ประวัติชาติไทยตั้งแต่ต้นกัป พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ(พิมพ์เป็นตัวอักษร)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เก่ากะลา, 27 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    a.2953448.jpg
    a.1340479.jpg

    กระทู้นี้เป็นการพิมพ์จากหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณออกมาเป็นตัวอักษรเพื่อให้คัดลอกข้อมูลไปอ้างอิงได้ง่ายขึ้น

    อ่านพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณต้นฉบับ"คลิก"

    หลวงพ่อสนทนาเรื่อง...คนไทยมาจากไหน? (เว็ปวัดท่าซุง)


    Download หนังสือต้นฉบับ
    ภาพขนาดใหญ่ อ่านง่าย
    พุทธสาสนสุวัณภูมิปกรณ1.zip
    พุทธสาสนสุวัณภูมิปกรณ2.zip
    พุทธสาสนสุวัณภูมิปกรณ3.zip

    คลิกอ่านแต่ละตอน จากสารบาญข้างล่างนี้
    คำนำ
    เรื่องย่อ
    ขุนสรวง-นางสาง
    สมัยเมืองสรวงพระพุทธกุกกุสันธกาล
    พุทธันดรที่๒ ขุนแถนเทียนฟ้า-ขุนนางสีทองงาม(ปู่แถน-ย่าแถน)
    น้ำท่วมโลก
    พุทธันดรที่๓ ขุนแผนเมืองฟ้า-ขุนหญิงดวงขวัญใจ
    สมัยเมืองแมน ขุนอินเขาเขียว-ขุนนางกวักทองมา(ก่อน พ.ศ.๕๓๔๐ ปี)
    เริ่มปีอิน๑ ศักราชไทย
    เลืองขวัญไทย
    ลือขวัญไทย
    ขุนเสืองฟ้าไทย
    ขอมฟ้าไทย ขุนสือไทย ไทยงาม เลกไทย สีงามตน
    ต้นเดิมลายสือไทย ก-ฮ
    ลายสือขอม
    ขุนเลกไทย-ขุนหญิงงามตน ปีอิน ๑๒๗๑ ก่อนพ.ศ.๔๐๖๙ ปี
    ลายสือไทย เลขไทย สมัยเมืองแมน ปีอิน ๑๒๗๗
    ขุนลืออินไทย-ขุนหญิงรินเลืองระรื่น กฎหมายผัวเมียฉบับแรกของไทย ปีอิน๑๓๓๓ ก่อน พ.ศ.๔๐๐๗ ปี

    ขุนลือต้นไทยทอง-ขุนหญิงโพสบ(จ้าวแม่โพสพ)
    ขุนร่วงลายไทย-ขุนหญิงทองสีไพล (ต้นพระร่วง จ้าวแม่เบิกไพร)
    ร่วงลายไทย
    พระร่วงเมืองไทย-จ้าวแม่ย่าซื้อนาง
    ขุนอินร่วงไทย-ขุนหญิงทับทิมทอง ก่อน พ.ศ.๒๕๙๐ปี
    ขุนถิ่นทอง-ขุนหญิงดอกไม้ทอง(ก่อน พ.ศ.๒๕๙๐ปี)
    ขุนโลลาย-ขุนหญิงโห่มาดี-ขุนหญิงแห่ขวัญมา(ปีโล๑)(ปีอิน๔๑๕๐)(ก่อน พ.ศ.๑๑๙๐ปี)
    ขุนไทยลว้า-ขุนหญิงทองงามเมือง
    ขุนทับไทยทอง
    พระมหาปุณณะ พระสงฆ์องค์แรกของไทย
    พระพุทธเจ้า พระอัคคสาวก และพระสาวกอื่น สู่ปราน = สุนาปรันต (พริบพลี)
    พระสัจจพันธเถร ต้นพระสงฆ์ไทย เอหิภิกขุในเมืองไทย
    ขุนทับไทยทอง เสด็จเมืองมคธ(พระเจ้าพิมพิสาร)และเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ เวฬุวัน(เมืองราชคห)
    ตั้งชื่อ"สุวัณณภูมิ" ปลูก "ต้นโพธิ" และ "บ้านโพธิงาม"ปีโล๑๑๗๐(ก่อน พ.ศ.๒๐ปี)
    พระพุทธรูปองค์แรกของไทย ณ ถ้ำฤษีเขางู
    พระพุทธรูปองค์ที่๒ในไทย ณ ถ้ำฝาโถ(ถ้ำฝาตะไกร) จารึกชื่อ ทับไทยทอง งามตาเรืองฟ้า
    ขุนลือเลอลว้า-ขุนหญิงพูนเอ็นดู ต้นหลั่งน้ำบอกดินแดน
    เถือมทอง ถมทอง ไทยทวาลาว
    เรื่องย่อ พระปฐมเจดีย์ เถือมทอง ถมทอง ไทยทวาลาว
    พระเจ้าโลกลว้า-พระนางก้านตาเทวี
    พระสงฆ์สมัยสุวัณณภูมิ
    สุวัณณภูมิเมืองทองสมัยพระโสณเถระ พระอุตตรเถระ พระเจ้าอโศกมหาราช พระมหาโมคคัลลีปุตตติสสเถร(บวชชีครั้งแรกในไทย แทนภิกษุณีที่ขาดไปแล้ว
    ต้นพระสงฆ์ไทยที่พระโสณเถรอุปสมบท คือ พระญาณจรณ(ทองดี)
    กฐินครั้งแรกในไทย
    ปฐม สัชฌายสังคีติ สังคายนา ณ สุวัณณภูมิ
    ลายสือไทย และ เลขไทย ไปปรากฎ ณ ชมพูทวีป อินเดีย
    พระเจ้าตะวันอธิราช พระนางสิริงามตัวเทวีสุวัณณภูมิ ต้นออกแผ่วัฒนธรรมไทย และพระพุทธศาสนาออกต่างแดน
    ต้นสวดมนต์
    พระพุทธศาสนาสุวัณณภูมิไปใต้
    ต้นเรื่องข้าวทิพ
    พระโสณเถร พยากรณ์ และ นิพพาน
    พระมูนียเถร เดือนเด่นฟ้า ไป ชวา-บาลี
    ตวันอธิราช ออกตะวันตก เฉียงเหนือ เหนือ
    พระสังฆราชองค์แรกของไทย
    ถาวรวัตถุ โรงเรียน โรงพยาบาลไทย
    ขุนดาวเด่นฟ้า-ขุนหญิงเฆื่อมขัลลตู
    สุวัณณภูมิ เมืองทอง สมัยขุนไทยฟ้าสาง สร้างไชยศึก พ.ศ.๔๑๕
    เลืองแสงฟ้า ต้นสร้างพระพุทธรูปฐานช้างล้อม ต้นสร้าง ดินระเบิด(พ.ศ. ๗๔๒ - ๘๒๕)
    ปลายสุวัณณภูมิ เมืองทอง ดิลกธัมม(ราชา)พ.ศ.๘๒๕
    สุวัณณภูมิเมืองทอง อวสาน เริ่ม ศรีวิชัยธัมมราชราชพลี จันทรภาณุ-สีมาทอง(ทองฬอ) พ.ศ.๑๐๐๐
    ขุนอินไสเรนทร์ และขุนอินเขาเขียว ผู้นำสุวัณภูมิไปใช้ว่า "ศรีวิชัยสุวัณณภูมิ"
    เริ่ม ราชพลี หน้าเขางู (พ.ศ.๑๐๓๐)
    ราชพลี คู่ พริบพลี - ใช้ตัวจารึกไทยทวาลาว (พ.ศ.๑๐๐๐-๑๗๐๐)
    ดำรงถิ่น(ราชพลี) พ.ศ.๑๒๒๗
    เถือมทอง ถมทอง ไทยทวาลาว
    ขุนฟ้าเมืองไทย ผู้สร้างและตั้งชื่อเมืองว่า กรุงไทยทวาลาว
    ขุนใต้ฟ้าเมือง พ.ศ.๑๑๓๔
    ขุนพริบพรี และ ฉกันฟ้าไทย ผู้ รับ สู้ ขับ ศึกศรีวิชัย พ.ศ.๑๑๕๗
    ขุนเพชรพลีฟ้า และ ขุนฉกันฟ้าไทย
    สมัยไทยทวาลาว วัดไผ่ล้อม นครปฐม ที่มาอยู่วัดเพชรพลี (พ.ศ. ๑๒๐๐-๑๓๐๐)
    ฟ้าก่องเดือน พ.ศ.๑๒๔๕
    ไทยทวาลาว กรุงเรืองฟ้า กับ ขุนอู่ทอง รับศึก ขแม ขับออกจาก ลโว้ เอาอู่หินพิมายคืนจเลล
    กงล้อฟ้า พ.ศ. ๑๔๖๑
    กงจักร์ฟ้า พ.ศ.๑๕๒๕
    พระยากง สมัยไทยทวาลาว
    ขุนพานเมืองฟ้า หรือ พระยาพาน
    ขุนพานเมืองฟ้า ผู้สู้ศึกสุริยวรมัน ตั้งชื่อมหาชัย และสร้างนครไชยสีห
    สมัยกรุงสุโขทัย
    พ่อขุนศรีนาวนำถม รัชกาลที่ ๑
    ขุนร่วงนำไทย รัชกาลที่ ๒
    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ รัชกาลที่ ๓ (ขุนบางกลางทาว เจ้าเมืองบางยาง )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2017
  2. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    a.jpg
    เขาสอนบิดเบือนคนไทยมานานแล้วทั้งสองด้าน คือผืนแผ่นดินที่ทำกินและความเชื่อเรื่องการนับถือศาสนา เขาทำกันมาตั้งแต่สมัยปีพ.ศ.2400 แล้วเพื่อเข้ามายึดครองดินแดนนี้ได้อย่างง่ายดาย ถ้าทำให้คนไทยมีความรู้สึกว่าตนเองพึ่งอพยพเข้ามาสู่ดินแดนแห่งนี้ พร้อมทั้งให้มีความรู้สึกว่าสยามประเทศนี้พระพุทธเจ้าไม่เคยเสด็จมาประกาศ พระศาสนาด้วย นี่เขาทำลายความเชื่อถือทั้งด้านประวัติศาสาตร์ และพุทธศาสตร์ ควบคู่ไปด้วยกัน

    ฉะนั้นต่อไปนี้พวกเราคนไทยทุกคน จะต้องเข้าใจเสียใหม่ตามที่คนไทยสมัยโบราณจารึกเรื่องราวเอาไว้ ไม่ใช่ไปเชื่อคนต่างด้าวท้าวต่างแดนสอนกันเช่นในอดีต แม้แต่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทยในปัจจุบันนี้ก็ไม่สามารถจะนำเอามาให้ เรียนกันได้เหมือนเดิม นั่นเพราะคนไทยส่วนใหญ่รู้ความจริงกันแล้วทั้งสิ้นว่า เราเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้มานานนั่นเอง จึงขอให้ทุกท่านที่อ่านแล้วจงรักษาแผ่นดินทองหรือ “สุวรรณภูมิ” นี้เพื่อไว้เป็นประดิษฐ์ฐานพระพุทธศาสนา ให้ตั้งมั่นยั่งยืนและถาวรตลอดกาลนานสิ้นอายุพระพุทธศาสนาเทอญ
    (พระชัยวัฒน์ อชิโต วัดจันทาราม อุทัยธานี จารึกไว้เป็นคำนิยมในหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย)

    เป็นบทความของท่านที่สะท้อนถึงความรู้สึกที่อยากจะบอกให้คนไทยรู้ว่าวิชา ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ร่ำเรียนกันมาจากตำรานั้นไม่ถูกต้องอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบอกว่าเราคนไทยทั้งหมดนั้นเป็นพวกเร่ร่อนอพยพไม่มีถิ่นฐานแน่นอน และนอกจากนี้ยังขยายไปถึงต้นกำเนิดของมนุษย์กลุ่มแรกของโลกและวิวัฒนการของเผ่าพันธุ์ว่ามาจากลิง......


    ............ ความตั้งใจของพระราชกวี หรือเจ้าคุณอ่ำ ธมฺมทตฺโต ที่ท่านทุ่มเทชีวิตจิตใจ กำลังทรัพย์ กำลังปัญญา เพื่อจะบอกในสิ่งที่ท่านพบ และให้เก็บรักษาวัตถุพยานที่เป็นกระเบื้องจารไว้ทำการศึกษาค้นคว้าต่อไป ในเวลานั้นท่านเองก็ถูกต่อต้านจากผู้มีอำนาจในสังคม เพราะความไม่รู้ข้อเท็จจริงและหลงลาภ ที่ต่างชาติเขาปรน เปรอเลี้ยงไว้และพยายามให้พวกเราชาวสุวรรณภูมิทั้งหมดเข้าใจคลาดเคลื่อน ทำให้ดูถูกกันเอง ด้วยการแต่งเติมบิดเบือนประวัติศาสตร์โดยที่คนเขียนไม่เคยได้ศึกษาหรือเข้าใจวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น ไม่เข้าใจรากฐานความคิดของคนในภูมิภาคที่มาจากอิทธิพลของศาสนาพุทธด้วยกัน เมื่อไม่เข้าใจศาสนาก็ไม่มีทางจะเข้าถึงอดีตของคนชาวสุวรรณภูมิได้เลย เพราะทั้งหมดผูกพันธ์กับพุทธศาสนามาตั้งแต่บรรพบุรุษเป็นเวลาหมื่นๆปีแล้ว ไม่ใช่เป็นพันปีอย่างที่เขียนไว้ในตำรากัน พวกเขาชาวตะวันตกมีสมมุติฐานและทฤษฎีเป็นไปตามหลักวิชาการมีมาตรฐาน แต่ในฐานะของผู้ที่มองคนชาติอื่นต่ำกว่า และยังมีเป้าหมายผลประโยชน์ซ่อนเร้นแอบแฝง นอกจากจะไม่ถูกต้องโดยหลักการแล้ว ยังมีอคติแบบปุถุชนเคลือบปนอยู่ด้วย

    ในตำราวิชาประวัติศาสตร์ ทั้งความไม่ชัดเจนและวิธีการมาให้เรียนรู้ นอกจากจะเป็นการยัดเยียดแล้วยังขาดรายละเอียดทั้งเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของ การสร้างโบราณวัตถุที่นำมาอ้างอิงประกอบ เพียงแต่นำเอกสารบันทึกโบราณของนักเขียนบนเรือสินค้าสัญชาติจีนและอินเดีย มาวัดเทียบเคียง ซึ่งไม่น่าจะเพียงพอที่ให้ท่องจำกัน
    ไม่เคยพบหรือเคยได้ยินว่านักโบราณคดีหรือนักประวัติศาสตร์ของคนในภูมิภาค ทุ่มทุนและเวลาศึกษามาค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจัง อย่างเช่นที่เรียกกันว่า ผู้เชี่ยวชาญของชาวตะวันตก
    มารู้เอาทีหลังว่า วัตถุโบราณที่สำคัญๆทั้งหลายถูกกว้านซื้อไปหมดแล้วก่อนจะ ตั้งกรมศิลปกรขึ้นมา ที่เหลืออยู่เป็นการทำเลียนแบบไม่สามารถนำมาประกอบอ้างอิงได้ตามหลักวิชาการ และที่สำคัญคนไทยและผู้นำรัฐบาลที่ผ่านมาต่างตกเป็นทาสทางวิชาการ ไม่รู้คุณค่าโบราณวัตถุ ซ้ำร้ายยังมีส่วนในการลักลอบนำไปขายเสียเองอีก เมื่อวัตถุพยานอ้างอิงอยู่ต่างประเทศกันหมด จึงไม่มีสิ่งใดให้ศึกษา แม้จะมีความพยายามรื้อฟื้นขึ้นมาก็ทำไม่ได้เนื่องจากไม่สมบูรณ์ถูกต้องตาม หลักวิชาการ และเกิดไม่เชื่ออย่างจริงจังที่สุด โดยเฉพาะการบันทึกเรื่องประวัติศาสตร์ที่มีอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองเกี่ยวข้อง

    พระราชกวี หรือเจ้าคุณอ่ำ ธมฺมตฺโต ได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจ ตรากตรำอ่านคำจารึกแผ่นกระเบื้องจารและรวบรวมเรียบเรียง และที่สำคัญ ได้เปรียบเทียบกับตำราทางวิชาการ เพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณาด้วยปัญญาและวินิจฉัยเอาเองอย่างเปิดกว้าง ไม่ใช่อ้างขึ้นมาเพียงด้านเดียว ขอยืนยันเป็นเรื่องที่ใกล้เคียงความจริง ซึ่งก่อนหน้าจะได้อ่านหนังสือของท่านก็มีความเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นก่อนที่ จะอ่านจบเสียอีก

    งานค้นคว้าของเจ้าคุณท่านเจาะลงลึกในรายละเอียด (เข้าใจว่าน้อยคนจะอ่านจบ สังเกตุได้ แม้จะพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งที่เจ็ดแล้ว ยังมีคำผิดอยู่มากและการเว้นวรรคก็ผิด ซึ่งทำให้อ่านเข้าใจยากมากขึ้น) เป็นความรู้ความสามารถพิเศษส่วนตัวโดยเฉพาะอาจจะเรียกได้ว่าท่านเกิดมาทำ หน้าที่นี้โดยตรง จึงยากที่จะหานักวิชาการผู้ใดกล้าแสดงความเห็นเชิงสนับสนุนและวิจารณ์ หรือแม้จะเห็นคัดค้านก็ไม่สามารถจะหาข้อมูลใดมาอธิบายอ้างอิงโต้แย้งว่าสิ่ง ที่ท่านกล่าวมาไม่ถูกต้องอย่างไร เพราะเป็นองค์ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติธรรมตามแนวทางพระพุทธศาสนาที่ สามารถรู้ได้เฉพาะผู้ฝึกจนสำเร็จได้ ระดับหนึ่งเพียงเท่านั้น กับที่เป็นเรื่องราวในหนังสือพระไตรปิฏก ท่านอธิบายลงลึกในพุทธประวัติที่ค้นพบเอง ซึ่งไม่มีพุทธศาสนิกชนผู้ใดกล้าบิดเบือน หรือแม้แต่คิดเนื่องด้วยเกรงกลัวต่อบาปและโทษมหันต์ในการนำเสนอในสิ่งที่ไม่ เป็นความจริงสู่สาธารณะ ศาสนิกชนทุกคนเมื่อปฏิบัติธรรมแล้วจะยอมรับว่านรกและสวรรค์นั้นมีจริง การสอนและการพูดในสิ่งที่ตนยังไม่รู้จริง พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสห้ามเด็ดขาด
    เพียงเหตุผลเดียวเท่านี้ก็สามารถยืนยันเจตนาอันบริสุทธิ์ของท่าน และไม่มีเหตุจูงใจใดๆที่ท่านต้องการ จากการทุ่มเทตรากตรำศึกษาค้นคว้างานนี้ นอกจากจะเสี่ยงต่อความผิดอาจจะต้องเสวยผลในนรกแล้ว ยังต้องถูกประนามและต่อต้านจากสังคมที่ไม่เข้าใจ เพราะยังไม่พร้อมอาจ จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อความเชื่อ ซึ่งจะนำมาซึ่งความขัดแย้งตามมาเกี่ยวเนื่องกันทั้งระบบไม่เฉพาะแต่ในสังคม ไทยเท่านั้นยังส่งผลต่อทางสากลอีกด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤศจิกายน 2013
  3. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย โดยพระราชกวี(อ่ำ ธัมมทัตโต ป.ธ.๖)วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพฯเกิดจากการค้นพบกระเบื้องจารในหลายๆที่ เช่น คูบัว ,เพชรบุรี,ศรีสัชนาลัย,พิมาย,ควนอิฐวัดนางกรา อ.เมืองนครศรีธรรมราช ฯลฯและ ส่วนที่เป็นจารึกไว้ในโบราณวัตถุ โบราณสถาน พระพุทธรูปฯลฯ ต่างก็เป็นพยานตามที่กระเบื้องจารได้กล่าวไว้
    a.2217561.jpg
    แผ่นกเบื้องทุกแผ่นที่เขียนเรื่อง และจารึก ล้วนมีลงรักประสมทอง แบบเอาทองคำเม็ด หรือทองคำผง ประสมรัก ทาทั้งแผ่น แล้วเขียน เท่าที่สังเกตเห็น มีทองหนาบ้าง บางบ้าง ไม่มีบ้าง อาจเป็นอย่างที่เรียกกันว่า เขียนลงแผ่นทอง หรือ สุพรรณบัฎและมีลงรักอยู่ตลอดทุกแผ่น ทองอาจหลุดหายไปหมดรักที่ลงไปนั้นเข้าใจว่าเป็นหัวน้ำรัก หรือ รักน้ำใส ประสมน้ำมัน หรือหัวน้ำมันยาง หัวน้ำมันมะพร้าว ยางโพ ยางมะเกลือ(เพื่อให้ดำ ถ้าขาวใช้น้ำมันสน)เมื่อทา ก็เอาทองผงประสมลงไปคน หรือนวดให้ได้ที่ แล้วทา ผึ่งให้แห้งสนิทดี เมื่อจะเขียนก็ชุบน้ำ หรือแช่น้ำ เพราะกเบื้องนี้เป็นหินทราย หรือดินดานก็ตาม เป็นของดิบ เมื่อถูกน้ำจะอ่อนให้เขียนได้ง่าย รักจะเนียนสนิทไม่ลอกไม่ละลาย และคงทนอยู่เป็นพันปีที่ประหลาดก็คือ คงทนมากยิ่งกว่ารักในปัจจุบันนี้ ได้ฟังนักลงรักปิดทองเล่าว่า รักเวลานี้เป็นรักประสม เอาขี้เถ้าใบตองประสมลงไปจึงเสื่อมคุณภาพเร็วกว่า ของโบราณนั้นใช้กันแท้ๆและอย่างดี จึงคงทนได้นับเป็นพันปี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  4. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    a.2217560.jpg

    คำนำครั้งที่๑

    ในวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๙ วิทยุกระจายเสียงตอนเช้ามีข่าวว่า
    สำนักนายกได้ประกาศแถลงเรื่องกเบื้องจารที่คูบัวและเพชรบุรี เป็นฝีมือคนบ้านคูบัวและบางขุนเทียนทำด้วยซีเมนต์นั้น
    ขอแจ้งให้ทั่วๆไปทราบว่า สำนักนายกฯหรือสถาบันอื่นใดไม่เคยได้นำกเบื้องจารหรือวัตถุอื่นใดที่ข้าพเจ้า(พระธรรมวงศ์เวที ต่อมาเป็นพระราชกวี)และที่เพชรบุรี(พระครูพิศิษฐ์ศิลปาคม) ไปเป็นทางการเลยสักชิ้นเดียว ที่มีในแถลงข่าวถูกต้ม คงจะพวกนั้นเองถูก
    ของพวกเราที่มีอยู่นี้ ทำด้วยหินทรายประกายไม่ใช่ซีเมนต์ ชั้นเราช่างวัดพริบพลี และนักเรียนภายในวัด คุ้นกับซีเมนต์และหินทรายดี ทั้งกเบื้องของเรามีลงรักทองผง
    ท่าน เอ็ม มาชิดะ ผู้ชำนาญแร่แห่งบริษัทอู่ทองไทย บอกว่าเป็นชุดหินทรายชุดกาญจนบุรี ซึ่งพิเศษคือมีทองเม็ดปนอยู่ ซึ่งพวกเราชั้นช่าง รู้จัก รักและทอง อันใหม่เก่าพอสมควร ที่จะถูกต้มนั้นต้องถูกฝีมือดีกว่าคนคูบัวและบางขุนเทียน
    ทั้งในวันที่ ๙ นั้น ข้าพเจ้าพร้อมกับพระหลายรูปได้มีโอกาสไปในงานทำบุญสำนักงานเทพศรีหริศ ได้พบท่านประธานกรรมการชำระประวัติศาสตร์จึงได้ถามท่าน ท่านเล่าว่าไม่เคยเห็น ไม่มีอะไร
    ฉะนั้นชื่อสำนักนายกฯที่มีอยู่ในข่าวนั้น ต้องไม่ใช่หมายถึงกรรมการชุดนั้นที่กล่าวถึงนี้ หมายถึงที่ได้พบของปลอมและอาจถูกต้มไปนั้น พวกเราขอขอบคุณที่กรุณาแจ้งข่าวและแจ้งความจริงให้ทราบ เพราะหามานานแล้วไม่พบ ซึ่งช้าไป ของดีของเราอาจถูกขายไปหมด
    เช่น ในราวกลางเดือนกันยายนนี้ นาย...ได้พบกเบื้องจารที่ตำบลท่าเรือ ณ ควนอิฐวัดนางกรา อำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช ประมาณ ๓๐๐ กว่าแผ่น เห็นทิ้งๆอยู่ คนนำไปทำถนนบ้าง ทุบเล่นบ้าง เห็นมีรอยขีดๆนาย...พบที่ศรีสัชชนาลัยและพิมาย เก็บเศษๆนำมา ๔๗ แผ่น เห็นทิ้งเกะกะ จึงลองนำไปขายฝรั่งได้แผ่นละ ๔๐๐ ต่อมาได้นำไปอีก ถูกเจ้าหน้าที่๒สถาบันยึดเอา เมื่อแอบดูปรากฏว่านำไปขายที่เดียวกันนั้นและที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ที่ถูกว่าเป็นซีเมนต์ มีคนไทยและฝรั่งชาวอังกฤษและสหรัฐ ขอปันจะเอาไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษและสหรัฐ ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถสละเลือดเนื้อเชื้อไขของคนไทยได้ มีคนไทยผู้หวังดีหลายคนแนะให้ ให้ไป จะได้มีชื่อเสียงแก่ไทย ก็ยังไม่ได้ตกลงใจที่ประกาศว่าปลอมนั้นดีแล้ว จะได้สะดวกง่ายดี ไม่ต้องถูกมั๊บเปล่าๆ

    และในราวๆเดือนมีนาคม-มิถุนายน มีหนังสือพิมพ์ขอเรื่องไปลงหนังสือพิมพ์หลายฉบับ นายตวง จิตต์พะวงศ์ ได้บอกให้ข้าพเจ้าทราบว่า มีคณะหนุ่มและนายทหารหลายคนอ้างว่าขอยืมไปดูเป็นตัวอย่างและเป็นหลักฐาน เผื่อจะพบอีกจะได้ช่วยกันเก็บรักษาไว้ ไม่ได้บอกว่าจะเอาไปพิสูจน์ นายตวงได้ให้ขอยืมไปจากวัดเพชรพลี๑แผ่นเป็นส่วนตัว แต่แผ่นนี้ ข้าพเจ้าได้อ่านและใช้หมึกอินเดียนเขียนเลขลำดับแผ่น พร้อมกับเขียนประวัติไว้ที่ด้านซ้ายมือ ซึ่งเป็นระเบียบการอ่านของข้าพเจ้าทุกแผ่น และคณะคนชุดนั้นหายเงียบไป ทวงคืนหลายครั้งก็ไม่นำมาส่ง อ้างว่าส่งไปให้เขาพิสูจน์ ได้นำไปจากที่ข้าพเจ้าเป็นส่วนตัวก็มี ได้อ้างว่าส่งไปให้เมืองนอกพิสูจน์ ความจริงให้ขอยืมไปดูเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ให้ไปพิสูจน์ เราถือกันว่าดูของเป็น ทำไมจะต้องส่งพิสูจน์ เหมือนเป็นคนแล้ว ประโยชน์อะไรจะต้องส่งตัวไปพิสูจน์ว่าเป็นคนแน่หรือไม่ใช่คน และไม่ใช่เป็นของจริงหรือปลอมเพียงประกาศ แต่ตัวของมันเองยืนยันตัวเองอยู่แล้วว่าจริงหรือปลอม ทั้งได้ถามสถาบันนั้นๆดู ไม่ปรากฏเรื่อง เห็นจะถูกขายไปหมดแล้ว ถ้าข่าวที่แถลงนั้นเป้นเรื่องเดียวกันแล้ว กเบื้องและวัตถุอื่นนั้น เป็นหินทราย ดินเผา เช่น อิฐ หิน โคลน และโลหะประสม ไม่ใช่ซีเมนต์ปอร์ตแลนด์คือซีเมนต์ตราช้างที่ทำสะพานพระพุทธยอดฟ้า
    สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้ายังเสียดายมากทุกชิ้น เพราะเป็นหลักฐานแต่ละชิ้นที่สำคัญมาก อย่างที่เขียนลงในหนังสือกเบื้องจารแล้ว เช่น แผ่นสร้างวัดศรีมหาธาตุแดนลว้า มีชื่อ มนขอมพิสสณุ พระโสณ พระฌานีย พระภูริย พระอุตตร และพระมูนีย ชัดเจน คงหายไปแล้ว อาจเป็นเรื่องรู้จักทำปลอมได้อย่างนี้กระมัง ข่าวเล่าลือกันว่า เอาของปลอมไปซุกไว้แล้วแกล้งทำเป็นขุดได้ และเอาของจริงไปบ้าน เอาของปลอมตั้งแทนไว้ ทำท่าว่าจะจริง เพราะถ้าทำของปลอมได้เหมือนของจริง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจริงหรือปลอม ข้าพเจ้ายืนยันว่าที่ได้มานั้น ชาวป่าชาวเขานำมาและถือเอาทองเหลืองจัดสีมันดีประสมเป็นหลักสำคัญวัตถุหินและดินมีมาคู่โลกยังไม่แห็นมีใครทำเทียมได้ ขอบอกให้สักอย่างหนึ่งว่า บางแผ่นมีแร่ม่เหล็กปนอยู่ด้วย])ที่รู้เพราะลองเอาเหล็กแตะดูมีแรงดูด ขอกล่าวว่ามีความรู้ดูหินและซีเมนต์เป็น ที่พูดมานั้นสงสัยว่าดูไม่เป็นและจงอาศัยข่าวประกาศนั้น ทั้งมีหนังสือพิมพ์หลายฉบับลงข่าวเป็นหลักฐาน ขอให้ถือประกาศนั้นเป็นหลักแน่นอนได้ว่า หินทราย หินปูน ว่าเป็นซีเมนต์ทราย วัตถุโลหะประสมเหล็กว่าของปลอม พระและรูปต่างๆที่ไม่ใช่สุโขทัย เชียงแสน อู่ทอง ลพบุรี ศรีวิชัย ทวารวดี ที่ไม่แตกหักเหมือนในสถาบัน คือที่ดีๆเนื้อโลหะประสมนั้นก็ว่าปลอม ขอให้ขายกันโดยเสรี ถ้าต้องการพยานก็มาดูที่ข้าพเจ้าและวัดเพชรพลีได้ จงติดต่อขายฝรั้งโดยตรงเพราะฝรั่งให้ราคาตามสิ่งปรากฏจริงๆ ซึ่งได้สร้างความเป็นเศรษฐีให้หลายคนแล้ว ถ้ามีเจ้าหน้าที่ใดจับก็จงอ้างประกาศนั้น และขายกันโดยไม่ผิดอะไร เพราะประกาศนั้นยืนยันหลักฐานอยู่ เช่น รูปนารายณ์บรรทมและเศียรพรหมสี่หน้าที่อยุธยาก็ขายได้เกือบล้านบาทก็ไม่แปลกอะไร เพราะถือว่าหินทรายเป็นซีเมนต์ประสมทราย ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าหินทรายตรงกับคำว่าศิลาหรือเปล่า เพราะเพิ่งพบหินทรายลับมีดเพียง ๔๐-๕๐ปีเท่านั้นและยังไม่เคยได้ยินใครเรียกชื่อว่าศิลาลับมีด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2017
  5. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    คำนำครั้งที่๑ (ต่อ)
    ยิ่งกว่านี้ ยังมีข่าวมาขู่ว่า จะนำเรื่องขึ้นศาล เพราะทำประวัติศาสตร์ให้ปั่นป่วน ได้ปรึกษาทนายชั้นนำ(ในวันที่๙นั้น) ทนายชั้นนำได้บอกว่า ท่านไม่ได้ทำ ไม่ต้องขึ้นศาล ไม่มีอะไร ผู้ทำปลอมควรขึ้นศาลเพราะทำของหลอกลวงประชาชน ถ้าเจ้าของต้นข่าวรู้ก็พึงทราบไว้ด้วย ท่านรู้จักคนทำปลอมดี หรืออาจทำปลอมเองแล้วเอาไปขายฝรั่งไม่ได้เพราะเป็นของใหม่ฝรั่งรู้ และหลักฐานที่เห็นได้ชัด ใช้ซีเมนต์ทำปลอมหินทรายก็มีประกาศไว้ในข่าวและที่พิมายไปดูเอาเองว่าเหมือนกันหรือไม่ ที่ทำไม่ได้ความ แล้วเที่ยวขู่คนอื่นนั้น เท่ากับร่วมกันทำลายมรดกที่บุรพชนไทยทำหลักฐานไว้
    ทั้งสถาบันบางที่ ส่งคนมาขอยืมอิฐคูบัวเขียนสุวัณณภูมิ ซึ้งได้ถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์ไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ก็เพราะกลัวจะนำไปทุบทิ้งหรือทำลายเสียก็สิ้นสุดหลักฐานไปอีก จึงยอมให้ไม่ได้ เหมือนอย่างคูบัวซึ่งเหี้ยนเตียนไปแล้ว ขอแจ้งให้ทราบในที่นี้ว่า ไม่ได้อยู่ภายใต้ความกลัว เป็นที่ปรากฏมาแล้ว ความจริงมีอยู่ เรื่องไม่จริงนั้นโกหกกันได้ไม่นาน เพราะตัวของมันเองยืนยันตัวเองอยู่แล้ว เหตุนี้จึงไม่ต้องกลัว แต่ถ้าเรื่องโกหกเพื่อยกย่องกันก็เป็นสิ่งที่บัณฑิตชนยังยกย่องกันบ้าง ส่วนที่ทำให้ตัวเองเสียหายน่าอับอายขายหน้า เช่น แต่งให้ไทยวิ่งหนีไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลยนั้นไม่มีใครสรรเสริญ เราทำกันอย่างถือความจริง และมีหลักฐาน ไม่ใช่เลื่อนลอยอย่างทวารวดีซึ่งไม่รู้และไม่มีหลักฐานยืนยันว่าที่ไหน เมื่อไร ของใคร และอะไร เพียงเอาหลักฐานที่ฝรั่งชาติ ลบแผนที่ไทยโบราณกุให้ฟังแล้วสร้างเรื่องขึ้นที่ว่าทำประวัติให้ปั่นป่วน ใครทำไว้ก่อน เช่นประวัติศาสนา มาพูดกันอย่างนักเรียนคัมภีร์พระพุทธศาสนา ทุกคนรู้เหมือนกันหมด ว่า สังคายนาครั้งที่๓ทำเสร็จแล้วปี๒๓๕ ส่งพระเถรออกประกาศต่างประเทศ๒๓๕คัมภีร์อัฏฐกถา ญาโณทยปกรณ ชินกาลมาลีปกรณ สังคีติยวงศ์ ศาสนาวงศ์ อ้างคำในมหาวงศ์ว่า สมฺพุทฺธปรินิพฺพานา แต่ปรินิพพานแห่งพระสัมพุทธเจ้า เทวฺวสฺสสตานิ จ สองร้อยแท้ ปญฺจตึสวสฺสาเนว และ๓๕ปี ตตยํ สงฺคิตึ อกา พระสงฆ์ได้กระทำสังคายนาครั้งที่๓แล้ว แต่นักรู้ไทยย้ายสังคายนาครั้งที่๓ไปทำ พ.ศ.๒๗๑-๓๐๐ ซึ่งถ้าจริงแล้ว พระที่เทศน์สังคายนาครั้งที่๓ ว่า พ.ศ.๒๓๕ ก็โกหกเทศน์กันหมดตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชถึงพระใหม่ๆ ถ้าคัมภีร์ต่างๆจริง นักรู้ไทยใช่ไหมที่กล่าวคลาดเคลื่อนไปถึงหลายสิบปี ที่กลัวปั่นป่วนนั้นกลัวจับโกหกได้ใช่ไหม ที่นักรู้แต่งคลาดเคลื่อนมานั้นหลายสิบปีมาแล้ว พวกเรา พระๆไม่เห็นกลัวปั่นป่วน เพราะเราถือกันว่าพระอรหันต์ทั้งหลายทำแล้วจดไว้ ผู้ทำเองจดเองมีการคลาดเคลื่อนได้ยาก ไม่เหมือนนักเดาทีหลังตั้งพันๆปีแล้วกลัวปั่นป่วน ของจริงไม่ต้องกลัวและมีผู้นำหนังสือ The Unesco Courier ประจำเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๙๖๔ (พ.ศ.๒๕๐๗)มาให้ ในหนังสือนี้มีรูปเขียนเล่าเรื่องในหินและมีหนังสือโบราณของชาติต่างๆที่เขียนในหิน ในไม้ ทุกชาติ กระทั่งของพวกเอสกิโมใหม่ก็ยังมี แต่ไม่มีก็คือกลุ่มหนังสือไทย และคฤนถขอม ถ้าถือตามฝรั่ง เอาหนังสือนี้เป็นบรรทัดฐาน หนังสือไทย หนังสือคฤนถขอม ไม่มีอยู่ในทำเนียบของโลก ไทยก็กลายเป็นชาติไม่มีหนังสือไทยใช้แต่โบราณแม้๖-๗ร้อยปีโดยเฉพาะหนังสือคฤนถขอม ที่ว่าเป็นของอินเดียภาคใต้นั้น ตามหนังสือนี้ไม่มี พยายามถามแขก เพื่อได้มาจากอินเดียแท้ก็ไม่ได้ จึงเข้าใจว่า คฤนถขอมนั้นไม่ใช่หนังสือแท้ของอินเดีย แต่เป็นหนังสือขอมไทย ที่ขอมไทย สร้างขึ้นแต่ครั้งและหลังพระพุทธกาล และฝรั่งอุปโลกน์ไปให้อินเดีย ถ้าอินเดียมีจริง ทำไมจึงไม่ปรากฏ ก็ชาวอินเดียมาถึงแหลมทองได้ตั้งแต่สมัยโบราณ อย่างน้อยก็สมัยพระพุทธกาล เพราะพระคัมภีร์ศาสนากล่าวถึงสุวัณณภูมิหลายแห่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมคนไทยจะไปบ้างไม่ได้ เมื่อไปแล้วก็นำหนังสือของไทยไปด้วย นำไปเขียนไว้เล็กน้อยและระยะกาลสั้น เพราะชาวอินเดียถือว่าไม่ใช่ของพวกเขาจึงเลิกใช้และไม่มีปรากฏต่อมา ฝรั่งพบหรือไม่พบไม่รู้ เขียนไว้ในประชุมจารึกว่าคล้ายคลึงกัน ไทยเลยเชื่อถือว่าของแขก ยิ่งจารึกที่ถ้ำฤษี เขียนเป็นภาษาสันสกฤตด้วยแล้ว
    a.2222170.jpg

    (จากหน้าปกหนังสือ ชื่อ บุญ วระ ฤษี งูคีร สมาธิคุปฺต ปรากฏ๓ภาษา คือ ชื่อ บุญ งู คำไทย สมาธิ เป็นภาษามคธและสันสกฤต วระ ฤษี คิรฺ คุปฺต เป็นภาษาสันสกฤต สมาธิ พุทฺธพสฺสา เป็นภาษามคธ)
    ดูจะเป็นหลักฐานแน่นอนยิ่งขึ้น แต่ตัว บ. ญ. ษ. ธ. เหมือนอักษรไทยเดี๋ยวนี้และเหมือนอักษรขอมโบราณ จะให้คนยอมฉลาดเช่นข้าพเจ้าไม่เชื่อได้อย่างไรว่าไม่ใช่ตัวหนังสือไทย โดยเฉพาะ ง. งู ที่ฝรั่งอ่านไม่ออกนั้น ยิ่งเป็นตัวไทยแท้ๆ แต่เขียนแบบสลักหิน ซึ่งไม่เหมือนคฤาถขอม ไม่เหมือนเทวนาครี ไม่เหมือนพราหมิ แล้วจะว่าไม่ใช่ตัวหนังสือไทยได้อย่างไรในที่นี้ ขอถือสุภาษิตไทยว่า อย่าสีซอให้ควายฟัง ... มีอรรถกถากล่าวว่าควายฟังเสียงซอได้แต่ไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้เรียน...

    อันคนไทย ไทยแท้แม้ทุกผู้ ต้องอับไปในความรู้ผู้ทู่โท่
    รู้เหมือนคูถพูดไม่ได้ปากไม่โต มูลฟันโร่ดีแท้แม้ว่าปลอม
    ที่อับเฉาเดารู้ดูสักนิด อุตพิษต้องนิยมชมว่าหอม
    เป็นความรู้อยู่บนหัวตัวดมดอม ต้องการกล่อมตนเองเป็นเพลงเอย

    พระธรรมวงศ์เวที (อ่ำ ธมฺมทตฺโต)๑๕ ตุลาคม ๐๙
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0129.jpg
      scan0129.jpg
      ขนาดไฟล์:
      541.5 KB
      เปิดดู:
      11,196
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  6. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    หนังสือ พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุน นี้ ได้พิมพ์ใน พ.ศ.๒๕๑๘ ในงานพระราชทานเพลิง ได้หมดไปแล้ว มีผู้มาว่าจะเอาไปเป็นเรื่องเมืองไทย กับของไทย และพระพุทธศาสนาในไทย มีหลายท่านได้นำทุนมาด้วยเพื่อจัดพิมพ์ใหม่ ทั้งเมื่อพิมพ์ครั้งนั้น เพราะเวลาเร่งด่วน มีผิดพลาดไปหลายแห่ง ได้เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะแก้ไขให้ถูกต้องด้วยดีเท่าที่จะรู้และทำได้ความจริง หนังสือเล่มนี้ ก็สืบเนื่องจากกเบื้องจาร ซึ่งได้มา ไม่นับที่จารึก ณ พระพุทธรูป เครื่องดินเผา แผ่นกระเบื้องหนา-บาง เฉพาะแล้ว ประมาณ ๑,๒๐๐แผ่นเก็บไม่ได้ ก็คือ ที่นครสวรรค์ ชัยนาท ปราจีน(ได้มาเพียง ๕-๖แผ่น)เพราะไม่มีโอกาส เมื่อได้มาก็ตั้งใจอ่าน เพื่อเอาเรื่องไทยให้กระจ่างแจ้งซึ่งเป็นไปได้ยากลำบากเต็มทน พอเป็นฉบับร่างเท่านั้น ก็ถูกคัดค้าน ทั้งมีแถลงการณ์เถื่อนออกมาว่า เป็นของปลอม โกหก หลอกลวง กับ วิพากษ์วิจารณ์โขกสับอย่างหนัก ระดับขั้นชั้น-แช่งด่า (ศัพท์ว่า อักโกสะปริภาส) ไทย และ ของไทยจึงออกมาได้ยากลำบากเกือบสุดเข็น ถึงกระนั้น ก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำ หรือ ทิ้งเสีย เรื่องของไทยก็สูญหมด จึงทั้งไม่ได้ ................


    บางส่วนของ คำนำ(พิมพ์ครั้งที่๓).............ความจริงหนังสือนี้ ก็มีขึ้นจาก จารึกกเบื้องจาน ซึ้งลงไว้ตั้งแต่ขุนสรวง หรือเมืองสรวง ฯลฯ ถึง เมืองแมน เมืองทอง สุวัณณภูมิ ราชพลี ราชบุรี จึงตั้งชื่อว่า เรื่องไทยลว้า ครั้นได้พบจารึกชื่อสุวัณณภูมิ อันเป็นทั้งเรื่องไทยและพระพุทธศาสนา จึงตั้งตามจารึกนั้นว่า พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ เพื่อยืนยันสถานที่ จึงตั้งต่อว่า ราชบุรีวัตถุกถา-ตำนานเมืองขุน ...............ที่ไทยได้กระทำมาเป็นไทย และของไทย ไทยไม่ยอมรับ แถมยกไปให้เขาอื่นที่ทำขึ้นก็ไปเอาของเขามาทำ และทำผิดแบบไทยอีกด้วย เหตุนี้ ไทย และ ของไทย ทุกชนิด จึงไม่ขึ้นเป็นหลักฐาน แม้ในขั้นการเรียนเพียงชั้นประถมก็ยังไม่มี ที่มีอยู่ก็ต้องอาศัยฝรั่ง เหตุนั้นไทยและของไทยจึงไม่มีขั้นหรือชั้นสำคัญ เฉพาะในหลัก มนุษยศาสตร์ชาติพันธุ์ไทย ตลอดถึงโบราณคดี โบราณวัตถุ และเรื่องประวัติไทย กับทั้งวัฒนธรรมประเพณีไทยทุกประการที่มีขึ้นปรากฏอยู่ ก็ต้องไปลอกแปลที่ฝรั่งเขาเขียนไว้แล้ว ที่ฝรั่งไม่รู้ก็ไม่ได้เขียน ไทยและของไทย เช่น แรกนา โพสพ พระร่วง และทับทิม ฯลฯ ซึ่งไม่มีอยู่ในนั้น มีอยู่แต่ในไทย จึงไม่ขึ้นความสำคัญเป็นหลักฐานไทย ครั้นแปลลอกที่ฝรั่งเขาเขียนเป็นเรื่องหลักฐาน และหลักวิชาการได้ จึงขึ้นเป็นชั้นหลักฐานสำคัญได้ เช่น เลื่อนขึ้นเป็นดุษฎี เป็น ศาสตราจารย์ ได้เข็มและเหรียญอันมีศักดิ์ตำแหน่ง ฯลฯ ฉะนี้แล ไทยของไทยจึงไม่มีโอกาสมากเกินไป นอกจากเป็นไทยและของไทยเท่าเดิมนั้นที่ว่า ไทย และ ของไทย อันมีอยู่ แต่ไม่ขึ้นขั้นสำคัญ แม้จะเป็นหลักสูตรการเรียนชั้นประถมก็ยังไม่มีนั้น จะเห็นได้ เช่นชื่อ ขุนสรวง และ นางสาง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดรูปแบบโครงสร้างคนชายหญิงสร้างคำไทยใช้กันมา และได้สร้างรูปเคารพเป็นแบบไว้ด้วยขุนอิน และ นางกวัก ผู้สร้าง และ ตั้งชื่อ เมืองแมน เฉพาะแม่นางกวัก ยังมีมนต์นางกวักสำหรับเสกโชคลาภ ทั้งคู่เป็นผู้ตั้ง ปีอิน และ ปี เดือน วัน ทำเครื่องใช้ เช่น หลอมแร่ธาตุเป็นเครื่องใช้ และ เครื่องดินเผา ทั้งได้ตั้งชื่อไทยให้รู้ความหมายไว้ขอมฟ้าไทย ขุนสือไทย ขุนหญิงไทยงาม ขุนเลกไทย ขุนหญิงงามตน ได้สร้างลายไทย ลายสือไทย ลายสือขอม ลายตัวเลขไทย ตลอดถึงวัฒนธรรมบูชา บำบวง ไหว้ครูบาอาจารย์ ฯลฯ ขุนลือต้นไทย ขุนหญิงโพสพ ได้ทำนา ปลูกข้าว สร้างเครื่องใช้-ทำ เช่น ไถ คราด เลือกข้าว ตั้งชื่อใช้กันมา สร้างระบบบำบวง-แรกนา-ทำขวัญข้าว กันมา[/FONT]
    พระร่วงลายไทย จ้าวแม่เบิกไพร ได้สร้างระบบป่าไม้ตั้งชื่อต้นไม้ทั้งบกและน้ำพระอินร่วงไทย จ้าวแม่ทับทิมทอง ได้สร้างสีย้อม สร้างรูปแบบเงินทองเป็นมูลค่า ระบบค้าขาย ตลาดนัด บก-น้ำ ได้ตั้งชื่อใช้กันมา คือ ต้น(สตางค์) ไพ เฟื้อง สลึง ดำรอง(บาท) ตำลึง ชั่ง ร้อย ตั้งเป็นมูลค่าไว้ ได้สร้างรูปแบบ เช่น เหรียญ เงินขด อัน ขุนโลลาย โห่มาดี กับ แห่ขวัญมา ได้สร้างแบบเรือนบ้าน แบบบ้านเมือง ระบบวางหลัก-ยกเสา บำบวงบูชา-ออกเสียงโห่ และ ระบบขบวนแห่ขวัญมา เมื่อได้รับพระพุทธศาสนา-ได้ก่อสร้างระบบ เขตสังฆกรรม เช่น วัด พระ เช่น พระพุทธรูป ได้ประดิษฐ์สิ่งต่างๆและตั้งชื่อใช้กันมา จึงเกิดเป็น ไทย และ ของไทย ขึ้นซึ่งยังปรากฏอยู่ทุกอย่างแก่ไทยชาวท้องถิ่นทุกคน และยังได้กระทำ-ประพฤติกันมาทั้งรู้กันว่า ไทย เช่น หนังสือไทย เงินไทย ลายไทย คำไทย ชื่อไทย ฯลฯสิ่งเหล่านี้ นักรู้ไทย ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา นักปราชญ์ ฯลฯ ต่างรู้อยู่ทุกคน แต่ไม่ยอมรับ และ ไม่ยอมให้เป็น ของไทย จึงไม่เล่าให้ฝรั่งฟัง-ฝรั่งจึงไม่รู้ และไม่ได้นำไปเขียนในหนังสือภาษาของเขา ฉะนี้ ไทย และ ของไทย แม้มีอยู่ก็ไม่ขึ้นขั้นชั้นใดๆ เช่น ชั้นประถม,มัธยม,อุดม เป็น บัณฑิต ,มหาบัณฑิต ,ดุษฎีบัณฑิต
    หรือ ชั้นจัตวา, ตรี,โท,เอก,พิเศษ,รอง,อธิบดี,รัฐมนตรี,นายกรัฐมนตรี,สิบตรี...จอมพล. ฯลฯ
    ฉะนี้ ไทย และ ของไทย จึงเป็นแต่ เพียงไทย และ ของไทย เท่านั้น
    ไทย และ ของไทย ที่ไทยตั้งไว้ คือ คำไทย ชื่อไทย
    ท่านต้นผู้นำได้ตั้งใช้กันมา แต่ผู้รู้ หรือนักวิชาการ ไม่่ค่อยยอมรับว่าเป็นของไทย ต้องเอาไปฝากผู้อื่น และยกของไทยไปให้ผู้อื่นหมด ในทำนอง "ซุกแขก-แซกจีน"
    แม้ชื่อว่า "ไทย" ว่ามาจากมคธ ว่า เทยฺย
    เด็ก มาจากมคธว่า ติก-มีต้องการ๓อย่าง ฯลฯ
    และอาศัยจีนชื่ออัลไต ซึ่งอยู่มองโกเลีย
    ไทซัว คือภูเขาไท-อยู่ใกล้แมนจูเรีย
    ไทเผ คือไทพู-อยู่ไต้หวัน ฯลฯ
    ขุนอู่ทองผู้สร้างกรุงเก่าก็ว่ามาจากจีน
    แม้จ้าวด้วงผู้สร้างกรุงเทพฯ ก็ค้นกันจึงเปลี่ยนจากชาติไทยไปเป็นชาติจีน ซึ่งชื่อว่าจีน ก็เป็นขี้ข้าจีนซีฮ่องเต้อยู่แล้วจึงสมเกียรติยศขี้ข้าที่สุด
    และเสด็จในกรมพระองค์หนึ่ง ได้ตรัสเรียก"เสด็จเตี่ย"และ"จอมหม่าม้า"ในกาลไหว้พระป้ายเจ๊ก
    แต่คำชื่อว่า "ไทย" ที่เขียนกันนั้น มีตัว "ย"อยู่หลัง เช่น ไทย ที่อยู่ ณ เมืองจีน ยังออกเสียงตัว"ย"ด้วย คือ ไตหย่า
    ที่ลงไปอยู่ทะเลใต้ มีชื่อว่า ไดยัก
    ที่ไปอยู่ชมพูทวีป ชื่อว่า เทยฺย แขกออกเสียงว่า ไทยะ บ้าง ว่า ไตยะ บ้าง
    บางพวกออกเสียง ย. เป็น ยักข และ ยักไข่
    อันเป็นหลักฐาน "ไทย" จึงเป็นชื่อประจำมา กับทั้งได้เป็นชื่อไไชาติไทย"มานานแล้ว และได้เป็นชื่อ"ประเทศไทย"มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๔(ตามที่ประกาศตั้งชื่อ แต่เป็นชื่อ"ไทย"มานานนักหนาแล้ว)

    อีกส่วนหนึ่งคือ ลายสือไทย และ ลายไทย ซึ่งเป็นชื่อสิ่งที่ไทยทำ และตั้งชื่อไทย ใช้เรียกชื่อและรู้จักกันมา
    เฉพาะลายสือไทย ได้ปรากฏชื่อในจารึกหลัก๑ ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงอ้างเรียกชื่อไว้แล้วตั้งแต่ พ.ศ.๑๘๒๖
    แต่ไทยต่อมาไม่ยอมใช้ จึงเท่ากับเลิกใช้ไปโดยธรรมดา
    ที่ทรงใช้ว่า ลายสือไทย-อาจหมายถึง ทั้ง ตัวเมือง ตัวบ้าน หรือ ตัวสือ กับ ไม้ คือ พยัญชนะและสระ
    ในจารึกวัดพระยืน เรียกว่า พระเสลาจารึก สมัยกรุงศรีอยุธยา พระโหราธิบดี ได้แต่งหนังสือ "จินดามณี" ได้ใช้ว่า"อักษร" และ"สาร" ซึ่งเป็นชื่อทั้งสระและพยัญชนะ
    จากนั้น ไม่เห็นชื่อว่า ลายสือไทย"
    แต่ได้พบชื่อไทยขึ้นอีกชื่อหนึ่ง คือ หนังสือ หรือ ตัวหนังสือ และ ตัวเลข
    คำชื่อว่า หนังสือ และ หนังสือไทย นี้ ไม่รู้ว่ามีขึ้นเมื่อไร
    ครั้นได้พบ ตัวรูปหล่อด้วยโลหะ ในหนังสือAncient Indonesian Art อันเป็นโบราณวัตถุ ณ อินโดนีเซีย ซึ่งทำโดย Dr. AJ.BERNET KEMPERS ได้กล่าวว่าก่อนสมัยฮินดู ก็คงก่อน พ.ศ.๑๐๐๐
    a.2535943.jpg
    ซึ่งช่างสมัยนั้นได้หล่อเป็นรูปคน และทำรูปตัวหนังสือไว้บนหัว เข้าใจว่า เดิมคงเอาหนังแกะสลักเป็นตัวหนัง และ แกะเป็นตัวหนังสือไว้บนหัว จึงเอาเชิดสอน
    แต่ตัวหนังนั้นๆคงผุพังไปหมด ที่เอาโลหะหล่อเป็นรูปไว้นี้ได้คงทนมาให้พบเห็นจึงทราบได้
    จากนั้นมา ชื่อว่า ลายสือไทย จึงเป็น หนังสือไทย หรือ ตัวหนังสือไทย
    ที่ใช้ชื่อว่า อักษร ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุึธยา

    ส่วนที่ยกไปให้อินเดียใต้นั้น พ.ศ.๒๔๑๓ หมอสมิธ ได้พิมพ์คำโคลงยกให้ไว้ว่า-อักษรไทยอย่างนี้ เดิมพราหมณ์ฯลฯ
    พ.ศ. ๒๔๖๗-๒๔๗๒ โปรเฟรซเซอร ยอรช เซเดซ ว่า คล้ายอักษรอินเดียใต้
    ครั้นมีการแต่งตำนานประวัติจารึก และหนังสือไทย ได้ใช้ชื่อว่า อักษรไทย,ภาษาไทย
    พ.ศ.๒๕๐๔ ในข้อเขียนและเอกสารตีพิมพ์ จึงมีแต่คำชื่อว่า อักษรภาษา(ซึ่งเป็นคำสันสกฤต)จึงเป็นของอินเดียนอย่างที่จะเถียงไม่ได้เลย
    พร้อมกับเป็นศาสตรวิทยาอีกด้วย จึงเกิด เป็นอมต ไปแล้ว
    แต่ว่ายังมีคำชื่อไทยว่า "ตัวหนังสือไทย"เช่น "หนังสือพิมพ์"ซึ่งยังไม่ได้เปลี่ยนไป
    ถ้าเปลี่ยน คงจะต้องใช้ว่า"อักษรพิมพ์" หรือว่า "พิมพ์อักษร" แต่ก็ยังไม่ได้เปลี่ยน-จึงยังมีชื่อว่า"ตัวหนังสือ,หนังสือไทย"
    กับทั้ง- สระ ที่ยังไม่ได้เปลี่ยน ซึ่งยังมีชื่อว่า"ไม้"อย่างปัจจุบัน
    ทั้งหมด จึงยืนยันชื่อเดิมของไทย อันพออ้างได้ว่าเป็นของไทยมาแต่โบราณ
    และ แม้ว่า ลายไทย หรือ ลวดลายเส้นไทย อันเป็นลายสีมีลายทองคำเป็นแบบอยู่ด้วย ที่มีชื่อว่า จิตรกรรมฝาผนัง แต่ใช้เป็นอังกฤษว่า Mural Painting คำว่า เพนติ้งนี้ใครๆก็รู้ว่า เขียนสีหรือทาสี ไม่มีทองคำตามของฝรั่งทุกชาติ
    ลวดลายไทย มีทั้ง ลายสี และ ลายทองคำ ซึ่งใช้ทองคำละลายน้ำประสานเขียนเป็นลายทองคำได้ และเป็น ลายรดน้ำ เป็นลายปิดทองคำเปลว ฯลฯ
    ฉะนี้ ลวดลายจิตรกรรมฝาผนังไทย จึงเป็นพิเศษศิลปกว่า
    เมื่อมีชาวอื่น(ต่างประเทศ)มาชมจิตรกรรมไทย ได้บอกนักนิเทศก์ให้ใช้คำชื่อว่า ลายไทย หรือลวดลายไทย เขาไม่ยอมทุกคน อธิบายว่า กลัวว่าฝรั่งเขาฟังไม่รู้เรื่อง
    ได้บอกเขาไปว่า ทำไมไทยไปเรียนของเขาจึงรู้เรื่อง ไทยจะเอาของไทยให้เขารู้เรื่องบ้าง ถ้าไม่ได้ก็อย่าไปบอกพวกโง่ๆทั้งนี้เลย ฝรั่งผู้นั้นคงฟังคำไทยออกจึงยิ้มๆ
    และอย่างนี้ ยังมีอยู่หลายแห่ง เช่น มวยไทย เพลงไทย รำไทย ขนมไทย
    ซึ่งมีชื่อเป็นวิชาการตลอด เฉพาะคือ มวยไทย คนไทยไม่ยอมรับใช้ชื่อไทย ทั้งไม่ยอมรับว่าเป็นของไทย
    มีโฆษกผู้หนึ่งเล่าว่า เป็นของจีนลุ่มแม่น้ำฮวงโห ถ้าสังเกตแล้วจะเห็นมวยจีนกำหมัดยังไม่เป็น เขาแบมือตบกัน ใช้นิ้วแทงกัน กระโดดหกคะเมนไปมา กำหมัดต่อย เตะถีบ ศอก เข่า คาดเชือก ไม่เป็น
    เข้าใจว่าโฆษกผู้นั้นดูมวยไม่เป็น
    อีกผู้หนึ่ง จะเอาไปสอนญี่ปุ่นและฝรั่ง ได้บอกให้ใช้ชื่อ มวยไทย ก็ไม่ยอม บอกว่ากลัวว่าจะไม่รู้เรื่อง
    จึงตั้งชื่อว่า ไทบอกซิ่ง Thai Boxing บอกซิ่ง คือมวยฝรั่งมี๕ท่าต่อยคือ เขกซอย เหวี่ยงขวา-ซ้าย จ้วงต่อยขวา-ซ้าย เสยขวา-ซ้าย พุ่ง และใช้นวม
    เตะ ถีบ ศอก เข่า ไม่เป็น
    ที่ไม่ยอมใช้ชื่อคำไทยในความหมายของไทย ตัวเขาบอกแล้วว่า กลัว
    จึงแจ้งว่า ทำไมญี่ปุ่นใช้ชื่อของเขาให้ไทยรู้ได้ เช่น ซูเมอ ยิวยิดสู คาราเต ฯลฯ เขาก็ไม่ยอมใช้ชื่อไทย เมื่อเป็นเช่นนี้ ญี่ปุ่นเขาก็รวบเอาว่า มวยไทยนี้ได้มาจากญี่ปุ่นเดิมเป็นของญี่ปุ่น ไทยผู้นั้นไม่ได้เถียงเขาเลย เป็นอันว่า ยกให้เขาไปแล้ว
    อีกอย่างหนึ่งคือ ขนมไทย ที่เขาออกข่าวให้เห็นและบรรยายว่า นำไปทำที่คานาดาและสหรัฐ ก็คือ ขนมหม้อแกง ขนมเรไร ฯลฯ แต่เขาใช้ชื่อว่า ขนมเอเชีย
    ขนมฝรั่งที่ไทยไปเรียนมาทำ เช่น ขนมปัง พาย เค้ก ฯลฯ ไทยทำไมจึงรู้ได้
    ส่วนของไทยแม้เพียงจะแจ้งชื่อ ต่างก็ขี้ขลาดถึงกับกลัวไปทั้งหมด จึงไม่ยอมใช้ ชื่อคำไทยไทย และ ของไทย จะค่อยหายไปอย่างนี้

    ก็เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๒ มกรา ๒๓ มีบัณฑิตมาหา๓ท่าน ครั้นทราบแล้วปรากฏว่าเป็น๓ท่านเป็น๓ชาติ
    ท่านหนึ่งเป็นอินเดียน มีความรู้ชำนาญทั้งไทย อังกฤษ อินเดียน
    อีกท่านหนึ่งเป็น เขมเรียน หรือ เขมระ ชำนาญทั้ง ไทย อังกษฤ ฝรั่งเศษ
    ท่านที่๓เป็นฝรั่งเศษชำนาญไทยน้อย พอพูดได้บ้าง อังกฤษชำนาญมาก ส่วนภาษาฝรั่งเศษนั้นเป็นภาษาชาติอยู่แล้ว
    เล่าว่า มาเป็นผู้เล่าเรื่องไทย ณ กรม ฯลฯ ต้องการค้นหา-เรื่องไทย ไปทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก-ดร.
    ท่านทั้งนี้ได้ทราบและอ่าน พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณฯ กับได้รู้เรื่องลายจารึก ลายสือไทย บ้างแล้ว
    เมื่อคุยกันพอสมควรแล้ว ก็เริ่มถามถึง-เรื่องไทย ร่าง(รูป)ไทย ต้นไทย ระบบไทย แบบไทย ฯลฯ
    ได้เริ่มตั้งแต่ ขุนสรวง นางสาง .. ขุนอิน นางกวัก ... ขุนสือไทย-ไทยงาม ขุนเลกไทย-งามตน ... ขุนต้นแรก-แม่โพสบ ... เจ้าพ่อพระร่วง-จ้าวแม่เบิกไพร พระร่วงเมืองไทย-จ้าวแม่ย่าซื้อนาง ... จ้าวพ่อพระอินร่วงไทย-จ้าวแม่ทับทิม ฯลฯ และท่านต้นต่อๆมาได้แสดงรูปปรากฏเล่าให้ทราบว่า ท่านต้นเหล่านี้ทำอะไรไว้ คนไทยก็ยกขึ้นเป็นต้นคน เมื่อตายไปก็ยกท่านต้นเหล่านี้ขึ้นเป็นต้นผี เช่น
    พ่อขุนสือไทย คิดสร้างลายสือไทย ก็ขึ้นเป็น ต้นบา คือ ครูบาอาจารย์ ตายไปก็ขึ้นเป็น ต้นผีบา
    เมื่อจะเรียนหนังสือ จึงมีระบบ ไหว้ครู กันมา
    ระบบนี้จึงเป็นแบบไทยตลอดไป เพราะ มีไทยชาติเดียวที่ทำกันมา
    เมื่อเล่าจบตอน ท่านบัณฑิตอินเดียน ก็เล่าเป็นภาษาอังกฤษที่ปลื้มใจมากก็คือท่านระบุชื่อคำไทย เช่น ขุนสรวง นางสาง ฯลฯ ลายสือไทย ขุนสือไทย คุณหญิงไทยงาม
    แม้ลายสือไทย เช่น ตัวกอ ในชื่อไทยว่า กอไผ่ คอ ว่าชื่อ คอ ฯลฯ
    ได้หยิบรูปขุนสรวงนางสางเป็นรูปเปลือยและทำมือตีนเป็นแผ่น และรูปท่านต้นอื่นๆ ก็ได้ชี้ให้ดูทั้งได้อธิบายให้ฟังถึงสิ่งที่ได้กระทำไว้แล้วได้สร้างรูปเป็นที่เคารพบูชา ซึงไทยว่า บำบวง บวงสรวง
    ซึ่งต่างได้ยอมรับว่ารู้จักไทยแท้จริงขึ้น และเรื่องอย่างนี้ไม่เคยฟัง ทั้งรูปเคารพอนุสาวรีย์ทั้งนี้ก็ไม่เคยเห็น เสียดายว่าต้องกลับไปตามกำหนด จะมาอีกในเดือนพฤษภาคม จะมาขอถ่ายรูปเพื่อไปทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก จะมาทำเรื่องไทย ลายสือไทย และคนชาติไทย ฯลฯ
    จึงมีความเห็นว่า
    ฝรั่งเขามาศึกษาค้นคว้าไทย-ไทยก็เอาที่ฝรั่งเขียนไว้เล่าให้ฝรั่งฟัง ความจริงเขารู้แล้ว กลับไปเรียนที่เขาดีกว่า จึงเที่ยวไปหาตามวัดบ้าง ตามสนามพระบ้าง ตามตลาดขายพระบ้าง พอพบเห็น-ก็เก็บเอาไปเป็นหลักฐาน เช่นนี้ เขาจึงไม่เชื่อศาสตราจารย์อาจารย์นิเทศก์ไทย จึงมาหาและอยากได้ฟังไทย-พูดไทยและเรื่องไทย
    แม้ท่านบัณฑิตอินเดียนยังใช้ชื่อและคำไทย เพื่อรู้เรื่องไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชื่นชมยินดีและถือว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดที่ยกย่องทุกๆอย่างซึ่งเป็นไทย
    เท่าที่เล่ามานั้นก็เป็นเรื่องที่ไทยมีดี และของไทยมีประจำไทยมาทุกประการก็ไม่รู้ว่า สิ่งที่เป็นไทยนั้นๆยังมีอะไรอีกซึ่งเป็นที่อัปยศอดสู เป็นที่อับอายขายหน้า ถึงกับเป็นที่เคียดขึ้งผูกพยาบาทคาดโทษทัณฑ์ถึงจองล้างจองผลาญต้นไทยและต่อของไทย
    ซึ่งนักรู้ไทยทั้งหลายได้กระทำมาตลอด-ไม่ยอมให้ต้นไทย และของไทยเป็นไทย และสิ่งที่ไทยกระทำไว้-เป็นของไทย
    ได้รุนไทยเข้าไป ซุกแขก-แซกจีน จึงมีชื่อว่าไทยได้
    กับทั้งต้องไปอาศัยจึงทำสิ่งของไทยได้ เช่น ต้องอาศัยสิวลิงคกับอุมาลิงคจึงมีลูกได้
    แม้ตึก-ปราสาท ซึ่งก่อสร้างด้วยอิฐ ปูน ทราย หิน กับ สอ น้ำเชื่อมประสาน ก็ต้องอาศัยแขกจึงรู้จักหิน เผาปูน ต้องอาศัยจีน-จึงเผาอิฐ-เผาปูนเป็น
    ส่วนที่ใช้แลงเป็นอิฐ ที่แขกและจีนไม่มี-ทำไม่เป็น จึงว่าเป็นของขอม คือ ขะแม ฯลฯ
    ที่บิดเบือนไปอย่างนี้ ไทยและของไทย-จึงไม่มีอะไรเป็นไทยแท้สักอย่าง
    แม้เรื่องไทย อันเป็นชาติไทย ศาสนาไทย กษัตริย์ไทย และสิ่งของที่เป็นไทยแท้ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเขียนให้เป็นประวัติเป็นเอกสาร ทั้งคนที่ทำและหลักฐานที่อ้างก็ไม่ใช่คนไทย กับไม่ใช่สิ่งของไทย ได้ไปลอกเอาที่ทำไว้เกือบจะทุกอย่าง
    เช่นนี้ ผู้รู้ที่ขึ้นไปเป็นคณะกรรมการกระทำ ครั้นเห็นรายชื่อและสืบดูแล้วจะเห็นว่าไม่ใช่ไทย-จึงไม่เป็นไทยกับไม่ได้เรียนรู้เรื่องไทย จึงสร้างเรื่องขึ้นชนิดที่ไม่ใช่ไทยมีแต่ผู้อื่นทำให้ทั้งนั้น
    แม้เรื่องไทยอันเป็นชาติไทย ศาสนาไทย กษัตริย์ไทย และสิ่งของที่เป็นไทยแท้ๆซึ่งเป็นสิ่งที่คนเขียนให้เป็นประวัติเป็นเอกสาร ทั้งคนที่ทำและหลักฐานที่อ้างก็ไม่ใช่คนไทย กับไม่ใช่สิ่งของไทยได้ไปลอกเอาที่ทำไว้เกือบจะทุกอย่าง เช่นนี้ ผู้รู้ที่ขึ้นไปเป็นคณะกรรมการกระทำ ครั้นเห็นรายชื่อและสืบดูแล้วจะเห็นว่าไม่ใช่ไทย-จึงไม่เป็นไทยกับไม่ได้ เรียนรู้เรื่องไทย จึงสร้างเรื่องขึ้นชนิดที่ไม่ใช่ไทย มีแต่ผู้อื่นทำให้ทั้งนั้น พ.ศ.๒๕๑๘ ณงค์ บุญญเกต ไปอยู่นิวยอร์คได้สถาปัตยกรรมศาสตร์ ได้เข้าสมาคมสถาปัตยกรรมโลก ได้กลับมาไทย ได้มาขอเรื่องไทยพร้อมกับเล่าว่า มหาวิทยาลัยส่งให้มาหา เรื่องไทยที่แท้ ไม่ใช่ที่นักประวัติศาสตร์เขียนไว้ เพราะเหตุว่าพวก ศาสตราจารย์ อาจารย์ และนักประวัติศาสตร์ ได้ลอกและเขียน โกหกไว้ตลอด จึงต้องส่งนักศึกษาค้นคว้ามาหาของที่เป็นไทยจริงๆ แม้ก่อนหน้านี้ประมาณปี ๒๕๐๖-๗ ก็มีคณะศาสตราจารย์ ครูอาจารย์ อเมริกาใต้ ได้ส่งหนังสือมาขอเรื่องไทย โดยกล่าวว่า จะค้นคว้าเรื่องไทยใหม่ ทั้งนี้ เป็นหลักฐานอยู่แล้ว

    ไทย ยังมีสิ่งที่ยืนยันเป็นไทยอยู่อีก คือ คำไทย หรือ ภาษาไทย และลายสือไทยหรือหนังสือไทย
    สำหรับคำไทยนั้น มีหลักยืนยันอยู่ก็คือ
    ระเบียบเรียงคำ เช่น เรียงคำนามไว้หน้า เรียงคำคุรไว้หลัง
    เช่น สีเหลือง คำชาติอื่นว่า เหลืองสี จะเห็นเขาเรียงคำคุณไว้หน้า คำนามไว้หลัง
    แม้เรียงคำถาม ไทยเรียงคำถามไว้หลัง คำชาติอื่นเขาเรียงคำถามไว้หน้า หรือขึ้นคำถามก่อน
    ไทยว่า ไปไหน , ทำอะไร
    คำชาติอื่นว่า ที่่ไหนไป , อะไรทำ , อะไรเป็น
    คำไทยว่า สีเหลือง ทำอะไร ไปไหน
    มคธ ว่า ปิตํ วัณฺณํ (ปิตะ-เหลือง , วณฺณ-สี) เหลืองสี
    อังกฤษว่า เยลโล คัลเลอร์ เหลืองสี

    อีกทำนองหนึ่งคือ
    คำเท่ากัน ต่างแต่เป็น สูง-ต่ำ สั้น-ยาว กล้ำประสม ซึ่งมีความหมายรู้ในคำต่างกันทุกเสียง
    เช่น เสือ เสื่อ เสื้อ
    หลอ หล่อ ลอ ล่อ ล้อ
    ไช ชัย ชาย
    เอ็น เอน
    และ แล
    ใคร ใคร่ ไคร้
    ไส้ , เดือน ,เป็นไส้เดือน
    โพ , ทะเล ,เป็น โพทะเล
    ที่เป็นเสียงเดียวกันแต่ต่างความหมายก็คือ
    ซอง ซ่อง ซ้อง สอง ส่อง ส้อง(สร้อง)
    ผัน พัน
    ฝัน ฟัน
    เห เฮ
    จะเห็นและรู้ความหมายต่างกันเช่นนี้
    ที่ฝรั่งเขาคำนวณคำไทยชนิดไม่รู้คำไทย ได้คำนวณคำไทยแท้ไว้ว่ามีเพียง ๑๕๐คำเท่านั้น โดยเขาคิดคำนวณตามตัวหนังสือ และสระเรียงบ่งนั้นได้เพียง ๑๕๐คำ
    จึงไม่ได้คำนวณ เสียงสั้น-ยาว สูง-ต่ำ ฯลฯ
    จึงเห็นได้ชัดว่าไม่รู้ แต่ก็ได้บอกให้ว่ารู้ โกหกไว้นานมาแล้ว

    สำหรับ สือไทย หรือ หนังสือไทย ยิ่งยืนยันหลักฐานว่า ของไทยเด่นชัดทุกตัว และทุกกระบวนความ เช่น
    รูป และ ชื่อ กับทั้ง ความหมาย พร้อมกับ ทำนองใช้ได้เต็มคำไทย กระทั่งเกินคือเหลือใช้
    เช่น
    a.2535954.jpg
    ตัวกอ ก็เอาเสียงและความหมายว่า กอ ขึ้นเป็นลายเส้นรูป กอ จากชื่อ กอไผ่

    a.2535955.jpg
    ข. ก็เอาจากคำกล่าวชื่อ ขอชัก ขอเกี่ยว
    ฯลฯ

    (ดูตัวอักษรทั้งหมด)https://palungjit.org/threads/ประวัติชาติไทยตั้งแต่ต้นกัป-พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ-พิมพ์เป็นตัวอักษร.356194/page-5#post-6605096

    เอาขึ้นเป็นตัวตั้งเรียกชื่อว่า ตัวเมือง อย่างเดียวเป็นเสียงเดียว ซึ่งไม่พอ คำไทยจึงคิดสร้างลายตัวให้ผิดจากตัวตั้งนั้น-สร้างขึ้นเป็นพิเศษ
    เช่น
    ะ า ิ ี ุ ู ฯลฯ เข้าเรียงทั้งหน้า-หลัง บน-ล่าง
    เช่น
    ก. ใส่ ะ ก็เป็น กะ
    จึงเรียกลายตัวนี้ว่า ตัวบ้าน
    และเรียกชื่อว่า ไม้
    และใช้ ไม้ เหล่านี้ประกอบควบเข้าทำให้มีเสียงกล่าวความหมายต่างกัน เป็นเสียงสูง-ต่ำ สั้น-ยาว เบา-หนัก กด-ก้อง
    เช่น กอ,ก่อ,ก้อ
    และ แล
    เอ็น เอน
    ซอง สอง
    ขวัญ
    ฝัน ฟัน
    หนอง หน่อง นอง น่อง น้อง
    เห-มา เฮ-มา

    ขอ-เสียงเบา ถ้าหนักก็ใส่ ขยัก เพื่อให้หนัก จึงเป็น ฃ
    เช่น
    ไทยว่า กินข้าว เสียงธรรมดา
    ไทยเฉียง ออกเสียงหนักว่า กินฃ่าว

    ได้เรียก ตัวสะกด ที่เป็นแม่ต่างๆ เช่น แม่กง-ก็เรียก ไม้ก๋ง เป็นต้น

    ไทยจึงมีลายสือไทยครบเสียงคำกล่าวคำไทย
    คำไทย และ ลายสือไทย จึงเป็นหลักฐานไทย และของไทยครบทุกประการ


    ...........ด้วยประการฉะนี้ เมื่อได้พบไทยและของไทยอันเป็นหลักฐานยืนยันได้ จึงพยายามรวบรวมไว้ ได้ทำเป็นหลักฐานทั้งเรื่องไทยและสิ่งมีของไทย ระบบแบบไทย ซึ่งทุกสิ่งจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ จึงได้จัดพิมพ์เผยไทยออก ซึ่งทุกท่านที่ได้รับไปได้ใช้เป็นหลักฐานสอน อ้างถึง แสดงจุดประสงค์ได้ ในครั้งนี้ จึงเพิ่มคำบรรยายท่านต้นได้ทำอะไรไว้แล้ว ได้ขึ้นเป็นต้นพิธีหรือครูบา เช่น ขุนอินเขาเขียว เป็นต้นปกครองป้องกัน แม่นางกวัก เป็นต้นเงินทองลาภผล จึงมีการเรียกให้ช่วย ฯลฯ ขุนโลลาย เป็นต้นสร้างเรือน จึงมีเล่นเครื่องสาย นางโห่มาดี เป็นต้นแม่เรือน เวลายกเสาและเคลื่อนขบวน จึงมีการโห่-แห่ กับทั้งได้ใส่ลายสือต่างๆ ทั้งได้พบลายสือไทย ณ เมืองจีน จึงได้เพิ่มเข้าเป็นหลักฐาน ได้เพิมเงินที่พบใหม่ได้ครบมาตราที่ทำเนียบไทยได้ระบุไว้ กับทั้งได้เพิ่มพระราชพงศาวดารกรุงสุโขทัย ซึ่งแต่ละล้วนเป็นหลักฐานได้ เพื่อรู้ไทยได้สะดวกดีตลอด..............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0227.jpg
      scan0227.jpg
      ขนาดไฟล์:
      226.8 KB
      เปิดดู:
      9,063
    • scan0028.jpg
      scan0028.jpg
      ขนาดไฟล์:
      101 KB
      เปิดดู:
      7,977
    • scan0029.jpg
      scan0029.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.8 KB
      เปิดดู:
      8,186
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2019
  7. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    บางส่วนของ คำนำพิมพ์ครั้งที่๔ หน้า(๔๓)

    ..................ขอแจ้งในที่นี้ว่า หนังสือนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ (ถ้าพิมพ์จำหน่ายทั้งหมดก็สงวนถ้าเป็นการอ้างหลักฐาน คัดลอกไปก็ได้ ไม่สงวน)ถึงจะหวงหรือจะสงวนลิขสิทธิ์ก็คงไม่ได้ เพราะของไทยนี้เป็นของไทยทุกคนจะเห็นเหมือนพระเจ้าแผ่นดินตลอดกาลมา ท่านไม่ได้หวงใครเลยพร้อมกับทำไว้ให้ลูกหลาน หรือเป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานเท่าที่ทำนี้ก็เพื่อได้เป็นหลักฐานไทยต่างคนต่างเป็นไทยด้วยกันขอได้ร่วมกันยกย่องไทย ใช้ของไทยจรรโลงไทยให้ไทยคงเป็นไทยอยู่ตลอดกาลอย่าให้คนรุ่นหลังกล่าวประนามได้ว่า-รุ่นนี้ไม่มีใครรักษาของไทยไว้เลย...................

    จากหนังสือ วัด-เมือง พริบพลี เพชรบุรี

    สถานะประวัติไทย ที่ได้พยายามสร้างขึ้นในท่ามกลางของความไม่มีที่ประจักษ์ชัดเจน ชื่อ ทวาราวดี ซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน มีเมื่อไร ของใคร และอะไร เท่าทีปรากฎหลักฐานก็คือ กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา ก็แค่สมัยอยุธยา เท่านั้น แต่ก็พยายาจะทำให้มีขึ้นกระทั้งเป็นที่ออกอ้างของผู้ที่ไม่รู้ว่าจะเอาอะไร และได้เป็นมาแล้ว พร้อมกับเห็นว่าความที่ไทยไม่มีอะไรเลยนั้น เป็นของมีเกียรติอันสูงส่ง ครั้งเจอของจริงเท่าที่มีอยู่แล้ว อย่างเพียงพอที่จะยอมฉลาดได้พยายามทำให้หายไป และทำของเทียมขึ้นเพื่อลบล้างของเดิม จึงสร้างสถานะการณ์ขึ้นแล้วหลอกด้วยคำเพราะ ๆ ซึ่งลื่น ๆ เหมือนฟองสบู่ที่ฟอกแล้วก็ล้างให้ไปอยู่ในความสกปรกว่าเพื่อความสมบูรณ์ เพื่อเกียรติของ แต่แล้วก็นำสิ่งนั้น ๆ ที่พอจะเป็นหลักฐานได้ไปทำลายหรือขายเพื่อความสมบุรณ์ และเกียรติอันสกปรกนั้น"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  8. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    a.2217575.jpg

    สมเด็จพระสังฆราช(ปุ่น) ประทับ ณ วชิระปราสาท ในขณะนี้ พระธรรมวงศ์เวที(อ่ำ)กำลังอ่านตัวลายสือไทยในกเบื้องจาร ในหนังสือที่ระลึกเสด็จเปิดฯลฯ หน้า ๒๔-๒๕ ได้ชี้ เดือน... และ สุวัณณภูมิ หน้า ๓๔-๓๕ กำลังชี้ แฉลล (เจลล) และต่อไป ศรีวิไชยสุวัณณภูมิ ต่อหน้าท่านพระครูพิศิษฐ์ศิลปาคม เจ้าอาวาสวัดเพชรพลี และในกาลเสด็จคราวนี้ได้จัดพระที่ประทับเสวยพระอาหารบิณฑบาตเพลในพระอุโบสถ เมื่อเสด็จทอดพระเนตร์ตลอดแล้ว ทรงพอพระทัยจะประทับเสวย ณ ปราสาท จึงได้ตั้งที่ประทับนี้ เมื่อทูลถวายบรรยายและอ่านทูลถวายแล้ว ได้ตรัสพระดำรัส พระดำรัส สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริ) วัดพระเชตุพนฯ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด วชิระปราสาท พิพิธภัณฑ์วัดเพชรพลี หลังจากพระองค์ทรงประกอบพิธีกรรมเปิดพิพิธภัณฑ์แล้ว ได้เสด็จดำเนินทรงชมโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ พระองค์ตรัสพระดำรัสไว้ตอนหนึ่ง

    ลายสือไทยมีอยู่แล้วแต่โบราณกาลนับพันปี ผู้อ่านไม่ออกไม่ใช่ความผิดของหนังสือ เมื่อมีผู้อ่านออก พวกเราควรรับฟัง ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย และสำนึกรู้ในเหตุผล วัตถุสถานที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเรา และของพระพุทธศาสนาในแดนสุวัณณภูมิเด่นชัดขึ้นอีก เราเห็นที่นี่แล้วรู้สึกว่า อู่ทอง สุพรรณ กาญจนบุรี ด้อยลงไปมาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0025.jpg
      scan0025.jpg
      ขนาดไฟล์:
      662.7 KB
      เปิดดู:
      8,053
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  9. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    เรื่องย่อ

    ต้นตระกูลของคนไทย คือ ขุนสรวง และนางสาง
    ได้มีลูกหลานเหลนโหลน สืบมา จวบจนสมัยพุทธันดรที่๑

    ในกาลนั้น ชมพูทวีป มีชื่อว่า โสฬสนคร (16
    นคร) ทางแหลมทอง มีชื่อว่า สุวรรณทวีป คือ เมืองทอง
    โสฬสนคร มีพระบรมโพธิสัตว์ พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ
    ทรงมีพระบรมเดชานุภาพ ตลอด 4 ทวีปคือ


    1. ชมพูทวีป คือ ทวีปเอเซียและยุโรป
    2. กาฬทวีป คือ ทวีปดำ คนอัฟริกา
    3. กัทมทวีป คือ ทวีปเทา คนออสเตรเลียชาวพื้นเมือง
    4. ปภัสสรทวีป ทวีปแสงแดด
    คือ อเมริกา และทวีปน้อย อีก 2,000 เป็นบริวาร

    ต่อมาสมัยพุทธันดรที่๒ พระพุทธโกนาคม ขุนแถนเทียนฟ้า และนางสีทองมา ครองเมืองแถน( ลว้า) เป็นที่มาของคำว่า พระเคราะห์ กำเนิดพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง หรือพระเทวาธิราช


    พุทธันดรที่๓ พระพุทธกัสสป ขุนแผนเมืองฟ้า และนางดวงขวัญใจ ครองเมืองแผน(ลวไทย) เป็นที่มาของคำว่า แรกนาขวัญ มีแม่โพสพ เป็นจ้าวแม่ข้าว เกิดขุนต้น-แรก
    นา และขวัญข้าว-แม่โพสพ กระทำทั้งพิธีบูชา และพิธีสังเวย จนถึงสมัย ขุนอินเขาเขียว และนางกวักทองมาจึงเปลี่ยนชื่อเมืองแผน เป็นเมืองแมน เริ่มปีอิน๑ (ประมาณ๘พันปีที่แล้ว)จนถึงสมัย ขุนสือไทยฟ้า และนางไทยงาม ได้คิดลายสือไทย ประดิษฐ์อักษรจากลายผ้าที่นางไทยงามทอ(๖,๘๐๐กว่าปีที่แล้ว)ส่วนลูกชายคือ ขุนเลกไทย กับนางงามตน ประดิษฐ์ตัวเลขไทยลูกชายอีกคนคือ ขุนขอมไทยฟ้า เป็นต้นคิดลายสือขอม ตัวเลขไทย และกฎหมายต่างๆ

    จนถึงสมัย ขุนโลลาย และขุนหญิงโห่มาดีสร้างคุ้มทองขึ้น ตั้งชื่อเป็น "เมืองทอง" จึงหมด ปีอิน เป็นปีโล๑ (สามพันกว่าปีที่แล้ว)

    จนถึงสมัยพุทธันดรที่๔ นี้
    เมื่อปีโล ๑๑๑๐ (ก่อน พ.ศ.๘๐ปี)

    เมื่อขุนไทยทราบว่า มีพระรัตนตรัย
    เกิดขึ้นแล้ว จึงออกเดินทางโดยทาง
    เรือ เพื่อไปรับพระรัตนตรัยเป็นสรณะ พระเจ้าพิมพิสารพา
    เข้าเฝ้าพระพุทธโคดม พระพุทธองค์ทรงประทานนามให้
    ว่า "ขุนทับไทยทอง" เป็นจ้าวผู้ครองถิ่นแดนไท "สุวัณ
    ณภูมิ" เป็นชื่อเมืองทอง คนไทย เมื่อปีโล 1169 ปี พุทธ
    พัสสาที่ 24 (ก่อน พ.ศ. 20 ปี)
    และได้กิ่งมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม มาปลูกในแผ่นดินสุวัณณภูมิ เมื่อวันขึ้น
    ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ (ก่อน พ.ศ.๑๙ปี) (ที่บ้านโพธิ์งามปัจจุบันนี้)

    พระเจ้าทับไทยทอง จึงตั้งชื่อเมืองทองว่า สุวัณณภูมิสมัยนั้นได้มีพ่อค้าชาวไทย เดินทางไปค้าขาย ได้อุปสมบทโดยตรงกับพระพุทธเจ้า กลับมาได้เป็นพระอรหันต์ คือพระปุณณเถร ได้สลักพระพุทธรูป ที่พระพุทธองค์ทรงฉายไว้ที่ผนังถ้ำเขางู ราชบุรี

    จนถึงสมัยที่พระเจ้าอโศกมหาราช ครองเมืองปาตลีบุตร ทรงอุปถัมภ์สังคายนาประไตรปิฏกครั้งที่๓ เป็นสมัยที่ พระเจ้าโลกลว้า และพระนางก้านตาเทวี ครองเมืองสุวัณณภูมิ (พ.ศ.๒๔๐-๓๐๐) เป็นต้นรับพระพุทธศาสนาเถรวาทเข้าแผ่นดินสุวัณณภูมิ
    โดยพระเจ้าอโศกมหาราชส่งภิกขุ ๕ องค์
    นำโดยพระโสณ และพระอุตตร ให้มาเผยแพร่ศาสนาในสุวัณณภูมิ


    พระเจ้าโลกละว้า มีลูกชื่อ ตะวันทับฟ้า สืบแผ่นดินต่อมา
    ขุนไทยตะวันทับฟ้า และพระนางสิริงามตัว มีลูกชื่อ
    "เดือนเด่นฟ้า" ครองสุวัณณภูมิต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๖๔


    พระโสณกับพระอุตตร ให้ ตะวันทับฟ้า ผู้พ่อ กับ เดือน
    เด่นฟ้า ผู้ลูก จารเรื่องสุวัณณภูมินี้ไว้ในแผ่น กระเบื้อง เพื่อเป็นประวัติสืบภพชาติสืบไปภายภาคหน้า
    และว่า พ่อเดือนเด่นฟ้า จะกลับมาครองแผ่นดินอีกครั้ง ในสมัยแผ่นดินสุวัณณภูมิ
    ยุคกึ่งพุทธกาล พระพุทธศาสนาจะออกสู่เมืองคนขาว เมือง
    คนดำ ทั่วถึงเมืองคนมัว(เทา) พระพุทธศาสนาที่อยู่กับเมือง
    คนเหลืองจะเจริญทั่วโลก และแผ่นดินนี้จะรักษาพระพุทธศาสนาอยู่ได้ตลอดจนหมดพุทธกาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  10. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    โลก คือแผ่นดินทั้งโลกนี้ ตามคติพระพุทธศาสนากล่าวว่า ก่อนนั้น เดิมเป็นธรรมชาติ เกิดชัชฎากาศกลุ่มขาวเงินใหญ่มหึมากลางอากาศ ที่ฝรั่งเขาเรียกไว้ว่า เนบูลา เนิ่นนานนักหนา จึงเกิดเป็นดินโลกขึ้น มีพลังแรงธรรมชาติในตัวเอง หมุนเวียนซ้ายจึงกลม ...ตามพระพุทธพจน์ตรัสไว้ในอัคคัญญสูตร์ (ทีฆนิกายปาฎิกวัคค สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑/๘๗-๑๐๗)ขอเล่าย่อแบบนี้ว่า โลกนี้เดิมมีมาแล้วแตกสลายไป กลับมีขึ้นอีก มีจำนวนเป็นอสงขัย คือ นับไม่ได้จึงเกิดเป็นสังวัฏฏกัป คือว่างเปล่าไม่มีโลกเป็นชัชฎากาศนั้นเนิ่นนานมาจึงเป็นวิวัฏฏกัปคือเกิดเป็นโลกซ้ำเดิมอีก ว่าสังวัฏฏกัปกาลนั้น นานเท่าวิวัฏฏกัปกาลก่อนที่จะเป็นแผ่นดินตรัสว่า เอโกทกีภูตํ เป็นสิ่งมีน้ำอย่างเดียวเมื่อโลกกำลังเป็นอยู่ เนิ่นนานมานั้นมีพวกสัตว์อาภัสสรกาย(แปลว่า มีร่างกายซ่านสว่างทั่ว เป็นอาภัสสรเทพมหาพรหม)มโนมยา สำเร็จทางใจ ปีติภกฺขา มีปีติเป็นอาหาร สยํปภา มีแสงสว่างเป็นของตนเองอนฺตลิกฺขจรา ท่องเที่ยวไปในพื้นว่างเปล่าได้สุภฏฺฐายิโน มีฐานะอันดีท่องเที่ยวมาเสมอ ในสมัยที่ยังมืดทึบมิดดำไม่มีจันทร์ อาทิตย์ ดาว ไม่มีคืนวัน ฯลฯเนิ่นนานนักหนา ง้วนดิน รสปฐวีมีขึ้นเสมอพื้นน้ำ เป็นพื้นฝาตลอด มีสีขาวเหมือนนมเย็น มีกลิ่นหอม มีรสอร่อย
    พวกนั้น ผู้หนึ่งเอานิ้วจิ้มลิ้มรสติดใจแล้ว ผู้อื่นก็ตามอย่างมากๆเข้า สยัมปภาแสงประจำตนก็หายไปหมดจึงมีกลางคืนกลางวัน ฯลฯพวกเหล่านั้นสิ้นสยัมปภาแล้ว ก็กลายเป็นมนุษย์พันธุ์ มีผิวพรรณต่างกัน มีคำพูดกันขึ้นรสปฐวีหายไปเกิดกะเฒาะพื้นดินสูงขึ้นเหมือนร่มงู (ภูมิปปฺปฏิโก อหิฉตฺตโก)นานมาก็หายไป เกิดเครือเถาดอกเหมือนหนามแดง (ปทาลตา กลมฺพุกา)และเกิด สาลีไม่แข็งเป็นท่อนสุกเอง ไม่หัก ไม่หยาบ ขาวสะอาด มีกลิ่นดี มีผลเป็นข้าวสาร(อกฏฺฐปาโก สาลิ ปาตุรโหสิ อกโณ อถุโส สุทฺโธ สุคนฺโธ ตณฺฑุลปฺผโล)ตั้งแต่กาลนานนักหนานั้น มีมนุษย์ขึ้นแล้วพืชพันธุ์ต่างๆก็เกิดมา สัตว์อื่นๆก็เกิดมีขึ้นตลอด ตอนนี้ พวกอาภัสสรที่หมดแสงประจำตัวแล้ว ก็เที่ยวไปไม่ได้ เกิดมนุษย์ชาติขึ้นแล้วตอนที่ปรากฎข้าวสาลีนี้ พวกมนุษย์เหล่านั้นก็วิวัฒนาการมากขึ้นก็ปรากฎเพศหญิง เพศชายขึ้น ต่างก็เพ่งมองกันมากๆเข้าก็เกิดรักใคร่เร่าร้อนในร่างกายขึ้น (สาราโค อุทปาทิ ปริฬาโห กายสฺมึ โอกฺกมิ)จึงเสพเมถุนธรรมกันแล้ว (เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิเสวึสุ)พวกอื่นต่างตำหนิติเตียนไล่ขว้างปา พวกรักกันจึงคิดทำเพื่อปกปิดการนั้นจึงสร้างบ้านเรือน อาคาร จึงเป็น คาม นิคม ชนบท สืบพันธุ์ ลูก หลาน เหลน กันมา

    ที่ย่อมานั้น เป็นพระพุทธพจน์ ตรัสเล่าแก่ วาเสฏฐพราหมณ์ และภารัทวาชพราหมณ์อาภัสสรกาย ที่ตรัส ระบุในสูตรนี้ หรือ ผีฟ้าแสงที่มาเกิดไทยเรียกว่า ดาวตกหรือผีพุ่งใต้ ถือว่า วิญญาณมาเกิดในโองการแช่งน้ำมีว่าจาวชิมดิน แสงหล่น


    a.2274556.jpg
    หินแก้ว
    ท่านเอม มาชิดะ ว่า หินแก้วใสกระจ่างชนิดนี้มีอยู่ในไทยแห่งเดียวในโลก
    เป็นหินแก้วเกิดจากน้ำแข็ง ฝรั่งเรียกว่า Calcium Fluospar แปลว่า ธาตุขี้เถ้าน้ำ
    ตำนานเล่าว่า เมื่อโลกเย็น บางแห่งเย็นกระทั่งน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง โดยเฉพาะที่เอเชีย และแหลมไทย น้ำแม้ในทะเลหลวงกลายเป็นน้ำแข็งหมด และกาลนานมา มีแคลเซียมประสมอัดตัวกันเข้ากระทั่งกลายเป็นหิน ที่เป็นสีขาวมอๆทึบแสง เรียกหิน สปารฺ (Spar)ดูเนื้อคล้ายหินมีดโกน เป็นหินสบู่ และหินอ่อน จัดขึ้นไปเป็นหินนม และอัดถึงขนาดจะเป็นหินเขี้ยวแก้ว เมื่อถูดอัดขนาด ๑,๕๐๐ และกระทบความร้อนขนาด ๓,๐๐๐องศา ฟ.จะเป็นแก้วกระพริบ หรือ พริบ เป็นหินเพชร
    ที่ยังไม่ถึง จึงเป็นพลีกระจ่างแสง แต่เปราะ มีอายุ ๑พัน ๒พันล้านปี ไม่แน่นัก เพราะตำราหลายเล่มไม่เหมือนกัน


    หินแก้วสีต่างๆ ที่นำมาทำลูกปัดใช้กันมา พูดถึงหินก็มีอายุเท่าๆกัน เมื่อมาเป็นลูกกำปัด หรือลูกปัด ว่ามีอายุสมัยหินใหม่ ประมาณ ๕หมื่นปี และเป็นสิ่งมีขึ้นด้วยคนทำ อันแสดงว่ามีคนอยู่แล้ว โดยเฉพาะก็มีในดินแดนไทย มีคนไทยอยู่ จึงแน่ใจว่าคนไทยในสมัยนั้นได้ทำไว้

    a.2274557.jpg

    ขวานหินจับ พบในแม่น้ำพาชี นาขุนแสน ราชบุรี
    ทั้งสองนี้อันเดียวกัน ถ่ายดูรอยเนื้อเป็นชนิดเดียวกันกับก้อนกรวด และรอยนั้นเป็นรอยเป็นเอง
    อายุกรวด ๔พัน๖ร้อยล้านปี
    บนรอยซ้าย เอาหัวแม่มือขวาจับในรอย นิ้วมือทั้ง๔จะคร่อม ข้ามเข้าจับตรงล่าง รอยยาวนั้นนิ้วทั้ง๔คร่อมข้ามเข้าจับพอดี บน-คมล่างจะลงโขกสับ แซะได้
    เป็นขวานหินเก่า หรือสมัยหินเก่า พบที่กาญจนบุรี และที่สระบุรี ว่ามีอายุ ๕แสนปี

    a.2274666.jpg

    ๑.มีดหินขัดเอง ที่เป็นกั๋นนั้น แสดงว่าคนทำคือเลาะเป็นกั๋น เป็นของสมัยหินเก่าอายุกว่า ๕แสนปี ขึ้นไปถึง ๔ล้านปี
    ๒.หินซีก หอกใบข้าว เป็นสิ่วเหลี่ยม หินเหล็ก เป็นรอยแตก หรือเจาะ พบที่ราชบุรี อายุกว่า ๕แสนปี ขึ้นไปถึง ๔ล้านปี
    ๓.ขวานหินเก่าสุดอันนี้เป็นเพียงหนึ่งชิ้นในหลายอัน ซึ่งเป็นยุคเก่าสุด มีเพียงรอยเลาะเท่านั้น อันยืนยันว่าคนทำ
    ขวานหินนี้ พล.อ.ต.เรือง เรืองวิศวกรรม เก็บมาจากเขาเขียว ราชบุรี
    ขวานหินเก่าแบบนี้ หนังสือEARLY MAN หน้า๖๓-๗๗เล่าว่า ได้พบ ณ ฝั่งน้ำโอโม มีซากหินครบบริบูรณ์ คือได้ขุดต้นพบโครงกระดูกตั้งแต่ ลิงบาบูน กระทั่งถึงคน ว่ามีอายุตั้งแต่ ๔ล้านปีลงมาถึง๑ล้านปี
    เมื่อ๒ล้านปีมา มีคนจาโคบี คนปักกิ่ง และคนชวา พวกนี้รู้จักทำขวานหินเก่าสุดนี้เป็นเครื่องล่าสัตว์
    เริ่มเมื่อ ๔ล้านปีถึง๑ล้านปี เรียกว่า ปาเลโอลิธิค(Paleolithic)
    ๔.ลูกหินกรวด พบในแม่น้ำชี นาขุนแสน ราชบุรี หินกรวดชนิดนี้ที่กลมเกลี้ยง ผู้หญิงไทยใช้ขัดตัว แต่ก้อนนี้ทั้งสองข้างมีรอยฝน อาจใช้เป็นกระสุนยิง และก้อนกรวดกลมอย่างนี้ซึ่งพบอยู่กับโครงกระดูกที่จาโคบี
    ที่พิเศษกว่า คือ มีรอยเจาะกลาง ร้อยเป็นลูกเหวี่ยง ว่ามีอายุ ๑ล้าน๘แสนปี
    ๕.มีดโต้หินขัดเอง โต้หินก้อนนี้ใหญ่และหนา ยาว ๒ศอก กว้างศอกกำ สันหนา๔นิ้วช่างไม้ หนักประมาณ๘๐ชั่งไทย เนื้อหินกรวด ซึ่งถูกกรวดทรายไหลกระทบกระแทกขัดเองเป็นรูปมีดโต้ แต่ผิวดูเป็นคราบเปลือกอีกชั้นหนึ่ง
    เฉพาะหินในกรวดสดมีอายุ๔ล้าน๖แสนปี เมื่อถูกธรรมชาติขัดเองกระทั่งมาเป็นมีดโต้หินเก่านี้ มีอายุตามจาโคบี ๑ล้าน๘แสนปี
    ตามไทยเล่า พบที่กาญจนบุรีและสระบุรี ว่ามีอายุ ๕แสนปี
    และมีดโต้ใหญ่ขนาดนี้คงไม่มีใครเชื่อว่าจะมีคนใช้ได้
    กระนั้นก็ยิ่งดี จะได้ยืนยันคนสมัยพุทธันดรพระกุกกุสันธสัมพุทธ ว่า สูงถึง ๕๐ศอก คือ๑๐วา
    มีดโต้หินขนาดนี้ คงเหมือนมีดพับคนสมัยนั้น


    a.2274563.jpg
    ขวานหินแบบต่างๆสมัยหินกลาง
    พบเกลื่อนกลาด แถบ อ.จอมบึง และ กิ่งอ.สวนผึ้ง กับที่ใกล้เคียง
    อ.ประสาท อรรถกรศิริโพธิ์ และครูสุรินทร์ เหลือสมัย เป็นต้น ได้ร่วมใจเก็บรักษาตั้งเป็นหอเก็บไว้ที่ บ้านบ้าง ที่ ร.ร.บ้าง จะเป็นต้นพิพิธภัณฑ์บ้านจอมบึง
    ๑.ขวานหินวงเดือนครึ่ง มีรอยเซาะเป็นรูเพื่อสอดนิ้วเหวี่ยงและถาก
    ๒.ขวานหินคมโค้ง ใช้ปาด และขูด ไส เฉือน
    ๓.มีดหิน มีรอยแซะแบบเลาะ และถากขึ้นรูปมีด

    ซึ่งเครื่องใช้นี้ ถ้าเป็นท่อนหนาเทอะ แต่มีรอยเลาะแล่ง อันแสดงว่าคนทำ เป็นสมัยหินเก่าสุด
    ถ้าเลาะได้บางอย่างนี้ ยังไม่มีการขัดถูเรียบ เรียก หินเก่ากลาง มีอายุตั้งแต่ ๑ล้านปีลงมาถึง๕แสนปี
    เรียกว่า มิดเดิลปาเลโอลิธิค(Middle Paleolithic)

    a.2274564.jpg

    เครื่องหินใหม่
    หินปูนหยาบ พบฝั่งแม่น้ำวัง กายจนบุรี ตอนราชบุรีเรียกแม่น้ำราชบุรี สมุทรสงครามเรียกแม่น้ำแม่กลอง
    ทั้งขวานและล้อ เฉพาะรอยขอบจะเห็นเลาะ ที่ลึกแหว่งคือแล่งให้บิ่นออก
    ที่เป็นเส้น เป็นรอยเซาะ
    ที่เป็นรูกลม คือเจาะ
    ที่เรียบ คือ ขัด
    รอยเลาะ แล่ง เซาะ ถือเป็นสมัยหินเก่าอายุ ๕แสนปี
    ที่ ขัด เจาะ แล่ง เซาะรอยเส้น ว่าเป็น หินใหม่ อายุ ๕หมื่นปี
    ตอนนั้นว่ายังไม่มีเหล็กใช้ มีคำเล่ากันว่า จะเอาอะไร แซะ เซาะ เจาะ แล่ง ถาก
    สิ่งปรากฏก็มียืนยันอยู่อย่างนี้ ซึ่งแน่ว่ามีเหล็กใช้กันมาแล้ว

    a.2274567.jpg
    หินระฆังแผ่นนี้ พื้นขัดเรียบนั้น เป็นขึ้นโดยธรรมชาติ ที่บิ่นแตกออกเป็นรูนั้น คงเคาะเป็นรอย ทำที่เจาะรูร้อยนั้น เป็นคนทำแน่
    ที่เป็นระฆัง หมายว่าหลังพุทธกาลแล้ว แต่หินประดิษฐ์เป็นระฆังนี้ มีมาก่อนนานแล้ว ไทยจึงตั้งชื่อว่า ระฆังไว้ เป็นสิ่งยืนยัน หินเก่าต่อหินใหม่

    ขวานหิน และเครื่องใช้หิน ทั้งนี้ตลอดไป จะเห็นรอยเลาะ แล่ง มีรอยลายเส้น เจาะรูขัดเรียบไม่สนิทนัก เรียก สมัยหินใหม่เริ่มต้น
    ต่อไปจะเห็นขัดเรียบ สร้างคมและทำปลายแหลมได้ เป็นยุคสมัยหินใหม่แท้(NEW STONE AGE)มีกาลอายุตั้งแต่ ๕แสนปีลงมาถึง ๖หมื่นปี เรียกว่า Upper-Paleoluthic
    ในยุคนี้ ตั้งแต่๑แสนปีลงมาถึง๖หมื่นปี ได้รวมกันเป็นหมู่เผ่าพวกพ้อง รู้จักเลาะหินได้ รู้จักทำของใช้ได้บ้างอย่างหยาบๆ รู้จักใช้ไฟทำของสุกได้บ้าง เป็นยุคมีสมอง มีสติปัญญาเป็นคน ยุคนี้เรียกว่า Mesolithic

    a.2274568.jpg

    เครื่องหินใหม่แท้
    ๑.หอกใบข้าวหิน ได้ที่ ห้วยสุด ราชบุรี
    ๒.ขวานหินน้ำผึ้ง ได้ที่ เหมืองพัฒนา ราชบุรี
    ๓.สิ่วแซะหิน ได้ที่ ปราสาทหินพิมาย
    ๔. หอกหิน ได้ที่คูบัว
    ๕.ขวานฟ้าหิน ได้ที่ นากลาง นครราชสีมา
    ๖.ขวานฟ้าหิน ได้ที่คูบัวราชบุรี
    ทั้งหมดนี้เป็นหินเหล็กไฟ เว้นหินน้ำผึ้งนอกนั้นเป็นหินฟริ้นซ์
    ๗.ขอบหอยสังข์ ได้ที่คูบัวราชบุรี
    ๘.ก้ามปูทะเล
    ๙.หินอ่อนกำไล ได้ที่คูบัว
    เฉพาะก้ามปูทะเลนั้นมีหินฟองน้ำจับเป็นคราบหนา ซึ่งมีอายุแสนปี
    เครื่องหินขัดเหล่านี้ ถือว่าเป็น สมัยหินใหม่ ฝรั่งว่ามีอายุ ๕หมื่นปี ไทยว่ามีอายุ ๑๓,๐๐๐ปี

    ยุคสมัยนี้ จะเห็นหอกหิน ขวานหิน ฯลฯ ขัดได้เกลี้ยงเกลาเป็นคม เฉือน ตัด แล่ได้ ทำให้แหลม เจาะ แทง เสียบได้ เป็นสมัยหินใหม่แท้ ชื่อว่า ยุคสมัยหินขัดเกลา Neolithic มีอายุตั้งแต่ ๕๐,๐๐๐ปีลงมาถึง ๑๐,๐๐๐ปี และ ๕,๐๐๐ปี
    ในหนังสือ Man,Culture,and society ว่าเป็นอายุแร่ธาตุ สำริด บรอนซ เหล็กด้วย

    ครั้งก่อนหน้านี้ได้กล่าวกันว่า ไม่พบ จึงสันนิษฐานกันว่า ไม่มีคนอยู่ จึงได้เลื่อนแผ่นดินบกลงไปใต้ทะเลหลวง บัดนี้มีหลักฐานแล้ว ตั้งแต่ซากหิน หินเก่า หินใหม่ ซึ่งยืนยันว่าแผ่นดินนี้มีบก

    a.2274569.jpg


    โบราณวัตถุนี้ พบเก็บได้มีอยู่ ณ บริเวณ อ.จอมบึง กิ่งอ.สวนผึ้ง และที่ใกล้เคียง
    นักทำแร่ ครูอาจารย์ ได้เก็บไว้และตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ ณ ร.ร.บ้านจอมบึง อาจารย์ประสาท อรรถกรศิริโพธิ์ ถ่ายรูปมาให้
    ๑.ชุดดินเผา ลายเชือกทาบ เป็นหม้อ อ่าง ชาม แบบเดียวกับที่พบในถ้ำผีแมน และกาญจนบุรี มีอายุ ๑๘,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ปี
    ๒.เครื่องแต่งตัว เช่น ลูกปัดเจาะรูร้อยคล้องคอ สะพาย และโลหะทองแดง ทำเป็นกำไลใส่ข้อมือข้อเท้า อยู่ด้วยกันก็คงมีอายุอย่างเดียวกันคือ ๑๘,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ปี
    ๓.ขวานเหล็ก มีดเหล็ก จมดินกระทั่งเกิดสนิมขนาดนี้ สนิมกัดเข้าไปในเนื้อขนาดนี้ เหล็กนั้นมีสนิมขุมช้ากว่าทองแดง ทองเหลือง คงมีอายุเท่ากันคือ ๑๘,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ปี (ถ้าเอาตามบ้านเชียงว่ามีอายุ ๗,๘๐๐ปี)

    ยุคสมัยนี้ ทุกชิ้นปรากฏในพิพิธภัณฑ์บ้านจอมบึง อายุ ๑๘,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ปี คงอยู่ในยุคหินใหม่ Neolithic
    ยุคสมัยแร่ธาตุโลหะ เรียกว่า Eneolithic อายุ ๖,๐๐๐ปีลงมาถึง ๓,๕๐๐ปี แต่ในทางตะวันออกนี้มีอายุ ๑๘,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ปี

    a.2274571.jpg

    ซากFOSSILS ไม้หิน

    โดยเฉพาะต้นโตนด และมะพร้าว อันเป็นต้นไม้พันธุ์เสี้ยน ทำน้ำตาลได้ และเครื่องดินเผา โดยเฉพาะหม้อตาล เพื่อยืนยันแผ่นดินแหลมทองนี้มีอยู่ และไม้นี้เป็นไม้บก ทั้งมีมากในพื้นที่น้ำจืด
    คนไทยรู้จักทำน้ำตาลได้ ทั้งรู้ประดิษฐ์ดินเผาเป็นหม้อตาลบรรจุปึกผลึก คนไทยมีความรู้ทำน้ำตาลได้จากต้นพันธุ์ไม้เสี้ยนเหล่านี้ ที่ได้นำไม้เสี้ยนนี้ไปเป็นชื่อ
    ปาล์มนั้น ไม่ปรากฏปาล์มของฝรั่งทำน้ำตาลได้เหมือนไม้เสี้ยนไทย

    ๑.ต้นโตนดหิน ได้ที่ หัวนา หัวตะพาน เพชรบุรี
    ๒.ตะเคียนหิน ได้ที่ เพชรบุรี และไม้ตะเคียนนี้มีทั่วไปในดินแดนไทย
    ๓.ต้นมะพร้าวหิน เพชรบุรี (ที่ราชบุรีก็มีแต่ไม่ได้มา)
    ต้นไม้พันธุ์แก่นและพันธุ์เสี้ยนที่เป็นซากหินอายุ๑๐ล้านปี ที่เป็นหินแก้วอายุ ๑๖๐ล้านปี ตามอายุที่ฝรั่งประกาศอายุแกรนด์แคนยอน
    ของไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดังคือ ไม้สักหินที่เอาไปเจียระไนเป็นหัวแหวน แต่ก่อนที่จะมีต้นที่เป็นหินแก้วนี้คงมีมาก่อนแล้วอาจมีมาพร้อมโลก
    เฉพาะไม้เสี้ยน คือ โตนด มะพร้าว ลาน จาก อ้อย ไทยรุ้จักทำน้ำตาลกันมานานแล้ว
    มีกรรมวิธีคือ ดู นวด ปาด รอง เคี่ยว เฉพาะหมู่คนไทย ถามชาวทะเลใต้เขาบอกว่าเรียนไปจากไทย
    อ้อยมีกรรมวิธีง่ายเพียงตัดเอามาหีบก็มีน้ำหวาน รู้จักทำกันทั่วไปในชมพูทวีป ในบาลีมีแต่น้ำอ้อย(ผานิต) ที่ทำด้วยไม้เสี้ยนได้ก็คือ พลัม ในจีนก็ไม่มี เพราะไม่มีโตนดมะพร้าว ฯลฯ
    คนขาวเมืองหนาว คงทำน้ำตาลไ่ม่ได้ เพราะไม่มีพันธุ์ไม้เสี้ยน
    และน้ำตาลนี้ เมื่อเป็นน้ำตาลใส จะทำจากอ้อย มะพร้าว โตนดฯลฯ ก็ตามจะเห็นเป็นน้ำสีขาวเหมือนกัน ฝรั่งเอาไปผสมทำเป็นน้ำตาลทรายได้เฉพาะน้ำอ้อย
    ไทยเราทำผลึกได้ เช่น งบ ปึก ถ้าเอาผสมทำผลึกเป็นน้ำตาลทรายได้ ไทยก็คงมีน้ำตาลอุดมสมบูรณ์
    ๔.หม้อตาล หม้อตาลลายเส้น พบที่ ดอนโตนด คูบัว ราชบุรี
    เนื้อดินเผาขาวเทา อายุ ๒พัน-๔พันปี ถ้ามีเครื่องพิสูจน์อายุอาจเกินกว่า ซึ่งยืนยันว่าไทยรู้จักทำน้ำตาลโตนด น้ำตาลมะพร้าวมาแล้ว เท่าอายุหรือก่อนหน้านั้น
    ๕.หม้อตาลรุ่นใหม่ อายุ๓๐ปี ทำที่โคกหม้อ ราชบุรี
    ๖.และ๘.หม้อทะนน ลายเชือกทาบ ที่เขาพิสูจน์กันว่ามีอายุ ๑๑,๑๙๐ปี แต่ชุดนี้อายุ๕๐ปี
    ๗.หม้อฆะนน ลายสะเพรา เพชรบุรี ทำที่บ้านหรือวังฆะนน เพชรบุรี เขาเรียกกันว่า หม้อฆะนน
    ชนิดเดียวกันนี้ถ้าทำที่อื่นเรียก หม้อทะนน
    สำหรับหม้อฆะนน ลูกนี้สีขาวเทา โยมเกริ่นได้ใต้ดิน อายุไม่ต่ำกว่าพันปี หรือ ๒-๓พันปี
    ๙.เครื่องใช้ ลักจั่น หรือ ลำจั่น คือ คนโทดินเผา ริมฝั่งแม่น้ำราชบุรี ตลิ่งพังจึงเห็น
    น.ส.จำปา พงษ์ชำนิ พบบอก ได้ไปดู อยู่ลึกจากพื้น ๖-๘ศอก
    ผิวกร่อน เห็นเม็ดสีต่างๆ
    ลายเส้นอย่างนี้ อายุประมาณ หมื่นปี ซึ่งอาจก่อนลายเชือกทาบ
    ๑๐.กะทะดินเผา สีเรื่อแดงเทา ได้ที่ดอนโตนด ราชบุรี
    ลายเส้น เนื้อในดำ คล้ายของบ้านเชียงชุดไม่มีลายสี
    อายุ๘,๐๐๐-หมื่นปี
    กะทะ หรือ หม้อคั่ว
    ในการใช้ผัด หรือ ทอด เรียก กะทะ
    เมื่อใช้คั่วข้าวโพด ข้าวจ้าว ข้าวเหนียว เป็นข้าวตอก ก็ใช้กาบหมาก เจาะรู ใส่ลูกคั่วลงไปคน กาบหมากจะเป็นฝากันข้าวตอกที่แตกกระเด็นไว้ จึงเรียกหม้อคั่วบ้าง

    a.2274573.jpg
    ต้นโตนด(ตาล)เป็นหินแล้ว ถ้าเป็นหินแก้วแสงแล้วจะมีอายุ ๑๖๐ล้านปี ถ้าเป็นหินก็มีอายุ ๑๐ล้านปี
    ต้นนี้ล้มนอนอยู่บน เขาช้างน้อย ปรานบุรี ยังมีต้นอื่นๆอีกซึ่งกองก่ายกันเป็นภูเขานั้น คงเป็นดงที่พายุกระหน่ำโค่นลงมานานกว่า ๑๐-๑๖๐ล้านปีแล้ว

    ได้พบที่ยังเป็นต้นอยู่ ทั้งที่โค่นลงตายกลายเป็นหินไปแล้ว
    สำหรับ จาก และ ลาน ที่เขาทำน้ำตาลนั้น ยังไม่ได้ถ่ายมา
    ที่ถ่ายมานี้เพื่อยืนยันต้นไม้ทั้งนี้มีอยู่ในไทยนี้เป็นจำนานร้อยล้านปีมาแล้ว ให้น้ำเป็นน้ำตาล เป็นกระแช่ น้ำตาลเมา ทั้งนี้ มีรู้และทำได้ก็เพียงคนไทยเท่านั้น และยังไม่มีใครชาติอื่นๆทำได้
    สมัยนี้จึงมีความรู้ไม่ถึงคนเก่าก่อนซึ่งเป็นต้นไทยนั้นเลย
    และขอยืนยันว่า ซากโบราณเหล่านี้ ปรากฏ ณ พื้นที่น้ำจืดและบนบก ไม่ใช่เกิดใต้น้ำทะเลหลวงอย่างเขาว่ากัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0162.jpg
      scan0162.jpg
      ขนาดไฟล์:
      86.8 KB
      เปิดดู:
      7,838
    • scan0163.jpg
      scan0163.jpg
      ขนาดไฟล์:
      386.4 KB
      เปิดดู:
      9,718
    • scan0169.jpg
      scan0169.jpg
      ขนาดไฟล์:
      662.7 KB
      เปิดดู:
      11,578
    • scan0170.jpg
      scan0170.jpg
      ขนาดไฟล์:
      369.1 KB
      เปิดดู:
      10,644
    • scan0171.jpg
      scan0171.jpg
      ขนาดไฟล์:
      246.6 KB
      เปิดดู:
      7,915
    • scan0172.jpg
      scan0172.jpg
      ขนาดไฟล์:
      472.2 KB
      เปิดดู:
      9,580
    • scan0173.jpg
      scan0173.jpg
      ขนาดไฟล์:
      743.2 KB
      เปิดดู:
      9,321
    • scan0174.jpg
      scan0174.jpg
      ขนาดไฟล์:
      630.8 KB
      เปิดดู:
      191
    • scan0175.jpg
      scan0175.jpg
      ขนาดไฟล์:
      673.5 KB
      เปิดดู:
      13,573
    • scan0176.jpg
      scan0176.jpg
      ขนาดไฟล์:
      187.7 KB
      เปิดดู:
      8,104
    • scan.jpg
      scan.jpg
      ขนาดไฟล์:
      368 KB
      เปิดดู:
      10,879
    • a.2274556.jpg
      a.2274556.jpg
      ขนาดไฟล์:
      86.8 KB
      เปิดดู:
      130
    • a.2274557.jpg
      a.2274557.jpg
      ขนาดไฟล์:
      386.4 KB
      เปิดดู:
      142
    • a.2274666.jpg
      a.2274666.jpg
      ขนาดไฟล์:
      368 KB
      เปิดดู:
      203
    • a.2274563.jpg
      a.2274563.jpg
      ขนาดไฟล์:
      662.7 KB
      เปิดดู:
      239
    • a.2274564.jpg
      a.2274564.jpg
      ขนาดไฟล์:
      369.1 KB
      เปิดดู:
      284
    • a.2274567.jpg
      a.2274567.jpg
      ขนาดไฟล์:
      246.6 KB
      เปิดดู:
      253
    • a.2274568.jpg
      a.2274568.jpg
      ขนาดไฟล์:
      472.2 KB
      เปิดดู:
      227
    • a.2274569.jpg
      a.2274569.jpg
      ขนาดไฟล์:
      743.2 KB
      เปิดดู:
      184
    • a.2274571.jpg
      a.2274571.jpg
      ขนาดไฟล์:
      673.5 KB
      เปิดดู:
      386
    • a.2274573.jpg
      a.2274573.jpg
      ขนาดไฟล์:
      187.7 KB
      เปิดดู:
      145
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  11. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    เรื่องย่อ
    ขุนสรวงกับขุนนางสาง เป็นต้นคนไทย เล่าว่า นอนหลับ ตื่นขึ้นเห็นทุกอย่างมีอยู่แล้ว ต่อมาได้เห็นผีฟ้าแสง ลอยมาปรากฏตัว กินง้วนดินแล้วหลับไปเข้าไปมองดู เห็นแปลกกว่าตัวเอง ก็เข้าไปจับตัวไว้ จึงเริ่มคำพูดกันขึ้นต่อมา จึงรู้สืบพันธุ์มีลูกชายหญิง เล่าว่าได้สืบสายเชื้อไว้ในเลือด ทั้งส่วนขุนสรวงและขุนนางสาง รวมเป็น ๓๒ถ้าขุนสรวง ๒๐ ขุนนางสาง ๑๒ จะเป็นชายถ้าขุนสรวง ๑๒ ขุนนางสาง ๒๐ จะเป็นหญิงถ้าเท่ากันจะเป็นกะเทย ๒เพศและได้สืบต่อกันเรื่อยๆมาเผ่าพันธุ์คนไทยลวะ จึงมาจาก อาภัสรกาย และ ปภัสรจิตเป็นยุคต้นผี เป็นกาลต้น มหาภัทรกัป จนถึงพุทธันดรที่๑ และล่วงมาจนถึงยุคมิคสัญญีและสืบกันเรื่อยมาถึง พุทธันดรที่๒ ยุคแถนพุทธันดรที่๓ ยุคแผน พุทธันดรที่๔ ก่อนพุทธกาล ลุถึงสมัยเมืองแมน เมืองทอง สุวัณณภูมิ ถึงราชพลีก็ดำรงชื่อ ขุน ตลอดมา ขุน คือ พระราชา ขุนหญิง คือ พระราชินีเมื่อเรียกชื่อเมืองกรุงจึงใช้ว่า ราชบุรี แปลได้ว่า เมืองพระราชา คือ ขุน
    ครั้นต่อมามี ขุนเมืองออก ได้ขึ้นสู่ฐานะเป็น มหาขุนเอกราช จึงเอาชื่อ พระร่วง มาใช้เป็น หลวง หรือ ในหลวงหลวงนี้ คนจีนว่า อ๋อง หว่าง ฮ่อง

    ขะแมเรียกว่า กรมเตงอัญ คือ พระเจ้ากรุง เช่น พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา สมัยสุโขทัยเห็นว่า ดี จึงนำมาใช้
    นักรู้สมัยนี้เลยยกไทยไปเป็นขี้ข้าขะแมบ้าง ร่วมกับคนไทยแปลงเป็นจีนบ้าง และได้เปลี่ยนเป็นชื่อแขกหรือคำมคธไทย เช่น รามาธิบดี หรือ พระราม เลยกลายเป็นแขกอินเดีย ปัจจุบันจึงเปลี่ยนกันใหม่ว่า สมเด็จพระ... ก็ยังไม่ค่อยเชื่อกันนักว่าเป็นไทย

    ราชบุรี แปลว่า เมืองพระราชา คือเมืองขุนไทย ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่สมัยขุนสรวงถึงปัจจุบันนี้

    a.2274884.jpg

    หัวกะโหลกโครงกระดูกคนไทย ที่ โคกพลับ ต.โพหัก อ.บางแพ ราชบุรี
    ข้อสังเกต บนหัวและหน้าผากด้านซ้ายมีครบหินปูนเกิดหนา อายุคราบหินปูนนี้อย่างน้อยก็ ๔หมื่นปีถึงแสนปี ถ้าหากกระดูกหัวกะโหลกมีสนิมสีแดงคล้ำหรือเลือดหมู อันเป็นหลักฐานว่าได้ดูดแร่เหล็กซึมเข้าไปเกิดเป็นสนิมปรับกระดูกให้เป็นหินผุหรือแลง แล้ว ก็มีอายุ ๑.๙ล้านปี

    a.2274946.jpg

    กรามคน หินปูน พบวัดเพลงร้าง
    ช่างรอด ลิ้มเทียมรัตน์ ได้ และใช้โลหะถักห่วงห้อยคอ
    ซึ่งผิวคนเป็นๆกัดกร่อนให้คราบหินปูนเคลือบปรากฏถึง๓ชั้น
    ชั้นในสุด ปรากฏใสขุ่นคล้ายหินแก้วฟันม้า
    กรามนี้คงเป็นกรามล่างอันในสุด คราบหินปูนเป็นเองนี้ มีอายุกว่า ๖แสนถึง๑ล้านปี

    พบฟันเป็นหินแก้ว เป้นเขี้ยว เข้าใจว่าเขี้่ยวแก้ว มีลักษณะแหลมปลาย ซึ่งพบที่คูบัว เหมือนกับที่พบที่เอธิโอเปีย แต่ฝรั่งเขาว่าเป็นฟันคนลิง มีอายุ ๔๕ล้านปี

    a.2274889.jpg

    มีดหิน สมัยหินกลาง พบที่ อ.จอมบึง ราชบุรี อายุ๑ล้นปี ลงมาถึง ๕แสนปี
    ขณะนี้เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์บ้านจอมบึง

    a.2274890.jpg

    มีดปาดตาล พบที่ อ.จอมบึง เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์บ้านจอมบึง ราชบุรี
    เหล็กมีสนิมขุมเกิดในเนื้อหนา อยู่กับขวานหิน ลูกปัดหิน มีอายุตั้งแต่ ๒หมื่นลงมาถึง๘พันปี
    (แต่มีอยู่ด้วยกันจึงมีอายุตั้งแต่ ๕แสนปีขึ้นไปก็ได้)

    a.2274891.jpg

    รอยตีนเหยียบบนหินตาย ที่เขาช้างน้อย ปรานบุรี ประจวบฯ
    ภูเขานี้เป็นภูเขาหินตายปรากฏรอยนี้ และยังมีอีก กับมีต้นโตนดที่กลายเป็นหินแล้ว ปรากฏอยู่
    ถ้ากล่าวตามอายุหินตาย และอายุซากหินต้นโตนดนั้นก็ประมาณ๑ล้านปีเป็นอย่างต่ำ
    และรอยนี้ คนโบราณถือว่าเป็นรอยพระพุทธบาทที่ทรงเหยียบฝั่งแม่น้ำนัมมทานที จึงได้สร้างพระเจดีย์และวัดไว้นานมาแล้ว
    รอยนี้ ขอบดำนอกนั้น คือ รอยใหญ่
    ที่หัวแม่ตีนซ้ายนั้น มีรอยขาว ที่เป็นรอยหัวแม่ตีนคือรอยดำบนนั้น
    ส่วนรอยขาวเล็กนั้น คือ เป็นรอยที่เหยียบตะแคงลงไป
    ปลายแหลมขวานั้น คือ นิ้วก้อย
    หัวแม่ตีนอยู่ซ้ายมีรอยน้อยๆเท่านั้น

    a.2274892.jpg

    รอยตีนคนนีนเดอร์แทล ซึ่งเหยียบบนดินดานที่ยังเปียกอยู่ ณ ผาอิตาเลียน
    ว่ามีอายุ ๔๐,๐๐๐-๑๐๐,๐๐๐ปี ซึ่งเขาถิอว่าเป็นต้นคนพวกที่เป็นชาวยุโรป เอเซีย แอฟริกา
    ของไทยเหยียบไว้ในหินปูนมีอายุมากกว่า

    เท่าที่ได้เอามาเรียงอย่างนี้ เพื่อแสดงรอยตีนที่เหยียบลงในหิน และดินดาน ทั้งมีต้นตาลที่เป็นหินอาจมีอายุเป็นแสนหรือล้านปี และมีมีดหิน มีดเหล็กที่มีอยู่ด้วยกัน
    และในเมืองไทยนี้ก็มีการทำน้ำตาลได้จากโตนดด้วย ได้เอามาแสดงพร้อมกัน พร้อมกับอ้างหลักฐานจากหนังสือฝรั่งด้วย เป็นหลักฐานว่า ไทยก็มีประเทศชาติวัฒนธรรมมาแล้วเท่ากับอายุหินเก่า ,กลาง,ใหม่ ตลอดยุคโลหะ และเหล็ก อันมีพร้อมกับเครื่องหินนั้น ซึ่งคัดค้านของฝรั่งด้วย

    แผ่นดินไทยนี้มีมาเท่าอายุโลก แม้คนไทยก็มีเผ่าพันธุ์มาเท่ากับมนุษยชาติอื่นๆทั้งมีสติปัญญาและสมรรถภาพเท่ากับคนอื่นๆจึงทำสิ่งต่างๆทิ้งไว้ให้คนปัจจุบันนี้่รู้จัก
    ขอทั่วไปไม่ต้องทุกข์ร้อนต่อสิ่งที่ปรากฏมีอยู่นี้จะเกินความจริงไป อย่างที่พวกเอาปากกาวาดแผ่นดินให้ไปอยู่ใต้ทะเลหลวงเมื่อก่อน พ.ศ.

    รอยเท้าสัตว์และคน ซึ่งเหยียบลงบนหินหรือดินดาน มีทั่วไปในถิ่นดินแดนไทย
    ที่ราชบุรี ปรากฏรอยตีนคน
    ที่เขาถ้ำเสือ ที่เขาลูกช้าง เพชรบุรี ที่กาญจนบุรี ที่สระบุรีมีสองแห่งถือกันว่าเป็นรอยพระพุทธบาท คือรอยตีนคนเหยียบบนหิน
    ข้างศาลจ้าวแม่ทับทิม ที่เขาน้อย ปราณบุรี นครศรีธรรมราช
    ปรากฏที่เขาช่อง มีทั้งรอยตีนคนและรอยตีนเสือ ส่อว่า คนถูกเสือกระโจนกัด
    สงขลา มีที่เขาพะโค๊ะ
    จันทรบุรี มีที่เขาเขียว
    ชลบุรี ก็มีที่บริเวณใกล้ๆกับอ่างหินที่๓ ที่นี่ปรากฏทั้งรอยเท้าคนและรอยเท้าสุนัขใหญ่กว่ารอยปัจจุบัน รอยเท้านี้ตอนไปดูยังไม่ได้ถูกตกแต่ง ซึ่งปรากฏในหินปูนทะเล เป็นรอยเหยียบลงบนโคลน ซึ่งเมื่อยกขึ้นแล้ว ยังปรากฏรอยหินแหลมๆหนืดติดเท้า รอยเท้าสุนัขก็ใหญ่กว่าเท้าสุนัขปัจจุบัน
    หินนี้มีเนื้อปรากฏเป็นหินปุนทะเล ซึ่งมีการกลายมาจากโคลนทะเล
    ถ้าว่าหินปูนนี้มีอายุ๒๐๐ล้านปีอย่างตำราว่า ก็ต้องแสดงว่า มีคนมีหมาอยู่ เมื่อ๒๐๐ล้านปีมาแล้ว
    เมื่อว่าอย่างนี้ก็เกิดขัดกับตำราที่ว่าเพิ่งมีคนมาเมื่อล้านปีมานี่เอง ครั้นเจอซากคนหินจาโคบีแมน ก็เลื่อนขึ้นไปอีก ๘แสนปี ครั้นเจอโครงหินที่เอธิโอเปีย ได้เลื่อนขึ้นไปถึง๔๕ล้านปี ถึงจะว่าเป็นคนลิงก็ตามก็ยังมีชื่อว่าคน ซึ่งต่อไปอาจเลื่อนขึ้นไปอีกก็ได้
    ซึ่งถูกต้องกับของเราที่ว่า มีคนมาตั้งแต่สมัยขุนสรวงสางก่อน และกาลพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0004.jpg
      scan0004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      211.3 KB
      เปิดดู:
      7,905
    • scan0177.jpg
      scan0177.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.6 KB
      เปิดดู:
      7,287
    • scan0178.jpg
      scan0178.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.8 KB
      เปิดดู:
      7,964
    • scan0179.jpg
      scan0179.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.6 KB
      เปิดดู:
      7,705
    • scan0180.jpg
      scan0180.jpg
      ขนาดไฟล์:
      206.5 KB
      เปิดดู:
      7,221
    • scan0184.jpg
      scan0184.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.9 KB
      เปิดดู:
      7,328
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2019
  12. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    a.2217580.jpg

    ขุนสรวงเดิมเป็นผีฟ้าแสง (อาภัสสรกาย ชั้นอาภัสสรเทพ พรหม) ได้เที่ยวมาสู่หล้านี้ได้กลิ่นอายง้วนดินหอมติดใจ จึงลงมาและใช้มือจับกินเข้าไป มีรสอร่อยหวานมันกลืนเข้าไป-เข้าไป มากกระทั้งอิ่ม เกิดง่วงนอน จึงหลับไป ด้วยอำนาจธรรมชาติอายดินและอายฟ้า กระทำร่างผีฟ้าแสงให้กลับเป็นร่างคนแล้วได้เปลี่ยนให้ลืมหมดในขณะหลับนั้น นานเท่าไรไม่ปรากฎเมื่อตื่นขึ้นกลับรู้สึกสมบูรณ์แล้ว ได้มองดูรอบๆ รู้แต่ว่า ที่ภูเขาเป็นเกาะ มีน้ำล้อมรอบมีกลางคืน กลางวัน มีนก ปลา อยู่แล้ว และที่มีอยู่คนเดียวขุนสรวงจึงยังไม่มีคำพูด และไม่มีข้อคิดระอาย จึงอยู่อย่างธรรมชาติคือไม่มีเครื่องแต่งตัว เมื่อหนาว เข้าถ้ำหินดิน เมื่อร้อน เข้าร่มไม้ เข้าเพิงเมื่อหิว กินดิน กินมะ(ลูกไม้) กินน้ำ กินปลา กินไข่นก มีผีฟ้าแสงมาเที่ยวหลายคราว แต่ไม่มีคำพูด ได้แต่นึก ไม่รู้จัก เพียงว่าเขามาเที่ยวแล้วก็จากไป นานเนิ่นมานาน มีผีฟ้าแสงมาหลายคราว และหลายผู้และนานเท่าไรไม่รู้ เที่ยวไปทางไหนบ้างก็จำไม่ได้ พักอยู่หลายแห่งหน

    กระทั่งคราวหนึ่ง มีผีฟ้าเหลืองทอง พุ่งลอยมาลงอยู่ ณ พื้นราบขาวสะอาด ขุนสรวงแฝงร่างเข้าไปดู มองเห็นผีฟ้าแสงนั้นคุกเข่า ใช้สองมือควักง้วนดินกินอย่างเอร็ดอร่อย จึงนึกเรื่องของตัวเองได้ว่า ตัวเองก็เคยเป็นผีฟ้าแสงอย่างนี้ และมากินง้วนดินอย่างนี้ จึงง่วงและหลับไป พลังแสงหายหมด จึงกลับไปที่เดิมไม่ได้ เมื่อนึกรู้แล้ว นึกว่าคงจะกินมาก แล้วจะหลับ พลานุภาพแสงนั้นจะหายหมด และกลับไม่ได้ จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน จึงสงบนิ่งมองดูอยู่

    ผีฟ้าแสงเหลืองทองนั้น เมื่อกินง้วนดินนั้น ได้เกิดติดรสอร่อยหวานมันนั้น ก็กินเข้าไป กินเข้าไปชนิดเพลิดเพลิน กระทั่งอิ่มและบังเกิดง่วงนอนโงกไปมา ที่สุด แสงแดดอ่อนลงก็ล้มตัวลงนอนหงาย เหมือนรูปกองไฟ มีแสงกระจ่างออก
    เมื่อตะวันลับไปก็ยังปรากฎแสงกระจ่างโพลงอยู่อย่างนั้น
    ขุนสรวงมองดูอยู่กระทั่งรุ่งขึ้น ผีฟ้านั้นก็ยังหลับอยู่ตามเดิม เข้าคืนที่ ๒ แสงค่อยจางและหรี่ลง ปรากฎร่างขึ้น มีเงาที่อกทั้งสองข้างสูง
    ขุนสรวงมองดูทั้งของผีฟ้าและของตัว ปรากฎว่าไม่เหมือนกัน กระทั่งตะวันขึ้น แสงนั้นจางลงไปมาก แต่ก็ยังหลับอยู่ เมื่อเข้าคืนที่ ๓ แสงนั้นมีอาการหรี่และโพลงขึ้นเป็นระยะๆ ร่างก็ชัดเจนขึ้น ปรากฎพร้อม กระทั่งรุ่งเช้า แสงจางไปเกือบหมด เมื่อแสงแดดกระทบร่างแผดส่องอยู่นาน แสงเดิมก็ค่อยหายไปในแสงแดด และผีฟ้านั้นสะดุ้งตื่นขึ้น เมื่อมองดูตัวแล้ว ไม่มีแสงอาภรณ์ประดับอยู่ ได้ทะลึ่งลุกขึ้นกระโดดเพื่อลอยไปก็ไม่ได้ กลับลงมาตามเดิม ขุนสรวงคิดว่านางจะหนีไป จึงวิ่งออกไปกระโดดจับไว้
    ขุนสรวง เมื่อจับถูกตัวนาง ปรากฎว่านิ่มมือ นางหลับตากระโดดจะเหาะลอยหนีก็ไม่ขึ้น เมื่อถูกจับยึดไว้ ได้ตกใจร้องดุว่า อะ อ้า ซึ่งเป็นคำต้นที่พูดกันในกาลนั้น เมื่อนั้น ยังไม่มีชื่อและคำพูดใดอื่น เมื่อขุนสรวงจับยึดไว้ นางคุ้นเข้าก็เลยหยุดนิ่ง และยอมอยู่ด้วย ขุนสรวงมองดูตัวเห็นยังมีแสงเรืองๆอยู่บ้าง จึงเรียกว่า สาง

    และนางก็ทำมือให้รู้ว่า ขุนสรวงสูงกว่า จึงเรียกว่า "สรวง"

    จากนั้นก็เรียก ปาก จมูก หน้า ตัว และเรียก ต้นไม้ ดิน ลม น้ำ ไฟ เท่าที่คิดได้ และใช้เรียกกันมา ได้อยู่กันอย่างสนุกสนาน อุ้มลงอาบน้ำ เริงเล่นแสงแดด นั่งตากลม เมื่อหิวก็หยิบดินแบ่งกันกิน หรือจับปลา จับนก เด็ดลูกไม้กินกัน ตอนั้นยังมีเกลื่อนกลาด ไม่ต้องทำ มีตลอดไป
    และอยู่ด้วยกันมานาน ไม่รู้จักการเป็นผัวเป็นเมียกัน ไม่มีการนับปี เดือนวัน รู้เพียง มืด สว่าง หรือ คืน วัน จึงไม่รู้ว่าอยู่กันมากี่ปี และไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ได้เที่ยวตามผา เขา อยู่ถ้ำได้ทุกวัน ถ้ามีงู ก็จับคอหรือหางไปปล่อยที่อื่น เสือ ช้าง หมี แรด ก็ตั้งชื่อเรียกกัน และอยู่ด้วยกันได้ ต่างไม่ทำอะไรกัน

    นานนัก ผีฟ้าแสง มาสอนให้รู้ บอกว่าให้มาอยู่เป็นต้นคน จะได้มีคนอยู่ที่นี้เหมือนอื่นเขามีแล้ว สอนให้รู้รักกัน ทำท่าให้ดู และบอกให้ดูของกันและกัน กูมองสาง และสางมองดู ยิ้มหัวเราะกันแล้ว ได้เข้ากอด รู้รอดเสิงสราญหร่อยรักแล้ว ไม่รู้อิ่ม ไม่รู้เบื่อ ใคร่ใกล้ชิด ใคร่กอด ใคร่ถูก ใคร่รักรอดเสิงสราญอ่อยหร่อย มื้อห่าง ไห้หา มื้อไกล ใคร่กลับ มื้อใกล้ใจชุ่มชื่นเสริงสราญ นานนักมักหลาย กินคืน กลืนวัน
    สางท้องโตขึ้น ทั้งคู่ไม่รู้เรื่องลูก เมื่อคราวคลอด เจ็บปวดร้องคราง ขุนสรวงช่วยด้วยสงสาร เมื่อขุนสรวงจับดึงออกมา ทำให้สางเจ็บปวดร้องดัง จึงฉีกกินและให้สางกินบ้าง สางไม่รู้ก็กินด้วย ลูกคนแรกนั้นเป็นชาย เมื่อมีคนที่สองเป็นหญิง ขุนสรวงว่าของสางที่รักของตน จึงฉีกกินอีก และให้สางกินด้วยกัน
    เมื่อคลอดคนที่สามเป็นชาย ขุนสรวงจะฉีกกินอีก ตอนนี้สางชำนาญออกลูกแล้ว ได้ร้องขอขุนสรวงเอาไว้ดู แม้ผีฟ้าแสงก็มาห้าม ทั้งกล่าวว่า ให้มาอยู่เป็นต้นคนหญิงชาย สืบต่อกันไปให้มาก
    ขุนสรวงเป็นชายมีเชื้อเลื้อ
    สางเป็นหญิงมีมดมะ(ต่อมและรังไข่เชื้อเลี้ยงลูก)
    สรวงมีกุ่มเกือะ สางมีกกกลุ่ม มื้อเกือะก้ำกก
    เชื้อเลื้อแบ่งส่วนได้ ๓๒ ถ้าส่วนขุนสรวง ๒๐ สาง๑๒ จะเป็นชาย
    ถ้าสาง ๒๐ สรวง ๑๒ จะเป็นหญิง
    มื้อมึงกินกันจะหมดไม่มีเหลือต่อ และกูผีฟ้าแสงจะกินขุนสรวงด้วย ขุนสรวงจึงยั้งไว้

    เมื่อสางเลี้ยงลูก ก็ไม่รู้ ครั้นหิวร้องขึ้น
    สางอุ้มขึ้นแนบอก ปากลูกถูกหัวนมขวา
    อ้าปากจะร้อง พอหัวนมเข้าปาก ก็หยุดร้อง
    และดูดกิน
    สางมองดูและเอาออกก็เห็นน้ำนมไหล จึงรู้ว่าเลี้ยงลูกได้
    เมื่อมองเต้าซ้ายเห็นกลมตั้งอยู่ได้กลับลูกให้ดูดดื่ม ก็มีน้ำนมให้ดื่มได้
    จึงรู้ชัด
    จากนั้น และบอกว่า "นม" แก่ลูก
    จึงเรียกชื่อ "นม" กันมา
    (คำไทยลวะเดิม ลูกเรียกแม่ว่า "นม" ตลอด)
    และสางเกิดความรักความเอ็นดูลูกนั้น
    จึงอยากมีอีก เมื่อใกล้ขุนสรวงก็บอก
    ขุนสรวงห้ามว่าอย่ามีอีกเลย สางเจ็บปวดมากนัก
    แต่สางกลับกล่าวว่า จะเจ็บปวดเล็กน้อยประเดี๋ยวเดียว พอออกมาก็หายหมด
    ได้เข้ากอดลูบคลำเล่น ขุนสรวงเลยลืมที่ห้าม ได้เสิงสราญรัก สางรู้เช่นนั้น
    ต่อมาได้เข้าใกล้กระทำอย่างนั้น
    และมีลูกชายและหญิง สลับกันเป็น ๘ คน
    จากที่มีอยู่คนละอย่าง จึงตั้งชื่อว่า ชาย
    ญิง
    สางเล่า เมื่อมีลูกเช่นนั้นจึงนึกถึงดั้งเดิมได้ เมื่ออยู่สรวงฟ้า อยากมีลูกก็จับเอาที่น่องและเรียกชายหญิงมาก่อนแล้ว และเป็นเด็กอยู่ตามเดิม
    เมื่อมาอยู่ดิน (โลก) มีลูกในท้อง และมีทางออก

    ครั้นลูกหลานใหญ่โตจึงสอนเป็นธรรมเนียมของชาวไทยละว้ากันมาว่าสมัยต้นมีลูกที่น่อง และใหญ่โตเองไม่ต้องเลี้ยง ทั้งสอนลูกชายให้รู้เรื่องรักสืบพันธุ์ สอนหญิงให้รู้เลี้ยงคลอด ให้นมเลี้ยงลูกกันมา เมื่อมีลูกชายหญิงถึง ๘ คน เลยตั้งชื่อว่า จอมฟ้า จอมดิน จอมลม จอมไฟ ตั้งชื่อลูกหญิงว่า แก้วสี กอทอง ดงทอง น้ำทอง เมื่อลูกเข้าใหญ่ เล่าว่ารู้ได้ด้วยเห็นลูกสาวทั้ง๔ มีนมใหญ่เหมือนสางจึงรู้[ ทั้งขุนสรวงและนางสางนั้นก็ไม่มีลูกอีก และเข้าใจเอาเองว่า เมื่อก่อนก็มีเพียงสอง เมื่อรู้ร่วมรอดเสิงสราญแล้ว ก็มีลูกเพิ่มมาอีก ๘ ทั้งที่อยู่กินด้วยเป็น๑๐
    ต่อไปทั้ง ๘ ถ้ามีลูกอีก ก็คงเพิ่มมากขึ้น และตอนนั้นก็ยังไม่มีคนพวกอื่น
    ขุนสรวงสอนลูกหญิง นางสางสอนลูกชายให้รู้ อาศัยชื่อที่ตั้งไว้ตามลำดับที่เกิดมา

    ให้จอมฟ้า คู่กับ แก้วสี ไปเป็นชื่อ ขุนฟ้า จอมไฟ -ไปร่วมกันยอดเขา
    ให้จอมดิน คู่ กอทอง ไปเป็น ขุนดิน ร่วมกัน ณ พื้นดิน
    ให้จอมลม คู่ ดงทอง ไปเป็น ขุนลม จอมลม ไปร่วมกัน ถิ่นช่องลม
    และให้จอมไฟ คู่ น้ำทอง เป็น ขุนไฟ และจอมน้ำ ไปร่วมกันเล่นน้ำ

    ตั้งชื่อ ผัว เมีย พี่ น้อง กันมา เมื่อต่างมีลูก สางไปสอนให้รู้จักเลี้ยง ให้นมลูกกิน ให้ชายไปหากล้วย อ้อย ปลา ปู มาเลี้ยงน้องที่มีลูกอ่อน
    ครั้นนานมาจึงถือว่าเป็นพี่น้องกัน จึงต่างไปมาหากัน มีการเปลี่ยนกัน และเกิดทะเลาะกัน ขุนสรวงและนางสางจึงสอนให้รู้จักของตัว และเอาไปให้เป็นของตัว จึงเป็นต้นรู้พี่ รู้น้อง รู้ผัว รู้เมีย รู้คู่ของตน รู้ถิ่นที่ทางของตน ไปมาหากันได้

    และคู่ลูกนั้นมีลูกเพิ่มขึ้นเป็น ๓๒ มีสลับกันคือ
    จอมฟ้า กับ แก้วสี มีชายล้วน ๘ คน
    จอมดิน กับ กอทอง มีลูกหญิงล้วน
    ๑๐ คน
    จอมลมกับ ดงทอง มีชาย๓ มีหญิง ๒
    จอมไฟ กับ น้ำทอง มีชาย ๕ หญิง๔ คน

    เมื่อหลานเหล่านั้น ขึ้นหนุ่มสาวทั่วกันแล้ว ต่างอยากมีลูก
    แต่ตกลงเป็นพี่น้องไม่พอกัน จึงพากันไปหาขุนสรวงและนางสาง
    นี่แลเป็นต้นหาผู้ใหญ่ ถามและขออนุญาติ
    ขุนสรวงขอลูกหญิงให้แก่ชาย
    นางสางขอลูกชายแก่หญิงครบกัน
    เป็นต้นของการสู่ขอ และแยกพี่น้อง
    แต่ก็มีบางคู่ไม่ชอบกันตามนั้น จึงให้เลือกกันเอง เป็นต้นของการเลือกคู่
    เมื่อครบกันแล้ว ต่างพากันไปเที่ยวหาลูกไม้ ปลา ปู ตัวนก เนื้อ ไข่
    นำมากองลานหน้าถ้ำ ตบมือร้อง หัวเราะกลางแสงแดดตอนเย็น ลงเล่นน้ำ แล้วขึ้นมาตากลม เมื่อเดือนสว่าง เริงเล่นกันกลางแสงเดือน เป็นต้นการแต่งงาน เริ่มชีวิตการเป็นครอบครัว เมื่อยเข้าก็นอนกันกับพื้นหญ้า จากนั้น ต่างก็พากันไปอยู่ถ้ำที่ได้พบกันแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0001.jpg
      scan0001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      143.5 KB
      เปิดดู:
      7,619
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  13. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ขุนสรวงกับนางสาง มีอายุยืนนานกระทั่งหลานเหล่านั้นมีลูกกัน ต่างพากันมาหา ได้เอาลูกมาให้รับใช้ หาของเลี้ยง ตอนนี้ ขุนสรวงและนางสางเฒ่ามากแล้ว เมื่อเหลนเหล่านั้นขึ้นวัยหนุ่มสาว ขุนสรวงและนางสางก็บอกเป็นผัวเมียกัน ต่างมีลูกได้นำมาให้ และบอกว่า นี่ต้น จึงมีชื่อว่า "ต้น"กันมา

    สองต้นเฒ่าลงไปมากนัก ตอนนี้ แผ่นดินได้โผล่ขึ้นพ้นน้ำแล้ว
    ที่ติดต่อกันพวกหลานและลื่อมีกำลังดีจึงเที่ยวไป พบคนอื่นที่มีอยู่แล้ว ได้จับเอาให้ขุนสรวงและนางสาง ได้ทุบแล้วฉีกให้กิน นั่นเป็นต้นของการจับคนกินกันมา
    ขุนสรวงนางสางได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนก็เคยกินมาแล้ว ถ้าขืนฆ่ากันกินอย่างนี้ จะไม่มีคนอื่นเหลืออยู่ ได้ห้าม บางคนก็เชื่อ บางคนไม่เชื่อ จึงกินคนกันมา

    ขุนสรวงและนางสางเฒ่ามาก จำหลานเหลนลื่อไม่ได้
    วันหนึ่งเลื่อนลงจากถ้ำ ลงมาถึงพื้นดิน นั่งหอบเหนื่อย นึกว่าอยู่ไม่ได้แล้ว ถึงกาลต้องไปเป็นผีฟ้า ลูกหลานเหลนลื่อต่างพากันมา ขุนสรวงมองเห็นลางๆ พวกนั้นได้ไปอุ้มนางสางลงมา ขุนสรวงบอกลาไปเป็นผีฟ้าแล้วนั่งนิ่ง เมื่อถูกสางเขย่าตัวก็บอกให้สงบ เหมือนง่วงเผลอหมดความรู้สึก พอรู้ตัวปรากฎออกมาอยู่ข้างนอก ตัวเดิมนั้นผงะหงายนอนเหยียดอยู่ สางปลุกเขย่าให้พูดก็ไม่พูด ขุนสรวงออกมาอยู่ข้างนอกแล้วสบายไม่เหนื่อยอ่อน ร้องบอกแต่สางไม่ได้ยิน เห็นนางร้องไห้กอดผีอยู่หลายวัน กระทั่งเน่าเปื่อย

    จ้าวขุนสรวงจึงแสดงร่างให้ปรากฎ เอื้อมมือมารับผีสางลุกขึ้นจากร่างเดิมเลื่อนขึ้นยืนคู่อยู่กับจ้าวขุนสรวง คิดว่าร่างเดิมนั้นเป็นร่างผีฟ้าแสงมา ที่หนักแก่ตายก็เพราะ กินดิน กินมะลูกไม้ ตัวจึงหนักและเน่าเปื่อย

    จึงตั้งคิดให้ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนแล้วจ้าวขุนสรวงและขุนหญิงสางแสดงร่างผีฟ้าแสงให้เห็นได้ เดินเข้าไปในร่างเดิมนั้นบอกว่า

    สางกูเป็นปอบพ่อแม่นมของปู่ย่า มื้อนี้ตายแล้ว ตัวนั้นจะเน่าเหม็น พวกมึงไปหาไม้แห้งมากองให้มาก เอาตัวกูนี้วางบน เผาไฟเถิด จะได้ไม่เหม็นเน่า พวกหนึ่งไปหาไม้แห้งมา ที่เหลือบอกให้เอามือกอบน้ำบ่อใกล้ๆนั้นมาอาบน้ำทำให้สะอาด เอาดินขาวประแล้วให้ไปฉีกใบตองแห้งมานุ่งห่ม ห่อร่างทั้งคู่นั้น จึงให้ยกขึ้นวางบนกองฟืน ให้เอาไม้แห้งถูกันให้ร้อน- ไหม้ คุ ลุกไฟแล้วสุมไว้ก่อน ให้ไปเก็บดอกไม้หอมๆมาวางรอบ เหลนบอกว่า ไม้หอมมมีอยู่จุดไฟหอม ไปถอนมาแล้ววางสุมไฟลุกแล้วให้นำเข้าจุดกองฟืน

    จ้าวขุนสรวงสางยืนอยู่ เมื่อไฟลุกไม้ไหม้ร่าง ได้ลอยขึ้นสูง ลูก หลาน เหลน ลื่อ ร้องไห้ ร้องเรียก จ้าวสรวงสางหยุดแล้วแสดง - ส่วนผีฟ้าแสง คอ หัวยอด มีสายสะพาย มีผืนนุ่ง มีแท่นนั่ง ลูก หลาน เหลน ลื่อ มองเห็นกลับมาได้แสดงความดีใจ เต้น ร้อง รำ ที่เป็นผัวเมียก็กอดกัน คุยกันให้ปอบดู เป็นต้น ตาย บำบวงผี เผาผี อยู่กันตลอดคืน เช้าไฟมอดหมดฟืน หมู่นั้น กินดิน กินมะ กินน้ำ น้ำที่มีเอาไปให้ผีก่อนแล้วกิน พูดกันว่า ต้นปอบ พ่อเทียด ปู่ทวด ยังอยู่ดอม ควรก่อรูปผี จ้าวขุนปอบว่า เอาดินใต้น้ำคลุกทราย เอาเถ้า ก้อนดูกปน ก่อแท่นก่อน ตรงที่ตาย ที่เผานั้น เอาดินก่อพอกขึ้นเป็นร่าง สรวง สาง นั่งคู่ หมู่ชายทำรูปขุนสรวงนั่งขัด(ตะหมาดราบ) หมู่หญิงปั้นแม่สางนั่งพับเพียบ ท่านว่าดี ให้ตีนบังท้องน้อย ให้รู้ว่า ต้นผีมีอาย ว่าเล็กแลนั่งห่างกัน ได้เอาดินปนทรายพอกให้ใหญ่ นั่งให้ใหญ่กว่าตัว นั่งเข่าติดกัน เสร็จแล้ว ขุนสรวงสางให้ขุดรางยาว เอาดินขึ้นพูนเป็นฝากั้น ให้ขนไม้แห้งมาวางรอบ ให้จุดไฟเผาให้ดินสุกแข็ง ทนน้ำ ทนฝน ๗ วัน ๗ คืน แข็งดีแล้ว ปล่อยให้เย็นหลายมื้อ เสร็จแล้ว หาดอกไม้มากองหน้า หามะลูกไม้ หาตัวมาวาง เลี้ยงกัน เต้น รำ ร้อง
    เป็นต้นถือผีกันมา
    จ้าวขุนสรวง และ ขุนนางสาง มองเห็นลูกหลานพร้อมเพรียงกันดี บอกให้ทำอะไรก็ทำตาม จึงเกิดความเป็นห่วงขึ้น ได้เข้าพักอาศัยในร่างปั้นนั้น พิทักษ์รักษาตุ้มครอง สอนวงวานเครือเถาต่อมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2017
  14. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    เมื่อ ๖๖๐๐ ปี เศษมาแล้ว ขุนสือไทยและขอมฟ้าไทยคิดสร้างลายสือได้แล้ว จึงเชิญจ้าวขุน จ้าวนางสาง มาทรงเมียให้เล่าต้น ได้จดลงแผ่นกเบื้องไว้ ทำเครื่องหมายจ่าหน้าให้รู้ เช่น สมัยเมืองสรวงพระพุทธกุกกุสันธกาล ก็ขีดเส้น ๑ เส้น เพื่อรู้ยุคสมัย หรือ พุทธันดรที่ ๑ ได้จดไว้อย่างนี้ คัดมาเฉพาะเรื่อง จะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม
    แผ่นลำดับที่ ๖๖๒ หน้า ๒
    กูแลสาง ในเมื่อล้านล้นหลายพันปี เมื่อเป็นผีฟ้าแสง ชื่อขุนสรวงและขุนหญิงสาง อยู่ดอมกันเฐิงมื้อนี้ เมื่อนั้น กูเฝ้าเย้ม สอน นั่ง หัว จอมฟ้า เว้า สอนได้

    แผ่น ๗๑๖ หน้า ๑- ๒
    a.2217605.jpg
    สรวงว่า หนึ่งคนเหลือง สรวง สาง เมื่อนานหลายนี้ ชื่อคนแลเมืองสรวง เมื่อก่อนมีคนเหลืองที่ ๑ (พระกุกกุสันธ) เรานี้ รู้สร้างเรือน บ้าน ผ้า นุ่ง ห่ม ข้าวปลาหลาย มีลายดูรู้กดหมาย ดูผิดถูก คนเหลืองที่ ๑ เกิดแล้ว มาสอนหมู่เรา เอาเข้าพวกคนเหลืองล้นหลาย แล้วเข้าดวงแสง (นิพพาน) เมื่อนั้น สางแลกูมั่งคั่ง เหลืออยู่นั้น เส้าไส้เกิด(เหลืออยู่ยังมาเกิด) คนเหลืองหาย เมื่อนานมา หมู่มึงเกิดมาก คิดมาก สร้างหลาย มีเลื้อ คนเมืองสรวงเถิงเมืองอื่น ฆ่ากันตายทั่วหนาวร้อน คนกลัวหนีเข้าถ้ำ ป่า เขา เมื่อเมืองเงียบตายหมด คนเหลือออกมาเห็นกัน แม้กลัว ชวนเข้าถ้ำ อยู่ถ้ำ บ้านเมืองสิ้น ผ้าหาย ลืมทำเอาใบไม้นุ่งห่มกันมา

    แผ่นลำดับที่ ๗๑๖ หน้า๑ นี้
    เป็นระยะกาลเมื่อ ๖๖๐๐ ปีมาแล้ว เป็นตอนที่ขุนสือไทย และขอมฟ้าไทยได้คิดลายสือไทยสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้เชิญขุนสรวงและนางสางมาทรงไทยงามได้เล่าเรื่องเมื่อต้นกัป พุทธันดรที่ ๑ ในกาลก่อนพุทธกาลนี้ ขุนสรวงเรียกพระพุทธว่า คนเหลือง ๑ เส้นหนักบนเป็นลายสือไทยว่า หนึ่ง มุมล่างซ้ายจะเห็นเส้นอ่านเป็นเลขได้ว่า ๑ ขุนสือไทยและขอมฟ้าไทยได้ทำเครื่องหมายรู้ไว้ให้เห็นอย่างแจ้งชัด ตัวเลือนมาก อ่านได้ความอย่างนี้ ได้อ่าน และรู้เรื่องขึ้นอย่างนี้ ทั้งมีเครื่องหมายเลข ๑ เห็นอยู่ด้วย และยังมีองค์ที่ ๒ ที่ ๓ อยู่จะได้ใส่ในตอนต่อไป ทั้งนี้เพื่อยืนยันเรื่องเดิมของเราว่า ของเรานั้นมีอยู่แล้ว ได้พบ จึงได้นำเอามาเปิดเผย ได้เป็นเรื่องของไทย ทั้งยืนยันว่า ไทยนี้มีอยู่แล้ว ทั้งทราบเรื่องของไทยมาด้วยวิธีการเชิญมาทรง ให้เล่าบอกกับทั้งคิดลายสือบันทึกเรื่องราวไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังๆได้ทราบกันอย่างที่ปรากฎมานี้ เพราะเหตุที่ได้เหลือมาถึง จึงทราบได้ ถ้ามิฉะนั้นแล้วก็คง ไม่มีความรู้เรื่อง ทั้งนี้ผลของกรรม คือ การทำไว้ได้ประโยชน์ทั้งในอดีตมาถึงปัจจุบัน และคงไปในอนาคตอีก นับว่าเป็นประโยชน์ยอดอุดมคติทีเดียว
    ยุคนี้ ตรงกับ พุทธันดรที่ ๑ ตามอัคคัญญสูตร์ได้เล่าถึงยุคต้น คือ พวกอาภัสสรกายมากินรสปฐวี เสื่อมหายฐานะอันดี จึงเปลี่ยนจากทิพยกาย เป็นมนุษย์ต้นเผ่าต่างๆ ตอนนั้นว่าไม่แก่ไม่ตาย มีอายุยืนเป็นอสงไขย(นับไม่ได้)คงจะเป็นได้ เพราะยังไม่มีการกำหนดนับกาล เมื่อเกิดมัวเมาประมาท จึงต่างประพฤติอกุศลกรรม อายุก็ลดถอยลง กระทั่งมีอายุวัย ๔ หมื่นปี พระกุกกุสันธ ตรัสรู้แล้ว ได้ทรงอยู่ ๔ หมื่นปี จึงดับขันธปรินิพพาน จากนั้น อายุกฎลดลงจนกระทั่งถึง ๑๐ ขวบ ถึงกาลมิคสัญญี คือเห็นเป็นสัตว์เนื้อ ต่างประหัตประหารกัน ที่เห็นภัยก็หลบเข้าถ้ำ ป่า เขา เมื่อตายกันหมดแล้ว จึงออกมาเริ่มชีวิตกันใหม่ เป็นกาลสุดพุทธันดรที่ ๑ เริ่มพุทธันดรที่ ๒
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0001.jpg
      scan0001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      576.7 KB
      เปิดดู:
      8,080
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  15. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พระพุทธกุกกุสันธกาล (ยุคไทยขุนสรวง สาง) เรื่องทั้งนี้ ได้รวบรวมเรียบเรียงขึ้นถึงพระพุทธันดรทั้ง ๓ ที่มีมาแล้ว และ มีเรื่องปรากฎอยู่เฉพาะเท่านั้น ได้นำมาเป็นหลักฐาน ๓ พุทธันดร และ ไทย ๓ กาลที่ปรากฎอยู่ ณ ยุคขุนสรวง นางสางนั้น อันตรงกับพุทธันดรพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์ ซึ่งมีเรื่อง -พระเจ้าจักรพรรดิมีนามชื่อว่า - พระมหาปนาทบรมจักรพรรดิ ซึ่งมีปรากฎในอนาคตวงศ์ว่า ในสมัยพระพุทธกาลนั้น ได้มาเกิดเป็นช้างป่าชื่อ - ปาลิไลยยกะ ได้ทะนุบำรุงพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๓ เดือน ณ พระพุทธพรรษาที่ ๑๐ นั้น ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพยากรณ์ว่า - จะได้ตรัสรู้เป็น - พระพุทธองค์พระองค์หนึ่งเป็นที่ ๑๐ มีพระนามว่า - พระสุมงคลสัมมาสัมพุทธองค์ ในอนาคตกาลอีกด้วย พอเป็นเรื่องอ้างขึ้นได้ จึงนำมาอ้างเพื่อรู้ระยะกาลสมัยดึกดำบรรพ์นั้น เฉพาะไทยนี้ มีเพียงชื่อที่ยังคงอยู่ในความรู้ของไทย เมื่อมีเรื่องอยู่ก็จะได้มีเค้าความจะได้ความสำคัญขึ้น เฉพาะก็คือ -]มีเล่าถึงการคิดตัวหนังสืออ่านได้ และเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสได้ จะอย่างไรก็ตามเรื่องที่มีมาแล้ว และ พระคันถรจนาจารย์ท่านได้จารึกลงในใบลาน กระทั่งเป็นคัมภีร์ที่ยืนยงคงมาแล้วอย่างน้อยก็เกือบ ๒๐๐๐ ปี หรือกว่า ดียิ่งกว่าฝรั่งที่เขียนกันในเร็วๆนี้ ซึ่งยืนยันว่า - หลักฐานนี้มีมานานแล้ว และพระคันถรจนาจารย์ท่านเขียนสืบต่อกันมา ก็คงจะหลายสิบองค์จึงยั่งยืนอยู่มาได้จนถึงบัดนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2017
  16. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ในกาลก่อน กระทั่งถึงกาลพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น
    ในกาลนั้น ชมพูทวีปมีชื่อว่า โสฬสนคร(๑๖นคร)ซึ่งปรากฎใน อนาคตวงศ์ ระบุถึงต้นภัทรกัป เป็นยุคสมัยพระพุทธองค์ทรงพระนามว่าพระกุกกุสันธ อันตรงกับยุคสมัย - ขุนสรวงและเมืองสรวงไทย ก็คือ เมืองทอง และ สุวรรณภูมิรัฐประเทศไทยนี้ซึ่งยุคสมัยเดิมนั้น - ชื่อว่า -เมืองสรวง
    ก็กาลที่มีอายุเจริญขึ้นไปถึงอสงไขยแล้วลดลงมาถึง ๔ หมื่นปีเป็นอายุขัยนั้น ชมพูทวีป หรือ มัชฌิมชนบท ซึ่งยุคสมัยนั้นเป็น - โสฬสนคร คือเมือง ๑๖ นั้น ส่วนทางช่วงแหลมทอง ก็มีชื่อว่าสุวรรณทวีป ก็คือเมืองทอง หรือเมืองถิ่นทอง ซึ่งเป็นชื่อที่ต่างๆอยู่ในเมืองสรวงนั้น ได้มีมาตั้งแต่ขุนสรวงและนางสางได้มีลูกหลานแผ่เชื้อสายสืบต่อกันตลอดมา จึงเจริญขึ้นกระทั่งนับไม่ได้ ก็คือ - กาลดึกดำบรรพ์นั้น ครั้นอายุลดลงมาถึงกาล ๔ หมื่นปีเป็นอายุขัย ซึ่งเป็นกาลพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น แหลมทอง มีชื่อว่า - เมืองทอง
    ครั้นกาลเวลาล่วงมามากๆเข้า ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป จึงมีชื่อต่างๆขึ้น เช่น ชื่อเมืองทอง เมืองแก้ว เมืองพริบ คือเมืองเพชร เมืองพลี คือ เมืองแก้วแสง ก็คือ เมืองไพลิน หรือ เมืองพลิน บางทีก็ชื่อ - กรุงพาลี ถ้าเป็นชื่อ - พ่อขุน แม่ขุน ก็มีชื่อว่า - ท้าวกรุงพาลี จ้าวแม่ หรือ นางพระยากรุงพาลี ชาวเมืองก็เรียกชื่อ - ชาวเมืองพาลี ชาวกรุงพาลี หรือ ชาวพาลี ชาวพลิน ชาวไพลิน โดยเฉพาะชื่อว่า - เมืองแก้ว และ ขุนแก้ว นั้นว่า-มีสืบมาจากเมืองสรวง และ เมืองทอง

    แต่ก่อนกาลพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น พ่อขุนแก้วไทยฟ้า กับ นางพระยาก่องแก้วมีลูกชายทรงโปรดปรานมากจึงตั้งชื่อว่า - ยอดแก้วไทย ทั้งได้แก้วหินสุกสว่างก้อนหนึ่ง จึงเปลี่ยนชื่อ - เมืองทอง ขนานชื่อตามแก้วแสงก้อนใหญ่นั้นว่า - เมืองแก้ว พริบพลี และพระลูกเจ้า-พ่อขุนยอดแก้วไทยฟ้านี้ เมื่อทรงเป็นมหาขุน ได้มีเนมิตนามชื่อว่า -พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ ในพระพุทธวงศ์ และ อนาคตวงศ์ ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ตรัสแก่พระสารีบุตรเถร ทรงตรัสไว้ตั้งแต่สมัยปฐมโพธิกาล ณ คราวที่เสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์ครั้งแรกในพระพุทธพรรษาที่ ๓ ได้ทรงกระทำตามพระพุทธวงศ์ ก็คือพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสรู้มาแล้ว และได้ตรัส-อนาคตวงศ์ ก็คือ พระพุทธองค์ที่จะได้ตรัสรู้ในอนาคตกาลอีก ๑๐ พระองค์ อนาคตวงศ์ทรงปรารภ-พระนางมหาปชาบดีโคตมี และ อชิตภิกขุ จึงตรัสทักขิณาวิภังคสูตร์ ต่อมา พระสารีบุตรเถรได้ทูลถาม จึงตรัสอนาคตวงศ์ จะได้ย่อพอได้ความ เพื่อเป็นหลักฐานในยุคสมัยขุนสรวงนางสาง และ พระพุทธันดรพระกุกกุสันธพุทธกาลนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2017
  17. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ในกาลที่อายุมนุษย์ลดลงมาเหลือเพียง ๔หมื่นปีนั้นชมพูทวีปได้มีชื่อว่า โสฬสนคร
    ในส่วนอื่นมีชื่อว่า เมืองทอง และเมืองแก้ว ปนๆกันอยู่
    คือ เมืองพลิน กรุงพาลี บ้าง ช้างป่า-ชื่อปาลิไลยยกะซึ่งเป็นพระบรมโพธิสัตว์วิริยาธิกพุทธภูมิ ได้เกิดเป็นสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ทรงพระบรมเดชานุภาพตลอดทวีปทั้ง๔ทรงมี สัตตรัตนสมบัติ๗ประการ กับมี คทาใหญ่ สถิต ณ เชิงรอง ซึ่งตั้งบนพานทองใหญ่อันเป็นนิมิตสมบัติจักรพรรดิชุดบก และเป็นเนมิตนามชื่อว่า มหาปนาทจักรพรรดิเป็นประจำมา

    ก็สัตตรัตนสมบัติ๗ประการนั้นคือ ๑)จักกรัตนะ จักร์แก้ว๒)หัตถิรัตนะ ช้างแก้ว ๓)อัสสรัตนะ ม้าแก้ว ๔)มณีรัตนะ มณีแก้ว แก้วทับทิม๕)อิตถีรัตนะ นางแก้ว ๖)คหปติรัตนะ ขุนคลังแก้ว ๗)ปรินายกรัตนะ ขุนพลแก้ว

    ทั้งนี้มีอยู่๒ชุด ชุดบกและชุดน้ำ ถ้ามีพระคทาใหญ่(กระบองยอด) สถิต ณเชิงตั้งบนพานทองใหญ่ เพราะมหาคทานั้นเป็นนิมิตที่ระบุนามชื่อว่ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ จึงเป็นชุดบกหรือชุดแผ่นดิน

    และสัตตรัตนสมบัติ๗ประการนั้น แต่มี สังข์ใหญ่ หรือมหาสังข์สถิต ณ เชิงพานทองใหญ่ อันเป็นนิมิตสมบัติจักรพรรดิชุดน้ำ หรือชุดทะเล
    และทั้ง๒ชุดนั้น ก็มีปราสาทแก้ว ปราสาททอง หรือ รัตนปราสาท สุวรรณปราสาทพร้อมกับมร แก้ว,ทอง,เงิน,แร่ธาตุต่างประดับพร้อมทุกประการ

    ในพระพุทธันดรต้นภัทรกัปนี้พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ ได้อุบัติขึ้นแล้ว ณ เมืองแก้วมีนามว่า ยอดแก้วไทยครั้นเจริญถึงอายุกาลแล้ว จึงมีปราสาทแก้วปรากฏขึ้นแม้ภูเขาใหญ่ๆก็กลายเป็นปราสาทขึ้น บ้างก็เกิดเป็นพื้นทองขึ้นเป็นสิริเกียรติสมบัติ บริชน และพาหนะก็เป็นรัตน จึงเป็น สัตตรัตนสมบัติมีมหาคทาสถิตเป็นสิริบรมจักรพรรดิราชสมบัติ ณ ทวีปทั้ง๔ มีทวีปน้อย๒พันเป็นบริวารทรงสำราญเป็นปกติตลอดกาลนาน ในกาลชนม์ชีพนั้น ทรงชำนาญศิลปวิทยาการตลอดทุกชนิดได้ทรงประดิษฐ์และสร้างเสกสรรเครื่องกลต่างๆได้ และปรินายกช่วยทำขึ้นตามประสงค์

    บางทีช้างแก้ว ม้าแก้ว นำมาให้ บางอย่าง จักรแก้วบันดาลให้ เช่นดวงแก้วลอยในท้องฟ้า ส่องให้มองเห็นได้ทั่วทุกทวีปใหญ่น้อย หลายอย่างที่แก้วมณีรัตนดลดาลให้เช่น ไฟฟ้า และเสียงสายฟ้า

    ที่ทรงคิดเป็นพิเศษก็คือ - ลายสือ ซึ่งทรงคิดว่าถ้าเอาเสียงคำพูด กับจำนวนนับเข้าลายเส้นได้ คงจะคงที่ และอยู่ได้นานทั้งจะนำไปไหนก็ได้ เมื่อครุ่นคิดอยู่นั้น ด้วยบุญญานุภาพพระบารมี๑๐ ทั้งรัตน๗และเทพโพธิสัตว์มิตรสหายทั้งหลาย ก็ร่วมกันส่งแสงสว่างเป็นปัญญาบารมีพร้อมพลันก็บันดาลให้เกิดปัญญาญาณสว่างแจ้ง ส่องให่เห็น ก.กา ข.ขา ข่า. ข้า เป็นต้นและอินทรีย์ทั้งปวงก็คล่องแคล่ว จึงใช้มือเขียนได้ ใช้เสียง และปาก อ่านได้ใช้ปัญญาส่องทราบได้ว่า ถูก และผิด

    เมื่อทรงคิดได้ เขียนได้ อ่านได้คงที่และชำนาญแล้ว จึงสอนขุนคลังแก้วให้ทำบัญชี สอนขุนพลแก้วให้เขียนวิชาสอนทหารและเขียนกดหมาย และสอนชาวเมืองให้เขียนวิชาต่างๆ และให้นางแก้วทั้งบริวาร เรียนเขียน จดคำสอน คำเพลง คำกลอน และข้อความทำดีให้จำ ทำชั่วให้ละเว้น มีการประพฤติผิดลักฉ้อ ทำร้ายฆ่าฟัน กล่าวเท็จหลอกลวง กินดื่มของมึนเมา และ ติดตัง

    เอื้อเอ็นดู ช่วยเหลือกัน ซื่อตรงต่อกัน อ่อนน้อมผู้ใหญ่พ่อแม่ผู้ชายให้รู้ต่อสู้ทำงาน ป้องกันตัว คุ้มครองสินตน ผู้หญิงเรียนรู้การครัว การเรือนเลี้ยงลูก คุ้มครองสินสาวตัวตน ตลอดถึงทุกคนให้รู้เซ่นสรวงอำนวยผีต้น ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2017
  18. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ครั้นล่วงมาถึงกาล สมเด็จพระกุกกุสันธได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธองค์แล้วได้เสด็จไปแสดงพระธรรมจักกัปปวัฎฎนสูตร์จบแล้ว เทพพรหมตลอดสุดนั้นได้เปล่งเสียงรับต่อๆกัน ทั้งได้เกิดมหัศจรรย์ให้หมื่นโลกธาตุสะท้านสะเทือนหวั่นไหว ตลอดถึงเมืองแก้ว ซึ่งได้ทำให้มหาคทานั้นพลัดตกจากเชิงกระเด็นลง ณ พื้นปราสาท แต่ไม่แตกหัก จึงทรงดำริถึงบุญบารมี มหาคทาก็ลอยขึ้นสถิต ณ เชิงตามเดิม ได้ทรงเห็นเช่นนั้น ]ทรงดำริก็ทรงทราบด้วยญาณปัญญาว่า พระมหาบุรุษได้อุบัติ และได้ตรัสรู้ กับได้แสดงธัมมจักกัปปวัฎฎนสูตร์จบแล้ว เป็นกาลถึงพร้อมพระรัตนไตรแล้ว พระเจ้าจักรพรรดิจึงตรัสประกาศให้รัตนะนั้นๆไปนำรัตนะนั้นๆมาถวายให้ตลอด ได้ทรงสำราญประทับอยู่โดยปกติ

    พระพุทธกาลที่ได้ตรัสรู้นั้นได้ล่วงไปนาน กระทั่งพระปัญญาบารมีแก่กล้าที่จะเพิ่มได้อีก ทรงระลึกได้ จึงตรัสสั่งขุนคลังแก้วว่า ท่านจงไปสู่โสฬสมหานครนั้น นำเอามณีรัตนมาให้เรา ขุนคลังแก้วได้รับโองการแล้ว เพราะเป็นคหบดีรัตนจึงมีอิทธิพลสมบูรณ์ ได้เหาะขึ้นไปยังโสฬสมหานครทางอากาศ

    ณ ปัจจุสมัยเช้าตรู่วันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ากุกุกสันธนั้นทรงทอดพระเนตรตรวจโลกได้ทรงเห็น และทรงทราบแล้ว มีพระพุทธประสงค์ทรงโปรดพระอนาคตพุทธองค์ทั้งสองนั้น และวันนั้นเป็นวันอุโบสถและวันฟังธรรม ประชาชนต่างหลั่งไหลไปสู่มหาวิหาร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับในมหาวิหารนั้นได้ประทับอยู่ในสมาธิทรงอธิษฐานพระพุทธรัสมีให้แผ่ซ่านสว่างไปในอากาศให้เห็นได้เฉพาะ คหบดีรัตนก็ได้เห็นในอากาศแต่ที่ห่างไกล
    คหบดีรัตนได้ลงสู่พื้นก็ได้เห็นหมู่ชาวชนหญิงชายต่างไหลหลั่งเข้าสู่มหาวิหารเพื่อรักษาอุโบสถ และฟังธรรม ก็เข้าไปด้วย ครั้นเข้าไปแล้วก็ได้เห็นพระกุกกุสันธซึ่งประทับนั่ง ณ พระพุทธอาสน์ก็มิได้รู้จัก ได้กระทำเคารพกราบไหว้แล้วจึงถามว่า มาณพผู้เจริญ ท่านมีนามชื่อว่าอะไร จึงมีรูปโฉมเป็นอันดี ได้ฟังตรัสตอบว่า-คหบดีรัตน เราชื่อว่า พุทธศาสดาจารย์ ซักต่อไปว่า - ท่านชื่อว่า-พนะศาสดาจารย์ เพราะอะไร ได้ฟังตรัสตอบว่า-เราชื่อว่า-ศาสดาจารย์นั้น ก็เพราะประกอบด้วยอาจริยคุณ๓๑ ว่า อิติปิ โส ภควา (พระพุทธคุณนี้ นับเป็นตัวอักษรได้๕๖ นับเป็นศัพท์ได้๓๑ จึงเป็นคุณ๓๑)
    ขุนคลังแก้วจึงจดจารึกเป็นลายสือลงบนแผ่นทองคำ แล้วจดจารึกอาการ๓๒ คือ เกสา โลมา ฯลฯ มุตตํ มตถเก มตถลุงคํ(ผม ขน ฯลฯ มูต มันสมอง) กับจดจารึก ทวัตติงสมหาปุริสลักษณะ๓๒ประการ และจดจารึกกำหนด อนุพยัญชนะ๘๐ กับทั้งวาดเขียนพระรูปโฉมส่วนสัดสูง๖๐ศอก ลงในแผ่นทองคำทั้ง๒ เสร็จแล้วได้กราบทูลลาเหาะลอยกลับมายังพระราชสำนักสมเด็จพระมหาปนาทบรมจักรพรรดิ ได้ถวายพระสุพรรณบัฎทั้ง๒ นั้นให้ทอดจักษุญาณพิจารณาพระคุณพิเศษ และพระสิริลักษณะพระรูปโฉมส่วนสัดพระองค์สูง๖๐ศอกของพระกุกกุสันธพุทธองค์นั้น พร้อมกับตัวสือจารึกพระพุทธคุณ๓๑ และอาการ๓๒ ทั้ง๒อย่างนั้น

    ได้ทอดพระเนตรแล้วมิได้รู้จัก และมิได้ทราบแจ้งพระพุทธคุณนั้น ฯ จึงตรัสถามปุโรหิตพราหมณ์ซึ่งเฝ้าอยู่นั้น ก็ได้ทรงสดับคำทูลว่า - อักษรลายสือจารึกนี้เป็นพระพุทธคุณเที่ยงแท้แล้ว ดังนี้

    สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิได้สดับแล้วทรงเกิดปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัยสลบลงกับที่
    ครั้นทรงฟิ้นขึ้นแล้วจึงตรัสถามอีกได้สดับคำทูลว่า พระคุณวิเศษนี้ เป็นพระพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธเที่ยงแท้แล้ว ดังนี้ ก็ทรงปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัยสลบลงอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้นทรงฟื้นขึ้นแล้วก็ได้ตรัสถามถึงภาพวาดเขียนพระรูปโฉมสิริลักษณ์วรกายนั้นเป็นอย่างพระพุทธรูปจริง หรือ ประการใด ก็ได้สดับคำทูลว่า-พระรูปโฉมที่วาดมานี้เป็นพระรูปโฉมของสมเด็จพระพุทธองค์เที่ยงแท้ ดังนี้แล้ว ก็ได้ทรงปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัยสลบลงอีกเป็นคำรพที่๓
    ครั้นทรงฟิ้นแล้วได้ตรัสว่า-บัดนี้ เราได้ฟังประพฤติเหตุแห่งสมเด็จพระพุทธองค์อันเป็นดวงแก้วหาค่ามิได้ เพราะตัวท่านอันเราใช้ให้ไป จึงได้รู้แจ้งพระพุทธรัตนนั้น เครื่องสักการะบูชาอื่นๆ หาควรกระทำสักการะบูชาแก่ท่านไม่ สมบัติจักรพรรดิทั้งหมดนี้จึงควรแก่ท่าน ดังนี้แล้ว ได้ทรงกระทำราชาภิเษก คหบดีรัตนขุนคลังแก้วให้เสวยสิริราชสมบัติจักรพรรดิ กับได้ทรงอธิษฐานสัตรัตนสมบัติทั้งพระมหาคทาให้คงอยู่เพื่อดำรงสิริสมบัตินั้นๆให้ครองครองสืบต่อไปแล้ว

    สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิทรงสละจักรพรรดิสมบัติแล้ว พระองค์เดียวเสด็จไปทางทิศภาคที่สมเด็จพระกุกุกสันธบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ โสฬสมหานครนั้น ด้วยพระตนุกานุภาพพระเจ้าจักรพรรดิอันมีฉลองพระบาทแก้ว และ พระมหามกุฏแก้วนั้นซึ่งประจำพระองค์อยู่จึงส่งให้เสด็จได้เร็ว แลเสด็จได้ไกล

    ครั้นเสด็จถึงมหานิโครธ ไทรใหญ่ต้นหนึ่ง จึงเข้าไปอาศัยประทับนั่งในร่มไทรนั้นพอบรรเทาเหน็จเหนื่อยแล้ว ทรงสบายพระวรกายแล้ว ก็ทรงกระทำนมัสการลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ไปในทางที่พระพุทธองค์ประทับอยู่นั้นแล้ว ทรงกระทำอธิษฐานปราถนาว่า-พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโปรดให้ปีติโสมนัสในพระองค์เกิดแก่ข้าพระองค์แล้ว ด้วยเดชะความสัตย์นี้ ขอบริขาร๘อันเป็นทรัพย์มรดกของพระภิกษุสงฆ์จงเลื่อนลอยมาเถิด
    ครั้งนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูกุกกุสันธทรงทราบวาระจิตแล้ว จึงตรัสให้บริขาร๘นั้นลอยมาตกลงตรงพระพักตร์พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดินั้นด้วยพระพุทธานุภาพ สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิได้ทอดพระเนตรเห็นเป็นมหัศจรรย์แล้วได้ใช้พระหัตถ์ทั้งคู่นั้นประคองบริขาร๘ยกขึ้นเหนือเศียรเกล้า ตรัสว่า-บริขาร๘เราจักอาศัยท่านออกจากสังสารทุกข์ ให้ได้พบพระนิพพานอันประเสริฐสุดวิสัย ตรัสเสร็จแล้วทรงเปลื้องเครื่องราชอิสริยาภรณ์ออกจากพระวรกายแล้ว ได้ครองสบงทรงจีวรซ้อนสังฆาฎิพาดคาดกายพันมั่นคงทรงเพศบรรพชิตอุปสมบทเป็นภิกษขุภาวะสำเร็จแล้ว จึงเอาพระมหามงกุฏแก้ววางลงในฝ่าพระหัตถ์แล้วตรัสว่า-มงกุฎแก้ว จงไปสู่สำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระองค์ว่า-บัดนี้ พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิเสียสละราชสมบัติออกทรงเพศบรรพชิตเป็นพระภิกขุในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความปราถนาเพื่อจะมายังสำนักสมเด็จพระทศพลญาณ ท่านจงไปกราบทูล ดังนี้แล้ว มหามงกุฎแก้วก็เลื่อนลอยไปในอากาศเวหาประดุจว่าพระยาราชหงส์ ถึงแล้วจึงลงยังสำนักแล้วตั้งอยู่แทบพระบาท ได้กราบทูลดุจมีวิญญาณ
    สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์ได้ตรัสรับว่า-สาธุ แล้ว ลำดับนั้น สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิซึ่งสำเร็จเพศเป็นพระภิกขุด้วยพระพุทธดำรัสว่า-สาธุ ดังนี้แล้ว จึงเป็นอุปสมบทสมบูรณ์แล้วด้วย พระองค์ก็เที่ยวโคจรบิณฑบาตไปตามละแวกบ้าน ได้อาหารบิณฑบาตพอเป็นยาปนมัต ก็บริโภคฉันพอทรงพระชนม์ชีพ สำเร็จแล้ว ก็เจริญพระกัมมัฎฐานอยู่ในที่อันสมควร พิจารณาซึ่งพระพุทธคุณว่า-อิติปิ โส ภควา เป็นอาทิ และเจริญกายคตาสติ-กัมมัฎฐานว่า-เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ฯลฯ(ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ) เป็นต้น ทรงเจริญไปด้วยอุตสาหะตลอดอย่างนั้น ได้ยังโลกียณาน และอภิญญา๕ ให้บังเกิดขึ้นด้วยพระบารมีที่สร้างสมมานานแล้วนั้น จึงเหาะลอยขึ้นไปโดยทางอากาศเวหากระทั่งถึงสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า พอได้โอกาสจึงเข้าเฝ้าได้ทัศนาการพระรูปโฉม และพระสิริลักษณะของสมเด็จพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์อันประดับไปด้วยพระมหาปุริสลักขณะ๓๒ และ อนุพยัญชนะ๘๐ อันงามบริบูรณ์ครบทุกประการแจ่มแจ้งแล้ว ก็บังเกิดปีติโสมนัสปลาบปลื้มเต็มเปี่ยมซาบซ่านทั่วสรพางค์ตลอดสกลกายแล้วก็สลบลง ณ ที่นั้น



    สมเด็จพระภควันต์ทรงเอาอุทกวารีประพรมลงเหนือพระอุระก็ทรงฟื้นสมประฤดีขึ้นมา แล้วพระองค์จึงถวายนมัสการกราบลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์แทบพระบาท กราบทูลอาราธนาให้สมเด็จพระพุทธองค์ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนา ครั้งนั้น สมเด็จพระกุกกุสันธทศพลบรมศาสดาจารย์ก็ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนาว่า-ภิกขุ ท่านจงพิจารณาซึ่งสภาวธรรมที่จะนำตนไปสู่พระนิพพานด้วยตนเองเถิด

    พระภิกขุมหาปนาทฯบรมโพธิสัตว์วรพุทธางกูร ได้สดับกระแสพระพุทธดำรัสตรัสเป็นนัยดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ปีติโสมนัสอิ่มอาบซาบซ่านทั่วสรพางค์กาย จึงทรงอธิษฐานใช้เล็บของพระองค์ให้คมดุจมีดโกนเด็ดเศียรเกล้าตรงคอให้ขาด แล้วจับยกขึ้นกระทำสักการะบูชา ฝ่ายเศียรเกล้านั้นได้กราบทูลว่า-พระองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ได้โอกาสโปรดฝูงสัตว์ทั้งหลายก่อน ข้าพระองค์มีความปราถนาเป็นพระพุทธองค์เมื่อภายหลัง ด้วยผลศีลทานของข้าพระองค์ในครั้งนี้ ขอเชิญองค์พระอัครมุนีพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดเสด็จสู่พระนิพพานก่อนเถิด ข้าพระองค์ขอตามเสด็จพระพุทธองค์เข้าสู่พระนิพพานต่อภายหลัง
    พอขาดคำแล้ว พระภิกขุมหาปนาทบรมจักรพรรดิก็ดับขันธ์สิ้นชีวิตินทรีย์ และพลันนั้น พระเศียรซึ่งตั้งบนฝ่าหัตถ์ทั้งคู่ก็เกร็งแข็งด้วยอานุภาพอธิษฐานชูบูชาอยู่ตามเดิมนั้น ก็ลุกโพลงขึ้นตลอดถึงพระสรีรสรพางค์เป็นดวงประทีปเทียนสักการะบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์ พระธรรม พระสงฆ์ ตามธรรมนิยม มีกลิ่นหอมเป็นทิพย์ มีสว่างกระจ่างแจ่มแจ้ง ไม่มีควันอบอวล ไม่ร้อนอบอ้าว เป็นดวงสุกโพลงเฉพาะ ไม่ไหม้ลุกลามไปอื่น ทั้งนั้น เป็นไปตามพระพุทธานุภาพที่ได้ทรงโปรดประทาน ส่วนพระภิกขุพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดินั้นก็จุติไปอุบัติเกิด ณ ดุสิตสวรรค์เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขสถาพร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2017
  19. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดินี้ ในเรื่องว่า-ครองอาณาจักรวรรดิ หรือจักรพรรดิราชสมบัตินั้น ซึ่งมีทวีปใหญ่ทั้ง ๔ จะเห็นในปัจจุบันนี้มีก็คือ ชมพูทวีป คือ ทวีปเอเซียยุโรป๑ กาฬทวีป ทวีปดำ คือ แอฟริกา ชาวคนดำ-เป็น ๒ กัทมทวีป ทวีปเทา คือ โปลา ออสเตรเลีย ชาวคนเทา เป็น๓ ปภัสรทวีป ทวีปแสงแดง หรือ ปุพวิเทห คือ ทวีปตะวันออก ก็คือ เอมุก อมริก อเมริกา ไทยว่า มริกัน เป็นที่๔
    คนไทยนี้ก็ไปอยู่ทั่วมาแล้ว จึงเห็นว่าเป็นไปได้ ได้นำมาอ้างขึ้นตามต้นเรื่องนั้น ทั้งอนาคตวงศ์นี้ก็เป็นต้นเรื่องดึกดำบรรพ์ทั้งในอดีตและ อนาคต และทั้งทวีปใหญ่ในโบราณก็มี๔ชื่อ คือ
    ๑.ชมพูทวีป ๒.อุตตรกุรุทวีป ๓.ปุพพวิเทหทวีป ที่ใกล้กับไทยก็ลงไปถึงออสเตรเลีย ๔.อมรโคยานทวีป ชื่อก็ใกล้กับ เอมุก อมริก อเมริกา


    ต้นเรื่องติโรกุฑฑสูตร์เล่าว่า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่พระเจ้าพิมพิสาร เล่าในกาล พระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธ หมู่เปรตเข้าไปทูลถาม พระกุกกุสันธตรัสว่า "อนาคตแผ่นดินใหญ่สูงขึ้นประมาณ ๑ โยชน์ พระโกนาคมนสัมมาสัมพุทธจักอุบัติ "

    ไม่ทรงกำหนดกาลตามพระพุทธพจน์นั้น ได้กาลแผ่นดินสูง ๑ โยชน์ ๑๖ ก.ม. ถึงยุคมิคสัญญีก็ได้ครึ่งโยชน์ ๘ ก.ม.

    โลกวิทยาว่าโลกมีอายุ ๕ ๕๐๐ล้านปี จากกาลผีฟ้าแสง อาภัสสรกายถึงพระกุกกุสันธกาล ตลอดถึงยุคมิคสัญญี ซึ่งกาลนี้โลกวิทยากล่าวว่ายังลุกเป็นดวงไฟมหึมาอยู่ ของเราเย็นเป็นแผ่นดินโลกมาแล้วมีอายุล่วงมาได้ ๕๐๐ กับ ๑๐๐๐ ล้านปีที่ ๑ ตรงกับยุคขุนสรวง กำหนดกันง่ายๆว่า
    ยุคสรวง พุทธันดรที่ ๑ กาลพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธ เท่ากับ ๕ ร้อยล้านปี กับพันล้านปีที่๑ คร่อมเข้าพันล้านปีที่๒ แผ่นดินสูง ๑ โยชน์ (๑๖ ก.ม.)ตรงกับสมัย "สรวง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2017
  20. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401

    a.2217644.jpg

    ยุค ๒ (พุทธันดรที่๒) ขุนแถนเทียนฟ้า สีทองงาม


    ยุคแถน ชื่อขุนแถนเทียนฟ้า และเมืองแถน เป็นยุคตั้งแต่ครึ่งหลังพุทธันดรที่๑ จนถึงครึ่งต้นพุทธันดรที่๓


    กาล และ ขุนแถนเทียนฟ้า กับ ขุนนางสีทองงาม หรือปู่แถน ย่าแถนนี้ ซึ่งเป็นขุนต้นผีที่ยั่งยืนมาก ณ เชียงใหม่และลำปาง
    ในภาคกลางนี้มีเพียงชื่อ ยิ่งนำมาตั้งชื่อคนหรือสถานที่แล้วก็เป็นของธรรมดาไป
    เฉพาะในทางพระพุทธศาสนา มีกาลพระโกนาคมนสัมมาสัมพุทธ
    ในส่วนของไทยนั้น มีเพียงชื่อ "แถน" ทั้งไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นจุดให้คงความสำคัญจึงเป็นของเร้นลับ หรือเพียงคำพังเพยกันเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีรูปคนเคารพปรากฎอย่างที่ได้พิมพ์มานี้(ในหนังสือ)

    เมื่อมาได้จารึกกระเบื้องจานได้ทราบเรื่องแล้ว จึงได้รู้เรื่องและได้ยืนยันพระพุทธันดรที่ ๒ นั้น คนไทยเราก็มีอยู่แล้วในชื่อและกาลสมัยว่า เมืองแถน ขุนแถน แลชาวแถน จึงเป็นที่รับรองชื่อซึ่งคงอยู่มา โดยชาวเชียงใหม่ ลำปางได้เคารพนับถือเป็นต้น หรือเป็นต้นผี

    ได้เคยเห็นรูปเคารพ ทำเป็นเปลือยก็มีอันเป็นเรื่องของ ต้น[ ทั้งต้นคนและต้นผี จึงได้ทำรูปเคารพขึ้นไว้ได้เคารพนับถือระลึกถึงกันมา ปู่แถน ย่าแถน จึงได้อยู่ยงคงสถานะต้นตระกูลมาถึงกาลบัดนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0002.jpg
      scan0002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      150 KB
      เปิดดู:
      6,950
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2017
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...