**** นรก

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย สมถะ, 23 กันยายน 2006.

แท็ก: แก้ไข
  1. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    **** นรก
     
  2. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    >>> ขอให้สังเกตให้ดีว่า ในปัจจุบันคนที่มีความเห็นผิดตามในพระสูตรนี้ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน โดยเฉพาะข้อที่ ๙ ที่กล่าวว่า “ผู้ที่ไม่เชื่อว่า โอปปาติกะมี” นับว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิที่ร้ายแรง เพราะผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิข้อนี้จะไม่มีทางเข้าใจหรือยอมรับว่า คนเราตายแล้วจะต้องเกิดอีก และเมื่อไม่ยอมรับหรือไม่เข้าใจในเรื่องนี้ก็ไม่อาจจะเข้าใจเรื่อง “วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป” ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดในอันที่จะทำให้เข้าใจ และยอมรับในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องกฎแห่งกรรม และที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อไม่รู้แจ้งว่า “วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป” ก็ไม่มีทางจะรู้แจ้งอริยสัจได้ ไม่มีทางที่จะเอาชนะกิเลส ไม่มีทางที่จะพ้นทุกข์ได้เลย เพราะฉะนั้นการเรียนรู้เรื่องโอปปาติกะ(กายละเอียด) จนกระทั้งเข้าใจดีและเข้าใจถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ผู้ที่ไม่เชื่อว่า โอปปาติกะมี จึงนับว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิที่ร้ายแรงมาก”



    นรก – สวรรค์ ตามหลักของพระพุทธศาสนามี ๒ อย่าง คือ นรก – สวรรค์ ในโลกนี้ และ นรก – สวรรค์ ในโลกหน้า คือในโลกของโอปปาติกะ(กายละเอียด) เพราะทุกคนที่ยังมีกิเลส เมื่อตายแล้วจะต้องเกิดเป็นโอปปาติกะทันที โลกของโอปปาติกะเป็นโลกที่ใหญ่กว่า กว้างขวางกว่าโลกของมนุษย์หลายร้อยหลายพันเท่า เพราะแม้แต่ในสถานที่ซึ่งไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่เลย แต่พวกโอปปาติกะก็อาศัยอยู่ได้ เช่น ในท้องฟ้า ในมหาสมุทร ในแม่น้ำ ตามภูเขา ตามต้นไม้ พวกโอปปาติกะ(กายละเอียด)ก็อาศัยอยู่ได้ แม้กระทั่งในโลกอื่น ในจักรวาลอื่น เช่นโลกพระจันทร์ก็มีโอปปาติกะอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างนี้เป็นต้น




    >>> ประเด็นที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องหมั่นนึกไว้เสมอ ก็คือ ชีวิตทั้งหลายในสากลจักรวาลนั้นเมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วก็มีเพียง ๒ อย่างเท่านั้น คือ กายเนื้อ(กายหยาบ) กับกายทิพย์(กายละเอียด) ซึ่งคำบาลีเรียกว่า โอฬาริกรูป คือกายหยาบ และสุขุมรูป คือกายละเอียด คำว่า กายทิพย์ (กายละเอียด)นั้นหมายถึง กายเทวดา กายพรหม กายอรูปพรหม หรือแม้แต่พวกสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และพวกสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายที่เป็นพวกโอปปาติกะนั้น ก็เรียกว่าพวกกายทิพย์(กายละเอียด)เหมือนกัน


    ทุกอย่างเกิดจากใจ สำคัญที่ใจ
    คำว่า “ใจ” ในที่นี้หมายถึง “จิต” หรือ “วิญญาณ” หรือ “มโน” ตามหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า


    จิตฺเตน นียติ โลโก จิตฺเตน ปริกสฺสติ
    จิตฺตัสฺส เอกธมฺมสฺส สพฺเพว วสมนฺวคู

    โลกหมุนไปตามจิต วิวัฒนาการไปตามจิต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปตามอำนาจของสิ่งๆ เดียว คือ จิต



    วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ

    วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป



    มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา

    ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จแล้วด้วย ใจ



    พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราเกิดมาจากธาตุ ๖ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ และวิญญาณธาตุ และธาตุทั้ง ๔ ข้างต้น มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มหาภูตรูป ๔ และมหาภูตรูปนั้นมีอยู่ในลักษณะที่เป็นของหยาบ(โอฬาริกรูป) และมีอยู่ในลักษณะที่เป็นรูปละเอียด (สุขุมรูป) พวกโอปปาติกะทั้งหลาย รวมทั้งสิ่งแวดล้อมในโลกของโอปปาติกะทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นมา หรือประกอบขึ้นมาจากสุขุมรูป



    [​IMG]
     
  3. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    >>> อนึ่ง ในโลกของโอปปาติกะก็มีธาตุทั้ง ๔ ซึ่งพุทธศาสนาเรียกว่า มหาภูตรูป เหมือนกันกับธาตุทั้ง ๔ ในโลกมนุษย์ ต่างกันแต่เพียงว่าธาตุทั้ง ๔ ในโลกของโอปปาติกะเป็นธาตุที่ละเอียด เป็นธาตุที่ตามนุษย์มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้



    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ แปลว่า วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามและรูป และอีกแห่งหนึ่งพระองค์ตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ถ้าวิญญาณจักไม่ก้าวลงสู่ท้องของมารดา นามรูปจะพึงเกิดในท้องของมารดาได้หรือ?” พระอานนท์ก็ได้ทูลตอบว่า “มิได้พระพุทธเจ้าข้า” ครั้นแล้วพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า “เพราะเหตุนี้แล เราตถาคตจึงได้กล่าวว่า วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป”



    พระพุทธเจ้าทรงรู้จักวิญญาณ ในฐานะเป็นสิ่งธรรมดาอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ และการที่พระองค์ทรงเรียกสิ่งนี้ว่า “วิญญาณ” ก็เพราะบรรดาปรากฏการณ์ต่างๆ เท่าที่มีอยู่ในโลกนี้หรือในโลกไหนก็ตาม มีอยู่สิ่งเดียวนี้เท่านั้น ที่สามารถจะรู้สิ่งต่างๆ ได้ และสามารถที่จะมีปรากฏการณ์ต่างๆ ออกมาเป็นการเห็น การได้ยิน การรู้สึกกลิ่น การรู้สึกรส การรู้สึกสัมผัสและความนึกคิดต่างๆ ก็เพราะ วิญญาณ ตาเห็น ก็คือวิญญาณเห็น หูได้ยิน ก็คือวิญญาณได้ยิน จมูกรู้สึกกลิ่น ก็คือวิญญาณรู้สึกกลิ่น ลิ้นรู้สึกรส ก็คือวิญญาณรู้สึกรส กายรู้สึกสัมผัส ก็คือวิญญาณรู้สึกสัมผัส สมองนึกคิดก็คือวิญญาณนึกคิด คำว่า วิญญาณมาจากคำว่า วิ + ญาณ วิ แปลว่า ต่างๆ ญาณ แปลว่า รู้ และคำนี้ ถ้าจะเรียกให้เต็มก็เรียกว่า วิญญาณธาตุ ซึ่งแปลว่า ธาตุที่สามารถจะรู้อะไรได้ต่างๆ



    มีความเข้าใจผิดติดสันดานกันมานานแล้วว่า วิญญาณก็คือ “ผี” ถ้าใครเห็นคนที่ตายไปแล้วมาปรากฏก็พูดกันว่าเห็น วิญญาณ ซึ่งความจริงร่างที่มาปรากฏให้เห็นนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเรียกว่า วิญญาณ แต่ทรงเรียกว่า โอปปาติกะ(กายละเอียด)

    *****************************************

    [​IMG]


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2006

แชร์หน้านี้

Loading...