บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์

    หลายๆ ครั้ง เวลาที่จิตนิ่งๆ จะเห็นแสงสีขาวเหมือนควันจางๆ ออกมาจากกายตน ควันสีขาวไหลออกมาทั่วทั้งสรรพางค์กาย มีรัศมีกว้างประมาณ 50 เซนติเมตร หรือครึ่งเมตร เห็นด้วยตาเปล่านี่แหละ

    เมื่อปีที่แล้วเดือนพฤศจิกายน ได้ไปอยู่วัดก็มักจะเห็นเป็นดวงสีขาว ลอยอยู่ปลายเท้า บางครั้งก็เห็นในขณะที่นั่งสมาธิเป็นควันขาวๆ ออกมาทางจมูก เป็นสีของลมหายใจ เวลาพูดก็เห็นควันสีขาวออกมาทางปาก

    คนอื่นเป็นเหมือนเราหรือเปล่าหนอ ไม่อยากเอาใจเข้าไปใส่ในเรื่องลี้ลับ ก็มาทบทวนว่าสิ่งนี้คืออะไร ไอร้อนในร่างกายรึ ไม่น่าจะร้อนขนาดนั้น ก่อนหน้านั้น ตอนที่นั่งสมาธิ เป็นควันสีขาวพวยพุ่งออกมาทางจักระมือและเท้าและมาห่อหุ้มกายเนื้อไว้ ตอนนั้นก็ได้รับคำตอบจากเพื่อนว่า ร่างกายปรับสมดุลธาตุ

    แต่ทุกวันนี้ ไม่ใช่อ่ะ เพราะควันสีขาวไหลออกมาแบบเอื่อยๆ ทั้งตัวเลย การไหลไม่ใช่เส้นตรง มีลักษณะไหลอ่อนช้อยเหมือนควันธูปแต่นี่เป็นสีขาว ไม่ใช่ไหลออกทางจักระมือและเท้า แต่ออกมาทั่วทั้งตัว พลังความร้อนมากเกินอีกหรือ...งง

    มันน่าจะเป็นออร่า แต่ในอดีตเคยเห็นสีของออร่าเป็นสีม่วง ทุกวันนี้มันเปลี่ยนเป็นสีขาวและมีมากขึ้นด้วย เราเห็นเองนะ ไม่ได้เห็นในขณะที่ทำครัวหรือเผาอะไรทั้งสิ้น เห็นในขณะที่จิตว่าง เช่นเวลาเข้าห้องน้ำ 5555555 เช้านี้เห็นคนมาหาใส่ชุดสีน้ำตาลออกเหลืองๆ อ๊ะ!! ตาฝาดอีกแล้วหรือ ก็บ่แม่นคนเนาะ เห็นแว้บเดียว ยืนมองเราอยู่ เห็นแล้วก็หายไป พอเข้าไปในห้องน้ำก็เห็นควันสีขาวตรงหน้า มองไปทั่วๆ ในห้องน้ำก็ไม่มีอะไรนี่นา มีแต่ถังน้ำและอุปกรณ์ทำความสะอาดร่างกาย

    อย่าเพิ่งพากันคิดไปไกล!!!

    หากสิ่งที่ปรากฏขึ้นกับตัวเองนี้คือออร่า เรามาดูกันดีกว่าว่า ออร่าสีขาวนี้คืออะไร?

    ออร่าสีขาว หมายถึง เป็นสีที่มีความสมดุลมากที่สุด มักพบในนักบุญหรือผู้ที่เจริญสมาธิอยู่เสมอ ถ้าปรากฏเป็นเส้นสีขาวผ่านซ้อนแสงหมายถึง การสื่อกับมิติอื่นได้ เป็นสีของญาณสมาบัติ ผู้ที่มีสีขาวปรากฏอยู่ในออร่า หมายถึง กายแสงได้รับการชำระและฟอกให้บริสุทธิ์ หรืออาจหมายถึง สภาพจิตใจที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และบริสุทธิ์

    แหมๆ เค้าช่างบอกกล่าวไว้ได้ดีทีเดียว 555

    ตามหนังสือหรือบทความทั่วไป มักจะกล่าวว่าเป็นมหัศจรรย์แห่งแสงในกายมนุษย์ ขอยกเนื้อหาบางส่วนมาให้อ่านกัน

    รังสีมนุษย์
    ยังมีเรื่องราวของการเรืองแสงของมนุษย์อีกครั้ง คราวนี้มองกันในแง่ที่ไม่ใช่วัตถุธรรม แสงเรืองแห่งมนุษย์ในแง่นี้เรียกว่า “ออร่า” (aura) หรือการเปล่งรังสีแสง หรือรัศมีเรืองรองบางอย่างออกมารอบตัว

    อาจจะเป็นแสงเรืองสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็น หรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ทิพย์จักษุ” ก็ได้…….

    กล่าวกันว่าการเปล่งรัศมีเหล่านี้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏเข้มข้นเฉิดฉายมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง และรองลงมาจะมีรังสีแจ่มกระจ่างในบุคคลที่มีจิตใจอยู่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอ ๆ ……. ปรากฏการณ์ออร่าจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิต วิญญาณ เสียเป็นส่วนใหญ่…..

    ดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ parapsychologis ได้อธิบายไว้ว่า…
    พวกนักบุญและผู้ชำนาญการศาสนาทางตะวันตกได้จำแนกลักษณะของออร่าไว้ 4 แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ:-
    ๑. แบบ นิมบัส (Nimbus) คือแบบที่มีออร่าแผ่ออกมาในลักษณะคล้ายการ “ทรงกลด” เป็นรัศมีทรงกลมรอบศีรษะ
    ๒. แบบ ฮาโล (Halo) เป็นแบบการแผ่รังสีที่มีลักษณะคล้ายวงแหวนแผ่ออกมารอบศีรษะเหมือนกัน
    ๓. แบบ ออรีโอลา (Aureola) เป็นแบบลักษณะแผ่รังสี คล้ายเปลวเพลิงทรงกลด
    ๔. แบบ กลอรี (Glory) เป็นลักษณะแสงเรืองเปล่งปลั่งเรืองรองแผ่ออกมารอบร่างกาย
    ส่วนมากบุคคลที่มีออร่าแบบกลอรีนี้มักเป็นคนที่มีบุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด

    เรื่องรังสีมนุษย์ที่เอามาให้อ่านกันนี้ ก็ฟังหูไว้หูนะจ๊ะ บางเรื่องมันก็ไม่ได้เป๊ะๆ ตามนั้นซะทีเดียว เช่นของเราที่ว่ามันแผ่รังสีออกมารอบตัว แล้วจะคิดว่าเป็นศาสดาไป ยังบ่แม่นเด้อ.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2018
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    มีแต่คนแอบอ่าน สงสัยว่าเราคงจะดุเกินไป :boo:
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอบ่นๆๆๆๆ ไปตามประสา......

    ปัญญา...ปัญญา...ปัญญา

    เมื่อใดที่ปัญญาของแต่ละคนไม่เท่ากัน การคิด การเห็น การรู้ ย่อมไม่เท่ากัน ความเข้าใจย่อมไปกันคนละทิศละทาง พูดดีเป็นร้าย พูดร้ายเป็นดี มีให้เห็นอยู่ทั่วไป

    มีใครผิดหรือไม่ คำตอบก็คือไม่มี

    แต่เมื่อใดที่รู้ ที่เห็น ที่คิดไม่เหมือนกันแล้ว เราก็วางมันลงซะ เพื่อไม่เป็นการก่อกรรมทางความคิดและวาจาต่อไป

    มนุษย์ล้วนมีความอยากด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ขึ้นชื่อว่าอยาก มันก็ตะบันกันอยู่ร่ำไป อยากได้ อยากมี อยากสวย อยากรวย อยากงาม อยากได้รับการยอมรับ อยากเก่ง อยากอวด ก็สารพัดอยากนั่นแหละ นี่คือธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝน ยังไม่ได้รับการขัดเกลา หรืออยู่ในระหว่างการฝึกฝนและขัดเกลา ความทะยานอยากต่างๆ เหล่านี้ ก็ยังมีอยู่ในใจด้วยกันทุกคน

    หากเราเมตตาเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันทั้งหมดทั้งสิ้น ก็จะลดการเบียนเบียดกันทางวาจาลงไปได้

    บางครั้งเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ เรื่องเดียวกันเวลาที่พระหรือชีพูด คนกล่าวอนุโมทนา แต่ถ้าคนอย่างเราๆ พูด กลายเป็นการอวดไปซะ เพราะอะไร?
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อานิสงส์ของการบอกบุญ

    การบอกบุญมีด้วยกันหลายวิธี ได้แก่ การบอกกันไปปากต่อปาก หรือที่เรียกว่าสะพานบุญ การบอกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร หรือที่เรียกกันว่า ใบฎีกา เป็นต้น

    ตัวเองได้เขียนใบฎีกามาตั้งแต่ชั้นประถมนะ จำได้เลย พ่อบอกให้เขียนใบฎีกาบอกบุญผ้าป่า พ่อมักจะได้เป็นเจ้าภาพประธานผ้าป่าตลอด มีแต่คนมาขอให้เป็น และพ่อก็มักจะให้เราเขียนใบฎีกา รายละเอียดของผ้าป่า กำหนดการต่างๆ รายชื่อประธาน รองประธานและกรรมการ พ่อบอกว่าให้เขียนสวยๆ เพราะเป็นการจารึกบุญ ผู้ที่เขียนใบฎีกาถือว่าได้บุญและมีบุญ ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่ามีบุญคืออะไร เป็นเด็กหัวอ่อนว่านอนสอนง่าย เชื่อฟัง ไม่เคยสงสัยอะไร ผู้ใหญ่บอกมาแค่ไหนก็แค่นั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบุญคืออะไร รู้แค่ว่าบุญเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน

    จนมาถึงวันนี้ได้นำมาพิจารณา แต่ไหนแต่ไร ตอนที่โตแล้วทำงานแล้ว จะไม่กล้าไปบอกบุญใคร เกรงใจเค้าบ้าง กลัวเค้าจะว่าบ้าง เวลาทำบุญจึงไม่ค่อยชวนใคร จะไปทำคนเดียวซะเป็นส่วนใหญ่ มีคนบอกว่าทำบุญไม่ชวนใคร เกิดชาติหน้าจะไม่มีบริวาร เวลาจัดทำงานบุญเอง ก็จะใส่ชื่อพี่น้องลงไป เป็นคณะกรรมการ เป็นประธาน รองประธาน ก็ว่ากันไป แล้วก็ใส่เงินเอง

    วันนี้มานั่งทบทวน เราก็เคยเขียนใบฎีกาหลายครั้ง การเขียนใบฎีกาก็เท่ากับเป็นการบอกบุญ พิมพ์ใบฎีกาให้เจ้านายทุกปี ถ้างั้นเราก็มีบริวารเยอะแยะน่ะซิ ไม่ขาดบริวารแน่นอน

    จึงไปค้นหาเรื่องอานิสงส์ของการบอกบุญว่ามีอะไรบ้าง เรามาอ่านกันนะ

    (ไม่ได้ต้องการให้ยึดติดกับการทำบุญแล้วต้องได้อะไรนะ แต่ต้องการให้รู้ไว้เท่านั้นเอง)
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พิฬาลปทกะเศรษฐี

    ยังมีเรื่องราวในพระไตรปิฎกอีกมากมาย ใคร่ขอนำเสนอไว้ในที่นี้อีกเรื่อง เพื่อให้เห็นอานิสงส์ของการทำบุญบำเพ็ญทานชัดเจนยิ่งขึ้น คือ สมัยหนึ่ง ชาวเมืองสาวัตถีถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน อยู่มาวันหนึ่ง พระศาสดา เมื่อจะทรงทำอนุโมทนา ตรัสอย่างนี้ว่า

    “อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานด้วยตน แต่ไม่ชักชวนผู้อื่น เขาย่อมได้โภคสมบัติ แต่ไม่ได้บริวารสมบัติ บางคนไม่ให้ทานด้วยตน ชักชวนแต่คนอื่น เขาย่อมได้บริวารสมบัติ แต่ไม่ได้โภคสมบัติ บางคนไม่ให้ทานด้วยตนด้วย ไม่ชักชวนคนอื่นด้วย เขาย่อมไม่ได้โภคสมบัติ ไม่ได้บริวารสมบัติ เป็นคนเที่ยวกินเดน บางคนให้ทานด้วยตนเอง ชักชวนคนอื่นด้วย เขาย่อมได้ทั้งโภคสมบัติและบริวารสมบัติ ในที่ที่ตนเกิด“

    บุรุษคนหนึ่งคิดว่า “โอ เหตุนี้น่าอัศจรรย์ บัดนี้ เราจักทำกรรมที่เป็นไปเพื่อสมบัติทั้งสอง“

    จึงกราบทูลพระศาสดาในเวลาเสด็จลุกไปว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรุ่งนี้ขอพระองค์จงทรงรับภิกษาของพวกข้าพระองค์”
    “เธอมีความต้องการด้วยภิกษุสักเท่าไร”
    “ทั้งหมด พระเจ้าข้า”
    พระพุทธองค์ทรงรับแล้ว
    แม้เขาก็เข้าไปยังบ้าน เที่ยวป่าวร้องว่า
    “พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้านิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานเพื่อถวายภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ ผู้ใดอาจถวายแก่ภิกษุทั้งหลายมีประมาณเท่าใด ผู้นั้นให้วัตถุต่างๆ ข้าวสารเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่อาหาร มียาคูเป็นต้น เพื่อภิกษุทั้งหลายมีประมาณเท่านั้น พวกเราจักได้หุงต้มในที่แห่งเดียวกันแล้วถวายทาน”

    เศรษฐีคนหนึ่ง เห็นบุรุษนั้นมาถึงประตูร้านตลาดของตนก็โกรธว่า

    “เจ้าคนนี้ไม่นิมนต์ภิกษุแต่พอกำลังตน ต้องมาเที่ยวชักชวนชาวบ้านทั้งหมดอีก” จึงบอกว่า “แกจงนำเอาภาชนะที่แกถือมา แล้วเอานิ้วมือ 3 นิ้วหยิบได้ ให้ข้าวสารหน่อยหนึ่ง ถั่วเขียว ถั่วราชมาษก็เหมือนกันให้นิดเดียว”

    ตั้งแต่นั้น เศรษฐีจึงมีซื่อว่าพิฬาลปทกเศรษฐี แม้เมื่อจะให้เภสัชมีเนยใสและน้ำอ้อยเป็นต้นไหลลงทีละหยดๆ ได้ให้หน่อยหนึ่งเท่านั้น

    อุบาสกทำวัตถุทานที่คนอื่นให้โดยรวมกัน แต่ได้ถือเอาสิ่งของที่เศรษฐีนี้ให้ไว้แผนกหนึ่งต่างหาก

    เศรษฐีเห็นกิริยาของอุบาสกนั้นแล้วคิดว่า
    “ทำไมหนอ เจ้าคนนี้จึงรับสิ่งของที่เราให้ไว้แผนกหนึ่ง” จึงส่งจูฬุปัฏฐากคนหนึ่งไปข้างหลังเขา แล้วสั่งว่า “เจ้าจงไป จงรู้กรรมที่เจ้านั่นทำ”

    อุบาสกนั้นเมื่อได้ถือเอาสิ่งของๆ เศรษฐีแล้ว ได้กล่าวว่า
    “ขอผลใหญ่จงมีแก่เศรษฐี” แล้วใส่ข้าวสาร 1-2 เมล็ด เพื่อประโยชน์แก่ยาคู ภัต และ ขนม ใส่ถั่วเขียว ถั่วราชมาษบ้าง หยดน้ำมันและหยดน้ำอ้อยเป็นต้นบ้าง ลงในภาชนะทุกๆ ภาชนะ จูฬุปัฏฐากจึงไปบอกแก่เศรษฐี

    เศรษฐีฟังแล้ว จึงคิดว่า “หากเจ้าคนนั้นจักกล่าวโทษเราในท่ามกลางบริษัทไซร้ พอมันเอ่ยชื่อของเราขึ้นเท่านั้น เราจักประหารมันให้ตาย”

    ในวันรุ่งขึ้น จึงเหน็บกฤชไว้ในผ้านุ่ง แล้วได้ไปยื่นอยู่ที่โรงครัว บุรุษนั้นเลี้ยงดูภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ชักชวนมหาชนถวายทานนี้ พวกมหาชนที่ข้าพระองค์ชักชวนแล้วในที่นั้น ได้ให้ข้าวสารเป็นต้น มากบ้างน้อยบ้าง ตามกำลังของตน ขอผลอันไพศาลจงมีแก่มหาชนเหล่านั้นทั้งหมด”

    เศรษฐีได้ยินคำนั้นแล้ว คิดว่า
    “เรามาด้วยตั้งใจว่า พอมันเอ่ยชื่อของเราขึ้นว่า เศรษฐีชื่อโน้นถือเอาข้าวสารเป็นต้นด้วยหยิบมือให้ เราก็จักฆ่าบุรุษนี้ให้ตาย แต่บุรุษนี้ทำทานให้รวมกันหมดแล้วกล่าวว่า ทานที่ชนเหล่าใดตวงด้วยทะนานเป็นต้นแล้วให้ก็ดี ทานที่ชนเหล่าใดถือเอาด้วยหยิบมือแล้วให้ก็ดี ขอผลอันไพศาล จงมีแก่ชนเหล่านั้นทั้งหมด ถ้าเราจักไม่ให้บุรุษเห็นปานนี้อดโทษไซร้อาชญาของเทพเจ้าจักตกลงบนศีรษะของเรา”

    เศรษฐีนั้นหมอบลงแทบเท้าของอุบาสกนั้น แล้วกล่าวว่า
    “นาย ขอนายจงอดโทษให้ผมด้วย”
    อุบาสกนั้นจึงถามว่า “นี่อะไรกัน” เศรษฐีจึงบอกเรื่องนั้นทั้งหมด

    พระศาสดาทรงเห็นกิริยานั้นแล้ว ตรัสถามผู้ขวนขวายในทานว่า
    “นี่อะไรกัน”

    เขากราบทูลเรื่องนั้นทั้งหมดตั้งแต่วันที่แล้วๆ มา

    ทีนั้น พระศาสดาตรัสถามเศรษฐีนั้นว่า
    “นัยว่า เป็นอย่างนั้นหรือ เศรษฐี”
    เมื่อเขากราบทูลว่า “อย่างนั้น พระเจ้าข้า”
    จึงตรัสว่า
    “อุบาสก ขึ้นชื่อว่าบุญ อันใครๆ ไม่ควรดูหมิ่นว่านิดหน่อย อันบุคคลถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเช่นเราเป็นประธานแล้ว ไม่ควรดูหมิ่นว่าเป็นของนิดหน่อย ด้วยว่า บุรุษผู้บัณฑิตทำบุญอยู่ ย่อมเต็มไปด้วยบุญโดยลำดับแน่แท้ เปรียบเหมือนภาชนะที่เปิดปาก ย่อมเต็มไปด้วยน้ำ ฉะนั้น”

    เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
    “บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบุญว่า บุญมีประมาณน้อย จักไม่มาถึง แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมา (ทีละหยาดๆ) ได้ฉันใด ธีรชน (ชนผู้มีปัญญา) สั่งสมบุญแม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มด้วยบุญได้ฉันนั้น”

    อานิสงส์ของการทำบุญการบอกบุญ ก็คือโภคสมบัติและบริวารสมบัติ และยังทำใจใสขึ้นด้วย เพราะบุญเป็นเครื่องกำจัดกิเลส

    คัดลอกจาก “บุญทานหมั่นทำให้สูงสุด” ของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

    นิมิตภิกษุณีพระอรหันต์

    นิมิตนี้จดจำมาได้ถึงทุกวันนี้ เป็นผลของการปฏิบัติทางจิตอย่างต่อเนื่องทั้งยามหลับและยามตื่น ทรงศีลสิบและกรรมบทสิบอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตอนนั้นมีอายุประมาณ 27 ปี หลังจากประสบเคราะห์กรรมต่างๆ ชีวิตสมรสแตกแยก ระเหเร่ร่อนไปตามยถากรรมกับความต้องการลืมอดีตที่ปวดร้าว คบหาสมาคมกับคนทุกประเภท ไม่ต่างอะไรกับหาทุกข์ใหม่มาแทนที่ทุกข์เก่าอย่างนี้เรื่อยไป และทุกข์ก็ไม่เคยหมดไปจากใจ เพียงแค่เปลี่ยนเรื่องทุกข์

    จนมาถึงวันหนึ่งระลึกได้ว่า ยิ่งอยู่อย่างนี้ก็ยิ่งถลำลึกลงไปในความเลว เพียงแค่เราหันกลับมารักษาใจให้กลับเป็นดั่งเดิมจะดีกว่า มีวิธีเดียวนั่นคือเข้าหาพระธรรม จึงปวารณาตนต่อหน้าพระพุทธรูปที่บ้าน ขอถวายกายสังขารนี้เพื่อประโยชน์ทางพุทธศาสนา เพื่อเข้าถึงหนทางแห่งการพ้นทุกข์

    จากนั้นก็อาราธณาศีลสิบ นุ่งขาวห่มขาวอยู่กับบ้าน ไม่สนใจใคร เก็บตัวอยู่แต่ห้องพระกับห้องนอน ใครจะทะเลาะกัน ใครจะวุ่นวายอย่างไรก็ไม่ยุ่งด้วย ไม่รับรู้เรื่องภายนอก ซึ่งตอนนั้นทางบ้านได้ทำเป็นร้านขายของชำ พ่อเกษียณงานแล้ว สองคนตายายพากันขายของอยู่กับบ้าน

    การปฏิบัติก็คือ เช้าสวดมนต์และนั่งสมาธิ จะกำหนดเวลาของสมาธิแค่ธูปที่จุดไหม้หมด กลางวันอ่านหนังสือธรรมะ เวลาอ่านหนังสือจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม แล้วเพ่งมองเทียนพิจารณาธรรมะจากเทียน จนจิตนิ่งดีแล้วจึงอ่านหนังสือ ทานข้าววันละมื้อ นั่งสมาธิวันละสามรอบ กลางคืนสวดมนต์นั่งสมาธิและนอนสมาธิ ดำเนินจิตอย่างต่อเนื่อง จิตเกาะพุทโธตลอดเวลา

    การท่องเที่ยวในโลกทิพย์เป็นเรื่องปกติของจิต เหาะไปสนุกมาก คืนหนึ่งคิดลองเหาะไปไกลๆ เหาะไปให้สูงที่สุด ไปพบภูเขาลูกหนึ่ง สูงมาก มีลักษณะแปลกไม่เคยเห็นที่ไหน ภูเขาเป็นแท่งตรงสูงและมีต้นไม้ปกคลุมอยู่บนยอดเขา ต้นไม้ก็ไม่ใช่สีเขียว จิตบอกว่าลองขึ้นไปดูบนยอดเขานี้ซิ มีอะไรอยู่บนนั้นหรือเปล่า ขณะที่ลอยตัวสูงขึ้นไปกำลังจะถึงยอดเขา ก็ปรากฏควันสีขาวพุ่งออกมาจากยอดเขาตรงมาที่เราอย่างรวดเร็ว แค่กระพริบตาก็ปรากฏร่างของหญิงสาวนางหนึ่ง นุ่งห่มผ้าสีกรักออกแดงๆ ปล่อยผมยาวสยาย มีประคดรัดที่เอวสีดำ ผ้าที่สวมใส่นั้นเหมือนผ้าทิพย์มีประกายทองในเนื้อผ้า ในใจตอนนั้นคิดว่า นางงามที่ไหนมายืนโบกมือขวางทางเรา และจิตอุทานว่า "พระผู้หญิง"

    นางลอยอยู่เหนือเราขึ้นไปเล็กน้อย ยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า พร้อมทั้งยกมือขวาขึ้นประทานพร นางหยุดนิ่งเพียงแค่นั้น เราสงสัยจึงก้มมองลงมาด้านล่าง เห็นทางลาดขึ้นเขาเต็มไปด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นพันๆ รูปกำลังพากันเดินจะขึ้นเขา พระทุกรูปแหงนหน้ามองเราและพระผู้หญิง แล้วก็ยกมือไหว้แสดงสักการะ ตอนนั้นรู้สึกละอายใจว่าเราอยู่สูงกว่าพระสงฆ์แล้วพระยังไหว้เราอีก

    จากนั้นก็บอกกับตัวเองว่า คงขึ้นไปชมยอดเขาไม่ได้แล้วหละ เพราะพระผู้หญิงรูปนี้มาขวางทางเราอยู่ ไม่หลบไปสักที จะลงไปข้างล่างก็ไม่ได้อีก เพราะมีแต่พระเต็มไปหมด เราเป็นหญิงไม่เหมาะที่จะลงไปยืนรวมกับพระ กลับบ้านดีกว่า พอนึกว่ากลับบ้านดีกว่า ก็รู้สึกตัวตื่น

    นิมิตนี้นำมาพิจารณาใหม่ ภิกษุณีรูปนั้น คงเป็นพระอรหันต์แน่นอนเพราะพระภิกษุสงฆ์ให้ความเคารพแสดงสักการะ และภิกษุณีรูปนี้ก็คือ พระอุมา ที่ชาวโลกรู้จักกันในนามของเทพ

    หากเป็นไปตามที่ตนเองเข้าใจ พระอรหันต์คือผู้หมดจดจากอาสวะกิเลสแล้ว ทำไมยังมีปรากฏให้ได้เห็นว่ามีภาคต่างๆ มีการแสดงฤทธิ์ต่างๆ มีการเข้าทรงด้วย มันย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน แล้วที่เห็นเข้าทรงกันอยู่นี้ คืออะไร???
     
  7. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ยินดีด้วยกับการพัฒนาปัญญามากขึ้นๆ...:cool:
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หวัดดีจ้ะ หนูมาดี เคยหลอกด่าเราหรือเปล่า? หุหุ แกล้งแซวเล่นนะ อย่าคิดมาก

    ...คิดถึงเพื่อนที่มีแต่คนเกลียด

    เมื่อใดที่เรารู้สึกว่าเราไม่มีตัวตน มันช่างมีความสุขซะจริงๆ ใครไม่เข้าใจเรา ใครพูดจากระทบหรือแดกดัน หรือแม้กระทั่งพูดจาหยาบคายแรงๆ เราก็ไม่ถือสา กลับมีแต่เมตตาให้ และเมื่อได้เห็นอารมณ์โกรธของคนอื่น เรากลับรู้สึกขำ ก็แปลกดี

    พอเริ่มรู้สึกว่ามีตัวตน มันไม่ยอมเลยนะ เวลาที่ถูกกระทบจะรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาทันทีทันใด ความคิดที่ว่าเธอเป็นใครและฉันเป็นใคร มันโผล่มาเลย อีโก้ตัวเป้งๆ

    เมื่อย้อนกลับไปอ่านข้อความเก่าๆ ที่เพื่อนคนหนึ่งส่งมาหาทุกครั้งที่เห็นเราออนเวป เธอจะส่งข้อความมาระบายต่างๆ นาๆ ระบายจบแล้วเธอก็ไป เหมือนเห็นเราเป็นถังขยะ แต่เราก็ไม่เคยโกรธเธอเลยสักครั้งนึง ยอมเธอซะด้วยซ้ำไป ทนรับฟังเรื่องราวของเธอในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี แนวสีทนได้ 555 ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เพียงเพราะเรามองว่านี่ไม่ใช่ตัวเรา เราไม่มีตัวตน นี่แค่เพียงยูสเซอร์ และที่กำลังคุยกับเราก็เป็นยูสเซอร์เหมือนกัน ไม่มีตัวตนที่แท้จริง

    เออแล้วทำไมเราถึงมองไม่เห็นอย่างนั้นให้ตลอด เห็นว่าเราไม่มีตัวตน ไม่มีจริงๆ ทำไมมันต้องเห็นแค่ในบางครั้ง ทำไมเราไม่รักษาอารมณ์ความไม่มีอะไรไว้ให้ได้ตลอดล่ะ อารมณ์นั้นมันว่างเปล่าจริงๆ นะ มีแต่เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา

    โดนหลอกด่าประจำ 5555555
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เรื่องนี้ต้องมีเหตุ....

    หนังสือธรรมะที่ถูกนำมาวางทิ้งไว้ที่บ้าน ได้แก่....

    "หนังสือคนถึงธรรม" เป็นหนังสือธรรมะเล่มแรกที่หยิบมาอ่าน อาจารย์ทิ้งไว้ในห้องพระเหมือนกัน และเล่มที่สองที่หยิบมาอ่านก็คือ "ธรรมถึงคน" เหตุของการอ่านเพราะต้องการเข้าถึงธรรม ต้องอ่านทั้งสองเล่มจึงจะเข้าใจเรื่องของคนถึงธรรมเป็นอย่างไร และธรรมถึงคนเป็นอย่างไร

    ถัดมาก็อ่านเรื่อง "ตายเป็นตาย" ของ พ.ต.ท.สนั่น เสนาขันธ์ ตอนนั้นไม่สนใจเรื่องตาย หมายถึงยอมตายกับการปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงธรรมให้ได้ ก็เลยอยากรู้อารมณ์ของตายเป็นตายมันเป็นยังไง เนื้อหาในหนังสือจะอิงการเมืองและพลังจิต แต่เราก็เอาแนวทางการคิดมาใช้ได้

    "หนังสือนิพพาน" โดยอาจารย์ทำอินเด็กซ์คั่นไว้และเขียนที่อินเด็กซ์ว่าหนังสือเล่มนี้อ่านยาก แต่เราก็หยิบมาอ่าน คำว่าอ่านยาก หมายถึงอ่านแล้วเข้าใจยาก แต่เรากลับอ่านแล้วเข้าใจเลย หลังจากอ่านทำความเข้าใจดีแล้ว น้อมเข้ามาสู่ใจดีแล้ว ก็นำหนังสือเล่มนี้ไปถวายพระที่บวชใหม่ เพื่อให้ท่านได้ศึกษาต่อไป ความจริงเราเป็นคนหวงหนังสือนะ โดยเฉพาะหนังสือธรรมะต่างๆ แต่เมื่อเห็นประโยชน์ของเนื้อหาในหนังสือจึงมีความคิดว่านำไปถวายพระดีกว่า หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่สี่ที่หยิบมาอ่าน

    3 เล่มนี้หวงมาก หนังสือนิพพาน คนถึงธรรมและธรรมถึงคน อ่านแล้วอ่านอีก อ่านซ้ำอยู่หลายรอบทีเดียว และต้องอ่านภายใต้แสงเทียนทุกครั้งไป จิตเข้าสมาธิได้เร็ว

    หนังสือเล่มอื่นๆ ยังเก็บไว้ ยกเว้นหนังสือนิพพาน เพราะในตอนนั้นเราต้องการนิพพาน จึงถวายหนังสือนิพพานกับพระ แล้วอธิษฐานจิต ก็เป็นแค่กุศโลบายให้จิตมีความตั้งมั่นที่จะเข้าถึงธรรมจนบรรลุธรรมให้ได้เท่านั้นเอง แต่ความจริงก็คิดตามประสาปุถุชนที่อยากดี อยากหลุดพ้นนั่นแหละ ไม่มีเหตุผลอื่นๆ

    ต่อมาก็เริ่มอ่านหนังสือที่ยากขึ้น นั่นคือ "อิทัปปัจจยตา" เล่มหนามาก หลวงพี่ซื้อมา ท่านอ่านจบแล้ว เราก็ขอมาอ่านต่อ อ่านแล้วทำความเข้าใจหลายรอบกว่าสามเล่มแรก อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ เพราะเป็นเรื่องของ"ธรรมดา" หรือ"มันเป็นเช่นนั้นเอง" ตอนนั้น เรายังปฏิบัติไปไม่ถึงไหนเลย แค่สมถะสมาธิและยังติดนิมิตท่องเที่ยวอยู่ มองไม่เห็นเรื่องธรรมดา อ่านไปก็พิจารณาไปแต่ก็ไม่แตกฉาน ก็อ่านจนจบเล่มนั่นแหละ มีแต่เรื่องธรรมดาทั้งเล่ม ไม่เข้าใจ เลิก

    ไปหยิบปฏิจจสมุปบาทมาอ่านอีก คราวนี้ไปกันใหญ่เลย เป็นเรื่องของวงจรภพชาติ อ่านไปมึนไป ก็อ่านไปอย่าง...งงๆ นั่นแหละ อ่านจนจบ ไม่รู้เรื่องเลย 555

    แต่เราไม่รู้หรอกว่าขณะที่เราอ่านน่ะ จิตได้บันทึกไว้หมดแล้ว ณ ตอนนั้นทำยังไงก็ยังไม่เห็นธรรม ไม่เข้าถึงธรรม เพราะยังไม่ได้เจริญปัญญา ยังอยู่แค่ฌานสมาธิ เข้าฌานออกฌาน สนุกสนานไป

    แต่นั่นคือการสั่งสมของจิตโดยที่เราไม่รู้ตัว..........

    มหัศจรรย์ทางจิตมีมากมาย หากเราไม่หลงเข้าไปติดมัน เราก็จะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เพี้ยน!!!

    ขึ้นชื่อว่าสิ่งมีชีวิต ย่อมหมายถึง สิ่งที่มีการสืบพันธุ์ มีการเกิด มีการเจริญเติบโต มีการแก่ มีการเจ็บและตาย ใช่มั้ย?.....ใช่

    คน สัตว์ พืช แมลง เชี้อโรค เซลล์ต่างๆ ก็คือ สิ่งมีชีวิต

    ทีนี้ พอมามองในเรื่องของการไม่เบียดเบียนชีวิต ปลดปล่อยชีวิตตามเทศกาล แหม...ได้ยินได้ฟังมาเยอะอ่ะนะ.....เรื่องกินเจ เป็นการช่วยเหลือสัตว์ให้รอดชีวิต งดเว้นกรรมปาณาติบาต ถ้าเรามองแบบทั่วๆ ไป มองแบบหยาบๆ น่ายกย่องสรรเสริญมาก คนที่กินเจบอกว่ากินเนื้อสัตว์เป็นบาป กินผักไม่บาป ลำเอียงหรือไม่? หากมองทั้งสัตว์และพืชเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน ที่นำมากล่าวเนี่ย ไม่ใช่เป็นการแอนตี้การทำดีนะ เพียงต้องการชี้ให้เห็นอะไรกันบ้าง เผื่อความคิดสั้นๆ นั้นจะขยายผลความเมตตาออกไปให้ทั่วถึง อิอิ

    หากเราวางใจให้เป็นกลาง ก็จะได้เห็นว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ พืชและสัตว์ล้วนเกิดมาเพื่อเป็นอาหารตามหลักวิทยาศาสตร์ หลักของห่วงโซ่อาหาร

    การกินเจที่แท้จริง คือการทำกายวาจาใจให้บริสุทธิ์ ก็ไปอยู่ในเรื่องของศีล "เจ" จึงหมายถึง "ศีลแปด" ไม่ใช่เรื่องการงดเว้นอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ เพราะเรามองแบบชาวพุทธ มองตามที่พระสมณโคดมทรงสั่งสอน มองไปตามเหตุและผลที่เป็นความจริง ไม่ใช่เป็นไปตามความเชื่อ เพราะความเชื่อมันพิสูจน์ไม่ได้

    การไม่กินเนื้อสัตว์ กายจะบริสุทธิ์ได้ยังไง ในเมื่อทุกเซลล์ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็น เลือด เนื้อ กระดูก เอ็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นร่างกายนี้ มันก็เป็นสิ่งมีชีวิต เราเบียดเบียนมันอยู่ทุกวันโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป เวลาเจ็บป่วยก็กินยาเข้าไปฆ่ามัน ปาณาติบาตเห็นๆ แบบตั้งใจเลยแหละ เบียดเบียนตนเองเห็นๆ ตนเองยังละเว้นการเบียดเบียนตนเองไม่ได้ แล้วจะไปละเว้นการเบียดเบียนผู้อื่นได้ไง ใช่มั้ย?

    ถ้าจะกินเจกันจริงๆ ให้มาถือศีลแปดอย่างเคร่งครัดและรับประทานผลไม้เป็นอาหารจะดีกว่า เพราะไม่ได้ไปเบียดเบียนชีวิตใคร ผลไม้เมื่อสุกงอมดีแล้วก็นำมารับประทาน เราไม่ได้ฆ่ามัน พอมันสุกมันก็ร่วงหลุดจากขั้ว หลุดจากต้น หมายถึงมันตายแล้ว กินซากศพกันต่อไป 555

    ปล. บอกแล้วไงว่าเพี้ยนนนนนนนนนนน คริคริ
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "กินมากฝันมาก" (คืนวันที่ 19 และ 21-10-2014)

    ฝันเห็นผีผู้หญิงมาสองคืนแระ คืนแรกฝันว่าไปยังบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้มีลักษณะกว้างขวาง ห้องต่างๆ เปิดทะลุถึงกันได้ รวมมีสามห้อง เป็นบ้านชั้นเดียว เราเลือกไปนอนห้องสุดท้าย เอาผ้านวมมาปูเป็นที่นอน ชีวิตจริงก็ชอบนอนบนพื้นที่ปูด้วยผ้านวมหรือผ้าห่มหนาไม่เกินหนึ่งนิ้ว จากนั้นก็เดินไปหาหมอน พอเดินกลับมาปรากฏว่ามีหญิงแก่นอนอยู่บนที่นอนที่เราปูไว้ หญิงคนนี้แก่มากๆ ร่างกายซูบผอมจนเห็นกระดูก จำได้ว่ายายแก่คนนี้แกตายไปนานแล้ว เอาล่ะซี้ ผีหลอกอีกแล้ว...ก็เลยไม่นอน เดินออกจากบ้านหลังนั้น.....ลืมว่าต่อไปเป็นอย่างไร ตื่นดีกว่า

    เมื่อคืนฝันอีก เป็นผีผู้หญิงที่มีฤทธิ์และมีบริวารด้วย มาตามจับเรา เราเข้าไปหลบอยู่ในที่มืดใต้โต๊ะตัวหนึ่ง พลันก็คิดหาวิธีที่จะไม่ปะทะกับผี เมื่อผีเดินผ่านไปไม่เห็นเราแล้ว ก็ออกมาจากที่ซ่อน เดินไปยังถนน บรรยากาศเป็นเวลากลางคืนนะ มันขะหมุกขะมัว เดินไปเรื่อยๆ ไปพบเพื่อนชายกำลังจะกลับบ้าน เราเข้าไปทักแล้วซักถามว่าจะไปไหน แฟนมาด้วยหรือเปล่า เพื่อนบอกว่ามาคนเดียวมาเรื่องงาน คุยเสร็จแล้วกำลังจะกลับ เพื่อนถามว่าไปด้วยกันมั้ย เราก็บอกว่าดีเลย ขออาศัยรถไปลงที่ไหนสักแห่ง ไม่ได้เล่าเรื่องผีที่ติดตามเราอยู่ให้เพื่อนฟัง แล้วก็ขึ้นรถไปกับเค้า เพื่อนขับรถเก๋งคันหรูเลย ขับไปได้สักระยะหนึ่ง อยู่ดีๆ เพื่อนก็จอดรถ บอกว่าต้องเปลี่ยนรถ เค้ามีรถหลายคัน ใช้งานคนละอย่าง แหมๆ คนรวยเนาะ

    เรามองไปยังรถอีกคันที่จอดอยู่ เป็นรถสปอร์ตหรูสีออกเทาๆ โหว...ไม่ยักกะรู้ว่าเพื่อนมีรสนิยมโฉบเฉี่ยวอย่างนี้ เพื่อนบอกว่าขอตัวก่อนนะ ที่ตรงนี้เมียเอาผ้าของลูกมาตากไว้ ต้องเก็บผ้าไปด้วย พอมองไปก็เห็นราวตากเสื้อผ้าของเด็กเล็กๆ เราก็ลงไปช่วยเก็บด้วย ผ้าบางชิ้นยังไม่แห้ง เพื่อนบอกว่ายังไม่ต้องเก็บ ผึ่งไว้อย่างนั้นแหละให้แห้งก่อน เดี๋ยวค่อยมาเก็บใหม่ พอเราช่วยเก็บผ้าเอาไปใส่รถให้แล้ว เราก็แยกทางกับเพื่อน เพราะตั้งใจหนีผีที่ตามเท่านั้น ก็ออกมาไกลแล้ว ผีมองไม่เห็นว่าเราหายไปไหน เห็นแต่บริวารผีที่คอยตามหาเราอยู่ แต่มันคงโง่หรือไงไม่รู้นะ เพราะมันหาเราไม่เจอ

    ระหว่างทางที่แยกจากเพื่อนมา เราก็เดินไปเรื่อยๆ ได้พบเจออะไรอีกมากมาย แต่ลืมอ่ะ 555 ตื่นดีกว่า กินมากฝันมากเจงๆๆๆ

    ทำนายว่า....จะได้พบเจออุปสรรคหรือมีศัตรูปองร้าย แต่ทำอะไรไม่ได้
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เช้าวันที่ 22-10-2014
    ขอนำบทสนทนามาเผยแพร่เป็นธรรทาน และขออนุญาตใช้นามแฝงนะคะ

    N น้องB อยากรู้หนอ ไผคือผู้ที่เห็นว่าทำของใส่อ่ะ
    B ท่านให้เห็นเป็นผุ้หญิงมีอายุอ้ะพี่ หน้าตาคุ้นๆ แต่ท่านบอกมิให้เปิดเผยค่ะ บ่ใช่พี่ 5555 แก่กว่าหนูอีก
    N แก่ๆ ดำๆ ผอมๆ บ่
    B แม่นๆๆๆ พี่รุ้ได้ไง แต่หนู ไม่ชัดในใบหน้ามัน มันเปลี่ยนหน้าได้ด้วย
    N อั้ยย่ะ คือผีผู้หญิงที่ข้อยฝันเห็นเบย
    B บรึ๊ยยย เห้ยย ขนลุกเรย พี่ฝันมะไร
    N มันมีบริวารด้วยหนอ
    B หนูมะเช้าก่อนตื่น
    N ก็เล่าไปในเฟสไง ข้อยยังคิดอยู่หนอ ว่าเพื่อนคนไหนที่โดนรังควาน เพราะฝันนี้บ่แม่นเรื่องของข้อย แต่มันทำอะไรบ่ได้ ได้แค่รังควานให้เราพบอุปสรรคแค่นั้น
    B สาธุๆ โห แต่มันกลายร่างเป็นหน้า คล้ายๆ คนรุ้จักในเฟสหนูด้วย แต่ยังไม่มั่นใจ
    N ฝันเมื่อวันอาทิตย์กับเมื่อคืน
    B แต่ท่านกำชับไม่ให้ เผยมัน นี่สิ เห้อออ เบื่อจังพี่
    N ข้อยหลบมัน เพราะไม่อยากทำร้ายมัน สงสัยไปข้อยไปช่วยแหงๆ เลย มันก็เลยตามหาข้อย
    B นั้นสิเจ้
    N มันทำร้ายบ่ได้ แค่ปัดแข้งปัดขาให้เรารำคาญ แต่เราก็ทำสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจไว้นะ บ่ต้องไปแคร์ ปล่อยมันไป
    B คงเป็นเจ้าเก่า แหงๆ ดำ ดอทคอม ค่ะ หนูจะอโหสิมันพี่
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    N แม่น คืนแรกฝันเห็นเป็นผีตายซากแห้งเชียว ดำๆ เมื่อคืนเห็นตายซากแระ มีเนื้อมีหนังแต่ดำเหมือนเดิม มันมีลูกน้องผู้หญิงอายุน้อย คอยตามดูอยู่
    B หุยย เอาไงดีท่านแม่ หนูล่ะ หืมมมม
    N เดี๋ยวท่านแม่จัดให้เองนั่นแหละ มารไม่มีบารมีไม่เกิด B กำลังสร้างบารมี ปล่อยวางไปแล้วกัน ในโลกวิญญาณ ผู้เป็นใหญ่คงจัดการให้เอง
    B ค่ะพี่ หนูจะวางและให้อภัยมัน จะไม่โต้ตอบ
    N ดีมาก รู้ก็แค่รู้ รู้แล้วก็ระวังตัว อย่าประมาทก็พอ
    B ค่ะท่านแม่ ^^ พออโหสิ แล้วเราเบาเรยอ่ะท่านแม่ รุ้สึก ยิ้มออกค่ะ แปลกจัง
    N ยินดีด้วยหนอ
    B ปกติ หนูมิให้อภัยใครง่ายๆ เรยท่านแม่ 555
    N อภัยทานเป็นทานสูงสุดที่ทำได้ยาก แต่เมื่อทำได้ อะไรก็มาขวางหนทางไม่ได้อีก
    B สาธุๆๆค่ะ เห้อออ โล่งอกสะที
    N ใจมันเบา ชิมิร้า ชอบมั้ยล่ะ ใจเบากับใจหนัก จะเอาแบบไหน
    B ใจเบาค่ะ มันเบามาก ถ้าเป็นตะก่อนมีแต่ร้อนรุ่ม แค้นใจ ^^
    N กะแมนนนนน แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน หุหุ
    B หิหิ เนอะๆๆ รุ้งี้ รุ้จักอภัยตั้งแต่แรกแม่จ๋า มิน่าปล่อยให้จิตมีอาฆาตเร๊ยยยย
    N น่านนนนนนนน ธรรมดาคนเรามันก็ไม่รู้มาก่อนทั้งนั้นแหละ

    จบบทสนทนาค่ะ
     
  14. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ไอสีขาว คือ ความร้อนที่แผ่ออกมา อยู่ในมิติของพลังงาน ไม่ใช่โลกทิพย์

    ลองดูไปเรื่อยๆ อาจจะเห็นควันสีดำฟุ้งๆใน บางที่ ควันสีเทาอยู่ติดพื้น

    แสงสีฟ้า ที่เย็นมาก พุ่งขึ้นจากพื้น เวลาเจอให้อยู่ห่างๆ โดยเฉพาะแสงสีฟ้าที่เย็นมาก




     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอความรู้ค่ะ สีแต่ละสีหมายถึงอะไรคะ?

    ส่วนใหญ่จะเห็นสีขาวกับสีน้ำเงิน เห็นในนิมิตค่ะ เห็นตัวเองใส่ชุดขาวยืน และมีรัศมีใสกระจ่างรอบๆ ตัว ขอบของรัศมีจะเป็นสีน้ำเงินค่ะ อุปาทานหรือเปล่าคะ

    บางครั้งก็เห็นสีขาวกระจายออกมาจากกลางอก ทำให้มองภาพตัวเองไม่ชัด เป็นภาพเบลอๆ
     
  16. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    มิติของพลังานก็อยู่ในมิติโลกนี่เหละ แต่คนทั่วไปมองไม่เห็น ต้องใช้เครื่องมือวัด

    ส่วนที่เป็นรัศมีรอบ เป็นออร่า

    การเห็นนิมิตร ก็ไม่ต้องไปคิดว่าอุปทานหรือไม่ เพราะไม่ใช่เรื่องสำคัญ

    ครูบาอาจารย์สอนว่า รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น

    เรื่องสีต่างๆในมิติพลังงาน คุณ nouk ต้องลองสังเกตเอง บอกมากไม่ได้

    เกี่ยวพันไปถึง พลังงานของโลก และพลังจักรวาล

    สนใจเรื่องราวต่างๆ ก็พอสนุกได้ แต่สนใจจิตเราเองสนุกมากกว่ามากๆ

    หาให้เจอว่ามีกิเลสอะไรเหลืออยู่มั่ง จะได้ฟาดฟันกันตอนโค้งสุดท้าย

    อันนี้สนุกสุดๆ เพราะซับซ้อน มาก
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สาธุ อนุโมทนาค่ะ แต่เราเชื่อว่าแสงสีต่างๆ เหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับจิตนี่แหละ

    เราได้เห็นนิมิตโลกเกิด โลกสลาย และหายไป แล้วก็เกิดขึ้นมาอีก แล้วก็หายไป อย่างนี้อยู่หลายครั้ง เป็นนิมิตที่แสดงให้เห็นเรื่องอนัตตา จะไม่เล่าเรื่องสภาวะจิตหลังจากที่ได้เห็น แล้วโยนิโสมนสิการนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2014
  18. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    สี มีความเกี่ยวเนื่องนะ

    อ.อาชวิน เคยบอกไว้แล้วในเวปนี้

    จะเล่าเรื่องที่สำคัญกว่าล่ะกัน

    ในเรื่องทางโลก มีตำแหน่งใหญ่โตมากมาย มีคนอยากไปอยู่ตำแหน่งเหล่านั้น

    บางคนใช้ทุกวิธี เพื่อให้ได้ตำแหน่ง บางคนก็ได้ บางคนก็ไม่ได้

    พูดกันว่า เพราะบารมีไม่ถึง

    บางคนอยู่เฉยๆ ทำงานตามเรื่องตามราว ตำแหน่งก็มาเกยเอง

    พูดกันว่าบารมีถึง

    คราวนี้ถ้ามาคิดในทางธรรมล่ะ ถ้าจะไปสู่ นิพพาน ต้องสร้างบารมีขนาดไหน

    ส่วนตัว สร้าง ทานบารมี มา ชาตินี้ชอบทำบุญ ทำเกือบทุกวัน

    คิดๆอยู่ว่า ต่อไปอาจเป็น เช้า กลางวัน เย็น

    และต่อไปคงเป็นทุกชั่วโมงที่ตื่นอยู่ บารมีสำคัญมากๆ
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขออนุโมทนากับกุศลจิตของคุณนะคะ สาธุ

    เราคงจะถอยหลัง เพราะทุกวันนี้หยุดอยู่นิ่งๆ ไม่มีความคิดที่จะทำอะไรเลย เมื่อเราเห็นว่าทั้งหมดทั้งมวลมันไม่มีอะไรเลย แม้แต่กายและจิต เราก็เลยเฉยๆ มันอาจจะผิดก็ได้ ซึ่งตรงนี้เราก็ไม่ได้สนใจอีกเช่นกัน
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ....ฉันเคยหลงใหลกาม.....

    เพราะฉันคิดว่ากามนั่นแหละคือความสุขของชีวิต กามรสต่างๆ ฉันได้ลิ้มลองเสพมันอยู่ในทุกอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ถึงแม้จะเศร้าเสียใจ แต่ฉันก็ชอบที่จะเสพมันเช่นนั้น

    ฉันคลุกคลีคลุกเคล้ากามจนฉันรู้สึกเบื่อหน่าย รู้สึกเหน็ดเหนื่อยที่ใจ เช้ารื่นเริง สายซึมเศร้า เย็นฟุ้งซ่าน เหตุเกิดจากกามที่เสพเข้าไปในทุกวินาทีที่รับมันเข้ามาในอารมณ์และความรู้สึก

    แล้ววันหนึ่ง...ฉันได้ใคร่ครวญไตร่ตรองกาม ทำไมฉันจึงหลงใหลกาม กามกิเลส กามตัณหา กามราคะ มันไม่ได้ให้อะไรแก่ฉันเลย มันก็แค่ผ่านเข้ามาแล้วก็ออกไปในทุกๆ ครั้ง มันไม่ได้มีความจริงจังอะไรเลย

    และแม้จนถึงวันนี้ ฉันก็ยังคงอยู่กับกาม แต่กามไม่สามารถมาทำให้ฉันร้าวรานได้อีกต่อไปแล้ว เพราะฉันรู้จักมันดีพอเกินกว่าที่จะเผลอใจไปกับมัน...จบกันทีกามทั้งหลาย...อิอิอิ

    รสนิยมต่างๆ ล้วนเป็นกาม

    เราทุกคนล้วนเกิดจากน้ำกาม เจริญเติบโตมาด้วยกาม ใช้ชีวิตและเวลาหมดไปกับกาม แล้วเราจะแก่และตายด้วยกามต่อไปหรือไม่ ก็พิจารณาไตร่ตรองกันเอาเอง....
     

แชร์หน้านี้

Loading...