค์ พระแก้วแดง และทรงเครื่องบรมหาจักรพรรดิ หน้าตักกว้าง ๒๐ วา

    พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระแก้วประจำองค์ และมีได้ตั้งแต่ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่และจะปรากฎชัดขึ้น ตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้าง ยุคพระศรีอริยเมตตรัย ก็จะมีพระแก้วแดงทำจากทับทิมแดง ปัจจุบันนี้ประดิษฐานเตรียมไว้แล้ว ณ ภูมิทิพย์ ซึ่งซ้อนอยู่กับ สถานที่แห่งหนึง และพระแก้วแดงจะปรากฎออกมา เมื่อถึงยุคพระศรีะอริยเมตตรัยพุทธเจ้า พระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันก็คือพระแก้วมรกตเขียวนั้นเอง ส่วนพระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เป็นพุทธนิมิตอยู่ที่พระนิพพานคู่วิมานพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์

    วันหนึ่งหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้เล่าถึงการปฏิบัติ ครั้งคุมสมาธิศิษย์ ยกใจความมาตอนหนึงว่า . . .

    วันหนึ่งหลวงปู่ได้เล่าถึงการปฏิบัติ โดยท่านเป็นผู้บอกว่า…

    “…เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป ๔ องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง ๒๐ วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก ๑๕ วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก ๑๐ วา องค์ที่สี่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หน้าตัก ๕ วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปป์….”

    อจินไตย ๔

    ความจริงเรื่องความลึกลับซ่อนเร้นในพระพุทธศาสนานั้น มิใช่ว่าเพิ่งจะเกิดมีขึ้นมาก็หาไม่ แต่มีมานานแล้วนานนับเป็นกัปเป็นกัลป์เป็นแสนโกฏิอสงไขยเลยทีเดียว นับแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ จำนวนมากมายหลายแสนล้านพระองค์ที่จะนับจะประมาณมิได้ “อจินไตย ๔” ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ได้แก่

    ๑. พุทธวิสัย เรื่องราวแห่งผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ภาวะแห่งพระโพธิสัตว์ และรวมไปถึงอำนาจแห่งพระสัพพัญญุตญาณอันยิ่งใหญ่ไพศาล และพระมหาบารมีแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรง พระคุณอันประเสริฐเลิศล้ำทั่วแดนไตรโลกธาตุอันมนุษยโลก เทวโลก มารโลก ตลอดถึง พรหมโลก ต่างก็กราบไหว้บูชาสักการะซึ่งพระพุทธคุณอันหาประมาณมิได้ เป็น “อัปมาโณ” ถือเป็นสรณะที่พึ่งอันประเสริฐสูงสุดของมงคลจักรวาลนี้เลยทีเดียว

    ๒. ฌานวิสัย ความลึกลับซ่อนเร้นในเรื่องของ “ฌานสมาบัติ” และ “ญาณสมาธิ” รวมทั้งท่านผู้ที่ได้อภิญญาทั้ง โลกียะและโลกุตระ หรือ วิชชา ๘ ประการ ที่ทรงไว้ซึ่งความสุขุมลุ่มลึกคัมภีรภาพละเอียดอ่อน และมีความวิจิตรพิสดารมาก ตามลำดับขั้นของจิตที่ทรงฌานและเต็มไปด้วยอภินิหาร คือ อำนาจของจิต

    ๓. กรรมวิสัย ความละเอียดลึกล้ำ ในเรื่องของ “กรรมวิบาก” ที่มีผลจำแนกแตกต่างให้สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรม

    ๔. โลกวิสัย ความพิสดารในเรื่องราวของ “โลก” ทั้งของมนุษย์ เทวดา มาร พรหม และ สรรพสัตว์ ล้วนมีความแตกต่างกันออกไปทั่วแสนโกฏิจักรวาลทั้ง ๔ เรื่อง ๔ รสนี้ ต่างก็มีความวิจิตรพิสดารมาก ยากที่บุคคลธรรมดาจะทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ เพราะเป็นเรื่องที่พระพุทธศาสนาจัดว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรนำมาคิด จึงเรียกว่า “อจินไตย” แปลว่า ไม่ จินไตย คือ จินตนา แปลว่า ความคิด คือ ไม่ให้นำมาคิด นั่นเอง ผู้ใดนำมาคิด พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จะเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้าเป็นแน่แท้….

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    .jpg
    1511098736_805_พระแก้วแดงทรงเครื่องจั.jpg
    1511098736_116_พระแก้วแดงทรงเครื่องจั.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  6. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ (นะ โม พุท ธา ยะ) ในภัทรกัปนี้

    ในสมัย ต้นปฐมกัป มีพญากาเผือกสองตัวผัวเมีย ทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคาอันเป็นธรรมชาติสถาน รื่นรมย์ ในเวลาต่อมาต่อมา พระโพธิสัตว์ ได้ทรงปฏิสนธิเกิดในครรภ์แม่พญากาเผือก พร้อมกันถึง ๕ พระองค์ เมื่อครบทศมาส แม่กาเผือกก็ออกไข่ ณ ที่รังต้นมะเดื่อ จำนวน ๕ ฟอง (สถานที่นี้ในกาลต่อมาเรียกว่า วัดพระเกิด) และคอยเฝ้า ดูแลรักษาไข่ด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดี อยู่ มาวันหนึ่งพญากาเผือกออกไปหากินถิ่นแดนไกลไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งอันสมบูรณ์ ด้วยธรรมชาติ แม่กาเผือกเพลินหากินอาหาร ชื่นชมกับธรรมชาติจนมืดค่ำ เกิดลมพายุใหญ่พัดกระหน่ำมืดครึ้มทั่วไปหมด ทำให้หาหนทางออก ไม่ถูก จึงหลงอยู่ในบริเวณสถานที่นั้น (สถานที่นั้นในกาลต่อมาเรียกว่า เวียงกาหลง) แม่กาเผือกได้อยู่ที่เวียงกาหลง คืนหนึ่ง จนเช้าจึงรีบถลาบินกลับที่พัก แต่ปรากฏว่ากิ่งไม้มะเดื่อที่ทำรังอยู่ถูกลมพายุใหญ่พัดหักล้มลงไปในแม่น้ำ แม่กาเผือกตกใจรีบบินถลาหาลูกที่ยังอยู่ในไข่ แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ในที่สุดก็สิ้นใจตายอย่างน่าสงสาร
    แต่ด้วยอานิสงส์ที่มีความเมตตารักลูกอันบริสุทธิ์กับทั้งที่ลูกของแม่กา เผือกเป็นพระโพธิสัตว์ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นกุศลหนุนส่งให้แม่กาเผือกไปจุติยังแดนพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ได้พระนามว่า “ฆติกามหาพรหม” จักได้เป็นผู้ถวาย อัฏฐะบริขาร บวชแก่ลูกทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนไข่ทั้ง ๕ ถูกลมพัดตกน้ำไหลไปในสถานที่ต่าง ๆ ไข่ฟองที่ ๑ แม่ไก่เก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๒ แม่นาคราชเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๓ แม่เต่า เก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๔ แม่โคเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๕ แม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา

    ครั้นในกาลเวลาต่อมา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ก็ประสูติออกจากไข่ ปรากฏเป็นมนุษย์บุรุษรูปงานทั้ง ๕ พระองค์ และเจริญเติบโตอยู่กับแม่เลี้ยงด้วยความกตัญญู รู้จักหน้าที่ ทดแทนบุญคุณจนถึงอายุได้ ๑๒ ปี ด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่งก็มีจิตคิดที่จะออกบวชบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี เป็นฤาษีอยู่ในป่า จึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตนเหมือนกันทั้ง ๕ พระองค์ ฝ่ายแม่เลี้ยงก็ไม่ขัดความประสงค์ อนุญาตให้ลูกไปบวช บำเพ็ญบารมีอยู่ในป่าด้วยความอนุโมทนา

    แม่ เลี้ยงทั้ง ๕ เป็นปณิธานที่มุ่งมั่น จะบำเพ็ญบารมีพระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ในวัฏฏะสงสาร จึงฝากนามของแม่เลี้ยงไว้กับลูกเพื่อเป็นอนุสรณ์ตำนานไว้แก่โลกต่อไปในภาค หน้า เมื่อลูกได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกแล้วตามลำดับพระนามดังต่อไปนี้

    องค์ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นไก่

    องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นนาค

    องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นเต่า

    องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตโม เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นโค

    องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นราชสีห์

    ในกัปนี้ชื่อว่า ภัทรกัปเป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของ คำว่า “นะโมพุทธายะ” นะ คือ พระกกุสันโธ โม คือ พระโกนาคมโน พุท คือ พระกัสสโป ธา คือ พระโคตโมยะ คือ พระศรีอาริยเมตไตรโย จนเป็นคาถาที่ใช้สืบต่อกันมา ฝ่าย พระโพธิสัตว์ ทั้ง ๕ เมื่อออกบวชเป็นฤาษีก็ได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐานจนสำเร็จญาณอภิญญาสมาบัติ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะมาหาอาหารผลไม้ และบำเพ็ญเพียรธรรมที่ป่าดอยสิงกุตตระ ณ ใต้ต้นนิโครธ อันร่มเย็นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ ฤาษีทั้ง ๕ ได้มาพบกัน ณ ที่นี้โดยไม่ได้นัดหมาย จึงสอบถามถึงความเป็นมาของกันและกันจนรู้ว่าแต่ละองค์ก็มีแต่แม่เลี้ยง ฤาษีทั้ง ๕ จึงร่วมกันตั้งสัจจะอธิษฐานขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้า ด้วยอำนาจสัจจะอธิษฐานธรรมอันบริสุทธิ์ดังก้องไปถึงพรหมโลก ท้าวฆติกามหาพรหม ซึ่งเดิมคือ แม่กาเผือก ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดจึงจำแลงเพศเป็นรูปเดิม ขนขาวสวยงาม มาปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าของฤาษีทั้ง ๕ เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็รู้สึกสลดสังเวชใจและสำนึกบุญคุณอันใหญ่หลวงของแม่กาเผือก จึงน้อมนมัสการผู้เป็นแม่ กราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์ผู้บังเกิดเกล้าไว้บูชา ได้มาเป็นผ้าฝ้ายเป็นตีนกาสัญลักษณ์ของแม่กาเผือกให้แก่ลูกฤาษีทั้ง ๕ ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุกวันพระ และต่อมาได้กลายเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ตลอดกาลนาน

    ฤาษี โพธิสัตว์ทั้ง ๕ ต่างพากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาดจนดับขันธ์ ได้ไปจุติบนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพ และในกาลต่อมาก็วนเวียนบำเพ็ญเพียรบารมีทุกภพชาติที่กำเนิดเกิดในสังสารวัฏนี้ จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง ๓๐ ทัศแล้ว ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่ต้นกัปโลกา ก็จะนำเอาบริขาร คือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ในชาติสุดท้ายที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์

    กาลเวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบัน พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือก ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกไปแล้วถึง ๔ พระองค์ ตามลำดับดังนี้

    พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๔ หมื่นปี มีเขมวตีนนครของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี

    พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๓ หมื่นปี มีโสภวตีนนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี

    พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๒ หมื่นปี มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี

    พระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๘๐ ปี มีกบิลพัสดุ์นครของพระพุทธเจ้าสุทโธทนะเป็นราชธาน

    ส่วน พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๕ อันเป็นลูกองค์สุดท้ายของแม่กาเผือก คือ พระศรีอริยเมตไตรย์ จักเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภัทรกัปนี้ โดยจะมีอายุถึง ๘ หมื่นปี

    หนังสือตำราแม่กาเผือก และ วัดพุทธพรหมปัญโญ

    ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    -๕-พระองค์-นะ.jpg
    1511106040_124_พระพุทธเจ้า-๕-พระองค์-นะ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  7. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ทุกข์เกิดจากสิ่งที่อยากได้.ดิ้นรนแสวงหา เมื่อมีสุขก็เกิดจากทุกข์ที่เราดิ้นรนหามาได้.จึงมีทั้งทุกข์และสุขเป็นของคู่กัน…”

    โอวาทธรรมพระอาจารย์สุนทร ฐิติโก วัดป่าหลวงตามหาบัวธรรมเจดีย์(วัดป่าภูหินร้อยก้อน) จ.อุดรธานี

    ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  8. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ข้าขอฝากให้แกไปปฏิบัติต่อ…” (ภาพรวมอัฐิธาตุของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ) ในตอนบ่ายของวันก่อนที่หลวงปู่จะมรณภาพ ขณะที่ท่านเอนกายพักผ่อนอยู่นั้น ได้มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งมากราบนมัสการท่าน ซึ่งเป็นการมาครั้งแรก หลวงปู่ได้ลุกขึ้นนั่งต้อนรับด้วยใบหน้าที่สดใสราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ กระทั่งบรรดาศิษย์ ณ ที่นั้น เห็นผิดสังเกต หลวงปู่แสดงอาการยินดีเหมือนรอคอยบุคคลผู้นี้มานาน ท่านว่า…

    “…ต่อไปนี้ ข้าจะได้หายเจ็บหายไข้เสียที…”
    ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าท่านกำลังโปรดลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่าน หลวงปู่ได้แนะนำการปฏิบัติได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ท่านย้ำในตอนท้ายว่า… “ข้าขอฝากให้แกไปปฏิบัติต่อ”

    ในคืนนั้นก็ได้มีคณะศิษย์มากราบนมัสการท่าน ซึ่งการมาในครั้งนี้ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเช่นกันว่าจะเป็นการมาพบสังขารธรรมของท่านเป็นครั้งสุดท้าย

    หลวงปู่ได้เล่าให้ศิษย์คณะนี้ฟังด้วยสีหน้าปกติว่า “…ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดในร่างกายข้าที่ไม่เจ็บปวดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ไปนานแล้ว…”

    พร้อมทั้งพูดหนักแน่นว่า… “…ข้าจะไปแล้วนะ…”

    ท้ายที่สุดท่านเมตตากล่าวย้ำ ให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาทว่า… “…ถึงอย่างไรก็ขออย่าได้ทิ้งการปฏิบัติ ก็เหมือนนักมวยขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่าเงอะๆ งะๆ…”

    นี้ดุจเป็นปัจฉิมโอวาทแห่งผู้เป็นบรมครูของผู้เป็นศิษย์ทุกคนอันจะไม่สามารถลืมเลือนได้เลย

    หลวงปู่ได้ละสังขารด้วยอาการสงบด้วยโรคหัวใจในกุฏิของท่าน เมื่อเวลาประมาณ ๕ นาฬิกา วันพุธที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๓ สิริอายุได้ ๘๕ ปี ๘ เดือน ๖๕ พรรษา

    สังขารธรรมของท่านได้ตั้งบำเพ็ญกุศล โดยมีเจ้าภาพสวดอภิธรรมเรื่อยมาทุกวันมิได้ขาด ตลอดระยะเวลา ๔๕๙ วัน และได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษในวันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๔….

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  9. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ภูติพระพุทธเจ้า – พุทธนิมิต โดยหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    “….หลวงปู่ท่านศึกษาเรื่องพลังงานของ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพานไปนานแล้ว ก็ยังมีพลังงานเหล่านี้อยู่ ส่วนในเรื่องข้อขัดแย้งระหว่างหลวงปู่กับอาจารย์ เฮง ไพรวัลย์ ซึ่งเป็นอาจารย์หลวงปู่สี วัดสะแก อาจารย์เฮงจะทำในด้านเกี่ยวกับพรหม คือจะเชื่อว่าพรหมยังมี แต่ในขณะเดียวกันจะถือว่า พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์พอเข้านิพพานแล้ว ก็สูญ ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีพลังเหลือ หลวงปู่จึงถามท่านว่า อาจารย์เคยไปพระปฐมเจดีย์แล้วเห็นพระธาตุเสด็จหรือเปล่า ท่านก็บอกว่าอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย คือสมัยที่เป็นเสือป่าตามเสด็จรัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งยังเป็นพระบรมโอรสาธิราช ในคืนนั้นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเสด็จ ออกจากพระปฐมเจดีย์ ระยะหนึ่งแล้วกลับมาโดยมีรัศมีสีเขียวเป็นลูกกลมเท่าผลส้มเกลี้ยง ซึ้งในครั้งนั้นรัชกาลที่ ๖ พร้อมทั้งข้าราชบริพารที่ตามเสด็จก็เห็นทั่วกัน พระองค์จึงมีพระราชหัตถเลขาไปถึงพระราชบิดา หรือพระพุทธเจ้าหลวง โดยทรงอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า “อาจเกิดจากสารเรืองแสง แต่ทรงมีข้อสงสัยว่า น่าจะเกิดขึ้นหลังฝนตก แต่การเสด็จของพระธาตุนั้น เกิดในขณะที่ฟ้าโปร่ง ” รัชการที่ ๕ ได้มีพระราชหัตถเลขาตอบมาว่า ” ไม่ต้องสงสัยในเรื่องนี้ เพราะพระองค์พร้อมทั้งข้าราชบริพารได้เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของพุทธานุภาพ คือเป็นบารมีของบรมสารีริกธาตุนั่นเอง ” ตรงนี้อาจารย์เฮงก็บอกว่า ตนเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น หลวงปู่จึงบอกว่า “ถ้าพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุ เคลื่อนที่ไปได้ก็แปลว่า จะต้องมีพลังงานขับเคลื่อน ซึ่งพลังและบารมีนี้ก็แสดงว่าไม่ได้สูญหายไปไหน ” หลวงปู่ยังกล่าวต่อว่า “กระดูกคนตายหลายร้อยหลายพันราย เห็นทิ้งกันเกลื่อนกลาดดาษดื่น ถ้าภูตพระเจ้าหมดไปแล้ว พระบรมธาตุจะเสด็จไปได้อย่างไร”อาจารย์เฮงนั่งเงียบ ไม่สามารถจะหาข้อโต้แย้งกับหลวงปู่ได้เพราะที่พระธาตุเสด็จ ก็เสด็จไปด้วยอำนาจของภูติเหล่านี้ คาถาภูติพระเจ้า พุทธะสัง วิหะรัตตัง ปุญยังวะทามิ….”

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    -พุทธนิ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  10. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ถ้านึกถึงกัน เคารพกันจริง ศรัทธากันจริง อยู่ที่ไหนหลวงตาก็ไปหาได้…”

    พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร(หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ)

    ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    -เคารพกันจ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  11. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    โอวาทธรรมหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ จ.ปัตตานี

    ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    -วัด.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  12. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    การตั้งจิตไว้ชอบ
    คือยังตนให้เป็นคนผู้มีศรัทธา
    มีศีล
    มีจาคะ
    มีสุตตะ
    มีปัญญา
    คือตั้งอยู่ด้วยการฝึกตนของตน

    ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่ธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  13. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “….ความยินดีพอใจ
    ความไม่ยินดีพอใจ
    นี้เองมันมาให้
    ทุกข์เกิดขึ้น
    เมื่อเมาทุกข์
    อยู่เช่นนี้
    จะพ้นทุกข์
    ได้อย่างไร…”

    มหาปุญโญวาท หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ

    ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่ธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  14. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ‘…พูดมาก ปากกว้าง ขวางที่ ขี้มาก มิใช่นิสัยของนักปฏิบัติ คำพูดที่เป็นธรรมะคือ พูดประสานสามัคคี
    พูดไม่มีโทษ
    พูดถูกต้อง
    พูดจริง
    ในคำพูดที่เป็นพระพุทธะนั้น ๑. เป็นความจริง
    ๒. มีอยู่จริง
    ๓. มีประโยชน์
    ปรองดอง
    ๔. คนฟังได้ รับไว้ใช้
    ๕. มีเวลาเหมาะสม

    พุทโอวาท พุทธวจนะ นี้มีอยู่ในทุกบทคำสอนจึงได้ประโยชน์สุขโดยทั่วกัน ผู้สดับพอใจทำตาม เป็นที่เชื่อถือเชื่อฟัง มีหลักมีฐาน มีที่อ้างเป็นถ้อยคำแห่งสุขที่แท้ มิใช่สุขเพราะโสเหร่เฮฮาอย่างสูเจ้า พูดมากปากแฉะ เทวดาเหม็นขี้ปาก

    ระวังหน๋า ตอนนี้พูดกันปากกว้าง
    ตายไปเป็นเปรตปากเล็กเท่ารูเข็ม

    สูเจ้าต้องแจกพลาสเตอร์ปิดปากเอาไว้…….’

    มหาปุญโญวาท หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ

    ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่ธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    -ปากกว้าง-ขวางที่.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  15. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ลูกแก้วจริง ที่งูจงอางใหญ่คายออกมาจากปาก ตอนที่ท่านยังเป็นทารก ปัจจุบันประดิษฐาน ณ วัดพะโคะ ต.ชุมพล อ.สทิงพระ จ.สงขลา…”

    สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปจารย์(ปู สามีราโม), หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด, สมเด็จเจ้าพะโคะ, พระเจ้าลังกาสุกะ

    สาธุ สาธุ สาธุ นะโมโพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา

    ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่ธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    -ที่งูจงอาง.jpg
    1511160932_424_ลูกแก้วจริง-ที่งูจงอาง.jpg
    1511160932_988_ลูกแก้วจริง-ที่งูจงอาง.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  16. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…ทำไมเอ็งไม่คิดถึงข้าละ เอ็งจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องโลกธรรมไง ธรรมะเอ็งก็จะค่อย ๆ เข้าใจ

    คำสอนหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านมักจะพูดคำนี้ เวลาใครไปบ่นให้ท่านฟังเรื่องความทุกข์ทางโลก…”

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่ธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  17. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    ถ้าเราไปคบคนที่ไม่ดี คนพาล มันก็จะไปไม่ดี แต่ถ้าเราคบคนที่ดีมันก็จะไปดี มันก็จะค่อยๆไปด้วยกันได้ ฉันใดก็ดี คบคนเช่นไรก็จะเป็นเช่นคนนั้นแหละ

    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

    -คน.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  18. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เวลากรวดน้ำ ทำไมต้องแตะแขนกัน ? หลวงพ่อฤาษีลิงดำมีคำตอบ !

    เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ คัดลอกมาจากหนังสือ การอุทิศส่วนกุศล โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ ลูกทำสังฆทานให้สัมภเวสี ถ้ากลับไปแล้ว จะกรวดน้ำให้ได้ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : การอุทิศส่วนกุศล ในพระพุทธศาสนานี่ไม่มีน้ำ แต่ว่าที่พระเจ้าพิมพิสารทำเป็นองค์แรก เพราะว่าศาสนาพราหมณ์เขาถือว่าถ้าจะให้อะไรกับใคร ต้องให้คนนั้นแบมือแล้วเอาน้ำราดลงไป และตอนที่พระเจ้าพิมพิสารทำ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ห้ามเพราะเป็นพระเพณีนิยม

    เวลาที่พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนกุศลต้องใช้น้ำ เพราะว่าท่านเพิ่งพบพระพุทธเจ้า ประเพณีของพราหมณ์ยังชินอยู่ แต่ว่าใจท่านตั้งตรง เวลาอุทิศส่วนกุศลจริง ๆ ในพระพุทธศาสนาไม่ต้องใช้น้ำ ผีกับเปรตต้องรีบวิ่งกลับ เพราะไม่ได้กินแน่ เพราะฉันเคยพบมาแล้ว แต่ไม่มีน้ำนะว่า “อิมินา” เพลินไปยังไม่ถึงครึ่งก็มีคน ๒ คน ถือโซ่มาคล้องคอปั๊บลากไปเลยกรวดน้ำ

    ผู้ถาม : มีบางคนเขาบอกว่า “กรวดน้ำแบบแห้ง” ตายไปชาติหน้าจะแห้งแล้งเพราะไม่มีน้ำ โบราณพูดอย่างนี้จะจริงหรือเปล่าคะ ?

    หลวงพ่อ : เขาพูดได้ยินหรือเปล่า ? คนที่พูดมาได้ยินหรือเปล่า ?… คนโบราณพูดอย่างนี้ คนโบราณเขาพูดหรือเปล่า ?… ถ้าได้ยินแสดงว่าเขาพูดจริง แต่ก็ไม่ได้แห้งแล้งจริง การอุทิศส่วนกุศล พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใช้น้ำ ฉันใช้น้ำวันเดียววันบวช ว่าไม่ถูกเลย ฉันไม่เคยใช้น้ำเลยก็เห็นผีได้รับ แต่ชาติหน้าถ้าจะทำอย่างนั้น ถ้าฉันยังไม่ตายก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรนะ ! กินน้ำเกลือเผื่ออยู่แล้ว เผื่อชาติหน้าจะอด !

    ผู้ถาม : อ้อ..มินาล่ะ ! หลวงพ่อถึงให้น้ำเกลือบ่อย ๆ

    หลวงพ่อ : ใช่ ! มีทั้งน้ำสะอาด น้ำเกลือ น้ำหวาน เผื่อไว้ตลอด

    รวมความว่า เวลาจะอุทิศส่วนกุศล ให้ใช้ภาษาไทยสั้น ๆ อย่างทำบุญสังฆทาน เราก็ตั้งใจว่า “การบำเพ็ญกุศลในวันนี้ ผลนี้จะมีแก่ข้าพเจ้าเพียงใด ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่ …(บอกชื่อ)… ขอให้มาโมทนารับผลเช่นเดียวกับข้าพเจ้า” และตอนที่พระสงฆ์ให้พรนี้ ก็ขอให้เจ้าภาพและทุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว ตั้งจิตปราถนาเอาตามประสงค์ สมมติว่าท่านทั้งหลายตั้งใจเพื่อ “พระนิพพาน” อันนี้ก็ต้องเผื่อไว้ด้วยว่าหากสมมติเราตายจากชาตินี้ไปแล้วยังไม่ถึง ซึ่งพระนิพพานเพียงไร สมมติว่าเราตาย ถ้าเราไม่เผื่อไว้ละก็มันจะขลุกขลัก

    ฉะนั้นการอธิษฐานจิต คือตั้งจิตอธิษฐานเขาเรียกว่า “อธิษฐานบารมี” เจริญพระกรรมฐานก็ดี ถวายสังฆทานก็ดี อธิษฐานว่า “ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แต่ทว่าถ้าหากข้าพเจ้าไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด จะเกิดใหม่ไปในชาติใดก็ตาม ขอคำว่า “ไม่มี” จงอย่าปรากฎแก่ข้าพเจ้า” ถ้าเราต้องการอะไรให้มันมีทุกอย่าง จะไม่รวยมากก็ช่าง ! เท่านี้ก็พอแล้ว

    ผู้ถาม : ถ้าทำบุญแล้ว จะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้วเดี๋ยวเดียวมันหายไป ไม่ใช่อย่างนั้นนะ !

    ผู้ถาม : แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ ?

    หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศลนี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม.. ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม

    อย่างเรื่องของพระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้วเจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านมารับบาตรนะ

    ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    “สมมติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม แล้วคบทุกคนก็สว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม ?”

    ท่านอนุรุทธก็บอกว่าไม่ยุบ ! แล้วท่านก็บอกว่า

    “การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์”

    เรื่องของการทำบุญนี้ เวลาทำผู้ที่เป็นเจ้าภาพได้ครบ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย ถ้าผู้นั้นเขาได้มากสักเท่าใดก็ตามทีผลบุญของเราไม่ได้ลดลงเลย แต่ว่าการอุทิศส่วนกุศลมันเป็นผลกำไรของเราอีกทางหนึ่ง คือได้เมตตาบารมี ทีนี้พวกเราก็ขยันให้กันบ่อย ๆ เมตตาบารมี จะได้เต็มเร็วขึ้น

    -ทำไมต้องแตะ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  19. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…นั่งไปเถอะ สว่างก็ได้บุญ มืดก็ได้บุญ…”

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่ธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    -สว่างก็ได้บ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  20. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...