นิยายเพื่อการปฏิบัติอภิญญาน่าจะมาจากหนังสือฤาษีทัศนาจร

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 5 ธันวาคม 2007.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <TABLE width=780 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=580>วันนี้ตรงกับ วันพุธที่ ๕ ธันวาคม ปีพระพุทธศักราช ๒๕๕๐ </TD><TD align=right width=100><INPUT onclick=history.back(); type=image height=16 alt=back width=40 src="http://www.banfun.com/image/back.gif"></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700><TBODY><TR><TD class=cd16 width=700>
    ฤทธิ์อภิญญา ตอนที่ ๔ ... <!--BEGIN WEB STAT CODE----><SCRIPT language=javascript1.1> page="poet";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.1 src="http://truehits1.gits.net.th/data/c0001674.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://tracker.truehits.in.th/func/th_donate_1.4.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://tracker.truehits.in.th/func/th_common_1.4.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.2>sv=1.2;ss=screen.width+'*'+screen.height;sc=(bn=='MSIE')?screen.colorDepth:screen.pixelDepth;if(sc==udf){sc='na';}</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.3>sv=1.3; </SCRIPT>[​IMG] <!--END WEB STAT CODE---->​
    </TD></TR><TR><TD class=cd16 width=700> สองวันมานี้ ทั้ง กวิน เวคิน และทินกร ฝึกกสิณจนชำนาญ สามารถขยาย ย่อ ขนาดของกสิณให้ใหญ่ เล็ก สูง ต่ำ ได้ตามความนึกคิด และการทำกสิณของทั้งสาม สุดท้ายมีสภาพกับดวงแก้วประกายพรึก สวยสดงดงามสว่างไสว ไม่ว่า ลืมตา หลับตา ก็สามารถเห็นดวงกสิณได้ชัดเจนราวกับ มองด้วยตาเปล่า

    ตอนนี้ทั้งสาม นั่งอย่างสงบเสงี่ยมภายในถ้ำต่อหน้าหลวงปู่ พระภิกษุชราเอ่ยขึ้น

     
  2. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
  3. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    หลวงปู่จากไปหลายวันแล้ว พวกเด็กเงียบเหงาไปถนัดตา แต่ก็ไม่ยอมละเมิดคำสอนของหลวงปู่

    เด็กน้อยทั้งสามนั่งบนหน้าผาหน้าถ้ำ เหม่อมองท้องฟ้าอดที่จะรู้สึกอ้างว้างไม่ได้ คำถามหลายคำถามประดัง

    “เราเกิดมาทำไมกันหนอ เพื่ออะไร”

    “ทำไมพอคนที่เราเคารพรักจากไป เราถึงรู้สึกทุกข์ใจอย่างนี้”

    ขณะนั้น ท้องฟ้าสีครามสดใสคล้ายถูกมือมหึมาแหวกออก ปรากฏฉัพพรรณรังสีรัศมี 6ประการ ฉายออกมา พร้อมกับ พระพุทธรูปแก้วในองค์ใหญ่ ทรงจีวรสีฟ้า ฐานพระพุทธรูปแก้ว นั่งอยู่บนดอกบัวแก้วสีขาวอมชมพู เปล่งประกายสวยงามระยิบระยับ พระพุทธรูปแก้ว ยิ้มประโอษฐ์สวย ดวงเนตรมีแววเมตตาเอ็นดูต่อทุกสรรพสิ่ง หากไม่กระพริบ พระพุทธรูปแก้ว ตรัสว่า

    “จำคำพ่อไว้นะลูก คนเราเกิดมาเพื่อให้รู้ทุกข์ เมื่อรู้ทุกข์เห็นทุกข์แล้ว และจงดับทุกข์นั่นเสีย แล้วลูกจะพบคำตอบที่ลูกต้องการ”

    สิ้นพระกระแสรับสั่ง องค์พระพุทธรูปแก้ว ได้หายไปแล้ว ทั้งสามตกตะลึงจนลืมกราบนมัสการ

    “จำคำที่พระท่านสอนไว้นะลูก”

    กวิน เวคิน ทินกร หันขวับไปด้านหลัง ท่านพ่อ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ทั้งสามจึงก้มลงกราบ

    “ต่อไปเป็นหน้าที่ของพ่อที่จะสอนลูก ในด้านของทิพจักขุญาณ ลูกจำภาพพระองค์แก้วเมื่อกี้ได้ไหมลูก”

    “จำได้เจ้าค่ะ ขัดเจนเหมือนมองด้วยตาเปล่า” ทั้งสามตอบพร้อมเพรียงกัน

    “ทีนี้เอาจิตจับองค์พระนะลูก มีความรู้สึกอย่างไรบ้างจ๊ะ”

    “รู้สึกสบายเจ้าค่ะ ไม่เหงาเหมือนเมื่อกี้” เวคินตอบ

    กวินและทินกรตอบพร้อมกันว่า


    “เหมือนกันเจ้าค่ะ พระท่านยิ้มสวยจนลูกรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก”

    “ทีนี้พ่อจะแสดงอะไรให้ดู ลูกจับองค์พระและดูสิ่งที่พอจะแสดงและคิดใคร่ครวญไปด้วยนะลูก”

    และแล้วกลางอากาศก็ปรากฏภาพประหนึ่ง จอซีนีม่าสโครป ขนาดใหญ่ บอกถึงเรื่องราวของชีวิตคน ตั้งแต่ เกิด ภาพเด็ก ๆค่อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จากนั้นจากผู้ใหญ่ก็กลายเป็นวัยชรา และตายไปในที่สุด โครงกระดูก ขาวโพลนเกลื่อนกลาด สุดท้ายเมื่อกาลเวลาผ่านไป โครงกระดูกเหล่านั้นก็กลายเป็นเถ้าธุลีและสูญสลาบเป็นอากาศธาตุ”

    “ลูกรัก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิถีชีวิตของสัตว์โลก ไม่ว่าคน สัตว์ ต้นไม้ สิ่งต่าง ๆ ไม่มีอะไรทนทานถาวร ร่างกายของลูกต่อไปก็จักเป็นเช่นนี้ สุดท้ายก็เหลือแต่ความว่างเปล่า มีเพียงแต่จิตเท่านั้นที่คงอยู่ ลูกคงสงสัยว่าจิตของลูกเป็นอย่างไร พ่อจะสอนให้ลูกเห็นเพื่อคลายความสงสัย”

    “ลูกจับพระองค์แก้วไว้ในออก ฟังเสียงพ่อและนึกในใจตามนะลูก ขอพระบารมีของพระแก้วใส โปรดแยกกายและจิตของลูกในฉับพลันทันทีเถิด”

    กวิน เวคิน ทินกร คิดแบบที่ท่านพ่อบอก เมื่อคิดเสร็จ เขารู้สึกว่า มีตัวอีกตัวหนึ่ง ได้ออกมาจากร่างกายของเขา กวิน เวคิน ทินกร ตกตะลึง ที่เห็นร่างกายของเขานอนนั่งสมาธิอยู่บนพื้น หากตัวของเขาที่ยืนอยู่นี้คือ จิตอย่างนั้นหรือ

    กวิน เวคิน ทินกร มองไปที่ร่างเดิม รู้สึกรังเกียจสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก เพราะร่างนั้นหาได้สดใสไม่กลับมีสีดำคล้ายซากต้นไม้แห้ง ๆก็มิปาน ส่วนตัวที่ยืนอยู่นี้ไม่ต่างกับท่านพ่อเลย ทั้งความสูง เพียงแต่ แสงที่ออกมาจากกายของท่านพ่อสว่างกว่ามากนัก มิหนำซ้ำตัวนี้ยังเบาตัว ทินกร มองดู กวินและเวคิน ทั้งสองมีหน้าตาเหมือนกันเลย แต่แปลก ที่เขาแยกได้ว่าใครเป็นใคร

    “เอาละ ลูกทุกคนเก่งมาก ที่นี้เราจะไปเที่ยวกัน “

    ท่านพ่อจับมือเวคิน และกวิน กับทินกร พริบตาทั้งสี่ก็มายืนอยู่ในสถานที่แปลกตา สถานที่แห่งนี้ คล้ายวิมานของท่านพ่อ แต่สวยกว่ามาก หากแต่มีกำแพงแก้วล้อมรอบ เลยกำแพงเป็นบันไดแก้วรูปพญานาคทอดไปถึงองค์เจดีย์องค์ใหญ่ที่อยู่กึ่งกลาง องค์เจดีย์บนยอดปลายแหลม มีดวงแก้วคล้ายดาวประกายพรึกและมีฉัตรแก้วเป็นธงปะตากปลายแหลมอยู่บนยอดสองแฉก และมีองค์เจดีย์เล็กอีก สี่องค์ สถานที่แห่งนี้ดูคล้ายมีสี 7 สีเปล่งประกายระยิยระยับ

    กวินคิด

    “มีทางขึ้นทางเดียวหรือ” แต่แล้วเขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ที่ เห็นบันไดทุกด้านทันที โดยที่ไม่ต้องอ้อมไปดู

    ท่านพ่อพูดขึ้น

    “ลูกไม่ต้องแปลกใจ กวิน จิตมีสภาพไวมาก ไม่ได้ใช้การมองเหมือนคนในโลกมนุษย์ ถ้าพูดง่าย ๆ คือ เห็นได้ทุกด้าน ทุกส่วน โดยไม่ต้องเห็นซ้าย เหลียวขวา ไม่ต้องเงยหน้า ไม่ต้องเหลียวหลังไปดู ถ้าจิตคิดจะเห็น ภาพที่จะดูมันจะบังเกิดให้จิตเห็นทันที”

    ทั้งสี่ได้มาหยุดทางปากประตูเข้าไปในองค์เจดีย์ ซึ่งมีคนตัวใสเช่นเดียวกับท่านพ่อและพวกเขา ยืนเฝ้าอยู่ ท่านดูสวยงาม สง่ามาก

    “กราบท่านเสียลูก”

    เด็กทั้งสามก้มลงกราบ”

    คนตัวใสที่เฝ้าประตูยิ้ม และพูดว่า

    “ขึ้นมาเที่ยวบ่อย ๆนะลูก ลุงเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด ใครที่ทำผิดศีล เข้ามายังที่แห่งนี้ไม่ได้ รักษาความดีไว้นะ”

    “ลุงชื่ออะไรหรือเจ้าค่ะ”

    “มเหสักขา แต่ชื่อเต็มของลุงคือ มเหสักขาราชาวดี”

    ทั้งสามกราบลาท่านลุงมเหสักขาก่อนตามท่านพ่อเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นสภาพด้านใน

    ทั้งสามอุทานในใจ

    “โอ้โห….คนตัวใสอย่างท่านพ่อเพียบเลย และก็มีองค์ประธานนั่งอยู่บนพระแท่นสูง องค์ประทานนี้สวยกว่าทุกท่านในที่นี้ แปลกที่แสงสว่างแต่ละท่านไม่เท่ากัน”

    เสียงท่านพ่อดังขึ้น

    “แสงสว่างที่ลูกเห็น เรียกว่า รัศมีกาย ซึ่งจะแตกต่างไปตามบุญบารมี และระดับจิต พระอริยเจ้าขั้นสูง จะมีรัศมีกายสว่างกว่าพระอริยเจ้าขั้นต่ำ และการนั่งก็จะนั่งเรียงกันตามลำดับของมรรคผล คือ แถวที่นั่งใกล้องค์ประธานมากที่สุด คือ พระอรหันต์ รองลงมาก็เป็น พระอนาคามี สกิทาคามี โสดาบัน ท้ายสุดคือ พวกที่ได้ฌานโลกีย์ เห็นไหมว่า จะมีรัศมีกายน้อยกว่าพระอริยเจ้ามาก”

    ทั้งสี่เดินผ่านช่องว่างที่เว้นไว้เพื่อไปกราบองค์ประธาน เมื่อถึงหน้าพระพักตร์องค์ประธาน ท่านพ่อและเด็กทั้งสามก้มลงกราบด้วยความเคารพ

    องค์ประทานยิ้มสวย ท่านนั่งอยู่บนบัลลังก์หรือแท่นแก้ว สูงแพราวพราวสว่างไสว ฉัพพรรณรังสี แผ่มาครอบคลุมกายของทั้งสาม ดอกบัวแก้วสวยงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน รองรับพระบาทปลายงอนขององค์ประท่าน ทรงสวมชฏาแหลมเปี๊ยบ เครื่องประดับแก้ว แพรวพร่าวระยิบระยับ ทั้งสามมองเพลิน องค์ประธานยิ้มอย่างเมตตา ตรัสว่า

    “เข้ามาใกล้พ่อซิลูก”

    เด็กทั้งสามเข้าไปใกล้องค์ประธาน รู้สึกมีความสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งสามก้มลงกราบแทบพระบาทขององค์ประธาน พระองค์ทรงรดน้ำทิพย์ ความรู้สึกเย็น สงบ ซาบซ่านเข้าไปถึงจิตใจ

    “อยู่ดีมีสุขนะลูก พรใดที่ลูกขอ พ่อขอให้พรนั้นแก่ลูก”

    ทั้งสามปิติสุขจนสุดพรรณนา ท่านพ่อบอกว่า

    ถวายดอกไม้ทิพย์พระองค์ท่านซิลูก

    กวิน เวคิน ทินกร นึกถวายดอกไม้ทิพย์ ฉับพลันปรากฏพานทองรองดอกไม้แก้ว ลอยไปตรงหน้าพระพักตร์ขององค์ประธาน องค์ประทานยิ้มอย่างเมตตา

    ท่านพ่อ กล่าวขึ้นอีก

    “ลูกคิดตามที่พ่อบอก ลูกขอกราบประทานอนุญาต ยกกายทิพย์ของลูกเข้าไปนั่งสมาธิอยู่ในท้องของพระองค์ ขอฐานบัวแก้วรองรับด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”

    สิ้นคำอธิษฐาน กายทิพย์ของกวิน เวคิน ทินกร เข้าไปอยู่ในกายทิพย์ขององค์ประทานทันที องค์ประทานตรัสว่า

    “ต่อไปไม่ว่าจะไปที่ไหน ทำอะไร ขอให้ลูกทั้งสามอยู่ในกายทิพย์ของพ่อ ไม่ว่าจะลืมตา หลับตา ให้ระลึกถึงสิ่งที่สัมผัส และจงทำเป็นนิมิตร ไว้อยู่กลางอกของลูก ไม่ว่าไปที่ไหน ขึ้นชื่อว่าพ่อไปด้วยกับลูกเสมอ”

    “ลูกยังสามารถแยกกายทิพย์ ออกได้หลายแสน หลายล้านกายทิพย์ตามใจปรารถนา ลองแยกไปอยู่ตรงหน้าพ่อสิลูก”

    ทั้งสามใช้จิตคิดว่า

    “ขอพระบารมีองค์ประธานแยกกายทิพย์ของลูกไปนั่งอยู่หน้าพระพักตร์แห่งองค์ประธานด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

    แล้วกายทิพย์ของทั้งสามก็ปรากฏอยู่ด้านหน้าองค์ประธาน ขณะเดียวกันกายทิพย์ในท้องขององค์ประธานก็ยังมีอยู่ องค์ประธานตรัสด้วยพระเมตตาว่า

    “ต่อไปลูกแยกกายทิพย์อยู่ในท้องของพ่อ และแยกอีกกายหนึ่งไปท่องเที่ยวที่ไหน ๆก็ได้ตามใจปรารถนา เวลาลูกจะไปที่ไหน แค่นึกถึงพ่อ พ่อสามารถพาลูกไปได้ทุกๆแห่ง แต่เราไม่ได้เอากายขันธ์ 5 ไปนะลูก เราเอาจิตไปเที่ยว”

    ท่านพ่อบอกต่อว่า

    “กราบพระองค์ท่านเสียลูก เราจะกลับกันแล้ว”

    ทั้งสามกราบองค์ประธานด้วยความเคารพนอบน้อม

    …………………………………………………………………………..

    “ลืมตาได้แล้วลูก”

    กวิน เวคิน ทินกร ลืมตาขึ้นพบว่า ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจัง ทั้ง ๆที่รู้สึกแค่แป๊บเดียวเอง

    “เป็นยังไงบ้างจ๊ะ” ท่านพ่อถาม ดูท่านอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

    กวินรีบตอบว่า

    “ง๊ามงามเจ้าคะ ลูกไม่เคยพบเคยเห็น องค์ประธาน ท่านยิ้มส๊วยสวยนะเจ้าค่ะ พระทัยดีด้วยเจ้าค่ะ”

    เวคินกล่าวว่า

    “ลูกมีความสุขมาก อิ่มใจอย่างบอกไม่ถูกเชี่ยวเจ้าคะ”

    เจ้าทินกร พูดยิ้มๆ

    “ว้า……ท่านพี่แย่งลูกตอบหมดเลยเจ้าคะ อย่างนี้ลูกเสียเปรีบยแย่”

    “เอาละ ทีนี้ลูกกำหนดนิมิตองค์ประธานไว้ในออกนะลูก จิตเห็นองค์ประธานแล้วขยายองค์ประธานให้คลุมกายเราไว้นะลูก ทำได้ไหมลูก”

    “ได้เจ้าค่ะ”

    “ดีมากลูก ต่อไปอยากไปเที่ยวไหน ก็ให้กำหนดภาพองค์ประทาน อย่างที่พระองค์บอก ยิ่งเห็นพระองค์ชัด ลูกยิ่งจะมีความแจ่มใสมากในด้านทิพจักขุญาณ นี่เราไม่ได้ไปเองนะลูก ขอพระบารมีองค์ประธานช่วย ท่านพาเราไปได้ทุกแห่ง ที่พ่อสอนวันนี้ และพาไปเที่ยว ไม่ใช่การเริ่มต้น แต่พ่อแค่มารื้อฟื้นของเก่าของลูกเท่านั้น ถ้าคนไม่เคยได้มาก่อน เขาอาจจะต้องใช้เวลามาก หรืออาจจะไม่สามารถฝึกได้ในชาตินี้ หลวงปู่ท่านได้ฝากลูกแก้วมาให้ลูก ๆทั้งสาม “

    ท่านพ่อส่งลูกแก้วสีขาวใสให้กวิน ส่วนเวคินได้ลูกแก้วสีฟ้าประกายเพชร ส่วนทินกรเป็นลูกแก้ว สีทอง พอทั้งสามรับลูกแก้ว ก็ปรากฏลำแสงเจิดจ้า ครอบคลุมร่างของทั้งสามไว้

    (จบตอนที่ ..8)
     

แชร์หน้านี้

Loading...