เรื่องเด่น นิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา ? “หลวงตา” ชี้ต้องก้าวเดินไปตามสายทางไตรลักษณ์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย อกาลิโก!, 19 กันยายน 2017.

  1. อกาลิโก!

    อกาลิโก! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    609
    กระทู้เรื่องเด่น:
    531
    ค่าพลัง:
    +3,731
    P7131444.jpg


    “ความละเอียดของจิต” ก่อนจังหัน

    สถานที่ต่างๆ ตามหลักของชาวไทยซึ่งเป็นชาวพุทธแล้ว ถ้ามีการอบรมศีลธรรมอย่างนี้แล้วบ้านเมืองเราจะสงบร่มเย็น ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปเพื่อความราบรื่นดีงาม แต่นี้อบรมก็มีแต่อบรมกองทัพกิเลสๆ เหยียบหัวคนลงทะเลๆ ไม่มีใครจะฟื้นได้ ดิ้นกันว่าที่นั่นเจริญที่นี่เจริญ มันเจริญอะไร เจริญตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวอกคนที่ไม่มีธรรมะภายในใจนั้นแล ผู้มีธรรมะเผาท่านไม่ได้นะ อย่าเข้าใจว่าโลกนี้จะเป็นไฟไปหมด โลกที่มีธรรม ใครที่มีธรรม สมาคมใดที่มีธรรมไม่เผานะ ต่างกัน ต่างกันมากทีเดียว นี่ละธรรมจึงเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอ ซึ่งควรที่จะน้อมเข้ามาสู่จิตใจ เพื่อจิตจะได้รับความสงบร่มเย็นทั่วหน้ากัน

    วันพระหรือวันเสาร์วันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันว่างจากงานการทั้งหลายภายนอก ที่เกี่ยวกับการดูแลธาตุขันธ์ความเป็นอยู่ปูวาย ว่างงานเหล่านี้แล้วก็ควรจะให้มีงานภายในจิตใจ อบรมศีลธรรม การทำบุญให้ทานนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจเป็นอย่างดี ยิ่งได้รับการอบรมภาวนาด้วยแล้วยิ่งเด่น พุทธศาสนาเด่นอยู่ที่ภาวนา หลักของพุทธศาสนาคือหลักภาวนา ไม่ใช่อย่างอื่น พวกทาน การรักษาศีลอย่างนี้เป็นกิ่งก้านของการภาวนา ถ้าการภาวนามีมากเท่าไรดีเท่าไรในจิต สิ่งเหล่านั้นจะเรียบร้อยดีงามไปตามๆ กันหมด

    แม้แต่วัตถุทานที่ท่านทั้งหลายนำมาบริจาคนี้ เราบริจาคตามนิสัยของเราที่เป็นมาดั้งเดิมนี้อย่างหนึ่ง พอได้รับการอบรมจิตใจมากเข้าๆ ทุกสิ่งทุกอย่างจะละเอียดลออไปตามๆ กัน พิถีพิถัน ดูแล้วดูเล่า แม้ที่สุดทานที่จะเอามาให้ทานนี้ก็ยังดูแล้วดูเล่า นั่นละความละเอียดของจิต เป็นยังไงเรียบร้อยไหม ดีไหม จะเป็นอยู่ในจิตเอง ไม่ว่ากิจการงานใดถ้ามีธรรมเข้าในใจแล้วจะมีความละเอียดลออ มีการรับผิดชอบในตัวของตัวเองทุกอย่างๆ แล้วไม่ค่อยผิดพลาด

    นี่เอะอะก็ทำไปๆ ตามความอยาก เป็นนิสัยของกิเลสทั้งนั้น ซึ่งมักจะทำคนให้เสียเป็นอย่างน้อย ทำคนให้เสียเป็นอย่างมาก ให้พากันอบรมจิตใจ สถานที่ใดมีธรรมแล้วดีๆ พระเหล่านี้ก็เหมือนกัน วัดใดเป็นวัดปฏิบัติเคร่งครัดตามหลักธรรมหลักวินัยของพระพุทธเจ้า วัดนั้นจะเป็นวัดที่สงบร่มเย็น งามตา มองดูแล้วงามตา ฟังแล้วไพเราะเพราะพริ้งด้วยเหตุด้วยผลทางหูของเรา จิตใจก็ชุ่มเย็นเบิกบาน นี่ละธรรมไปที่ไหนไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย ธรรมไม่เคยเป็นภัยต่อผู้ใด เป็นคุณล้วนๆ

    เรื่องกิเลสเป็นตัวภัยๆ แต่โลกไม่ได้มอง กิเลสเป็นภัยทุกด้านทุกหัวใจสัตว์ แต่ธรรมนี้เป็นคุณ หากไม่ค่อยมีใครสนใจปฏิบัติรักษาศีลธรรม โลกนี้จึงหาความสงบร่มเย็นไม่ได้ มีแต่ฟืนแต่ไฟ คนมีจำนวนมากเท่าไรๆ บีบบี้สีไฟ เบียดเบียนทุกแบบทุกฉบับต่อกัน นั่นละกิเลสต้องเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอภายในใจของแต่ละรายๆ ส่วนธรรมไม่เอานะ ธรรมไม่เอา พิจารณาให้สม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย เฉลี่ยเผื่อแผ่ทุกอย่าง เช่น วัตถุทานที่ท่านทั้งหลายเอามานี่ ท่านจะแจกจะแจงให้สม่ำเสมอกันไปหมด นี่ละธรรมท่านไม่ได้เห็นแก่พุง ไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง ท่านต้องเห็นด้วยกันทุกคน มีความสม่ำเสมอ

    นอกจากนั้นหากมีน้อย เราไม่เอา สละไปเลย ธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่เหมือนกิเลส มีน้อยกว้านเข้ามากินหมดเลย นี่กิเลส ถ้าธรรมแล้วเฉลี่ยไป มีน้อยควรจะเอาไม่เอา เสียสละให้ผู้อื่น นั่นละธรรมไปที่ไหนจึงชุ่มเย็น ตัวของเราก็ให้พิจารณา กิเลสมันแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้า นักภาวนาเท่านั้นจะเห็นภัยของกิเลสได้เป็นอย่างดีและดีสุดยอดเลย เรื่องภาวนาเป็นเรื่องละเอียดลออ สติปัญญา ความพินิจพิจารณา อยู่ในคำว่าภาวนานี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ภาวนานั่งหลับหูหลับตาเซ่อๆ หลับครอกๆ นั่นไม่ใช่ภาวนา การภาวนาจริงๆ สติจ้ออยู่กับจิต ปัญญารอบคอบตัวเองในเวลานั่งภาวนา ออกจากนั้นไปสติปัญญาก็รอบคอบในกิจการงานทั้งหลาย ไม่ค่อยผิดพลาด

    ผิดกันมากคนมีธรรมกับไม่มีธรรม เฉพาะอย่างยิ่งการภาวนานี้เป็นการแจงความเฉลียวฉลาดของจิตใจเราออกให้กว้างขวาง ลึกซึ้งมากไม่มีอะไรเกินจิตตภาวนา จิตตภาวนานี้เป็นความละเอียดลออ ธรรมเกิดเองอันนี้ ท่านว่าธรรมเกิดๆ เกิดจากจิตตภาวนา กิเลสเกิด เกิดขึ้นจากการไม่สนใจอรรถธรรมเลย กิเลสเกิดได้วันยังค่ำ ธรรมจะเกิดได้เวลาพินิจพิจารณา นี่ท่านเรียกว่าธรรม จำเอานะ

    พระเราก็เหมือนกันให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ให้เป็นที่ชุ่มเย็นในตัวเอง วันหนึ่งๆ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมายันค่ำ เราเสาะแสวงหาอรรถหาธรรมตลอดมาจนกระทั่งถึงเวลาหลับนอน ผลเป็นยังไงในจิตใจของเรา มันสงบร่มเย็นลงไปหรือมีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ถ้าอย่างนั้นขาดทุนๆ วันนี้ก็ขาดทุน วันหน้าก็ทำแบบเดียวกัน แล้วก็ขาดทุนแบบเดียวกัน พระองค์นี้บวชไปนานเท่าไรยิ่งจม บวชได้พรรษามากๆ ยิ่งเขาตั้งเป็นพระครูพระคัน เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ เป็นสมเด็จด้วยแล้วยิ่งหยิ่งใหญ่ ตัวนี้ตัวกอบโกยกิเลส คลังกิเลสใหญ่ๆ อยู่กับพระองค์ใหญ่ๆ นั้นแหละ ใหญ่เท่าไรยิ่งพองตัวมากขึ้นๆ คือพระที่กิเลสแทรกนะ

    ถ้าเป็นพระอย่างพระพุทธเจ้านี้ใหญ่เท่าไรยิ่งมีความสงบร่มเย็นแก่ตัวเอง และทำประโยชน์ให้แก่คนอื่นได้มากมาย ใครมองเห็นอยากกราบไหว้บูชา นี่คือผู้มีธรรมในใจ ใหญ่เท่าไรธรรมก็ใหญ่ ถ้ามีแต่กิเลสภายในใจใหญ่เท่าไรกิเลสทั้งนั้นละตัวใหญ่ๆ พองตัว แล้วมิหนำซ้ำยังขายความหยาบโลนออกไปให้โลกเขาเห็นด้วย อยากเป็นนั้นอยากเป็นนี้ อยากเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ อยากเป็นสมเด็จ กว้านนั้นกว้านนี้เข้ามา มันบ้า ไม่ใช่สมเด็จ เขาเรียกบ้า บ้ากิเลส เอาธรรมเป็นโล่บังหน้าเท่านั้น ดูให้ดีนะพระเราทุกคนๆ

    ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม ตั้งอะไรขึ้นมาก็ตั้งเถิด ตั้งเพื่อเป็นเครื่องเสริม แต่มันเป็นเครื่องกดถ่วงตัวเองลงสำหรับบุคคลผู้สั่งสมกิเลส ใหญ่เท่าไรกิเลสยิ่งใหญ่ คลังกิเลสอยู่กับพระองค์ใหญ่ๆ ที่ไม่มีธรรมในใจนั่นละ ไม่มีใครพูดอย่างนี้นะ ไม่มีใครกล้าพูด เขาไม่กล้าแตะละ แต่ธรรมของพระพุทธเจ้านี้เข้าได้ทุกแง่ทุกมุม นี้นำมาพูดได้ให้รู้ความผิดถูกชั่วดีของกิเลสที่มันแทรกหัวใจคนหัวใจพระ มันแทรกที่ตรงไหนเปิดออกมาให้เห็นหัวตับหัวปอดของมัน จะได้ฆ่ามันหมดทั้งโคตร โคตรมันคืออะไร คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา โคตรของมันขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่มีอะไรจะมีความสุขยิ่งกว่าหัวใจที่พ้นจากกิเลสแล้ว หมดโดยสิ้นเชิง

    ท่านผู้สิ้นจากกิเลสแล้วอยู่ไหนท่านไม่เป็นภัยต่อใคร ถึงกิริยาอาการจะแสดงออกแบบใดก็ตาม ธรรมภายในใจบริสุทธิ์ล้วนๆ เป็นคุณทั้งหมดในกิริยาที่แสดงออก พากันจำเอานะ ตัวของเราเองที่แสดงออกต่อตัวของเราก็เป็นคุณล้วนๆ ถ้ากิเลสแทรกนี่กิริยาใดก็ตามของคนๆ นั้นพระองค์นั้นเป็นกิเลสทั้งหมด เป็นภัยทั้งหมด อยู่ไหนก็รุ่มร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้ามีธรรมในใจอยู่ไหนก็ชุ่มเย็น

    เอาให้ดีนักภาวนา เคยย้ำเสมอว่าสติเป็นสำคัญมาก อยู่ที่ไหนก็ตามสติให้มี ยิ่งการภาวนาแล้วสติไม่พรากจากใจ กิเลสไม่เกิด จำคำนี้ให้ดี มันจะหนาแน่นยิ่งกว่าภูเขาก็ตามกิเลส ถ้าลงสติดีอยู่แล้วไม่เกิด เกิดไม่ได้ ฟัดกันอยู่นั้น ถ้าสติเผลอเมื่อไรปั๊บออกแล้วๆ เพราะฉะนั้นความไม่เผลอสติจึงเป็นเครื่องกั้นกางกิเลสได้เป็นอย่างดี และทำลายกิเลสไปในตัว ที่ยังไม่เกิดไม่เกิด ที่เกิดแล้วค่อยระงับดับลงไปด้วยสติ จากนั้นก็ปัญญาแทรกกันเข้าไป แทรกกันไป สติสัมปชัญญะ ปัญญา และให้เพียรเสมอ คนนี้เรียกว่าสั่งสมตัวเองบำรุงตัวเอง จะค่อยเจริญรุ่งเรือง จิตยังไม่ตั้งรากฐานก็เถอะ ถ้าลงมีสติดีแล้วตั้งได้ๆ ไม่สงสัย ถ้าสติพลาดพลาดไปด้วยกันหมด สติเป็นของสำคัญมากในวงความเพียร พากันจำให้ดี

    วัดนี้ที่พระเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นหมื่นๆ แสนๆ นะไม่ใช่ธรรมดา มาก็ว่ามาอบรมๆ แต่อบรมแบบไหนไม่ทราบ ออกไปแล้วยิ่งไปแสดงลวดลายเป็นบ้าไปเลยมีเยอะนะ อาตมาเป็นลูกศิษย์อาจารย์มหาบัว นี้แพรวพราวหมดนะ ใครอยากให้ลองเครื่องก็ให้มา จะไปอย่างนั้นนะลูกศิษย์หลวงตาบัว มันมักเอาหลวงตาบัวไปขายกิน แต่หลวงตาบัวจะดีหรือไม่ดีท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่แล้วเวลานี้ การแนะนำสั่งสอนก็เต็มภูมิ สอนบรรดาพี่น้องทั้งหลายได้ ๕๖ ปีนี้แล้วที่สอน ไม่มีภาระอะไรเกี่ยวข้องกับหัวใจตัวเองเลย มีแต่สอนคนอื่นล้วนๆ ภาระนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว บรรดากิเลสทั้งหลายที่ทำให้เป็นภาระ ขาดลงไปหมด เหลือแต่ธรรมล้วนๆ แนะนำสั่งสอนโลกเรื่อยมา จึงแน่ใจว่าไม่ผิดในการแนะนำสั่งสอน

    เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนาแน่ใจเลย เพราะฟัดกันอยู่เป็นเวลา ๙ ปีเต็มเราไม่ได้ลืม ฟัดกับกิเลสนี่ ๙ ปีเต็มจึงขาดสะบั้นลงไป มีแต่ธรรมจ้า จ้าอยู่ตลอด นี่ละธรรมทำไมพูดไม่ได้ ของดิบของดีพูดไม่ได้มีอย่างเหรอ ค้นหาของดีกันทั้งโลก ทำไมพูดของดีมันแสลงอะไรกันกับกิเลส กิเลสตัวเป็นภัย พูดเรื่องธรรมไม่ได้นะมันเป็นฟืนเป็นไฟเผาเข้ามาทันที กิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกัน นี้พูดธรรมะ ปฏิบัติได้มากน้อยพูดสู่กันฟังเพื่อความเป็นสิริมงคลต่อกัน มีความเสียหายที่ตรงไหน

    ไอ้เรื่องความชั่วช้าลามกมันเกลื่อนแผ่นดินอยู่นั้น ทำไมไม่เห็นโทษของมันพอจะระงับดับมันบ้าง แล้วจะได้พูดคุยกันด้วยความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงในอรรถในธรรมต่อไป มีความสงบร่มเย็นแก่ใจ อันนี้สมาคมใดก็มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้น แล้วทำไมไม่เห็นโทษของมันบ้างล่ะ พูดธรรมะเพียงเท่านี้เสียหายไปแล้วเหรอ นี่ละมันขวางกิเลส กิเลสมันยกทัพขึ้นมาเลย เพราะที่ไหนก็มีแต่คลังกิเลสๆ ธรรมแย็บออกไม่ได้มันโจมตีแหลกหมด

    ในระยะนี้ยังดีนะ ชาวพุทธเรายังไปวัดไปวาได้อย่างเปิดเผย ไปหาภาวนาในป่าในเขาที่ไหนได้อย่างเปิดเผย ครั้นต่อไปนี้กองทัพกิเลสมันหนาแน่นเข้าๆ นี้ไปวัดไปวา เข้าป่าเข้าเขาไปภาวนานี้ จะได้ด้อมๆ มองๆ ไป ไม่งั้นกิเลสเหยียบแหลกๆ คลื่นของกิเลสเหยียบธรรมเหยียบอย่างนั้น พากันเข้าใจนะ เวลานี้ยังไม่เป็น แต่จะเป็นในกาลต่อไปไม่ผิด เวลานี้ไปได้อย่างเปิดเผย ต่อไปกิเลสหนาเข้าๆ ใครจะไปเสาะแสวงหาความดีงามทั้งหลายต้องด้อมๆ มองๆ ไปเหมือนเขาไปฉกไปลักไปขโมยนั้นแหละ นี่ละอำนาจของกิเลสเมื่อมันหนาเข้ามันด้านไปหมด เหยียบแหลกไปหมด ไม่มีหิริโอตตัปปะในหัวใจเสียอย่างเดียว โลกนี้ร้อน เอาละให้พร


    0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2-%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2-2185pR.jpg


    หลังจังหัน

    บ้านหนองน้ำเค็ม อยู่ทางตะวันตกอุดรฯ ห่างจากอุดรฯ ไป ดูจะประมาณ ๑๑-๑๒ กิโล เราเคยไปภาวนาแล้วนั่น ที่นั่นพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านเคยไปพักภาวนาอยู่ ไปอยู่ที่ไหนท่านไม่อยู่ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์นิมนต์ท่านมาจากเชียงใหม่ ให้ท่านมาจำพรรษาที่วัดโนนนิเวศน์ ท่านก็มาอยู่ให้เฉพาะเวลาจำพรรษา พอออกพรรษาแล้วท่านก็ไปตำบลหมากหญ้าบ้าง หนองน้ำเค็มไปอยู่นู้น ท่านไม่ได้มาอยู่วัดโนนนิเวศน์นะ ท่านไม่ขัดใจแต่ท่านมาให้ หากอยู่เฉพาะจำพรรษา ออกพรรษาแล้วท่านหนีเลย เป็นอย่างนั้นละ

    (อาจารย์เสถียร สมาจาโร ที่ว่าอัฐิเป็นแก้วน่ะครับ) ไหนนี่เหรอ (นี่ละครับ ด้านหลัง(หนังสือ) นี่เป็นแก้วเลยครับ) ก็อย่างนี้แหละเห็นไหม หาอรรถหาธรรมหาความดีงาม ดูเคยมาอยู่วัดป่าบ้านตาดหรือว่างั้น (เป็นคนอุดรฯครับ ) เอ้อ ว่าเป็นคนอุดรฯ ท่านไปอยู่ทางแดนพม่านะ (ครับพวกกะเหรี่ยง พม่า) กะเหรี่ยง พม่า ท่านองค์นี้ ท่านบอกทำนายไว้เลย นั่นเห็นไหมความแน่ในหัวใจ เวลาท่านตายให้ทำอย่างนั้นๆ อัฐิของท่านจะเป็นพระธาตุแน่นอนท่านบอกไว้แล้ว องค์นี้ละ ใครจะเอาไปแจกๆ เป็นมงคล อันนี้นับว่าเป็นมงคล

    เหล่านี้รูปอะไร นี่ๆ (ท่านธุดงค์ แล้วท่านบิณฑบาต มีอาจารย์อุทัยกับท่านอาจารย์สาครร่วมอยู่ด้วย ท่านไปเจออาจารย์สาคร แล้วก็ติดตามไปที่เมืองกาญจน์ แล้วก็ไปธุดงค์กรรมฐานที่นั่น ท่านอาจารย์อุทัยก็ได้เจอกัน ได้ร่วมบิณฑบาตด้วยกันครับ ใหม่ๆ จิตท่านฟุ้งซ่านท่านให้พระมัดท่านไว้ทั้งแขนทั้งขาสามวันสามคืน) คือจิตท่านฟุ้งซ่าน แล้วให้พระมัดแข้งมัดขาไว้เช่นนั้น มัดแข้งมัดขาเห็นไหมล่ะ นี่องค์ท่าน เวลาตายแล้วท่านบอกแต่ยังไม่ตาย เวลาตายแล้วให้เผาศพท่าน แล้วอัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุแน่นอนท่านบอกอย่างนั้น แน่ะเห็นไหมล่ะ

    ครั้นเวลาถามไปๆ ไม่พ้นท่านมีครูมีอาจารย์ มายังไงต่อยังไงท่านถึงไปอยู่นู้น ท่านได้รับการอบรมจากใคร บทเวลาสรุปลงแล้วเทปหลวงตามหาบัวเต็มอยู่ในนั้นว่างั้น แน่ะอย่างนั้นนะ มันก็ไปอย่างนั้นจนได้ ท่านฟังเทปอาจารย์มหาบัวตลอดเลย ก็อย่างนั้นแหละ เวลาจิตท่านฟุ้งซ่าน (ให้พระมัดแขนมัดขาท่านไว้สามวันสามคืนเลยครับ) นั่นฟังซิ เวลาจิตท่านฟุ้งซ่าน ท่านสั่งให้พระมามัดแขนมัดขาท่านไว้สามวันสามคืน แล้วเป็นยังไงต่อไป (ท่านก็ภาวนาของท่านเรื่อยไป) เอ้อ ท่านก็ภาวนาเรื่อย มัดแขนมัดขาไว้เลยภาวนาเรื่อย เห็นไหมล่ะ

    วิธีไหนก็ตามเถอะถ้าวิธีกิเลสจะพังละเอาเลยเข้าใจไหม มัดแข้งมัดขาอะไรได้ เอ้า ถ้ากิเลสจะพังฟัดลงไปเลย นี่ละวิธีการสู้ น่าฟังอยู่นะท่านพูด จิตท่านฟุ้งซ่านวุ่นวายเลยให้พระมามัดขามัดแขนอะไรไว้ ท่านภาวนาว่างั้น น่าฟังอยู่นะภาวนา พวกนี้มีใครมัดขามัดแขนไว้มั่ง มันมัดติดหมอนนั่นน้าพวกนี้ นี่ล่ะวิธีการภาวนาเป็นอย่างนั้น.. นี่อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุ แล้วเป็นพระธาตุหลายแบบอยู่นะ (เขาถ่ายรูปมาตอนเผาศพท่าน) เอ้อ นี่เผาศพท่าน นี่เป็นพระธาตุ

    คือจิตของท่านผู้บริสุทธิ์ พูดตามหลักธรรมชาติออกจากหลักธรรมชาติเลย เวลาจิตท่านจิตเรามีกิเลสเต็มตัวนี้ธาตุขันธ์มันก็เหมือนๆ กัน นี้จิตของพระอรหันต์ท่านพอจิตบริสุทธิ์แล้ว ความบริสุทธิ์และอานุภาพแห่งความบริสุทธิ์ของจิตนั้นจะกระจายออกฟอกๆ ฟอกธาตุฟอกขันธ์โดยหลักธรรมชาติไม่ต้องบังคับ กระแสแห่งความบริสุทธิ์หรือความสว่างของความบริสุทธิ์แห่งใจนั้น จะฟอกออกมากระจายออกมา เหมือนเราซักฟอกของสกปรก เป็นหลักธรรมชาติ ทีนี้เวลาท่านเข้านั่งภาวนานี้ด้วยแล้วอันนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฟอกร้อยเปอร์เซ็นต์ พอจิตเข้าข้างในนี้จะเป็นอยู่ข้างในนี้ฟอกเต็มเหนี่ยวเลย อยู่ธรรมดานี้ก็ฟอก ฟอกโดยหลักธรรมชาติ

    เพราะฉะนั้นร่างกายของท่านในสายตาของธรรมท่านที่มีอยู่ในใจ ใจของท่านกับร่างกายนี้จะส่องถึงกันสว่างจ้า เลยกลายเป็นเรื่องว่าร่างกายนี้กลายเป็นทองคำไป ในสายตาของธรรมในหัวใจของท่านเอง เป็นอย่างนั้น แต่คนอื่นใครๆ ดูแล้วก็เป็นธรรมดาๆ แต่ใจท่านดูธาตุขันธ์ของท่านเป็นรัศมีวิ่งถึงกัน ร่างกายนี้เป็นเหมือนทองทั้งแท่งไปเลย สว่างไปตามๆ กันหมด นี่หมายถึงใจที่บริสุทธิ์ดูธาตุขันธ์ของตัวเอง มันซักมันฟอกของตัวเองเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเวลาท่านล่วงลับไปแล้วปั๊บนี่จึงกลายเป็นพระธาตุ

    แต่ก็ยังมีข้อแม้ข้อหนึ่งอยู่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคำอธิษฐานของท่านด้วยมีด้วยนะ ถ้าสมมุติว่าท่านอธิษฐานให้อัฐิของท่านเป็นยังไงๆ หรือจะไม่ให้เป็นพระธาตุนี้ก็อาจเป็นไปได้อย่างนั้น อาจไม่เป็นพระธาตุ แต่จะเป็นอย่างอื่นอย่างใดให้เห็นแปลกๆ อยู่นั้นแหละ เรื่องจิตที่บริสุทธิ์จึงไม่ใช่ธรรมดา กับธาตุขันธ์ของท่าน ท่านไม่ถามใครท่านเข้าใจ เข้าใจโดยหลักธรรมชาติเหมือนกันนั่นแหละ แต่เราๆ ท่านๆ ธรรมดาดูไม่ออก ตั้งแต่วันท่านสิ้นแล้ว จิตของท่านที่บริสุทธิ์นี้จะซักฟอกธาตุขันธ์โดยหลักธรรมชาติ เป็นเองซักฟอกเอง และยิ่งเวลาท่านเข้าสมาธิภาวนานี้นี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซักฟอกร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เวลาท่านเข้าสมาธิภาวนาจิตเข้าข้างใน ไม่ได้ออกไปข้างนอกธรรมดาๆ เข้าอยู่ข้างในหมดก็ซักฟอกออกมา เป็นอย่างนั้นละ

    วันนี้จะไม่เทศน์อะไรมากนักเพราะเมื่อเช้านี้เทศน์แล้ว นี่เรายังจะมีธุระของเราไปอีกอยู่ วันนี้มีธุระไปอีกอยู่ เรื่องพระเสถียรนี้ท่านมัดแข้งมัดขาท่านไว้ท่านภาวนา ฟังซิเคยมีไหมล่ะ ท่านให้พระมามัดแขนมัดขาท่านไว้ นั่นละท่านภาวนา คือจิตท่านฟุ้งซ่านมาก ให้พระมัดแขนมัดขาเอาไว้แล้วท่านภาวนา เห็นไหมอัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุ.แล้วท่านบอกไว้ด้วยว่า เวลาผมตายแล้วให้ทำอย่างนั้นๆ อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุแน่นอน นั่นท่านบอกแล้ว ก็เป็นจริงๆ

    ผู้กำกับ ถวายสถานีวิทยุครับ เขื่อนภูมิพล อำเภอสามเงา จังหวัดตาก ทางเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ได้เห็นชอบให้ติดตั้งเสาและเครื่องรับคลื่นสัญญาณความถี่ของวิทยุ เพื่อเผยแพร่หลักธรรมพุทธศาสนาแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดตาก ไว้ที่บริเวณเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จึงขอกราบเรียนนมัสการมา เพื่อขอเป็นสถานีเครือข่ายรับสัญญาณทางดาวเทียม จากวิทยุของวัดป่าบ้านตาด เพื่อออกอากาศให้ประชาชนได้รับฟังธรรมะ ในพื้นที่ภาคเหนือและจังหวัดตากต่อไป ขอกราบนมัสการหลวงตาด้วยความเมตตา และโปรดได้พิจารณาและรับสถานีวิทยุไว้เป็นเครือข่ายต่อไปด้วย กราบนมัสการด้วยความเคารพ ลงชื่อ นายบุญอินทร์ ชื่นเชาวลิต ผู้จัดการเขื่อนภูมิพล

    หลวงตา หัวหน้าเขื่อนเขาตั้งหรืออะไร (ครับก็หัวหน้าเขื่อนละครับผู้จัดการเขื่อน) เราก็เคยไปพักแล้วใช่ไหม (ครับเคยไปแล้วสองครั้ง) ไปพักสองครั้งเหรอ (ครับ ที่เขาถามปัญหานิพพานคืออะไรนั่นละครับ เขื่อนภูมิพลนี่ละครับ) นี่ละที่ออกมานิพพานคืออะไร พวกหัวหน้าเขื่อน เขานิมนต์เราไปพักตั้งสองหน ตอนออกไปช่วยชาติ เทศน์ช่วยชาติก็ไปเทศน์ที่นั่น หัวหน้าเขาละถามปัญหาใช่ไหม นิพพานเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตา เราก็ตอบเดี๋ยวนั้นเลย พอตอบเดี๋ยวนั้นตอนบ่ายเขาก็ออกวิทยุเลย ทีนี้กระจายไปทั่วประเทศไทย คำว่านิพพานเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตาเรียกว่าหมดปัญหาไปเลยเงียบเลย นั่นตอบไปอย่างนั้น

    นิพพานคือนิพพานเป็นอื่นไปไม่ได้ขึ้นต้น ทีนี้วิธีการก้าวเดินพระนิพพานคืออะไรอ่านเอาก็รู้เอง ตั้งแต่นั้นมาเรื่องราวสงบเงียบจนกระทั่งป่านนี้ไม่มี เทศน์ที่อื่นเราก็เทศน์ ที่เถียงกันว่านิพพาน บางรายว่าเป็นอนัตตา บางรายว่าเป็นอัตตา การเทศน์ของเราก็เทศน์ ถ้านิพพานเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ละซิ นิพพานวิเศษวิโสอะไร การก้าวเดินเพื่อพระนิพพานต้องก้าวเดินไปตามสายทางไตรลักษณ์ ไตรลักษณะเข้าใจไหม อนิจจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ผ่านนี้แล้วถึงจะเป็นนิพพาน อันนี้เราก็เคยเทศน์แล้วในเทปมี เขาถามก็เลยขึ้นตอบกันเดี๋ยวนั้น เขาก็ออกทางวิทยุ จากนั้นมาเงียบ นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตาไม่ได้ยินเลยเดี๋ยวนี้เงียบเลย

    นั่นของจริงเข้าใจไหม ถอดออกจากนี้ไปพูดผิดไปไหนวะ ก้าวเดินมายังไงๆ จิตดวงนี้มันจะผ่านไปหมดๆ จนกระทั่งถึงที่สุด ผ่านอัตตาอนัตตาไปหมดแล้วจึงเป็นนิพพาน นั่น ถอดออกมาจากหัวใจพูดผิดไปไหนวะ ไม่เห็นใครเถียงวะ แต่ก่อนเถียงกันตลอดไปหมด กี่ประโยคก็ตามก็เรียนมาตามตำรา ความจริงไม่มีในหัวใจ ถอดออกจากความจริงออกจากหัวใจไปแล้วเถียงได้ยังไง นี่พูดจริงๆ เราถอดออกจากหัวใจเรา ใครจะค้าน เราเองผู้ถอดออกไปพูดก็ค้านเจ้าของไม่ได้นี่ว่าไง เอาความจริงมาพูดเลย

    เพราะฉะนั้นคำว่าอัตตาอนัตตาจึงหมด แต่ก่อนเข้าไปแทรกไปแอบไปเป็นนิพพาน อัตตาก็แอบไปเป็นนิพพาน อนัตตาก็แอบไปเป็นนิพพานเข้าใจไหม ใครก็แอบเป็นนิพพาน พอตีลงผางทีนี้นิพพานคือนิพพานเป็นอื่นไปไม่ได้ แล้วอัตตาอนัตตาจะเข้าถึงได้ยังไง เป็นอื่นไปไม่ได้ อัตตาอนัตตามันก็เป็นอื่นใช่ไหมล่ะ มันก็เข้าไม่ถึงได้ นั่น ถอดออกจากนี้ซิ นิพพานคือนิพพานเป็นอื่นไปไม่ได้ก็พูดแล้วนี่ เจ้าของอยู่เจ้าของไปมีปัญหาอะไรเข้าใจเหรอ ไปละ


    (เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙)


    ขอบคุณที่มา
    https://www.thairnews.com/นิพพานเป็นอัตตา-หรืออนั/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กันยายน 2017

แชร์หน้านี้

Loading...