ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่หล้า เขมปัตโต

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 9 กรกฎาคม 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อดีต อนาคต เป็นเมืองขึ้นของปัจจุบัน

    บุคคลไม่เห็นกองทุกข์ชัดด้วยตนเองในปัจจุบัน อดีต อนาคตให้เสมอภาคด้วยคนเองชัดแล้ว ไฉนความเพลินในสงสารจึงจะลดลงได้ เมื่อความเพลินในสงสารไม่ลดลง ตัณหาความทะเยอทะยานก็ไม่ลดลง ทุกข์ทางใจก็ไม่ลดลง การเดินมรรคทางปัญญา มรรคภาวนาวิปัสสนาญาณก็ไม่ดูด นิโรธธรรมอันดับตัณหา ดับทุกข์ทางใจก็ไม่กระจ่าง คล้ายกับคนตาฟางเดินทาง แม้จะไปในรถในเรือก็มองเห็นอะไรไม่ถนัดโดยส่วนตัวได้

    อดีต อนาคต ทางพระพุทธศาสนาไม่ใช่ว่าจะเป็นของไม่มีค่าเหลิงเจิ้งไปหมดโดยส่วนเดียว อดีตที่เป็นประโยชน์ ก็จะได้เอามาเป็นเยี่ยงอย่างในทางดี ที่ไม่เป็นประโยชน์ก็จะได้เข็ดหลาบเว้น

    แม้อนาคตที่ตั้งสัตย์ไว้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็จะได้เตรียมรักษาไว้ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ก็จะได้เว้น เช่น เราเดินทาง แม้ขาเราจะยังไม่ก้าวไปถึงก็ตาม ก็ต้องเห็นที่จะก้าวที่จะเหยียบล่วงหน้าก่อนก้าวไป ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดเพื่อพ้นจากความหลงและความเข้าใจผิดอันมึนงง ไม่โยงอดีต อนาคตเป็นพยานกันในปัจจุบันพลันด่วนให้ชัดแจ้ง แม้จะมีนิสัยวาสนาเป็นสุกขวิปัสสโกก็ตาม ก็ต้องบริบูรณ์ด้วยญาณสาม อตีตังสญาณ ญาณในส่วนอดีต อนาคตังสญาณ ญาณในส่วนอนาคต ปัจจุปันนังสญาณ ญาณในส่วนปัจจุบัน

    ยกอุทาหรณ์เช่น เห็นไตรลักษณ์ในปัจจุบันชัด ไตรลักษณ์ในอดีต อนาคตก็มาเป็นพยานกันเสมอภาค เมื่อมีพยานสองปาก มิใช่พยานเท็จ ปัจจุบันก็ตัดสินพร้อมทั้งเป็นพยานเพิ่มเข้าอีกอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเป็นทางดีหรือทางชั่ว โลกิยะหรือโลกุตร อดีต อนาคตย่อมเป็นเมืองขึ้นของปัจจุบันทั้งนั้น เว้นอรหันต์เสีย เพราะพระอรหันต์ไม่ติดข้องอยู่ในกาลทั้งสาม แม้จะเอากาลทั้งสามมาใช้อยู่แล้ว แต่ก็ใช้แบบไม่ติด น้ำค้างบนใบบัวแต่ไม่ติดใบบัวถึงน้ำจะตกออกจากใบบัว น้ำก็หาได้เป็นกังวลในใบบัวไม่ ใบบัวก็มิได้ยืนยันว่าหนักมากเพราะน้ำมาค้างเรา และก็ไม่ยืนยันว่าเบาแล้วเพราะน้ำตกออกไปจากเรา

    ย้อนคืนมาแก้ปัญหาที่ยังค้างแขวนอยู่ มีปัญหาว่า อดีต อนาคต ก็คือปัจจุบันนั้นเองไปร้องเรียกเชื้อเชิญก็จริงอยู่ แต่ขยายตนเองออกให้เป็น ๓ ธรรมาสน์กับปัจจุบัน โยงกันเข้าลงรอยกันเพราะไม่ถือว่าเป็นของยากและหนักใจ และถือว่าเทศน์ให้ตนฟังด้วย ไม่หวังเอาคะแนนใดๆ ในโลกภายนอกด้วย เมื่อปัจจุบันกาลแตกฉานในนิทานของเจ้าตัวอยู่แล้ว อดีต อนาคต ก็ต้องรู้เท่าทันเทียมถึง เลยกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยและขบให้แตกได้ทันท่วงที ง่ายดายโดยด่วน
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถ้ำอัตตกิลมถานุโยค

    หวนมาปรารภติดต่อการเดินทางต่อไป เช้าพอได้เวลาก็ออกมาจากถ้ำมะเขือ อันเป็นถ้ำทรมานอัตตกิลมถานุโยค นอนได้เอาศอกขวาสักดินค้ำไว้ตลอดรุ่งนั้น มาลัดที่บิณฑบาตพระอาจารย์สน ฉันเสร็จแล้วล้างบาตรเสร็จเรียบร้อย เรียนท่านว่า

    “ถ้ำที่พักคืนนี้เรียกว่าถ้ำจนตรอกได้ เพราะค่ำจวนเวลา กระผมนอนได้เอาศอกงัดไว้ตลอดคืน ตาใสแจ๋ว นอนไม่หลับ นอนกำหนดลม มีสติอยู่กับลมออกเข้า พร้อมกับศอกที่ค้ำดินไว้ ต่างก็พากันหัวเราะกันซ้ำทุกข์ กระผมนึกเห็นถ้ำผาแด่น เพราะแล้งปีกลาย ก่อนเข้าไปหาหลวงปู่มั่น ได้ไปพักอยู่คืนหนึ่ง ได้อ่านสถานที่ออกแล้วเหมาะสมทุกประการ และปีนี้ ระหว่างผมผ่านมา ก็พบพระอาจารย์ฝั้นที่ใกล้บ้านนานกเค้า องค์ท่านว่าจะไปถ้ำผาแด่น แต่เดี๋ยวนี้ท่านคงกลับวัดป่าธาตุนาเวงแล้วก็อาจเป็นได้ เพราะทางสกลนครติดต่อท่านอยู่ หรือมิฉะนั้น ท่านคงจะย้ายที่ไปหาถ้ำอื่นก็อาจเป็นได้ เพราะองค์ท่านมีพระไปด้วย ๒-๓ องค์

    ถ้ำผาแด่นนี้เท่าที่กระผมสังเกตตามที่ได้เห็น (เมื่อ) แล้งปีกลายนี้ ถ้าอยู่องค์เดียวก็เหมาะมากนักแท้ๆ ครับ ทางบิณฑบาตไกล ๑๐๐ เส้น ขึ้นอำเภอเมืองสกลนครนั้นเอง จากตัวเมืองไปถึงถ้ำก็อยู่ในระหว่างอย่างมากก็ ๔๐๐ เส้น ฉะนั้นกระผมจะได้ลาไปวันนี้ขอรับ”

    องค์ท่านก็ให้พรอันดีทุกประการ แต่ต้องกลับวัดป่าบ้านนาโสกเสียก่อน เพราะหนทางหลังภูเขาล่องไปตามยาวของภูเขาไม่มี มีแต่ทางชายเขา
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พบพระอาจารย์ฝั้นที่ถ้ำบ้านไผ่

    กราบลาองค์ท่านแล้วก็ลงภูเขามาพร้อมโยมที่ไปลัดใส่บาตรบนภูเขา พอลงมาถึงใกล้วัดป่าบ้านนาโสก ก็เลยไม่เข้าพักวัด ให้โยมชาลีตามส่งทางล่องชายเขาตรงทิศตะวันตก โยมไปส่งประมาณหนึ่งกิโลเมตร พอจะไม่หลงแล้วก็ให้โยมกลับ

    เดินองค์เดียวเปลี่ยวเปล่าตามชายภูเขาไม่เศร้าโศก
    บริโภคภาวนาพร้อมกับขาก้าวหน่วงน้าวธรรม
    บริกรรมติดต่อจดจ่อเป็นจังหวะ
    ไม่ขาดระยะวิเวกวังเวง
    จั๊กจั่นร้องเพลงตามต้นไม้เป็นระยะๆ
    ไปพบปะเด็กจับจั๊กจั่น ถามเขาว่าไปทางนั้นถูกไหมหนู
    เขายกมือชูชี้บอก ขอหลวงพ่ออย่าได้ปลีกออกจากทางเดิม
    ทางเส้นนี้แหละผ่านบ้านนานางสี
    เดินถึงค่ำพอดีก็พักบ้านค้อ

    ตื่นเช้าบิณฑบาตฉันเสร็จก็เดินต่อ พักวัดร้างบ้านนาสีนวลสองคืน

    สมัยนั้นวัดดอยธรรมเจดีย์กำลังเริ่มสร้างมาในระหว่างสองปี ลาจากบ้านนาสีนวล เดินทางข้ามเขา บ่ายสามโมงเย็นถึงวัดป่าบ้านเต่างอย

    ลาจากนั้นเป็นวันใหม่ ฉันเสร็จเดินทางถึงบ้านไผ่ประมาณเที่ยงวัน ได้ทราบว่าพระอาจารย์ฝั้นมาพักอยู่ถ้ำบ้านไผ่หลายวันแล้ว องค์ท่านย้ายจากถ้ำผาแด่น เขากล่าวว่าองค์ท่านลงมาจากถ้ำ บิณฑบาตบ้านไผ่นี้ทุกวันองค์เดียว หมู่ของท่านกลับวัดหมดแล้ว

    พอได้ยินเขาเล่าอย่างนั้นก็นึกในใจ ว่าเราจะผ่านไปถ้ำผาแด่นเลยก็ไม่เป็นธรรมอีก เราก็ต้องแวะองค์ท่าน เขาบอกล่วงหน้าว่า

    “จากบ้านนี้ขึ้นไปหาถ้ำพระอาจารย์ฝั้น ทางไกล ๗ เส้น”

    “เออ อาตมาก็จะขึ้นไปหาองค์ท่าน”

    ว่าแล้วเขาก็ไปส่งทางประมาณสองเส้นกว่าๆ แล้วก็บอกเขากลับ เดินไปอีกนานพอสมควรก็ถึงถ้ำองค์ท่านอยู่

    ขณะนั้นองค์ท่านกำลังสานครุไว้ตักน้ำอยู่องค์เดียว วางบาตรไว้ที่ควรแล้วห่มผ้าเฉวียงบ่าเข้าไปกราบองค์ท่าน

    องค์ท่านทักทายว่า “มาจากไหน”

    เรียนว่า “มาจากถ้ำมะเขือ นึกว่าจะไปถ้ำพระเวส แต่หลวงตามิ่งอยู่แล้ว ก็ไปหาถ้ำ ได้ถ้ำมะเขือค่ำๆ จวนเวลา ก็ยอมนอนแผ่นดิน ที่นอนเอียงมากและสถานที่ก็ไม่เหมาะสม นอนอยู่คืนหนึ่งก็เลยจากมาครับ”

    องค์ท่านกล่าวว่า “เออ ผมย้ายจากถ้ำผาแด่นมานานแล้ว หมู่ท่านกว่า พากันกลับวัดหมดแล้ว ถ้าหากว่าท่านอยากอยู่กับผม ผมก็ไม่ขัดข้องเลย จงพิจารณาดูตามสะดวกเถิด”

    กราบองค์ท่านแล้วก็ไปหาที่พัก เลยได้หินดานกลางแจ้ง ไม่ได้กางกลดและมุ้งเลย ปูผ้านอนหินดานเลย และน้ำก็อดอีก ไม่ได้อาบน้ำเลยวันนั้น เพราะเกรงจะหมดไปจากองค์ท่าน
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ฝูงผึ้งต้อนรับที่ผาแด่น

    ตื่นเช้าได้เวลาก็ไปบิณฑบาตกับองค์ท่าน มีโยมผู้ชายคนหนึ่งมารับบาตรองค์ท่านและมารับใช้ ฉันเสร็จจึงเอาข้าวเศษกลับบ้าน และอากาศตอนกลางคืนก็ยังมีหนาวเย็นเยือกอยู่พอสมควร ฉันเสร็จแล้วล้างบาตร เช็ดเสร็จแล้วกราบเรียนองค์ท่านว่า

    “ที่พระอาจารย์เปิดประตูให้กระผมอยู่ด้วยนั้นเป็นบุญอันล้นเกล้าของกระผมแล้ว แต่นิสัยกระผมเป็นคนขี้กลัวอยู่บ้าง กระผมอยากดัดสันดานมันอยู่ ถ้าหากว่ากระผมไปอยู่ถ้ำผาแด่นองค์เดียว พระอาจารย์จะเห็นสมควรหรือไม่หนอ ประการใดขอรับ และกระผมก็มีปัญหาอยู่อันหนึ่ง คือหลวงปู่มั่นปรารภปีนี้ว่า ผู้ใดไปเที่ยววิเวกกลับมาถามเรื่องภาวนาไม่ได้ความ จะไม่ให้จำพรรษาด้วย ข้อนี้ก็เจ็บปวดมาก เท่ากับว่ากระผมแบกแผ่นดินแผ่นฟ้าอยู่ ยังเป็นผู้ต้องหา แก้ยังไม่ทันตก”

    องค์ท่านทอดสายตาลงต่ำอยู่สักครู่ ก็กล่าวว่า “คุณเรียนผมแบบนี้ มันถึงจิตถึงใจผมมาก ผมอนุโมทนาสาธุการ เอาให้ดีนะ ยกธงแดงต่อสู้” แล้วองค์ท่านก็บอกว่า

    “เอ้า เตรียมบริขาร ผมจะให้โยมคนนี้แหละ ตามส่งจนถึงถ้ำผาแด่น ไปทางหลังภูเลยไม่ต้องลงไปทางตีนภู”

    กราบสามทีแล้วก็ออกเดิน ให้โยมออกก่อนเพราะเป็นทางไม่เตียน โยมจะสะพายเอาบาตร แต่ไม่ให้สะพาย เพราะเกรงเขาหนักเกินไป เลยแบ่งห่อผ้าออกให้เขาถือหรือสะพายเอาบ้าง เดินภาวนาไปเงียบๆ ประมาณบ่ายสี่โมงเย็นก็ถึงถ้ำผาแด่น แล้วก็รีบบอกโยมกลับบ้านเขา แต่เขาก็คงค่ำบ้านนากับแก้ หรือมิฉะนั้น ก็คงค่ำบ้านเหล่านกยูง เพราะต้องไปตามไหล่เขาตรงทิศตะวันออก

    ขณะที่โยมกลับบ้านก็เตรียมตัวจะขึ้นถ้ำ บันดาลมีผึ้งฝูงหนึ่งบินกรูเข้ามาตอมรอบหัวเป็นกลุ่มๆ ตั้งพันๆ ตัวบินวนเวียนอยู่รอบตัว แต่ไม่ถูกกาย บินรอบทั้งส่วนบน ส่วนกลาง ส่วนล่างของกาย บินช้าๆ ขณะนั้นจิตใจจะว่ากลัวผึ้งก็ไม่ใช่ จะว่ากล้าหาญก็ไม่เชิง ยืนคำนึงอยู่ว่า

    “เอ๊ะ เราก็มิได้นึกได้ฝันว่าจะมาก่อกรรมทำเวรกับท่านผู้ใด ทำไมจึงเป็นอย่างนี้หนอ”

    พอนึกอย่างนี้จบลง ผึ้งทั้งฝูงก็บินขึ้นหน้าผาหมด เข้ารังเดิมของมันแล้ว สังเกตก็ได้ความว่า

    “เมื่อเรามา ไม่ได้มองสูง ไม่เห็นรังมัน คือเมื่อมันเข้ารัง เราจึงได้รู้ว่ามันบินออกจากรัง รังของมันมีรอยเหยี่ยวเฉี่ยวมาตี ขาดวิ่นไปบ้างแล้ว เหตุที่มันบินกลับทุกตัวไม่กัดเลยนั้น ชะรอยจะเป็นด้วยเราคำนึงธรรมว่า ไม่มาเอาเวรเอาภัยกับท่านผู้ใดก็อาจเป็นได้”

    กระแสจิตของมันจึงเบาทางโกรธลง ก็อาจเป็นได้ เราก็ไม่รู้จักขณะจิตของมัน เป็นเพียงเหตุผลเดาด้นเท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นเรื่องแปลกและสำคัญอะไร เขียนไว้พอให้เป็นอตีตารมณ์ที่ได้ผ่านทุกข์มาในการท่องเที่ยวของสังขารลงทุนบารมีพลีปฏิบัติ

    ครั้นแล้วก็เอากาไปตักน้ำ รีบปัดกวาดเล็กๆ น้อยๆ พอได้ข้อวัตร เวลาก็ค่ำมืดพอดี มีกระต๊อบเล็กๆ อยู่ในถ้ำ เงื้อมหน้าผา ปูด้วยไม่กลมเล็กๆ เอาใบข่าปูรองและกั้นด้วยใบข่าป่าพอหลวมตัว ด้านบนมุงด้วยหินธรรมชาติ หันหัวไปทางเหวคือทางทิศเหนือ ทางจงกรมยาวประมาณ ๔ วาตรงทิศตะวันออก

    ผ้าปูนอนก็คือผ้าอาบน้ำผืนเดียว เช็ดบาตรก็อยู่ (ตรง) นั้น ปกหมอนก็อยู่ (ตรง) นั้น เช็ดตัวเช็ดหน้าก็อยู่ (ตรง) นั้น ไฟก็แล้วแต่เดือนดาวและพระอาทิตย์จะอำนวย เห็นหรือไม่เห็น เป็นหน้าที่ลูกตาจะสัมผัสให้

    มุ้งและกลดไม่ต้องกาง หมอนก็คือห่อผ้าสังฆาฏิ ครุตักน้ำอย่าถามหา ใช้กาตักมา ทั้งล้างเท้าทั้งฉัน

    การล้างเท้านั่งหย่อนเท้าลงที่นั่งพักร้าน มือหนึ่งกำฝ่าเท้าทางใต้ ยั้งตัวยกฝ่าเท้าให้พ้นพื้น มือขวาจับแก้วน้ำเหลง มือซ้ายกำเท้าล้าง น้ำครึ่งแก้วก็พอแล้วแต่ละครั้ง ล้างแล้วพยุงตัวไว้ให้น้ำหนักตัวอยู่ที่ก้น ยกขาทั้งสองขึ้น ฝ่าเท้าพ้นพื้นแล้วเอาผ้าเช็ด แล้วจึงเอี้ยวตัวเอาขาขึ้นที่ร้าน มิฉะนั้นแล้วเท้าจะหยั่งลงเหยียบที่ดินที่หินอีก ถึงแม้จะใส่รองเท้าอยู่ก็ต้องล้าง เพราะการใส่รองเท้าก็กันได้เพียงหนามบางอย่าง และทางขลุกขลักหินคมดินคมบ้างเท่านั้น จะกันฝ่าเท้าทางพื้นไม่ให้ดำนั้นไม่ได้ การรักษาเท้าไม่ให้สกปรกก็มีพระวินัยกวดขันอยู่

    ขณะที่อยู่นั้นไปบิณฑบาตทางไกล ๑๐๐ เส้น ไต่ไปตามหลังเขาประมาณ ๑ กิโลเมตร แล้วเอียงลงชายเขาเป็นดงบ้างแล้วจึงตกทุ่งนาใกล้บ้าน กลับออกมาแล้วฉันที่ทุ่งนาเล็กๆ มีน้ำบ่ออยู่ตรงนั้น มีโยมชื่ออาจารย์เสน เขาตามปฏิบัติ ฉันเสร็จล้างบาตรเรียบร้อยแล้วก็สะพายบาตรเปล่าขึ้นภู เว้นวันฉันบ้าง และบอกโยมเขาให้รู้ เพื่อให้เขาไม่ต้องคอยในวันที่ตนไม่ไปบิณฑบาต

    ขณะนั้นมีควายดุร้ายอยู่ตัวหนึ่ง เขายาวโต้ง มันขวิดคนมาหลายรายแล้ว แม้เจ้าของมันก็ไล่ขวิด เช้าวันหนึ่งบันดาลไปพบที่กลางทางใกล้เข้าบ้าน มันขวางทางอยู่ไม่หนีเลย แกว่งเขาใส่ ใกล้ประมาณ ๖-๗ วา เป็นตัวผู้ ถ้าเป็นมนุษย์ก็อายุราวสัก ๓๐ ปี โตด้วย อ้วนด้วย สูงด้วย ต่างก็ยืนเฝ้ากันอยู่ประมาณ ๑๐ นาที ขู่ยังไงก็ไม่หนี พูดดีๆ ก็ไม่ฟัง แกว่งเขาออกลูกไม้อยู่อย่างนั้น ก็เลยกลับเข้ารั้วเขา มันก็ตามโชกโชน เล็ดลอดแอบที่นั้นที่นี้ ก็เลยผ่านพ้นไป

    ชาวบ้านเขาทราบเรื่องราวเข้า เขาไปบอกเจ้าของมัน ให้ปล่อย (ตอน) สายๆ และเขาบ่นพิไรรำพันต่างๆ นานาว่า

    “จะขายให้เขาฆ่าเสีย ก็ไม่ขาย ควายตัวนี้เดือดร้อนบ้านเมืองมานานแล้ว คุมพวกบ้านตากแดดที่ไปทอดแหอยู่กลางทุ่งก็เกือบตาย แต่เดชะบุญขึ้นต้นไม้ทัน ทิ้งแหไว้แล้ว มันชนแหอยู่ใต้ต้นไม้ขาดเป็นชิ้นเป็นอัน แหลกลาญไม่มีชิ้นดี ไล่ชนเจ้าของที่ไร่อ้อย วนไปเวียนมาอยู่แต่เช้าจนเที่ยง บันดาลนึกเห็นลำอ้อยโตๆ ขนาดวา ก็เข้าต่อสู้ จึงพอมีเวลาหลบหนีทัน อันนี้พระท่านยังโชคดีอยู่บ้าง ไม่เป็นอันตราย”

    เขาพากันบ่นอึกทึก แต่ต่อมาเขาก็ปล่อย (ควายตอน) สาย ให้ผ่านพ้นในยามพระบิณฑบาต

    เมื่อมาพิจารณาดูแล้วเรื่องโทโส โมโห โลโภนี้มีอยู่ในขันธสันดานของสัตว์ทุกตัวสัตว์ ต่างกันเพียงหนักเบาเท่านั้น เมื่อกิเลสมีอยู่ทุกตัวสัตว์ เทวดา มาร พรหม มนุษย์ ทางบรรเทาถ่ายถอน ตลอดหลุดพ้นจึงมีอยู่ทุกตัวสัตว์ เทวดา มาร พรหม มนุษย์ พระองค์ผู้รู้ธรรมจึงสามารถยืนยันได้ว่า อริยธัมเม ฐิโต นโร อริยธรรมอันประเสริฐ ย่อมมีย่อมตั้งอยู่ที่นรชน ถ้านรชนรู้และรับรองว่ากิเลสมีอยู่ในตนจริงๆ การเห็นโทษในกิเลสก็ไม่อาจปฏิเสธด้วยตนเอง การละ การพยายามละ ออกจากขันธสันดานก็ไม่อาจปฏิเสธได้อีก ย่อมเป็นการเคารพและจำนนต่อพุทธศาสนาอยู่ในตัวแล้ว ถ้ากิเลสไม่มีอยู่ในสรรพไตรโลกธาตุแล้ว พระนิพพานก็ไม่มีในพระนิพพานอยู่นั้นเอง
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ความอัตคัดคือสมบัติของพระธุดงค์

    การพักอยู่องค์เดียวไม่เกี่ยวกับหมู่เกิดเป็นอู่ของการพิจารณาธรรมะ รสจิตใจใคร่ธรรมสูงขึ้น จะเจริญกรรมฐานอันใดก็ดูว่าโล่งหัวใจไม่ได้ขู่ไม่ได้เข็ญให้ทำ ดูดดื่มเองเป็นเอง สติปัญญาจิตใจอยู่ติดสนิทกับตัว ถ้าเทียบใส่โคและกระบือ ก็ไม่ต้องต้อนเข้าคอกยาก เวลาเข้ามันเข้าเอง เวลาออกก็รู้จักขอบเขต กายใจเบาโปร่งไม่มึนงง สิ่งที่เคยรู้ เคยเห็น เคยปฏิบัติมาก่อน ก็ยิ่งเด่นชัดอร่อยขึ้นในใจ ผู้ใดไม่ยินดีในวิเวก ก็คือผู้นั้นไม่ได้เคยดื่มรสวิเวก เคยดื่มแต่รสวิวุ่น

    กายวิเวกก็ดี จิตตวิเวกก็ดี อุปธิวิเวกก็ดีก็รวมลงมาเป็นเอกวิเวกอันเดียวกัน จะบัญญัติหรือไม่ ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรนักเลย ที่บัญญัติไว้ก็เพราะเป็นแผนที่ แต่ตัวเนื้อที่จริงๆ แล้วหดตัวเข้ามาเอง หาเอกปัจจุบันวิเวกลงมารวมกันเอง ไม่ได้ต้อนมาฮือๆ ฮาๆ เหมือนโคและกระบือเลย ผู้หวังพ้นทุกข์ในสงสารโดยด่วนโดยแท้จริงจึงจะพูดกันออก บอกกันถูก ปลุกกันได้ ให้กันเป็น มิฉะนั้นแล้วก็จะตรงกันข้ามไปละ

    พระธรรมเป็นของลุ่มลึก แต่จะลึกสักเพียงใด ก็ลึกลงที่ใจ จะตื้นก็ตื้นขึ้นมาที่ใจ ไม่ใช่ลึกตื้นอยู่ที่ดินฟ้าอากาศ ลม ไฟ น้ำภายนอก ผู้มีสติปัญญาอยู่กับใจย่อมขุดถึงใจถึงธรรม ไม่หนีจากธรรมจากใจ ไม่หนีจากใจจากกรรมไปได้ ถ้าหาก็หาอยู่ทั่วที่ธรรม ที่ธรรมที่ใจ ถ้าเห็น ก็เห็นอยู่ที่ใจที่ธรรม ที่ธรรมที่ใจ ทวนไปมาอยู่นี้

    พักทำความเพียรอยู่ที่ถ้ำผาแด่นนั้น การซักผ้าและย้อมผ้าก็ซักน้ำเย็นและย้อมน้ำเย็น หินดานแห่งใดเป็นอ่างเล็กขนาดกะละมังก็ซักที่นั้น ย้อมที่นั้น ฝนหินแดงลงที่นั้น ไม่ยากไม่แค้นอะไร น้ำร้อนก็ดี ขามป้อม สมอ ไม่ต้องเกี่ยว และไม่ต้องเอ่ยปากถามหาอีกด้วย ยาแก้ไข้แก้หนาวและแก้พิษสัตว์กัดต่อย ไม่มีในย่ามในถุง และก็ไม่สนใจหาอีกด้วย แม้ไม้ขีดไฟเทียนไขก็ขาดอยู่นานแล้ว

    เมื่อถูกงูกัด เกี่ยวกับพิษสดๆ ก็นึกเห็นแต่มูตร (ปัสสาวะ) คูถ (อุจจาระ) ดินเท่านั้น ส่วนเถ้าก็ไม่นึกหวังจะได้ มูตรคูถดินฉันปนกันแล้ว หายก็หาย ไม่หายก็ยอมภาวนาตายองค์เดียว ไว้ให้เทวดาผู้ใจสูงมาพบเข้า จะได้ปลงธรรมสังเวช เป็นเหตุให้เขาได้กามาพจรกุศลเพิ่มขึ้น ไม่ได้กินแหนงแคลงใจในเรื่องศพๆ สับๆ ด้วย ขั้นต่ำที่สุดก็ฝากไว้กับโยมอุปัฏฐาก นับแต่แมลงวันและหมู่หนอน อีกา อีแร้ง หมาจิ้งจอก หมาไน ขึ้นไป

    ความพอใจในการปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นจากธรรมฝ่ายกิเลสที่เรียกว่าอ้ายหลงๆ ใหลๆ หลำๆ นี้ ย่อมชนะความพอใจในการปฏิบัติธรรมเพื่ออามิสใดๆ ในโลกทั้งสิ้น จิตใจและเจตนาของเจ้าตัว ย่อมมีอิทธิพลเฉพาะเจ้าตัว ขับมิจฉาทิฏฐิเฉพาะเจ้าตัวให้ขาดกระเด็นออกจากเจ้าตัวได้ แบบไม่ขบถคืนได้ เรียกว่าชนะแล้วไม่กลับคืนมาแพ้ในตอนนี้อีก มีแต่ตั้งใจเดินทางรุดหน้าในมรรคภาวนาเท่านั้นเองละ

    และในยุคที่พักอยู่นั้น วันขึ้นก็ดี แรมก็ดี ๗-๘, ๑๔-๑๕ ค่ำ เขาขึ้นไปนอนรักษาศีลถ้ำหนึ่งอีกต่างหาก ไกลจากที่พักของตนประมาณ ๖ เส้น มีคนจำนวนประมาณ ๖-๗ คน เขาไปทำข้าวหลามไม้เปาะใส่บาตร วันเช่นนั้น บิณฑบาตลานหิน ไกลจากที่พักของตนประมาณ ๔ เส้น ไม่ได้ไปบิณฑบาตถึงบ้าน ฉันที่ลานหินนั้นมันถึงจิตถึงใจตนเองจริงๆ

    ข้าวหลามเฉยๆ ไม่มีกับ ก็กลืนสบาย เคี้ยวสบาย มันรู้จักทั้งกำลังส่งเข้าปาก รู้จักทั้งกำลังเคี้ยว รู้จักทั้งกำลังกลืน รู้จักทั้งที่ตกลงในกระเพาะ มันเบากายเบาใจโปร่ง คล้ายกับฉันอยู่กลางอากาศ คล้ายกับอาหารเทวบุตรเทวดาอินทร์

    ความอิ่มกายอิ่มใจในธรรม ชนะความอิ่มกายอิ่มใจในอามิส ไกลกันราวฟ้ากับแผ่นดิน ฟ้าก็ยังเห็นเมฆ หมอก พระอาทิตย์ เดือน ดาวเป็นเครื่องหมายสมมุติ มันไกลกว่านั้นอีก เทวธรรมเอ๋ย พูดน้อยไม่พอตาย พูดหลายถูกกล่าวตู่ว่าอุตริ ความอิ่มกายอิ่มใจในชั้นนี้เป็นชั้นต่ำๆ ดอก ความอิ่มกายอิ่มใจของท่านผู้พ้นแล้วนั้น ไม่มีเครื่องหมายเปรียบเทียบเสียแล้ว

    ผู้เขียนผู้ฟังผู้อ่านอยากรู้เท็จจริงเพียงไร ผู้เขียนผู้อ่านผู้ฟังก็จงประพฤติตนให้พ้นจากกิเลสจนสิ้นเชิงก่อน หากจะรู้เองดอก ไม่ต้องทุ่มเถียงเกี่ยงงอนกันให้เป็นปัญหาโลกแตกก็ได้ ปัญหาของสัตว์ทั้งหลายจะจบลงได้ก็ต่อเมื่อสำเร็จพระอรหันต์ ต่ำกว่านั้นลงมายังเป็นทาสปัญหาของตนอยู่ แต่ปัญหาแบ่งออกเป็นสอง ปัญหาทางโลกิยวิสัย ปัญหาทางโลกุตตรวิสัย (เว้นพระอรหันต์เสียเพราะไม่หนักใจในปัญหา)

    กล่าวต่อในเรื่องโยมที่ขึ้นมาใส่บาตรข้าวหลามบนภู โยมพวกนั้นเขาเล่าให้ฟังว่า

    “ถ้ำน้ำคำบงที่เป็นถ้ำมืด ที่พระคุณเจ้าเที่ยวเข้าไปสรงและตักมาไว้ใช้ไว้ฉันนั้น กลางวันแสก ๆ บางวันก็มีเสือโคร่งบ้าง เสือดาวบ้าง เสือดำบ้าง หมีบ้าง หมูป่าบ้าง เข้าไปกินน้ำที่นั้น ส่วนกลางคืนนั้น ก็บอกไม่ถูกละ และก็มีงูใหญ่ รอยกว้างสองคืบไปๆ มาๆ อาศัยอยู่ที่นี่นั้น และมิหนำซ้ำ ถ้ำที่พระคุณเจ้าเดินจงกรมและพักนอนอยู่นั้น มันมีงูเหลือมอีกตัว โต (ขนาด) รอยทางกว้างหนึ่งคืบ”

    ตอบเขาว่า “เออ ถ้าอาตมาจะกลัวหรือไม่เพียงไรก็ดี ก็เป็นหน้าที่จะมอบเป็นมอบตายต่อ พุทธ ธรรม สงฆ์ อยู่แต่ไรๆ แล้ว จิตใจก็จะมอบให้กรรมและผลของกรรมในชาติปางก่อน ก็ถ้าสิ่งเหล่านั้นจะมาก่อกันใหม่ เริ่มต้น ก็คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะอาตมาแบ่งเวลาแผ่เมตตาอยู่แต่ละวันแต่ละคืน”

    ศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา อันมีปัญญาเป็นนายหน้าอยู่เป็นส่วนมากแล้ว ถึงแม้ว่าความกลัวจะมาชิงออกหน้าบ้างเป็นบางขณะจิต พระศรัทธา พระสติ พระปัญญาก็คงไล่ความกลัวได้ ให้ตามหลัง คงไม่แซงออกหน้าได้ตามอำเภอใจนัก

    แม้ความขี้เกียจและความลังเลก็เหมือนกัน เมื่อภัยโลภ ภัยโกรธ ภัยหลง หลงปลูกไว้ ฝังไว้ในขันธสันดานมาในอดีต จนบัดนี้ยังไม่ลดละและหายขาด ก็ย่อมเป็นผู้เกิดมาคูณเวรคูณภัยไม่มีวันจบสิ้นได้

    ภัยแก่ ภัยเจ็บ ภัยตาย จิปาถะสารพัดย่อมเป็นบริวาร เป็นเมืองขึ้นของภัยโลภโกรธ หลง แต่เมื่อพ้นจากภัยกิเลสไปหมดแล้ว ภัยแก่ ภัยเจ็บ ภัยตายตามมาถึง ก็ไม่มีพิษสงอันใด เพราะมิได้เหลียวหลังว่าจะขอดอีก คล้ายเรือนร้างว่างเปล่า ไม่มีเจ้าของหวงอยู่ในเรือนนั้น

    สิ่งเหล่านี้ได้พิจารณาเตรียมไว้ล่วงหน้า ไม่ค่อยจะเลือนลาง เพราะเป็นหน้าที่จะต้องเดินทางใจให้ไปถึงอยู่ มิฉะนั้นแล้วการปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมเพื่อใจ เพื่อหลุดเพื่อพ้นก็ไม่กระจ่างจิต ไม่เป็นธรรมาธิปไตยไปได้ กลายเป็นอัตตาธิปไตย บัญญัติขึ้นตามอัตโนมติของกิเลสตน เป็นโลกาธิปไตยแล่นไปตามโลกหน้าเดียว
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พบหมูป่าลูกอ่อน

    หันมาปรารภเรื่องเขาบอกว่า มีเสือๆ งูๆ หรืออะไรต่ออะไรอีก อยู่ไปก็ไม่เจอไม่เห็น เขาเล่าให้ฟังแล้วก็ไม่หนักใจอะไร เห็นหมูป่าตัวเดียวเท่านั้น เวลาเช้าเดินไปบิณฑบาตตามหลังเขา ระหว่างที่พบนั้นหนทางคดเหมือนแขนศอกงอ เดินภาวนาไปทุกก้าว ขาก็ไปเจอหมูยืนผินหน้าตรงห่างกัน ๒ เมตร หมูนั้นสูงประมาณ ๑ เมตร พอขาซ้ายก้าวเหยียบพื้น ขาขวายังไม่ทันยกขึ้น ก็เห็นหมูยืนผินหน้า ทำตาพริบๆ อยู่ ทั้งหมูก็ไม่สะดุ้ง คนก็ไม่สะดุ้งต่างก็ยืนดูกันอยู่ประมาณ ๕ วินาที

    ได้บันดาลพิจารณารวดเร็วว่าเดี๋ยวมันจะไปดอก เพราะมันกำลังพะวง พอนึกอย่างนี้จบลง มันก็วกขึ้น แล้วก็วิ่งเบาๆ ไปทางขวามือใกล้ๆ ลูกเล็กๆ ของมัน ๓-๔ ตัวก็วิ่งตามแม่มันไป แต่ก่อนมิได้เห็นลูกมัน เห็นแต่แม่มัน และนึกในใจขึ้นได้ว่า ผู้ภาวนามีสติอยู่กับกายกับใจติดต่ออยู่ พร้อมกับขาก้าวเดินนี้ เมื่อไปเจอสิ่งอันน่าสะดุ้งที่ใกล้ชิดก็ไม่สะดุ้ง เพราะสติสัมปชัญญะอยู่กับกายใจโดยเฉพาะ มิได้ส่งออกนอก สมาธิภาวนาแบบนี้สมดุลด้วยสติสัมปชัญญะและปัญญา (ไม่ใช่หัวตอ)

    ฌานัง แปลว่า เพ่งอยู่

    สมาธิ แปลว่า ตั้งมั่นในการเพ่งอยู่

    สติ แปลว่า ระลึกได้ในการเพ่งอยู่

    สัมปชัญญะ แปลว่า รู้สึกตัวในการเพ่งอยู่

    ปัญญา แปลว่า รอบรู้ในการเพ่งอยู่ สมดุลเป็นขณะเดียวกันไม่ใช่คนละขณะดอก ผู้ที่ชอบตื่นสะดุ้งผวา ขณะนั้นสติสัมปชัญญะไม่อยู่กับตัว เพราะส่งออกนอกมาก สติสัมปชัญญะหวนเข้ามาหาตนภายในช้า ไม่ทันกับเวลาสะดุ้งผวา มันเอาไปกินก่อน อย่างหมัดหนักได้ใส่ยาทายาหม่อง

    ยาหม่องคืออะไร คือกำหนดลมหายใจให้ดี หรือสมถะใดๆ ก็ได้ หรือวิปัสสนาใดๆ ก็ได้ แต่ชาวโลกชอบพูดว่าโรคประสาทและโรคหัวใจ โรคประสาทและโรคหัวใจมีในขันธวิบากของพระอรหันต์หรือไม่ หรือหากว่าขันธวิบากเป็นฝ่ายสังขารขันธ์ขาดตัวอยู่แล้ว ก็ต้องอาจเป็นได้ และอยากทราบว่าการสะดุ้งเป็นสังขารล้วนๆ หรือว่ามี โมหสัมปยุต

    โมหะนั้นคือตัณหาเราดีๆ นี่เอง ถูกหรือไม่ ผู้พ้นจากตัณหาแล้วเป็นผู้สะดุ้งหรือไม่ ธชัคคสูตรที่กล่าวเรื่องพระอรหันต์ว่า อภีรุ อัจฉัมภี อนุตตราสี อปลายีติ หาย หายสะดุ้งหายขนพองสยองเกล้านั้นจริงหรือไม่ ถ้าหากว่าเป็นคำจริงแล้ว ผู้ที่เขามิได้เป็นพระอรหันต์ เขาก็มีเครื่องทดสอบพระอรหันต์ได้ ผู้ที่เขาไม่รู้จักทองแท้ แต่เขาก็มีเครื่องทดสอบทอง เขาก็รู้ทองในเครื่องทดสอบของเขา

    พูดเรื่องอื่นต่อไปเถิด พักอยู่นั้น วันหนึ่งประมาณเที่ยงคืน ลมหายใจเข้าออกละเอียดเข้า รู้ชัดขึ้นว่า

    ผู้ที่ท่านพ้นไปแล้วก็พ้นไป ไม่มีข้างหน้าข้างหลัง เหมือนลมออกเข้านี้หนอ

    ผู้ตะเกียกตะกายอยากจะพ้นไป ก็ไม่มีข้างหน้าข้างหลังเหมือนลมออกเข้านี้หนอ

    ผู้อยู่พอแล้ววันแล้วคืนไป ไม่มีข้างหน้าข้างหลัง เหมือนลมออกเข้านี้หนอ

    ผู้ถือว่าไม่มีบุญไม่มีบาป ก็ไม่มีข้างหน้าข้างหลัง เหมือนลมออกเข้านี้หนอ

    ขณะที่พิจารณาอยู่นั้น รู้พร้อมกันกับลมออกเข้าอยู่ ไม่มีอันใดก่อนไม่มีอันใดหลัง แล้วปีติเกิดขึ้นอย่างโลดโผนมาก ร้องขึ้นว่า

    ”จริงเผงทีเดียว ความเห็นชอบตอนนี้”

    ขู่ตนว่า “มันจะเป็นบ้านะ”

    ตอบตนว่า “ถ้ารู้ตนจะเป็นบ้า ก็อย่าเป็นบ้าซินะ”

    แต่ก็ไม่สำคัญว่าประเสริฐอันใดในขณะนั้น เป็นเพียงปีติที่ประกอบด้วยธรรมอันเห็นชอบเฉย ๆ กายใจเบาโปร่งอยู่ ปรากฏว่าจะชนภูเขาให้ทะลุได้ แต่มิได้หลงชน ถ้าชนก็คอหักตาย หรือหัวแตกตาย

    ปีติความอิ่มกายอิ่มใจนี้ เป็นไปต่างๆ นานา แต่จะอย่างไรก็ตาม ก็เกิดเป็น ดับเป็น ไม่พ้นอนิจจาได้ดอก ท่านผู้ใดภาวนาห่างเหินจากไตรลักษณ์แล้ว มักจะชวนให้หลงไม่ใช่น้อย เพราะ การทะนงสำคัญตัว เป็นกิเลสที่ถอนได้ยาก เพราะนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานอันละเอียดเป็นตะกอนอันลึกละเอียด เมื่อน้ำแห้งงวดลงจึงสามารถจะเห็นตะกอนได้มาก น้ำแห้งโดยสุภาพไม่ใช่แห้งแบบเขย่าขวดแล้วเท

    เช้าวันหนึ่ง ลงไปบิณฑบาต จึงเล่ากับญาติโยมว่า

    “พรุ่งนี้ถ้าไม่มีสิ่งขัดข้อง อาตมาจะกลับคืนไปหาหลวงปู่มั่น เพราะคิดถึงองค์ท่านมาก จะลงมาบิณฑบาตฉันที่วัดร้างที่บ้านพวกท่านนี้”

    เขาว่า “ทำไมไปง่ายเหลือเกิน”

    “เออ ก็มาอยู่นี้ เดือนหนึ่งแล้ว นานไปก็เวลาจวนแจ แล้วจะได้รีบไปช่วยงาน เอาฟืนและอะไรๆ ก๊อกๆ แก๊กๆ เพราะปีหนึ่งต้องเอาฟืนหลายครั้ง”

    พอฉันเสร็จแล้วก็กลับขึ้นภู ดูที่อยู่ที่พักจะได้วิโยคพลัดพรากไป รู้สึกว้าเหว่ในสถานที่ เพราะสถานที่นั้นอารมณ์บางคราวเกิดปีติสังเวชขึ้นในพุทธ ธรรม สงฆ์ ได้ทำให้ตาเปียกหลายครั้ง ดูดดื่มเสมอกันกับถ้ำพระเวส

    ครั้นถึงเวลาเช้าก็ลงไป เพราะบริขารไม่มากและไม่ได้ส่งของอะไรเขา เสื่อ หมอนก็ใช้ผ้าอาบน้ำและห่อผ้าสังฆาฏิ ครุก็ไม่ได้ยืมเขา กา ก็คือ ครุ ครุ ก็คือกาน้ำ

    พอไปถึงวัดร้างเขา ก็เอากลดและมุ้งและกาน้ำไว้วัดร้าง เข้าไปบิณฑบาต กลับมาฉัน เขาตามมาส่งอาหารในวัดร้างประมาณ ๕-๖ คน ฉันเสร็จให้ศีลให้พรเขา จัดแจงแต่งของใส่หน้าเขา เขาก็สงวนดู อธิบายให้เขาฟังว่า

    “นี้ใบสุทธิ นี้เชือกตากผ้า นี้มีดโกน นี้หินลับคม นี้ของกรองน้ำ นี้หนังสือปาฏิโมกข์ นี้มุ้ง นี้กลด นี้มีดตัดเล็บ นี้มีดเหลาไม้สีฟัน แล้วก็หมดเท่านี้”

    ทำไมจึงอธิบายให้เขาฟัง เพราะเหตุว่า เขาจ้องดู เพราะเขาจะสงสัยว่า หาเอาพระเล็กพระน้อยในถ้ำ และทรัพย์ในดินสินในน้ำ เกรงจะเสียวงศ์ตระกูลของครูบาอาจารย์ ให้เขาหายสงสัยเสีย ถ้าเขากล่าวตู่เรื่องไม่เป็นจริง เขาจะเป็นบาป แล้วลาเขา

    เขาไปส่งประมาณ ๗-๘ เส้นก็ให้เขากลับ เพราะตั้งใจจะไปพักวัดป่าสุทธาวาส ก่อนเพื่อซักผ้า สมัยนั้นมหาไพบูลย์อยู่ (ที่) นั้นองค์เดียว พอจะเข้าวัดก็ห่มผ้าเฉวียงบ่า รองเท้านั้นขาดแต่นานไม่ได้ถอดยาก วางบริขารไว้ศาลา แล้วขึ้นไปกราบท่าน ท่านถามไถ่ได้ความ แล้วกล่าวว่า

    “เออ ดีนะ เฝ้าวัดให้ผมบ้าง ผมจะไปหล่อพระบ้านค้อ ผมมาแล้ว จึงไปเที่ยวอีก หรือไม่อยากไป ก็อยู่ด้วยกัน”

    ตอบท่านว่า “ไม่ได้อยู่ดอก ท่านอาจารย์มหาเอ๋ย เพราะส่วนมาก จะขอพักด้วยเพียง ๓ คืนเพื่อขอซักผ้า แล้วจะได้รีบไปหาพระอาจารย์ใหญ่มั่น เพื่ออยู่จำพรรษาต่อไปอีก ถ้ากระผมเฝ้าวัดอยู่นี้ ถ้าอาจารย์มหา นานกลับ ผมก็แย่ เพราะการไปหล่อพระ จะกี่วันก็บอกไม่ถูก เพราะมีผู้เฝ้าวัดแล้ว ท่านอาจารย์มหาก็เบาใจ บางทีก็มีจดหมายถึงกระผมว่าติดอันนั้นติดอันนี้ตะพึดตะพืออยู่ กระผมก็หมดหนทาง ขอรับ”

    ว่าแล้วท่านก็หัวเราะว่า “เออ ปัญญาดีมาก ซักผ้าแล้วก็ไปซะ”
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อุบายทรมานสัตว์โลก

    ในเวลาพักอยู่วัดป่าสุทธาวาสนั้น ซักผ้าเสร็จในวันที่สอง พักอยู่ศาลามีห้องกั้นห้องหนึ่ง ตอนเช้าฉันเสร็จ วันหนึ่งได้ไปกราบพระพุทธรูปปางพระปาลิไลยก์ ที่ท่านทำเป็นรูปคอนกรีต มีรูปช้างถวายฝักบัว มีรูปลิงถวายรวงผึ้ง แล้วนั่งพิจารณาตามกระแสอตีตารมณ์ ว่าช้างนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน ยังมีข้อวัตรปฏิบัติพระองค์ ถวายฝักบัว หมอบลงเรียบร้อย คุดคู้ ยกงวงนอบน้อมอ่อนโยน ไม่ได้แข็งกระด้าง และก็จะได้เป็นพระปัจเจกในอนาคตด้วย ส่วนลิงก็ถวายรวงผึ้งสองมือโดยเคารพ พอถวายแล้วพระองค์ทรงฉัน ลิงดีใจ กระโดดขึ้นต้นไม้ เต้นไปมา พลัดตกตายคาที่ ได้ไปเกิดเป็นเทวบุตร

    เห็นไหม พระองค์ก็ดี หนีจากพระเมืองโกสัมพี ที่บอกอยาก สอนยาก แตกกันเป็นสองฝ่าย ทางละ ๕๐๐ สอนให้สามัคคีกันก็ไม่ฟังเลย พระองค์มิได้วินิจฉัยให้ทางนั้นทางนี้แพ้และชนะ เพราะเห็นว่าเป็นอาบัติเล็กน้อย และแต่ละฝ่ายก็มีบริวารทางละ ๕๐๐ เท่ากัน จึงไม่ทรงตัดสิน ถ้าตัดสินให้ทางใดทางหนึ่งแพ้และชนะแล้ว อธิกรณ์จะกำเริบ

    เห็นอยู่ทางเดียวว่า ถ้าเราหนีจากพวกนี้ไปด้วยฝีเท้า เข้าป่ารักขิตวัน จำพรรษาอยู่ผู้เดียว ญาติโยมเขาจะดูถูกพระพวกนี้เอง ว่าเป็นด้วยพระพวกหัวดื้อ นี้พระองค์จึงได้หนีไป แล้วเขาจะไม่ให้บิณฑบาต แล้วพระพวกนี้จะเห็นโทษเอง ต่างฝ่ายต่างก็จะมายอมกันเอง ไกล่เกลี่ยกันเอง ระงับกันด้วยติณวัตถารกวินัยโดยแน่แท้

    เมื่อทรงอนาคตังสญาณ ญาณในส่วนอนาคต อย่างนี้แล้ว จึงได้หนีไป มิได้หนีไปด้วยความหมดประตูจะระงับอธิกรณ์เลย

    โอ้ พระองค์ อุบายทรมานสัตว์โลกนี้มีมากมายสมภูมิแท้ๆ อุบายแบบบรรจง อุบายแบบขี่ข่ม อุบายแบบวางเฉย อุบายแบบยกย่อง อุบายต่อล้อต่อเถียง อุบายแสดงยมก อุบายดักใจทายใจ อุบายไล่หนี อุบายปลอบโยน อุบายหนีด้วยฝีเท้าพระองค์เอง คือเรื่องปาลิไลยก์ ที่เรานั่งพิจารณาอยู่เดี๋ยวนี้

    เมื่อนั่งพิจารณาอยู่ต่อหน้าพระปฏิมากรอย่างนี้ น้ำตาข้าพเจ้าก็ไหลอยู่ไม่ขาดสาย อยู่ผู้เดียว เป็นเวลานานประมาณ ๑๕ นาที แต่ระวังเกรงท่านอาจารย์มหาไพบูลย์จะเห็น นี้มันเป็นอย่างนี้ นิสัยของข้าพเจ้า ออกปฏิบัติทีแรกเป็นบ้าอย่างนี้ บ้าอย่างนี้ยาปรมัตถ์ทางพระพุทธศาสนาคงรักษาได้ไม่ยากเท่าไรนักกระมัง คงไม่เหมือนบ้าประสาท
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เมื่อหลวงปู่รับกิจนิมนต์

    [​IMG]


    ครั้นพักอยู่วัดป่าสุทธาวาส ๓ คืนแล้ว ฉันเช้าเสร็จก็กราบลาไป ลัดผ่านสนามบินไปวัดป่าธาตุนาเวง แต่ไม่พัก ข้ามบ้านนาหัวบ่อ แล้วแวะทางซ้ายข้ามบ้านพอก พักนอนบ้านคำข่า พักวัดป่าร้างที่ท่านพระอาจารย์ดีสร้างไว้ พักหนึ่งคืน ตื่นเช้าได้เวลา เข้าไปบิณฑบาตบ้านคำข่าพอไปได้ ๒ เรือน เขามาแย่งบาตรไปที่เรือน เขาทำบุญบ้านเขา

    “ขออภัยที่มาหิ้วเอากลางทาง เพราะไม่รู้จักว่าพระคุณเจ้ามา เห็นจะมาค่ำนะขอรับ”

    “เออ อาตมามาค่ำจริง พบเด็กคนหนึ่งเขาชี้ที่พักวัดร้างให้ อาตมาไม่ได้ดื่มน้ำ ไม่ได้ล้างหน้า ไม่ได้สรงน้ำด้วย ถ้าจะให้อาตมาไปจริงๆ ก็เอาน้ำมาที่ชายป่านี้ให้อาตมาล้างขาล้างหน้าบ้าง”

    เขาเอาน้ำมาโดยด่วน เขาบอกว่า “น้ำสะอาดไม่มีตัวสัตว์ดอก”

    บ้านเขาอยู่กลางป่าละเมาะ กำบังที่ไหนก็ได้ ล้างเช็ดแล้วก็ไปเรือนเขา แต่เขาก็ล้างเท้าให้อยู่ มีพระอยู่เรือนทำบุญเขาประมาณ ๘ องค์ ไม่ได้สวดพาหุง เขาเอาบาตรตั้งไว้แล้ว ใส่บาตรเสร็จ รับศีลห้าแล้วถวายเป็นสังฆัสสะ ข้าพเจ้าขอโอกาสพระท่านอุปโลกน์

    ท่านบอกว่า “เคยข้ามถ้ำขามลูกนั้นไปกราบหลวงปู่มั่นอยู่บ่อยๆ ทั้งโยมด้วย ทั้งพระด้วย”

    พอเสร็จการฉันแล้วเขาเอาผ้ามาถวายไตรหนึ่งและเทียนผึ้ง ผ้าในกองบุญนั้นมีอยู่ประมาณ ๕ ไตร มูลค่าประมาณ ๓๐๐ บาท สมัยเงินแพง

    ข้าพเจ้ารับกับเขาเป็นพิธีแล้วกล่าวว่า “อาตมารับโดยเคารพแล้ว จะพลิกใจถวายพระเณรเราต่อโดยเคารพเดี๋ยวนี้ เพราะสบงจีวรก็ตัดเย็บย้อมไปจากหลวงปู่มั่น ปีนี้มิได้พอขาดเขินดอก อาตมาเดินทางมาพบเหตุก็ว่าได้”

    เขาตอบว่า “เป็นบุญของพวกกระผมบันดาลเอง พวกกระผมมิได้วิจารณ์พระคุณเจ้าในทางแง่ร้ายเลยครับ จะอย่างไรก็สนองให้พวกกระผมบ้าง”

    “อาตมาก็ไม่ได้อวดมักน้อยเลย และก็มิได้อวดร่ำรวยเลย พระเณรของเรานี้ก็มีมาก เอาไว้วัดเรานี้แหละ ถ้าอาตมาฝืนเอาไป หลวงปู่มั่นและครูบาจารย์ในวัดป่าบ้านหนองผือ ก็จะวิจารณ์อาตมาอีก คล้ายกับว่า ไปเที่ยววิเวกหารายได้ปัจจัยสี่ และก็จะกลับวัดเดิมอยู่แล้วซ้ำ”

    “ถ้าอย่างนั้น พวกกระผมจะฝากมูลค่าไปทีหลัง”

    “เออ ก็ยิ่งไปใหญ่อีกละ หนีเสือก็ไปพบราชสีห์”

    “ถ้าอย่างนั้นก็เอาผึ้งก้อนนี้และเทียนเล่มบาทคู่นี้ซะ”

    “เออ จะเอาแต่เทียนเล่มบาทคู่นี้แหละ จะเอาไปทำวัตรหลวงปู่ ให้พวกท่านได้บุญด้วย”

    ก็เลยเหมาะกันในเรื่องนี้พอดีพองาม

    แล้วก็ลาจากกัน เขาบอกว่า จากนี้ไปหาหลวงปู่มั่นก็ภายในเที่ยงวันก็ถึงดอก เขาให้คนไปส่งคนหนึ่ง ออกจากบ้านเขาตรงทิศตะวันตก ล่องชายเขาเป็นป่าบ้าง ป่าไม้ไร่เลยป่าไป เขาไปส่งประมาณ ๖ เส้นพอจะไม่หลงแล้ว ก็บอกเขากลับคืน

    เขาบอกว่า “อย่าหลงปลีกเส้นนี้เลยขอรับ” แล้วเขาก็กลับ

    ตั้งหน้าเดินภาวนา พอไปอีกประมาณ ๑๕ นาที มีหนองน้ำใหญ่อยู่ข้างซ้ายมือ ไกลจากทางประมาณ ๕ วา ควายนอนน้ำเต็มอยู่ประมาณสิบตัว มีแต่ตัวอ้วนๆ ล่ำๆ ทั้งนั้น พอเห็น มันก็ลุกพรึบ ขึ้นผินหน้าสู้ แกว่งเขาใส่

    ทั้งเดินทั้งพูดกับควายว่า “กูก็ไปตามกู สูก็อยู่ตามสู อย่าได้มีเวรมีภัยแก่กัน”

    แล้วก็ผ่านพ้นไป ไม่มีอันตรายใดๆ แล้วเดินทางไปอีกประมาณ ๑๕ นาทีก็เข้าป่าไผ่ อนิจจาทุกขา บันดาลหลงทาง ไม่รู้ว่าเส้นใดต่อเส้นใด สับสนกัน หลงไปหลงมา วนเวียนอยู่ในป่าไผ่ หลงอยู่นั้นประมาณ ๑๕ นาทีอีก และก็เป็นฤดูร้อนแล้ว เหงื่อแตกโชกโชน ป่าไผ่นั้นไม่มีลมโกรกเลย ร้อนอบอ้าว ได้ยินเขาฟันขวานเปิงๆ อยู่ไกลประมาณ ๘ เส้น รีบตรงไปหาเขา เกรงเขาจะเงียบก่อน แต่ไปยังไม่ถึงเขา เขาหยุดฟันก่อน แล้วก็ยืนดักฟัง ได้ยินเสียงพูดกัน รีบเข้าไปอีก จึงเห็นตัวเขา ผัวกับเมีย มีลูกผู้ชายคนหนึ่งประมาณ ๖-๗ ปี

    พอเขาเห็น เขาก็ถามเลย “มาจากไหนขอรับ”

    “มาจากบ้านคำข่า”

    “เออ พวกกระผมก็อยู่บ้านคำข่านั้นเอง มาล้อมรั้วไร่ ท่านจะไปไหน”

    “จะไปหาหลวงปู่มั่น บ้านหนองผือ ออกไปเที่ยววิเวกจากองค์ท่านนั้นเองแต่เดือน ๑๒ แต่ออกไปทางบ้านพระคำภู เดี๋ยวนี้หลงทางแล้ว ขอให้โยมช่วยบอกจะเป็นกุศลมิใช่น้อยเลย เพราะโชกโชนวนเวียนอยู่ในป่าไผ่นี้นานแล้ว”

    ว่าแล้วโยมก็สั่งภรรยาว่า “จงอยู่กับลูกนี้สักประเดี๋ยว เราจะไปส่งพระ”

    แล้วเขาจะสะพายเอาบาตร เลยพูดกับเขาว่า “บาตรเบาๆ ดอกไม่หนัก จงถือเอามีดเดินออกก่อนอาตมา เล็ดลอดไปตรงไปใส่ทางก็พอเหมาะแล้ว เพราะโยมทำงานฟันขวานเปิงๆ อยู่ก็คงเหนื่อยมากแล้ว”

    เขาไปส่งประมาณ ๑๐ เส้นก็ถึงหลังเขา ก็พบหนทางสว่างใจมาก พูดกับเขาว่า

    “โยมเอ๋ยอาตมารู้แล้ว สว่างจ้าในสัญญาความจำเพราะหมู่พระอาจารย์มหาได้พามาเอาตราด (ไม้กวาด) ทีนี้ อาตมาได้นั่งมัดเอาตราดอยู่ที่ก้อนหินก้อนนี้”

    โยมยกมือใส่หัวแล้วกลับไป ให้พรโยมย่อๆ พอเหมาะเวลา
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ท่านพระอาจารย์มั่นถาม ภาวนาเป็นไง

    [​IMG]


    ตั้งใจเดินตรงตามหางมาถึงวัดหนองผือ เอาบาตรไปไว้ศาลา พักอยู่สักครู่ เวลานั้นตะวันประมาณบ่ายโมงสามสิบนาที สายตาจับอยู่ที่กุฏิหลวงปู่ ไม่ช้าก็เห็นท่านออกมาที่ระเบียงขององค์ท่าน จึงได้ห่มผ้าเฉวียงบ่า ถือฝาบาตรใส่เทียนที่เอามาจากบ้านคำข่าและใส่ไม้สีฟันค่อยเดินไปหา องค์ท่านแลเห็นใกล้บันได องค์ท่านปรารภเย็นๆ เบาๆ ว่า “ท่านหล้านี้มาจากไหนหนอ เดินย่องๆ มาคนเดียว นิสัยก็แปลกหมู่ ชอบไปคนเดียว มาคนเดียว ส้นเท้าก็แหลมๆ เดินไปมาปรากฏดังตึงๆ”

    ที่ว่าแปลกหมู่นั้น องค์ท่านก็ไม่อธิบายว่า แปลกไปทางดีหรือทางชั่ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เรียนตอบสักคำเลย เพราะเข้าใจว่าองค์ท่านพูดไปตามเรื่องขององค์ท่าน และเป็นเรื่ององค์ท่านทดสอบเราว่า จะทั้งเดิน ทั้งพูด ทั้งล้าง ทั้งเช็ดเท้า หรือไม่

    พอกราบเสร็จแล้วท่านก็ถามกระหน่ำต่อไป ทั้งคำเก่าและคำใหม่ปะปนกันไปตะพึด ยกมือกราบเรียนว่า “มาจากถ้ำผาแด่น”

    “ภาวนาเป็นไง”

    กราบเรียนว่า “รสจิตใจวิเวกวังเวง ความไหวการ ยืน เดินนั่ง นอน สติอยู่กับกายและใจ เหลียวซ้ายแลขวา เหยียดแขน คู้แขนรู้อยู่แทบทุกอิริยาบถ จิตใจอ่อนโยนในพุทธ ธรรม สงฆ์ น้ำตาไหลไม่ค่อยขาด การกลัวสัตว์ร้ายหรือผีไม่ค่อยมี จะมีมาบางอารมณ์ก็งูใหญ่ นึกในใจบ้าๆ ว่า ถ้านั่งภาวนาอยู่ มันมาคาบกลืนลงไปทีเดียวก็ได้ แต่อารมณ์ชนิดนี้มาครู่เดียว ก็ขับมันหนีไปได้ แต่นานๆ มันจึงจะมาอีก”

    องค์ท่านตอบว่า “กลัวมันทำไม งูมันกินเข้า ก็ยันท้องมันซิ”

    ว่าแล้วองค์ท่านก็ยิ้ม แล้วองค์ท่านก็ปล่อยโอกาสให้เล่าถวายต่อไป

    กราบเรียนต่อไปว่า “วันหนึ่งเป็นเวลาเที่ยงคืน กำหนดลมออกเข้า เมื่อลมละเอียดลงไป ปรารภขึ้นมาว่า เออ ท่านผู้พ้นไปแล้วก็ไม่มีข้างหน้าข้างหลังเหมือนลมออกเข้านี้ ท่านผู้ตะเกียกตะกายอยากพ้นไป ก็ไม่มีข้างหน้าข้างหลังเหมือนลมออกเข้านี้ ผู้ไม่มีข้อวัตรอันใดเพื่อหลุดเพื่อพ้น ก็ไม่มีข้างหน้าข้างหลังเหมือนลมออกเข้านี้ ผู้ที่ถือว่าไม่มีบุญไม่มีบาป ก็ไม่มีข้างหน้าข้างหลังเหมือนลมออกเข้านี้ ในเวลาวิจารณ์อยู่นั้น รู้พร้อมกันกับลมออกเข้า ไม่มีอันใดก่อนอันใดหลังแล้วเกิดความพอใจ ร้องขึ้นจนสุดเสียง แล้วขู่ตนว่า มันจะเป็นบ้านะ ตอบตนเร็วด่วนว่า ถ้ารู้ว่าตนจะเป็นบ้าก็อย่าบ้าซิ ผิดถูกประการใด กราบเรียนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้โปรดกรุณาแก้ไขเทอญ”

    องค์ท่านทอดสายตาลงต่ำขณะหนึ่งแล้ว จึงกรุณากล่าวว่า

    “เออพิจารณาตามเป็นจริงของธรรมส่วนนี้”

    ว่าแล้วองค์ท่านก็เรียกหา “สามเณรบุญเพ็งเอ๋ย เอาบริขารของเธอไปไว้กฏิเดิมของเธอนั้น ออกมาจากถ้ำใหม่ๆ จะได้อยู่ที่เย็นๆ ตามเคย”

    แล้วก็ขอโอกาสทำวัตรและต่อนิสัย เสร็จแล้วองค์ท่านถามต่อไปอีกว่า “ได้ยินเขาว่าเปลือกน่องมีอยู่ที่ถ้ำผาแด่น เป็นต้นใหญ่โตได้เห็นหรือไม่”

    เรียนว่า “ไม่ได้สังเกตและก็ไม่รู้จักต้นของมันด้วยขอรับ”

    “เราต้องการ ทุบแล้วเอามาปูต่างอาสนะนั่ง โรคริดสีดวงทวารเราพอบรรเทาไป”

    พอสงฆ์ขึ้นมาประชุมฟังเทศน์ตอนหนึ่งทุ่ม องค์ท่านปรารภขึ้นว่า

    “ถ้าจะให้คุณหล้าคืนไปหาเปลือกน่องถ้ำผาแด่น เธอก็มาใหม่ๆ เดี๋ยวนี้ กำลังเหนื่อย และอั้งโล่ที่เธอทำไว้สี่ห้าอันก่อนออกวิเวก ก็แตกหมด เพราะไม่มีใครทำเป็น ไม่อยากให้เธอไปละทีนี้ เพราะขาดผู้ใช้หลายหน้าที่หยาบๆ หนักๆ ไปองค์หนึ่งในวัด”

    พระอาจารย์มหาบัวปรารภขึ้นว่า “เกล้าจะไปเอาเองดอก พรุ่งนี้”

    พอถึงวัน องค์ท่านก็ไปองค์เดียวด้วยฝีเท้า เพราะสมัยนั้นฝีเท้าทั้งนั้น ข้าพเจ้ารู้ล่วงหน้า คาดคะเนในใจไม่ผิด การที่พระอาจารย์มหาบัวไปเอาเปลือกน่องถ้ำผาแด่นนี้ ไม่ใช่ไปด้วยภาพพจน์โง่ๆ เลย

    ๑. เพื่อรับให้หลวงปู่โดยเคารพและศรัทธา

    ๒. เพื่อสอบว่า ท่านหล้ามาอยู่ถ้ำผาแด่นหนึ่งเดือนแต่ผู้เดียวจริงหรือ ถ้าหากว่ามาอยู่จริง ปฏิบัติไปแถวใด คลุกคลีกับญาติโยมขนาดไหน ฉันในบาตรหรือนอกบาตร อยู่แบบข่มใจหรือพอใจ คำพูดขณะอยู่ถ้ำและขณะญาติโยมไปในวันพระนั้น พูดไปเทศน์ไปแถวใดบ้าง เหล่านี้เป็นต้น

    แต่ข้าพเจ้าคาดคะเนแล้วก็ไม่เดือดร้อน กลับมีความดีใจว่า โชคดีมีครูบาอาจารย์ผู้สำคัญไปสืบเป็นพยาน

    พอองค์ท่านไปประมาณอาทิตย์กว่าๆ ก็ได้เปลือกน่องมาจริง แล้วองค์ท่านไปเที่ยวพูดกับหมู่ลับหลังว่า

    “ท่านหล้านี้นับเข้าเป็นหมู่กับพวกเราได้นะ ผมไปสืบดูแล้วไม่มีสิ่งที่จะดูถูกท่านได้ แต่ข้างหน้าใครๆ ก็มองกันไม่เห็นได้ ถ้าหากว่าต่างก็มุ่งหลุดมุ่งพ้น แล้วต่างก็ตะเกียกตะกายสูงใจสูงธรรมขึ้นในตัวดอก”

    นี่เป็นคำพูดของพระอาจารย์มหาบัวพูดกับหมู่ลับหลัง ข้าพเจ้าได้ฟังหมู่เล่าให้ฟังแล้ว ก็พิจารณาเป็นกลางๆ ไม่รับไม่ปัด

    ไม่ว่าใครๆ ในโลก ทำดีประจำวันอยู่ก็นับวันสูงขึ้นแห่งความดีไม่ว่าทางโลกีย์หรือโลกุตตระ ความชั่วถ้าทำประจำวันคืนก็นับวันพอกพูนสูงขึ้นทางฝ่ายชั่ว แต่ความชั่ว คนชั่วทำได้ง่าย ความชั่ว คนดีทำได้ยาก ความดี คนชั่วทำได้ยาก ความดี คนดีทำได้ง่าย เป็นของตรงกันข้ามอยู่ร่ำไป

    ความดีเป็นฝ่ายเหตุที่พระพุทธศาสนาส่งเสริม ความชั่วเป็นฝ่ายที่พระพุทธศาสนาทรงกีดกัน ผู้ที่รู้จักเหตุฝ่ายดีฝ่ายชั่ว กับผู้รู้จักผลฝ่ายดีฝ่ายชั่วนั้นก็ มีความหมายของธรรมอันเดียวกัน และก็ไม่เลือกชั้นวรรณะด้วย

    บาปบุญคุณโทษ มรรค ผล นิพพาน เป็นธรรมฝ่ายทรงอยู่มีอยู่แบบกลางๆ บรรจง ไม่ขึ้นอยู่กับเพศ ชั้นวรรณะ ไม่ลำเอียงด้วยอคติใดๆ แห่งชั้นวรรณะและพรรคพวก แล้วแต่ใครจะสร้างเอา

    การไปวิเวกในป่าในดอนดงภูเขา ไม่ใช่ไปเล่นสนุกๆ เพื่อมาอวดเอาคะแนนอะไรในโลกๆ มันเป็นเครื่องทดสอบตนอยู่ในตัวแห่งรสชาติของจิตใจว่า ศรัทธาและปัญญาสมดุลกันหรือไม่ วิริยะความเพียรในธรรมกรรมฐาน สติระลึกชอบในกรรมฐาน สมาธิตั้งมั่นในกรรมฐาน จะสมดุลกันขนาดไหน รสจิตรสใจได้ดื่มแล้วหรือประการใด กามวิตก ความตรึกในทางกาม พยาบาทวิตก ความตรึกในทางพยาบาท วิหิงสาวิตก ความตรึกในทางเบียดเบียน เมื่อจิตเข้าถึงปฐมฌานสิ่งเหล่านี้สงบลงแล้ว เมื่อถอนออกมาแล้ว สิ่งเหล่านี้กำเริบขึ้นหรือไม่ ไม่กำเริบนั้นด้วยวิธีไหน ก็ให้รู้วิธีนั้น กำเริบด้วยวิธีไหน ก็ให้รู้ด้วยวิธีนั้น ขาดไปแล้วด้วยวิธีไหน ก็ให้รู้ด้วยวิธีนั้น

    กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก มีคุณเจือปนกับโทษหรือไม่ หรือเป็นโทษล้วนๆ ไม่เป็นคุณเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นเป็นจริงชัดหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงจำมาด้วยสัญญา ความเคยชินเคยหู ก็หันปากว่าไปเหมือน แก้วเจ้าขา กินข้าวกับกล้วย เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องทดสอบตัวเองให้ได้ความชัดทั้งนั้น มิฉะนั้นแล้ว การปฏิบัติก็สุ่มสี่สุ่มห้า คล้ายกับว่าทั้งซื้อทั้งขาย แต่ไม่รู้ว่าขาดทุนหรือได้กำไร แต่ละวันๆ แม้จะอยู่กับที่ กับวัด ก็ต้องตรวจตน เตือนตนอยู่แบบนี้เป็นคราวๆ เสมอ จะละเว้นจนเหลิงเจิ้งก็ไม่ได้อีก
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    วิธีทดสอบตนเองขณะภาวนา

    [​IMG]


    เราไปพักวิเวกบางแห่งไม่มีแขกมาสุงสิง สถานที่ก็อำนวยพอควร ด้านภิกขาจารก็ไม่ใกล้นักไม่ใกล้นัก วันหนึ่งคืนหนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมง เราจะฉันขนาดไหนจึงพอดี เราจะเปลี่ยนอิริยาบถขนาดไหนจึงเหมาะ เราจะหลับขนาดไหนจึงจะเหมาะ เราจะปันเวลาขนาดไหนจึงจะเหมาะ เราหลับขนาดนี้ภาวนาได้ความยังไง เราดื่มขนาดนี้ภาวนาได้ความยังไง เราฉันขนาดนี้ได้ความยังไงด้านภาวนา

    สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องทดสอบตนเอง เพื่อจะได้เอาออกใช้ปฏิบัติให้ได้ผลเฉพาะส่วนของตน เราตั้งกรรมฐานอันนี้ไว้เป็นหลักพิจารณา เราได้รับผลอย่างไร เช่น พิจารณากาย เป็นต้น เรากำหนดลมออกเข้าได้ผลเป็นอย่างไร เราพิจารณาพุทโธได้ผลเป็นอย่างไร เราพิจารณาเมตตา กรุณาได้ผลเป็นอย่างไร เราเพ่ง อาโป เตโช วาโย ปฐวี ได้ผลเป็นอย่างไร เราพิจารณา อนิจจังได้ผลเป็นอย่างไร เราพิจารณาทุกขังได้ผลเป็นอย่างไร เราพิจารณาอนัตตาได้ผลเป็นอย่างไร เราพิจารณาใจทั้งหมด ธรรมทั้งหมด รวมลงในผู้รู้แห่งเดียว ในปัจจุบันได้ผลเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้จะได้รู้จริง ชัดจริง ในภาพพจน์ตน ไม่ต้องสงสัยถามใครทั้งนั้น

    แต่จะปฏิเสธในการถามก็ไม่ได้ จะปฏิเสธในการฟังก็ไม่ได้ไปหน้าเดียว ควรมีการทดสอบอีก ถ้าเรารู้ชัด ปฏิบัติชัดตอนไหนๆ ตอนนั้นๆ ไม่กลับมาเดือดร้อนให้เราสงสัยแคลงคลางอีก ตอนนั้นไม่ถามใครอีกก็ได้

    อุทาหรณ์แบบหยาบๆ เช่น เราจิ๊บเกลือก็รู้จักรสเค็มแล้วเราก็ไม่ต้องถามใครๆ ว่ารสเกลือนั้นรสเค็มมันเป็นอย่างไรครับ เราก็ไม่มีประตูที่จะถามอีกเพราะเราได้จิ๊บดูแล้ว ฉันใดก็ดีรสของธรรมแต่ละชั้นๆ ก็โดยนัย จิตแต่ละชั้นๆ ก็โดยนัยอีก

    เมื่อปฏิเสธในการถามไม่ได้ ก็ปฏิเสธในการตอบไม่ได้เป็นบางรายเหมือนกัน เพราะสัตว์โลก มนุษย์ เทวดา มาร พรหมก็ดี ตลอดพระอรหันต์ คือพระอรหันต์ก็ดี ก็มีการสังสรรค์ถามตอบกันอยู่ทั้งฝ่ายสมมุติและปรมัตถ์

    แม้สัตว์เดรัจฉานมันร้องเรียกกัน ถามตอบให้รู้ความหมายของกันและกัน เช่น บางกรณี มันกินอาหารอยู่ หรือจับอยู่ มันร้องถามหมู่เพื่อนของมัน หมู่ของมันได้ยิน ก็บินมาตอบ หรือบินหนีตอบ หรืออยู่ที่เก่าตอบเช่น เขาเบียดเบียนเรา แต่เราไม่เบียดเบียนตอบ จะว่าเราตอบเขาหรือไม่ตอบ จะตอบก็ได้ไม่เป็นไรดอก เพราะเราตอบในทางดี ตอบแบบไม่เบียดเบียน

    เรื่องอื่นยังมีอยู่อีก เพราะจิตสังขารเป็นผู้ใช้กายสังขารเขียน ก็ต้องเขียนไป แต่อย่าทั้งเขียนทั้งเดือดร้อนทางใจก็แล้วกัน แม้ผู้อ่านผู้ฟังก็เหมือนกัน อย่าทั้งอ่านทั้งเดือดร้อน ทั้งฟังทั้งเดือดร้อนก็แล้วกัน เพราะเดือดร้อนนั้น มันเดือดร้อนให้ตน เดือดร้อนให้คนอื่นไม่ได้ กินอาหารอร่อยหรือไม่อร่อยก็ดี (ก็) กินให้ตน กินให้ท่านผู้อื่นไม่ได้ ฉันใดก็ดี ความเดือดร้อนก็เหมือนกัน เราเดือดร้อนให้เขา ถ้าเขาเดือดร้อนตอบ ความเดือดร้อนอยู่ในใจเรา เขามารับหอบเอาไปหาเขาหมดดอกหรือ แม้เขาไม่เดือดร้อนตอบ ความไม่ดีเดือดร้อนของเขา มาหาเราหมดดอกหรือ ตกลงความเป็นธรรมแท้ก็ของใครของมันตามเดิม

    นี้ปรารภตามชั้นเราชั้นเขาตามเป็นจริงของสมมุติ แต่มีปรมัตถ์ควบอยู่แบบเจือปนๆ มิใช่ปรมัตถ์โต้งๆ เพราะยังมีบุคลาธิษฐานเจือปนกัน เพื่อให้ความกระจ่างแก่ผู้ฟังผู้อ่านผู้พิจารณา เพราะพระสูตรพระวินัยมีทั้งบุคลาธิษฐาน ธรรมาธิษฐานเจือกันอยู่ พระปรมัตถ์เป็นธรรมาธิษฐาน มีธรรมเป็นที่ตั้งล้วนๆ

    ถามว่า ผู้มุ่งปฏิบัติตามพระวินัยพระสูตร จะได้ชื่อว่าปฏิบัติตามพระปรมัตถ์กันหรือไม่

    ตอบว่า ได้ปฏิบัติตามปรมัตถ์อยู่ในตัวแล้ว เพราะคำว่าพระวินัยก็วินัยกาย วินัยวาจา วินัยใจ คำว่าพระสูตรก็สูตรของกายของวาจา ของใจ ผู้ไม่มีใจก็ปฏิบัติพระวินัยไม่ได้ ผู้ไม่มีใจก็ปฏิบัติพระสูตรไม่ได้ ผู้ไม่มีใจก็ปฏิบัติใจคือพระปรมัตถ์ไม่ได้ เป็นอันว่าพระปรมัตถ์กล่าวถึงธรรมและใจล้วนๆ

    แต่ให้เข้าใจว่าพระวินัยก็ดี พระสูตรก็ดี พระปรมัตถ์ก็ดี ทุกคนย่อมปฏิบัติได้ เว้นใจอันบ้าใบ้เสียจริตผิดมนุษย์เสีย เพราะไม่สามารถจะปฏิบัติได้สะดวก เพราะกรรมและผลของกรรมฝ่ายชั่วยังหนักอยู่ คล้ายกับดอกบัวยังอยู่ใต้น้ำ จะเป็นมนุษย์ก็จริง แต่เป็นมนุษย์ชั้นจัตวา

    ฉะนั้น บ้าใบ้เสียจริตผิดมนุษย์นั้น พระบรมศาสดาจึงไม่ทรงอนุญาตให้บวช แต่ (ถ้า) ไม่รู้ชัด (แล้ว) รับบวช เมื่อบวชแล้วรู้ชัดเข้า ให้นาสนะเสีย คือให้สึกเสีย เพราะยังเป็นมนุษย์ไม่เต็มภูมิ ไม่ตรงกับคำถามอันตรายิกธรรมต่อหน้าสงฆ์ว่า “มนุสฺโสสิ” แล้วตอบว่า “อามะภันเต” เฉยๆ ไม่ตรงต่อความจริงเพราะบ้าใบ้อยู่

    ถามว่า ผู้เขียนชีวประวัติของตนเองอยู่เดี๋ยวนี้จะไม่เป็นบ้าอารมณ์ ดอกหรือ

    แก้ว่า จะบ้าอารมณ์ยังดีกว่าบ้าแล้ง

    ถามว่า บ้าแล้งนั้นคืออะไรบ้าง

    ตอบว่า บ้าแล้งนั้น คือเพลินในโลกสงสารโดยถ่ายเดียว ไม่เหลียวแลทางปัญญาพาฟอกความหลง เป็นต้น

    ถามว่า คำว่า หลงๆ ในที่นี้ หลงอะไรครับ

    ตอบว่า หลงหนังที่หุ้มอยู่โดยรอบแห่งกาย ว่าสวยงาม ว่าเป็นของยั่งยืน ว่าเป็นสุข ว่าเป็นของตนเอาจริงๆ จังๆ จนแกะไม่ได้คลายไม่ออก แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ตั้งอยู่ตามความประสงค์ แล้วก็เดือดร้อนทางใจ เพราะผลลัพธ์เป็นฝ่ายสะท้อน เพราะเหตุหลงหนัง

    ถามว่า ท่านผู้ไม่หลงหนังมีไหมเล่า

    ตอบว่า ข้อนี้เป็นของตอบยาก เพราะผู้ไม่หลงหนังไม่ได้เขียนใส่หน้าผากไว้ แม้เขียนไว้ก็เชื่อไม่ได้ เพราะเขียนลวงก็มี เพราะการหลงหนังไม่ขึ้นอยู่กับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และท่านผู้ไม่หลงก็ไม่ขึ้นอยู่กับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ขึ้นอยู่กับใจ

    ถามว่า ใจมันเป็นตัวยังไง ผมทำไมถึงไม่เห็นมันสักที ชาวโลกชาวธรรมก็มักพูดว่า ใจๆ

    ตอบว่า ผู้ถามหาใจ ก็เอาใจถาม ผู้ตอบ ก็เอาใจตอบ คนตายแล้วถามไม่เป็น ตอบไม่เป็น เพราะไม่มีใจอยู่นั้น

    ถาม ใจมันเป็นคุณหรือเป็นโทษ

    ตอบ เมื่อมันทำโทษ มันก็เป็นโทษ เมื่อมันทำคุณ มันก็เป็นคุณ คุณและโทษของมันไม่มีใครไปปล้นไปจี้เอาได้

    ถาม ใครใส่ชื่อให้มัน

    ตอบ มันใส่ชื่อเอง

    ถาม ใครเป็นเจ้าของมัน

    ตอบ มันเป็นเจ้าของเอง

    ถาม มันเกิดมาจากไหน

    ตอบ มันเกิดมาจากมันเอง

    ถาม อะไรพาให้มันเกิด

    ตอบ ความหลงของมันพาให้เกิด

    ถาม มันหลงอะไร

    ตอบ มันหลงว่า มันเป็นมัน เอาจริงๆ จังๆ
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ธรรมะหลวงปู่มั่น

    [​IMG]


    หันมาปรารภต่อไปว่า ในยุคบ้านหนองผือในวาระผู้เขียนไปอยู่ด้วยกับองค์ท่าน ได้ยินองค์ท่านยืนยันว่าองค์ท่านเป็นพระอรหันต์หรือไม่

    ตอบได้อย่างผึ่งผายว่า องค์ท่านมิได้ยืนยันว่าองค์ท่านเป็นพระอรหันต์หรือปุถุชนใดๆ เลย ชะรอยผู้เขียนจะไม่รู้จักอิโหน่อิเหน่แล้วองค์ท่านจะไม่เล่าคำลับให้ฟังก็อาจเป็นได้ หรือเกรงว่าผู้ฟังประมาทและไม่เชื่อก็อาจเป็นโทษแก่เขาก็อาจเป็นได้ องค์ท่านจึงไม่เล่าให้ฟัง

    ส่วนธรรมะขององค์ท่านแสดง บางคราวเป็นธรรมชั้นสูงมากเป็นต้นว่า

    “ไม่ว่าธรรมส่วนใด ถ้าสำคัญตนว่าเสวย เป็นอันผิดทั้งนั้น”

    ข้อนี้ประทับใจของข้าพเจ้ามาก ในเวลาที่องค์ท่านเทศน์อย่างนี้ พระอาจารย์มหาบัวก็ฟังอยู่ที่นั้นด้วย มีพระสองสามองค์นั่งฟังอยู่ด้วยกัน ไม่มีพระอาคันตุกะมาปน แต่แปลกอยู่ว่า ชีวประวัติของหลวงปู่มั่นได้พิมพ์มาหลายๆ ครั้ง ตรวจดูแล้วไม่เห็นธรรมข้อนี้ปนอยู่เลย ชะรอยต่างองค์ก็ต่างจำมาได้คนละบทคนละบาทอันสำคัญ

    มุตโตทัยตีพิมพ์ฉบับต้น คราวถวายเพลิงของหลวงปู่มั่น ธรรมชั้นสูงในเล่มนั้นกล่าวว่า

    “ถ้าไม่มีที่อยู่ ก็ไปอยู่ที่สูญสูญนั้น”

    ใจความในหนังสือเล่มนั้นทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับภาพพจน์ข้อนี้ นี้เป็นธรรมชั้นสูงในหนังสือเล่มนั้นทั้งหมด เหตุผลที่จะไปอยู่ที่สูญสูญนั้น หนังสือเล่มนั้นอธิบายว่า “ถ้าจะว่าสูญไม่มีค่า ก็ไม่ได้ เพราะไปบวกกับเลขหนึ่ง ก็สิบ ร้อย พัน หมื่น แสนล้าน” ดังนี้ เป็นมติของผู้เขียนคืออาจารย์มหาเส็งและอาจารย์ทองคำ ในยุคนั้นพระอาจารย์มหาบัวกำลังรักวิเวก เที่ยวปฏิบัติโชกโชนอยู่ ไม่สุงสิงในการเขียนหนังสือ

    ข้าพเจ้าพิจารณาอยู่แต่ไรๆ ว่าเหตุที่สูญจะเป็นของมีค่าก็เพราะมีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ถ้าไม่มีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของแล้วสูญก็กลายเป็นโมฆะไปตามสภาพที่สมมุติ ไม่ว่าแต่สูญเลย ขี้เป็ดขี้ไก่ก็ดี ถ้ามีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของแล้ว ย่อมเป็นของมีค่าทั้งนั้น ซื้อขายเอาไปใส่ผักก็ได้ ใครลักก็เป็นอทินนาทาน แต่พระนิพพานไม่เป็นหน้าที่จะแล่นไป หรือเดินไปอยู่ที่สูญสูญ ถ้าอย่างนั้น สูญก็เป็นสรณังคัจฉามิของพระนิพพาน พระบรมศาสดากล่าวไว้เพียงแต่ว่า เปลวไฟอันกำลังลมเป่า เมื่อเปลวไฟดับไปแล้วไม่เป็นหน้าที่จะไปยืนยันและสมมุติว่าไปตั้งอยู่ที่นั้นที่นี้ หรืออะไรๆ ทั้งนั้น

    ความขัดแย้งแห่งสงครามความเห็น ถ้าความเห็นออกนอกรีตนอกรอย เป็นอัตโนมติของผู้ยังมีกิเลสหนา ไม่เหมือนอัตโนมติของพระอริยเจ้า ที่มัดเข้าหาธรรมฝ่ายอริยะเป็นบรรทัด เป็นแว่น เป็นคระจกเงา เป็นกล้องจุลทรรศน์ เป็นเครื่องวัดเครื่องตวงอันไม่เลยเถิด ปราศจากเดาด้นคาดคะเน พร้อมทั้งมีสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไกลจากโลกิยวิสัยไปแล้วจะดึงลงมาเทียบกับโลโก โลกา โลเกเร โลกึง โลมึง โลกู ย่อมเป็นไปไม่ได้ทั้งอดีตอนาคต ปัจจุบันด้วย

    ชีวประวัติของหลวงปู่มั่นก็ดี ของท่านองค์ใดๆ ก็ดีจะแต่งจะเขียนพิสดารหรือย่อก็ตามที ถ้าแก่นเรื่องของธรรมะ ยอดเรื่องของธรรมะชั้นสูงไม่สมเหตุสมผลแล้ว ปราชญ์ผู้อ่านผู้ฟังก็ไม่ถึงใจถึงธรรมเท่าที่ควร ไม่ชวนอยากอ่านไม่ชวนอยากฟังด้วย มิหนำซ้ำถูกวิจารณ์ว่าไม่สมชื่อลือชาปรากฏว่าโด่งดังอะไรกันในทางที่ชอบแท้ของธรรมะ เมื่อผู้เขียนมิใช่เจ้าตัวเขียนเอง ย่อมตีความหมายลงมาหาตัวของผู้เขียน เพราะเข้าใจอย่างนั้น ชัดอย่างนั้น แต่มันก็เป็นเรื่องอจินตับอจินไตยเหลือวิสัยจะผูกขาด ชีวิตของหลวงปู่มั่นในยุควัดป่าหนองผือ พรรณานิคม จังหวัดสกลนครเป็นยุคสุดท้ายของชีวิตองค์ท่าน และสุดท้ายธรรมะชั้นสูงแห่งองค์ท่านอีกด้วย

    ธรรมะขององค์ท่านส่วนอื่นๆ อเนกปริยายก็ตาม ตลอดข้อวัตรปฏิบัติอันเด็ดเดี่ยว ที่ทำ (เพื่อ) ส่วนตัวองค์ท่านก็ตาม (หรือ) เพื่อทอดสะพานให้อนุชนรุ่นหลังก็ตาม ย่อมเป็นเมืองขึ้นของคำที่องค์ท่านเทศน์ว่า

    “ไม่ว่าธรรมส่วนใด ถ้าสำคัญตนว่าเสวย เป็นอันผิดทั้งนั้น”

    เมื่อกล่าวว่า ธรรมส่วนใด ก็เป็นอันกล่าวถึง จิตส่วนใด อยู่ในตัว ผู้รู้ส่วนใด อยู่ในตัวอีกด้วย ญาณส่วนใด อยู่ในตัวอีกด้วย ส่อแสดงให้เห็นว่าทำลายอุปาทานในตัวแล้ว

    ย้อนมาปรารภสับสนปนเปกันไปอีก เพราะนึกเห็นได้ จำได้อันใด ก็เขียนกันลงไป ไม่ต่ออนุสนธิเป็นระเบียบ สับสนอลหม่าน เพราะไม่ชำนาญในการแต่งและการเขียน และก็คงไม่ได้ไปตรวจเอาคะแนนในสนามโลกใดๆ ทั้งสิ้นเลย
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่มั่นเผาศพอาจารย์เนียม

    ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ นั้นเอง เป็นเดือนพฤษภาคม แรม ๗ ค่ำ เวลาเช้าบิณฑบาตมาถึงวัดแล้ว กำลังเตรียมจะแต่งบาตรฉัน พระอาจารย์เนียมมีพรรษาล่วงไป ๑๘ พรรษา องค์ท่านป่วยมานานประมาณ ๑ เดือนกว่า องค์ท่านตั้งเตียงพักอยู่โรงจงกรมเก่าของหลวงปู่มั่นใกล้กับศาลาฉันอาหารประมาณ ๗-๘ วา ได้สิ้นลมปราณไปแบบสุภาพ ไม่มีสกลกายกระดิกหรือเคลื่อนไหวอันใด ปรากฏเห็นแต่ลมเบาไป หมดไป เท่านั้น งามมาก น่าเคารพมาก น่าเลื่อมใสมาก ไม่อั๊ก ไม่แอ็ก ไม่ยักคิ้ว ยักสบปาก ยักจมูก หลับตาสุภาพอยู่ ผู้เขียนได้เห็นกับตา พิจารณากับใจ พระอาจารย์มหาบัวก็ได้เห็นด้วย

    หลวงปู่มั่นอยู่ศาลาก็ทราบย้ายเพราะได้กราบเรียนแล้ว หลวงปู่มั่นปรารภว่า

    “เออ ท่านเนียมก็ไปแล้วในส่วนสิ้นลมปราณ เธอเล่ากับเราบ่อยๆ ว่ารู้จักวิธีภาวนาแห่งสมมุติแล้ว พวกเธอมาศาลา ฉันเช้าซะ ปล่อยให้อยู่นั้นเสียก่อน ฉันเสร็จแล้ว เก็บบริขารแล้ว จึงพูดกันใหม่”

    แล้วก็ปล่อยไว้ไม่มีใครเฝ้าอยู่ดอก เมื่อฉันเสร็จ ขนบริขารขึ้นกุฏิเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่มั่นเดินมาจากกุฏิองค์ท่าน พอมาถึงศพ ก็ก้มลงจับเสื่อสองมือทั้งมือซ้ายและมือขวาทางหัวศพพร้อมทั้งกางขาออกแบบขึงขัง พร้อมทั้งปรารภว่า“

    “พวกเรานี้มันขี้โง่ พากันเกิดมาตายเล่นเผากันเล่นอยู่” พอตกบทคำปรารภ พระอาจารย์มหาว่า “ถ้าจะเอาจริงๆ พวกเกล้าพากันเอาดอก”

    ว่าแล้วยกมือใส่หัว แกะมือหลวงปู่ออก หลวงปู่ตอบว่า “เราไม่ใช่จะทำเล่นดอก”

    ทีนี้พระก็รุมกันจับเสื่อโดยรอบศพเป็นวงรอบ พระพวกผู้ใหญ่อยู่ทางหัวศพ พระผู้ขนาดกลางก็อยู่ระหว่างกลางตัวศพ พวกพระผู้น้อยก็อยู่ทางเท้าศพ ชูกันไปถึงริมวัดทิศตะวันออกเฉียงใต้ในเขตบริเวณวัด หลวงปู่มั่นปรารภว่า

    “ไปบอกโยมบ้านหนองผือว่า หลวงปู่จะพาเผาพระอาจารย์ด่วนเดี๋ยวนี้”

    แล้วก็บอกเณร ตาปะขาว และพระว่า “เอ้า รีบเอาฟืนโดยเร็ว”

    ต่างก็รีบเอาฟืนโดยเร็ว พระเอาไม้ตาย เณร ตาปะขาวเอาไม้ดิบปะปนกัน เดี๋ยวเดียวฟืนก็พอ เพราะฟืนยังไม่อด หลวงปู่ก็บอกว่า

    “ยกศพขึ้นตะแคงข้างขวา ไม่ต้องล้างศพตอก ไม่ต้องคลุมผ้าจีวรให้ดอก เพราะตายแล้ว ล้างทำไม คลุมห่มทำไม นั่นประคตเอวไหมใหม่ๆ อยู่นั้น แก้ออก เอาไว้ให้ผู้ขาดเขิน”

    เสร็จแล้วบอกตาปะขาวจุดไฟโดยด่วน ไฟเดือนหกฤดูร้อนแสกๆ ลุกกรุ่นขึ้นโดยด่วน ชาวบ้านมาถึง ไฟลุกโพลงขึ้นแล้ว ทีนี้องค์ท่านก็ให้เอาผ้าปูนั่งของใครของมันปูกับพื้นดินห่มผ้าเฉวียงบ่าแล้ว กล่าวว่า

    “เราจะพาว่ามาติกาเป็นพิธี ไม่ว่าเอาสตางค์ใครดอก”

    พอจบแล้วก็กลับที่ใครที่มัน พอตกเวลาเย็นใกล้ค่ำ ไฟไหม้ศพเหลือแต่หัวกับหน้าอก พอตกตอนพลบค่ำองค์หลวงปู่กล่าวว่า

    “พากันเห็นอาจารย์ไหม ไฟเผาอยู่นั่น รีบจงกรมภาวนาเข้าเดี๋ยวจะตายเปล่า”

    ข้าพเจ้านักสังเกตอยู่ว่า องค์ท่านจะพาสวดมนต์เป็นพิธีไล่ผีหรือไม่หนอ แล้วเลยเห็นท่านไม่เกี่ยวไม่ยุ่ง และก็นึกในใจว่า หลวงปู่นี้เด็ดเดี่ยวมากหาผู้เทียบได้ยากในสมัยปัจจุบัน ไม่แอบเอารายได้กับศพๆ เส็บๆ ของลูกศิษย์เลย เชื่อกรรมและผลของกรรมที่คนทำเอาเอง อันยังมีชีวิตอยู่จริงๆ แม้พี่ชายของท่านผู้มรณภาพก็มาถึงแต่หลายวันแล้ว คือโยมแพงบ้านโคกนามน พระอาจารย์เนียมก็คนบ้านโตกนามน จังหวัดสกลนครนั้นเองไม่ใช่อื่นไกลเลย และหลวงปู่มั่นปรารภเปิดเผยต่อพระเณรในยุคนั้น ขณะนั้นว่า

    “ท่านเนียมเป็นพระโสดาบันแล้ว ไปเกิดชั้นหก อาภัสรา”

    ข้าพเจ้าก็คอยสังเกตอีกว่า องค์หลวงปู่จะทำประการใดหนอจะประกาศญาติโยมหรือประการใดหนอ ว่าเดี๋ยวนี้พระมรณภาพ อาตมาจะพาทำบุญอุทิศ ท่านผู้ใดจะมีศรัทธายังไงก็สมทบทุนกัน องค์ท่านก็เงียบเลย แต่บอกโยมแพงอันเป็นโยมพี่ชายของพระอาจารย์เนียมว่า

    “โยมแพงอยากได้กระดูกก็ไปเอาเสียเน้อ อาตมาไม่เอาดอก เพราะอาตมาไม่อดกระดูก อาตมามีแต่จะทอดอาลัยในกระดูกนั้นแหละ โยมอดกระดูกก็ไปเอาซะ”

    โยมแพงกราบเรียนว่า

    “เกล้าก็ไม่เอาดอก เกล้าก็ไม่อดเหมือนกัน”

    แท้จริงนั้นโยมแพงลงมติของหลวงปู่มั่นทุกกรณีแบบราบคาบมาแต่นมนานแล้วไม่จืดจาง

    ท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟังคงไม่สนิทใจในตอนนี้ แต่ผู้เขียนสนิทใจอยู่จึงได้กล้าเขียนไว้ ถ้าไม่เขียนไว้ประวัติอันสำคัญจะไม่ยังคงที่ จะลบเลือนไป ถึงโลกปัจจุบันจะเป็นปัญหายุ่งเหยิงในส่วนนี้ก็ลงเอยอยู่กับปฏิปทาแต่ละรายของบุคคล หลวงปู่มั่นมิได้คืนมาต่อสู้อธิกรณ์เอาแพ้เอาชนะด้วย

    ผู้เขียนตีความหมายว่าหลวงปู่มั่นมิได้ประมาทในการกุศลอุทิศเลย ไม่ได้หวังว่าจะทำลัทธิการกระทบกระเทือนชาวพุทธทั่วไป ไม่ได้ทำด้วยความคับแคบสะเพร่า ไม่รอบคอบ ความจริงใจขององค์ท่านแยบคายไม่ชอบวิวุ่น ทอดสะพานให้ฝ่ายพระธุดงค์กรรมฐานโต้งๆ เชื่อกรรมและผลของกรรมที่คนทำไว้ก่อนตาย อัตตา หิ อัตตโน นาโถ โดยแท้ เพราะจะได้สมฐานะกับคนที่แบกกลดสะพายบาตรขึ้นเขาลงห้วย ฉันในบาตรปร๋อ แสวงอยู่ป่าปร๋อ เดินจงกรมภาวนา ปรารภแต่มรรค ผล นิพพานปร๋อ เหล่านี้เป็นต้น และเรื่องที่ผู้เขียน ผู้อ่าน ผู้ฟังจะพิจารณาแบ่งเบาอีกก็มากมายนักหนา

    ผู้รีบเร่งพากเพียรเพื่อพ้นทุกข์ในสงสารก็เป็นการทำบุญอุทิศให้ตนเองและทั่วทั้งไตรโลกา อยู่แบบตรงๆ แล้ว และก็เป็นมหาทอดสะพานให้ชาวโลกอยู่โดยตรงๆ แล้ว การประพฤติเด็ดเดี่ยวเป็นเครื่องเหนี่ยวใจของท่านผู้ต้องการพ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติ

    การเห็นภัยในสงสารขณะจิตเดียว ประเสริฐกว่าการเห็นเพลินในสงสารล้านๆ ขณะจิต การนอนใจในโลก กับการนอนใจในหลุมถ่านเพลิงกิเลสก็คงมีความหมายและรสชาติอันเดียวกัน แต่ก็เป็นการเบื่อหูของผู้ไม่สนใจอีกละ ผู้ทำดีหวังดี ก็มีผู้หวังชั่วทำชั่ว มาเป็นอุปสรรค ผู้ทำชั่วหวังชั่ว ก็มีผู้ทำดีหวังดี มาเป็นอุปสรรคกัน แต่ผลรายรับนั้นต่างกันมาก และเหตุไปทางดีและทางชั่วนั้นขึ้นอยู่กับผู้จะเลือกเฟ้นถูก

    ผู้ไม่รอบคอบในเหตุ ไม่มีประตูจะรอบคอบในผล ผู้ไม่รอบคอบในผล ก็ไม่มีประตูจะรอบคอบในเหตุได้ ผู้รอบคอบในเหตุก็คือผู้รอบคอบในผล ผู้รอบคอบในผล ก็คือผู้รอบคอบในเหตุ เพราะโยงถึงกันคระจ่างชัดเฉพาะตน ไม่ลำบากใจด้วย ไม่ว่าเหตุผลตอนไหนๆ
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    สมัยพุทธกาลเก็บศพไว้กี่วัน

    สิ่งที่ควรวิจัยแบ่งเบาเรื่องศพๆ เส็บๆ อีก ครั้งพุทธกาล วัดป่าเชตวันมหาวิหารนั้น มีการเผาศพพระศพเณรอยู่ไม่เว้นแต่ละวันกระมัง ถ้าหากว่าเก็บศพไว้ก็คงไม่มีโกดังพอ พระอัญญาโกณฑัญญะปรินิพพานที่สระฉัททันต์ ช้างป่าทำฌาปนกิจ ช้างเขาเก็บศพองค์ท่านไว้กี่วันไม่ทราบได้ และช้างเขาไปนิมนต์พระที่ไหนมาให้กุสลาก็ไม่ทราบได้ เพราะเรียนน้อยรู้น้อยพลอยรำคาญ พระมหาสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ ปรินิพพานก่อนสมเด็จพระบรมศาสดา องค์ท่านพาคณะสงฆ์และญาติโยมเก็บศพไว้กี่วันก็ไม่ทราบได้ ไม่ปรากฏชัดอีก พระราหุลไปปรินิพพานที่ดาวดึงส์ เทวดาเก็บศพไว้กี่วันไม่ทราบอีก เทวดาทำบุญอุทิศด้วยอาหารทิพย์หรือไม่ ไม่ทราบอีก

    มีปัญหาว่า นั้นมันเรื่องของพระอรหันต์ทั้งหลาย เราจะเอามาเทียบไม่ได้หรอก

    ตอบทันทีว่า นั้นแหละพระอรหันต์ทอดสะพานไว้ให้ปวงชาวโลกผู้จะสืบไปข้างหน้า พระบรมศาสดา เจ็ดวันจึงถวายพระเพลิง แต่ถึงกระนั้น มัลลกษัตริย์ก็เวียนถวายพระเพลิงก่อนหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ติด เพราะเทวดาบันดาลมิให้ไฟติด เพราะคอยพระมหากัสสปะกำลังเดินทางมาจะถวายบังคมพระพุทธสรีระ พร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ องค์

    แต่ผู้เขียนนี้ เมื่อตายแล้วคงจะถูกคอยพระมหากัสสะเหม็นก็อาจเป็นได้ แต่ได้ทำพินัยกรรมไว้แล้ว ไม่ให้คอยท่านผู้ใด คอยเพียงเอาฟืนเสร็จเท่านั้น กุสลาก็ไม่ต้องว่า อนิจจาก็ไม่ต้องเอ่ยให้ เพราะได้เรียนไว้แล้ว ตายอยู่วัดป่า กะโลงก็ไม่ต้องทำ เพราะไม่ได้ชู ไม่ได้หามผ่านบ้านท่านผู้ใด เว้นไว้แต่ตายอยู่ที่อุจาดเท่านั้น

    ตายเวลาเช้าก่อนฉันจังหัน บิณฑบาตฉันเสร็จแล้วก็เผา เว้นไว้แต่มีอุปสรรคฝนตกมาก หรือเว้นไว้แต่กลางคืนหาฟืนไม่ทัน เชื่อแน่ว่าประเทศไทยมิได้อดฟืน ถ้าเอาเงินเผาเท่าใดก็ไม่พอง่าย เพราะเมืองพอในตัวเงินไม่มี ความเลี้ยงชีวีเนื่องด้วยท่านผู้อื่นจิปาถะ จะเอาศพไว้เป็นโล่เพื่อล้วงกระเป๋าผู้อื่น เรียกว่าตายร้อน เพราะเดือดร้อนท่านผู้อื่น ไม่ใช่ตายเย็น ร้อนทั้งพระหนุ่ม พระแก่ เณรน้อยคอยเฝ้าศพ ฉันก็ไม่อร่อย นอนก็ไม่หลับ

    มีปัญหาว่า มันเป็นเรื่องของผู้อยู่ข้างหลัง ตอบจังๆ ว่ามันเป็นเรื่องเจ้าตัวจะสั่งเสียไว้ด้วยความจริงใจ มิฉะนั้นแล้วจะกลายเป็นผู้ไม่รอบคอบในอนาคต ทำความยุ่งเหยิงให้ผู้อยู่ข้างหลังลังเล ถ้ามีผู้ติเตียนผู้อยู่ข้างหลังว่าใจคับแคบจืดจางเกินไป เขาก็มีพินัยกรรมออกอ้างอย่างสมบูรณ์ ถ้าพินัยกรรมแต่ปากเปล่าๆ คำผู้เล่าอาจลบเลือน หากยิ่งเป็นลายมือของผู้ตายเขียนไว้เองโดยไม่ถูกข่มเหง หรือผู้อื่นมาล่อให้เขียน ก็ยิ่งเป็นจริงขึ้น เพราะเขียนด้วยศรัทธาอันจริงใจล้านๆ เปอร์เซ็นต์ และก็เป็นมรณสติ ไม่ประมาทว่าตนจะไม่แตกไม่ตายด้วย จึงสมฐานะของผู้ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงในเรื่องศพๆ เส็บๆ ด้วยเพราะไม่ใช่ปลา ไม่ใช่เนื้อที่ผู้อยู่ข้างหลังจะแบ่งกันไปทำปลาร้าปลาเจ่า ปิ้งแกงแบ่งแจกปลาแดกและน้ำปลาได้

    หันมาปรารภเรื่องศพฆราวาสครั้งพุทธกาล เรื่องนางปฏาจารา บิดามารดาของนางเป็นเศรษฐี ท่านๆ ใครๆ ย่อมรู้ดีในธรรมบท พากันตายสดๆ พร้อมกันในวันเดียวหลายคน บันคลบันดาล ลมพัดปราสาทหักตอนกลางคืน ตื่นเช้ากินข้าวเสร็จก็เผาในเชิงตะกอนเดียวกัน ๓-๔ ศพ และสามีของนาง ลูกของนางสองคนอีก สามีของนางงูกัดตายคาที่ ทิ้ง (ไว้) กับที่ มิได้เผาฝัง ลูกคนเล็กเหยี่ยวเอาไปฝังไว้ในท้องมันสดๆ ลูกคนโตตกน้ำอจิรวดี น้ำพัดไปไม่เห็นศพ นางเสียจริตพิศวงจนถึงกับเป็นบ้า เปลือยกาย สุดท้ายก็ได้บวช สำเร็จพระอรหันต์ เรื่องศพทั้งหลายก็หายกังวล เพราะเผาศพกิเลสของตนจนเสร็จสิ้นก่อนตาย ถ้าเขียนไปหลายหลายเป็นเถรีประวัติ แต่เป็นการเทียบชัดที่เก็บศพไว้นาน หรือถูกกล่าวตู่ว่าครั้งพุทธกาลเป็นครั้งล้าสมัย แต่ยุคปัจจุบันจะลากสมัยก็อาจเป็นได้

    นัยที่นี้มิได้หวังว่าจะปั่นท่านผู้อ่านผู้ฟังให้ยุ่งมันสมองอันใดเลย เกรงว่าจะเพ่งโทษหลวงปู่มั่นเลยเถิดไป เกรงจะกลายเป็นสร้างขุมนรกลงที่ใจให้ลึกลับเดือดร้อนมาก แต่ขอฝากไว้ให้นักปฏิบัติพิจารณาเองเถิด บางทีอาจเกิดโล่งใจไม่กังวลในศพๆ ของตนก็อาจเป็นได้ จะกังวลแต่เวลามีชีวิตอยู่ เพื่อจะได้รีบเร่งสร้างความดีไว้ให้ด่วน ชวนเจตนาเพื่อพ้นทุกข์ในสงสาร เร็วพลันทันกาลไม่นานเนิ่นช้าในปัจจุบันชาตินี้แล

    และอีกความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมชาติของผู้เคยคุ้นเชื่อง แต่เป็นธรรมดาของผู้เรียนวิชาเข็ดหลาบ เรียนวิชาเพื่อพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ มันมีกิเลสเป็นแดนเกิดให้รู้จักชัดกระจ่างแจ้งว่าเท็จจริงเพียงไรโดยส่วนเฉพาะตัวตามคำสั่งและคำสอนของพระองค์เป็นบรรทัด ไม่บัญญัติเอาตามอัตโนมติของตนด้วยมานะความถือตัวให้เป็นเสี้ยนหนามต่อธรรมวินัย เพราะพระธรรมวินัยบริบูรณ์แล้วไม่บกพร่องไปไหน ถ้าเทียบใส่อาหารก็ล้างมือเปิบเอาเท่านั้น
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การเผาศพอย่างสมเกียรติพระกรรมฐาน

    หันมาพรรณนาต่อไปอีกติดต่อว่า ปี ๒๔๘๙ นั้นเอง ยุควัดป่าบ้านหนองผือในกลางพรรษา ก็มีพระมรณะอีกหนึ่งรูป พรรษาเก้า ชื่อท่านอาจารย์สอ นธ.เอก บ้านเกิดเมืองนอนของท่านอยู่บ้านศรีฐาน อ.ลุมพุก สมัยนั้นขึ้น จ.อุบลราชธานี สมัยที่เขียนนี้คงเป็น จ.ยโสธร ท่านป่วยเป็นไข้อยู่ประมาณหนึ่งเดือนก็มรณภาพไป เพราะเหลือวิสัยจะรักษาได้ในสมัยนั้น แต่สมัยใดๆ ยุคใดๆ ก็ตามในสรรพโลกทั้งมวลรวมกัน ย่อมมีผู้เกิดผู้ตายอยู่ทุกวินาที ไม่ขาดระยะ จองขาดผูกขาดอยู่แล้ว เมื่อเกิดเมื่อตายอยู่ทุกวินาทีอย่างนี้แล้ว ความแก่ความเจ็บเล่า ก็ต่อสู้มีความหมายอันเดียวกัน จะบัญญัติว่าเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อยนั้น ก็เป็นเหตุให้คุ้นเชื่องลืมตัวลืมคนลืมใจลืมธรรม หักดอกไม้บูชาส่งเสริมความหลงประมาทมัวเมาหนักขึ้น

    ฉะนั้น พระบรมศาสดาจึงทรงพระมหากรุณากล่าวแก่พระอานนท์ว่า “การพิจารณาความตายวันละร้อยครั้งนั้น ยังประมาทอยู่นะ อานนท์ พิจารณาทุกลมหายใจออกเข้าจึงไม่ประมาท”

    เมื่อจะตีความหมายว่า พระองค์เทศน์ข้อนี้เฉพาะพระอานนท์องค์เดียว แล้วสรรพโลกทั้งปวงแก่เจ็บตายไม่เป็นหรอกหรือ หรือแก่เจ็บตายแต่พระมหาอานนท์องค์เดียว เมื่อเป็นดังนี้ ธรรมคำสั่งสอนของพระองค์แต่ละบทละบาท อันบริสุทธิ์ใสสะอาด ย่อมหยาดรดให้ทั่วถึงสรรพไตรโลกธาตุอยู่โดยตรงๆ แล้ว เช่น ยก ชาติปิทุกขา บทเดียวเท่านี้ก็ถูกไตรโลกธาตุ กระเทือนไปทั้งผู้หูหนวกตาบอดทั้งนั้น ในฝ่ายสัตว์ที่มีวิญญาณครองสิงไม่เว้น

    ย้อนหลังคืนมาเล่าเรื่องพระอาจารย์สอมรณภาพอีก การทำฌาปนกิจนั้นก็ทำแบบพระอาจารย์เนียมนั้นเอง มิได้ผิดกันแม้แต่นิดเดียว ส่อแสดงให้เห็นชัคได้ว่า หลวงปู่มั่นทอดสะพานให้ลูกศิษย์กรรมฐาน ในส่วนศพของพระเณรกรรมฐานไว้โดยกระจ่างแจ้งแล้ว และส่อแสดงให้เห็นชัดอีกว่า ตัวขององค์ท่าน เมื่อสิ้นลมปราณ ก็ต้องการให้ลูกศิษย์ทำถวายแบบนั้น จริงตามเจตนารักธรรมอันสงบแท้ไม่มีมายาสาไถยอันใดเลยในส่วนนี้แท้ๆ

    ชาวโลกนิยมกันว่า การเก็บศพไว้นาน เพื่อทำให้สมเกียรติโลก การเผาเร็วคล้ายกับว่าเป็นของไม่มีค่า ข้าพเจ้าหนักไปในทางเผาเร็ว เป็นของสมเกียรติพระกรรมฐานแท้ เพราะไม่อยากจะดักบ่วงดักแร้วไว้ขูดๆ เกลาๆ ท่านผู้ใดทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่มักมีปัญหาว่าท่านผู้นั้นมาไม่ทัน ท่านผู้ที่อยู่ไกลโน้นมาไม่ทัน ดังนี้ ความจริงแล้วใครมาเวลาไหนๆ ก็ทนอยู่ เพราะผู้สิ้นลมปราณไปไม่ได้คืนมา มาเวลาใดก็ทันทั้งนั้น คือทันตายแล้วนั้นเอง แต่ถ้าหากว่าได้รับทราบข่าวว่าตาย พอมาถึงแล้วผู้ตายนั้นคืนมาก่อนเสีย เรียกว่ามาไม่ทันตาย (แต่) จะอย่างไรก็ทันเกิดทันตายอยู่ทุกเมื่อ เพราะเหตุว่าร่างกายอันมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ มีทั้งก้อนเกิดก้อนตายอยู่โดยธรรมอันแท้แล้ว

    ผู้ทันเกิดทันตายลึกลงไปกว่านั้นอีกเล่า มีท่านผู้ใดหนอ

    ขอตอบตามอัตโนมัติว่า พระอรหันต์ เพราะรู้ทันการเกิด รู้ทันการตายแล้วไม่มาเกิดมาตายอีก เหลือนอกนั้นได้ถูกแพ้เกิดๆ ตายๆ ทั้งนั้น

    ผู้เขียนอยู่นี้เห็นพระอรหันต์หรือไม่หนอ

    ตอบว่าพอได้ยินแต่ชื่อว่าอรหันต์ๆ ก็เลื่อมใสศรัทธาอยู่มากแล้ว แต่เมื่อได้เห็นจริงยิ่งจะเขียนมากกว่านี้ เอาจนท่านผู้อ่านขี้เกียจอ่าน

    แท้จริงจะมาหาพระอรหันต์ในหนังหุ้มย่อมไม่พบเลย เพราะพระอรหันต์มิได้เป็นเปรตมาเฝ้าหนังหุ้ม ถ้าหนังหุ้มเป็นพระอรหันต์แล้ว โคกระบือเป็นต้น ก็เป็นพระอรหันต์ได้ทั้งนั้น ผู้พิจารณาหนังหุ้มลงสู่ปฏิกูล หรือเป็นแต่สักว่าธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมผสมผสานกันอยู่ก็ดี หรือพิจารณาลงสู่ไตรลักษณ์ก็ดี นั่นเป็นหนทางเดินไปสู่พระอรหันต์เท่านั้น และถ้าถึงพระอรหันต์แล้ว หากจักเห็นอรหันต์ดอก ถ้ายังไม่ถึงแล้วก็คาดคะเนเดาด้นทั้งนั้น จะทุ่มเถียงเกี่ยงงอนกันสักเท่าใดก็ไม่เห็นได้ และถ้าไม่ทุ่มเถียงกันแล้วเป็นพระอรหันต์ก็ดี ดินน้ำ ไฟ ลม ล้วนๆ ที่มามีวิญญาณครองสิงไม่ได้ทุ่มเถียงกันสักทีก็เป็นพระอรหันต์ได้ทั้งนั้น

    เรียนวิชาทางติดแล้วไม่คาเป็นของเรียนง่าย เพราะเรียนทางมานะทิฏฐิ เรียนวิชาทางติดแล้วคาเป็นของเรียนยาก เพราะนิยมกันว่าเสียเปรียบ ฉะนั้นจึงมีแต่อาจารย์เต็มโลก แต่หาลูกศิษย์ยาก เพราะเหตุว่า ต่างฝ่ายต่างก็มุ่งจะเทศน์เอากันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เรื่องมานะถือตัวจัดจึงเป็นกิเลสตัวสำคัญ ถ้าไม่มีคำสอนพระบรมศาสดาเป็นบรรทัดไว้ยิ่งจะไปกันใหญ่ ไม่มีสถานีและผู้เชื่อคำสอนของพระองค์แท้ๆ ก็คงมีส่วนน้อย สงครามเวรสงครามภัย จึงมีอยู่ทุกหย่อมหญ้าและเกือบทุกหย่อมหัวใจ
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ระเบียบปฏิบัติวัดหนองผือ

    จะกล่าวต่อเป็นการอยู่ต่อเป็นสำนักหลวงปู่มั่น ยุควัดป่าบ้านหนองผือ คำสั่งและคำสอนขององค์ท่านมีหลายๆ อุบายและหลายๆ นัย จะเป็นอุบายใดๆ และนัยใดๆ ก็ตาม เพื่อให้ผู้เห็นผู้ฟังผู้รู้พิจารณาหลุดพ้นในสงสารโดยด่วนทั้งนั้น เพราะไม่ใช่บวชเล่น ไม่ใช่ปฏิบัติเล่น เพื่อลวงตน เพื่อลวงโลก เพื่ออามิสใดๆ ทั้งสิ้น องค์ท่านเทศน์ห้ำหั่นและเขย่าลูกศิษย์อยู่บ่อยๆ

    ในยุคบ้านหนองผือเป็นยุคสุดท้ายขององค์ท่าน รับลูกศิษย์ไว้มากจริง ฝ่ายพระไม่เกิน ๑๕ องค์ เณรไม่เกิน ๔ องค์ ตาปะขาวไม่เกิน ๒ คน แม่ชีไม่เกิน ๓ คน แต่แม่ชีมิให้อยู่ในบริเวณวัด เขาไปทำที่พักไว้ไกลวัดหลวงปู่และหมู่พระ ฟากบ้านหนองผือทิศตะวันตก วัดป่าของหลวงปู่และหมู่พระเณรอยู่ทิศตะวันออกของบ้านหนองผือฟากทุ่งนา วัดแม่ขาวและวัดพระไกลกันไม่ต่ำกว่า ๒๕ เส้น และองค์ท่านไม่ให้พระไปติดต่อเขา เป็นต้นว่า ถักซบบาตร (ถลกบาตร) หรือทอประคตเอว หรือเมื่อเวลาเขามาตอนเช้าส่งอาหารหลวงปู่เป็นบางรายเท่านั้น

    โยมทางไกลมานอนค้างคืน เมื่อค้างคืน เขาก็ไปหาพักหากินหานอนที่อื่น ไม่ว่าโยมประจำบ้านและโยมมาทำบุญทางอื่น เขาไม่เอาศาลาของพระเป็นที่รับอาหารของเขา เขาไปกินกันทางอื่น เว้นไว้แต่มาคนเดียวหรือสองคนเป็นเพศผู้ชาย มาศึกษาธรรมะจากต่างจังหวัดไกล หรือมาเยี่ยมภิกษุสามเณรป่วยอยู่ที่นั้น แล้วจะได้ดูแลรักษาช่วยกันแล้วนอนค้างคืนอยู่ติดๆ กัน ก็ต้องกินอยู่นั้น นอนอยู่นั้นด้วย แต่ก็กินหนเดียวมื้อเดียวเหมือนพระ อยู่อย่างสงบไม่อึงคะนึง เขามีใจพอพึงเป็นเองไม่ได้บังคับ
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระอาจารย์มั่นถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต

    ด้านบิณฑบาต หลวงปู่มั่นพาลูกศิษย์ปฏิบัติยินดีภัตที่ตกลงในบาตร ไม่ค่อยส่งเสริมในการตามส่งทีหลังอันเป็นปัจฉาภัต ยินดีฉันรวมในบาตรทั้งหวานคาว ไม่ซดช้อน เอามือเป็นช้อน ด้านจีวร ยินดีบังสุกุลวางไว้ที่กุฏิบ้าง บันไดใกล้ที่ขึ้นลงบ้าง ทางไปส้วมและใกล้ทางจงกรม และทางไปบิณฑบาตบ้าง และในศาลาที่ประชุมฉันบ้าง

    แต่หลวงปู่มีภาพพจน์ลงไปอีก มีข้อสังเกตของพระอาจารย์มหาบัว เล่าให้ผู้เขียนฟังเป็นพิเศษ จึงสังเกตได้ พระอาจารย์มหาบัวเล่าให้ฟังว่า

    “หล้าเอ๋ย ผมสังเกตหลวงปู่มั่นได้คือ ผ้าบังสุกุลอันใด ที่เจ้าศรัทธาเขาทำกองบังสุกุลไว้เป็นส่วนรวม เช่น ที่หนทางบิณฑบาตและศาลาและที่ร่มไม่ไกลจากกุฏิองค์ท่าน แม้ท่านจะขาดเขินสักเพียงใดก็ดี องค์ท่านไม่ค่อยจะใช้ให้เขา หรือไม่ใช้เลยก็ว่าได้ องค์ท่านใช้แต่เฉพาะที่เขาเอามาบังสุกุลไว้ที่กุฏิ ใกล้บันใด ใกล้ส้วม ใกล้บริเวณทางจงกรมขององค์ท่านเท่านั้น สังเกตดูดู๋ถ้าไม่เชื่อ”

    เมื่อสังเกตดูก็เป็นจริงแท้ๆ เพราะองค์ท่านลึกซึ้ง ใช้ของไม่มีราคีแก่ท่านผู้ใด และของที่เขาเอามาบังสุกุลใกล้บริเวณที่องค์ท่านอยู่และพักนั้นก็ดี องค์ท่านไม่ได้หวงไว้ใช้องค์เดียว เมื่อลูกศิษย์ขาดเขินก็ให้ทั้งนั้น

    ในยุคหนองผือ พระอาจารย์มหาเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ลึกซึ้งมากทุกวิถีทาง หลวงปู่ไว้ใจกว่าองค์อื่นๆ ในกรณีทุกๆ ด้าน ควรจะเปลี่ยนไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งก็ดี หรือครบทั้งไตรก็ดี หรือสิ่งใดที่ควรเก็บไว้เป็นพิเศษเฉพาะองค์หลวงปู่ก็ดี ในด้านจีวรและของใช้เป็นบางอย่าง ตลอดทั้งเภสัช เป็นหน้าที่ของท่านพระอาจารย์มหาทั้งนั้น เป็นผู้แนะนำให้คณะสงฆ์รู้ความหมายลับหลังหลวงปู่มั่นทั้งนั้น และหลวงปู่มั่นก็มิได้นัดหมายให้พระอาจารย์มหาบัวทำประโยชน์เพื่อองค์ท่านเองอย่างนั้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม ลึกหรือตื้น ด้วยประการใดๆ เลย

    พระอาจารย์มหาเคารพลึกซึ้ง เป็นเอง และไม่ผิดธรรมด้วย ไม่ผิดวินัยด้วย เพราะธรรมวินัยมีอยู่แล้วว่า ภิกษุสามเณรใดไปไล่ทีตีเบี้ยปัจจัย ๔ ที่ได้มาโดยทางที่ชอบจากพระเถระในสังคมนั้นๆ หรือสำนักนั้นๆ เป็นอาบัติทุกกฎ ในพระวินัยปิฎกได้กล่าวไว้แล้ว

    ฉะนั้น ในพระพุทธศาสนาจึงเว้นคุณวุโฒ วัยวุโฒไม่ได้บิดามารดาฝ่ายฆราวาสก็โดยนัย กุลบุตรกุลธิดาจะไปไล่ทีตีเบี้ยในการกินการใช้กับบิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ก็ขาดความเคารพและสิริและไม่สมบูรณ์ในธรรมวินัยส่วนนี้ด้วย กลายเป็นตีเสมอ อกตัญญู

    แม้ถ้าองค์ท่านเกินงามในการกินการใช้ ก็ต้องมีอุบายละมุนละไม กลอุบายปรารภศึกษาโดยเคารพว่า ทำอย่างนั้นมันจะมิเกินไปดอกหรือประการใด เมื่อท่านเห็นว่าเกินไป ท่านก็จะผ่อนลงโดยสุภาพให้เราเข้าใจ เพราะเราใช้อุบายเตือนโดยเคารพ ท่านก็จะใช้อธิบายโดยเคารพละมุนละไม ผู้น้อยเตือนผู้ใหญ่ ใช้คำหยาบและเสียดสีไม่ได้ พระวินัยมีไว้แล้ว ผู้ใหญ่เตือนผู้น้อยแล้วแต่กรณีในเนื้อเรื่องและเหตุผล เป็นภาพพจน์อยู่กับท่าน แต่พระวินัยและธรรมห้ามมิให้ผูกอาฆาตและเฆี่ยนตีเพราะเกินไป พระองค์ทรงบัญญัติไว้พอดีแล้ว
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เสนาสนะยุคบ้านหนองผือ

    ที่นี้ด้านเสนาสนะ องค์หลวงปู่มิได้ชอบก่อสร้างหรูหราอะไรดอก ทำพอได้อยู่ได้พัก ก๊อกๆ แก๊ก ไปเท่านั้น อย่างสูงก็มุงกระดานปูกระดาน ก็ไม่ไสกบ ฝาก็เหมือนกัน สมัยนั้นมีปูกระดานมุงกระดาน ๔ หลังเท่านั้น กับศาลาอุโบสถอีกหลังหนึ่ง กว้างประมาณ ๖ เมตร ยาวประมาณ ๘ เมตร เป็นศาลาเก่าโบราณที่เขาปลูกไว้ก่อนหลวงปู่มั่นไปอยู่ ส่วนศาลาฉันนั้นที่ปูฟากได้กล่าวแล้ว หลังอื่นๆ ที่พระเณรอยู่นั้น ปูฟาก มัดด้วยเครือเถาวัลย์และมัดด้วยตอก กั้นด้วยฝาแถบตอง ใบตองก่อและใบหูกวางทั้งนั้น ประตูทำเป็นฝาแถบตองเป็นหูผลักไปมา หน้าต่างฝาแถบตอง เสี้ยมไม่ไผ่เป็นง่ามค้ำเอาในเวลาเปิด เชือกระเดียงตากผ้าก็ฟั่นเอาฝ้ายอีโป้เป็นสามเกลียว เพราะฝ้ายไม่อด ส่วนเครื่องมุงกุฏิ (ใช้) หญ้าคาเป็นส่วนมาก

    ตามธรรมดาประจำปี พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ก็มีการซ่อมแซมหลังคา ระดมไพหญ้า เวลาเช่นนั้นโยมก็มาช่วย พระเณรทั้งหมดก็ไพหญ้า ใครจะใช้อุบายหลบการงานไม่ได้ เว้นไว้แต่ผู้ป่วยจริงๆ จังๆ การทำงานมิได้มีเสียงอึกทึก เมื่อมีเรื่องจำเป็น พูดกันพอได้ยิน ถ้ามีการผ่าฟืน ก็ได้ยินแต่เสียงงาน ฟังไกล ๑ เส้นแล้วไม่ได้ยินเสียงพูด ถ้าไกล ๑ เส้นแล้วได้ยินเสียง ก็ได้ยินแต่เสียงหลวงปู่องค์เดียวเท่านั้นละ แต่มิได้ทำงานจนเลยเขตข้อวัตรเช่นกวาดตราดและตักน้ำเป็นต้น การเก็บเครื่องมือและอะไรต่ออะไร เรียบร้อยไม่ปล่อยระเนระนาด ถ้าทำสองวันติดๆ กันยังไม่เสร็จ หลวงปู่ให้หยุดวันหนึ่งเสียก่อน เกรงว่าสมถะและวิปัสสนาจะไม่ติดต่อ แล้วจึงทำต่อไปเป็นระยะ หยุดเป็นระยะ

    หยุดนี้แปลว่างานที่เกี่ยวข้องหมดวัด แต่ข้อวัตรเกี่ยวกับครูบาอาจารย์ประจำวันเวลานั้น และส่วนรวมประจำวันเวลานั้น จะไม่ตรงต่อเวลาไม่ได้ ผูกขาดอยู่แล้ว ส่วนข้อวัตรประจำตัวเดินจงกรมภาวนาตอนกลางคืนนั้นก็ผูกขาดอีก จะอวดอ้างว่าตอนกลางวันเรามิได้พัก เราจะนอนแต่หัวค่ำละวันนี้ หรือเราจะตื่นสายละวันนี้ ก็ไม่ได้อีก เว้นไว้แต่เจ็บป่วยจริงๆ ถ้าเจ็บนิดๆ หน่อยๆ แล้วโกหกว่าเป็นหนัก องค์หลวงปู่ก็รู้ และหมู่เพื่อนผู้ตาแหลมก็รู้อีก วิชาขี้เกียจขี้คร้าน วิชามักง่าย วิชาเห็นแก่ตัวในอามิสต่างๆ ไม่มีในสำนักของหลวงปู่เลย ถ้ามีอยู่ไม่ได้ กระเด็นเลย ไม่วิธีหนึ่งก็วิธีหนึ่งละ

    ในยุควัดป่าบ้านหนองผือไม่ขี้เกียจเขียนเลย พอใจเต็มที่แล้ว เพราะเห็นด้วยตา พิจารณาด้วยใจ เพราะไม่ได้อ้างออกนอกไปว่าได้ยินแต่เขาว่า เขานั้นมันเกิดทีหลังของหูและตานอกตาใน ตาปัญญา ตาปัญญาชั้นสูงสุดสามารถไล่ความหลงและโง่ โง่และหลง และอวิชชา และกิเลสก็อันเดียวกัน กองปัญญานิพพิทาวิมุตติไล่ไปแตกกระเจิง
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ปี ๒๔๙๐ พระเถระผู้ใหญ่มาศึกษาธรรม

    วัดป่าบ้านหนองผือยุคนั้น จะว่าชุมทางของพระเณรผู้ปฏิบัติก็ได้ ไม่ผู้คนจะว่าชุมทางของผู้ปฏิบัตินั้น ก็คือใจอันประกอบด้วย ศีลสมาธิ ปัญญา ก็ได้ไม่ผิดอีก แต่ถ้าไม่เขียน ผู้อื่นและผู้ฟังก็คอยแต่จะแซงอยู่ เขียนซะอย่าให้แซง จะเสียเวลา

    ปี ๒๔๙๐ นั้นเอง ในฤดูแล้ง วันนั้นเป็นวันบังเอิญก็ว่าได้ มีพระผู้ใหญ่อันเป็นเถระต่างทิศต่างจังหวัด เข้าไปศึกษาหารือธรรมะกับหลวงปู่ในสำนักพร้อมกันในวันเดียว ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ อุดร พระอาจารย์สิงห์ นครราชสีมา และท่านพระครูอะไรลืมชื่อไป ท่านเจ้าคุณอริยเวที (เขียน ป.ธ.๙) กาฬสินธุ์ หลวงปู่อ่อน อยู่วัดป่าหนองโดก อ.พรรณานิคม หลวงปู่ฝั้น อยู่ธาตุนาเวง วัดป่า อ.เมืองสกลนคร พระอาจารย์มหาทองสุข อยู่วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร มีพระอาจารย์กงมา วัดดอยธรรมเจดีย์ แต่ยังมิได้ใส่ชื่อวัดเพราะไปตั้งใหม่ บางวันบางวาระก็อยู่พักวัดป่าบ้านโคก

    วันที่พระผู้ใหญ่มาเยี่ยมหลายองค์โดยมิได้นัดหมายเช่นนั้น พอถึงหนึ่งทุ่มก็จุดตะเกียงเจ้าพายุ ตีระฆังลงไปรวมกันที่ศาลาอุโบสถ (ไม่ใช่ศาลาโรงฉันดอก เพราะมันคับแคบเกินไป) ครั้นกราบไหว้พร้อมกันเสร็จสิ้นแล้ว ต่างก็นั่งพับเพียบเงียบสงัดอยู่ ๒ -๓ นาที หลวงปู่มั่นมีสันติวิธี ปรารภขึ้นเย็นๆ ว่า

    “เออ วันนี้เหมาะสม ผมจะได้ศึกษากับพวกท่าน จะผิดถูกประการใดขอให้พวกท่านปรารภได้ไม่ให้เกรงใจ ผมได้ศึกษาน้อย เรียนน้อย”

    แล้วองค์ท่านเสนอว่า

    “พระบรมศาสดา บัญญัติอนุศาสน์ ๘ อย่างเป็นข้อเว้นเรื่องใหญ่ อันเป็น ปู่ ย่า ตา ทวด ของความผิด คือปาราชิก ๔ แล้วอีก ๔ ประเภทในฝ่ายปัจจัย ให้ปฏิบัติจนถึงวันสิ้นลมปราณ เพราะเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต เรียกนิสัยก็มี ๔ อย่าง เที่ยวบิณฑบาตหนึ่ง อยู่โคนไม้หนึ่ง นุ่งห่มผ้าบังสุกุลหนึ่ง และก็เภสัชดองน้ำมูตรเน่าหนึ่ง ด้านบิณฑบาต พระองค์ได้ทอดสะพานไว้แล้วจนสิ้นลมปราณ แต่พวกเราไม่ค่อยจะไปบิณฑบาตกัน กลับเห็นว่ามีลาภ แล้วก็คอยให้เขาเอามาส่งและบังสุกุล พวกเราก็ไม่อยากแสวงเสียเลย อยู่ที่สงัดกายวิเวก พวกเราก็ไม่อยากแสวงเลย สิ่งเหล่านี้ พวกเราได้นึกคิดอย่างไรบ้าง พวกเราถูกตามอนุศาสน์แล้วหรือหากว่าบกพร่องอยู่บ้าง”

    ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ยิ้มอยู่โดยเคารพมิใช่ยิ้มแย้ม ส่วนท่านเจ้าคุณอริยเวที ป.ธ. ๙ กราบเรียนว่า

    “ไม่มีสิ่งจะแซงพระอาจารย์ได้ดอก พวกกระผมจำได้ท่องได้เฉยๆ ขอรับผม”

    ในสมัยนั้น ผู้เขียนอายุสามสิบปีกว่าล่วงไป ได้สังเกตพฤติการณ์ของพระเถระในที่ประชุมทุกๆ องค์ ตลอดพระภิกษุหนุ่มสามเณรน้อย ใช้มารยาทเคารพรักหลวงปู่มั่นเหมือนบิดามารดาบังเกิดเกล้า ไม่มีท่านองค์ใดจะจับผิดจับถูกในทางแง่ร้ายอันใดเลยแห่งหลวงปู่มั่น การประชุมถึงจิตถึงใจจึงจำได้ไม่ลืม คล้ายกับว่าเวลาร่างกายร้อนเข้าพักร่มไม้สูงๆ โตๆ มีกิ่งก้านสาขา อากาศโปร่งข้างล่าง ลมมาพัดพอเย็นๆ ดี ไม่ค่อยแรง เรียกว่าประชุมเย็น มิใช่ประชุมร้อน

    แล้วองค์หลวงปู่ก็ปรารภต่อไปอีกว่า

    “พระบรมศาสดาทรงพระมหากรุณา ทรงสั่งและทรงสอนเป็นชั้นที่หนึ่ง คือภิกษุ จึงมีคำออกหน้าว่า ภิกขเว เกือบทุกวรรคทุกตอน ถ้าภิกขเวไม่ศึกษาปฏิบัติ แล้วจะให้ใครปฏิบัติศึกษาเล่า ส่วนพระองค์ทรงพระกรุณา ทรงสั่งสอนอุบาสก อุบาสิกา เทวดา มาร พรหมก็ดี ว่าในพระบาลีน้อยกว่าภิกษุทั้งหลาย นางภิกษุณีก็ดี สามเณรก็ดี สามเณรีก็ดี นางสิกขมานาก็ดี ในพระบาลีเห็นมีน้อยกว่าภิกษุ ผมผู้นั่งหลับตาได้ความอย่างนี้ ตามประสาผู้เฒ่า”

    แล้วองค์ท่านหลวงปู่ก็ปรารภสมาธิ สมาธิแปลว่าตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ที่เพ่งอยู่อันเดียวเป็นหลัก แต่เมื่อหมดกำลังก็ถอนออกมา ส่วนญาณพิเศษ ว่าหลุด ว่าพ้น ยังไม่ปรากฏ เป็นเพียงพักอารมณ์อันหยาบเฉยๆ เรียกว่าจิตใจพักงานอันหยาบของอารมณ์

    แต่จะติดอยู่แต่เพียงรสของสมาธิไม่ได้ เพราะรสของสมาธิเป็นรสขนาดกลาง ต้องพิจารณาใช้สติปัญญาลงสู่ธาตุขันธ์ ในส่วนรูปขันธ์นามขันธ์ให้เสมอภาคเหมือนหน้ากลอง ทั้งอดีต ทั้งอนาคตปัจจุบันใดๆ ทั้งสิ้น ลงสู่ไตรลักษณ์เสมอหน้ากลองอีกเรื่อยๆ ติดต่ออยู่ไม่ขาดสาย ย่นย่อลงมาเป็นหลักอันเดียวในปัจจุบัน ทรงอยู่ซึ่งหน้าสติ ซึ่งหน้าปัญญา ตราบใดนิพพิทาญาณยังไม่ปรากฏแก่สันดานอันประณีต ก็พิจารณาติดต่ออยู่ไม่ขาดวรรคไม่ขาดตอนอยู่อย่างนั้น มีทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่นเลย

    แต่นานๆ จึงจะพิจารณาคราวหนึ่ง ขาดๆ วิ่นๆ นั้น ผู้มีนิสัยหยาบก็พอประทังไปเท่านั้น ไม่สามารถจะถึงนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายคลายหลงคลายเมาได้ง่าย กลายเป็นหมันไปอีก

    สมถกรรมฐานทุกประเภท นับแต่หนังหุ้มอยู่โดยรอบเป็นต้นไปก็ดี หรือล้านๆ นัยก็ดีแล ก็ต้องปลงปัญญาลงสู่ไตรลักษณ์ทั้งนั้น เพราะไตรลักษณ์เป็นที่ชุมทางของสมถะ และสมถะคล้ายกับเป็นเมืองขึ้นของไตรลักษณ์แบบตรงๆ อยู่แล้ว ไตรลักษณ์เป็นเมืองขึ้นของนิพพิทาญาณความเบื่อหน่าย ความเบื่อหน่ายเป็นเมืองขึ้นของวิมุตติ วิสุทธิ นิพพาน พระโสดาบันเปิดประตูเข้านิพพานได้แล้ว แต่ยังไม่ถึงศูนย์กลางพระนิพพาน ยังไม่ได้เที่ยวรอบในพระนิพพาน

    จริงอยู่ พระนิพพานไม่มีประตูรูป ประตูนาม ศูนย์ขอบศูนย์กลางไปๆ มาๆ อยู่ๆ อะไร เป็นเพียงอุทาหรณ์เทียบเฉยๆ เพราะคำพูดก็เป็นวจีสังขาร พระนิพพานมิใช่คำพูดและนึกคิด หรือรสสิ่งต่างๆ มีรสเกลือ เป็นต้น ซึ่งเป็นรสหยาบๆ ในโลกของโลกลิ้น โลกผัสสะ กระทบจึงจะรู้จักเค็ม เว้นไว้แต่ชิวหาประสาทพิการ แม้ชิวหาประสาทจะพิการก็ตาม รสของเกลือเค็มตามธรรมชาติของความจริงก็เค็มอยู่อย่างนั้นแล ฉันใดก็ดี ความนึกจิตและคำพูดก็ดี จะไม่นึกคิดพระนิพพานอยู่ก็ตาม พระนิพพานก็เป็นธรรมชาติอันไม่ตายอยู่นั้นแล ลิ้นพิการเปรียบเหมือนยังไม่รู้รสนิพพาน

    องค์ท่านเปรียบเทียบอีก สีมา พัทธสีมา ที่คณะสงฆ์ทำกรรมถูกต้องไม่เป็นสีมาวิบัติ คณะสงฆ์ ๔ รูปขึ้นไปก็สวดถอนได้ แต่โลกุตตรธรรมนี้ละเอียดไปกว่านั้น นับแต่พระโสดาบันขึ้นไปหาพระอรหันต์ แม้พระบรมศาสดาทุกๆ พระองค์ อริยสงฆ์ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทั้งหมดจะพร้อมกันมาสวดถอนจิตใจของพระโสดาบันก็ดี ให้เป็นปุถุชนคนหนาย่อมเป็นไปไม่ได้

    เหตุนั้นพระอริยเจ้าทั้งหลายจึงยอมเคารพธรรมอย่างแจบจม ไม่จืดจาง ไม่ใช่ว่าพระอริยเจ้าทั้งหลายไม่ถือมั่นแล้วจะไม่เคารพธรรม ยิ่งเคารพมากกว่าปุถุชนคนหนาไม่มีประมาณได้ ไม่ใช่ว่าถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นได้แล้วก็เลยเถิดไป ไม่มีข้อวัตรเคารพธรรม เรียกว่าพระอริยเจ้าเลยเขตแดน กลายเป็นพระอริยะของพระเทวทัต แต่ท่าน (พระเทวทัต) ก็เห็นความผิดของท่านแล้ว แต่เห็นความผิด รู้ตัวจวนค่ำ เลยไม่มีเวลาขอขมาโทษพระองค์ ได้ขอแต่ลับหลัง เพียงไหล่ขึ้นมาหาคอหาหัว โดยน้อมถวาย ถึงกระนั้นก็ยังจะได้เป็นพระปัจเจกในอนาคต เพราะได้สร้างบารมีมาได้สองอสงไขยแล้วยังเหลือแสนมหากัป แต่ยังเป็นโลกีย์อยู่ จึงสามารถประพฤติล่วงอนันตริยกรรมได้

    หลวงปู่มั่นประชุมคณะสงฆ์วันนั้นถึงหกทุ่มนับทั้งปกิณกะสารพัด
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พิธีปลุกเสกพระพุทธรูป

    กล่าวเรื่องคือไปอีก ปฏิปทาของหลวงปู่ทอดสะพานให้ลูกๆ หลานๆ ยังมีอยู่อีกมากมายนัก การเรี่ยไรแผ่ๆ ขอๆ ในทางตรงและทางอ้อม และจัดงานขึ้นในวัด เพื่อหารายได้สมทบการก่อสร้างหรือซ่อมแซมที่เกี่ยวกับตัวเงินๆ ไม่มีในขันธสันดานขององค์หลวงปู่เลย ของรางของขลังไม่มีในปฏิปทาเลย รูปเหรียญ ขายพระเล็กพระน้อย พุทธาภิเษกก็ไม่มีในปฏิปทาขององค์ท่านเลยนา วิชาปลุกเสก แกะหู แกะตา แคะหู แคะตา ให้พระพุทธรูปหรือทำพิธีบวชให้พระพุทธรูปก็ไม่มีในสันติวิธีขององค์ท่าน

    องค์ท่านกล่าวว่า

    “สมมุติเป็นพระพุทธรูปแล้วก็เสร็จกัน เราดีอย่างไรจึงจะไปบวชให้องค์ท่าน องค์ท่านบวชก่อนเราแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปปลุกท่านให้ตื่น ท่านตื่นก่อนเราเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปแคะหูแคะตาให้องค์ท่าน ตานอก ตาใน หูนอก หูในขององค์ท่านดีกว่าเราแล้ว จะภิเษกภิษันให้องค์ท่านเป็นอะไรอีก องค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเต็มภูมิแล้ว จะเอาไสยศาสตร์ไปพอกไปทาองค์ท่านทำไม นั้นแหละตัวบาป นั้นแหละขุมนรกขุมมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเต็มภูมิแล้วยังสำคัญว่าเห็นชอบ เข้าข้างตัวแต่ไม่เข้าข้างธรรมวินัย เพียงเท่านี้ก็ยังไม่รู้จักผิดรู้จักถูกแล้ว ธรรมอันละเอียดลออก็ยังมีขึ้นไปกว่านี้มาก ไฉนจะรู้ได้”

    พูดไปมากเป็นภัย แต่มีประโยชน์แก่นักปราชญ์ แต่บาดหูผู้ไม่ชอบและจะถูกกล่าวตู่ว่า ขัดขวางรายได้แห่งวัตถุตัว ง. แต่เมื่อไม่พูดยามมีชีวิตอยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะไปพูดในเวลาไหน เพราะตายแล้วพูดไม่ได้ และคนเราเป็นส่วนมาก มักจะเข้าใจผิดไป คือเราจะทำดีตอนไหนๆ ก็เป็นคนขี้ขลาด แต่เมื่อมีผู้พาทำชั่ว กลับอาจหาญใส่ อยากจะอวดว่าตนเป็นผู้ใจถึง นักปราชญ์อวดว่าใจถึงทางทำดี คนพาลอวดใจถึงทางทำชั่ว ผลฝ่ายรับ ได้รับผิดกัน รสชาติของผลที่ได้รับก็ผิดกันราวฟ้ากับแผ่นดิน

    สิ่งที่มีวิญญาณครองสิงอยู่ในไตรโลกธาตุ ย่อมเป็นผู้ใจถึงทั้งนั้น ถ้าใจถึงทางดี ใจก็ได้รับผลดีตามส่วน ควรค่าของเหตุที่ทำดี ถ้าใจถึงทางชั่วใจก็ได้รับผลชั่วตามส่วน ควรค่าของเหตุชั่ว พระเทวทัตใจถึงทางมหาอเวจี พระอนาคามีใจถึงทางปราศจากกามและปราศจากโทสะ พระอรหันต์ใจถึงทางไม่มีกิเลส แมลงวันใจถึงทางกินมูตรคูถ แมลงผึ้งแมลงภู่ใจถึงทางกินเกสรดอกไม้

    เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้ความชัดขึ้นว่า เหตุใจ ผลใจ ส่วนไปทางชั่วแล้วแต่เหตุ ส่วนน้อยมากก็แล้วแต่เหตุ จะดับเหตุชั่ว ก็ต้องดับที่ใจ จะสร้างเหตุดี ก็ต้องสร้างที่ใจ อนันตเหตุก็ใจเป็นผู้สร้างขึ้น อนันตผลก็ใจเป็นผู้ได้รับ จะปฏิเสธเหตุผลไปทางใดก็ไปไม่รอดได้

    คัมภีโร แปลว่าล้ำลึกถึงใจ ใจนี้จะทำให้ลึกก็ลึกได้ จะทำให้ตื้นก็ตื้นได้ เพราะใจเป็นผู้ทำ แต่ก็ต้องพร้อมด้วยองค์สติองค์ปัญญาอีก มิฉะนั้นแล้วจะเป็นศิษย์ไม่มีครูไม่มีขอบเขตได้ จะกลายเป็นลมพัดนุ่น หรือไม้ลอยน้ำ หรือว่าวเชือกขาด

    ฉะนั้น พระบรมศาสดาจึงยืนยันว่า เรามิได้อยู่ใต้อำนาจของใจ เราบังคับใจได้ในกาลที่ควรบังคับ ปุริสทัมมสารถิ เราฝึกใจได้เหมือนนายสารถีฝึกม้า ใจที่ฝึกฝนแล้วตอนไหนๆ ก็นำสุขมาให้ใจตอนนั้น เหมือนมีดที่ลับคมแล้วนำคมมาให้มีด ฉะนั้น เราจึงมักพูดกันว่า มีดนี้คมดี ไม่ได้พูดว่าคุณนี่คมดี ถ้ามีดไม่คมเล่าก็มักพูดว่า มีดนี้ไม่คมแท้ ไม่ได้พูดว่าคุณนี้ไม่คมแท้ นี้เป็นรูปเปรียบตื้นๆ แต่มีดมันก็ไม่ได้ยืนยันว่ามันเป็นมีดดอก และมันก็มิได้ยืนยันว่ามันเป็นเหล็กฝนหรือไม่ฝนดอกนะ เพราะเป็นสมมุติ ใช้กันในสังสารวัฏ

    เพราะใจเป็นต้นสมมุติ สมมุติมรรคผล นิพพานเป็นมหาสมมุติที่สูง แต่รสชาติของสมมุติมรรคผลนิพพาน ไกลกันกับรสชาติสมมุติว่ากิเลสจนมองไม่เห็นได้ด้วยตานอกอันจับหน้าผาก ตาจับใต้หน้าผากกับตาเนื้อก็มีความหมายอันเดียวกัน

    สรรพตาปัญญาย่นลงมาเป็นสอง ตาปัญญาทางโลกีย์ ตาปัญญาทางโลกุตตระ ตาปัญญาทางโลกุตตระเป็นตาปัญญาอันเดินลัดออกกองทุกข์ ตาปัญญาทางโลกีย์เป็นตาปัญญาอันเดินวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ เพราะเดินวนเวียนอยู่ในถนนสายโลภ โกรธ หลง เรียกวงเวียนใหญ่ในไตรโลกธาตุ

    ไตร แปลว่า ๓ หรือจะเรียกว่าผ้าไตรสำหรับบวชผู้จะท่องเที่ยวอยู่ในกองทุกข์ก็ได้ จะว่าเพลิงสามกองก็ได้ จะว่าคุกที่ใส่สัตว์ผู้ท่องเที่ยวในสงสารก็ได้ จะว่าป่าโลภ ป่าโกรธ ป่าหลง ให้สัตว์ผู้ชอบท่องเที่ยวทัศนาจรก็ได้ จะว่านรกขุมใหญ่ขุมรวมก็ถูกทั้งนั้นแหละ ว่าไปเท่าใดก็ไม่จบสิ้นได้ จะไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้ากิเลสไม่จบสิ้นก็มีคุณค่าอันเดียวกัน เพราะกิเลสมันไม่ตั้งอยู่ เมืองว่า และเมืองไม่ว่า

    ถ้าหากว่าได้อรหันต์ เพราะพูด เพราะว่า (แล้ว) จักจั่นร้องตลอดวัน จิ้งหรีดร้องตลอดคืน มันก็ได้อรหันต์ ถ้าหากว่าอยู่นิ่งๆ (แล้ว) ได้อรหันต์ สัตว์จำพวกที่ปากไม่เป็น พูดไม่เป็น ก็ได้อรหันต์ทั้งนั้น

    ขึ้นอยู่กับสติปัญญาอันชอบต่างหากดอกกระมัง ผู้ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ในสงสาร จะคิดอยู่ในว่าไม่ถูก จะตั้งอยู่ใน ไม่ว่า ไม่ถูก อีก คนใบ้บอดหนวกเป็นต้น พระพุทธศาสนาไม่รับบวช แต่จะอย่างไรก็ให้ศึกษาวิชาเข็ดหลาบในกองทุกข์ก็ใช้ได้

    ปรารภเรื่องอื่นคือไปอีก โรงครัวหุงต้มฉันในวัดเป็นนิจวัตรก็ดี หลวงปู่มั่นไม่ส่งเสริมเลย เว้นไว้แต่บิณฑบาตไม่พอฉันจริงๆ จังๆ จนใช้คำว่า อดมาก หิวมาก องค์ท่านอ้างในอนุศาสน์ว่า ไปบิณฑบาตได้แต่ข้าว พระวินัยก็ชมว่า อติเรกลาโภ อยู่ ถือว่ามีลาภพอที่จะศึกษาและปฏิบัติให้เป็นไปในพระพุทธศาสนาได้อยู่ ฝ่ายจีวรได้แต่ผ้าฝ้าย ผ้าเปลือกไม้ก็ถือว่าเป็นลาภอยู่แล้ว ฝ่ายเสนาสนะก็เรือนร้างว่างเปล่า รุกขมูลลอมฟาง เงื้อมหินหรือถ้ำคูหา หรือกุฏิ ปราสาทกระต๊อบใบไม้เหล่านี้เป็นต้น ก็ถือว่าเป็นลาภแล้ว ส่วนจำพรรษาต้องมีบานประตูปิดเปิดเข้าออกได้ จะเป็นใบตองก็ใช้ได้ทั้งนั้น ถือว่าเป็นลาภทั้งนั้น ส่วนเภสัช นับแต่ขามป้อมหรือสมอดองด้วยน้ำมูตรเน่าเป็นต้น ก็ถือว่าเป็นลาภทางเภสัชแล้ว

    ถ้าพิจารณาแล้ว แต่ก่อนรักสันโดษมากนัก ยอมเป็น ยอมตายต่อพระธรรมวินัยมาก เป็นเครื่องขัดเกลากิเลสในตัว แต่ทุกวันนี้ความนิยมสมมุติกันก็สับสนปนเปไปบ้าง แต่จะแปลกประหลาดไปสักเพียงใดก็ตาม อันเป็นฝ่ายวัตถุนิยมก็อยู่ในวงแขนของพระอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตาแล้ว เพราะเป็นศาลยุติธรรมฝ่ายสังขาร ตัดสินอยู่ทุกกาลไม่ลงธรรมาสน์ ได้ทั้งหยาบ ทั้งประณีต ทั้งภายนอก ภายใน ไกล ใกล้ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ก็หมดปัญหาอันจะสงสัยอยู่แล้ว เมื่อหมดปัญหาอันจะสงสัยในสังขารแล้ว สังขารจะใช้กลมายาสาไถยมาจากประตูใดอีกก็ตาม ก็คงลวงไม่ได้อยู่นั้นเอง ย่อมได้เหยียบเล็บ เพราะสติปัญญาจะก้าวเหยียบเล็บของความเข้าใจผิดได้ ความเข้าใจผิดคงไปไม่รอดไม่มีที่ซ่อนตัว

    นักปฏิบัติเพื่อพ้นจากความหลง อันดองสันดานของตน ให้ติดให้วนอยู่ในอู่ของวัตถุนิยม แล้วไม่ปลงปัญญาลงสู่อนิจจตา ทุกข์ตา อนัตตตาแล้ว ย่อมเป็นไปได้ยาก เจริญขึ้นในธรรมชั้นสูงได้ยาก และก็มักตื่นข่าวในสังขารโลก โลกคือสังขาร สัตว์โลก โลกคือหมู่สัตว์ โอกาสโลก โลกคือแผ่นดิน ตื่นข่าวทั้งอดีต ทั้งอนาคต ทั้งปัจจุบันด้วย เมื่อตื่นข่าวก็ลังเลในปฏิปทาของตน แล้วก็คว้าหาเหมือนตกน้ำจนตรอกจนมุม ว่าในใจว่า ยังไงหนอ ยังไงหนอ อยู่อย่างนี้เสมอๆ ท่านผู้ติดอยู่ในกองนามรูปก็คือผู้สงสัยอยู่ในกองนามรูปนั่นเอง ผู้สงสัยสรรพโลกสรรพสังขารก็คือ ผู้ติดอยู่ในสรรพนิมิต นิมิต แปลว่าเครื่องหมาย หมายไว้ว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวคนเราเขาจริงๆ จังๆ จนแกะไม่ได้ คายไม่ออกพร้อมทั้งมีความเห็นผิดดิ่งลงไปมีกำลังกล้าถอนได้ยากเพราะฝังลึกแล้ว
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่มั่นอาพาธ ไปพักวัดร้างบ้านนาใน

    หันมาปรารภ ปี ๒๔๙๑ ในฤดูแล้งหลวงปู่มั่นก็เริ่มป่วยมีไข้สลับมีไอด้วย แล้วองค์ท่านป่วยอยู่ แต่ไปบิณฑบาตได้อยู่อีกประมาณ ๖ - ๗ วัน องค์ท่านนึกอยากจะไปพักบ้านนาในสักวาระ องค์ท่านก็สั่งเสียหลวงตาทองอยู่ว่า

    “อยู่เอ๋ย จะไปพักวัดร้างบ้านนาในสักระหว่างก่อน เพราะไกลกันจากวัดป่าบ้านหนองผือประมาณหนึ่งกิโล”

    แล้วก็บอกหลวงปู่มหาให้ดูแลหมู่ องค์ท่านจะไปกับองค์นั้นองค์นี้ ก็ไม่ลั่นวาจาออกชื่อ (โอ ขออภัย คำที่เขียนว่า หลวงปู่มหา นั้นหมายความว่าใช้ในปัจจุบันที่เขียนอยู่ คำว่า พระอาจารย์มหาบัว ก็ดีหรือ พระอาจารย์มหา เฉยๆ ก็ดี หมายความว่าเรียกใช้ในสมัยนั้น)

    แล้วพระอาจารย์มหาพิจารณาว่าควรให้องค์หนึ่งไปกับองค์ท่าน แล้วตกลงลับหลังหลวงปู่ว่า ควรให้ท่านทองคำไปด้วย แล้วก็จัดแจงบริขารรวดเร็วพลันทันกาล แล้วองค์ท่านไปพักได้สองคืน พระเณรยังไม่กล้าเข้าไปเยี่ยม เพราะเกรงองค์ท่านดุว่า เรามาวิเวก พากันมายุ่งทำไม

    พระเณรผู้อยู่ข้างหลังเงียบเหงาไปทั้งวัด ว้าเหว่มาก ปรากฏแก่ตาแก่ใจว่า ต้นไม้ต่างๆ ในวัดและบรรยากาศเงียบเหงา ลมก็ไม่พัดมา คล้ายกับว่าว้าเหว่ไปตามกันหมด ผู้เขียนนี้เดินรุดไปรุดมาในวัด แลดูทิศทั้งสี่รอบๆ จิตใจคิดคล้อยละห้อยหวนชวนให้นึกแต่เรื่องภายนอก คิดถึงหลวงปู่อยู่ไม่ขาด ภาวนาไม่ลงเป็นชิ้นเป็นอัน หวนคิดไปต่างๆ นานา ว่าหลวงปู่ทรมานชาวบ้านชาววัดหรือบุคคลผู้ใดหนอ เราไม่รู้ได้ทั้งนั้นละ เป็นเหตุชวนให้คิดแท้ๆ โอ๊ยตับจะแตกตายละทีนี้

    พอตกพลบค่ำห้าโมงเย็นก็ไปกราบพระอาจารย์มหาแล้วปรารภว่า

    “กระผมอยู่ไม่เป็นสุข อยากจะไปเยือนหลวงปู่ที่อยู่กับครูบาทองคำ ๒ องค์ ทั้งกลัวองค์ท่านจะดุ จิตใจกระผมว้าเหว่มากขอรับ กระผมนึกว่าจะไปองค์เดียว แล้วจะกลับตอนกลางคืนองค์เดียว จะเป็นประการใดหนอ”

    องค์พระอาจารย์มหาตอบว่า “เออ ผมก็ว้าเหว่เหมือนกันท่านลองไปดูซิ ผมไม่ว่าดอก”

    กราบลาองค์ท่านแล้วก็รีบไป พอไปถึงก็ค่ำมืดพอดี ขณะนั้นองค์หลวงปู่และครูบาทองคำนั่งอยู่พื้นดิน พอเรายังไม่ทันนั่งลงกราบองค์หลวงปู่พูดขึ้นเย็นๆ ว่า

    “เออ คุณหล้ามา ไปเอาฟืนนั้นมาใส่ไฟให้กัน ดุ้นไหนไม่เรียบร้อยก็เก็บเสียเน้อ”

    ทีนี้อ้ายกิเลสมันสลดใจมากยั้งไม่อยู่ มือขวาจับเอาฟืนมาใส่ไฟ มือซ้ายเอาชายผ้าอาบมาเช็ดน้ำตา เพราะอ้ายกิเลสมันไหลหลั่งถั่งเทออกมา ทั้งนึกในใจว่า เออ เราหวนผิดคิดผิดว่าองค์ท่านจะดุว่า มันตามมาอะไรยุ่ง แต่กลายเป็นหน้ามืออยู่ตามเดิม เป็นเรื่องทดสอบได้ชัดว่าองค์หลวงปู่หนีมานี้ ไม่ใช่เรื่องเรา เกี่ยวอยู่ในการองค์ท่านขัดข้องดอก เป็นเรื่องใดไม่ทราบได้อีกละ น้ำตาไหลอยู่ประมาณ ๑๕ นาทีก็พลิกจิตคืนได้

    องค์หลวงปู่กับครูบาทองคำหัวเราะอยู่ และองค์หลวงปู่เปล่งวาจาว่า “เทวบุตรร้องไห้ เทวบุตรร้องไห้” พร้อมทั้งพูดพร้อมทั้งหัวเราะและการจับไข้ขององค์ท่านก็เบาลงแล้ว ชะรอยจะเป็นด้วยอากาศโปร่งกว่ากันบ้างหรือยังไงไม่ทราบได้ ครั้นตอนดึกประมาณ ๔ ทุ่มเศษก็กราบลากลับวัด แล้วพระอาจารย์มหายังมิทันได้หลับขึ้นจากทางจงกรมใหม่ๆ ไฟตะเกียงจุดริบหรี่อยู่ ขึ้นไปกราบองค์ท่าน เล่าถวายทุกประการ

    องค์ท่านคำนึงพิจารณาแบบบรรจง องค์ท่านกล่าวว่า

    “เออพรุง่นี้ฉันเช้าเสร็จผมจะพาหมู่เราทั้งหมดและชาวบ้านหนองผือทั้งหมด ไปอาราธนากราบเท้า นิมนต์วิงวอนให้องค์หลวงปู่ คืนมาวัดเราตามเดิม เพราะชาววัด ชาวบ้านก็ว้าเหว่เงียบเหงา กินมิได้นอนไม่หลับ แม้ตัวของผมก็สลดใจและว้าเหว่มากคราวนี้ องค์ท่านจะไปวิเวกจริงหรืออะไรๆ ผมก็พิจารณายากอยู่สักหน่อย ไม่ว่าแต่สักหน่อยละ พิจารณายากกันดีๆ นี้เอง หล้าเอ๋ยหล้า”

    ครั้นตื่นเช้าบิณฑบาตฉันเสร็จ โยมก็หลั่งไหลเข้ามารวมกันที่วัดป่า องค์พระอาจารย์มหาก็ประกาศ พระในวัดเตรียมตัวห่มผ้าจีวร และโยมก็เอาแคร่สำหรับจะหามองค์หลวงปู่ไปพร้อมด้วย ทั้งชาวบ้านชาววัดประมาณร้อยคน พอไปถึงก็เงียบสงัด ไม่มีใครกรอบแกรบและไอจาม กราบพร้อมกันหมดแล้ว โยมผู้ฉลาดขอโอกาสกราบเรียนว่า

    “เวลาที่องค์หลวงปู่มาพักวิเวกเพียงสองสามวันนี้ เท่ากับว่านานถึงร้อยพันปี ทั้งชาวบ้านและชาววัดไม่เป็นอันกินอันนอนว้าเหว่มาก ขอกราบเท้าเรียนถวายองค์หลวงปู่ ได้โปรดกรุณากลับตามเคยเทอญ โทษของเกล้าอันใดมี ขอได้โปรดประทานอภัยให้เกล้าและทุกถ้วนหน้าเทอญ การปฏิบัติทุกๆ ประการ หลวงปู่เห็นสมควรประการใด ทั้งชาวบ้านและชาววัดจะยอมทำตาม ไม่มีขัดหฤทัยของธรรมแห่งองค์หลวงปู่ตามสติกำลังอยู่ทุกเมื่อเทอญ”

    ครั้นแล้วก็ค่อยจัดแจงแต่งบริขารขององค์หลวงปู่ นิมนต์หลวงปู่ขึ้นบนแคร่หามเดินช้าๆ เงียบๆ โยมหามออกก่อน พระตามหลัง ที่นั่งขององค์ท่านปูอาสนะด้วยเบาะยัดใบกล้าแห้ง องค์ท่านนั่งขัดสมาธิไม่ขึงขังและไม่อ่อนแอ แลดูถึงใจไม่มีจะเทียบได้

    ข้าพเจ้ากิเลสมาก อยู่ไม่ไหว ก็แทรกโยมเข้าไปจับแคร่ชู นึกในใจว่าเราก็มีสิทธิจะจับแคร่หลวงปู่ชูช่วยเขา แต่เราจะแลดูพระอาจารย์มหาเสียก่อน ถ้าพระอาจารย์มหาถลึงตาเราจะถอยออก แต่องค์ท่านก็เลยปลงธรรมสังเวชในกิริยาซ้ำ ข้าพเจ้าทั้งนึกในใจว่า โอ้อนิจจาเอ๋ย น้ำตาของข้านี้นาเวย ออกมาขายหน้าอีกแล้ว ผ้าอาบน้ำเช็ดน้ำตาไปจนตลอดทาง

    หลวงปู่อยู่ท่าภาวนา หลับตาภาวนาอยู่ ทำไมถึงรู้ว่าเราน้ำตาไหลเพราะคนทั้งหลายก็หามไปเงียบๆ ช้าๆ หลวงปู่ปรารภขึ้นเย็นๆ เบาๆ ว่า

    “หล้า ทำไมไม่คอยอยู่วัด ถ้ามาแล้วน้ำตาเธอออกง่าย นิสัยแปลกกว่าพงศ์อื่น”

    แล้วองค์ท่านนั่งภาวนาขัดสมาธิตามเดิมจนถึงวัด

    ครั้นองค์หลวงปู่ขึ้นถึงกุฏิเรียบร้อยแล้ว บรรดาลูกศิษย์ที่ถือนิสัยก็มี รีบห่มผ้าเฉวียงบ่ามาขอโอกาสต่อนิสัยตามเคย ต่อแต่นั้นข้อวัตรในระหว่างลูกศิษย์กับหลวงปู่ก็ของใครของมันตามเคยที่ทำมา ขอให้เข้าใจว่ามีพระอาจารย์มหาและหลวงตาทองอยู่เท่านั้นไม่ได้ขอนิสัย เพราะองค์ท่านทั้งสองนี้มีพรรษาสูงพอควรแล้ว แต่พระอาจารย์มหานั้นขอหรือไม่ขอ ก็มีข้อวัตรประจำหลวงปู่แบบลึกซึ้งอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะสงสัยจะเอามากล่าววิจัยเลย เพราะองค์ท่านเป็นมือขวาช่วยหลวงปู่รองรับอยู่
     

แชร์หน้านี้

Loading...