นิทานขี้โม้ by SAMA

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย วงกรตน้ำ, 5 สิงหาคม 2017.

  1. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    แวะมาขอบคุณนะคะ ที่ให้กำลังใจในความรักของหนูมน (ฮ่าๆๆๆๆ)
    รู้สึกเป็นปลื้มจังที่ได้ข้อเสนอแนะมาอะค่ะ:p:p:p

    จริงๆ หนุมนก็ไม่ทราบหรอกค่ะ ว่าต่อไปหนูมนจะก่อกำเนิดเป็นตัวอีหยัง ?
    รู้แต่ว่าต้อง ปฎิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ ก็ยังดีกว่าจะไม่ได้ทำเลย

    ไปอ่านประวัติของท่านพระอินทร์มา โอ้ววว เจ้าชู้มากกก 555555:cool:

    อันนี้ไม่รู้อะค่ะ ก็ไม่รู้ประวัติหรอก เอ้า พูดจริงๆค่ะ ก็แค่ฝันอะนะอย่าว่ากันเลย
    ถ้าท่านไม่มีอะไรดีเลยจะไปเป็นหัวหน้าเทวดา และมีชายาเยอะๆได้ไง ก็คงมีดีบ้างล่ะนะ อิอิ

    ก็ไม่น่าจะได้เกิดเป็น นางฟ้า หรอกหนา เห็นผู้หญิงอยากเกิดเป็น เจ้าหญิง เป็นนางฟ้า อะไรที่เลิศเลอเพอเฟค เดี๋ยวนี้ ลงเกาหลีก็เป็นอัปสรเดินดินกันได้ละ (5555) เอาเป็นว่า ขอให้ครบ สามสิบสอง เกิดเพศไหนก็ตรงเพศนั้นอะค่ะ :D:D:D

    เอาประวัติ ชายาพระอินทร์มาลงมั้งดีฝ่า อย่าเอาแต่โม้ แหม !!!! ขุดๆๆๆๆๆๆ อิอิ:D:D:D
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,618
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    ทราบมาว่าท่านทั้งสองจะเข้านิพพานอีกไม่นานค่ะ ท่านรอเก็บลูกหลานอยู่อีกหน่อย:);):cool:
     
  3. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    สุชาดา อสูรกัญญา

    1418623105-Suchada-o.jpg


    ท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ มีพระชายาทั้งหมด ๔ องค์ แต่มีพระชายาองค์หนึ่งที่อยู่เคียงข้างท้าวสักกเทวราชตลอดเวลา พระชายาองค์นี้เป็นอสูรกัญญา เป็นธิดาของท้าวเวปจิตติอสูร ศัตรูของพระองค์เอง
    อสูรกัญญาผู้เป็นชายาท้าวสักกเทวราชองค์นี้ คือ พระนางสุชาดาเทพนารี
    พระนางสุชาดาเป็นคู่บุญบารมีท้าวสักกเทวราชตั้งแต่ครั้งเกิดเป็น มฆมาณพ ครั้งนั้น มฆมาณพ มีภรรยา ๔ คน คือ นางสุธรรมา นางสุนันทา นางสุจิตรา และนางสุชาดา ในบรรดาภรรยาทั้งหลายนั้น นางสุชาดา นับว่าเป็นภริยาที่สวยที่สุด มฆมาณพรักที่สุด ที่สำคัญคือนางเป็นภริยาหลวง เป็นใหญ่กว่าภริยาทุกคน (ที่เขาเล่ากันมักจะบอกว่านางสุชาดาเป็นภรรยาน้อย แต่ในคัมภีร์บอกว่าเป็นภรรยาใหญ่)
    ในขณะที่มฆมาณพร่วมกับสหายทำกุศลสาธารณะเป็นอันมากนั้น ภรรยาอีก ๓ คนก็พยายามมีส่วนร่วมในการสร้างกุศลกรรมร่วมกับสามีด้วย คือ นางสุธรรมาแอบไปติดสินบนช่างไม้จนได้ร่วมสร้างช่อฟ้าประดับศาลา นางสุนันทาสร้างสระน้ำไว้ให้คนใช้ดื่มและอาบ นางสุจิตราสร้างสวนดอกไม้ไว้ให้คนประดับกายเมื่ออาบน้ำเสร็จ
    มีเพียงนางสุชาดาผู้เดียวที่ไม่ได้คิดสร้างกุศลสิ่งใด วันๆ เอาแต่งหน้าตาปากให้สวยงามเอาใจสามี เมื่อมฆมาณพเตือนให้นางสร้างกุศลเหมือนภรรยาคนอื่นๆ บ้าง นางก็อ้างว่ามฆมาณพทำแล้ว เมื่อสามีทำก็เหมือนภรรยาได้ทำด้วย กุศลใดที่สามีได้รับนางผู้เป็นภรรยาย่อมได้รับด้วย

    ดังนั้น เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วภรรยาอื่น ๓ คน คือ นางสุธรรมา นางสุนันทา และนางสุจิตรา จึงพร้อมหน้าพร้อมตาไปอุบัติเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เป็นชายาของท้าวสักกเทวราชอีกครั้งหนึ่ง
    ส่วนนางสุชาดาผู้เห็นผิดเป็นชอบ และมีมิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้ไปเกิดในสวรรค์ ด้วยบุรพกรรมของนางสุชาดาที่รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว แต่งหน้าให้ขาว ทาปากสีแดง แต่บุญกุศลไม่ทำ นางจึงไปเกิดเป็นนกกระยางขาว คอยาว ปากแดง มีจงอยปากยื่นยาว เที่ยวจับปลากินอยู่ในลำห้วยลำธารที่ซอกเขา

    วันหนึ่ง ขณะที่ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ทองท่ามกลางเทพธิดา ๒๕ โกฏิ ท้าวสักกเทวราชทรงใคร่ครวญว่าภริยาและบาทบริจาริกาของพระองค์นั้น บัดนี้ต่างมาเกิดในดาวดึงส์สวรรค์กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว แล้วนางสุชาดาภริยาคนสวยนั้นเล่าไปอยู่ที่ไหน
    พระองค์ทรงใช้ทิพย์เนตรตรวจดู ก็เห็นนางสุชาดาไปเกิดเป็นนกกระยาง หากินปลาอยู่ในลำธารที่ซอกเขา พระองค์จึงเสด็จไปหา
    นางนกกระยางเห็นท้าวสักกเทวราชก็จำได้ จึงก้มหน้าด้วยความอับอาย
    ท้าวสักกเทวราชตรัสสั่งสอนนางนกกระยางว่า ในอดีตพระองค์ให้ทำบุญก็ไม่ทำจึงต้องมารับกรรมเช่นนี้ แต่ด้วยความเมตตา ท้าวสักกเทวราชจึงได้นำนางนกกระยางไปปล่อยไว้ในสระนันทาโบกขรณีในดาวดึงส์

    ฝ่ายเทพธิดาทั้งหลายนั้น ในอดีตก็เคยเป็นลูกน้องบริวารของมฆมาณพและนางสุชาดามาก่อน เมื่อรู้ว่านางสุชาดาไปเกิดเป็นนางนกกระยาง และท้าวสักกเทวราชพามาปล่อยไว้ในสระโบกขรณี ต่างองค์ต่างก็มาดูอดีตนายหญิงของตน
    นางเทพธิดาทั้งหลายพอเห็นนางนกกระยางก็พากันหัวเราะ วิจารณ์ว่า ดูซิพวกเรา ปากแม่เจ้าแหลมยาวอย่างกับหลาวแทงปู
    นางนกกระยางได้ฟังก็อับอาย ทูลท้าวสักกเทวราชขอกลับไปอยู่ในซอกเขาตามเดิม ท้าวสักกเทวราชจึงพานางมาส่ง แต่ได้กำชับให้นางรักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะศีลข้อที่หนึ่ง แล้วพระองค์จะให้นางกลับเป็นใหญ่เหนือทุกคน ซึ่งนางนกก็ให้สัจจะ รับคำอย่างหนักแน่นมั่นคง
    ตั้งแต่นั้นมา นางนกกระยางก็เลือกจับเฉพาะปลาตายกินเป็นอาหาร แม้จะอดๆ อยากๆ หลายวันจึงจะได้กินปลาตายสักตัว นางก็อุตส่าห์อดทน

    วันหนึ่ง ท้าวสักกะปรารถนาจะลองใจนาง จึงจำแลงองค์เป็นปลาตายลอยน้ำมา เมื่อนางนกเห็นเข้าก็ดีใจ ใช้จะงอยปากคาบปลานั้น พอจะกลืนลงท้อง ปลาจำแลงก็กระดิกตัวขึ้น นางนกกระยางตกใจกลัวศีลจะขาด รีบคายปากปล่อยปลานั้นลงน้ำไป ท้าวสักกเทวราชทรงปลาบปลื้มยินดี อนุโมทนากับนางนก แล้วเสด็จกลับไป
    นางนกกระยางใช้ชีวิตอยู่อย่างอดอยากถึง ๕๐๐ ปี จึงสิ้นชีวิตลง ด้วยอานิสงส์แห่งการรักษาศีลอย่างเคร่งครัด นางจึงได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง เป็นธิดาในเรือนช่างปั้นหม้อในนครพาราณสี

    นครพาราณสีในครั้งนั้นเป็นช่วงที่ศาสนาอันตรธานไปนานแล้ว แม้ศีล ๕ ก็ยังหาคนรักษาได้ยาก มีแต่นางสุชาดาธิดาช่างปั้นหม้อเท่านั้นที่รักษาศีล ๕ ได้อย่างเคร่งครัด
    วันหนึ่ง ท้าวสักกเทวราชจำแลงเพศเป็นคนแก่ เนรมิตฟักทองทองคำบรรทุกยานน้อยเข้าไปในหมู่บ้าน ร้องประกาศว่าหากใครเป็นผู้รักษาศีลก็จงมารับฟักทองไป พวกชาวบ้านก็จนปัญญาเพราะไม่รู้ว่าศีลคืออะไร
    ฝ่ายนางสุชาดาคิดว่าตัวเองเป็นผู้รักษาศีล ฟักทองทองคำนี้คงนำมาเพื่อตนเป็นแน่ นางจึงไปหาชายชราจำแลง ไปขอรับฟักทอง ชายชราจำแลงซักถามทบทวนศีลกับนางจนมั่นใจจึงยกฟักทองคำให้ จากนั้นนางก็รักษาศีลต่อจนสิ้นชีวิต
    ด้วยอานิสงส์ของการรักษาศีล เมื่อสิ้นชีวิตอีกครั้ง นางสุชาดาจึงไปอุบัติเป็นธิดาของท้าวเวปจิตติอสูร จอมอสูรแห่งอสูรพิภพ

    ท้าวเวปจิตติดำริจะทำวิวาหมงคลให้ธิดาสาว จึงป่าวประกาศให้พวกอสูรมาประชุมกันเพื่อให้ธิดาเลือก
    ฝ่ายท้าวสักกเทวราชทรงตรวจดูว่าบัดนี้นางสุชาดาไปเกิดที่ไหนหนอ พบว่านางไปอุบัติเป็นอสูรกัญญาในพิภพอสูรแล้วและวันนี้นางกำลังจะเลือกคู่ พระองค์จึงเนรมิตกายเป็นอสูรผู้เฒ่า ไปประทับยืนอยู่ท้ายแถวอสูรทั้งหลาย
    เมื่อถึงเวลาเลือกคู่ครอง ท้าวเวปจิตติก็บอกธิดาให้เลือกคู่ได้ตามปรารถนา โดยการนำพวงมาลัยไปคล้องอสูรที่นางชอบใจ
    นางสุชาดาอสูรกัญญาชายตามองไปยังเหล่าอสูร ด้วยบุพเพสันนิวาสที่เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน เมื่อเห็นอสูรเฒ่า นางอสูรกัญญาก็หลงรักซัดพวงมาลัยไปให้ อสูรเฒ่าจึงรีบเข้ามาคว้าจับแขนนางพาเหาะหนีไป พร้อมประกาศว่าเราคือท้าวสักกเทวราช
    ฝ่ายพวกอสูรพอรู้ว่าท้าวสักกเทวราชจำแลงกายเป็นอสูรเฒ่า มาชิงนางอสูรกัญญาไปเสียแล้ว จึงรีบพากันไล่ตาม และร้องตะโกนบอกพวกอสูรด้วยกันให้รีบมาช่วยกันชิงตัวนางสุชาดากลับคืนมาให้ได้ อย่าปล่อยให้นางตกไปเป็นของศัตรู
    ท้าวสักกเทวราชพานางสุชาดามาได้ครึ่งทาง ได้ขึ้นราชรถเทียมม้าสินธพพันหนึ่งที่มาตลีเทพบุตรจอดรออยู่ควบขับหนีกลับเทพนคร ครั้นเมื่อราชรถควบผ่านสิมพลีวันอันเป็นที่อยู่ของพญาครุฑ ลูกพญาครุฑได้ยินเสียงฝีเท้าม้าสินธพก็ตกใจร้องด้วยความกลัวตาย ท้าวสักกเทวราชจึงรับสั่งให้มาตลีเทพบุตรชักราชรถกลับเพราะมีเมตตาไม่ต้องการให้ลูกครุฑตกใจ
    พอมาตลีเทพบุตรชักราชรถกลับมา พวกอสูรก็พากันตกใจ คิดว่าท้าวสักกเทวราชได้กองทัพเทวดามาช่วยแล้ว จึงแตกกระเจิงหนีกลับอสูรพิภพปล่อยให้ท้าวสักกะพานางอสูรกัญญากลับดาวดึงส์ไปจนได้
    ฝ่ายท้าวเวปจิตติอสูร ตรัสถามบรรดาอสูรที่กลับมาว่าใครพาธิดาของเราไป พอรู้ว่าเป็นท้าวสักกเทวราช ดำริว่าท้าวสักกเทวราชเป็นผู้ประเสริฐสุดเหนือใครในสวรรค์นี้แล้ว แม้ลูกเขยจะเป็นศัตรูกันแต่ก็เป็นถึงจอมเทพ คิดแล้วจอมอสูรก็แอบพอใจอยู่ลึกๆ จึงเงียบเฉยเสีย

    เมื่อกลับถึงดาวดึงส์ ท้าวสักกเทวราชก็ทรงแต่งตั้งให้นางสุชาดาอสูรกัญญาเป็นพระชายา ให้เป็นเทวีหัวหน้านางฟ้อน ๒.๕ โกฏิ
    ฝ่ายพระนางสุชาดาได้กราบทูลขอพรองค์เทพว่า

    “ข้าแต่มหาราช ในเทวโลกนี้หม่อมฉันเป็นเหมือนกำพร้า ไม่มีบิดา มารดา หรือพี่น้องหญิงชาย เมื่อพระองค์เสด็จไปที่ใด โปรดพาหม่อมฉันไปกับพระองค์ด้วยเถิด”

    ท้าวสักกเทวราชทรงประทานพรให้ ตั้งแต่นั้นมาพระนางสุชาดาจึงเป็นพระชายาที่ได้อยู่เคียงข้างท้าวสักกเทวราชตลอดมา

    นับตั้งแต่นั้นสงครามระหว่างเทวดากับอสูรก็ค่อยๆ เลิกรากันไป เพราะจอมอสูรกับจอมเทพกลับกลายมาเป็นพ่อตาลูกเขยกันไปแล้ว

    เครดิต เอามาจาก บล้อกคุณอังคารค่ะ ^^ ไปอ่านเเล้วรู้เรื่องพระอินทร์สุดที่รักของหนูมนเยอะเเยะเลย 55555
    https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=dhamma-dd&month=12-2009&date=08&group=8&gblog=20

    ปล. หนูมนคงยากมากกกกก ค่ะ กว่าจะอาจเอื้อมไปเป็นนางเล็กนางน้อยในสังกัดท่านท้าวสักกะ ในดาวดึงส์ นั้นหนาค่ะ เพราะว่า หน้าตาชาตินี้ก็ไม่ให้ หุ่นก็ไม่เซ็กซี่ขยี้ใจ (?) บุญมีมั้ง (แหะๆ) นิสัยก็นะ ดีมั้ง น่าตีมั้งตามประสาอะค่ะ

    ก็เอาเป็นว่า ตอนเป็นคน เรารักท่านได้ไม่แปลกนี้ค่ะ 5555555
    ป่านนี้พระอินทร์ ท่านนอนบรรทม คงสะดุ้งโหยงๆ ละ อิอิ

    6c34f0e225e96c730b04bc05674a6fdc.jpg
     
  4. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    แปลกจังค่ะ :(

    ทำไมหนูมน รู้เหมือนกันอ่า ว่าท่านจะไป นิพพานแล้ว.... ? คือแต่ไม่รู้ว่ารู้ได้ไงอะค่ะ คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก o_Oo_Oo_O คือ จะรู้สึกว่าท่าน จะไม่อยู่แล้วนะ แค่นั้นอะค่ะ ...

    ขอบคุณที่แวะมานะคะ ;)
     
  5. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578

    ใช่แล้วค่ะ หนูมนไม่รู้ว่า เป้นฝันหรือ อุปทาน รู้แต่ว่าช่วงนั้น เรื่องภายนอกในชีวิตจริงนั้น หนักหนาสาหัส กับจิตใจหนูมนมาก คือ ไม่น่าจะฝันคนละขั้วขนาดนั้น ปกติจะฝันร้ายมากกว่า ถ้าคิดมากน่ะค่ะ

    เอาเป็นว่า ถือว่ามีบุญละกันค่ะ อิอิ ไม่คิดเยอะดี เพราะคิดเยอะๆมาเยอะเเละ แหะแหะ
    คือ ถ้าดาวหางชนโลก สมมติหนูมนตายเลย ภาพพระอินทร์ในฝันนั้นที่ท่านได้ร่ายรำให้หนูมนได้เห็น และ หนูมนได้กราบที่ตักท่าน วุ้ยย ติดตา ไปก่อนตายแน่ๆเลยอะค่ะ ก็ถือว่าถ้าตายก็ตายแบบแฮปปี้ ที่เห็นองค์อินทร์งามนัก ^^
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,618
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    คนจะงามงามใจใช่ใบหน้า คนจะสวยกิริยาใช่ตาหวาน เอ่อ เอาเป็นว่าหนูมนงามที่ใจก็แล้วกัน อิอิ จะว่าไปแล้วก็นึกถึงนาง"ปัญจปาปา" แสนอัปลักษณ์ก็มีพระราชาแย่งกันเพื่อเป็นมเหษีไปขุดต่อเอาเองค่ะ:):)
     
  7. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    :D:D

    สัจจะอธิษฐานนี้ รุนแรงค่ะ
    เกิดมาแค่ 1.6 กก คลอดก่อนกำหนด คุณแม่ คลอด 6เดือนครึ่ง ยังบึกบึนแข็งแรงมาได้ซะป่านนี้:D

    เป็นสตรีตัวเล็กมาหลายชาติ โดนรังแกมาก็มาก ที่จดจำได้แม่นๆ ก็คือ การถวายดอกไม้สด และเครื่องหอมเป็นพุทธบูชา
    จึงยอมรับว่า อานิสงส์นี้มีผลข้ามภพข้ามชาติทีเดียว ....

    “หากเป็นบุรุษขอจุติเพศสมณะ หากหนี้เวรมีมากต้องชำระ ขอข้านี้เป็นสตรีที่มีกายา แข็งแรง มิมีบุรุษใดหาญกล้ามาย่ำยี เป็นผู้มีปัญญา และเสมอด้วยรูปทรัพย์คามแต่บุญกรรมที่สร้างมา ไม่พิการ ครบสามสิบสองประการด้วยเทอญ ..”

    :confused::confused::confused:

    อยากรู้ การถวายดอกไม้สด และเทียนหอม อย่างประณีตและตั้งใจ มีอานิสงส์ขนาดไหน เอาเป็นว่า ....

    “หน้าไม่เป็นสิว ไม่เป็นฝ้า ดวงตาสดใส ไม่มีหน้าตาพิการ เป็นผู้มีผิวพรรณดี (ไม่ส่าจะผิวสีอะไร ผิวจะเงาจะเนียน จะผ่อง) วรรณะงาม รูปทรงงาม ไม่น่ารังเกียจ ไม่มีกลิ่นสาป เป็นที่รักใคร่ทั้งมนุษย์และเทวดา ยิ่งรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ จะยิ่งมีสง่าราศี ออร่านั้นเอง ^^”

    สาธุ อนุโมทนามิ เจ้าค่ะ :D
     
  8. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    พญาครุฑ:


    ตามตำนานที่เคยอ่านกันมา พญาครุฑที่ไปฉกน้ำอำมฤตมีอยู่ตนเดียว สู้แพ้พระนารายณ์จนต้องมาเป็นพาหนะให้ขี่ ก็ไม่ได้สนใจอะไรกันนัก แตกต่างจากพญานาคที่มีจำนวนมากหน้าหลายตากว่า
    เมื่อหลายปีก่อนก็บังเอิญได้ไปงานไหว้ครูที่วัดแห่งหนึ่ง ท่านพระครูเจ้าอาวาสทำพิธี ก็มีครุฑมากระพือปีกเหนือตัวท่าน จนเสียงดังออกลำโพง มองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เห็นครุฑอีกหลายตน บินวนไปเวียนมา ทำให้นึกสงสัยขึ้นมาว่า อ้าว...ครุฑก็มีหลายตนเหรอ? แล้วเมียครุฑ ลูกครุฑ เป็นยังไง เกิดมาจากไหน? ประสาคนช่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้สนใจ เพราะขี้เกียจแล้ว การไปยุ่งเรื่องชาวบ้านไม่ใช่สาระในการปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด ใครเขาจะอะไรก็ช่างเขา ดูจิตดูใจเราดีกว่า... จนเมื่อเวลาผ่านไป การดูจิตดูใจของตนเองก็ไม่ได้จะทำให้เลวน้อยลงสักเท่าไร จึงมีโอกาสแวะเวียนไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านสักเล็กน้อย พอจะได้เอามาเล่าเป็นนิทานขี้โม้
    ปกติสำหรับพวกเราแล้วเวลาจะไปไหนมาไหนก็จะกราบพระก่อนขอบารมีองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นประธาน ครูบาอาจารย์ หลวงปู่หลวงพ่อ พรหมเทวดา เราก็กราบด้วยความเคารพ ขอบารมีสงเคราะห์คุ้มครองไม่ให้เกิดอันตรายระหว่างการฝึกปฏิบัติ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามปกติจะไปที่ไหนก็จะปรากฏกายที่นั่นได้เลย แต่ว่าครั้งนี้ขอไปแบบค่อยๆไป เพราะว่าสงสัยเหมือนกันว่า พญาครุฑท่านพำนักอยู่ที่ไหน ถ้าจะไปหาทีหน้าทีหลังจะไปยังไงได้บ้าง
    ก็หันหน้าไปทางทิศตะวันออกพุ่งออกไปเรื่อยๆ ก่อนถึงทางสามแยก ทางซ้ายมือก็จะเจอภูเขาสูงเสียดฟ้า มองมาทางพื้นล่างจะเห็นเหมือนเป็นป่า มีพวกคนธรรณ์ ที่หน้าตาก็จะเหมือนคน มีทั้งชาย หญิง เด็ก คนแก่ พอมองขึ้นไปที่ยอดเขา ก็เห็นถ้ำอยู่ไกลๆ มีความสว่างไสวดี ไปถึงหน้าถ้ำ ขอเรียกว่าถ้ำก็แล้วกันเพราะไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี มีลานกว้างๆด้านหน้า อากาศก็ขมุกขมัว เหมือนมีเมฆ มีหมอก ปกคลุม หรือว่าเป็นเพราะทิพยจักขุญาณของเรามันห่วยแตกก็เป็นได้ หันไปเจอหลวงพ่อท่านก็บอกว่า ทิพยจักขุญาณของปุถุชนผู้ทรงฌานจะมองอะไรแทบไม่เห็น ได้เพียงความรู้สึก แต่สำหรับแก แกอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงสามารถเห็นได้ชัดเจนแบบนี้ บรรยากาศมันเป็นแบบนี้เองขมุกขมัว ไม่ใช่ทิพยจักขุญาน ห่วยแตกอย่างที่เข้าใจ

    มีครูบาอาจารย์ฉลาดก็ดีแบบนี้เองครับ เพราะถ้าขืนใช้กำลังตัวเอง ฝึกไปอีกแสนชาติก็คงจะไม่ไปถึงไหน ไม่รู้ไม่เห็นอะไรได้เลย ที่ลานกว้างหน้าถ้ำก็เห็นพญาครุฑหลายตนยืนอยู่ ที่องค์สูงใหญ่มาก ร่างกายเป็นสีทอง ปีกเป็นสีทองทั้งหมด สวยงามมาก หลังจากสวัสดีทักทายกันแล้วท่านก็เชิญเข้าไปดูในถ้ำ พอผ่านถ้ำเข้าไป พญาครุฑท่านก็กลายร่างเป็นคน รูปร่างสูงใหญ่สันทัด หน้าตาเข้ม ผิวสีเข้ม แล้วก็เห็นลูกแก้วลูกใหญ่ๆ ท่านถืออยู่ในมือข้างขวา ท่านก็คงจะรู้ว่าเราคิดอะไร ถึงได้ตอบว่า ไม่ใช่แต่พญานาคที่มีลูกแก้วนะครับ พวกกระผมก็มีลูกแก้วเหมือนกัน แก้วที่ผมใหญ่กว่า มีอำนาจ พลานุภาพเหนือกว่า ดูแล้วก็ไม่ได้เถียงอะไรครับ เพราะเรื่องลูกแก้วผมไม่ค่อยมีความรู้ เป็นอันรู้แค่ว่า พญาครุฑท่านก็มีลูกแก้วของท่านเช่นกัน ที่จริงตั้งใจว่าจะเล่าให้จบในคราเดียว แต่ร่างกายไม่ค่อยจะเอื้ออำนวย ก็ต้องขอไปต่อครั้งหน้านะครับ วันนี้ร่างกายยังเจ็บระบมอยู่หน่อย
     
  9. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432

    พญาครุฑ (ตอนที่2)
    :

    CIMG4951.jpg

    จากลานกว้าง ซึ่งอยู่ค่อนๆไปทางจะยอดเขานั้น ท่านพญาครุฑก็พอเดินเข้าไปที่ปากถ้ำ มีขนาดกว้างใหญ่มาก มีแสงสว่างจ้า ออกมาถึงปากถ้ำ เดินเข้าไปก็จะเห็น พระพุทธรูป ปางสีหไสยาสตร์ หันพระพักต์ออกมาทางหน้าถ้ำ พระศกมีสีดำ ส่วนองค์ทั้งองค์เป็นทองคำเหลืองอร่ามสว่างไสว องค์ใหญ่มาก เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ความสูงเราอยู่เพียงไม่ถึงกึ่งกลางพระโอษฐ์ขององค์พระพุทธรูป ใจก็นึกสงสัยว่าทำไมต้องเป็นพระพุทธรูปปางสีหไสยาสตร์ ก็ทราบว่า มีความเกี่ยวข้องกับพระราหู ทราบเพียงเท่านี้ แต่ว่าจะเกี่ยวข้องกันอย่างไร ก็ไม่ได้ถามต่อ เป็นอันว่า อยากทราบว่า ทำบุญอย่างไรจะได้มาเกิดเป็นพญาครุฑ
    เรื่องบุพเพนิวาสนุสติญาณ ก็ต้องกราบทูลถามพระ ถามหลวงพ่อ ก็ทราบว่า ครุฑพวกนี้ เมื่อครั้งยังเกิดเป็นมนุษย์ ในสมัยที่พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่นั้น เป็นผู้สนใจในการเข้าวัดทำบุญ มีจิตปรารถนาในด้านฤทธิ์ เป็นคนมีความจริงจัง เคร่งครัด รักในพระพุทธศาสนา มีความหวงแหน เวลามีเทศกาลงานบุญใดๆท่านเหล่านี้เต็มใจไปร่วมด้วย แต่ด้วยความเป็นคนจริงจังเคร่งครัด พอเห็นใครทำกริยาไม่ถูกต้องไม่สมควรจะเข้าไปดุไปว่า บางทีก็ด่าไปตรงๆ หน้าตาก็แสดงออกถึงความไม่พอใจ ขึงขัง คือความจริงแล้ว ท่านเหล่านี้เจตนาดีต่อพระพุทธศาสนา ต่อคนที่จะเข้ามาวัดทำบุญ แต่ทนเห็นคนที่เข้าวัดมาแล้วทำตัวรุ่มๆร่ามๆ ไม่รู้กาลเทศะ ท่านทนดูไม่ได้ ถ้าเป็นพญานาคนี่ท่านจะถลึงตาใส่ มีความโกรธไม่พอใจอยู่ แต่พญาครุฑนี่จะออกปากดุด่าว่ากล่าวกันเลย ผลกรรมนี้เมื่อตายลงไปแล้ว จึงมาเกิดเป็นพญาครุฑ มีปากเป็นจะงอยงุ้ม ดวงตาถลนโปนดุดัน แต่ด้วยผลบุญที่ท่านทำมาจึงมีความเป็นทิพย์และมีฤทธิ์มาก มีอายุยืนนาน
    วรรณะของพญาครุฑที่เห็นมีความแตกต่างกัน จริงๆแล้วก็ไม่เคยสนใจในเรื่องเหล่านี้เลย แล้วก็ไม่ได้ไปอ่านจากตำราที่ไหน เอาเป็นว่าท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็ขอให้เข้าใจว่า นี่เป็นนิทานขี้โม้ อย่าเอาเป็นสาระจริงจัง อ่านเอาสนุกสนาน คิดเสียว่าคนบ้าเล่านิทานขี้โม้ก็แล้วกันนะครับ ท่านผู้เป็นใหญ่ที่นี้จะมีกายเป็นแก้วผสมทองคำ มีความเป็นประกายแวววาวสวยงาม มีใจเมตตา เอ็นดู ยังนึกเสียดายว่าถ้าท่านไม่พลาดท่าไปเสียก่อน ป่านนี้ด้วยคุณธรรมที่ท่านมี ฌานที่ท่านทรงได้นั้น สมควรจะไปเกิดบนชั้นพรหมโลกแล้ว มองผ่านไปอีกหลายท่าน ร่างกายเป็นสีทองเหลืองอร่ามไปทั้งองค์ ถัดไปจะเห็นพญาครุฑที่ร่างกายเป็นสีแดงดั่งเปลวไฟ ตาแดงก่ำ ในมือยังถืออาวุธ มีค้อนใหญ่บ้าง กระบองใหญ่บ้าง แตกต่างกันไป ท่านเหล่านี้โมโหง่าย ไม่ควรจะไปล้อเล่นด้วย ถัดไปไกลๆก็จะเห็นพญาครุฑที่ร่างกายเป็นสีเขียวเข้มจนเกือบดำ ในตาเป็นสีดำ ถัดไปอีกจะเป็นพญาครุฑที่สีดำสนิท ซึ่งก็ไม่น่าไปล้อเล่นด้วยอีกเช่นกัน

    แทบไม่ทันจะถามก็ได้คำตอบว่า แกเคยเกิดมาเป็นครุฑแล้วเช่นกัน จากนั้นก็ให้สงสัยว่า แล้วครุฑมีเมียไหม มีลูกหรือเปล่า ออกลูกเป็นไข่หรือว่าเป็นตัว เห็นพญานาคยังลือกันว่ามีไข่ แล้วเอาไข่พญานาคมาเร่ขายกัน ดูช่างน่าเห็นใจนัก อันนี้ก็ล้อเล่นนะครับ แต่ก็หวุดหวิดจะโดนด่า เป็นอันว่า พญาครุฑที่เป็นผู้หญิงท่านก็มีเหมือนกัน ไม่ได้เปลื้องผ้าเปลือยอก เหมือนอย่างรูปนางฟ้าข้างถุงกระดาษโชคดีหรอกนะ ท่านก็มีชุดใส่ปกปิดอวัยวะซ่อนเร้นอย่างดี หน้าตาเข้ม ดุดัน ล้อเล่นไม่ได้อีกเช่นกัน ที่นี่ดูแล้วทุกอย่างจะจริงจังไปเสียหมด การเกิดขึ้นของพญาครุฑนั้นท่านว่าอุบัติขึ้นเลย ไม่ได้มีการวางไข่ ฟักไข่ เหมือนไก่เหมือนนก ครุฑเด็กจึงไม่มีให้เห็น จะเห็นมีก็เป็นครุฑหนุ่มสาว ผู้ใหญ่แล้ว แต่แก่ๆหง่อมๆก็ไม่เห็นมี มองจากที่ลานหน้าปากถ้ำไปแล้ว จำนวนพญาครุฑมีมากมายกว่าที่เคยเดาเอาไว้ว่าคงมีไม่กี่ตน ดูไปแล้วจะหลายหมื่นตนด้วยกัน อยู่นานไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร ก็กราบลาทุกท่าน แล้วก็กราบขอขมา พระผู้มีพระภาคเจ้า หลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ หากข้าพเจ้าประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินอันใดไม่สมควร ก็กล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัย เสร็จก็กราบลา กลับ... ไม่จำเป็นอะไรคงจะไม่แวะมาอีกน่ะครับ...ก็เป็นอันว่าขอจบเรื่องเล่าพญาครุฑประสานิทานขี้โม้เอาไว้แต่เพียงเท่านี้ สวัสดี
     
  10. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    บังเอิญในสามโลก มาลงเรื่องพญาครุฑ 555555

    ใช่ค่ะ พญาครุฑ ท่านมีลูกแก้ว นึกว่าหนูมล เพ้อเจ้อซะอีกง่ะ มีคนรู้จักด้วย

    ถึงท่านพี่พญาเวนไตย
    อยู่บนนั้นก็ดีแล้วเพคะ ไม่ได้เป็นครุฑก็ดีแล้วค่ะ
    เป็นเทพบุตรอ่านพระไตรปิฎก น้องอนุโมทนาสาธุ
    ขอบคุณค่ะที่ทำทุกอย่าง พยายามแล้วพยายามอีก
    แต่มนุษย์อย่างมล โง่ค่ะ โง่แล้วอวดฉลาด
    ท่านพี่เสวยทิพยสมบัติวิมานบนชั้นที่สูงกว่าจาตุงมหาราชิกา ถ้าตัวน้องไม่อัลไซเมอร์ หรือละเมอไปที่อื่น จะตามไปนะคะ ตอนนี้ อาการน่าเป็นห่วงมากๆค่ะ จะปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นะเจ้าคะ

    รักสุดใจ กราบแทบเท้า

    นากามณี

    ปล อดีตไม่สำคัญ ปัจจุบันฉันรักเธอ อนาคตฉันอาจละเมอ ถ้าเธอไม่ทิ้งกันก่อนกลางทางฝ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2017
  11. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578

    แวะไปอีกสิคะ ยินดีต้อนรับ :D:D:D
    ไม่ดุหรอก ใจดี ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆ เก้กหน้าไปอย่างนั้นล่ะ

    หนึ่งในของขวัญจากฟากฟ้าค่ะ สาธุ
    ฟรี !!!! 1C373116-C685-4EB8-ACE8-F9D94C4905AB.jpeg
     
  12. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ผีปอบหรือผีกะ :

    in_disguise_by_natalieshau-d4h8gjq.jpg
    ปกติผมเป็นคนกลัวผีมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ไม่ค่อยชอบยุ่งกับผีสางคางแดงสักเท่าไร จะมีจริงไม่มีจริงก็ไม่อยากยุ่งด้วย แต่ว่าในสมาธิแล้วก็จะรู้สึกเฉย ไม่ได้กลัว แล้วก็ไม่ได้กล้า ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายอะไรกับผีหรือไม่มีผี มันก็มีค่าไม่ต่างกัน สักแต่ว่าสมมติด้วยกันทั้งนั้น ไม่ได้พ้นทุกข์อะไร ยังคงมีความทุกข์เสมอกัน
    มันก็แปลกดีนะครับ สมัยที่อยากเห็นก็ไม่เห็นหรอก พอไม่ได้อยากเห็นแล้วก็กลับมาเห็น เห็นตอนไม่อยากเห็นแล้วมันก็เลยเฉยๆไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร แต่เห็นว่ามีบางอย่างที่แปลกๆดี ก็เอามาโม้เอาไว้ในนิทานขี้โม้ เผื่อว่าจะมีใครบ้าตามกระผมไปด้วย
    ทางภาคเหนือเรียกว่าผีกะ ทางภาคอีสานเรียกว่าผีปอบ ภาคใต้ผีมโนรา ผีครู ก็คล้ายๆกัน พวกนี้ต้องมีการเซ่นสรวงกันทุกๆปีเป็นประจำ เซ่นด้วยของดิบๆ เนื้อดิบ เลือดสด บางที่ก็กำหนดให้มีการเซ่นทุกๆ3ปี ถ้าไม่เซ่นสรวง ก็จะถูกสิง ถูกกินเครื่องในอวัยวะ แล้วกลายมาเป็นมะเร็งบ้าง ปวดท้องบิดมวนแล้วก็ตาย ด้วยโรคบิดบ้าง หัวใจวายบ้าง ถ้ากินที่ตับก็เป็นมะเร็งตับ กินไส้ก็เป็นมะเร็งลำไส้ ปวดท้องบิดมวน กินหัวใจก็จะหัวใจวาย มันก็เป็นเรื่องแปลกที่มองเข้าไปข้างในร่างกายของคนที่ถูกกินก็จะเห็นผีปอบหรือผีกะ มองเห็นหน้าและหัว แสยะปากอยู่ ทำท่าเหมือนขู่ ไอ้เราก็เฉยๆนะ
    ผ่านไปหมู่บ้านนึงทางภาคเหนือ ไปเจอพวกผีกะยักษ์หรือว่าผีปอบที่ครอบครองหมู่บ้านแถวนั้นมานานหลายร้อยปีแล้ว ถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้อยากไปเห็นหรือไปยุ่งด้วยเลย แต่ว่าหลวงพ่อท่านสั่งมาว่า เอ็งต้องทรงฌานให้ได้ ทีนี้การที่จะทรงฌานได้เอาอะไรมาเป็นเครื่องหมาย ก็ต้องดูที่จิตมีความทรงตัวดี มีนิวรณ์อันบางเบาแล้ว มีสติครบ มองเห็นภาพพระ หรือเห็นหลวงพ่อได้เป็นปกติ พอเห็นหลวงพ่อ หลวงปู่ ได้ชัดเจนดีแล้ว ที่จะเห็นรอบๆก็มีพรหม เทวดา ท่านจะมาคอยติดตามหลวงปู่หลวงพ่อ ดังนั้นการจับภาพหลวงพ่อ ก็ดี หลวงปู่ก็ดี มีคุณมากเช่นกัน อย่างน้อยที่สุด จิตเราก็ไม่ต้องไปคิดชั่ว หมกมุ่นในอารมณ์อันโสโครก แล้วในเมื่อเห็นหลวงพ่อหลวงปู่ได้แล้ว ผีกะยักษ์ตนนี้ก็เห็นได้ไม่ยากอะไร บริวารผีกะยักษ์ตนนี้ก็เป็นคนในตระกูลหนึ่ง ตายไปแล้วก็ไปเป็นบริวารผีกะยักษ์ตนนี้ ตรงนี้ก็น่าสงสัยว่า เพราะอะไรตายแล้วไม่ไปนรกไม่ไปสวรรค์ ต้องมาเป็นบริวารของผีกะยักษ์ตนนี้
    ก็กราบเรียนถามท่านผู้มีพระคุณ อันมีหลวงปู่หลวงพ่อเป็นต้น ท่านก็เล่าให้ฟังว่า ในอดีตกาลนานหลายร้อยปีก่อน ที่ตรงนี้มีคนมาตั้งรกราก พื้นที่ยังเป็นป่ารกชัฏ เมื่อไถถางแล้วก็เริ่มสร้างบ้านอยู่กัน นานวันเข้าก็เกิดมีหมู่บ้านใกล้ๆ ต่อมาก็เริ่มมีการทะเลาะขัดแย้งกัน พอโกรธแค้นกันหนักๆเข้าก็ถึงกับเอาผีมาช่วยสู้ ตัวพ่อบ้านตระกูลนี้ก็พาลูกหลานญาติๆมาทำพิธีบวงสรวงเซ่นผีป่า สมัยนั้นเขาเรียกผีป่า แล้วก็ทำคำสัตย์สาบานว่าขอเป็นบริวารรับใช้ เป็นข้าทาสที่ซื่อสัตย์ ขอให้ผีป่ามอบวิชา อำนาจ เพื่อไปสู้กับพ่อบ้านอีกหมู่บ้านนึง มันจึงเกิดเป็นพันธะสัญญาต่อๆมายังลูกหลาน ต้องตกอยู่ใต้อาถรรพ์ที่บรรพบุรุษไปทำเอาไว้ แล้วทุกๆ3ปี ต้องมีการเซ่นด้วยของสด ของคาว แลกกับได้วิชาอาคม บันทึกลงไว้ในแผ่นหนังบ้าง แผ่นกระดานบ้าง ถ่ายทอดต่อๆกันในหมู่ลูกชายของบ้านนั้น อีกหมู่บ้านหนึ่งรู้เข้าก็เอาบ้าง ทำแบบเดียวกันบ้าง แล้วก็เกิดการสู้กันด้วยวิชาอาคม ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ จนผ่านไป3-4ชั่วคน ก็ชักจะเบื่อแล้ว รุ่นหลังๆไม่เอาแล้ว ก็ต่างคนต่างอยู่ วิชาอาคมก็ไม่ค่อยมีคนสนใจ ไม่มีใครอยากสืบทอด การเซ่นสรวงก็ไม่ได้ใส่ใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผีบรรพบุรุษก็เริ่มไม่พอใจ เพราะคำสัญญาสาบานที่พวกตนให้ไว้กับ ผีป่ายังมีผล ผีป่าตนนี้เองที่มีอำนาจมาก ตัวสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปสักเท่าตัว ผมดกดำ ตาโปนโต ใส่ชุดคลุมสีดำสนิท ดูรุ่มๆร่ามๆ หนวดเครารุงรัง เดินโคลงๆเคลงๆ แต่ว่ามีวิชาอาคมไม่ธรรมดา สภาพแบบนี้บางพวกก็จะเรียกว่าเหมือนปีศาจ

    ถ้าเป็นสมัยก่อนตอนที่ผมยังฝักใฝ่ด้านมืดอยู่นั้น พวกปีศาจ เดือนศาจหรือจะวันศาจ พวกนี้กระจอกมาก เป็นบริวารชั้นปลายแถว แต่ว่ามันผ่านมานานแสนนานแล้ว เวลานี้ตั้งใจมุ่งตรงต่อพระรัตนตรัยแล้ว ทิ้งด้านมืดไปแล้ว มาในวันนี้ไอ้กระจอกคือตัวเรานี่เอง เพราะสู้พวกนี้ไม่ค่อยจะได้เสียแล้ว ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆผมก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เห็นก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น ทำไม่รู้ไม่ชี้ซะ แต่ถ้าจำเป็นต้องไปแก้อาถรรพ์คำสาบานของบรรพบุรุษของคนในหมู่บ้านนี้ จะแก้ยังไง...มันแก้ยากมากนะ...เพราะไม่ใช่ผีกะยักษ์ไปบังคับให้มาเป็นบริวาร แต่ตัวเองพร้อมใจกันขอไปเป็นบริวารเขาเพื่อให้เขาช่วย...เอาไงดี???
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,618
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    HappynewyearLPJarun.jpg
    HappyNYThai.jpg
     
  14. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    20171229_111019.jpg ผีปอบหรือผีกะ ตอนที่ 2:


    ก็ขอให้ถือว่าเป็นนิทานขี้โม้ โม้เอาสนุกสนานเพลิดเพลิน อย่าไปถือเป็นจริงจัง เป็นเรื่องเล่าไร้สาระเป็นหลัก
    เรื่องการตายการเกิด เวียนว่ายกันไปนั้น มีมานานนับอสงไขยกัลป์นับไม่ถ้วน เรื่องจะไปเกิดในภพภูมิไหน หรือไปติดอยู่ในภพภูมิใดเป็นเวลานานๆนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับพวกที่ตายไปแล้ว ไปเกิดอยู่ภายใต้อำนาจของ ผีกะตัวพ่อ ทำให้ไปเกิดใหม่ก็ไม่ได้ ติดอยู่กับคำสัญญาสาบานแบบนี้ไปนานแสนนาน วิญญาณพวกนี้กลับไปเกิดเป็นคนหรือเป็นสัตว์ได้ก็ต้องได้รับอนุญาตจากผีกะที่เป็นเจ้าของคำสาบานนั้นๆจะปล่อยไป การจะไปทำลายอาถรรพ์พวกนี้ เกจิอาจารย์ท่านทำได้ แต่ว่าอาจจะเหลือน้อยรูปที่ท่านจะทำให้ได้ อีกทางหนึ่งคือทำลายผีกะตนนั้นเสีย คำสาบานอาถรรพ์ต่างๆก็จะหายไปได้เอง วิธีทำลายก็มีอยู่แต่คงไม่เล่าจะดีกว่า เรื่องทำบุญอุทิศไปให้ หรือแผ่เมตตาอะไรไปให้พวกนี้ยอม ก็บอกเลยว่ายาก พวกนี้ดำมืดในจิตใจ ไม่สนบุญบาป แผ่ไปแผ่มาพวกหมั่นไส้ ทุบเอาให้อีกก็มี
    การสืบทอดเชื้อสายของพวกนี้ ก็ไม่พ้นเรื่องกฎของกรรม คือมีกรรมร่วมกันมาจึงต้องมาเกิดในวงศ์ตระกูลนี้ แล้วต้องมารับสืบทอดกันต่อๆไป ถ้าไม่เซ่นไหว้ทุกๆปีหรือทุกๆ3ปี ผีกะยักษ์ก็จะกินอวัยวะภายใน และตายลงอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ทุกคนในวงศ์ตระกูลจะเป็นผู้สืบทอด ส่วนมากแล้ว รุ่นต่อรุ่นจะมีเพียงคนเดียว ส่วนคนที่เหลือมีหน้าที่ต้องเซ่นไหว้ หาไม่แล้วก็จะโดนกัดกินอวัยวะภายในแทน
    ทางแก้ทางออกมองไม่เห็นเลยว่าจะทำอย่างไรได้ นอกเสียจากบำเพ็ญภาวนาให้จิตพ้นจากความเป็นปถุชนให้ได้ ก็จะพ้นจากเรื่องพวกนี้ไปได้ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้สืบทอดต่อจากวงศ์ตระกูล หากแต่เป็นผู้เข้าถึงไตรสรณะคมน์ ก็สามารถพ้นไปเสียจากการเป็นผู้สืบทอดได้ โดยคนอื่นในตระกูลที่ประพฤติตัวครึ่งๆกลางๆ ดีบ้างชั่วบ้าง บุญก็ทำ กรรมก็สร้าง พวกนี้จะถูกเลือกขึ้นมาแทน อีกอย่างหนึ่งคือ ย้ายไปอยู่ถิ่นอื่นเสีย เพราะเท่าที่ผ่านไปเจอ ผีกะพวกนี้จะอยู่กับที่ ไม่เดินทางข้ามย้ายจังหวัด จะมีฤทธิ์อำนาจควบคุมสิ่งต่างๆได้ก็เฉพาะในบริเวณหมู่บ้านนั้นๆที่ตนอาศัยอยู่ ส่วนจะไปให้ผลในต่างถิ่นได้นั้น ต้องอาศัยคนที่เป็นเชื้อสาย รับเอาผีกะนั้นไปด้วย ถึงจะไปปรากฏฤทธิ์เดชในที่อื่นๆได้

    วิชาอาคมที่ผีกะหรือผีปอบเหล่านี้ ก็จะเป็นคาถาอาคม เลขยันต์ ที่จะถ่ายทอดเฉพาะลูกชายของวงศ์ตระกูลนั้นๆ แปลกดีที่ไม่ให้ผู้หญิงได้เรียนรู้สืบทอด คาถาพวกนี้มีเขียนเอาไว้เป็นหีบๆ ที่หีบก็ยังมีลงอักขระเอาไว้ด้านใน มักจะไม่ยอมให้ผู้หญิงไปถูกต้องเข้า จะทำลายก็คือเอาไปเผาที่วัด แต่ว่าใครที่จะไปยกเอาไปเผาก็ต้องมีวิชาพอสมควร ไม่งั้นเข้าไปใกล้ๆก็โดนเจ้าของวิชาทำร้ายเอาได้ อีกทางหนึ่งทีไม่เคยลองก็คือ ให้ฝรั่งที่ไม่รู้เรื่องราวพวกนี้ ยกเอาไปเผาทิ้งเสีย เพราะพวกนี้ไม่ถือสาเรื่องผีสาง ก็แปลกดีที่เขาทำอะไรลงไปแล้ว ผีกะผีปอบทำอะไรคนเหล่านี้ไม่ได้ แต่ถ้าลูกหลานในบ้านนั้นเอาไปเผา เจ้าของวิชาก็จะเล่นงานให้ถึงตายได้ เรื่องเล่าผีกะหรือผีปอบก็ขอจบลงแต่เพียงเท่านี้...สวัสดี
     
  15. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    หลุมดำหรือโลกมืด ตอนที่1 : หลุมดำและความระยำของข้าฯ


    เอามาเล่าเป็นนิทานขี้โม้เอาไว้ เพราะเห็นว่ามันแปลกประหลาดดี แต่ว่าอยู่ที่ไหนก็ขอไม่บอก เพราะเป็นอันตรายสำหรับนักปฏิบัติกรรมฐานผู้ใหม่อยู่ ผู้เก่าแล้วก็ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวด้วย เว้นเสียแต่ว่าเคยมีส่วนได้เกี่ยวข้องกันมาปางแต่ก่อนก็จะได้แวะเวียนมาดูให้พอรู้บ้างก็เท่านั้นเอง
    กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานสักเท่าไร นั่งทำสมาธิพอใจสบายๆ ไม่ได้ต้องการจะไปไหนอย่างไรเลย ก็ปรากฏว่าตัวเองไปอยู่ในที่แห่งหนึ่ง สถานที่นั้นมืดสนิท มองไม่เห็นแม้แต่เล็บมือของตัวเอง บรรยากาศก็เย็นเยียบ สัมผัสได้ว่ามีดวงจิตจำนวนมากอยู่ที่นั่น แม้ไม่ทุกข์ทรมานเหมือนในนรกที่เคยไปมา แต่ก็ไม่ได้มีความสุขอะไรนัก สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่หลากหลาย จากดวงจิตต่างๆ แต่เป็นพลังอำนาจด้านชั่วร้ายที่อำมหิต ติดอยู่ในโลกมืดนี้มาช้านาน หันมองไปทางไหนก็มืดไปหมด หาจุดสว่างแม้แต่จุดเดียวไม่ได้เลย และแน่นอนว่า มันหาทางออกจากโลกมืดนี้ก็ไม่ได้เสียด้วย เป็นแรงดึงดูดให้หมุนวนอยู่ในนั้นชั่วกัลป์สาน
    พุทโธอัปมาโน คุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าหาที่สุดที่ประมาณมิได้ ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง จึงกลับมาอยู่ที่ร่างเดิมนี้ได้ มาได้ยังไง ไปได้ยังไง ไม่ทราบเลยจริงๆ ออกจากสมาธิก็มานั่งพิจารณาว่าที่นี่ที่ไหน ก็ไม่ทราบว่าเป็นที่ใด จึงสมมติ ชื่อเอาเองว่าโลกมืด ต่อมาก็ได้แวะเข้าไปเป็นครั้งที่ 2 เมื่อได้ซักถามพูดคุยกันกับดวงจิตเหล่านั้นก็พอจะรู้อะไรต่อมิอะไรมาบ้าง แต่พอไปครั้งที่3 คือว่า กำลังจะไป หลวงปู่ครูบาท่านเรียกมาด่าซะก่อน สั่งให้หยุด ให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับด้านมืดนี้อีก ต่อมาได้มาพบมากราบหลวงปู่ครูบา วาระแรกที่พบท่านก็โดนด่าไปร่วม2ชั่วโมง ตอนเจอในสมาธิท่านไม่ได้ด่า ท่านสั่งห้าม เจอตัวเป็นๆท่านครั้งแรก ท่านด่าซะกระจาย ลูกศิษย์หายกันไปหมด เหลือเราโดนด่าหน้าปูเลี่ยนๆอยู่เพียงลำพัง
    ว่าถึงการไปในวาระที่ 2 เข้าไปถึงแล้ว ก็สอบถามพวกที่อาศัยอยู่ในนั้น ว่าทำยังไง หรือ เป็นมากันยังไงถึงมาอยู่กันที่แห่งนี้ แล้วที่แห่งนี้มีใครเป็นหัวหน้าผู้ปกครอง ดวงจิตที่อยู่ในนั้น จริงๆแล้วมีรูปร่างมีตัวมีตนอยู่ พอมาอยู่ใกล้ๆก็รู้สึกได้ว่ามีรูปร่างคล้ายกันกับคนนี่เอง สูงบ้าง ผอมบ้าง ตัวใหญ่บ้าง ตัวเล็กๆหลังค่อมๆก็มี ที่นี่ปกครองโดยเจ้านายใหญ่ ซึ่งก็รูปร่างใหญ่ สูงสัก 40 เมตรเห็นจะได้ นั่งแท่นที่ทำเหมือนกับเป็นหินตันๆ มีอำนาจมาก ใครซี้ซั้วเข้าไปโอกาสจะกลับออกมาได้นั้นแทบไม่มี ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้เข้าไปสถานที่แห่งนี้ ครูบาอาจารย์เก่งๆท่านรู้จักที่แห่งนี้ แต่ท่านเหมือนจะไม่เอ่ยปากบอกใครเช่นกัน เนื่องเพราะรู้ไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ในการบรรลุมรรคผลแต่อย่างใด อีกทั้งยังอันตรายแก่นักปฏิบัติผู้สอดรู้สอดเห็นเข้าไปแล้วอาจจะกลับออกมาไม่ได้ ก็ให้สงสัยว่าแล้วทำไมข้าฯถึงเข้ามาได้แล้วกลับออกไปก็ได้
     
  16. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    หลุมดำและความระยำของข้าฯตอนที่2 จบ :


    คำตอบที่ได้รับคือว่า พวกข้าฯมีฤทธิ์อำนาจมากกว่ายมทูตพวกนั้น พวกมันไม่กล้ามาจับไปลงนรก จะเข้ามาใกล้ๆมันก็ยังไม่กล้า ครั้งนี้แวะไปก็ไปดูว่าพวกที่อยู่ในนี้ทำอะไรเอาไว้บ้าง ถึงได้มีโอกาสมาเกิดในดินแดนแห่งนี้ได้ คนนำทางก็พาไปเยี่ยมเยียน วิญญาณที่อยู่ที่นี่ ไม่ได้แบ่งเป็นชั้นๆ แต่มีเป็นเหมือนอาณาเขตของใครของมัน ความที่มันมืดมาก การมองเห็นด้วยกำลังทิพยจักขุญาณก็ทำได้ยาก จนเมื่อเริ่มชินแล้ว จึงได้เห็นรูปร่างหน้าตา การแต่งกาย เสื้อผ้าที่ใส่ก็รุ่มๆร่ามๆ สีดำๆ เหมือนเสื้อคลุมก็มี ใส่กางเกง โคล่งๆก็มี มีผ้าคลุมหัวบ้าง ไม่มีบ้าง ผมเผ้ายาวรุงรัง ดูดีกว่าอสุรกายก็ที่ตาไม่โปนแดง ไม่มีน้ำลายไหลยืด พวกนี้ดูจะน่ากลัวกว่ามาก แต่ละตนมีพลังอำนาจลึกลับเป็นพิเศษ
    มองดูๆไปก็เหมือนพวกหมอผี ยิปซี หรือพ่อมด แม่มด ที่คนป่าคนเถื่อนนับถือกัน เวลานั้นก็ได้รับคำตอบจากผู้ที่พาไปว่า ถูกต้องแล้ว พวกนี้ตอนมีชีวิตก็มีพิธีกรรม ทำตัวแบบเดียวกับหมอผี แม่มด ก็สงสัยว่า แล้ววิชาที่พวกนี้ฝึกมันเป็นยังไง ถ้าจะเทียบกับไสยศาสตร์ทางเขมร ไทย แล้วแบบไหนจะมีความรุนแรงกว่ากัน ผู้ที่พาทัวร์ก็แนะนำว่า วิชาของพวกเรานี้แตกต่างจากไสยศาสตร์ เราเน้นที่การบูชายันต์ บางครั้งก็ใช้เด็กชาย 7 คน เด็กหญิง 7 คน บางครั้งก็หญิงพรหมจรรย์ 7 คนบ้าง 9 คนบ้าง 49 คนบ้าง 108 คนบ้าง เวลาทำพิธีกรรมสวดแช่งต่างๆนั้น ไสยศาสตร์ใช้แค่คนเดียว แต่พวกเราใช้คนหลายคน เป็นหมู่ มาช่วยกันทำพิธี ทำให้อำนาจ และความรุนแรงมีมากกว่าวิชาทางไสยศาสตร์มาก
    พิธีกรรมพวกนี้ทำกันทั้งคืนบ้าง ทำกันตลอด7วันก็มี บ้างก็ขุดหลุมใหญ่ๆก่อไฟเอาไว้แล้วเอาคนโยนลงไปเผาทั้งเป็น คืนละคนบ้าง หลายๆคนก็มี เพื่อให้เกิดอาถรรพ์ด้านมืด ได้เข้าถึงนายใหญ่ และได้รับพลังอำนาจจากนายใหญ่ได้ แต่ไม่ว่าจะเก่งกาจ ร้ายกาจเพียงใด สุดท้ายก็ต้องตายเหมือนกันหมด ไม่มีใครที่เกิดขึ้นมาแล้วจะไม่ตาย เมื่อตายลงไปก็มาปรากฏอยู่ที่นี่เลย การจะหลุดพ้นจากที่นี่ได้นั้น ต้องใช้เวลานานแสนนานนับอสงไขยกัลป์ไม่ถ้วน อยู่ในความมืดมิดยาวนาน
    ในอาณาจักรแห่งนี้ ยังได้เห็นพวกปอบอาคมที่อายุนับพันนับหมื่นปี ฤษีที่ชอบบูชายัญด้วยชีวิตคนก็มาอยู่กันที่นี่ ตัวเราเองก็เคยอยู่ที่นี่มานานนับอสงไขยไม่ถ้วนเช่นกัน ทำให้อดนึกถึงความระยำของตัวเองไม่ได้ว่า เวลาเราอยู่ในความมืด ความชั่ว ความทุกข์ทรมานนานแสนนานกลับไม่รู้สึกที่จะขวนขวายออกไปหาความดี จมปลักอยู่กับความมืด ความชั่วได้เป็นเวลานานๆ ต่อเมื่อได้เดินไปในหนทางสว่างแล้ว พอมีใครมาบอกว่า 16 อสงไขยกำไรแสนกัลป์เท่านั้น ก็คิดจะท้อต่อระยะเวลาในการสร้างความดีเสียแล้ว ทั้งที่เวลาอยู่ในโลกมืดนั้น นานกว่า16อสงไขยจนเทียบกันแทบไม่ได้เลย แล้วมาเกิดในนรกรวมๆกันก็ยาวนานกว่า 16 อสงไขยอีกมาก แต่พอจะมาทำความดีเท่านั้นนะ 16 อสงไขยนี่บ่นว่าทนทุกข์ทรมานเหลือเกินแล้ว นี่คือความระยำของข้าพเจ้า
    ก่อนจะกลับออกมา วิญญาณพวกนี้ก็มาล้อมหน้าล้อมหลัง ก็ถามว่าต้องการอะไรไหม เขาเหล่านี้ก็บอกว่าไม่ต้องการอะไร เพราะการแผ่เมตตามาไม่ถึงที่นี่ ได้ลองอุทิศส่วนกุศลให้แล้ว ก็เหมือนโยนก้อนหินลงไปในบ่อน้ำมันดิบ ได้แต่หายสาบสูญไป วิญญาณพวกนี้ไม่สามารถรับได้ แล้วก็ไม่สนใจที่จะรับด้วย พอจะกลับ เขาก็พูดว่า ระหว่างพวกเรานั้น มีไมตรีต่อกัน หากต้องการให้ช่วยอะไรขอเพียงบอกมา พวกเรายินดีไปทำให้ทุกอย่าง (เรื่องชั่วๆทุกอย่าง...ส่วนเรื่องดีพวกนี้ไม่รับช่วยไม่รับทำ)

    หลายปีมานี้ไม่ได้แวะไปหาแล้ว แต่ก็คิดเอาไว้ว่า วันใดทีข้าฯบรรลุธรรมขั้นสุด ก็จะเดินทางไปโปรดพวกเจ้าให้พ้นจากโลกมืด เรื่องราวของโลกมืดก็ขอจบลงแต่เพียงนี้ ให้ได้รับรู้ว่า มีอีกโลกหนึ่งภพหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรแล้วก็ไม่มีภพไหนเหนือกฎของกรรมไปได้ ในที่สุดแล้ว ใครทำกรรมใดไว้ ตนก็ต้องรับผลของกรรมนั้น ไม่ว่าจะดีสุดขั้ว หรือชั่วสุดขีด จะมีก็แต่ผู้ที่อยู่เหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป จึงจะเป็นผู้เหนือเกิดเหนือตาย จบภพสิ้นชาติแล้ว จึงจะอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้.
     
  17. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,324
    ค่าพลัง:
    +4,774
    อารมณ์โลกนั้นก็คงประมาณนี้สินะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    เรียนถามท่านเจ้าของนิทานsama
    มีคนสงสัยว่า โลกมืดที่ว่านี้เป็นอย่างไร ?


    ตอบ : ลักษณะจะเหมือนเวลาเราตกลงไปในบ่อน้ำมันดิบ ที่มันดำ หนืดๆ มันมืด เวิ้งว้าง มองอะไรไม่เห็น รู้แต่ว่ามีดวงจิตวิญญาณอยู่ บ้านช่องไม่มี อาคาร ต้นไม้ สิ่งก่อสร้างอะไรก็ไม่มี

    ถาม : แล้วสื่อสารยังไงคะ มืดชนาดนั้น ??

    ตอบ : ตอนที่เขาทำภาพให้เห็นถึงได้เห็นว่าในนั้นมีวิญญาณพวก พ่อมด แม่มด หมอผี พวกนี้อยู่ ก็นั่งกับพื้นกันบ้าง ยืนบ้าง บรรยากาศมันหนักอึ้ง เย็น มืด มองอะไรไม่เห็น แต่รับรู้ถึงกันได้ เข้าไปแล้วไม่เห็นทางออก ไม่มีแสงสว่างแม้สักจุดเดียวเลย พวกนี้ไม่กินนะ บางตนนั่งบริกรรมงึมงำๆๆๆ ครูบาอาจารย์ท่านมาห้ามไปที่นั่นอีก ถ้ามีใครไปก็จะกลับออกมาไม่ได้ จิตวิญญาณจะโดนขังอยู่ในนั้นชั่วกัลปวสานต์

    ถาม : แล้วเขาออกจากที่นั่นได้ไงคะ คนที่อยู่ที่นั่น??

    ตอบ : ก็ออกไม่ได้นะ เว้นแต่นายใหญ่ในนั้นจะให้ออก หาไม่แล้วก็อยู่กันอย่างนั้นไป
     
  19. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    Screenshot_20180215-063601.jpg
     
  20. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ปอบกินเครื่องใน :

    20150329_131924.jpg

    เนื่องจากว่าเป็นนิทานขี้โม้ ก็ขออย่าได้ถือสาเอาจริงเอาจัง อ่านสนุกๆก็พอนะครับ นิทานเรื่องปอบกินเครื่องในนี้ พอได้ผ่านไปเห็นตระกูลที่เกี่ยวดองกับผีกะยักษ์แล้วก็พอจะเข้าใจ แต่ครั้นจะอธิบายก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี คงเป็นเพราะไม่รู้นิยามของสังคมผีๆที่เขาเรียกขานกัน ก็เป็นอันว่าจะขออธิบายสภาพแวดล้อมให้ฟัง หวังว่าท่านผู้อ่านจะอ่านแล้ว งงๆไปด้วยกัน
    ต้นตระกูลผีกะ ที่สืบทอดกันมา คนในตระกูลที่ไม่ดูแลผีกะซึ่งก็มีผีบรรพบุรุษรวมอยู่ด้วยนั้น ผีกะก็จะมาอาศัยร่าง กัดกินเครื่องใน ตับไตไส้พุง แต่สำหรับคนที่สืบทอดจริงๆ ผีกะจะไม่กินนะครับ จนกว่าจะใกล้ถึงเวลาตายก็จะไปแฝงลูกหลานที่หมายตาเอาไว้ต่อไป ส่วนอาการคนที่โดนกินอวัยวะภายในนี้ จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน อาการที่ปอบกินเครื่องใน ก็เห็นปอบกัดกินตับ ไต ลำไส้ ตัวคนที่ถูกปอบกัดกิน ก็มีอาการเจ็บปวด ได้ยินเสียง เคี้ยว บด อยู่ในท้อง ปวดจนดิ้นไปมา แต่ถ้าไปผ่าท้องดู ก็จะเห็น ตับไต ไส้พุง ยังเหมือนเดิม คือ ตับไตไส้พุงมันก็ยังอยู่ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าถูกกินได้ยังไง แต่ว่าอวัยวะต่างๆที่ถูกกินนี้ จะค่อยๆเสื่อมสภาพ กลายเป็นเนื้อร้ายบ้าง มะเร็งบ้าง เน่าลงไปบ้าง ตับวาย ไตวายบ้าง ลำไส้ไม่ทำงานบ้าง แล้วเจ้าของร่างกายก็ตาย
    อุปมาอุปมัยเหมือนไก่ไหว้เจ้า ไก่ที่ไหว้เจ้าเป็นไก่ต้มที่ตายแล้ว เหลือแต่ซากไก่ เมื่อเอามาไหว้เจ้า เจ้าก็ได้กิน แล้วถ้าเอาไก่ที่ไหว้เจ้ามากิน รสชาติก็จะจืดชืดลง หรือเอาไปไหว้เจ้าองค์อื่นต่อ เจ้าก็จะบอกว่าไม่เห็นมีไก่ เห็นแต่กระดูกไก่ ผมเลยสมมติเอาเองว่า รูปธาตุทั้งหลายนั้นต่างก็มีวิญญาณธาตุรวมอยู่ด้วย รูปไก่ต้มก็มีวิญญาณไก่ต้มรวมอยู่ด้วย ที่โดนกินก็เป็นวิญญาณไก่ต้มที่โดนกินไป เหมือนตับ ไต ไส้พุง ที่โดนกินไปก็เป็นการกินวิญญาณของตับ ไต ไส้พุง เมื่อวิญญาณของรูปธาตุนั้นไม่อยู่เสียแล้ว รูปธาตุก็จะเสื่อมลง แปรสภาพไป ไม่สามารถทรงสภาพเหล่านั้นเอาไว้ได้นาน อันนี้ผมสันนิษฐานเอาเองนะครับ เรียกว่าเดา หรือมั่ว ก็ได้
    สุดท้ายแล้ว คนที่โดนปอบหรือผีกะ กินตับไต ไส้พุงนี้ ก็จะเป็นมะเร็งตาย ไม่เกินปีนี้ โดยร่างกายจะค่อยๆทรุดตัวลง ตรวจไปก็เจอเชื้อมะเร็ง แล้วไม่นานก็ตาย ซึ่งการตายลักษณะนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกันได้ง่ายๆหรอกนะครับ ถ้าไม่มีกรรมทำร่วมกันมา หลายชาติ หลายร้อยชาติ ก็ไม่มาเจอกับเรื่องราวเหล่านี้ เหมือนอย่างเราๆท่านๆ ก็คงไม่เจอกับเหตุการณ์อย่างนี้หรอกครับ สำหรับนิยาม หรือข้อสันนิษฐานแบบเดาๆของผมนี้ เอามาใช้อธิบายเหตุการณ์ข้างต้น หากท่านใดมีนิยามที่รู้จักกันดีในหมู่ผีกะ ผีปอบ ก็ช่วยมาอธิบายต่อให้ฟังทีนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...