นิพพานธาตุ มีคุณสมบัติอย่างไร สามารถเป็นตัวผู้รู้ได้หรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Prasit5000, 16 กุมภาพันธ์ 2017.

  1. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    .... เราต้องยอมรับอย่างหนี่งว่า ในตัวเรานี้ทุกคน จะประกอบด้วย จิต เจตสิค รูป นิพพาน ถ้าเราไม่ยอมรับตรงนี้ สิ่งที่จะอธิบายต่อไปนี้ก็จะไม่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน

    ....จำเป็นไหมที่เราจะต้องเข้าใจ ส่วนประกอบ และหน้าที่ คุณสมบัติ ของ จิต เจตสิค รูป นิพพาน สำหรับผมถือว่าจำเป็น เพราะ การที่เราจะภาวนาเพื่อให้เกิดมรรคผล เพื่อให้เกิดการบรรลุธรรม นั้น ความเห็นที่ตั้งไว้ถูก ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง

    ....การเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ จะทำให้การตั้งความเห็นได้ถูกต้อง

    ......"
    [๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเดือยข้าวสาลี หรือเดือยข้าวยวะที่บุคคลตั้ง
    ไว้ถูก มือหรือเท้าย่ำเหยียบแล้ว จักทำลายมือหรือเท้า หรือว่าจักให้ห้อเลือด ข้อนี้เป็นฐานะที่มี
    ได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเดือยบุคคลตั้งไว้ถูก ฉันใดก็ดี ภิกษุนั้นแล ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
    จักทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จักทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยความเห็นที่ตั้งไว้ถูก ด้วยการ
    เจริญมรรคที่ตั้งไว้ถูก ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะความเห็นตั้งไว้ถูก.

    .....จำเป็นหรือไม่ที่กลุ่มนักภาวนา จะต้องไปเรียนพระอภิธรรม ความจริง พระอภิธรรมก็น่าเรียน ถึงจะยากสักหน่อยต้องท่องจำ แต่ถ้าเราไม่เรียนพระอภิธรรม ก็ต้องรู้พอสมควร

    ......ผมเคยศึกษาพระอภิธรรม จากซีดีนี้แหละจากวัดจากแดง นี้แหละก็ดีแต่ก็ได้งูๆปลาๆ
    .....ผมจะลองอธิบายสั้นๆ นะครับจะไม่น่าเบื่อ

    .....จิต คือ ตัว้รู้อารมณ์ กลุ่มนักปฏิบัติก็จะเรียกว่า ตัวผู้รู้ จิต เป็นมโณวิญญาณ อยู่ในส่วน ของวิญญาณขันธ์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้า จิตเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดแล้วก็ดับ เปลี่ยนไปได้หลายรูปแบบ
    .....เจตสิค คือ ตัวประกอบ จะเกิดร่วมกับจิต ปรุงจิตให้มีสภาวะต่างๆ เป็นอารมณ์ ต่างๆ เจตสิค ก็คือ เวทนา สัญญา สังขาร ใน ขันธ์ห้านั้นเอง เจตสิค ก้บ จิต เป็นนามธรรม
    .....รูปก็คือร่างกายของเราทั้งหมด ซึ่งในตำรากล่าวว่า คือการประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ รูปก็จึงเป็นรูปธรรม

    .....ส่วน นิพพานธาตุ เป็นนามธรรม เราต้องยอมรับ อย่างหนึ่งว่า นิพพานธาตุ มีอยู่ในตัวเราทุกคน ถ้าไม่ยอมรับ ว่านิพพานธาตุอยู่ในตัวเรา เราก็จะมีแค่ จิต เจตสิค รูป เท่านั้น

    ......นามธรรม ทุกตัว ทำงานของมัน ส่วนนิพพานธาตุก็ทำงานของมัน บางท่านอาจสับสนว่า นิพพานธาตุ กับคำว่านิพพานต่างกันอย่างไร
    ......นิพพาน แปลว่า ดับเย็น นิพพานธาตุ คือธาตุที่ดับเย็น
    ......จิตที่เข้าสู่สภาวะนิพพาน คือจิตที่ดับเย็น คือจิตที่ปราศจากกิเลส
    ......จิตที่เข้าสู่สภาวะนิพพาน กับ นิพพานธาตุ ต่างกันนะครับ คนละตัวกัน

    .....นิพพานธาตุเป็นอสัขตธรรม เป็นนามธาตุที่ สามารถรับรู้ได้ ด้วยอายตนะนิพพาน รู้แบบสักแต่ว่ารุ้ ไม่มีการปรุ่งแต่งไดๆ มีเกิดอารมณ์ไดๆทั้งสิ้น เพราะไม่มีตัวปรุ่งแต่งเช่นเจตสิค

    .....นิพพานธาตุ มีความสัมพันธ์กับ จิต ด้วย กิเลสสังโยชน์ สิบเส้น ถ้าตัดได้ สามเส้นก็จะได้เป็นพระโสดาบัน

    .....นิพพานธาตุถือว่าเป็นตัวผู้รู้ อีกตัวหนึ่ง จิตก็เป็นตัวผู้รู้อีกตัว แต่การับรู้ไม่เหมือนกัน ผมจะยกตัวอย่างเช่น

    .....การทำสติปัฏฐาน ต้องมีสติ และต้องมีสัมปชัญญะ ตามมาเสมอ สติ เป็นจิตที่ระลึกได้ต่อผัสสะที่เกิดขึ้น ว่าเคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น ระลึกได้ว่าผัสสะเช่นนี้คือลมหายใจเข้า เช่นนี้คือลมหายใจออก
    .....สัมปชัญญะ คือการรู้สึกตัว การอธิบายว่าการรู้สึกตัวเป็นอย่างไร เป็นเรื่องยากผมก็คลำหาเหมือนกัน ความรู้สึกตัว จะเป็นการรู้แบบไม่ปรุงแต่ง แค่แววเดียว

    .....การทำอานาปานสติ หรือ กายคตาสติอื่นๆ เช่นเดินจงกรม ตัวสติ จะเกิดก่อน แล้วตามด้วย ตัวสัมปชัญญะ จะเป็นคลื่นสลับกัน ระหว่างตัวผุ้รู้สองตัว
    ....ถ้าอยากรุ้ว่า สภาวะนิพพานคืออย่างไร สภาวะที่เราออกจากจิต ไปสู่สภาวะ สัมปชัญญะ นี้แหละเรียกว่าสภาวะนิพพาน แต่จะเป็นจังหวะสั้นๆ

    ....การทำสติปัฏฐาน โดยมุ่งทำใจให้เป็นสมาธิ ใจเป็นสมาธิ เกิดจากสติ ที่ตั้งอยุ่กับสิ่งไดสิ่งหนึ่งอยางแนบแน่น พร้อมกับการสร้างสัมปชัญญะควบคู่กันไป สัมปชัญญะที่ต่อเนื่อง ก็จะกลายเป็นตัวญาณ

    .....ญาณ , สัมปชัญญะ คือกริยา ของ นิพพานธาตุนั้นเอง

    .....สิ่งที่ผมกล่าวมานี้ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อผม ถ้าท่านคิดว่า นิพพานธาตุในตัวของท่าน ไม่มีจริง
    ......ถ้าท่านคิดว่า นิพพานธาตุในตัวของท่านมีจริง ลองคิดดูสิว่ามันมีทำไม มันไม่กระดุกกระดิดหรือไง ไม่มีการรับรู้ หรือยังไง

    ......ถึงปัจจุบันการสร้างหุ่นทำอะไรได้เกือบเท่ามานุษย์ แต่มนุษย์ต่างจากหุ่นยนต์ เพราะเรามีนิพพานธาตุในตัวเรา ถ้าท่านคิดว่าไม่มีนิพพานธาตุในตัวเรา การศึกษาศาสนาพุทธ ท่านก็ไม่ถึงแก่น
     
  2. ปทุมมุต

    ปทุมมุต ผมเป๋นใตร?

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +286
    คล้ายๆมุมมองของสำนักจานบินยังไงไม่รุ้ หุหุ
     
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    (สัมปชัญญะคือการรู้สึกตัว การอธิบายว่าการรู้สึกตัวเป็นเช่นไร เป็นเรื่องยากผมก็คลำหาเหมือนกัน การรู้สึกตัว จะเป็นการรู้แบบไม่ปรุงแต่ง แค่แวบเดียว)

    ........
    อิ อ่านแล้วตลกดี...เดามั่วทั้งหมด...งั้นก็จงเดาต่อไป มั่วต่อไป มโนต่อไปเถอะครับ.....อาจคง เข้าใจมาได้สักชาติ มั้งครับ
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    จะ บอกใบ้ให้นะ.....จักรวาลนี้ วัฏะสงสารนี้ โลกนี้ ภพภูมิทั้งหมดนี้ ...ตั้งอยู่ ในนิพพานธาตุ มีนิพพานธาตุเป็นผู้รองรับ.....รูป จิต เจตสิก นิพพาน...ล้วนอยู่ในนิพพานธาตุ...แล้วอย่ามาถามเหมือนเด็กอนุบาลนะว่า....นิพพานธาตุเป็นของใคร....อยากเป็นเจ้าของเหรอ หรือคิดว่าตนเองเป็นเจ้าของ...

    อิ...คิดต่อไปนะ..ตลกจริงๆ คนแบบนี้ก็มีด้วย
     
  5. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ก่อนจะมาโม้เรื่อง นิพพานธาตุ ไปหาตนเอง ไปเรียนรู้ความจริงของ กายใจ...ผัสสะ อายตนะ ให้รู้เรื่อง..ก่อนจะดีมั้ย...ก่อนจะมาละเมอ ว่า ความรู้สึกตัวเป็นเช่นไร....

    ไปเรียนรู้ กายใจ ตนเองก่อนเถอะ อ่านแล้วขำๆมาก...คิดเอาได้ไง
     
  6. ปทุมมุต

    ปทุมมุต ผมเป๋นใตร?

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +286
    แรงไปป้าววว
     
  7. ปทุมมุต

    ปทุมมุต ผมเป๋นใตร?

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +286
    image_1484209491745.png
     
  8. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    ตัวผู้รู้ 2 ตัวที่กล่าวว่า คือ สติ กับสัมปชัญญะ 2 ตัวนี้น่าจะเป็นอาการมากกว่า ไม่น่าใช่ตัวผู้รู้ สติ การระลึกได้ สัมปชัญญะ รู้ตัวในปัจจุบัน การสังเกตตัวผู้รู้น่าจะอยู่ในจิตตานุปัสสนา คู่จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า อย่างเราทำสมาธิจับลมหายใจไปแล้วหลุด มีความรู้ตัวว่าหลุดนี่คือ รู้อีกชั้นเข้าไป คือรู้ว่าตัวว่าไม่รู้ตัว
     
  9. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    น่าจะถามว่าผู้รู้มีคุณสมบัติอย่างไร สามารถเป็นเป็นนิพพานธาตุได้หรือไม่
    อันนี้น่าจะเข้าทีกว่านะครับ
    ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไรครับ
    แค่แสดงความคิดเห็นน่ะ
    สวัสดี
     
  10. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    นิพพานธาตุก็คือ ธาตุที่เข้านิพพาน เช่น ก้อนหินบนดวงจันทร์ อะไรประมาณนี้ อาจฝึกเข้าถึงขั้นแยกจิตออกจากธาตุได้ จิตก็เป็นอิสระ จนกว่าธาตุและจิตมาประชุมกันใหม่เป็นตัวเรานั่นเอง ธาตุ 4 ขันธ์ 5 สติปัฏฐานฝึกพิจารณา เวทนา กาย จิต ธรรม ค่อยๆ แยกทีละอย่าง ผมก็พยายามเข้าใจอยู่ ผิดถูกก็โปปรดพิจารณา
     
  11. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ถ้านิพพานธาตุที่คุณกล่าวถึงนั่น คุณหมายถึง พระอรหันต์เมื่อเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว ไปมีที่อยู่ต่างหากที่ใดที่หนึ่งหรือเปล่า และเป็นอยู่รู้ตัวมีสติสัมปชัญญะแบบไหนยังไง อันนี้ตัวผมเองก็เคยสงสัย แล้วต่อมาก็มาคิดได้ว่า นั่นเป็นเรื่องของความฟุ้งซ่านอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ทำเหตุให้ถึงพร้อม ผลจะเกิดยังไงเป็นเรื่องของผล และผลย่อมเกิดเอง และถ้าละความยึดมั่นถือมั่นได้จริง ผลจะเป็นอย่างไรนั่นไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปอันนี้ข้อหนึ่ง

    อีกข้อหนึ่งคือว่า คุณสนใจเรื่องพระนิพพานมาก พูดถึงบ่อยๆ ผมเข้าใจเอาเองว่า คุณต้องการทำอารมณ์ให้ตรงหรือให้เข้าใกล้ ให้ใกล้เคียงกับสภาวะพระนิพพานให้ได้มากที่สุดประมาณนั้นรึป่าว ถ้าเช่นนั้นก็จะแนะนำว่า ให้เอาเรื่องอุปสมานุสติกรรมฐาน การระลึกถึงคุณของพระนิพพานมาเป็นที่ตั้งแห่งการระลึกจะเกิดประโยชน์ตรงกว่า

    ผมจำได้ว่า นิพพานคือการขจัดเสียซึ่งความเมา บรรเทาความกระหาย สิ้นความอาลัย ตัดการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารได้ สิ้นตัณหาราคะ ดับทุกข์ได้ จำได้อย่างนี้ เราก็ลองเอามาเทียบกับตัวเองในเวลานี้ ว่ามันมีความใกล้เคียงกับคำว่านิพพานตามที่ท่านบอกแล้วหรือยัง หามัชฌิมาปฏิปทาให้เจอครับ มัชฌิมาปฏิปทา คือความไม่หลงสุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง หาให้เจอ มันเป็นเหมือนปริศนาธรรมอย่างหนึ่งเลยทีเดียว เปรียบเหมือนเส้นผมบังภูเขา เราไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยเพียงการคิดนึก ต้องอาศัยการกระทำความเห็นแจ้งให้ปรากฏด้วย ถ้ามัชฌิมาปฏิปทาไม่เกิด ไม่ถึงพร้อม ญาณอันเป็นเครื่องรู้ทุกข์ เห็นแจ้งในพระนิพพานก็ไม่เกิดครับ
     
  12. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    อันนี้ เป็นเงื่อนไขทางตรรกะ ซึ่งองค์ประกอบทางภาษามันก็บกพร่องอยู่แล้วว่า อุปมา จขกท บอกว่า เมล็ดข้าวสาลีที่โยนทิ้งบนพื้นดิน ประกอบด้วย ดิน น้ำ อากาศ แสงสว่างจากพระอาทิตย์ โลกที่หมุนได้จังหวะตามฤดูกาล และมีต้นข้าวสาลีที่โตเต็มที่แลรวงข้าวสาลีเป็นต้นบริบูรณ์อยู่แล้ว ตามความเป็นจริง ในตอนนี้ เมล็ดข้าวสาลีที่โยนทิ้งบนพื้นดิน ก็แค่เมล็ดข้าวสาลีอยู่ ที่ว่าต้นข้าวสาลีที่โตเต็มที่แลรวงข้าวสาลี ยังไม่มีเหตุปัจจัยอะไรที่ถึงสภาวะอย่างนั้นเลย
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    โพสนี้ของ The RMJ สุดยอดเลย

    สังเกตไหมว่า ไม่มีอะไรแบบที่คุ้นชินมันบีบ
    ให้เราพูดไปนอกแนว

    โพสนี้ของ The RMJ กล่าวเหมือนคนที่ปฏิบัติ
    ธรรม พยายามจะตั้งบัญญัตขึ้นมาใหม่ แทนที่
    จะใช้ภาษาธรรมที่ ตั้งไว้ดีอยู่แล้ว

    ตรงท่อนท้ายๆ ที่ปรารภจะแยกธาตุ แยกขันธ์
    นี่สุดยอด

    แล้วเหนือกว่าสุดยอด ตรงที่ แยกเพื่อเพียร
    พิจารณา ตรงนี้แจ่มแมวเลย

    เรียกว่า มีสัมปชัญญะ ที่จะแยก แล้วเอาสิ่งที่
    แยกได้ไปต่อยอดทำกิจบางอย่างให้แจ้ง ด้วย
    การประกอบความเพียร

    ต่างจาก คนที่ไม่เคยเล่นเกมส์พิจารณาธรรม
    แยกแต่เพียงคำ สูตรลับ กล่าวได้เปนช๊อตๆ
    แต่ไม่เคยรูดนิ้วออกแรงกระทำ

    นี่ถ้า rmj สามารถ แยก กระจัดกระจาย พิจารณา
    แล้วดำรงค์อยู่ สำเร็จ ก้ลั่น BM ดูฉากจบแบบ
    รู้ว่าสิ่งที่ควรทำ กว่านี้ไม่มีอีก ชิวๆ


    คนที่เพียรอยู่ ผิด ถูก จะใช้ได้หมด ใครก้ตำหนิไม้ได้เด็ดขาด

    อาเอมเจกถา : หนทางนี้เปนหนทางประเสริฐ
    เปนของผู้มีปัญญาดี ไม่ใช่ปัญญาทราม เที่ยว
    ถามหากิเลสในผู้อื่น เปนของรู้เร็ว ไม่ใช่รู้ช้า
    เปนรสที่อิ่มทันทีที่แยก พิจารณา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2017
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ทีนี้ ถ้า rmj ออกจากบ้าน วางเกมส์ ไปวัด
    กราบพระ ทำทาน สมาทานสีล กินพออยู่
    ไม่หนักจนง่วง นั่งสมาธิ ทำตามรูปแบบได้
    ก้จะดี เพราะอะไรบางอย่าง เราต้องทำเพื่อ
    อนุเคราะห์ผู้อื่นที่เขาใส่ใจดูแลเรา เขาต้องอาสัย
    "วัตร" เพื่อเปนสื่อบอกเขาว่า เรามีความปรกติอยู่สุข

    ทีนี้ ตอนกลับบ้าน ถ้าจะห้ามไม่ได้ที่จะคว้าเกมส์

    เราจะแยก ธาตุ แยกขันธ์ ได้ไหม

    อันนี้ต้องท้าพิสูจน์ ทดลองพิจารณา ในขณะที่
    ทำกิจกรรม เอามาบริหาร ให้เปน กัมมัฏฐาน

    สังเกตตรงนี้

    ก่อนจะกด สูตรคอมโบ้ สังเกตใจ ต้องกระทำ
    ไว้ในใจก่อนอย่างไร ต้องรอจังหวะสมควรแกทำ
    หรือ ปล่อยได้ในหนึ่งวินาทีเพื่อให้คนอื่นเขาเหน
    ว่าเราเล่นสูตรเปน แต่ไม่เกิดประโยชน์ จั่วลม

    ที่นี้ ตอนกระทำไว้ในใจ แม้นสูตรยาวแค่ไหน
    เราจะแค่ กระทำไว้ในใจสั้นๆ แรกๆอาจจะต้องชำเลืองบ้าง

    พอชำนาญ จิตแนบกับคำบริกรรม ก้อาสัยสติ
    เข้าระลึกแปปเดียว พอจังหวะหมาะ ก้ปล่อย

    ตอนปล่อย หากจิตมันเด่นในการตรวจสอบการกด
    โดยระลึกความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวที่นิ้วสัมผัส
    ตรงนี้คือ จิตไปรู้ธาตุ4 แปรปรวน ถ้าจมแช่
    ติดขัดก้ไม่ครบสูตร

    ถ้าจิตชำนาญกว่านั้น จะไสลปุ่ม ใส่ใจแต่ สติ
    ที่ระลึกได้ชัด ไม่ได้ชัด อันนี้คือ รู้อยู่ที่จิต เหลือ
    แต่จิตผู้รู้ เด่นดวง เกิดดับ เล่นแบบชิวๆ ไม่เครียด ไม่ร้อน

    ถ้าจิตชำนาญกว่านั้น ปล่อยสูตรเข้าเป้าก้ยอมรับ
    ไม่เข้าเป้าก้ยอมรับ ข้ามความยินดี ยินร้าย ไม่
    ติดข้อง รำคาญใจ สุขใจ เพราะเหนว่า ของ
    ชั่วคราว นี่ เวทนาสคิปัฏฐาน

    ทั้งหมด เล่นจบ ไม่จบ แพ้ หรือชนะ สละออก
    ผละออกได้ทันทีที่ แม่เรียกไปทานข้าว มีกิจอื่น
    ที่ต้องทำตามหน้าที่ เหนความอาวรณ์บ่ายหน้า
    คลุกเกมส์ ออกจากเกมส์ เปนสิ่งเกิดดับ
    ชั่วคราว นี่ ธรรมในธรรม

    ลองดู

    จะเปนนักกสิณ ปัญญาวิมุติ อุภโตภาค หรือ
    ชำนาญในทุกอรรถสาระเพื่อธรรม มันจะคละ
    เคล้ากันไป จะเปนอะไร ก้ขึ้นกับ จังหวะผ่าน
    ตลอด ว่าตอนนั้นใช้อะไร


    ปล. ถ้าเล่มเกมส์แล้วอินความมันส์อย่างเดิม
    ก้สลับ ออกจากบ้าน ไปวัด กราบพระ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2017
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ยังขาดตัวละคร อยู่นะ...พระเจ้าไง ซาตานไง ลูซิเฟอร์.....พอมีพระเจ้ากับซาตาน ก็ต้องมีนางเอกอีก...นางพร้า....นางแก้ว....ตามมาอีกเป็นฝูง

    ทั้งหมดมีอยู่ในจิต ในความคิด...มีมากมายจนทำให้....ลืมตัวเอง ว่าตนเองเล่นบทอะไร...
     
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    แต่บทเทพ พระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม..พระต่างๆ .เจ้าแม่อีกเยอะนะ
    มีเยอะเลย.....จิตมันพาไป....จะเป็นอะไรอ่ะ....
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เลยทำให้เกิด พุทธ...ในแบบ นิกายต่างๆ ตามแต่ที่ตนเองเชือและศรัทธา..หรือที่ตนเองหลง.เพราะเห็นว่า มันมีตัวมีตน จะได้เอามาอ้างอิงกับคนอื่นได้ไง...ว่า....เฮ้ย มีจริงนะเว้ย ตูไปเห็นมาแล้ว....เชื่อตูเถอะ

    สุดท้ายกลายเป็นว่า พาคน หลงตาม...กันยกใหญ่..ต้องรับผิดชอบกรรมล่ะทีนี้ มันเลยจะซวยเพราะ คนที่ไม่เห็นตามไง...ทำตามฝึกตาม แต่ไม่เห็น..ก็กลายมาเป็น ดาบตัดหัวตัวเอง...ตามระเบียบของ การเที่ยง การมีอัตตาว่า...อ้าง อสังขตะ
     
  18. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    นี่ๆ....ยังมีอีกโลกหนึ่งนะ.....โลกอุดรพิสดาร....อันฤกษ์โอฬาร สะอาด สว่างสดใส .....แดนนิพพาน อันเดียวกันรึเปล่า...น่าจะไช่นะ

    โลกอุดร...ไง....
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทศพลญาณ..สิบ....หรือปัญญาอันยิ่ง..สิบประการ

    ที่ประเทศเรา ก็ แงะมาฝึกกันไง เอาที่ตนอยากมีอยากได้ อยากเป็น อยากเห็นนิพพาน อยากเห็นพระพุทธเจ้า.....พะนะ...ธรรมกลาย มโนมานึกยึด...ถอดจิตย์ กายทิพย์....ก็ว่าไป.....ก็เข้าข้างตนเองไง....

    โอ๊ยยยยยย แดนนิพพาน เมืองนิพพาน ไปง่ายจะตาย...(อยากถามแค่ว่า ...ไปแล้ว แล้วกลับมาทำไม?)....ให้เปลืองข้าวสุก...อิ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    พูดถึงคนตั้งกระทู้นะครับ

    ก็ชอบพูดแต่เรื่องสูงๆหล่อๆเท่ห์ๆ
    ป่านว่าระดับน้องๆอรหันต์
    ทางปฏิบัติเรียกว่า พี่ช่างมั่วได้ใจจริงๆ
    แต่ความสามารถทางจิต
    ที่จะไปเห็นกิริยาต่างๆเหล่านี้
    ระดับเตรียมอนุบาล...
    เอาแต่เรื่องสูงๆมาพูด
    แต่ไม่เข้าสภาวะเลย
    ตำรากล่าวไว้ระดับสูงๆ
    ไปอ้างอิงมาเสริม
    แต่ตัวเองปฏิบัติก็ยังเข้าไม่ถึง
    แม้แต่เสี้ยว...ยังกล้ามาพูด
    เรื่องนิพพง นิพพานธาตุ....



    สร้างสติทางธรรมให้มีจน
    แยกรูปแยกนามให้ได้ก่อนดีไหม
    เดินปัญญาให้ได้ก่อนดีไหม...
    จิตทำงานได้ก่อนดีไหม...
    เห็นได้ยังผู้ดู ผู้รู้ รู้ไหมกิริยาเป็นอย่างไร
    เกิดหรือยังปัญญาญานที่จะรู้ไปเห็น
    กระบวนการทำงานตรงนี้
    สมาธิสะสมมีมากพอไหม..
    พอมีสมาชิกมาถามเรื่องการปฏิบัติพื้นฐาน
    ถึงเข้ามาแนะนำแบบไปไม่เป็น
    กลายเป็นปลายตายน้ำตื่นๆ
    หรือน้ำลดตอโผล่กัน....
    การปฏิบัติ มันจะไปคิด วิเคราะห์ แยกแยะเอาไม่ได้หรอก
    มันต้องปฏิบัติให้เข้าถึง รู้แล้วค่อยวาง
    ตำรานะมีไว้อ้างอิงได้ แต่ไม่ใช่ไปคิด วิเคราะห์เอา
    ในเรื่องสภาวะต่างๆที่ปรากฏในตำราว่าจะต้อง
    เป็นอย่างโน้นนี่นั้น นี่มันเป็นการปรุงแต่งล้วนๆ...
    นี่หละเป็นเหตุให้ ปฏิบัติมากี่ปี นอกจากปัญญาทางธรรม
    ไม่เพิ่มขึ้นวกๆวนๆพูดเหมือนปลาว่ายน้ำให้อ่าง
    ใช้งานทางจิตอะไรก็ไม่ได้
    ฝึกกรรมฐานอะไรถึงไม่สำเร็จซักอย่าง...
    เพราะนิสัยอย่างนี้หละครับ..
    แถวบ้านเรียกว่า ติดหล่อ
    แต่ไม่ดูเหง้าหน้าตัวเอง.(เปรียบเทียบ)




    เอาง่ายๆเลยนะครับ...
    เข้าใจนัยยะตรงนี้ไหม....
    '' ถ้ายังเห็นได้อยู่ ถ้ายังรู้ได้อยู่ ยังไม่ใช่สภาวะดับ
    และยิ่งถ้ายังพิจารณาอยู่ยิ่งไม่ใช่สภาวะดับ ''
    ก่อนจะไปพูดไปกล่าวถึง นิพพง นิพพาน นิพพานธาตุอะไร
    ระดับสภาวะที่มีเฉพาะในท่านที่มีปัญญาญานมากเพียงพอแล้ว
    ที่จะเข้าใจกระบวณการเกิด เหตุต่างๆที่เกิด

    ตัวที่จะเข้าไปรู้ไปเห็นกะบวณการต่างๆ
    เข้าใจเหตุและผลต่างๆถึงสาเหตุที่มันเกิดได้
    ที่จะมาเป็นทั้งผู้ดูผู้รู้ได้
    ว่าแท้มันเป็นยังเป็นแค่โปรแกรมการปรุงแต่งอยู่

    ก่อนที่จะมีปัญญามากพอที่จะไปดับไปตัดมันได้
    นั่นคือปัญญาญานครับ
    โดยมากเรารู้แค่จากตำรา และมาคิด วิเคาระห์ พิจารณาเอาเอง
    แต่ปฎิบัติไม่ถึงขั้นที่จะเห็นทั้งผู้ดูว่าเป็นอย่างไรในทางนามธรรม
    ไม่รู้ว่าผู้รู้มีกิริยาอย่างไรอีกในทางนามธรรม

    ยิ่งถ้าไปหนักทางวิปัสสนาฝ่ายเดียวก็จะเห็นแต่ผู้รู้
    เพราะสภาวะมันเอื้ออย่างนั้น..
    ไม่มีทางเห็นผู้ดูได้ถ้าไม่มีสมถะร่วมด้วยครับ


    เพราะฉนั้นถ้าเราจะเข้าใจโปรแกรมการปรุงแต่ง
    ต่างๆเหล่านี้ได้ เห็นทั้งผู้ดู และ ผู้รู้
    จำเป็นจะต้องมีทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันครับ
    ไม่งั้นก็จะได้แต่ คิด วิเคราะห์ แยกแยะเอา
    ยิ่งไปฟังธงว่า ต้องมาทางสติปัฏฐาน ต้องมาทางโน้นนี่นั้นเลย
    มันก็จะรู้จักแต่ผู้รู้ รู้แค่ว่า ส่งออกมาจากจิต
    แต่จะไม่สามารถเห็นเข้าไปได้อีกว่า
    ก่อนที่จะมาถึงกระบวนการของผู้รู้

    ที่สายพี่มั่วได้ใจทั้งหลาย รู้ว่ามาจากจิตนั้น
    มันมีกระบวณการเกิดได้อย่างไร
    และที่หนักคือไปติดตรงตัวผู้รู้ แต่ตัดและปล่อยไม่เป็น
    จะปล่อยได้อย่างไรหละครับ เอาอะไรไปตัด
    ไปคิดวิเคราะห์ แยกแยะเอามันตัดได้ไหม
    หรือไม่มีความสามารถใช้งานทางจิตได้
    มันจะไปฝึกตัดให้เข้าให้รู้สภาวะชั่วคราวได้ไหม
    ไม่มีปัญญาญานมากพอที่จะเข้าใจกระบวนการเกิด
    ตรงนี้ได้ จิตมันจะตัด จะคลายตัว เข้าสู่สภาวะที่ไม่มี
    อะไรมาเกาะจิตเลยได้ชั่วคราวไหมหละครับ
    มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะ อ้างตำราสูงๆแล้วมาวิเคราะห์เอา
    ด้วยการแยกแยะ พิจารณาอย่างนี้....
    อยู่จนโลกแตกไป ๓ รอบยังไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ..



    ก็เพราะเราไม่เห็น
    ต้นกำเนิดของผู้รู้ ไม่รู้และเข้าใจกิริยาจากต้นกำเนิด
    ที่ทำหน้าที่เสมือนผู้ดูตรงนี้ ที่จะทำให้เรายึดติด
    ในสิ่งที่เรารู้ แท้จริงมันก็ทำหน้าที่คล้ายๆผู้รู้
    ที่มันแค่ไปรู้ในสิ่งที่ไปกระทบว่าคืออะไร
    แต่ไม่รู้สาเหตุแห่งการเกิดเหล่านั้นหลอกครับ

    และยิ่งพอไม่เห็นผู้ดู ไม่เข้าใจตรงนี้ ไม่มีปัญญาญาน
    ในการเห็นตรงนี้ จึงกลายเป็นว่า ทำให้เราเกิด
    กระบวนการปรุงแต่งซ้อนทับเพื่อที่จะให้เกิดความรู้
    ที่เราคิดเอาเองว่า มันจะไปรู้กระบวนการเกิดของพวกนี้ได้
    ด้วยการคิดวิเคราะห์ แยกแยะ พิจารณาซ้ำลงไปอีก
    และหลงไปกับโปรแกรมปรุงแต่งเหล่านี้อยู่
    มันจะไปรู้กระบวนการต่างๆเหล่านี้ได้อย่างไร
    ก็มันยกตัวมันเองซ้อนกันอยู่อย่างนั้น
    จากการคิดวิเคราะห์ แยกแยะของมันเอง......

    ปล.แล้วจะรู้สภาวะนิพพานได้หรือ???
    แล้วจะไปพูดนิพพานธาตุจะพอรู้ตรงนี้ได้หรือ???
    พูดเพื่ออะไร ????
    หรือ พูดแล้วมันดูหล่อดีแฮะ
    ดูเท่ห์ดีนะ ดูทรงภูมิดีวะ
    ดูเหมือนมีคุณธรรมระดับสูงส่งดีเนาะ
    สาวๆมาอ่านกรี๊ดกร๊าด...
    คนเข้ามาอ่านๆใหม่ๆอึ้งทึ่งว้าวๆๆๆ....


    รู้ไหม ผู้รู้มีคุณสมบัติอย่างไร อย่างคุณผ่านว่า
    รู้ไหม ผู้รู้กิริยาเป็นไง...เกิดได้ไง...
    ก่อนจะไปพูด นิพพง นิพพานธาตุ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...