บุญแห่งความกตัญญู

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 22 กันยายน 2016.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    บุญแห่งความกตัญญู

    การทดแทนบุญคุณ หรือการแสดงความกตัญญูนั้น นับเป็นบุญที่เป็น "รากฐาน" แห่งชีวิต

    พระพุทธเจ้าตรัสเป็นพุทธวจนะว่า “ภูมิ เว สัปปุริสานัง กตัญญูกตเวทิตา” ความกตัญญูเป็นพื้นฐานของคนดี

    สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสสเทวะ) ก็ได้แต่งเลียนแบบสำนวนขึ้นมาให้ไพเราะมากขึ้นและเป็นที่รู้จักกันในสังคมดีกว่าสำนวนแรกว่า “นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา” ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี

    โดยธรรมชาติคนเราล้วนเป็นหนี้บุญคุณผู้อื่นทั้งสิ้น ใครที่กล้าประกาศตนว่าได้ดีขึ้นมาเพราะอาศัยผลแห่งการต่อสู้ด้วยตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับใครเลยก็นับว่าโกหกอย่างร้ายกาจ หรือไม่ก็เป็นคนโง่ที่เป็นวัวลืมตีน ไม่มีใครในจักรวาลนี้สามารถเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่มีความเกี่ยวข้องหรือข้องแวะกับใครเลย ทุกคนล้วนต้องมีผู้มีพระคุณ คนที่ปฏิเสธรากเหง้ากำพืดของตนเองปฏิเสธว่าไม่มีผู้ที่มีพระคุณไม่ว่าจะโดยทางตรง หรือ ทางอ้อมจึงถือเป็นคนเลวและไม่มีทางเจริญในพระพุทธศาสนา

    คำว่า “ผู้มีพระคุณ” นั้นไม่ได้หมายความเพียงแต่บิดามารดา หรือญาติผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังหมายถึงทุกสรรพสิ่งที่ยังประโยชน์ให้กับชีวิตของเราในทุกด้าน ทั้งที่เป็นครูบาอาจารย์ที่สอนโดยตรงหรือทางอ้อม เพื่อน คนรอบข้าง สัตว์เลี้ยงที่ให้คุณ ลูกค้า ลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ หรือใครก็ได้ที่เคยให้เคยช่วยเหลือไม่ว่าเป็นเรื่องใดๆ และเราเป็นผู้รับ

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสโดยสรุปในเรื่องนี้ไว้ว่า บุคคลที่หาได้ยากในโลกนี้ มีอยู่ 2 ประเภทคือ ผู้ที่มีความกตัญญูรู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว และผู้ที่มีความกตเวที

    ความกตัญญู คือ ความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว้ เป็นคุณธรรมคู่กับความกตเวที คือ การตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น บุญคุณที่ว่านี้มิใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายกัน แต่หมายถึงการรำลึกถึงพระคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่ง เมื่อรู้พระคุณแล้วก็ตอบแทนพระคุณท่าน มีความคิดเช่นนี้อยู่ภายในใจอย่างต่อเนื่อง และแสวงหาโอกาสทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณท่านอย่างไม่รู้ลืม

    บุคคลเช่นนี้หาได้ยากในโลก และสัตบุรุษทั้งหลายตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสาวก และบัณฑิตชนจึงพากันสรรเสริญยกย่อง แม้เทวดาทั้งหลายก็ปกปักรักษา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที

    ในสมัยพุทธกาลมีภิกษุรูปหนึ่งบิณฑบาตได้อาหารมา ก็เอาไปให้ผู้บังเกิดเกล้าก่อน ตนเองจะได้ฉันบ้างหรือไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร ทำให้พระรูปอื่นพากันติเตียนว่า ทำไม่เหมาะสมเอาอาหารของพระไปให้คฤหัสถ์ได้กินก่อนได้อย่างไร

    แต่พระพุทธเจ้ากลับสรรเสริญภิกษุรูปนั้นว่า ทำถูกแล้วแม้จะบวชเป็นพระแล้วก็ตามยังสามารถหาเลี้ยงดูบิดามารดาได้และอาหารที่ได้มานั้น พระพุทธองค์ก็อนุญาตที่จะเอาไปให้บิดามารดากินก่อนได้ไม่ผิดแต่อย่างใดและทรงสรรเสริญภิกษุนั้นเป็นอันมากเพราะคุณธรรมความกตัญญูเป็นเหตุ

    ส่วนของพระองค์เองนั้นได้ทดแทนพระคุณแด่ผู้มีพระคุณครบถ้วน

    โปรดพระบิดาให้บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล
    โปรดพระมารดาบนสวรรค์ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม
    โปรดพระแม่น้า ให้ได้บวชเป็นพระอรหันต์

    ทรงทดแทนข้าวน้ำ และค่าน้ำนมทุกหยดอย่างคุ้มค่า นี่คือ พระจริยวัตรอันงดงามและทรงคุณค่าที่สุดอันเป็นแบบอย่าง และเป็นต้นแห่งบุญทั้งปวง

    ผู้ใดมีความกตัญญู ย่อมถือได้ว่าเป็นคนดีและจะเป็นผู้มีความสุขความเจริญ

    โมทนาสาธุ

    *********

    ‪#‎หนังสือธรรมทาน ‪#‎เสบียงบุญ #ธรรมะ #พระพุทธเจ้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...