เรื่องเด่น บุพพกรรมเก่าของตัวเอง ( หลวงปู่จาม มหาปุญโญ )

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 15 กันยายน 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647


    ลป-จาม-พลังจิต.jpg

    บุพพกรรมเก่าของตัวเอง



    หนีจากผีพวกนั้นมาอยู่สันป่าเคียะใกล้แม่กอย จะภาวนาอยู่นั้นก็ไม่อยู่ ทั้งที่ภาวนาก็ดีอยู่ จิตใจนึกคิดแต่ไปทางสะเมิง จึงได้ลงไปดอยแม่ปั๋ง อาจารย์หนูไม่ไปด้วย ลาจากกันแล้วก็ลงไปแม่แตง ต่อไปแม่ริม เข้าไปทางสะเมิง

    มาคิดดูเดี๋ยวนี้เห็นจะเป็นพระบุพพกรรมของตนก็เป็นไป ไปถึงสะเมิงแล้วก็ต่อไปทางแม่บ่อแก้ว ว่าจะไปเสาะหาที่เจริญภาวนาก็เลยหลงดงหลงป่า หมู่บ้านผู้คนในยุคสมัยนั้นก็อยู่ห่างไกลกันยิ่งนัก เดินลัดตัดดอยขึ้นลงๆ อยู่อย่างนั้น

    อาหารบิณฑบาตก็ลำบากที่สุด บางวันได้แต่ข้าวเปล่า บางวันได้กล้วยลูกสองลูก บางวันได้น้ำอ้อยก้อน บากบั่นมุทะลุแท้ๆ ล่ะ สมัยยังหนุ่มแน่น เดินทางตลอดวัน ค่ำไหนนอนนั่น มันอยากแต่จะไปก็ให้มันไปลองดู มันจะเป็นอย่างไร ได้ฉันบ้างไม่ได้ฉันบ้าง ร่างกายก็อ่อนเพลียลง ยังดีแต่จิตใจยังมุ่งมั่นบากบั่นอยู่ ยังสู้อยู่ ไม่บ้าก็ใกล้ๆ บ้า เป็นคนน้อยหนุ่มนี้คิดนึกปุ๊บก็แต่งบริขารใส่บาตรใส่ย่ามก็ออกเดินทางทันที

    ใกล้ค่ำแล้วจึงได้ไปพบปะหมู่บ้านหนึ่ง ก็เลยพักปักกลดอยู่ใกล้ริมน้ำสายหนึ่ง ชาวบ้านมาเห็นเข้าจึงได้พาไปพักอยู่เถียงนา แล้วเขาก็ไปแจ้งข่าวกับผู้ใหญ่กับผู้เฒ่าแก่บ้านแก่เมือง ว่ามีพระธุดงค์มาพักอยู่เถียงนานอกหมู่บ้าน

    โยมผู้ใหญ่บ้านคนนั้นก็จัดการฆ่าไก่แล้วต้มยำมาให้เราฉันตอนค่ำมืด จุดตะเกียงส่องทางมา

    “ท่านเอ๊ย นิมนต์ฉันเต๊อะ เดินทางไกลมาทั้งวัน นิมนต์ฉันภัตนี้เต๊อะ ลูกบ้านของผมได้เข้าไปบอกว่า นิมนต์ท่านมาพักอยู่นี้ ผมจึงได้ฆ่าไก่แล้วต้มทำมาให้ท่านได้ฉัน ภิกษุเดินทางฉันได้ นิมนต์เถอะครับ”

    เราก็ปฏิเสธว่า “อาตมาฉันวันละหน ฉันแต่เช้าแล้วก็แล้วไป ตื่นเช้ามาก็ออกบิณฑบาตขอมาฉันเหียแล้วก็แล้ว พระธุดงค์พระป่าไม่พากันนิยมฉันหลังตะวันเที่ยงตรงหัวเลยคล้อยบ่ายไปแล้ว”

    เมื่อปฏิเสธไปอย่างนั้น โยมผู้ใหญ่บ้านกับคนเฒ่าหลักบ้านนั้นก็เสียใจ พากันกลับไปกราบไหว้ก็ไม่ไหว้ แล้วกลับไปบอกลูกบ้านว่า…
    “วันพรุ่งนี้ไม่ต้องใส่บาตรให้ตุ๊ป่าต๋นนั้น มันไม่ฉันอาหารก็ให้ฉันใบไม้ยอดไม้อยู่ป่าไปเถอะ เมื่อคืนค่ำตะวานนี้ ข้าฯ ได้ต้มไก่ไปให้ฉัน ตุ๊ตนนี้ยังไม่ฉันให้เลย”

    เราเดินบิณฑบาตโยมผู้ใหญ่นั้นก็บอกประกาศไปก่อน มีคนเตรียมจะใส่บาตรพอผู้ใหญ่ บ้านประกาศไปก่อนแล้วเขาก็ไม่ยอมใส่บาตรให้ได้แต่ยืนมองเราอยู่ ไปจนสุดหมู่บ้านแล้วก็วกกลับมา ก็ไม่มีใครใส่บาตรสักคน

    กลับไปเถียงนา เก็บบริขารใส่บาตรใส่ย่าม กรองน้ำใส่กระบอก กรองน้ำฉันแล้วก็ออกเดินทาง มีโยมเดินสวนทางถามทางเขาก็ไม่ยอมบอกทางให้ว่าไปไหนต่อไปไหน หมู่บ้านอยู่ห่างเท่าไหร่ เขาไม่ยอมพูดด้วยเลย จึงได้เดาสุ่มไปตามเรื่อง จนบ่าย ๓ โมง จึงเห็นหมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่ง เข้าใจว่าพรุ่งนี้คงจะได้ฉันข้าวแน่นอนก็แวะพักใกล้ๆ กับทางนั้น เส้นทางเลาะไปตามลำห้วย อาบน้ำชำระกายตากผึ่งผ้าไว้ ค่ำมาก็ไหว้พระสวดมนต์ เจริญภาวนาจนดึกแล้วพักผ่อนไป

    ตื่นเช้าก็เข้าไปบิณฑบาต ผู้คนชาวบ้านเขาก็เดินหนีหลบเข้าในบ้าน ยืนอยู่หน้าบ้านนานๆ เขาก็ไม่ออกมา แรกๆ เราก็ไม่ได้สังเกต ไปจนสุดหมู่บ้านก็กลับมาทางเก่า มาถึงกลางหมู่บ้านเห็นศาลาที่ประชุมของเขา

    ยืนพิจารณาอยู่เห็นไม้กางเขน เห็นตัวหนังสือของฝรั่ง มองไปตามบ้านเรือนผู้คนก็เห็นไม้กางเขน จึงรู้ได้ว่า โอ… หมู่บ้านนี้เป็นบ้านพระเยซูนับถือคริตจักร

    วันนี้วันที่สองก็ไม่มีใครใส่บาตรให้เลย กลับไปที่พักเมื่อคืน เก็บบริขารได้แล้วเดินทางต่อไปอีก ได้อาศัยแต่กรองน้ำตามลำห้วยดื่มกินให้เต็มท้องแล้วก็ไปเรื่อยๆ วันนี้ไปจนค่ำมืด จึงได้พักปักกลดอยู่เลยค้อยต่ำจากสันดอย ได้ยินเสียงผู้คน ได้ยินเสียงหมาเห่า ได้กลิ่นควันไฟจางๆ นึกหมายในใจว่า พรุ่งนี้จะไปบิณฑบาตทางนั้น ขอให้ได้อาหารบิณฑบาตหน่อยเถอะ

    เมื่อตะวันขึ้นสายแล้วก็เก็บกลด เก็บบริขารแบกไปพร้อมเลย เอาไปซ่อนไว้ทางเข้าหมู่บ้าน แล้วห่มจีวรซ้อนสังฆาฏิเข้าบิณฑบาตก็เป็นอย่างเก่าอีก เราสังเกตดูตามหน้าบ้านของเขามีไม้กางเขนอยู่บ้างปละปลาย ยังไม่หมดทุกหลังคาบ้าน และยังไม่มีศาลาที่ประชุมของคริตจักร เดินไปจนสุดบ้านเรือนของผู้คนแล้วก็กลับคืนมาจนจะสุดหมู่บ้าน

    มีบ้านเรือนอยู่หลังหนึ่งอยู่ริมหมู่บ้านหลังสุดท้าย สังเกตดูมียายเฒ่ากับหลานน้อย ยายเฒ่านึ่งข้าวสุกแล้วพอดี หลานสาวยายเฒ่านั้นอายุสัก ๖ – ๗ ปี เราก็หยุดยืนอยู่นาน หลานน้อยมันก็อยากดูเรา ผลุบๆ โผล่ ลับล่ออยู่กับประตูบ้าน ตัวยายเฒ่านั้นหลบแอบมองอยู่ข้างใน เราก็ยืนต่ออีกอึดใจ หลานน้อยว่า…
    “อุ้ยๆ ตุ๊เจ้ามากุมบาตร”
    “บ่ต้องไปสนใจ อย่าได้ผ่อมัน”
    “บ่ผ่อบ่แลก็หันอยู่ ยืนอยู่ที่เก่านะอุ้ยเฒ่า”

    ยายเฒ่านั้นคงจะกลัวว่าเราจะยืนอยู่นาน ทำให้เรือนหลังอื่นมาเห็นเข้า ทำให้คนอื่นมาเห็นเข้า หรือจะอย่างไรก็ตาม จึงได้จกข้าวปั้นขนาดผลมะตูม ลูกขนาดกลางๆ ให้หลานน้อยออกมาใส่บาตรให้เรา เรารับแล้วเด็กน้อยมันก็ชะโงกดูบาตรของเขา

    “โห๊ะ… ได้ข้าวปั้นเดียว อุ้ยๆ ได้ข้าวปั้นเดียวเท่านั้นหน๋า”
    “อือ”

    เด็กน้อยมันก็วิ่งกลับเข้าบ้าน เราก็ยืนดูท่าทีอยู่นานอึดใจ ก็ตัดสินใจเดินออกจากหมู่บ้านมาที่ซ่อนบริขารไว้ ก็ว่าเดินไป หากมีน้ำมีที่นั่งฉันได้ก็จะฉันให้พอมีแรงอยู่บ้าง

    เดินได้ไกลจากหมู่บ้านพอสมควรแล้ว ก็รู้สึกว่ามีอะไรตามหลังมาจึงได้หันกลับไปมองดู เห็นหมาแม่ลูกอ่อน คงกำลังอยู่ในระหว่างการให้นมลูกน้อยของมัน มันคงตามมาแต่หมู่บ้าน จึงหันกลับเดินทางต่อ หมาตัวนั้นมันก็เดินตามมาเรื่อยๆ เราก็พิจารณาอยู่ว่า เอ… หมามันคงจะหิวเหมือนกันกับเรา ตัวเรานี้ชีวิตเดียว ตัวมันหลายชีวิต ชีวิตตัวมันลูกน้อยของมันก็คงจะหลายตัว ตัวมันก็ยอมโซ นมยานเหี่ยวแตบแซบ จึงพูดกับมันว่า…

    “หมาเอยกูก็ไม่มีอะไรจะให้ทานแก่มึง กูนี้ไม่ได้ฉันจังหันมาหลายวันแล้ว วันนี้ก็บิณฑบาตได้ไม่มาก กูจะสละให้มึงได้กิน เพื่อว่ามึงจะได้มีน้ำนมมีกำลังเรี่ยวแรงเลี้ยงลูกของมึงต่อไป”

    เราว่าแล้วก็จกข้าวปั้นนั้นในบาตรโยนให้มันมันก็อ้าปากรับแล้วคาบไปนอนหมอบกินอยู่ข้างทาง เราก็ยืนดูมันกินจนหมด มันคงยังไม่อิ่ม

    เราก็ว่า “หมดแล้วกูไม่มีอะไรให้มึงอีกแล้ว”

    จึงได้เอียงบาตรให้มันดู มันก็ดูว่าไม่มีอะไรในบาตรแล้วมันก็มองหน้าเราอยู่นานแล้วหันหลังให้เราวิ่งกลับเข้าหมู่บ้านไป เราก็หาที่ล้างบาตร เช็ดบาตรให้แห้ง เก็บบริขารใส่แล้วก็ออกเดินทางต่อไป

    สามวันแล้วที่ไม่ได้ฉันจังหัน วันนี้ท้องหิวแต่อิ่มใจ แต่ก็เหนื่อยเมื่อยล้ากับการเดินทางตลอดวันค่ำ แต่เช้าจนค่ำมาหลายวันแล้ว ก่อนหน้านี้หลายวันมาก็ขบฉันไม่ค่อยอิ่มท้องอิ่มไส้ ได้แต่ฉันน้ำเปล่ามาหลายวันแล้ว เช้าสายบ่ายคล้อย แดดก็ร้อน ใจก็หวิวๆ อยู่ หูอื้อกำลังเรี่ยวแรงเริ่มอ่อน เดินลัดดงลัดป่าขึ้นเขาลงห้วยขึ้นลง ขึ้นลง ขึ้นลงตลอดวัน เวลาตะวันเที่ยงตรงหัวนั่งพักฉันน้ำในกระบอกจนหมด กะว่าลงต่ำลงห้วยก็จะกรองเอาน้ำอีก ฉันน้ำแล้วก็นั่งพัก หายเหนื่อยแล้วก็เดินทางต่อ ใจยังสั่นๆ อยู่ อดใจเดินต่อไปอีก มองดูตะวันก็บ่ายคล้อย เดินต่อไปอีกได้เหนื่อยใหญ่ๆ หนึ่ง หูอื้อหนักเข้าตาก็ลายมืดตึบเข้ามา วูบดับทั้งยืนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ามันล้มลงในตอนไหน คงนอนสลบอยู่นานอยู่หรอก มารู้สึกตัวก็ว่า เอ…กูมานอนอยู่ตรงนี้แต่เมื่อไหร่ จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นเห็นดินเห็นใบไม้แห้ง เห็นก้อนหิน เห็นรากไม้ต้นไม้ เห็นป่าไม้

    โอ… กูนอนตายสลบไปนี่ นานเท่าใดหนอ จึงค่อยๆ พลิกตัวมองหาพระอาทิตย์ตะวันก็ค่ำลงมาก กะประมาณได้ประมาณสัก ๒ ชั่วโมง พอกำหนดสติได้แล้ว มีความรู้สึกเหมือนกับลมพัดลมเป่าเย็นเบาๆ เริ่มแต่ต้นคอไล่ลงไปจนบั้นเอว จากบั้นเอวก็กลับคืนขึ้นหาต้นคอตีนผม บาตรก็ยังคล้องไหล่อยู่ กลดก็วางข้างๆ ถุงย่ามก็ยังคล้องไหล่ อยู่ ความเย็นเบาๆ นั้นค่อยๆ ชัดขึ้น ชัดขึ้น ตัวเราเองก็เหมือนกับว่าพละกำลังเรี่ยวแรงมากขึ้นๆ จึงได้พลิกตัวไปทางหลัง

    เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณ ๒๐ ปี รูปร่างงดงาม หน้าตาดูดีเป็นคนหนุ่มรูปงาม ผิวดำแดง ดูมือเล็บดูเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านไม่เหมือนคนบ้านดงบ้านป่า

    เขาถามว่า “ท่านคงจะเหนื่อยมากนะครับ”

    “เหนื่อยอยู่” เราตอบพร้อมพยักหน้า

    “ไม่เป็นอะไรมากหรอก ให้นอนพักอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวผมจะเป่าให้หายเหนื่อย ขอโอกาสเน้อครับ”

    เขาว่าแล้วก็เริ่มเป่าให้อีกรอบไล่ลงจากหัวจนถึงปลายเท้า กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น ๓ รอบ ก็บอกว่า…

    “เอาล่ะท่านเอ๊ย ให้อดทนเน้อ บุพพกรรมมาถึงแล้ว ไม่เป็นไรหรอก สักพักคงจะหายเหนื่อย”

    เขาเป่าไปทั่วหมด เย็นๆ เบา เป่าไปถึงไหนมีกำลังเรี่ยวแรงไปถึงนั่น แล้วเขาก็ให้เราลุกขึ้น

    เราก็ว่า “ ดีแล้ว หายแล้ว สบายแล้ว คงจะนอนสลบอยู่ตรงนี้ เพราะเหนื่อยมาก หน้ามืดตาลาย ไม่ได้ฉันจังหันมาหลายวันแล้ว”

    “ท่านจะไปไหน ? ”

    “ตั้งใจจะไปป่าเมี่ยงแม่สม เลยหลงทางขึ้นๆ ลงๆ หลายดอยมาแล้ว แต่เช้า”

    “โอ… ดีล่ะผมก็จะไปทางนั้นเหมือนกัน ขอเอาของๆ ท่านมาให้ผมช่วยถือ ทั้งบาตร ทั้งย่าม ทั้งกลด ตัวท่านให้ถือเอาแต่ไม้เท้า ค่อยๆ เดินตามผมก็ได้”

    เราก็เอาบริขารให้เขาไป ถือเอาผ้าอาบน้ำผืนเดียวคลุมไหล่เดินตามเขาไป เดินไปไม่ช้าไม่เร็ว แต่ก็ไม่พอที่จะทันเขาได้ ในใจก็ว่าจะพูดคุยนั่นนี่อยู่ เราจ้ำเดินให้ทันตัวเขาก็เดินไวขึ้น เราเดินช้าเขาก็เดินช้า ระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกล จะคุยกันก็ไม่สะดวก จึงได้กำหนด “พุทโธ” เดินตามไป ทีนี้ไม่สนใจกับเขา กำหนดจิตอยู่รู้อยู่ตลอด สักพักมีความรู้สึกวูบวาบๆ ในจิต ยังตั้งตัวไม่ทันว่าอะไรเป็นอะไร ก็มาถึงทางแยก

    “ถึงทางแยกแล้วล่ะท่านเอย ผมเองมีธุระจะไปทางปลายห้วยน้ำแม่สมนี้ บ้านแม่สมให้ท่านเดินไปอีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว”

    ว่าแล้วเขาก็ประเคนบาตร ประเคนย่ามให้คืน เราก็ให้พรแก่เขา เราก็นั่งพักอยู่ตรงนั้นมองดูชายหนุ่มคนนั้นอยู่ แต่พอเราเผลอเขาก็เดินไปได้ไกลแล้ว พอเขาเลยต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไปเท่านั้นก็ไม่เห็นเดินต่อไปอีก

    เราก็รีบลุกด่วนไปดูว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้นอยู่หรือ เมื่อไปถึงต้นไม้นั้นแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร รอยเท้าที่เดินไปตามทางเดินก็ไม่มี เรื่องแปลกประหลาดวันนี้ก็เรื่องของหนุ่มน้อยคนนี้ เรื่องของบุพพกรรมของตัวเอง จึงเดินกลับคืน เดินตามทางไปสู่ป่าเมี่ยงแม่สม ตะวันค่ำมืดพอดี พวกญาติโยมเขาเห็นแล้วเขาก็ด่วนมารับบริขารทันที

    “อย่าฟ่าวมาถามอาตมาเน้อโยมเอย อาตมาเหนื่อยมากไม่ได้ฉันจังหันมาหลายวันแล้ว หลงป่าหลงทาง”

    เขาให้พักเรือนว่างหลังหนึ่ง แล้วก็ต้มน้ำอ้อยงบมาให้ฉัน ค่อยๆ จิบ จนน้ำอ้อยหมดขันแล้วก็ล้มตัวนอนพัก จนพอดึกดื่น รู้สึกตัวอีกทีก็ลุกขึ้นมาไหว้พระ นั่งภาวนาจนแจ้งเป็นวันใหม่ โยมเขาก็เอาอาหารมาให้ฉัน

    “อย่าฟ่าวอย่าด่วนเน้อท่านเอ๊ย ค่อยๆ ฉัน”

    ฉันอิ่มแล้วมีแรงมีกำลังแล้วจึงได้เล่าให้เขาฟัง ในเหตุการณ์ความเป็นมาตลอด หมู่บ้านที่เริ่มแรกแท้ๆ นั้น เขาเรียกบ้านนายาว บ้านนาใหม่ เป็นบ้านคริตจักรเข้าไปตั้งสอนศาสนาไว้ กรรมซัดไปซัดมาอยู่เมืองฝางก็อยู่สบายดีมาก อยู่เมืองพร้าวก็ภาวนาดีอยู่ อยู่แม่แตงก็พออยู่ได้ อยู่แม่ริมก็อยู่ได้ แต่กรรมมันแรงกว่าดึงไปจนถึงนาเม็ง นายาว สะเมิง

    ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ

    ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐





    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     

แชร์หน้านี้

Loading...