ประวัติฉบับสมบูรณ์ของหลักเมืองนครศรีธรรมราช

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย jummaiford, 28 พฤศจิกายน 2006.

  1. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช


    <DD>1. คำและความหมาย มีคำอยู่สามคำที่คล้ายคลึงกัน แต่มี่ความหมายต่างกันชัดเจน คือ คำว่า หลักเมือง คำว่า ศาลหลักเมือง และคำว่า ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ขอแสดงความเข้าใจและคิดเห็นดังนี้
    • 1.หลักเมือง หมายถึงนิมิตหมาย ว่าได้สร้างเมือง ณ ที่ตรงนั้น เมื่อวัน เดือน ปี เวลา นาที เท่านั้นเท่านี้
    • 2.ศาลหลักเมือง หมายถึงสิ่งก่อสร้าง เป็นอาคารสวยงาม กะทัดรัด มั่นคง เป็นเทวสถานที่สถิตของเจ้าพ่อตามข้อ 3
    • 3.ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง หมายถึงที่สิงสถิตของเทพเจ้าผู้มีมเหศักดิ์ ดูแลปกป้อง คุ้มครองบ้านเมืองและประชาชน

    <DD>2. แบบอย่างการสร้างหลักเมือง แบบอย่างการสร้างหลักเมืองที่ชัดเจนที่สุด คือ การสร้างหลักเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ ณ วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2325 เวลา 06.54 น. เรื่องราวที่บันทึกไว้เป็นดังนี้
    [​IMG]

    <DD>"หลังจาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จกรีธาทัพเหยียบพระนคร ได้เพียงสองวัน วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2325 ก็มีพระบรมราชโองการสั่งให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดกะที่สร้างพระนครใหม่ข้างฝั่งตะวันตก ได้ทำพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 เวลา 06.54 นาฬิกา พระราชวังใหม่ให้ตั้งในที่ซึ่งพระยาราชเศรษฐีและพวกจีนอยู่เดิม โดยโปรดให้ย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ที่สวนตั้งแต่คลองวัดสามปลื้มไปจนถึงคลองวัดสามเพ็ง แล้วจึงได้ฐาปนาสร้างพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถาน ล้อมด้วยปราการระเนียดไม้ไว้ก่อน พอเป็นที่ประทับ"
    <DD>จากข้อความข้างต้นมีเรื่องสำคัญอยู่ประการหนึ่งคือการยกเสาหลักเมือง ซึ่งถือว่าเป็นมิ่งขวัญสำคัญของเมือง แต่เสาหลักเมืองและดวงชาตาพระนคร ที่ปรากฏในปัจจุบัน มิใช่ของที่สถาปนาในรัชกาลที่ 1 เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรับปรุงขึ้นใหม่ ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 4 ว่า
    <DD>"แลที่ศาลเจ้าหลักเมือง ศาลพระกาฬ ศาลพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และศาลเจ้าเจตคุปต์นั้น เดิมเป็นแต่หลังคาตังไม้มุงกระเบื้อง ทรงพระกรุณาโปรดให้ช่างก่อรอบ มียอดปรางค์อย่างศาลพระกาฬที่กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยาเก่าทั้งสี่ศาลและหอกลางนั้นเดิมสองชั้นสามชั้น ขัดแตะถือปูนทำเป็นยอดเกี้ยว โปรดให้ทำใหม่ก่อผนังถือปูน แปลงเป็นยอดมณฑป... แล้วทรงพระราชดำริถึงหลักเมืองชำรุด ทำขึ้นใหม่ แล้วจะบรรจุดวงชาตาเสียใหม่ ณ วันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรมเก้าค่ำ (จุลศักราช 1214) พระฤกษ์จะได้บรรจุดวงพระชาตาพระนครลงด้วยแผ่นทองคำหนัก 1 บาท แผ่กว้าง 5 นิ้ว จารึกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรมสมเด็จพระปรมานุชิตฯ กรมหมื่นบวรรังษี กับพระสงฆ์ราชาคณะอีกสามรูป รวมห้ารูป เมื่อเวลาจารึกได้เจริญพระปริตแล้วพระฤกษ์ 12 พระยาโหราธิบดีได้บรรจุที่หลักเมือง เสร็จแล้วก็มีการสมโภช...."
    [​IMG]

    <DD>ลักษณะของเสาหลักเมืองที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้สร้างใหม่นั่นเป็นเสาไม้ชัยพฤกษ์ สูง 108 นิ้ว กว้างผ่านศูนย์กลาง 30 นิ้ว ฐานเป็นแท่นกว้าง 70 นิ้ว ปลายเสาเป็นชัยพฤกษ์ สูง 108 นิ้ว กว้างผ่านศูนย์กลาง 30 นิ้ว ฐานเป็นแท่นกว้าง 70 นิ้ว ปลายเสาเป็นหัวเม็ดทรงมัณฑ์ บรรจุเทวรูปและดวงซาตากรุงเทพมหานครที่เรียกกันว่า "เจ้าพ่อหลักเมือง" ก็ควรได้แก่ เทวรูปองค์นี้ไม่ใช่ตัวเสาและเทวรูปองค์นี้ก็มีพิธีประกาศเทวดาอัญเชิญเทพเจ้าเข้าประดิษฐานในเทวรูปดังปรากฏในหนังสือประกาศพระราชพิธี เล่ม 1 มีความตอนหนึ่งว่า
    <DD>"ข้าแต่ท้าวเทวราชสุรารักษ์ อันควรจะเสด็จสถิตนิวาสนานุรักษ์ บนยอดหลักสำหรับพระมหานคร ข้าพระพุทธเจ้า ขออัญเชิญเทพยมหิทธิมเหศวรผู้ทรงศักดิ์สิทธิ์จงเข้าสิงสู่สำนักในเทวรูปซึ่งประดิษฐานบนยอดบรมมหานครโตรณ อันบบรจุใส่สุพรรณบัตร จารึกดวงพระชันษากรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์มหินทรายุทธยาบรมราชธานีนี้ จงช่วยคุ้มครองป้องกันสรรพไพรีราชดัษกร อย่าให้มาบีฆาถึงพระมหานครราชธานี และบุรีรอบขอบเขตขัณฑ์สีมามณฑล ทั่วสกลราชอาณาประวัติ" เนื่องจากพระราชพิธีอัญเชิญเทวดาสิงสถิตในเทวรูปดังกล่าวนี้เอง จึงทำให้ "เจ้าพ่อหลักเมือง" มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือของมหาชนมาก จากบันทึกรับสั่งสมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทาน ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล ในหนังสือวงวรรณคดี ฉบับเมษายน 2491 ได้ทรงอธิบายประเพณีการตั้งหลักเมืองไว้ว่า
    <DD>"หลักเมืองเป็นประเพณีพราหมณ์มีมาแต่อินเดียไทยตั้งหลักเมืองขึ้นตามธรรมเนียมพราหมณ์ ที่จะเกิดหลักเมืองนั้นคงเป็นด้วยประชุมชน ประชุมชนนั้นต่างกัน ที่อยู่เป็นหมู่บ้านก็มี หมู่บ้านหลาย ๆ หมู่รวมเป็นตำบล ตำบลเป็นตำบล ตำบลตั้งขึ้นเป็นอำเภอ อำเภอนั้นเดิมเรียกว่าเมือง เมืองหลายๆ เมืองรวมกันเป็นเมืองใหญ่ เมืองใหญ่หลายๆ เมือง เป็นมหานคร คือ เมืองมหานคร"
    <DD>"ตัวอย่างหลักเมืองที่มีเก่าที่สุดในสยามประเทศนี้ คือ หลักเมืองศรีเทพในแถบเพชรบูรณ์ ทำด้วยศิลาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานบัดนื้ เรียกเป็นภาษาอินเดียในสันสกฤตว่า "ขีน" ในภาษามคธว่า "อินทขีน" หลักเมืองศรีเทพทำเป็นรูปตาปู หัวเห็ด หลักเมืองชั้นหลังมาก็คงทำด้วยหินบ้าง ไม้บ้าง หลักที่กรุงเทพมหานคร ทำด้วยไม้" "เมื่อพระพุทธยอดฟ้าจุฟ้าจุฬาโลกข้ามฟากมาจากธนบุรี สิ่งแรกที่กระทำคือตั้งหลักเมือง คิดดูด้วยปัญญาก็เห็นเป็นการสมควร เป็นยุติได้แน่นอนว่าจะตั้งเมืองที่ตรงนี้ ถ้าไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมาย ความไม่แน่ก็คงมี อาจเปลี่ยนแปลงโยกย้ายได้ที่ปักไปแล้วคนเป็นใจด้วยทุกคน อนึ่ง ควรสังเกตไว้ด้วยว่า การตั้งเมืองใหญ่มีของสองอย่างกำกับกัน คือหลักเมืองและพระบรมธาตุฯ"

    [​IMG]

    <DD>3.หลักเมืองนครศรีธรรมราช ความคิดเรื่องการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช เป็นความเห็นแตกต่างของมหาชนชาวนครศรีธรรมราช เอง ฝ่ายหนึ่ง เห็นว่ามีมาก่อนแล้วปรักหักพังไป เพราะเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเมืองสำคัญ เป็นเมืองแม่ของเมืองแม่ของเมืองบริวาร 12 เมือง (เมืองสิบสองนักษัตร) จะต้องมีหลักเมืองเป็นศักดิ์ศรี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองสมบูรณ์แบบตามโบราณประเพณี ฝ่ายนี้เห็นว่าควรสร้างหลักเมือง และขยายความด้วยเหตุผลตามหลักโหราศาสตร์ว่า จังหวัดนครศรีธรรมราชได้สืบทอดประวัติมาเป็นเวลาอันยาวนาน เป็นมหานครทางภาคใต้และเป็นบ่อเกิดของศิลปวัฒนธรรมสำคัญของชนขาติไทย โดยมีพระบรมธาตุเป็นหลักชัยของชาวพุทธ เป็นศูนย์รวมศรัทธาศาสนาและความเชื่อต่างๆ แต่สำหรับการสร้างบ้านเมือง จะต้องมีเสาหลักเมืองอันเป็นหลักชัยของบ้านเมืองและอยู่ควบคู่กับศาสนสถาน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าชะตาเมืองของนครศรีธรรมราชได้สร้างขึ้น ณ วันพฤหัสบดี แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ศก 649 พ.ศ. 1830 ตรงกับสมัยกรุงสุโขทัยมีอำนาจ <DD>ดวงชะตาเมืองนครศรีธรรมราชที่กำหนดขึ้นในครั้งนั้นผู้ทรงวุฒิวิทยากรโหรได้ตรวจสอบพบว่า เข้าเกณฑ์ภัยร้ายหลายประการ ไม่เป็นผลดีแก่บ้านเมืองทั้งในปัจจุบันและอนาคต สมควรที่จะวางชะตาเมืองใหม่ เพื่อให้บังเกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ตามประเพณีความเชื่อของบรรพบุรุษ โดยการวางศิลาฤกษ์ดวงชะตาเมืองขึ้นใหม่ และสร้างหลักเมืองขึ้นเป็นเสาหลัก เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน อยู่ควบคู่กับองศ์พระบรมธาตุตลอดไป ถ้าหลักเมืองนครศรีธรรมราชเคยมีมาก่อน ฝ่ายนี้ก็มีเหตุผล มีร่องรองที่น่าจะเป็นสถานที่สร้างหลักเมืองอยู่เหมือนกัน ได้แก่ สถานที่ต่อไปนี้

    • 1. หินหลัก ตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า "ท่าชี" ทางด้านทิศเหนือขององค์พระมหาธาตุเจดีย์ ลักษณะเป็นเสาหินขนาดย่อม ปัก (ฝัง) ไว้ ปัจจุบันหายไป สถานที่นั้นเป็นทางสี่แยกเล็กๆ แคบๆ คนอายุ 50-60 ปีคงเคยเห็น และปัจจุบันก็ยังเรียกที่ตรงนั้นว่า "หินหลัก" เรื่องนี้สันนิษฐานกันว่า เป็นนิมิตหมายอะไรบางอย่างสำหรับเมืองนคร เพราะอยู่ในตัวเมืองชั้นใน และถ้าจะเป็นหลักเขตธรรมดาของที่ดินก็ไม่น่าจะใช่ เพราะลักษณะเสาหรือหลักเป็นหิน มิใช่ไม้หรือปูนที่ทำกันทั่วไป แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ไม่เชื่อกันสนิทนัก เพราะลักษณะการฝัง ไม่มีฐานราก ไม่มีอาณาบริเวณและลวดลายประดิษฐ์แต่อย่างใด
    • 2. ศาลพระเสื้อเมือง มีหลักฐานปรากฏเป็นเรื่องบอกเล่า ประกอบกับข้อเท็จจริงที่มีอยู่ บ่งบอกว่าเป็นสถานที่สำคัญของเมืองว่า "ศาลพระเสื้อเมือง" ตามคติโบราณ เมื่อใดที่มีการตั้งบ้านเมืองก็มักจะสร้างศาลไว้ให้เทพารักษ์ ผู้รักษาบ้านเมืองด้วย ศาลพระเสื่อเมืองของนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ด้านหลังของหอนาฬิกา สันนิษฐานว่าคงจะเป็นกลางเมืองในอดีต และคงสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาเป็นอย่างน้อย ศาลเดิมคงสร้างด้วยไม้ จึงไม่เหลือร่องรอย เพราะผุพังลงตามกาลเวลา หลักจากนั้นเข้าใจว่ามีการสร้างขึ้นใหม่อีกหลายครั้ง มีผู้บันทึกไว้ว่า เมื่อประมาณ 80 ปีมาแล้ว เป็นศาลไม้ หลังคามุงกระเบื้อง หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ภายในประดิษฐานเทพารักษ์ สององค์ ลักษณะคล้ายกับท้าวกุเวรราช ในพระวิหารพระม้า วัดพระมหาธาตุฯ ต่อมามีผู้บูรณะเทวรูปทั้งสององค์นี้แล้วลงรักปิดทอง ในระยะหลังปรากฏว่าศาลพระเสื้อเมืองเป็นที่นับถือของชาวจีนเป็นจำนวนมาก ศาลนี้จึงได้รับการตกแต่งจนดูคล้ายศาลเจ้าของจีน อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเมืองนครศรีธรรมราชไม่เคยมีหลักเมืองมาก่อน ถ้าเคยมีก็น่าจะมีหลักฐานร่องรอยให้เห็นเช่นเดียวกับกำแพงเมืองโบราณ
    • 3. ฝ่ายนี้สรุปเหตุผลว่า เมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองพระ หลักเมืองสำคัญ คือ พระบรมธาตุเจดีย์ ไม่มีหลักเมืองใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว มีคนทึกทักเอาว่า การสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งมีความเห็นไม่ตรงกันจะเป็นเหตุแห่งความแตกแยก ซึ่งผู้เขียนเห็นว่านั้นแหละคือ คุณสมบัติอย่างหนึ่งของคนเมืองนคร พูดจากันก่อนและร่วมกันทำ เมื่อยุติตกลงกันว่า จะสร้างหลักเมือง (บูรณะ) ในบริเวณสนามหน้าเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เนื้อที่ 2 ไร่แล้ว จังหวัดนครศรีธรรมราชร่วมกับส่วนราชการองค์กรภาครัฐและเอกชน บริษัทห้างร้าน พ่อค้าประชาชน พ่อค้าประชาชน จึงร่วมกันดำเนินการตามลำดับ ดังนี้ -การออกแบบ แกะสลักหรือ ประติมากรรม -พิธีเบิกเนตรหลักเมือง -พิธีทรงเจิมหลักเมือง ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน -การนำ (เชิญ) หลักเมืองมาประดิษฐาน ณ สนามหน้าเมือง พิธีกรรมต่าง ๆ ข้างต้นนี้ นอกจากได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังมีบุคคลสำคัญอื่นร่วมประกอบพิธีด้วย เช่น พลตำรวจเอกประมาณ อดิเรกสาร วางศิลาฤกษ์ศาลพระเสื้อเมือง นายอนันต์ อนันตกุล วางศิลาฤกษ์สร้างศาลสถิตจตุโลกเทพ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เททองหล่อยอดชัยเสาหลักเมือง เป็นที่น่าแปลกใจอยู่บ้างว่า ศาลหรือหลักเมืองนครศรีธรรมราชไม่ปรากฏร่องรอยมาก่อน แต่ใช้คำว่า "บูรณะ" และสถานที่สร้างเป็น "หน้าเมือง" ไม่ใช่ "ในเมือง" ซึ่งเป็นเรื่องน่าสังเกตเพียงเล็กน้อย มิใช่ประเด็นสำคัญ
    <DD>4.รายละเอียดการบูรณะหลักเมือง รายละเอียดการก่อสร้าง (บูรณะ) ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราชมีดังนี้
    <DD>4.1 สถานที่ก่อสร้าง สร้างในพื้นที่ 2 ไร่ ณ บริเวณสนามหน้าเมืองด้านทิศเหนือ (แนวเดียวกับหอจดหมายเหตุนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์)
    <DD>4.2 ลักษณะงาน/กิจกรรม ระบุงานก่อสร้างในเชิงปริมาณและคุณภาพไว้ดังนี้ 1)เชิงปริมาณ ก่อสร้างตกแต่งศาลใหญ่ 1 หลัง และศาลบริวารประกอบ จำนวน 4 หลังดังนี้ ตกแต่งปูนปั้นรอบนอกของศาล ตกแต่งศาลชั้นที่ 3 ของตัวศาล "จตุรมุข" ตกแต่งศาลชั้นที่ 2 ของตัวศาล "จตุรมุข" ตกแต่งศาลชั้นที่ 1 ของตัวศาล "จตุรมุข" ตกแต่งระเบียงแก้ว หัวบันไดนาค 7 เศียร 8 ตัวเป็นบันได 4 ทิศ ตกแต่งอื่น ๆ เช่น ตัวอาคารศาลภายใน โคมไฟ ป้าย เป็นต้น ตกแต่งศาลเล็กบริวาร จำนวน 4 หลัง 2)เชิงคุณภาพ เพื่อให้เป็นศูนย์รวมของชาวนครศรีธรรมราชตลอดไป
    [​IMG]

    <DD>4.3 งบประมาณการก่อสร้าง ได้เงินจากส่วนราชการ องค์กรการกุศล ประชาชน และแหล่งบริจาคอื่น ดังนี้ 1.องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชให้การสนับสนุนโครงการ 2,000,000 บาท 2.มูลนิธิ "เมืองหลวงห่วงเมืองใต้" ให้การสนันสนุนโครงการ 500,000 บาท 3.ประชาชนบริจาคให้เป็นกองทุนสมทบโครงการ 3,382,627 บาท 4.จัดจำหน่ายเสื้อยืดที่ระลึกการบูรณะศาลหลักเมือง 55,000 บาท 5.เทศบาทนครนครศรีธรรมราชให้การสนับสนุนโครงการ 849,018 บาท 6.สำนักงานป่าไม้จังหวัดจัดหาไม้และบานประตู มูลค่า 500,000 บาท 7.ห้างหุ้นส่วนจำกัดนครแสงฟ้า(จำหน่ายรถจักรยานยนต์) บริจาค 500,000 บาท 8.ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 73,155 บาท
    <DD>4.4 ผู้รับเหมาก่อสร้างและสัญญา ห้างหุ้นส่วนสามัญจำกัดศรีวิชัย เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ตามสัญญาจ้างที่ 1/2541 ลงวันที่ 27 เมษายน 2541 กำหนดให้งานแล้วเสร็จภายใน 30 กันยายน 2542 เงินค่าก่อสร้างศาลหลักเมืองตามปริมาณและคุณภาพงานข้างต้น จำนวน 6,859,800 บาท(หกล้านแปดห้าหมื่นเก้าพันแปดร้อยบาทถ้วน) ซึ่งถ้าจะก่อสร้างให้เต็มรูปรวมทั้งตัวศาลบริวารและรั้ว จะต้องใช้เงินประมาณ 14 ล้านบาท
    [​IMG]


    ลำดับขั้นตอนการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช

    <DD>1.คณะอนุกรรมการสร้างสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ ในคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีนายเอนก สิทธิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีมติให้สร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น ในคราวประชุมวันที่ 14 มกราคม 2528 ในการนี้ได้มอบหมายให้พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช (อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 8) พันตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมมาธิกุล(ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช) และพระเทพวราภรณ์เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จัดตั้งคณะทำงานจัดสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น
    <DD>2.คณะทำงานดังกล่าวได้เริ่มต้นจัดหาไม้ตะเคียนทอง มาเพื่อสร้างเป็นเสาหลักเมืองโดยหามาจากยอดเขาเหลือง เดิมกำหนดจะจัดทำในบริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัด แต่หลายคนเห็นว่าจะไม่สะดวกในการปฏิบัติ จึงเปลี่ยนไปใช้สถานที่บ้านพักผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราชแทน <DD>4.รายละเอียดการบูรณะหลักเมือง รายละเอียดการก่อสร้าง (บูรณะ) ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราชมีดังนี้
    <DD>4.1 สถานที่ก่อสร้าง สร้างในพื้นที่ 2 ไร่ ณ บริเวณสนามหน้าเมืองด้านทิศเหนือ (แนวเดียวกับหอจดหมายเหตุนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์)
    <DD>4.2 ลักษณะงาน/กิจกรรม ระบุงานก่อสร้างในเชิงปริมาณและคุณภาพไว้ดังนี้ 1)เชิงปริมาณ ก่อสร้างตกแต่งศาลใหญ่ 1 หลัง และศาลบริวารประกอบ จำนวน 4 หลังดังนี้ ตกแต่งปูนปั้นรอบนอกของศาล ตกแต่งศาลชั้นที่ 3 ของตัวศาล "จตุรมุข" ตกแต่งศาลชั้นที่ 2 ของตัวศาล "จตุรมุข" ตกแต่งศาลชั้นที่ 1 ของตัวศาล "จตุรมุข" ตกแต่งระเบียงแก้ว หัวบันไดนาค 7 เศียร 8 ตัวเป็นบันได 4 ทิศ ตกแต่งอื่น ๆ เช่น ตัวอาคารศาลภายใน โคมไฟ ป้าย เป็นต้น ตกแต่งศาลเล็กบริวาร จำนวน 4 หลัง 2)เชิงคุณภาพ เพื่อให้เป็นศูนย์รวมของชาวนครศรีธรรมราชตลอดไป
    [​IMG]

    <DD>4.3 งบประมาณการก่อสร้าง ได้เงินจากส่วนราชการ องค์กรการกุศล ประชาชน และแหล่งบริจาคอื่น ดังนี้ 1.องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชให้การสนับสนุนโครงการ 2,000,000 บาท 2.มูลนิธิ "เมืองหลวงห่วงเมืองใต้" ให้การสนันสนุนโครงการ 500,000 บาท 3.ประชาชนบริจาคให้เป็นกองทุนสมทบโครงการ 3,382,627 บาท 4.จัดจำหน่ายเสื้อยืดที่ระลึกการบูรณะศาลหลักเมือง 55,000 บาท 5.เทศบาทนครนครศรีธรรมราชให้การสนับสนุนโครงการ 849,018 บาท 6.สำนักงานป่าไม้จังหวัดจัดหาไม้และบานประตู มูลค่า 500,000 บาท 7.ห้างหุ้นส่วนจำกัดนครแสงฟ้า(จำหน่ายรถจักรยานยนต์) บริจาค 500,000 บาท 8.ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 73,155 บาท
    <DD>4.4 ผู้รับเหมาก่อสร้างและสัญญา ห้างหุ้นส่วนสามัญจำกัดศรีวิชัย เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ตามสัญญาจ้างที่ 1/2541 ลงวันที่ 27 เมษายน 2541 กำหนดให้งานแล้วเสร็จภายใน 30 กันยายน 2542 เงินค่าก่อสร้างศาลหลักเมืองตามปริมาณและคุณภาพงานข้างต้น จำนวน 6,859,800 บาท(หกล้านแปดห้าหมื่นเก้าพันแปดร้อยบาทถ้วน) ซึ่งถ้าจะก่อสร้างให้เต็มรูปรวมทั้งตัวศาลบริวารและรั้ว จะต้องใช้เงินประมาณ 14 ล้านบาท
    [​IMG]


    ลำดับขั้นตอนการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช

    <DD>1.คณะอนุกรรมการสร้างสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ ในคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีนายเอนก สิทธิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีมติให้สร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น ในคราวประชุมวันที่ 14 มกราคม 2528 ในการนี้ได้มอบหมายให้พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช (อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 8) พันตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมมาธิกุล(ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช) และพระเทพวราภรณ์เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จัดตั้งคณะทำงานจัดสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น
    <DD>2.คณะทำงานดังกล่าวได้เริ่มต้นจัดหาไม้ตะเคียนทอง มาเพื่อสร้างเป็นเสาหลักเมืองโดยหามาจากยอดเขาเหลือง เดิมกำหนดจะจัดทำในบริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัด แต่หลายคนเห็นว่าจะไม่สะดวกในการปฏิบัติ จึงเปลี่ยนไปใช้สถานที่บ้านพักผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราชแทน <DD>4.รายละเอียดการบูรณะหลักเมือง รายละเอียดการก่อสร้าง (บูรณะ) ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราชมีดังนี้
    <DD>4.1 สถานที่ก่อสร้าง สร้างในพื้นที่ 2 ไร่ ณ บริเวณสนามหน้าเมืองด้านทิศเหนือ (แนวเดียวกับหอจดหมายเหตุนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์)
    <DD>4.2 ลักษณะงาน/กิจกรรม ระบุงานก่อสร้างในเชิงปริมาณและคุณภาพไว้ดังนี้ 1)เชิงปริมาณ ก่อสร้างตกแต่งศาลใหญ่ 1 หลัง และศาลบริวารประกอบ จำนวน 4 หลังดังนี้ ตกแต่งปูนปั้นรอบนอกของศาล ตกแต่งศาลชั้นที่ 3 ของตัวศาล "จตุรมุข" ตกแต่งศาลชั้นที่ 2 ของตัวศาล "จตุรมุข" ตกแต่งศาลชั้นที่ 1 ของตัวศาล "จตุรมุข" ตกแต่งระเบียงแก้ว หัวบันไดนาค 7 เศียร 8 ตัวเป็นบันได 4 ทิศ ตกแต่งอื่น ๆ เช่น ตัวอาคารศาลภายใน โคมไฟ ป้าย เป็นต้น ตกแต่งศาลเล็กบริวาร จำนวน 4 หลัง 2)เชิงคุณภาพ เพื่อให้เป็นศูนย์รวมของชาวนครศรีธรรมราชตลอดไป
    [​IMG]

    <DD>4.3 งบประมาณการก่อสร้าง ได้เงินจากส่วนราชการ องค์กรการกุศล ประชาชน และแหล่งบริจาคอื่น ดังนี้ 1.องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชให้การสนับสนุนโครงการ 2,000,000 บาท 2.มูลนิธิ "เมืองหลวงห่วงเมืองใต้" ให้การสนันสนุนโครงการ 500,000 บาท 3.ประชาชนบริจาคให้เป็นกองทุนสมทบโครงการ 3,382,627 บาท 4.จัดจำหน่ายเสื้อยืดที่ระลึกการบูรณะศาลหลักเมือง 55,000 บาท 5.เทศบาทนครนครศรีธรรมราชให้การสนับสนุนโครงการ 849,018 บาท 6.สำนักงานป่าไม้จังหวัดจัดหาไม้และบานประตู มูลค่า 500,000 บาท 7.ห้างหุ้นส่วนจำกัดนครแสงฟ้า(จำหน่ายรถจักรยานยนต์) บริจาค 500,000 บาท 8.ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 73,155 บาท
    <DD>4.4 ผู้รับเหมาก่อสร้างและสัญญา ห้างหุ้นส่วนสามัญจำกัดศรีวิชัย เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ตามสัญญาจ้างที่ 1/2541 ลงวันที่ 27 เมษายน 2541 กำหนดให้งานแล้วเสร็จภายใน 30 กันยายน 2542 เงินค่าก่อสร้างศาลหลักเมืองตามปริมาณและคุณภาพงานข้างต้น จำนวน 6,859,800 บาท(หกล้านแปดห้าหมื่นเก้าพันแปดร้อยบาทถ้วน) ซึ่งถ้าจะก่อสร้างให้เต็มรูปรวมทั้งตัวศาลบริวารและรั้ว จะต้องใช้เงินประมาณ 14 ล้านบาท
    [​IMG]


    ลำดับขั้นตอนการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช

    <DD>1.คณะอนุกรรมการสร้างสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ ในคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีนายเอนก สิทธิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีมติให้สร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น ในคราวประชุมวันที่ 14 มกราคม 2528 ในการนี้ได้มอบหมายให้พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช (อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 8) พันตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมมาธิกุล(ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช) และพระเทพวราภรณ์เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จัดตั้งคณะทำงานจัดสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น
    <DD>2.คณะทำงานดังกล่าวได้เริ่มต้นจัดหาไม้ตะเคียนทอง มาเพื่อสร้างเป็นเสาหลักเมืองโดยหามาจากยอดเขาเหลือง เดิมกำหนดจะจัดทำในบริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัด แต่หลายคนเห็นว่าจะไม่สะดวกในการปฏิบัติ จึงเปลี่ยนไปใช้สถานที่บ้านพักผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราชแทน <DD>.เสาหลักเมืองมีรูปแบบและขนาดความกว้างยาว เป็นไปตามหลักการตามที่พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดชแนะนำ คือ เสาแกะสลักเป็นลวดลายศรีวิชัยประกอบด้วยอักขระโบราณ ยอดเสาเป็นเศียรพระพรหมแปดเศียรซ้อนกันสองชั้น(ชั้นละสี่เศียร)ยอดบนสุดเป็นยอดชัยหลักเมือง หุ้มด้วยทองคำ
    <DD>4. เพื่อให้ถูกตามธรรมเนียมนิยมจึงกำหนดให้มีพิธีสำคัญที่เกี่ยวเนื่องสองพิธีคือ 4.1 พิธีฝังหัวใจสมุทรและฝังหัวใจเมือง ประธานในพิธีคือนายเอนก สิทธิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งได้รับมอบหมายจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี โดยประกอบพิธีที่สี่แยกคูขวาง เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2529 4.2 พิธีเบิกเนตรหลักเมือง เจ้าพิธีคือพลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ ราชเดช จัดพิธี ณ บริเวณสนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2530
    <DD>5. จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับเกียรติ จากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีมอบหลักเมืองให้แก่ทางราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช(นายสุกรี รักษ์ศรีทอง) เป็นผู้รับมอบเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2530
    <DD>6.ในระหว่างดำเนินการสร้างหลักเมือง ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัด (นายสุกรี รักษ์ศรีทอง) และรุนแรงขึ้นจนกระทรวงมหาดไทยได้โยกย้ายคู่กรณี และแต่งตั้งรองผู้ว่าราชการจังหวัด(ร้อยตรีอำนวย ไทยานนท์)รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด
    [​IMG]

    <DD>7.จังหวัดได้รายงานให้กระทรวงมหาดไทยกราบบังคมทูลเสด็จพระราชดำเนินจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อทรงประกอบพิธีนำกลีบบัวทองคำขึ้นประกอบปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ และ ทรงเจิมทรงพระสุหร่ายยอดชัยหลักเมือง ในการนี้ได้เสนอวันอันเป็นมงคลไปด้วย คือวันที่ 3 สิงหาคม 2530 ซึ่งตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ในเวลาต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จแทนพระองค์เป็นประธานยกกลีบบัวทองคำขึ้นประกอบปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนวันที่ 3 สิงหาคม 2530
    <DD>8.ปลาย เดือนกรกฏาคม 2530 กระทรวงมหาดไทยแจ้งจังหวัดว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จังหวัดนำยอดชัยหลักเมืองเข้าไปยังตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อทรงเจิมทรงพระสุหร่าย ในวันที่ 3 สิงหาคม 2530 เวลาประมาณ 16.00 น.
    <DD>9.จังหวัดนครศรีธรรมราชโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะ ประกอบด้วย นายสัมพันธ์ ทองสมัคร(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) นายกำจร สถิรกุล (ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)นายอนันต์ อนันตกุล (เลาธิการคณะรัฐมนตรี) นายศิริชัย บุลกุล(วุฒิสมาชิก) เข้าเฝ้าโดยมีนายพิศาล มูลศาสตร์สาทร ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้นำเข้าเฝ้า ในโอกาส นี้ข้าราชการและประชาชนผู้ร่วมจัดสร้างหลักเมือง ได้นำเอาวัตถุมงคลและผ้ายันต์จำนวนมากทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายด้วย ในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเจิมทรงพระสุหร่ายหลักเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมกับหลักเมืองจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดชัยนาทด้วย
    [​IMG]

    <DD>10.วันที่ 4 สิงหาคม 2530 คณะได้นำยอดชัยหลักเมืองกลับจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยทางเครื่องบิน มีขบวนช้างม้า และประชาชนจำนวนนับหมื่นคนจัดขบวนต้อนรับแห่จากท่าอากาศยานกองทัพภาคที่ 4 มาสู่ที่ตั้งหลักเมืองในปัจจุบันนี้
    <DD>11.จังหวัดได้ประกอบพิธีอัญเชิญหลักเมืองขึ้นสู่ศาลถาวร โดยนายนิพนธ์ บุญญภัทโร(ผู้ว่าราชการจังหวัด)เป็นประธาน
    <DD>12.ได้ทำการก่อสร้างศาลหลักเมืองขึ้นในที่ดินราชพัสดุตามที่ทางจังหวัดขออนุญาตโดยสร้างเป็นศาลด้วยทรงเหมราชสีลา ก่ออิฐถือปูนสามชั้น ส่วนยอดบนเป็นทรงแหลม ภายในศาลพื้นปูด้วยหินอ่อน ฝาผนังจากพื้นขึ้นมาหนึ่งเมตรปูด้วยหินอ่อน มีการสลักดุนประวัติความเป็นมาของหลักเมือง มีบันไดขึ้นลงทั้งสี่ด้านเชิงบันไดเป็นรูปพญางูทะเลแผ่แม่เบี้ย รอบศาลหลักเมืองมีศาลเล็กสี่มุม รูปทรงเป็นลักษณะเช่นเดียวกับศาลหลักเมือง แต่ลดขนาดลง <DD><CENTER><IFRAME marginWidth=0 marginHeight=0 src="truehitsstat.php?pagename=history" frameBorder=0 width=14 scrolling=no height=17></IFRAME></CENTER><DD>13.การก่อสร้างศาลหลักเมืองก็ดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้ง โดยมีรายได้จากเงินบริจาค จากศิษย์ และผู้มีจิตศรัทธา บางท่านบริจาคเป็นวัสดุก่อสร้าง มีการจำหน่ายวัตถุมงคลธูปเทียนและทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายให้นายอำเภอ ไทยานนท์รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ประสานงานดำเนินการเกี่ยวกับศาลหลักเมืองเต็มตัว
    <DD>14.วันที่ 31 ตุลาคม 2531 จัดพิธีสวมยอดชัยหลักเมือง โดยพลเอกสุจินดา คราประยูร รองผู้บัญชาการทหารบก(ตำแหน่งในเวลานั้น)
    <DD>15.ล่วงถึงปีพุทธศักราช 2533 การก่อสร้างศาลหลักเมืองแล้วเสร็จประมาณ 35 % สิ้นเงินประมาณ 4 ล้านบาท การก่อสร้างยังคงดำเนินการต่อไปแต่ไม่อาจจะเร่งงานได้ เพราะฤดูฝนเป็นอุปสรรค นอกจากนั้นต้องดำเนินการตามเวลาฤกษ์อันเป็นมงคลตามที่พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดชกำหนด การก่อสร้างโดยการจ้างแรงงาน และวัสดุก่อสร้างเป็นของคณะทำงานก่อสร้างก่อสร้างหลักเมืองและผู้มีจิตศรัทธา
    <DD>16.งานก่อสร้างศาลหลักเมืองชะงักไประยะหนึ่ง คือในช่วง พ.ศ.2536-2540 ล่วงถึง พ.ศ.2541 ในสมัยที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ มาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้พิจารณาเห็นว่าปูชะนียสถานแห่งนี้ควรที่จะได้รับการบูรณะให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์เป็นศรีสง่าและเป็นที่เคารพสักการะของชาวเมืองอีกแห่งหนึ่งจึงจัด "โครงการบูรณะก่อสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช" เพื่อให้แล้วเสร็จทันการเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 72 พรรษา พร้อมกันนั้นได้แต่งตั้งคณะกรรมการบูรณะก่อสร้างศาลนี้ตามคำสั่ง จังหวัดนครศรีธรรมราชที่ 235/2541 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2541 กรรมการชุดนี้ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ หาทุน ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง และรายงานผลการดำเนินงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน

    รูปลักษณ์หลักเมืองนครศรีธรรมราช

    <DD>หลักเมืองนครศรีธรรมราชที่สร้างขึ้นและประดิษฐานในศาลอันโดดเด่นเป็นสง่า ณ บริเวณสนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช มีรูปลักษณ์และองค์ประกอบที่ช่างผู้ สลักบรรจงแกะขึ้น ตั้งแต่ฐานถึงยอดมีลวดลายเก้าแบบ ทุกแบบแกะสลักขึ้นด้วยคติธรรมความเชื่อในเรื่องกฎวัฏจักรและโลกธรรมเป็นหลัก กล่าวคือ
    <DD>1. ฐานวงกลมเก้าชั้น ประดิษฐจากความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกรูปทุกนามมีต้นกำเนิดมาจากดินเมื่อถึง กาลดับขันธ์ก็จะสลายร่างกลายเป็นดิน ทุกอย่างเป็นอนิจจัง จึงควรเตือนสติให้ระลึกว่า มงคลคาถาเก้าประการเท่านั้นที่จะช่วยให้มนุษย์ซึ่งเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ มีดวงตามองเห็นธรรม ทั้งเป็นความหมายบอกเป็นนัยให้รู้ว่า หลักเมืองที่ปรากฏขึ้นใหม่นี้สถิตในแผ่นดินรัชกาลที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
    [​IMG]

    <DD>2. ลวดลายมงคลเล็ก ประดิษฐจากความเชื่อที่ว่า ทุกคนที่เกิดมาเมื่อลืมตาดูโลก ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร ย่อมเป็นทารกที่สะอาดบริสุทธิ์ เสมือนดังผ้าขาวไม่มีรอยเปื้อน น่ารักใคร่ทะนุถนอม ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใด ถือเป็นสิ่งมงคลขนาดย่อม แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป สังคมและสิ่งแวดล้อมมีส่วนทำให้ความบริสุทธิ์และสะอาดแปรเปลี่ยนไป
    <DD>3. ลวดลายดอกและในลำโพง(ลายแรก) ประดิษฐจากความเชื่อที่ว่าเมื่อมนุษย์เติบโตขึ้นย่อมถูกครอบงำด้วยอารมณ์ กิเลส ตัณหา ราคะ ความมัวเมาทั้งปวง สันดานและสภาพแวดล้อมจะหล่อหลอมปรุงแต่งให้คนกลายเป็นผู้เร่าร้อนเป็นทุกข์ อยากได้ อยากมี ไม่มีขอบเขตจำกัด อ่อนไหวหันเหไปตามอารมณ์เบื้องต่ำ เสมือนต้นลำโพง พันธุ์ไม้พื้นเมืองที่มีพิษ สามารชุบย้อมจิตใจอารมณ์ให้เปลี่ยนแปลงไปได้ สัญลักษณ์แห่งความชั่วนี้จะครอบงำมนุษย์เพิ่มขึ้นตามสภาพแวดล้อมที่ถูกห่อหุ้มด้วยกิเลส
    <DD>4. ลวดลายเล็บช้างและน่องสิงห์ ประดิษฐจากความเชื่อที่ว่า บนเส้นทางแห่งความดีและความชั่วนั้น เมื่อยังอยู่ในเยาว์วัย บิดามาดาและครูบาอาจารย์จะต้องคอยควบคุมดูแลสั่งสอนปลูกฝังขัดเกลา มิให้หันเหไปในทางชั่ว หรือประพฤติผิดทำนองคลองธรรม ควรตั้งอยู่บนเหตผลและทราบถึงความถูกความผิด
    <DD>5. ลวดลายดอกและใบลำโพง(ลายที่สอง) ประดิษฐจากความเชื่อที่ว่า เมื่อเจริญเติบโตพ้นจากอ้อมอกพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ย่อมสามารถจำแนกความดีชั่วได้ว่า สิ่งใดถูกสิ่งในผิด หากปล่อยตัวปล่อยใจเสมือนเสพดอกและใบลำโพง เลือกประพฤติปฏิบัติไปในทางชั่วมัวเมา วิถีชีวิตก็จะพบแต่ความทุกข์เร่าร้อน หาความเจริญเป็นสิริมงคลมิได้ เวียนว่ายอยู่บนกองทุกข์แม้จะมีความสุขบ้างแต่ก็เป็นเสมือนลมพัดผ่านชั่วครู่ชั่วยาม
    <DD>6. ลวดลายขดมงคล ประดิษฐจากความเชื่อที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีเหตุผลและมีความคิดรู้จักจำแนกเลือกเฟ้นความดีความชั่ว รู้จักสร้างสมขนบเนียมประเพณี และ อารยธรรม จนพัฒนาก้าวหน้าไม่หยุดยั้ง สิ่งที่ดีงามย่อมเป็นมรดกตนทอดไปสู่ลูกหลาน แม้ว่ากิเลส ตัณหา ราคะ และอารมณ์เบื้องต่ำจะคอยก่อกวนชักจูง แต่หากรู้จักเลือกทางที่ดีแล้ว ก็จะทราบถึงเหตุถึงผล แสวงหาทางดับทุกข์จนดำเนินชีวิตอย่างมีความสงบสุขไปตามธรราชาติได้ เป็นสัจธรรมที่มั่นคงยั่งยืน สมดังสัจธรรมที่ว่าทำดีได้ดี และธรรมย่อมชนะอธรรมเสมอ <DD>7. ลวดลายน่องสิงห์(ลายแรก) ประดิษฐจากความเชื่อที่ว่า สัจธรรมเบื้องต้นที่จำแนกความดีความเลว ของมนุษย์นั้น เป็นแต่เพียงงความรู้สึกสำนึกขั้นหยาบที่สามารถระลึกเองได้ แต่ไม่อาจเข้าถึงพระอภิธรรมขั้นละเอียดอ่อน หรือโลกธรรมขั้นสูงได้ จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายบ้านเมืองมาเป็นเครื่องรองรับคอยกำกับบังคับมิให้ผู้คนละเมิดหลักนิติธรรม
    <DD>8. ลวดลายมงคลรอบเสา ประดิษฐจากความเชื่อที่ว่า พระรัตนตรัยอันเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งหลายจะช่วยชี้ช่องทางให้มนุษย์มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงพระพุทธศาสนา ช่วยให้คนพ้นจากความเป็นสัตว์ ผู้ใดศรัทธาเลื่อมใสประพฤติปฏิบัติครบถ้วนแล้ว ผู้นั้นล่วงพ้นวัฏสงสาร ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด หากดำรงชีวิตอยู่ก็ทราบถึงต้นเหตุแห่งทุกข์ รู้วิถีทางดับทุกข์ มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขไปตามฐานะ จิตใจสงบเยือกเย็นด้วยแสงแห่งพระรัตนตรัย
    <DD>9. ลวดลายบัวคว่ำบัวหงาย ประดิษฐ์จากความเชื่อที่ว่า องค์จตุคามรามเทพปฐมกษัตริย์ชาวศรีวิชัยได้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมของพระพุทธศาสนา หยั่งถึงความดีความชั่วอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ จึงศรัทธาเลื่อมใสต่อพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า มุ่งหวังให้ชาวศรีวิชัยทุกรูปทุกนามไดรับแสงแห่งพระรัตนตรัย จึงอุทิศทรัพย์ศฤงคารทั้งปวงสร้างพระธาตุเพื่อเป็นพุทธบูชา ปราบปรามเหล่าจัณฑาลชั่วช้ามิให้ก่อความเดือดร้อนในแผ่นดิน แผ่บรมเดชานุภาพไปทั่วทะเลใต้ มีบุญฤทธิ์ อิทธิอภินิหารยิ่งใหญ่จนได้รับสมญาว่าพระเจ้าจันทรภาณุ ผู้ทรงขจัดความมืดมัวในโลกดุจดังพระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งส่องชี้ให้เห็นความดีความชั่วปวง ผู้ใดกระทำความดีก็จะได้รับผลดีตอบสนอง ผู้ใดกระทำความชั่วก็จะถึงการวิบัติพินาศไปในที่สุด
    <DD>10. ลวดลายน่องสิงห์(ลายที่สอง) ประดิษฐ์จากความเชื่อที่ว่า ความดีความชั่วเป็นสิ่งสามัญที่เกิดขึ้นควบคู่กับมนุษย์ แม้ว่าขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนา บิดามารดา ครูบาอาจารย์ จะได้อบรมสั่งสอน ปลูกฝังขัดเกลาให้ละเว้นจากความชั่วร้ายทั้งปวง ดำเนินชีวิตให้เป็นประโยชน์สุขแก่สังคม แต่ยังมีบรรดาเหล่าทรชนผู้ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เหมือนกับสุนัขพึงใจกับอาจม เมื่อมีการสถาปนาหลักเมืองขึ้นแล้ว องค์ราชันจตุคามรามเทพจะสำแดงเทวอำนาจให้ปรากฏแก่ชาวเมือง จะควบคุมความเป็นไปของบ้านเมืองให้ดำเนินไปตามทำนองคลองธรรม ส่งเสริมผู้กระทำความดี และล้างผลาญทำลายผู้ก่อกรรมทำชั่ว
    <DD>11 .รูปพรหมสี่หน้า(ใหญ่) ประดิษฐ์จากความเชื่อเรื่อง สัญลักษณ์ของเทวดารักษาเมืองผู้รอบรู้สรรพศาสตร์ทั้งหลายและเข้าถึงพระอภิธรรมขั้นสุดยอด ประกอบด้วยทิยญาณหยั่งรู้ไตรโลก คืออดีต ปัจจุบัน อนาคต มีอำนาจอภิสิทธิ์เหนือชีวิตมนุษย์ สามารถสำแดงอภินิหารในร่างแปลง ประดุจดังพระพรหมสี่หน้าอันมีต้นแบบมาจากบานประตูทางขึ้นองค์พระบรมธาตุเจดีย์(ในวิหารพระทรงม้า) เพื่อเตือนสติให้ทราบว่า การประกอบกรรมชั่ว แม้จะเร้นลับสายตาผู้คน สามารถปกปิดซ่อนเร้น หรืออาจหลอกลวงมนุษย์ธรรมดาได้ แต่เทพเจ้าประจำหลักเมืองยังมองดูอยู่ทั้งสี่ทิศ จึงไม่อาจรอดพันสายตาไปได้เลย
    [​IMG]

    <DD>12. รูปพรหมสี่หน้า(เล็ก) ประดิษฐ์เป็นสัญลักษณ์ของเทวดารักษาเมืองประจำทิศน้อยทั้งสี่ แสดงความนัยให้ทราบว่า ไม่ว่าชาวนครจะอยู่สารทิศใด ทิศตรง ทิศเฉียง ต้อวงเกรงกลัว และละอายต่อบาป ไม่ว่าในที่ลับหรือที่แจ้ง การก่อกรรมทำชั่วไม่อาจซ่อนเร้นปิดบังให้พ้นเทวดาฟ้าดินได้เลย
    <DD>13. เปลวเพลิงยอดพระเกตุ ประดิษฐเป็นสัญลักษณ์ความมีชัยนะของชาวเมืองนครที่จะมาถึงในวันข้างหน้า บ้านเมืองจะแปรเปลี่ยนไปสู่ความรุ่งโรจน์และกลายเป็นอู่อารยธรรมของคาบสมุทรไทยอีกครั้ง เหมือนดังเคยเป็นมาแต่ครั้งพุทธศตวรรษที่ 18 ขอบารมีพระบรมธาตุอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ร่วมกับหลักเมืองนครศรีธรรมราช จงช่วยคุ้มครองปกป้องอภิบาลคนดีให้อยู่รอดปลอดภัย ผู้ใดมีจิตคิดและทำอกุศลกรรมหนัก ขอได้ช่วยดลจิตใจให้ผู้นั้นลดกระทำลงมาให้มีส่วนเหลือเพียงน้อย ผู้ใดทำชั่วน้อยๆ ก็ขอจงได้ลดละเลิกหันมาบำเพ็ญกรรมดี ทั้งนี้เพื่อความผาสุกสวัสดิมงคลแก่เมืองมาตุภูมิของตนสืบไป
    <DD>17.ยังมิทันที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ก็ย้างไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ขณะเดียวกันกระทรวงก็แต่งตั้งนายสวัดิ์ กฤตรัชตนันต์มาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดแทน
    <DD>18.นายสวัสดิ์ กฤตรัชตนันต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดได้สานต่อโครงการบูรณะศาลหลักเมืองจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ และกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดศาลในวันใดวันหนึ่งสุดแต่พระราชอัธยาศัย
    <DD>19.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงประกอบพิธีเปิดศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พุทธศักราช 2543 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ปีมะโรงท่ามกลางความปลาบปลื้มปิติยินดีของพสกนิกรเป็นล้นพ้น
    <DD>หลักฐานเท่าที่หยิบยกขึ้นมาอ้างอิงแสดงให้เห็นว่า กรุงศรีธรรมโศก หรือกรุงตามพรลิงค์ หรือเมืองนครศรีธรรมราช เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยแล้วล่มสลายไปเมื่อครั้งเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นเมื่อราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ถูกทิ้งร้างจมอยู่กลางป่าอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งพวกเจ้าไทยลงมาปกครองและฟื้นฟูบูรณาการบ้านเมืองขึ้นใหม่ ดังปรากฏเรื่องราวอยู่ในตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราช
    <DD>ไม่มีใครทราบว่าในการฟื้นฟูบูรณาการกรุงศรีธรรมโศก และพระธาตุเจดีย์ขึ้นใหม่ในครั้งนี้มีเบื้องหลังหรือความเป็นมาแท้จริงอย่างไร คงทราบความจากตำนานแต่เพียงว่าพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงโปรดให้มีตรามาเกณฑ์ผู้คนสร้างเมื่องนครศรีธรรมราชและพระธาตุ จนสำเร็จเสร็จสิ้นในสมัยขุนอินทราชาเป็นเจ้าเมือง ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นพระศรีมหาราชา จนกระทั่งชาวนครศรีธรรมราชผู้หนึ่งสนใจศึกษาวิชาโหราศาสตร์ ได้ค้นคว้าพบดวงชะตาเมืองนครศรีธรรมราชเก่า จดบันทึกไว้ในสมุดข่อยในหอสมุดแห่งชาติ จึงนำมาตีพิมพ์เผยแพร่ว่า เมืองนครศรีธรรมราชเก่สถาปนาขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี แรม 12 ค่า เดือน 3 ปีเถาะ จุลศักราช 649 ตรงกับ พ.ศ.1830
    <DD>เมื่อพลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช และพลตำรวจโทสรรเพชญ ธรรมาธิกุล ตรวจสอบรูปดวงชะตาเห็นว่ากรุงศรีธรรมโศกและดินแดนภาคใต้ถูกสาป จึงร่วมกันหาทางแก้ไข รายงานให่คณะกรรมการจัดสร้างสิ่งมีค่าทางประวัติศาสตร์เมืองนครศรีธรรมราชทราบ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าควรสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเพื่อล้างมนตราอาถรรพ์แห่งคำสาปใน พ.ศ.2530

    ตำนานองค์จตุคาม

    <DD>ตรรกวิทยาของชาวกะ ที่เรียกว่า จตุคามศาสตร์ เชื่อกันว่า นางพญาจันทรา นางพญาพื้นเมือง ทะเลใต้ ราชินี ผู้สูงศักดิ์ขององค์ราชันราตะ หรือ พระสุริยะเทพ ซึ่งรวบรวมดินแดนในคาบสมุทรทองคำเข้าเป็นจักรวรรดิ์เดียวกันในพุทธศตวรรษ ที่ 7 พระราชมารดาของเจ้าชายรายเทพ บรรลุธรรม สำเร็จตรรกศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ ทรงอิทธิฤทธิ์ บังคับคลื่นลมร้ายให้สงบได้ชาวทะเลทั้งหลายกราบไหว้รำลึกถึง เมื่อออกกลางทะเล เรียกกันว่า แม่ย่านาง ชาวศรีวิชัยให้ความเคารพนับถือเทิดทูน ฉายานามว่า เจ้าแม่อยู่หัว
    <DD>เจ้าชายรามเทพได้ศึกษาเล่าเรียนวิชา จตุคามศาสตร์ จากพระราชมารดาจนเจนจบ แล้วทรงเรียนรู้หลักสัจะรรมทางพุทะศาสนา เลื่อมใสศรัทานิกายมหายานอย่างแรงกล้า มุ่งหน้าสร้างบารมี หวังตรัสรู้เป็นพระโพธสัตว์ ตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะประกาศธรรมให้มั่นคงทั่วดินแดนสุวรรณภูมิ ทรงอุตสาหะบากบั่นสร้างราชนาวีตามตรรกศาสตร์มหายาน ที่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมได้รวดเร็วและปลอดภัยบรรทุก กำลังพลและสัมภาระได้ มากมายมหาศาลเยือนน่านน้ำใด หลักศาสนา ศิลปอารยะธรรมประดิษฐานมั่นคง ณ ดินแดนนั้น จนเหล่าราชครูต่างถวาย นามาภิไธยราชฐานันดร ว่า องค์ ราชันจตุคามรามเทพ
    <DD>เมื่อพระศรีมหาราชชาวชวากะได้ประกาศสัจธรรมทั่ว สุวรรณทวีปแล้วจึงได้สร้าง มหาสถูป เจดีย์ขึ้นที่หาดทรายแก้วและในปลายพุทธศตวรรษที่8 องค์ราชันจตุคามรามเทพทรงมานะพยายามจนบรรจะธรรมจนบรรลุโพธิญาณ จักรวาลพรหมโพธิสัตว์ ประกอบด้วย บุญฤทธิ์ อิทธิฤทธ อภินิหาร สยบฟ้า สยบดินได้ตามปรารถนา วาจาเป็นประกาศิตเหนือมวลชีวิตทั้งหลายทรงศักดานุภาพเหมือน ดังพระอาทิตย์และ พระจันทร สมญานามตาม ศาสตร์จันทรภาณุ สาปแช่งศัตรูผู้ใดจะถึงกาลวินาศ จนเลื่องลือไปทั่วทวีป ได้รับการถวายนามยกย่องว่า พญาพังพกาฬ การประกาศชัยชนะที่เด็ดขาดเหนือสุวรรณทวีปและหมู่เกาะทะเลใต้นี้เปรียบได้กับมหาราชในชมพูทวีป
    <DD>ดังนั้น พญาโหราบรมครูช่างชาวเกาะ ได้จำลองรูปมหาบุรุษเป็นอนุสรณ์ ตามอุดมคติศิลปะศาสตร์ศรีวิชัย เรียกว่า ร่างแปลงธรรม รูปสมมุตแห่ง เทวราชที่มีตัวตนอยู่จริงในโลกมนุษย์ ทรงเครื่องราชขัติยาภรณ์ สี่กร สองเศียร พรั่งพร้อมด้วยเทพศาสตราวุธ เพื่อปกป้องอาณาจักรและพุทธจักร เพื่อเป็นคติธรรมและศิลปะกรรม ประดิษฐานในทุกหนแห่งในอาณาจักรทะเลใต้ ลูกหลานราชวงศ์ไศเลนทร์ในชั้นหลังได้ถ่ายทอดศิลปะศาสตร์แปลงร่างธรรมเป็น นารายณ์บรรทมสินธุ์บ้าง อวตารปราบอสูรบ้าง ตามค่านิยมของท้องถิ่น

    ความเป็นมาองค์พ่อจตุคามรามเทพ

    <DD>องค์พ่อจตุคามรามเทพ คือ เทวดารักษาพระบรมธาตุ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สถิตอยู่ที่บานประตูทางขึ้นพระบรมธาตุ ในปี พ.ศง 2530 เมื่อมีการตั้งดวงเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นใหม่ และสร้างศาลหลักเมืองของจังหวัด จึงมีการทำพิธีอัญเชิญองค์พ่อฯ ไปสถิตที่ศาลหลักเมืองตั้งแต่นั้นมา

    [​IMG]
    <DD>ก่อนจะมาเป็นเทวดารักษาพระบรมธาตุนั้น องค์พ่อจตุคามรามเทพเป็นพระมหากษัตริย์ในสมัยศรีวิชัย ซึ่งมีชื่อเป็นทางการว่า พระเจ้าจันทรภาณุ และในอีกชาติภพหนึ่งองค์พ่อฯ เป็นกษัตริย์ที่มีนามว่า พญาศรีธรรมโศกราช การที่องค์พ่อฯ ถูกขนานนามว่า ราชันดำแห่งทะเลใต้ เพราะอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ติดทะเลชวา และพระวรกายของพระองค์มีสีเข้ม นอกจากจะเป็นกษัตริย์แล้ว ในอีกชาติภพหนึ่งองค์พ่อฯ ยังเป็นนักรบที่แกร่งกล้าสามารถ รบไม่เคยแพ้ผู้ใดนามว่า พังพกาฬ องค์พ่อฯทรงบำเพ็ญตน สร้างบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อบรรเทาทุกข์แก่มวลมนุษย์ สุริยัน จันทรา นั้นเป็นตัวแทนขององค์พ่อฯ ส่วนดวงตราพญาราหู ดวงตราสองแผ่นดินศรีวิชัย สุวรรณภูมิ และ 12 นักกษัตร เป็นรูปแบบของดวงตราอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของจตุคามศาสตร์ ซึ่งทรงฤทธิ์ธานุภาพในทุกๆด้าน การอธิษฐานจิตขอบารมี จากองค์พ่อจตุคามรามเทพ ทุกท่านสามารถอธิษฐานจิตขอพรบารมีจากองค์พ่อจตุคามรามเทพได้ หากท่าน
    • 1.อธิษฐานขอในสิ่งที่เป็นไปได้ และ ไม่ขัดต่อศีลธรรม
    • 2.เมื่อท่านได้รับสิ่งที่หวังแล้ว ต้องรักษาสัจจะที่ได้ให้ไว้กับองค์พ่อจตุคามรามเทพ และ
    • 3.ควรจะสร้างกุศลกรรมถวายแก่องค์พ่อจตุคามรามเทพ ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ แม้ว่าองค์พ่อจตุคามรามเทพจะเป็นพระโพธิสัตย์ที่มีจิตแห่งความเมตตาสูง ขอให้ทุกท่านอย่าเพียงแต่บารมีขององค์พ่อฯเท่านั้น ควรสร้างกุศลกรรมให้แก่ตนเองให้ครบทุกด้าน คือ ให้ทาน (เช่น สัมฆทาน บริจาคมูลนิธิต่างๆ) รักษาศีล(ศีล) และ บำเพ็ญภาวนา (สวดมนต์ และปฏิบัติกรรมฐาน) และขอให้อโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรของท่านเอง และแผ่กุศลกรรมที่ท่านทำนั้นให้แก่ มารดาบิดา ญาติกาทั้งหลาย ครูอุปัชฌาอาจาร์ย เพื่อมนุษย์ เทวดาทั้งหลายทั้งปวง เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง และเปรตทั้งหลายทั้งปวงด้วย แล้วชีวิตท่านจักบังเกิดความเจริญ
    <DD>พิธีกรรมเกี่ยวกับการสร้างหลักเมือง

    <DD>จากการบันทึกของนายสมจิตร ทองสมัคร หนึ่งในคณะผู้ริเริ่มการก่อสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชกล่าวว่านับตั้งแต่เทวดารักษาเมืองได้สร้างความอัศจรรย์ด้วยการมาประทับทรงบอกกล่าวให้แก่พันตำรวจเอกสรรเพชญ ธรรมธิกุล (ยศในขณะนั้น) และคณะดำเนินการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่ พ.ศ. 2528 เป็นต้นมา ได้มีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินไปตามคำบอกกล่าวของเทวดารักษาเมืองทุกขั้นตอนเป็นลำดับมาดังนี้
    <DD>1. พิธีกรรมเผาดวงชะตาเมือง กระทำที่ป่าช้าวัดชะเมา ตำบลท่าวัง อำเมือง เมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นการล้างอาถรรพณ์ดวงชะตาเมืองเดิมซึ่งเรียกว่าดวงราหูชิงจันทร์หรือดวงภินธุบาทว์ ลักษณะดวงดาวเสาร์ซึ่งเป็นดาวภัยเล็งจุดกำเนิดวางดาวอังคารให้อยู่ในภพที่ห้า เจ้าของดวงชะตาเช่นนี้เหมือนถูกสาป อาภพ อัปภาคย์ บ้านแตกสาแหรกขาด ต้องทัณฑ์ไม่หยุดหย่อน เดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุดบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ไม่นานก็เสื่อมทรามตกต่ำ การเผาดวงชะตาครั้งนี้ใช้ "เพชฌฆาตฤกษ์" คือเลยเที่ยงคืนไป 1 นาที ของปลายปี พ.ศ.2528
    [​IMG]

    <DD>2. พิธีลอยชะตาเมือง เพื่อทำลายดวงชะตาเมืองเดิม ทำแพจากต้นกล้วยเถื่อน (กล้วยป่า) เก็บดินสี่มุมเมือง น้ำห้าท่า ดาบเก่าสี่เล่ม รูปคนทำด้วยดินปั้นสี่รูป เสาไม้ตะเคียนทองหนึ่งต้น พญาโหรา เรียกอาถรรพ์จัญไรบรรจุลงสู่ต้นตะเคียนทอง เสกคาถาลงยันต์ครบถ้วนแล้วนำไปลอยที่ปากน้ำปากนคร
    <DD>3. พิธีกรรมสะกดหินหลัก กระทำที่บริเวณฐานพระสยม ตลาดท่าชี ตำบลในเมือง อำเภอเมือง หินหลักเป็นสิ่งพวกพราหมณ์ดั้งเดิมฝังอาถรรพ์เสนียดจัญไรเอาไว้ ซึ่งสร้างความวิบัติเสื่อมเสียแก่เมืองนครศรีธรรมราชตลอดมา
    <DD>4. พิธีปลุกยักษ์วัดพระบรมธาตุ ยักษ์สองตนที่บันไดทางขึ้นองค์พระบรมธาตุ ถูกปลุกให้ตื่นมาทำหน้าที่รักษาบ้านเมืองหลังจากถูกอาถรรพณ์สะกดมานานนอกจากนั้นยังปลุกเทวดา พระปัญญา พระพวย และพระมหากัจจยนะ (พระแอด) อีกด้วย
    <DD>5. พิธีปลุกพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง พระทั้งสองสถิตอยู่ ณ หอพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งหลับใหลมานานปีให้ตื่นขึ้นช่วยบ้านช่วยเมือง
    <DD>6. พิธีกรรมพลิกธรณี กระทำที่ริมรั้วป่าช้าวัดชะเมา พลิกดินที่ชั่วร้ายสกปรกฝังไว้เบื้องล่าง เอาดินดีขึ้นมาไว้เบื้องบน เพื่อบ้านเมืองจะมีความร่มเย็นเป็นสุขเจริญรุ่งเรื่องต่อไปวันข้างหน้า
    <DD>7. พิธีกรรมเทพชุมนุมตัดชัย กระทำที่วิหารหลวง วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2529 เวลา 12.39 น. ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้นเจ็ดค่ำเดือนยี่ ปีฉลู นับเป็นพธีกรรมสำคัญยิ่งดำเนินการตามแบบอย่างของชาวเมืองสิบสองนักษัตรโบราณจากคำบอกกล่าวของพญาหลวงเมือง การพิธีครั้งนั้นมีพระเทพวราภรณ์(พระธรรมรัตโนภาสในปัจจุบัน) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นประธานฝ่ายฆราวาส จะมุ่งหมายของพิธีกรรมนี้นอกจากเพื่อสร้างสวัสดิมงคลแก่จังหวัดนครศรีธรรมราชจากการเจริญพระพุทธมนต์และแสดงพระธรรมเทาฃศนาของพระสงฆ์แล้ว เทวดารักษาบ้านรักษาเมืองยังมาชุมนุมเสกผ้ายันต์สิบสองนักษัตรจำนวน 3,000 ผืน เขียนผ้ายันต์จำนวน 108 ผืน และประกาศบอกกล่าวแก่ผู้คนให้ช่วยกันสร้างหลักเมือง
    <DD>8. พิธีกรรมตอกหัวใจสมุทร เพื่อให้ดวงชะตาเมืองถูกบรรจุด้วยธาตุทั้งสี่ครบถ้วน กระทำ ณ สี่แยกคูขวาง เมื่อวันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2529 ตรงกับแรมสิบสิงค่ำเดือนยี่ เวลาประมาณ 18.30 น. เศษ โดยนายเอนก สิทธิประศาสตร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมัยนั้น เป็นประธานแทน ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ การที่เลือกบริเวณกลางสี่แยกคูขวางเป็นจุดตอกหัวใจสมุทร เพราะจุดดังกล่าวได้ศูนย์กับองค์พระบรมธาตุ ภูเขามหาชัย และได้ศูนย์กับทิศทั้งแปดตามตำราของชาวเมืองสิบสองกษัตร
    <DD>9. พิธีฝังหัวใจเมือง กระทำเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2529 ตรงกับวันพฤหัสบดีขึ้น 11 ค่ำเดือนสี่ ปีฉลู เวลา 11.39 น. ณ.จุดตอกหัวใจสมุทร ด้วนการขุดหลุมลึก 9 ศอก (ลึกจนถึงน้ำ) เจ้าพิธีอ่านโองการ อุปกรณ์พิธีกรรมฝังหัวใจเมืองประกอบด้วย สิ่งของ 7 ชนิด คือ หัวใจเมือง ทำด้วยดินเผาผสมทรายหาดทรายแก้วจากวัดพระมหาธาตุฯ มีจำนวน 7 ชิ้น แต่ละชิ้นกว้าง 9 นิ้ว ยาว 9 นิ้ว หนา 2 นิ้ว เขียนดวงชะตาเมือง หัวใจเมืองมีอยู่สามชิ้นที่ได้นำเอาโลหะมงคล ทอง เงิน นาค (สามกษัตริย์) ปิดหน้าคั่นกลางระหว่างแผ่นหัวใจเมือง แผ่นไม้ตะเคียนทอง กว้าง-ยาว 12 นิ้ว รองรับแผ่นหัวใจเมือง แผ่นไม่นี้อวงค์จตุคามรามเทพกรีดเลือดจุ่มเขียนคาถาอาคม หัวใจพ่อ-หัวใจแม่ ทำจากไม้ตะเคียนทองกลึงเป็นรูปบัวตูม ยาวประมาณ 1 ศอก จำนวน 2 อัน ฝังลงในหลุมรวมกับแผ่นหัวใจเมือง ดินจากทุกตำบลทุกหมู่บ้านในเมืองสิบสองนักษัตร ที่ประชาชนนำมาใส่ลงในหลุมด้วย วัตถุธาตุ แทนธาตุสี่ ประกอบด้วยถ่าน(แทนธาตุไฟ) เกลือ (แทนธาตุน้ำ) ข้าวเปลือก(แทนธาตุลม) ทราย(แทนธาตุดิน) พญาไม้มงคล 9 ชนิด ได้แก่ ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ กันเกราสักทรงบาดาล พยุง ทองหลากหรือทองหลาง ไผ่สีสุก และขนุนทอง ผ้าสี 12 ผืน ผืนละสี วางก้นหลุมเป็นลำดับแรก ทุกอย่างใส่ลงในหลุมทั้งหมด
    <DD>10. พิธีกรรมปฏิมากร (แกะสลัก) ได้แกะสลักหลักเมืองด้วยไม้ตะเคียนทองทั้งต้น ณ บ้านพักผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดในสมัยนั้น
    <DD>11. พิธีเบิกเนตรหลักเมือง กระทำกันต่อเนื่องถึง 3 วัน คือวันที่ 3-5 มีนาคม 2530 วันที่ 3 มีนาคม อัญเชิญหลักเมืองที่แกะสลักเรียบร้อยแล้วไปประดิษฐานที่วิหารหลวง วัดพระมหาธาตุฯ หลังจากพระเถระเจริญพระพุทธมนต์ และเจ้าพิธีรำกระบี่โบราณถวายสักการะแล้ว ก็เคลื่อนขบวนแห่ไปตามถนนราชดำเนินไปยังตลาดท่าวัง แล้ววกกลับสู่สนามหน้าเมือง อัญเชิญหลักเมืองขึ้นสู่ที่ประดิษฐานชั่วคราว ให้ประชาชนสักการะ ขบวนแห่ในวันนั้นยิ่งใหญ่มาก มีขบวนช้าง-ม้า ศิลปินพื้นบ้านกลุ่มพลังมวลชนต่างๆ วงดุริยางค์ และประชาชนจากทั่วสารทิศ ขบวนยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ประชาชนคอยชมขบวนมืดฟ้ามัวดินเป็นประวัติศาสตร์ วันที่ 4 มีนาคม 2530 เวลา 10.30 น. พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมารับมอบหลักเมืองเป็นของทางราชการ วันที่ 5 มีนาคม 2530 ตอนค่ำมีพิธีสงฆ์ จากนั้นเจ้าพิธีคือพลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดชอ่านโองการเชิญเทวดา ต่อมาประธาน(รมช.สัมพันธ์ ทองสมัคร) จุดเทียนชัย เจ้าพิธีทำพิธีเบิกเนตรหลักเมืองทั้งแปดทิศ อันเป็นการประจุจิตวิญญาณของเทวดารักษาเมืองเข้าไปสิงสถิตภายในเสาหลักเมือง ให้สามารถรับรู้เหตุการณ์ และคุ้มครองดูแลได้รอบทิศ จากนั้นมีการจุดพลุสักการะ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนร่วมปิดทองสักการะ เป็นเสร็จพิธี <DD>12. พิธีการเจิมยอดชัยหลักเมือง พิธีกรรมสำคัญยิ่งและถือเป็นมงคลสูงสุดคือ การทรงเจิมยอดชัยหลักเมือง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายพิศาล มูลศาสตร์สาทร) นำคณะอันประกอบด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัด (นายอำนวย ไทยานนท์) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายสัมพันธ์ ทองสมัคร) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (นายกำจร สถิรกุล) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นายอนันต์ อนันตกูล) วุฒิสมาชิก(นายศิริชัย บุลกุล) พร้อมด้วยข้าราชการและประชาชนผู้ร่วมจัดสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท นำยอดชัยหลักเมืองเพื่อทรงเจิม ในวันที่ 3 สิงหาคม 2530 ยอดชัยหลักเมืองที่ทรงเจิมในวันนั้น นอกจากของจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว ยังมีหลักเมืองจังหวัดชัยนาท และจังหวัดศรีสะเกษอีกด้วย นายสัมพันธ์ ทองสมัคร ได้บันทึกเหตุการณ์วันนั้นไว้ มีความตอนหนึ่งดังนี้
    [​IMG]
    <DD>" คราวนั้นคณะกรรมการสร้งหลักเมืองได้นำวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นตามแบบแผนโบราณจำนวน 13 ชนิด พร้อมด้วยภาพถ่ายหลักเมืองน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายในครั้งนั้นด้วย ผมเองเป็นกังวลใจมาก เพราะว่าผู้ซึ่งเตรียมไว้ว่าจะต้องทำหน้าที่กราบบังคมทูลคือท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช เจ้าพิธีโดยตรง แต่ก่อนหน้าจะถึงกำหนดเข้าเฝ้าฯท่านขุนพันธ์ฯประสบเหตุตัวต่อต่อยเอาที่ใบหน้าอักเสบ ไม่สามารถจะเข้าเฝ้าฯ ได้จังหวัดโดยท่านรองฯ อำนวย ไทยานนท์ ได้ขอผมไปทำหน้าที่แทน ผมกังวลเพราะไม่ทราบเรื่องวัตถุมงคล 13 ชิ้นว่าเป็นอย่างไร
    <DD>ท่านปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้อ่านคำกราบบังคมทูล และได้กล่าวถึงมงคลที่ได้สร้างในพิธีกรรมสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชด้วย เมื่อทรงพระสุหร่ายและทรงเจิมยอดเสาหลักเมืองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทรงมีรับสั่งให้ตามเสด็จฯ ไปยังบริเวณที่วางวัตถุมงคลที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ทรงเริ่มทอดพระเนตรตั้งแต่ชิ้นแรก เป็นภาพถ่ายเสาหลักเมืองนครฯ ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า หลักเมืองกรุงเทพฯ คนนครฯ มาร่วมช่วยสร้างเหมือนกันเพราะเขาเข้าใจเรื่องการสร้างหลักเมือง มีเทวดาเหาะรอบ ๆ ยอดเสาหลักเมืองอยู่ 8 องค์ แต่หลักเมืองนครฯ ที่สร้างขึ้นครั้งนี้เทวดาไม่ได้เหาะ แต่แกะสลักไว้ที่ยอดเสาหลักเมืองให้เฝ้าทิศทั้งแปด จากนั้นได้ทอดพระเนตรวัตถุมงคลทุกชิ้นพร้อมกับทรงอธิบายให้ผมฟังถึงความเป็นมา และการใช้สอยเกี่ยวกับของแต่ละชิ้นได้อย่างลึกซึ้ง ประหนึ่งทรงอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจในพระปรีชาญาณยิ่งนัก
    <DD>จนกระทั่งถึงชิ้นที่ 13 เป็นขี้ผึ้งที่บรรจุในภาชนะรูปคล้ายผอมทำด้วยถมทองขนาดไม่โตนัก ผมเองประหวั่นว่าจะมีรับสั่งถามเกรงว่าจะกราบบังคมทูลไม่ถูกเพราะไม่ทราบคำราชาศัพท์ของคำว่า "ขี้ผึ้ง" แล้วก็ทรงมีพระกระแสรับสั่งถามพร้อมทรงชี้ไปที่ผอบว่า "นี่อะไร" ผมกราบทูลว่า "เป็นถมทอง ศิลปะดั้งเดิมของชาวนครศรีธรรมราช" ทรงมีพระราชกระแสว่า "ถมทองของเมืองนครฯ นี่เรารู้จัก เราใช้อยู่ ข้างในเป็นอะไร" ผมกราบบังคมทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบคำราชาศัพท์ แต่ชาวบ้านเรียกว่า ขี้ผึ้ง พระพุทธเจ้าข้า" ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า "สีผึ้ง สมัยโบราณคนเมืองนคร หรือชาวศรีวิชัย เมื่อจะไปเจรจาเรื่องสำคัญกับใคร จะใช้สีผึ้งสีริมฝาปากแล้วไปเจรจา" นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ได้เป็นที่ประจักษ์ว่าทรงมีพระปรีชาญาณรอบรู้จริงเพราะจากเอกสารที่ฝ่ายพิธีกรรมสร้างหลักเมืองทำขึ้น ก็ได้กล่าวถึงเรื่องขี้ผึ้งในลักษณะตามที่ทรงมีพระกระแสรับสั่งทุกประการ
    <DD>13.พิธีแห่ยอดชัยหลักเมือง กระทำวันที่ 4 สิงหาคม 2530 เป็นการต้อรับยอดชัยหลักเมืองซึ่งคณะโดยการนำของรองผู้ว่าราชการจังหวัด(นายอำนวย ไทยานนท์) นำมาจากกรุงเทพมหานคร โดยแห่จากสนามบินกองทัพภาคที่ 4 มายังสนามหน้าเมือง มีขบวนช้างศึก ม้าศึกและประชาชนจำนวนมาก
    <DD>14.พิธีอัญเชิญหลักเมืองขึ้นสู่ศาลถาวร โดยผู้ว่าราชการจังหวัด(นายนิพนธ์ บุญญภัทโร) เป็นประธาน
    <DD>15.พิธีสวมยอดชัยหลักเมือง เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2531 โดยพลเอกสุจินดา คราประยูร (รองผู้บัญชาการทหารบก - ตำแหน่งในสมัยนั้น) เป็นประธาน
    <DD>16.พิธีเททองปลียอดศาลหลักเมืองและศาลบริวาร เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2541 โดยมี ฯพณฯ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นประธานในพิธี วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช
    <DD>ดังที่ทราบแล้วว่าในกระบวนการของการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช ได้มีพิธีกรรมต่างกรรมต่างวาระหลายครั้ง ในทำนองเดียวกันได้มีการทำวัตถุมงคลออกแจกจ่ายและให้เช่าบูชาหลายชนิด ซึ่งล้วนแล้วแต่ผ่านการทำพิธีผ่านร่างประทับทรงทั้งสิ้น เท่าที่มีผู้จดจำได้มีดังนี้
    <DD>1. เศียรองค์จตุคามรามเทพ หรือเทวดารักษาเมือง เป็นวัตถุมงคลชิ้นแรกที่ทำออกแจกจ่ายเป็นการจำลองเศียรจากบานประตูไม้จำหลักตรงบันไดทางขึ้นลานประทักษิณองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ขนาดเกือบเท่าองค์จริง ได้รับคำอธิบายว่าเป็นร่างแปลงธรรมขององค์จตุคามรามเทพปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนาเมืองสิบสองนักษัตรหรือเป็นเทวดารักษาเมืองนั่นเอง
    <DD>2. ผ้ายันต์ใหญ่ 108 ผืน ผ้ายันต์เล็ก 3,000 ผืน กระทำในพิธีเทพชุมนุมตัดชัยเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2529
    <DD>3. ธงและผ้ายันต์ มีหลายรุ่น หลายสี หลายขนาด ผ้ายันต์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นรูปดวงตราวัฏจักรสิบสองนักษัตร รายล้อมด้วยราหูแปดทิศ
    <DD>4. ขี้ผึ้งศรีวิชัย เป็นขี้ผึ้งทำด้วยมวลสารและกรรมวิธีเฉพาะของศรีวิชัย บรรจุในตลับถมแบบนครศรีธรรมราชแท้ ใช้เป็นวัตถุมงคลสีริมฝีปากก่อนออกไปเจรจาความใดๆ
    <DD>5.พระผงหลักเมือง ทำจากผงไม้ตะเคียนทองจากการแกะสลักหลักเมืองผสมมวลสารต่าง ๆ อีกรวม 12 ชนิด ลักษณะเป็นรูปกลมแบน มีสองขนาด คือ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 นิ้ว และอีกขนาดหนึ่งเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว ทั้งสอง ขนาดหนาประมาณหนึ่งหุนครึ่ง มีสี่แบบ คือแบบ ตั้งฟ้าตั้งดิน แบบประทานพร แบบนั่งเมือง และแบบพุทธ เมตตา มีสามสี คือสีดำ สีน้ำตาลและสีขาว ด้านหน้า



    นี่คือที่ของความศักดิ์สิทธิ์เเละการเเสวงหาวัตถุมงคลนามจตุคามรามเทพรุ่นปี2528เเละปี2530อันโด่งดังเเละ


    ข่าวดีที่สุดเเละด่วนที่สุดที่ข้าพเจ้า
    จะเเจกพระเครื่องที่มีส่วนผสมเเห่ง
    ไม้ตะเคียนหลักเมืองนครอันโด่งดังที่ปัจจุบันพระบางองค์มีมูลค่าถึงหลักล้านหลักเเสนเเล้วซึ่ง
    ในวันที่5ธันวาคมจะเเจกฟรีวันเดียวเท่านั้น
    หมดเเล้วหมดเลย


    รายละเอียดมีดังนี้

    พระเครื่องหลวงพ่อทวดที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเเจกฟรีเท่านั้นในงานหล่อพระหลวงพ่อทวดหน้าตัก40นิ้วนี้
    มีมวลสารล้ำค่าหลายอย่างดังที่จะกล่าวต่อไปนี้

    1.มวลสารว่านเเละดินกากยายักษ์2497วัดช้างให้เเท้ๆ
    2.ดิน อิฐ สมัยอยุธยา ของสถานที่ที่เกี่ยวเนื่องขององค์หลวงปู่ทวดเกือบทุกที่
    อาทิ
    1.สำนักสงฆ์ต้นเลียบ สงขลา
    2.วัดดีหลวง วัดที่หลวงปู่บวชเณร
    3.วัดสีหยัง ระโนด สงขลา
    4.วัดพะโค๊ะ อ.สทิงพระ สงขลา
    5.วัดเสมาเมือง อ.เมือง นครศรีธรรมราช
    6.วัดพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช
    7.วัดช้างให้ ปัตตานี
    8.วัดเเค ราชานุวาส อยุธยา
    9.วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา
    10.วัดหน้าพระเมรุ อยุธยา
    11. วัดราชบูรณะ อยุธยา
    ที่ขนอมรอยเท้าหลวงปู่ทวด
    ต้นยางไม้เท้าที่ปัจจุบันกลายเป็นต้นโพธิ์
    12.วัดประสาทบุญญาวาส

    3.ดินสังเวชนียสถานเเละกิ่งโพธ์พุทธคยาเเละโพธิ์อานนท์
    ดินอิฐในสถานมงคลในพระพุทธประวัติเกือบทุกที่
    เช่น ดินเเม่น้ำคงคา เเม่น้ำเนรันชรา อิฐบ้านนางสุชาดา
    อิฐบ้านอนาบิณฑิกะเศรษฐี
    4.ดินที่พักพระศพทั้ง13ที่ในมาเลเซียของหลวงพ่อทวด
    5.ว่านพิธีหลักเมืองนครศรีธรรมราชปี2530หรือจตุคามรามเทพรุ่นเเรกอันโด่งดัง
    6.ปูนปลาสเตอร์ที่นาบทำเเบบพระพรหมเอราวัณ ที่ถูกทำลายเเละชิ้นส่วนเล็กน้อยขององค์ท่าน
    7.มวลสารพ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ พ่อท่านคลิ้ง
    อื่นๆอีกมากมายเเต่ที่กล่าวนี้คือมวลสารหลัก

    จะให้ชัดเจนขึ้นอีกผู้จัดสร้างได้
    ผสมผงไม้ตะเคียนที่เหลือจาการเเกะสลัก
    เสาหลักเมืองนครศรีธรรมราชลงไปเเบบเต็มๆอีกด้วย



    อาจเรียกได้ว่าได้ห้อยทั้งหลวงปู่ทวดเเละองค์จตุคาม
    ดั้งเดิมไปพร้อมๆกัน
    จึงอยากเชิญชวนให้ไปร่วมหล่อหลวงปู่ทวดกันเพราะงานนี้นอกจากได้บุญเเล้วยังได้พระฟรีที่ล้ำค่าอีกด้วย
    มาหล่อเเละรับพระเถอะรับรองไม่ผิดหวัง
    ไม่มาเเล้วจะเสียใจ
    เพราะมีอะไรหลายอย่างที่น่าตื่นเต้นเเละเป็นมงคล
    สอบถามได้ที่ผมฟอร์ด079830355
    ให้ขับรถผ่านไปทางแยกอ.สองพี่น้องให้เลี้ยวซ้าย ไปทางไปทางอ.สองพี่น้องขับผ่านวัดไผ่โรงวัว ขับข้ามสะพานแม่น้ำท่าจีนตรงไปจะเจอ 4 แยกไฟเขียวไฟแดงให้เลี้ยวขวาตรงไปทางบางแม่หม้ายตามเส้นทาง3351 เส้นนี้จะตรงไปออกอ.บางปลาม้า ให้ขับไปเรื่อยสังเกตขวามือจะผ่านวัดป่าพฤกษ์ ขับไปอีกซักพักจะเจอป้ายเข้าเทศบาลอ.บ้านแหลม จากจุดนี้ไปอีกไม่ไกลแล้ว ถ้าสังเกตเสากม.จะอยู่ประมาณ อ.บางปลาม้ากม.ที่ 6 หรือ 7 นี่แหละ ประมาณกม.ที่ 6 หรือ 7 จะโดนแผงกันกระแทกบังแต่จุดสังเกตุจะอยู่ทางกึ่ง 4 แยกตลาดคอวัง เลยไปอีกประมาณไม่เกิน 10 กว่าเมตรฝั่งขวาจะเป็นเทศบาลบ้านแหลมให้จอดรถที่นั้น <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </DD>
     

แชร์หน้านี้

Loading...