ประวัติ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย saksit5455, 3 มีนาคม 2012.

  1. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    ไม่ลดหย่อนในเรื่องวัตรปฏิบัติแม้ในยามชรา

    ท่านเป็นผู้อาจหาญชาญชัยทางข้อวัตรปฏิบัติเครื่องดำเนิน ไม่ยอมลดหย่อนผ่อนคลายไปตามอำนาจฝ่ายต่ำตลอดมา แม้ก้าวเข้าวัยชราควรจะอยู่สบายตามวิบากขันธ์ ไม่ต้องขวนขวายกับกิจการภายใน คือสมณธรรมทางสมาธิภาวนา แต่การเดินจงกรมภาวนาตามเวลาที่เคยทำมานั้น พระหนุ่ม ๆ ยังสู้ไม่ได้ และกิจภายนอกเกี่ยวกับการอบรมสั่งสอนบรรดาศิษย์ ท่านก็อนุเคราะห์ด้วยจิตเมตตาเสมอมาไม่เคยทอดอาลัย

    การเทศน์อบรมโดยมากท่านมักเทศน์ไปตามนิสัยที่เคยเด็ดเดี่ยวมาแล้ว ไม่ค่อยทิ้งลวดลายของนักต่อสู้ตลอดมา คือ เทศน์เป็นเชิงปลุกใจผู้ฟังให้มีความอาจหาญร่าเริงในปฏิปทาเพื่อแดนพ้นทุกข์เป็นส่วนมากกว่าจะเทศน์อนุโลม อันเป็นการกล่อมใจของคนที่มีนิสัยอ่อนแอประจำสันดานอยู่แล้ว ให้เคลิ้มหลับไปขณะที่ฟังและวาระต่อไป

    พระอาจารย์มั่นท่านเป็นผู้เทิดทูนศาสนธรรมไว้ได้ทั้งทางปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธธรรมเต็มภูมิที่สมัยสาวกหายาก เฉพาะอย่างยิ่งธุดงควัตร ๑๓ ข้อที่แทบจะขาดความสนใจในวงพุทธบริษัทอยู่เสมอมา ไม่ค่อยมีผู้ฟื้นฟูขึ้นมาปฏิบัติกันให้เป็นเนื้อเป็นหนังบ้าง เหมือนธรรมอื่น ๆ ที่ธุดงค์เหล่านี้ปรากฏเด่นในสายตา และเกิดความสนใจปฏิบัติกันในวงพระธุดงค์ทั้งหลายสมัยปัจจุบัน ก็เพราะท่านอาจารย์เสาร์ ท่านอาจารย์มั่น เป็นผู้พาดำเนินอย่างเอาจริงตลอดมาในภาคอีสาน

    ธุดงค์ทั้ง ๑๓ ข้อนี้ท่านอาจารย์ทั้งสองเคยปฏิบัติมาแทบทุกข้อตามสถานที่และโอกาส เป็นแต่เพียงไม่ได้ปฏิบัติเป็นประจำ เหมือนธุดงค์ข้อที่ระบุไว้ในประวัติท่านซึ่งเขียนผ่านมาแล้วเท่านั้น คือป่าช้าท่านก็เคยอยู่มาจนจำเจ อัพโพกาสท่านก็เคยอยู่มา โคนไม้ท่านก็เคยอยู่มาจนเคยชิน ที่ได้เห็นพระธุดงค์ทางภาคอีสานซึ่งเป็นสายของท่านอาจารย์ทั้งสองปฏิบัติกันมา ก็ล้วนดำเนินตามที่ท่านพาดำเนินให้เห็นร่องรอยมาแล้วทั้งนั้น

    ท่านอาจารย์เสาร์ ท่านอาจารย์มั่น ท่านฉลาดแหลมคมมาก รู้ความสำคัญของธุดงค์ทั้ง ๑๓ ข้อว่า เป็นเครื่องมือปิดช่องทางออกแห่งกิเลสของพระธุดงค์ได้ดีมาก เพราะถ้าไม่มีธุดงค์เหล่านี้ช่วยปิดช่องไว้บ้าง กิเลสของพระธุดงค์ที่สักแต่ชื่อก็รู้สึกจะเพ่นพ่านเอามาก และอาจจะทำความรำคาญแก่ประสาทของผู้อื่นพอดู

    แต่พระธุดงค์ที่มีธรรมเหล่านี้ช่วยบ้าง ก็พอทำให้เบาใจแก่ตัวเองและผู้อื่นจะทนดูได้ ไม่แสลงตาแสลงใจเกินไป ธุดงค์แต่ละข้อรู้สึกเป็นธรรมกระซิบใจได้ดีไม่เผลอตัวไปมาก และไม่เผลอตัว พอจิตคิดไปในทางผิดซึ่งเป็นข้าศึกกับธุดงค์ข้อใด ใจกลับรู้สึกได้ในธุดงค์ข้อนั้นทันที แล้วทำความระวังและแก้ไขตนต่อไป

    ประโยชน์แห่งการถือธุดงควัตร

    ธุดงค์เป็นธรรมละเอียดลออมาก และมีความหมายอย่างเต็มตัวทุกข้อไป ทั้งสามารถแก้กิเลสในหัวใจของสัตว์ได้โดยสิ้นเชิงด้วยธุดงค์ข้อนั้น ๆ อย่างไม่มีปัญหา ขอแต่ผู้ปฏิบัติคิดให้ถึงความจริงของธุดงค์ข้อนั้น ๆ แล้วนำมาปฏิบัติต่อตนเองด้วยดีเท่านั้น จะเห็นว่ากิเลสทุกประเภทอยู่ในข่ายของธุดงค์เหล่านั้น จะเป็นธรรมปราบปรามให้สิ้นซากไปทั้งสิ้น ไม่มีกิเลสตัวใดจะเหนืออำนาจธุดงค์ไปได้ เท่าที่กิเลสไม่ค่อยกลัวเรานักก็เพราะเรากลัวธุดงค์จะทำความลำบากให้แก่ตนที่ปฏิบัติตาม ส่วนกิเลสจะทำความลำบากแก่เราเพียงไร เมื่อไม่มีธุดงคธรรมเป็นเครื่องปราบปรามนั้น รู้สึกจะเป็นช่องโหว่ของตน จึงเป็นช่องทางให้เผลอตัวไปตำหนิธุดงค์ว่าปฏิบัติยากเสียบ้าง หรือบางหัวใจอาจคิดไปว่า ธุดงค์ล้าสมัยเสียบ้างก็ไม่อาจทราบได้

    ในขณะที่ความคิดกลับเป็นข้าศึกแก่ตน กิเลสจึงได้รับความนิยมนับถืออยู่อย่างลึกลับโดยผู้ชมเชยก็ไม่อาจทราบได้ แต่ผลของมันที่เกิดจากการส่งเสริมชมเชยผลิตออกมาให้โลกได้รับเสวยนั้น เป็นสิ่งเปิดเผยอยู่ตลอดเวลา แทบพูดได้ว่าเป็นอกาลิโก การปฏิบัติตามธุดงค์ไม่ว่าข้อใดย่อมเป็นความสง่างามน่าดู ทั้งเป็นผู้เลี้ยงง่าย กินง่าย นอนง่าย เครื่องใช้สอยของผู้มีธุดงค์อยู่ในใจบ้างย่อมถือเป็นความสบายไปตลอดสาย เป็นผู้เบากายเบาใจไม่พระรุงพระรังทั้งทางอารมณ์และเครื่องเป็นอยู่ต่าง ๆ

    ธุดงค์เหล่านี้ แม้ฆราวาสจะเลือกนำไปใช้ในบางข้อเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตน ก็ย่อมได้เช่นเดียวกับพระ เพราะกิเลสของฆราวาสกับกิเลสของพระมันเป็นประเภทเดียวกัน ธุดงค์เป็นธรรมแก้กิเลสจึงควรนำไปปฏิบัติเพื่อแก้กิเลสได้เช่นเดียวกัน ตามฐานะและเพศของตนจะอำนวย ธุดงค์เป็นคุณธรรมที่สูงอย่างลึกลับ ยากที่เราจะทราบได้ตามความจริงของธุดงค์แต่ละข้อ ผู้เขียนเองก็ตะเกียกตะกายเขียนไปแบบป่า ๆ ตามนิสัยอย่างนั้นแล ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในธุดงค์เท่าที่ควรอะไรเลย แต่หัวใจมีก็เขียนสุ่ม ๆ ไปอย่างนั้นเองจึงขออภัยด้วย

    คุณสมบัติของธุดงค์ทั้งหลายไม่อาจพรรณนาให้จบสิ้นลงได้ เพราะเป็นธรรมที่ละเอียดสุขุมมาก ทั้งสามารถทำให้ผู้รักใคร่ใฝ่ใจปฏิบัติในธุดงค์ สำเร็จได้ในคุณธรรมตั้งแต่ขั้นต่ำจนถึงขั้นอริยชน ไม่นอกไปจากธุดงค์เหล่านี้เลย ท่านอาจารย์มั่นเป็นอาจารย์ผู้นำบรรดาศิษย์พาดำเนินมาตลอดสายจนถึงวาระสุดท้าย หมดกำลังแล้วจึงปล่อยวางพร้อมกับสังขารที่ติดแนบกับองค์ท่าน

    ฉะนั้นธุดงควัตรจึงเป็นธรรมจำเป็น สำหรับผู้มุ่งชำระกิเลสทุกประเภทภายในใจให้สิ้นไป จะทอดธุระว่า ธุดงค์ไม่ใช่ธรรมจำเป็นเสียมิได้ แต่จะไม่ขออธิบายคุณสมบัติของธุดงค์แต่ละข้อว่ามีคุณค่าและความจำเป็นแก่เราอย่างไรบ้าง กรุณาท่านผู้สนใจพิจารณาตีแผ่เอาเอง อาจได้ความละเอียดและเกิดประโยชน์แก่ตัวท่านเองมากกว่าผู้อื่นอธิบายให้ฟังเสียอีก ผู้เขียนเคยพิจารณาและเห็นผลมาบ้างตามประสา นับแต่เริ่มออกปฏิบัติจนทุกวันนี้เท่าที่สามารถ เพราะเห็นว่าเป็นธรรมจำเป็นประจำตัวตลอดมาและตลอดไป ท่านผู้มุ่งต่อความสิ้นกิเลสทั้งประเภทที่หยาบโลน และประเภทที่ละเอียดสุด จึงไม่ควรมองข้ามธุดงค์ไป โดยเห็นว่าไม่สามารถถอดถอนกิเลสได้
     
  2. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    ท่านพระอาจารย์มั่นเริ่มป่วย และเริ่มลาวัฏวนเป็นครั้งสุดท้าย

    พอท่านจำพรรษาวัดหนองผือปีที่ ๔ ผ่านไปแล้ว ตกหน้าแล้งราวเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ทางจันทรคติจำได้ว่าเป็นวันขึ้น ๑๔ เดือน ๔ เป็นวันสังขารท่านเริ่มแสดงอาการไม่สนิทที่จะครองขันธ์ต่อไป ดังที่เป็นมาแล้ว ๗๙ ปี วันนั้นเป็นวันที่ท่านเริ่มป่วยอันเป็นสาเหตุลุกลามไปถึงจุดสุดท้ายของสังขารที่ครองตัวมาเป็นเวลานาน วันนั้นได้แสดงความสั่นสะเทือนขึ้นมาแก่ขันธปัญจกท่านและพระสงฆ์ในวงใกล้ชิด โดยเริ่มแรกมีไข้และไอผสมกันไม่มากนัก มีอาการรุม ๆ ไปแทบทั้งวันทั้งคืน ไม่ค่อยมีเวลาสร่างนับแต่วันแรกเป็น ท่านแสดงออกเป็นอาการผิดปกติที่น่าวิตกด้วยแล้ว ทำให้คนดีไม่น่าไว้ใจเลย องค์ท่านทราบอย่างประจักษ์ไม่มีทางสงสัยว่าไข้คราวนี้เป็นไข้ครั้งสุดท้าย ไม่มีทางหายได้ด้วยวิธีและยาขนานใด ๆ ทั้งสิ้น

    ฉะนั้น ท่านจึงเผดียงให้บรรดาศิษย์ทราบตั้งแต่เริ่มแรกเป็น และไม่สนใจกับหยูกยาอะไรเลย นอกจากแสดงอาการเป็นความรำคาญเวลามีผู้นำยาเข้าไปถวายให้ฉันเท่านั้น โดยบอกว่า

    ไข้นี้มันเป็นไข้ของคนแก่ ซึ่งหมดความสืบต่อใด ๆ อีกแล้ว ไม่ว่ายาขนานใดมาใส่จะไม่มีวันหาย มีเพียงลมหายใจที่รอวันตายอยู่เท่านั้น เช่นเดียวกับไม้ที่ตายยืนต้น แม้จะรดน้ำพรวนดินให้ฟื้นเพื่อผลิดอกออกใบ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ รออยู่พอถึงวันโค่นล้มลงจมดินของมันเท่านั้น ไข้ที่เริ่มเป็นอยู่เวลานี้ก็เป็นไข้ประเภทนั้นนั่นแล จะผิดกันอะไรเล่า ผมได้พิจารณาประจักษ์ใจแล้วแต่ไข้ยังไม่เริ่มปรากฏโน้น ฉะนั้น จึงได้เตือนหมู่เพื่อนเสมอว่า อย่าพากันนอนใจ รีบเร่งทางความเพียรขณะที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ติดขัดอะไรจะได้ช่วยแก้ไขให้ทันกับเหตุการณ์ อย่าให้ผิดพลาดและเสียเวลานาน

    ผมจะอยู่กับหมู่เพื่อนไปอีกไม่นาน จะจากไปตามกฎของอนิจฺจํที่เดินตามสังขารอยู่ทุกเวลาไม่ลดละ อย่างไรก็ไม่เลย ๓ ปี นี่เป็นคำที่เคยเตือนล่วงหน้ามาได้ ๓ ปีเข้านี้แล้ว จะให้ผมเตือนอย่างไรอีก จะพูดให้เคลื่อนจากที่แน่ใจอยู่แล้วนี้ไปไม่ได้ งานของวัฏจักรที่ทำบนร่างกายจิตใจของคนและสัตว์ เขาทำของเขาอยู่ทุกเวลานาที นี้ก็เป็นงานครั้งสุดท้ายของเขาที่ทำอยู่บนร่างกายผม ซึ่งจะเสร็จสิ้นไปภายในไม่กี่เดือนนี้ จะให้เขาเปลี่ยนแปลงงานเขาอย่างไรได้ดังนี้

    อาการท่านนับแต่วันเริ่มเป็นมีแต่ทรงกับทรุดไปวันละเล็กละน้อย ค่อย ๆ ขยับไปโดยไม่สนใจกับหยูกยาอะไรทั้งสิ้น เวลาถูกอาราธนาให้ท่านฉันยา รู้สึกท่านแสดงความรำคาญอย่างเห็นได้ชัดทุก ๆ ครั้งที่ขอรบกวน แต่ทนคนหมู่มากไม่ไหว เพราะคนนั้นว่ายานั้นดี คนนี้ก็ว่ายานี้ดี ฉันแล้วหาย ใครฉันแล้วมีแต่หายกัน จึงอยากขออาราธนาท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาบ้าง จะได้หายและโปรดบรรดาลูกศิษย์ลูกหาไปนาน ๆ

    ท่านเตือนเสมอว่า ยาไม่เป็นประโยชน์กับไข้ของผมในครั้งนี้ มีแต่ฟืนเท่านั้นจะเข้ากันได้สนิท

    ท่านพูดห้ามเท่าไรก็ยิ่งขอวิงวอน จึงได้ฉันให้เสียบ้างทีละนิดทีละหน่อย ตามคำขอร้องของคนหมู่มาก พอไม่ให้เสียใจนักว่าท่านทอดอาลัยในสังขารเกินไป

    เมื่อข่าวว่าท่านป่วยไปถึงไหน ใครทราบก็มาถึงทั้งนั้น ทั้งพระทั้งฆราวาสพากันหลั่งไหลมาแทบทุกทิศทุกทาง มิได้คำนึงว่าทางไกลหรือใกล้ หน้าแล้งหรือหน้าฝน ผู้คนหลั่งไหลเข้าไปเยี่ยมท่านยิ่งกว่าฝนที่ทั้งตกทั้งพรำเสียอีก บ้านหนองผืออยู่ในป่าและหุบเขา ทั้งห่างไกลจากถนนใหญ่ สายอุดร-สกลฯ ราว ๕๐๐–๖๐๐ เส้น มิได้สนใจว่าไกลและลำบาก ซึ่งโดยมากเดินกันด้วยเท้าเปล่าเข้าไปหาท่าน นอกจากคนแก่ ๆ เดินไม่ไหวก็ว่าจ้างล้อเกวียนเขาเข้าไป

    เฉพาะท่านเองชอบอยู่องค์เดียวเงียบ ๆ ตามอัธยาศัย แม้พระเณรก็ไม่อยากให้เข้าไปเกี่ยวข้องถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ดังนั้น เมื่อมีผู้คนพระเณรเข้าไปเกี่ยวข้องมาก ๆ รู้สึกขัดกับอัธยาศัยที่ท่านไม่เคยดำเนินมา จึงไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงพระเณรซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดภายในวัด ท่านยังไม่ประสงค์ให้เข้าไปเกี่ยวข้องเลย แต่ความจำเป็นมีก็จำต้องอนุโลมผ่อนผันเป็นบางกาล แม้เช่นนั้น ก็จำต้องระมัดระวังกันอย่างมาก ขณะเข้าไปเกี่ยวข้องท่านด้วยกิจธุระจำเป็น ไม่ให้เข้าไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า

    ตลอดข้อวัตรที่ควรทำถวายท่านในเวลาจำเป็น ต้องจัดพระเณรองค์ที่เห็นสมควรไว้ใจได้ เป็นผู้จัดทำถวายเป็นคราว ๆ ไป สิ่งที่เกี่ยวกับท่านต้องมีพระผู้อาวุโสและฉลาดพอควร เป็นผู้คอยควบคุมดูแลให้เห็นสมควรก่อนค่อยทำลงไปทุกกรณี เพราะท่านอาจารย์เป็นผู้รอบคอบและละเอียดมากตามปกตินิสัย ผู้เข้าไปเกี่ยวข้องจึงควรได้รับการพิจารณากันพอสมควร เพื่อไม่ให้ขัดกับอัธยาศัยท่านซึ่งเป็นเวลาที่จำเป็นอย่างยิ่ง

    เมื่อมีประชาชนพระเณรมาจากที่ต่าง ๆ ประสงค์จะเข้ากราบเยี่ยมท่าน ทางวัดต้องขอให้รออยู่ที่สมควรก่อน แล้วมีพระผู้เคยปฏิบัติทางนี้ เห็นเป็นกาลอันควรแล้ว เข้าไปกราบเรียนให้ท่านทราบ เมื่อท่านอนุญาตแล้วค่อยมาบอกให้เข้าไป และเมื่อมีพระในวัดองค์สมควรนำเข้าไปกราบท่าน มีอะไรท่านก็แสดงโปรดท่านเหล่านั้นตามอัธยาศัย พอสมควรแล้วก็พากราบลาท่านออกมา

    การพาแขกเข้ากราบเยี่ยมท่าน ทางวัดได้ปฏิบัติอย่างนี้ตลอดมา และพาเข้ากราบเยี่ยมเป็นคราว ๆ ไป ตามแต่แขกมีมากน้อยซึ่งมาในเวลาต่างกัน เฉพาะพระอาจารย์ที่เคยเป็นลูกศิษย์ท่านมาแล้ว และมีความสนิทกับท่านเป็นพิเศษ ก็เป็นเพียงไปกราบเรียนให้ท่านทราบว่า ท่านอาจารย์นั้นจะมากราบเยี่ยม เมื่อท่านอนุญาตแล้วก็เข้ากราบเยี่ยม และสนทนาธรรมกันตามอัธยาศัยทั้งสองฝ่าย

    อาการป่วยท่านค่อยเป็นไปเรื่อย ๆ ไม่ผาดโผนรุนแรง แต่ไม่ค่อยเป็นปกติสุขได้ ถ้าเป็นสงครามก็แบบสงครามใต้ดิน ค่อยขยับเข้าทีละเล็กทีละน้อยจนกลายเป็นสงครามไปทั่วดินแดน และกลายเป็นแดนยึดครองไปทั่วพิภพ ไม่มีส่วนเหลือเลย พอท่านซึ่งเป็นจุดหัวใจของส่วนรวมเริ่มป่วยลงเท่านั้น มองดูพระเณรในวัดรู้สึกเศร้าหมองทางอาการ ไม่ค่อยแช่มชื่นเบิกบานเหมือนแต่ก่อน มองดูหน้าตากันก็มองแบบเศร้า ๆ ไม่ผ่องใสทางอาการ ตลอดการสนทนากัน ก็ต้องยกเรื่องป่วยท่านอาจารย์ขึ้นสนทนาก่อนจะกระจายไปเรื่องอื่น ๆ แล้วก็ต้องมายุติกันที่เรื่องของท่านอีก

    แต่การให้โอวาทสั่งสอนพระเณร ท่านยังคงมีเมตตาอนุเคราะห์อยู่อย่างสม่ำเสมอมิได้ทอดธุระ เป็นแต่ไม่ได้ชี้แจงข้ออรรถข้อธรรมให้ละเอียดลออได้เต็มความเมตตาเหมือนแต่ก่อนเท่านั้น พออธิบายธรรมจบลงและชี้แจงจุดสงสัยของผู้เรียนถามเสร็จสิ้นลงแล้ว ก็สั่งให้เลิกกัน ไปประกอบความเพียร องค์ท่านเองก็เข้าพักผ่อน

    ขณะที่ท่านแสดงธรรมปรากฏว่าไม่มีความไม่สบายแฝงอยู่เลย แสดงอย่างฉะฉานร่าเริง เสียงดังและกังวาน ลักษณะอาการอาจหาญเหมือนคนไม่ป่วยเป็นอะไรเลย การเร่งและเน้นหนักในธรรมเพื่อผู้ฟัง ก็เน้นลงอย่างถึงใจจริง ๆ ไม่มีความสะทกสะท้านใด ๆ ปรากฏในเวลานั้น ทุกอาการที่แสดงออกเหมือนท่านไม่ได้เป็นอะไรเลย พอจบการแสดงแล้วถึงจะทราบว่า อาการท่านอ่อนเพลียและต้องการพักผ่อน พอทราบอาการเช่นนั้นต่างก็รีบให้โอกาสท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัย
     
  3. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    ท่านเทศน์อัศจรรย์ครั้งสุดท้าย

    วันมาฆบูชา เดือนสามเพ็ญ พ.ศ. ๒๔๙๒ ก่อนท่านจะเริ่มป่วยเล็กน้อย วันนั้นท่านเริ่มเทศน์แต่เวลา ๒ ทุ่มจนถึงเวลา ๖ ทุ่มเที่ยงคืน รวมเป็นเวลา ๔ ชั่วโมง อำนาจธรรมที่ท่านแสดงในวันนั้นเป็นความอัศจรรย์ประจักษ์ใจของพระธุดงค์ ที่มารวมกันอยู่เป็นจำนวนมากโดยทั่วกัน ประหนึ่งโลกธาตุดับสนิทไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ปรากฏแต่กระแสธรรมท่านแผ่ครอบไปหมดทั่วไตรโลกธาตุ โดยยกพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ที่ต่างมาเองสู่ที่ประชุม ณ พุทธสถาน โดยไม่มีใครอาราธนานิมนต์หรือนัดแนะขึ้น แสดงว่าท่านเป็นวิสุทธิบุคคลล้วน ๆ ไม่มีคนมีกิเลสเข้าสับปนเลยแม้คนเดียว

    การแสดงโอวาทปาฏิโมกข์พระพุทธเจ้าทรงแสดงเองเป็นวิสุทธิอุโบสถ คืออุโบสถในท่ามกลางแห่งบุคคลผู้บริสุทธิ์ล้วน ๆ ไม่เหมือนพวกเราซึ่งแสดงปาฏิโมกข์ในท่ามกลางแห่งบุคคลผู้มีกิเลสล้วน ๆ ไม่มีบุคคลผู้สิ้นกิเลสสับปนอยู่เลยแม้คนเดียว ฟังแล้วน่าสลดสังเวชอย่างยิ่งที่พวกเราก็เป็นคนผู้หนึ่ง หรือเป็นพระองค์หนึ่งในความเป็นศากยบุตรของพระองค์ องค์เดียวกัน แต่มันเป็นเพียงชื่อไม่มีความจริงแฝงอยู่บ้างเลย เหมือนคนที่ชื่อว่าพระบุญ เณรบุญ และนายบุญ นางบุญ แต่เขาเป็นคนขี้บาปหาบแต่โทษและอาบัติใส่ตัวแทบก้าวเดินไปไม่ได้

    สมัยโน้นท่านทำจริงจึงพบแต่ของจริง พระจริง ธรรมจริงไม่ปลอมแปลง ตกมาสมัยพวกเรากลายเป็นมีแต่ชื่อเสียงเรืองนามสูงส่งจรดพระอาทิตย์ พระจันทร์ แต่ความทำต่ำยิ่งกว่าขุมนรกอเวจี แล้วจะหาความดี ความจริง ความบริสุทธิ์มาจากไหน เพราะสิ่งที่ทำมันกลายเป็นงานพอกพูนกิเลสและบาปกรรมไปเสียมาก มิได้เป็นงานถอดถอนกิเลสให้สิ้นไปจากใจ แล้วจะเป็นวิสุทธิอุโบสถขึ้นมาได้อย่างไรกัน

    บวชมาเอาแต่ชื่อเสียงเพียงว่าตนเป็นพระเป็นเณรแล้วก็ลืมตัว มัวแต่ยกว่าตนเป็นผู้มีศีลมีธรรม แต่ศีลธรรมอันแท้จริงของพระของเณรตามพระโอวาทของพระองค์แท้ ๆ นั้นคืออะไร ก็ยังไม่เข้าใจกันเลย ถ้าเข้าใจในโอวาทปาฏิโมกข์ท่านสอนว่าอย่างไร นั่นแลคือองค์ศีลองค์ธรรมแท้ ท่านแสดงย่อเอาแต่ใจความว่า การไม่ทำบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศลคือความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง นี่แลเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    การไม่ทำบาป ถ้าทางกายไม่ทำแต่ทางวาจาก็ทำอยู่ ถ้าทางวาจาไม่ทำแต่ทางใจก็ทำ และสั่งสมบาปวันยังค่ำจนถึงเวลาหลับ พอตื่นจากนอนก็เริ่มสั่งสมบาปต่อไปจนถึงขณะหลับอีก เป็นอยู่ทำนองนี้ โดยมิได้สนใจคิดว่าตัวทำบาปหรือสั่งสมบาปเลย แม้เช่นนั้นยังหวังใจอยู่ว่า ตนมีศีลมีธรรม และคอยเอาแต่ความบริสุทธิ์จากความมีศีลมีธรรมที่ยังเหลือแต่ชื่อนั้น ฉะนั้นจึงไม่เจอความบริสุทธิ์ กลับเจอแต่ความเศร้าหมองวุ่นวายภายในใจอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ก็เพราะตนแสวงหาสิ่งนั้นก็ต้องเจอสิ่งนั้น ถ้าไม่เจอสิ่งนั้นจะให้เจออะไรเล่า คนเราแสวงหาสิ่งใดก็ต้องเจอสิ่งนั้นเป็นธรรมดา เพราะเป็นของมีอยู่ในโลกสมมุติอย่างสมบูรณ์ ที่ท่านแสดงอย่างนี้ แสดงโดยหลักธรรมชาติของศีลธรรมทางด้านปฏิบัติ เพื่อนักปฏิบัติได้ทราบอย่างถึงใจ

    ลำดับต่อไปท่านแสดงสมาธิ ปัญญา ตลอดวิมุตติหลุดพ้นอย่างเต็มภูมิและเปิดเผยไม่ปิดบังลี้ลับอะไรเลยในวันนั้น แต่จะไม่ขออธิบาย เพราะเคยอธิบายและเขียนลงบ้างแล้ว

    ขณะนั้นผู้ฟังทั้งหลายนั่งเงียบเหมือนหัวตอ ตลอดกัณฑ์ไม่มีเสียงอะไรรบกวนธรรมที่ท่านกำลังแสดงอย่างเต็มที่เลย

    ตอนสุดท้ายแห่งการแสดงธรรม ท่านพูดทำนองพูดที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ว่ากัณฑ์นี้เทศน์ซ้ำเฒ่า ต่อไปจะไม่ได้เทศน์ทำนองนี้อีก แล้วก็จบลง

    คำนั้นได้กลายเป็นความจริงขึ้นมาดังท่านพูดไว้ นับแต่วันนั้นแล้วท่านมิได้เทศน์ทำนองนั้นอีกเลย ทั้งเนื้อธรรมและการแสดงนาน ๆ ผิดกับครั้งนั้นอยู่มาก หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนท่านเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะเรื่อยมา จนถึงวาระสุดท้ายแห่งขันธ์เสียจนได้
     
  4. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    แม้จะป่วยแต่ก็ไม่ทิ้งวัตรที่เคยปฏิบัติ

    แม้ท่านจะได้รับความลำบากทางขันธ์ เพราะโรคภัยเบียดเบียนจนสุขภาพทรุดลงเป็นลำดับก็ตาม แต่การบิณฑบาต ฉันในบาตร และฉันมื้อเดียวที่เคยดำเนินมา ท่านก็ยังอุตส่าห์ประคองของท่านไปไม่ยอมลดละปล่อยวาง เมื่อไม่สามารถไปสุดสายบิณฑบาตได้ ท่านก็พยายามไปเพียงครึ่งหมู่บ้าน แล้วกลับวัด ต่อมาญาติโยมและพระอาจารย์ทั้งหลายเห็นท่านลำบากมากก็ปรึกษากัน ตกลงขออาราธนานิมนต์ท่านไปแค่ประตูวัดแล้วกลับ ถ้าจะขออาราธนาท่านไว้ไม่ให้ไปเลย ท่านไม่ยอม โดยให้เหตุผลว่าเมื่อยังพอไปได้อยู่ต้องไป ฉะนั้นจำต้องอนุโลมตามท่านไม่ให้ขัดอัธยาศัย ท่านเองก็พยายามไป ไม่ยอมลดละความเพียรเอาเลย จนไปไม่ไหวจริง ๆ ท่านยังขอบิณฑบาตบนศาลาโรงฉัน พยายามจนลุกเดินไม่ได้ จึงยอมหยุดบิณฑบาต แม้เช่นนั้นยังขอฉันในบาตรและฉันมื้อเดียวตามเดิม

    เราคนดีต้องอนุโลมตามความประสงค์ท่านทุกระยะไป ด้วยความอัศจรรย์ในความอดทนของนักปราชญ์ชาติอาชาไนย ไม่ยอมทิ้งลวดลายที่เคยเป็นนักต่อสู้ให้กิเลสยื้อแย่งแข่งดีได้เลย ถ้าเป็นพวกเราน่ากลัวจะถูกหามลงมาฉันจังหันนับแต่วันเริ่มรู้สึกว่าไม่สบาย ซึ่งเป็นที่น่าอับอายกิเลสที่คอยหัวเราะเยาะคนไม่เป็นท่าอยู่ตลอดเวลา ที่มานอนคอยเขียงให้กิเลสสับฟันหั่นแหลกอย่างไม่มีชิ้นดี อันเป็นที่น่าสังเวชเอาหนักหนา ถ้ายังรู้สึกเสียดายเรา ซึ่งเป็นคนทั้งคนที่คอยจะเป็นเขียงให้กิเลสสับฟัน ก็ควรระลึกถึงปฏิปทาของท่านอาจารย์มั่นตอนนี้ไว้บ้าง เผื่อได้ยึดมาเป็นเครื่องมือป้องกันตัวในการต่อสู้กับกิเลส จะไม่กลายเป็นเขียงให้มันหมดทั้งตัว ยังพอมีเครื่องหมายสัตบุรุษพุทธบริษัทติดตัวอยู่บ้าง

    อาการท่านรู้สึกหนักเข้าโดยลำดับ จนคนดีที่เกี่ยวข้อง ไม่พากันนิ่งนอนใจได้ ตอนกลางคืนต้องจัดวาระกันคอยรักษาท่านอย่างลับ ๆ คราวละ ๓-๔ องค์เสมอ แต่มิได้เรียนให้ท่านทราบ นอกจากท่านจะทราบทางภายในโดยเฉพาะเท่านั้น ทั้งนี้เกรงว่าท่านจะห้ามไม่ให้ทำ โดยเห็นว่าเป็นภาระกังวลวุ่นวายเกินไป พระเณรที่อยู่รักษาท่านตามวาระก็ให้อยู่ใต้ถุนกุฎีท่านอย่างเงียบ ๆ วาระละ ๒-๓ ชั่วโมง ตลอดรุ่งทุกคืน ซึ่งเริ่มแต่ยังไม่เข้าพรรษา พอเห็นอาการท่านหนักมากก็ปรึกษากัน แล้วกราบเรียนขอถวายความปลอดภัยให้ท่าน โดยมาขอนั่งสมาธิภาวนาที่เฉลียงข้างนอกกุฎีท่านคราวละ ๒ องค์ ท่านก็อนุญาต จึงได้จัดให้พระอยู่บนกุฎีท่านครั้งละ ๒ องค์ อยู่ใต้ถุน ๒ องค์ตลอดไป ไม่ให้ขาดได้ นอกจากพระที่จัดเป็นวาระไว้ประจำแล้ว ยังมีพระในวัดมาลอบ ๆ มอง ๆ คอยสังเกตการณ์อยู่เสมอมิได้ขาดตลอดคืน

    พอออกพรรษาแล้ว พระและครูบาอาจารย์ที่จำพรรษาอยู่ในที่ต่าง ๆ ก็ทยอยกันมากราบเยี่ยมและปฏิบัติท่านมากขึ้นเป็นลำดับ อาการท่านรู้สึกหนักเข้าทุกวันไม่น่าไว้ใจ ท่านจึงได้ประชุมเตือนบรรดาศิษย์ให้ทราบ ในการที่จะปฏิบัติต่อท่านด้วยความเหมาะสมว่า

    การป่วยของผมจวนถึงวาระเข้าทุกวัน จะพากันอย่างไรก็ควรคิดเสียแต่บัดนี้จะได้ทันกับเหตุการณ์ ผมน่ะต้องตายแน่นอนในคราวนี้ดังที่เคยพูดไว้แล้วหลายครั้ง แต่การตายของผมเป็นเรื่องใหญ่ของสัตว์และประชาชนทั่ว ๆ ไปอยู่มาก ด้วยเหตุนี้ผมจึงเผดียงท่านทั้งหลายให้ทราบว่า ผมไม่อยากตายอยู่ที่นี่ ถ้าตายที่นี่จะเป็นการกระเทือนและทำลายชีวิตสัตว์ไม่น้อยเลย สำหรับผมตายเพียงคนเดียว แต่สัตว์ที่จะพลอยตายเพราะผมเป็นเหตุนั้นมีจำนวนมากมาย เพราะคนจะมามาก ทั้งที่นี้ไม่มีตลาดแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน

    นับแต่ผมบวชมาไม่เคยคิดให้สัตว์ได้รับความลำบากเดือดร้อน โดยไม่ต้องพูดถึงการฆ่าเขาเลย มีแต่ความเมตตาสงสารเป็นพื้นฐานของใจตลอดมา ทุกเวลาได้แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศลแก่สัตว์ไม่เลือกหน้า โดยไม่มีประมาณตลอดมา เวลาตายแล้วจะกลายเป็นศัตรูคู่เวรแก่สัตว์ ให้เขาล้มตายลงจากชีวิตที่แสนรักสงวนของแต่ละตัว เพราะผมเป็นเหตุเพียงคนเดียวนั้น ผมทำไม่ลง อย่างไรขอให้นำผมออกไปตายที่สกลนคร เพราะที่นั้นเขามีตลาดอยู่แล้ว คงไม่กระเทือนชีวิตของสัตว์มากเหมือนที่นี่ เพียงผมป่วยยังไม่ถึงตายเลย ผู้คนพระเณรก็พากันหลั่งไหลมาไม่หยุดหย่อน และนับวันมากขึ้นโดยลำดับ ซึ่งพอเป็นพยานอย่างประจักษ์แล้ว ยิ่งผมตายลงไปผู้คนพระเณรจะพากันมามากเพียงไร ขอได้พากันคิดเอาเอง

    เพียงผมคนเดียวไม่คิดคำนึงถึงความทุกข์เดือดร้อนของผู้อื่นเลยนั้น ผมตายได้ทุกกาลสถานที่ ไม่อาลัยเสียดายร่างกายอันนี้เลย เพราะผมได้พิจารณาทราบเรื่องของมันตลอดทั่วถึงแล้วว่า เป็นเพียงส่วนผสมแห่งธาตุรวมกันอยู่ชั่วระยะกาล แล้วก็แตกทำลายลงไปสู่ธาตุเดิมของมันเท่านั้น จะมาอาลัยเสียดายหาประโยชน์อะไร เท่าที่พูดนี้ก็เพื่อความอนุเคราะห์สัตว์ อย่าให้เขาต้องมาพร้อมกันตายเป็นป่าช้าผีดิบวางขายเกลื่อนอยู่ตามริมถนนหนทาง อันเป็นที่น่าสมเพชเวทนาเอาหนักหนาเลย ซึ่งยังไม่สุดวิสัยที่จะควรพิจารณาแก้ไขได้ในเวลานี้ ฉะนั้นจึงขอให้รีบจัดการให้ผมได้ออกไปทันกับเวลาที่ยังควรอยู่ในระยะนี้ เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ที่รอตายตามผมอยู่เป็นจำนวนมาก ให้เขาได้มีความปลอดภัยในชีวิตของเขาโดยทั่วกัน หรือใครมีความเห็นอย่างไร ก็พูดได้ในเวลานี้

    ทั้งพระและญาติโยมรวมฟังกันอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่มีใครพูดขึ้น มีแต่ความสงบเงียบแห่งบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ดังบทธรรมท่านว่า ยมฺปิจฺฉํ น ลภติ ตมฺปิ ทุกฺขํ ปรารถนาไม่สมหวังย่อมเป็นทุกข์ คือท่านจะอยู่วัดหนองผือก็ต้องตาย จะออกไปสกลนครก็ต้องตาย ไม่มีหวังทั้งนั้น ที่ประชุมจึงต่างคนต่างเงียบ หมดทางแก้ไขทุกประตู จึงเป็นอันพร้อมกันยินดีและตกลงตามความเห็นและความประสงค์ท่าน

    ทีแรกญาติโยมบ้านหนองผือทั้งบ้านแสดงความประสงค์ว่า ขอให้ท่านตายที่นี่ เขาจะเป็นผู้จัดการศพท่านเอง แม้จะทุกข์จนข้นแค้นแสนเข็ญเพียงไรก็ตาม แต่ศรัทธาความเชื่อเลื่อมใสในครูอาจารย์มิได้จน ยังมีเต็มเปี่ยมในสันดาน จึงขอจัดการศพท่านจนสุดความสามารถขาดดิ้น ไม่ยอมให้ใครดูหมิ่นเหยียดหยามว่า ชาวบ้านหนองผือไม่มีความสามารถ เผาศพท่านอาจารย์เพียงองค์เดียวก็ไม่ไหม้ ปล่อยให้เขาเอาท่านไปทิ้งเสียที่อื่น ดังนี้ไม่ให้มี อย่างไรก็ขอพร้อมกันทั้งบ้าน มอบกายถวายชีวิตต่อท่านอาจารย์ องค์เป็นสรณะของชาวบ้านหนองผือ จนหมดลมหายใจ ไม่ยอมให้ใครเอาท่านไปไหน จนกว่าชาวหนองผือไม่มีลมหายใจครองขันธ์แล้ว จึงจะยอมให้เอาท่านไป

    แต่พอได้ยินคำท่านให้เหตุผลโดยธรรมแล้ว ก็พากันแสดงความเสียดาย โดยพูดอะไรไม่ได้ จำต้องยอมทั้งที่มีความเลื่อมใสและอาลัยเสียดายท่านแทบใจจะขาด ปราศจากลมหายใจในขณะนั้น จึงเป็นที่น่าเห็นใจพี่น้องชาวหนองผือเป็นอย่างยิ่ง และขอจารึกเหตุการณ์คือความเสียสละอย่างถึงเป็นถึงตาย เพื่อถวายบูชาท่านอาจารย์ครั้งนี้ไว้ในหทัยของผู้เขียน ในนามท่านผู้อ่านทั้งหลายด้วย ซึ่งคงจะมีความรู้สึกต่อพี่น้องชาวหนองผือเช่นเดียวกัน

    วันประชุมนั้นมีครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่านที่เป็นลูกศิษย์ท่านมาร่วมด้วย ท่านอาจารย์เองเป็นผู้ชี้แจงเรื่องที่ไม่ควรให้ท่านอยู่วัดหนองผือต่อไป ด้วยเหตุดังที่เขียนผ่านมาแล้ว เมื่อทั้งฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายชาวบ้านต่างทราบคำชี้แจงจากท่านในที่ประชุมด้วยกัน และไม่มีใครคัดค้านแล้ว ก็ตกลงกันทำแคร่สำหรับหามท่านออกจากวัดหนองผือไปสกลนคร วันที่กลายเป็นวันมหาเศร้าโศกโลกหวั่นไหว เพราะความวิโยคพลัดพรากจากสิ่งที่รักเลื่อมใสสุดจิตสุดใจ ก็ได้ระเบิดขึ้นแก่ชาวบ้านชาววัดอย่างสุดจะอดกลั้นไว้ได้นั้น คือวันที่ประชาชนญาติโยมและพระสงฆ์จำนวนมาก เตรียมแคร่มารอรับท่านอาจารย์ที่บันไดกุฎี

    หลังจากฉันเสร็จแล้ว พร้อมกันเตรียมจะหามท่านออกไปสกลนคร จุดนี้เป็นจุดที่เริ่มระเบิดหัวใจพี่น้องชาวหนองผือทั้งบ้านใกล้บ้านไกล ที่ต่างมาแสดงความหมดหวังครั้งสุดท้ายในบริเวณนั้น ตลอดพระสงฆ์สามเณรเป็นจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างเกิดความสลดสังเวชน้ำตาไหลซึมเป็นจุดแรก

    จุดที่สองขณะที่พระอาจารย์ทั้งหลายพยุงท่านอาจารย์ลงมาจากกุฎี เพื่ออาราธนาขึ้นสู่แคร่และเตรียมเคลื่อนที่นี้ เป็นตอนที่ปล่อยความเลื่อมใสอาลัยรักสุดประมาณที่อัดอั้นตันใจอยู่ภายในออกมาอย่างเต็มที่ ทั้งหญิงทั้งชายตลอดพระเณรก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ จำต้องปล่อยให้เป็นไปตามความโศกาดูรในขณะนั้น

    แม้ผู้เขียนเองซึ่งยังจะติดตามท่านออกไปด้วย ก็ยังอดแสดงความไม่เป็นท่าออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นบรรยากาศเต็มไปด้วยความซบเซาเหงาหงอยอยู่รอบด้าน ทั้งเสียงร้องไห้สั่งเสีย ทั้งคำขอร้องอาราธนาวิงวอนท่านอาจารย์ ขอให้ออกไปหายโรคหายภัย อย่าได้ออกไปล้มหายตายจากทำลายซากจากพวกญาติโยมที่กำลังรอคอยอยู่ด้วยความโศกศัลย์กันแสงสุดที่จะอดกลั้นได้ แทบหัวอกจะแตกตายอยู่แล้วเวลานี้ ขอท่านได้เมตตาสงสารสัตว์มาก ๆ เพราะเห็นแก่ความยากจนบ้างเถิด ที่ปวงข้าพเจ้าทั้งหลายเกิดทุกข์มากแทบเหลือทนครั้งนี้ เพราะสมบัติอันล้นค่าที่เคยอุปัฏฐากรักษามาเป็นเวลาหลายปี ได้หลุดมือพลัดพรากจากไป สุดวิสัยที่จะกั้นกางไว้ได้
     
  5. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    เสียงร้องไห้รำพันด้วยความระทมขมขื่น ราวกับคลื่นทะเลไหลซัดเข้ามาท่วมทับหัวใจตามรายทางที่ท่านผ่านไป คนทั้งบ้าน ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เหมือนจะถึงความมืดมิดปลิดชีพไปตามท่านกันทั้งบ้าน ตลอดต้นไม้ใบหญ้าที่ไม่มีวิญญาณรับรู้อะไรเลย ก็เป็นประหนึ่งยุบยอบกรอบเกรียมไปตาม ๆ กัน ขณะที่ท่านเริ่มเคลื่อนจากรมณียสถานอันเป็นที่เคยให้ความสุขสำราญแก่ท่านและพระสงฆ์ พร้อมด้วยหมู่ชนจำนวนมากที่มาอาศัยพึ่งร่มเงาตลอดมา สถานที่นั้นจึงเป็นเหมือนวัดร้างขึ้นในทันทีทันใด ทั้งที่มีพระอยู่จำนวนมาก เพราะปราศจากต้นไม้ใหญ่ใบดกหนาที่เต็มไปด้วยความร่มเย็นผาสุกแก่ผู้มาอาศัยตลอดมา

    เสียงที่กำลังแสดงความระบมปวดร้าวของประชาชน ผู้หวังมอบกายถวายชีวิตไว้กับพระศาสนา มีท่านอาจารย์เป็นองค์พยานซึ่งกำลังพลัดพรากจากไปอยู่เวลานี้ เป็นเสียงที่จะอดสังเวชสงสารเหลือประมาณมิได้ พอผ่านบ้านและเสียงพิไรรำพันที่แสนจะอดกลั้นความทุกข์ความสงสารไปแล้ว ต่างก็เดินระงมทุกข์ไปตามหลังท่าน แม้มีพระเณรและประชาชนนับเป็นจำนวนร้อย ๆ ก็ล้วนมีหน้าอันเคร่งขรึม ไม่มีท่านผู้ใดจะแสดงความเบิกบานแจ่มใส คงมีแต่ความระทมขมขื่นที่จำต้องกล้ำกลืนด้วยความฝืนอดฝืนทนไปตามๆ กัน ตลอดทางเป็นความเงียบเหงาเศร้าโศกของหมู่ชน ที่ต่างเดินไปเหมือนคนไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีใครพูดใครคุยเรื่องต่าง ๆ แฝงขึ้นมาบ้างเลย ต่างคนต่างเงียบ แต่หัวใจเต็มไปด้วยความครุ่นคิดไปในความหมดหวัง ทั้งท่านและเรารู้สึกมีทางเดินแห่งวิถีของใจไปในทำนองเดียวกันว่า พวกเราเป็นพวกที่หมดหวัง

    ขออภัยเขียนตามความรู้สึกเท่ากับกำลังเอาท่านอาจารย์ไปทิ้ง ทั้งที่ท่านยังครองขันธ์อยู่อย่างไม่สงสัย การที่จะมีหวังได้ท่านกลับมาอีกนั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ยิ่งคิดยิ่งเศร้า แต่ก็เป็นเรื่องที่อดคิดไม่ได้ ต่างคนต่างเดินไปตามทางด้วยความเงียบเหงาเศร้าใจ และคิดแต่เรื่องของความหมดหวังกันทั้งนั้น สำหรับผู้เขียนเองขอสารภาพตัวว่าไม่เป็นท่าเอาอย่างมาก ตลอดทางมีแต่ความรำพึงรำพันถึงความหมดหวังที่พึ่ง ไม่มีที่อาศัยใด ๆ อีกแล้ว เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาดังที่เคยเกิดอยู่เสมอไม่เว้นแต่ละวัน

    ระหว่างทางจากหนองผือ ถึงอำเภอพรรณานิคม ตามสายทางที่ไปนั้นราว ๖๐๐ เส้น แม้เช่นนั้นก็มิได้สนใจว่าใกล้หรือไกล สิ่งที่สนใจอย่างฝังลึกก็คือความอาลัยอาวรณ์ยังไม่อยากให้ท่านจากไปในเวลานี้ เพราะเป็นเวลาที่ตนกำลังอาการหนักมากเกี่ยวกับปัญหาทางภายใน คิดวนไปเวียนมาก็มาลงเอยที่ความหมดหวังไม่มีทางสืบต่อกันได้เลย มีแต่คิดว่าต้องหมดหวังท่าเดียว

    อาการของท่านรู้สึกสงบมากตลอดทางที่ไกลแสนไกล มิได้แสดงอาการใด ๆ เลย เหมือนคนนอนหลับเราดี ๆ นี่เอง ทั้งที่ท่านมิได้หลับ พอไปถึงสถานที่มีป่าไม้ร่มเย็นสำหรับคนหมู่มาก ก็ขออาราธนาท่านพักชั่วคราว สิ่งที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นอีกวาระหนึ่งจากความอดรนทนไม่ได้ คือทั้งน่ารักทั้งน่าสงสาร ทั้งอาลัยอ้อยอิ่ง เวลาท่านถามออกมาว่า “มาถึงไหนแล้ว” ดังนี้ ทำไมจึงไพเราะซาบซึ้งจับใจเอาหนักหนาและเป็นเหมือนท่านไม่ได้เป็นอะไรเลย

    “ทูลหัวทูลกระหม่อมจอมไตรภพ จะสลัดปัดทิ้งคนอนาถาที่กำลังหายใจอยู่ แต่หัวใจจะขาดดิ้นอยู่ขณะนี้ไปเสียแล้วหรือ ดวงหทัยที่บริสุทธิ์ซึ่งเคยเต็มไปด้วยเมตตาอนุเคราะห์ให้พอหายใจได้ตลอดมา ได้ถอดถอนกลับคืนสู่ความไม่มีอะไรเหลืออยู่หมดแล้วหรือ”

    ขณะนั้นความรู้สึกได้เกิดขึ้นทันทีทันใด ใครจะว่าเป็นบ้าก็ยอมรับว่าเป็นจริงในท่านอาจารย์องค์นี้ เป็นบ้าขนาดตายแทนท่านได้เลยโดยไม่มีอุทธรณ์ร้อนใจในชีวิตของตัวเอาเลย ขอแต่ท่านแสดงความประสงค์จะเอาอะไรด้วยในตัวของเรา จะไม่มีคำว่า “เสียดายชีวิตเลย” จะมีแต่คำว่า “พร้อมอยู่แล้วที่จะพลีชีพทุกขณะ” เท่านั้น ไม่มีคำเป็นอุปสรรคเข้ามาแฝงได้อย่างเด็ดขาด แต่สุดวิสัย แม้จะขอถวายอะไรท่านก็ไม่อาจรับได้ เพราะในโลกธาตุนี้ต้องเดินทางสายเดียวกันไม่มีทางปลีก และออกจากคำว่า “เกิดแล้วต้องตายจะเป็นอื่นไปไม่ได้” เลย

    ออกจากวัดหนองผือ มุ่งสู่วัดบ้านภู่

    การออกเดินทางจากวัดหนองผือ เริ่มแต่เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา มุ่งหน้าไปพักวัดบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ชั่วระยะก่อน พอท่านหายเหนื่อยบ้างแล้วเดินทางต่อไปสกลนคร ไปถึงวัดบ้านภู่ราว ๑๗ น.กว่า ๆ ยังไม่มืด การเดินทางกินเวลาหลายชั่วโมงเพราะเดินอ้อมเขา เพื่อความสะดวกสำหรับองค์ท่าน และคนแก่ที่พยายามตะเกียกตะกายตามส่งท่านมีมากทั้งหญิงทั้งชาย พอไปถึงวัดบ้านภู่แล้วก็อาราธนาท่านเข้าพักที่ศาลาเตี้ย ๆ เพื่อสะดวกแก่การถวายการอุปัฏฐากรักษา ตลอดประชาชนพระเณรที่มากราบเยี่ยมอาการท่านก็สะดวก

    นับแต่วันอาราธนาท่านไปพักที่นั่น อาการมีแต่ทรุดลงโดยลำดับ ประชาชนพระเณรก็หลั่งไหลมามากเต็มไปหมด ทั้งเช้าทั้งบ่ายและเย็น ตลอดกลางคืน เพราะใครก็หิวกระหายอยากมาเห็นหน้าและกราบเยี่ยมท่าน ซึ่งจำนวนมากไม่เคยเห็นหน้าท่านเลย ได้ยินแต่ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณเล่าลือกันว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งองค์ในสมัยปัจจุบันไม่สงสัย และกำลังจะนิพพานอยู่แล้วในเร็ว ๆ นี้ ใครมีวาสนาก็ได้เห็นท่าน ใครไม่มีวาสนาก็เกิดมาตายเปล่า จึงต่างก็อยากมากราบไหว้บูชาพอเป็นขวัญตาขวัญใจที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์กับโลกเขาทั้งคน อย่าให้เสียชาติวาสนาไปเปล่า ๆ เลย

    พอเช้าวันหลังท่านถามว่า เมื่อไรจะพาผมไปสกลนคร ผมมิได้ตั้งใจจะมาตายที่นี้ ต้องพาผมไปสกลฯ ให้ได้ อย่ารอไว้นาน

    พระอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ท่านก็เรียนถวายว่า รอให้ท่านอาจารย์พอหายเหนื่อยบ้างแล้ว จะอาราธนาไปสกลฯ ตามความประสงค์

    ท่านก็หยุดไปบ้าง พอวันหลังก็เริ่มถามอีกทำนองที่เคยถามแล้ว พระอาจารย์ก็เรียนถวายท่าน ท่านก็หยุดไปเป็นระยะ วันหลังก็ถามอีก

    จะพาผมไปสกลฯ เมื่อไร อย่ารอช้า จะไม่ทันเวลา

    ที่อาราธนาท่านมาพักวัดนั้นราว ๑๐ วัน นับแต่เวลาล่วงไป ๔-๕ วันแล้ว ท่านเร่งให้พาท่านไปสกลนครวันหนึ่งหลายครั้ง พระอาจารย์ทั้งหลายก็นิ่งบ้าง เรียนถวายท่านบ้าง ท่านก็เร่งและดุเอาบ้างว่า

    จะให้ผมตายอยู่ที่นี่เชียวหรือ ผมบอกแล้วแต่ต้นทางก่อนจะมาว่าผมจะไปตายที่สกลนคร นี้ก็จวนเต็มทีแล้ว รีบพาผมไปอย่ารอนาน

    ใน ๓ คืนสุดท้ายท่านเร่งใหญ่ มีแต่จะให้พาไปสกลนครโดยถ่ายเดียว เฉพาะคืนสุดท้ายท่านไม่ยอมพักหลับเลย และเรียกพระมาด้วยอาการรีบด่วน เป็นเชิงบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่าท่านจะไม่สามารถทรงขันธ์อยู่ต่อไปอีกได้ ให้รีบพาท่านไปในคืนวันนั้นเพื่อทันกับเวลา นอกจากนั้นยังบอกให้พระพยุงท่านนั่งขัดสมาธิหันหน้าไปทางสกลนคร พอออกจากสมาธิก็บอกพระว่าให้เตรียมพาท่านไปสกลนครในคืนวันนั้น

    พวกเราต้องไปตามพระผู้ใหญ่มาเรียนท่านว่า พรุ่งนี้เช้าจะอาราธนาท่านไปสกลนครตามความประสงค์ ท่านจึงสงบลงบ้าง แต่ไม่ยอมนอนและบอกอย่างไม่ปิดบังด้วยว่า
     
  6. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    “ผมจวนเต็มที่แล้ว จะรอต่อไปไม่ได้ ถ้าได้ไปในคืนนี้ยิ่งเหมาะ จะได้ทันกับเหตุการณ์ซึ่งกำลังเร่งรัดอยู่อย่างเต็มที่ ผมไม่อยากจะแบกขันธ์ซึ่งเป็นไฟทั้งกองนี้อยู่นาน อยากจะปล่อยทิ้งเสียให้หายกังวลในขันธ์ อันเป็นกองแห่งมหันตทุกข์ความกังวลอันใหญ่หลวงนี้

    ผมจวนเต็มที่แล้ว พวกท่านยังไม่ทราบหรือว่าผมจะตายในเร็ว ๆ นี้ จะเอาผมไว้ให้ทรมานขันธ์โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรอีก เหตุผลก็ได้ชี้แจงให้ฟังจนเป็นที่เข้าใจกันหมดแล้วถึงได้มาที่นี้ แต่แล้วทำไมจึงยังขืนเอาผมไว้อีกเล่า ที่นี่เป็นสกลนครหรือ ทำไมไม่รีบพาผมไป จงรีบพาผมไปเดี๋ยวนี้ รอไว้ทำไมกันอีก คนตายแล้วทำเป็นปลาร้าหรือน้ำปลาได้หรือ ผมบอกแล้วว่าเวลานี้ธาตุขันธ์ผมเต็มทนแล้ว จะทนอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ ยังไม่มีใครสนใจฟังและปฏิบัติตามที่ผมบอกอยู่หรือ คำพูดขนาดนี้ยังไม่พากันฟังเสียงเลย แล้วพวกท่านจะไปหาของจริงจากอะไรที่ไหนกัน

    ถ้ายังพากันดื้อทั้งที่ผมยังมีชีวิตอยู่ และไม่พากันเชื่อฟังต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ เวลาผมตายไปแล้วพวกท่านจะเป็นคนดีมีเหตุผลจากอะไร คำพูดทั้งหมดนี้ผมพูดด้วยเหตุผลที่ตรองทราบว่าเป็นความจริงล้วน ๆ แล้ว แต่พวกท่านยังขืนดื้อไม่ทำตาม ผมรู้สึกจะหมดความหวังกับพวกท่านในอนาคตว่า จะเป็นผู้สามารถทรงศาสนาไปได้ด้วยความมีเหตุผลได้อย่างไรกัน”

    ท่านเอาหนักมากในคืนสุดท้าย ทั้งไม่ยอมหลับนอนอีกด้วย ที่ท่านไม่ยอมหลับนั้นอาจเป็นเพราะเวลาหลับไป น่ากลัวจะเตลิดเลยก็ได้ พวกเราที่อยู่ด้วยกันมากต่อมากไม่มีใครสามารถทราบความมุ่งหมายท่านตอนนี้ เลยต้องเดาเอามาลง ถ้าผิดไปจากความจริงก็กรุณาอภัยด้วย

    ออกจากวัดบ้านภู่ไปสกลนคร

    ตอนเช้าราว ๗ น.กว่า ๆ รถแขวงการทางสกลนครก็มารับท่านพอดี โดยมีคุณแม่นุ่ม ชุวานนท์ เป็นผู้นำหน้ามาอาราธนานิมนต์ท่านให้ไปสกลนคร ท่านก็รับคำทันที มีเพียงพูดว่า “รถมากี่คัน จะพอกับพระเณรจำนวนมากซึ่งจะติดตามไปด้วยหรือเปล่า” เท่านั้น

    เขาเรียนท่านว่า “มีรถมา ๓ คัน แม้พระท่านไปไม่หมดก็จะขอมารับท่านไปจนหมดทุกองค์ที่ท่านประสงค์จะไป”

    ท่านทราบแล้วนิ่ง พอฉันเสร็จแล้ว หมอก็เตรียมฉีดยานอนหลับถวายท่านเพื่อกันความกระเทือนเวลารถวิ่ง เพราะทางไม่ดีเลยสมัยนั้น ขรุขระเต็มไปด้วยหลุมด้วยบ่อ พอฉีดยาถวายแล้วก็อาราธนาท่านขึ้นนอนบนแคร่ หามออกไปขึ้นรถ ซึ่งจอดรออยู่ฟากทุ่งนาเข้ามารับไม่ได้ หลังจากฉีดยาถวายแล้วราว ๑๐ นาที ท่านก็เริ่มหลับและเริ่มออกเดินทางตรงไปจังหวัดสกลนคร ถึงโน้นเที่ยงวันพอดี

    เมื่อถึงสกลนครเรียบร้อยแล้ว ก็อาราธนาท่านลงจากรถและขึ้นพักบนกุฎีวัดสุทธาวาส โดยที่ท่านกำลังหลับอยู่ และหลับไปจนถึงเที่ยงคืนคือ ๖ ทุ่ม จึงเริ่มตื่น

    พอตื่นจากหลับขึ้นมาไม่นานนัก ราวตี ๑ น. อาการที่ท่านเคยพูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ให้บรรดาลูกศิษย์ที่ชักหูตึงและใจสับสนวุ่นวายฟัง ก็เริ่มแสดงให้เห็นชัดขึ้นทุกระยะเหมือนจะบอกว่า

    นี่นะท่านทั้งหลายเห็นหรือยัง ที่ผมเคยบอกไม่หยุดปากว่าให้รีบพาผมมาสกลนคร จะได้รีบปลดปล่อยสิ่งรกรุงรังที่เต็มไปด้วยมหันตทุกข์ออกให้หมดในเร็ว ๆ ซึ่งบัดนี้เริ่มแสดงอาการขึ้นมาแล้ว ถ้ายังไม่เห็นก็จงพากันดู และถ้าไม่เชื่อคำที่ผมบอกตลอดมา ก็จงพากันฟังและดูเสียให้เต็มตาและคิดให้เต็มใจ ที่ผมพูดแล้วกับสิ่งที่กำลังเห็นประจักษ์ตาอยู่เวลานี้เป็นความจริงดังที่เคยพูดไว้หรือเปล่า ต่อไปจงอย่าพากันเป็นพระหูกระทะตาไม้ไผ่ ใจไม่มีความรู้สึกนึกคิดไตร่ตรองดังที่เคยเป็นมาแล้ว จะเป็นคนใจจืดจางว่างเปล่าจากสติปัญญาเครื่องไตร่ตรอง แล้วจะหาทางเอาตัวรอดไปไม่ได้ เรื่องที่กำลังเกิดอยู่ขณะนี้เป็นต้นเหตุ จงพากันคิดอ่าน อย่านอนใจ ดังนี้

    ช่วงเวลาที่ลาขันธ์

    ขณะที่ท่านเริ่มแสดงอาการลาขันธ์ คือ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา อันเป็นกองมหันตทุกข์ในโลกสมมุติที่นักปราชญ์ทั้งหลายไม่พึงปรารถนาอยากพบเห็นอีกต่อไป เป็นเวลาดึกสงัดปราศจากเสียงและผู้คนพลุกพล่าน แต่ไม่นานนักก็เริ่มเห็นครูบาอาจารย์ มี ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี เป็นต้น ทยอยกันมากุฎีท่านด้วยอาการรีบร้อน นับแต่ขณะที่พระไปเรียนข่าวท่านอาจารย์ให้ทราบ พระอาจารย์ทั้งหลายก็รีบพร้อมกันนั่งอย่างท่านที่เคยเห็นภัยมาแล้วด้วยท่าอันสงบ แต่ใจต่างมีความรุ่มร้อนอ่อนใจ กระวนกระวายไปตามอาการที่กำลังแสดงอยู่อย่างสะดุดตาสะดุดใจไม่ลดละในขณะนั้น ราวกับจะเตือนให้เห็นชัดว่าจะต้องผ่านไปนาทีใดนาทีหนึ่งในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน

    การนั่งดูอาการท่านนั่งเป็นสามแถว แถวแรกเป็นพระผู้ใหญ่มีท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์เป็นประธาน และพระอาจารย์รองลำดับออกมาจนถึงสามเณร ต่างนั่งด้วยท่าอันสงบอย่างยิ่ง ตาจับจ้องมองดูอาการท่านราวกับว่าลืมแล้วหลับไม่ลง ริมตาล่างเยิ้มไปด้วยน้ำตาที่สุดจะอดกลั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างบอกไม่ถูก ต่างตกอยู่ในตรอกแห่งความสิ้นหวังไม่มีทางแก้ไข หัวใจมีก็สูดลมไปพอถึงวันของเขาเท่านั้น

    องค์ท่านเบื้องต้นนอนสีหไสยาสน์ คือตะแคงข้างขวา แต่เห็นว่าท่านจะเหนื่อย เลยค่อย ๆ ดึงหมอนที่หนุนอยู่ข้างหลังท่านออกนิดหนึ่ง เลยกลายเป็นท่านอนหงายไป พอท่านรู้สึกก็พยายามขยับตัวกลับคืนท่าเดิม แต่ไม่สามารถทำได้เพราะหมดกำลัง พระอาจารย์ใหญ่ก็ช่วยขยับหมอนที่หนุนหลังท่านเข้าไป แต่ดูอาการท่านรู้สึกเหนื่อยมากเลยต้องหยุด กลัวจะกระเทือนท่านมากไป ดังนั้น การนอนท่านในวาระสุดท้ายจึงเป็นท่าหงายก็ไม่ใช่ ท่าตะแคงข้างขวาก็ไม่เชิง เป็นเพียงท่าเอียง ๆ อยู่เท่านั้น เพราะสุดวิสัยที่จะแก้ไขได้อีก อาการท่านกำลังดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง บรรดาศิษย์ซึ่งโดยมากมีแต่พระกับเณร ฆราวาสมีน้อยที่นั่งอาลัยอาวรณ์ด้วยความหมดหวังอยู่ขณะนั้น ประหนึ่งลืมหายใจไปตาม ๆ กัน เพราะจิตพะว้าพะวงอยู่กับอาการท่านซึ่งกำลังแสดงอย่างเต็มที่ เพื่อถึงวาระสุดท้ายอยู่แล้ว

    ลมหายใจท่านปรากฏว่าค่อยอ่อนลงทุกทีและละเอียดไปตาม ๆ กัน ผู้นั่งดูลืมกะพริบตาเพราะอาการท่านเต็มไปด้วยความหมดหวังอยู่แล้ว ลมค่อยอ่อนและช้าลงทุกทีจนแทบไม่ปรากฏ วินาทีต่อไปลมก็ค่อย ๆ หายเงียบไปอย่างละเอียดสุขุม จนไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าท่านได้สิ้นไปแล้วแต่วินาทีใด เพราะอวัยวะทุกส่วนมิได้แสดงอาการผิดปกติเหมือนสามัญทั่ว ๆ ไปเคยเป็นกัน ต่างคนต่างสังเกตจ้องมองจนตาไม่กะพริบ สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องพอให้สะดุดใจเลยว่า ขณะท่านลาขันธ์ลาโลกที่เต็มไปด้วยความกังวลหม่นหมองคือขณะนั้น ดังนี้

    พอเห็นท่าไม่ได้การ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์พูดเป็นเชิงไม่แน่ใจขึ้นมาว่า “ไม่ใช่ท่านสิ้นไปแล้วหรือ” พร้อมกับยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา ขณะนั้นเป็นเวลาตี ๒ นาฬิกา ๒๓ นาที จึงได้ถือเวลานั้นเป็นเวลามรณภาพของท่าน พอทราบว่าท่านสิ้นไปแล้วเท่านั้น มองดูพระเณรที่นั่งรุมล้อมท่านอยู่เป็นจำนวนมาก เห็นแต่ความโศกเศร้าเหงาหงอยและน้ำตาบนใบหน้าที่ไหลซึมออกมา ทั้งไอทั้งจามทั้งเสียงบ่นพึมพำไม่ได้ถ้อยได้ความ ใครอยู่ที่ไหนก็ได้ยินเสียงอุบอิบพึมพำทั่วบริเวณนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบเหงาเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก เราก็เหลือทน ท่านผู้อื่นก็เหลือทน ปรากฏว่าเหลือแต่ร่างครองตัวอยู่เวลานั้น

    ต่างองค์ต่างนิ่งเงียบไปพักหนึ่งราวกับโลกธาตุได้ดับลง ในขณะเดียวกับขณะที่ท่านอาจารย์ลาสมมุติคือขันธ์ก้าวเข้าสู่แดนเกษม ไม่มีสมมุติความกังวลใด ๆ เข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวายอีก ผู้เขียนแทบหัวอกจะแตกตายไปกับท่านจริง ๆ เวลานั้น ทำให้รำพึงรำพันและอัดอั้นตันใจไปเสียทุกอย่าง ไม่มีทางคิดพอขยับขยายจิตที่กำลังว้าวุ่นขุ่นเป็นตมเป็นโคลนไปกับการจากไปของท่าน พอให้เบาบางลงบ้างจากความแสนรักแสนอาลัยอาวรณ์ที่สุดจะกล่าว ที่ท่านว่าตายทั้งเป็นเห็นจะได้แก่คนไม่เป็นท่าคนนั้นนั่นแล

    พอความเงียบสร่างซาลงบ้าง พระผู้ใหญ่ก็สั่งให้จัดที่นอนให้เรียบร้อย และอาราธนาท่านให้นอนอยู่กับที่ที่ท่านมรณภาพไปก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยพิจารณาปรึกษาหารือกันใหม่ หลังจากนั้นครูบาอาจารย์พระเณรก็ทยอยกันออกจากห้องท่านลงไปอยู่ข้างล่างบ้าง ยังอยู่เฉลียงนอกห้องบ้าง มีตะเกียงเจ้าพายุจุดอยู่อย่างสว่างไสวทั่วบริเวณ แต่บรรดาศิษย์กลับมืดมนอนธการเหมือนมืดมิดปิดตา ไม่รู้ทางออกทางเข้าทางไปทางมา ราวกับถูกวางยาสลบให้ง่วงงุนวกเวียนอยู่ที่นั้นหนีไปไหนไม่ได้ บางท่านเป็นลมราวจะสลบล้มลงสิ้นใจไปพร้อมกับขณะท่านสิ้นลม เหมือนอะไร ๆ ก็สิ้นสุดไปตามท่านเสียสิ้นเวลานั้น
     
  7. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    เกิดความโกลาหลอลหม่านแบบไม่มีใครช่วยใครได้อย่างลึกลับ ในสมาคมมหาวิโยคพลัดพรากในยามดึกสงัด ต่างองค์ต่างงุ่มง่ามลูบคลำไปตามความเซ่อซ่าลืมสติสตัง มิได้กำหนดทิศทางมืดแจ้งอะไรเลย เพราะอำนาจความเสียใจไร้ชิ้นดีที่เกิดจากความพลัดพรากแห่งดวงประทีบ ที่เคยให้ความสว่างไสวมาประจำชีวิตจิตใจได้ดับวูบสิ้นสุดลง ปราศจากความอบอุ่นชุ่มเย็นเหมือนก่อนมา ราวกับว่าทุกสิ่งได้ขาดสะบั้นหั่นแหลกเป็นจุณวิจุณไปเสียสิ้น ไม่มีสิ่งเป็นที่พึ่งพอเป็นที่หายใจได้เลย มันสุดมันมุดมันด้านมันตีบตันอั้นตู้ไปเสียหมดภายในใจ ราวกับโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเป็นสาระพอเป็นที่เกาะของจิตผู้กำลังกระหายที่พึ่งได้อาศัยเกาะ พอได้หายใจแม้เพียงวินาทีหนึ่งเลย

    ทั้งที่สัตว์โลกทั่วไตรภพอาศัยกันประจำภพกำเนิดตลอดมา แต่จิตเรามันอาภัพอับวาสนาเอาอย่างไรนักหนา จึงเห็นโลกธาตุเป็นเหมือนยาพิษเอาเสียหมดในเวลานั้น ไม่อาจเป็นที่พึ่งได้ ปรากฏแต่ท่านพระอาจารย์มั่นองค์เดียวเป็นชีวิตจิตใจเพื่อฝากอรรถฝากธรรม และฝากเป็นฝากตายทุกขณะลมหายใจเอาเลย

    ส่วนพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์สาวก ใจก็ไม่ปรากฏว่าประมาท หากแต่ท่านอยู่ลึกตามความรู้สึกในขณะนั้น ไม่สามารถอาจเอื้อมรื้อฟื้นขึ้นมาเป็นที่พึ่ง และเป็นสักขีพยานได้อย่างใจหวังเหมือนท่านอาจารย์มั่น ซึ่งท่านอยู่ตื้น ๆ ทั้งเห็น ๆ และซึมซาบถึงจิตใจอยู่ทุกขณะที่ฟังท่านอบรมชี้แจงข้ออรรถข้อธรรมในเวลาสงสัยเรียนถามท่าน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชนิดใดที่ตนไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพัง พอแบกมาเรียนถวายท่าน และท่านเมตตาอนุเคราะห์ชี้แจงให้เท่านั้น เป็นตกไปในทันทีทันใด มิได้เผาลนหัวใจอยู่ต่อไปนานเลย

    นี้เป็นจุดที่สลักลึกลงในหัวใจ ทำให้เกิดความกระเทือนใจมากเวลาท่านพลัดพรากจากไป เพราะไม่สนใจคิดว่าจะมีใครแก้ได้นอกจากท่านเท่านั้น แล้วใครจะมามีแก่ใจเมตตาแก่เรา และเราจะมีแก่ใจไปเรียนถามใครเล่า นอกจากนับวันจะนั่งกอดเข่าเฝ้าความโง่และกองทุนของตนอยู่เท่านั้น ไม่มีทางออกอย่างง่าย ๆ เหมือนเวลาอยู่กับท่าน คิดไปเท่าไรก็มีแต่ความอัดอั้นตันใจที่จะหาทางออกโดยลำพังอย่างปลอดภัยไร้ทุกข์ ซึ่งไม่มีทางเอาเลยในความโง่ของตนขณะนั้น มีแต่ความระบมงมทุกข์อยู่ท่าเดียว นั่งอยู่เหมือนคนตายสิ้นท่าแห่งความคิดเพื่อเอาตัวรอด ไม่มีความคิดใดที่จะพาไปสู่ความปลอดโปร่งโล่งใจได้เลย ลืมเหน็ดลืมเหนื่อยลืมเวล่ำเวลา นั่งรำพึงแบบคนตายทั้งที่ยังหายใจอยู่ ในชีวิตของพระเพิ่งมีเพียงครั้งนี้เป็นชีวิต

    ใจที่ขุ่นมัวกลัวทุกข์และว้าวุ่นเอาหนักหนาที่ปราศจากผู้เมตตาช่วยเหลือ เป็นชีวิตที่มืดมิดปิดตาย หาทางออกไม่ได้เอาเลย ตาชำเลืองไปเห็นองค์ท่านที่นอนปราศจากลมหายใจและความรู้สึกใด ๆ ด้วยความสงบทีไร น้ำตาร่วงพรู น้ำตาร่วงพรูอย่างไม่เป็นท่าทุกที ทางภายในลมสะอึกสะอื้นในหัวอกหนุนให้เกิดความตีบตันขึ้นมาปิดคอหอย แทบจะไปเสียในขณะนั้น มีสติระลึกขึ้นมาชั่วขณะว่า เราจะไม่ขาดใจตายไปกับท่านเดี๋ยวนี้เสียหรือ

    พยายามพร่ำสอนตนว่า ท่านตายไปด้วยความหมดห่วงหมดอาลัยอันเป็นเรื่องของกิเลสโดยสิ้นเชิง แต่เราตายไปด้วยความห่วงความอาลัยจะเป็นข้าศึกต่อตัวเอง ความอาลัยเสียดายและความตายของเราไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่เราและแก่ท่าน เวลาท่านมีชีวิตอยู่ก็มิได้สั่งสอนให้เราคิดถึงท่านและตายกับท่านแบบนี้ แบบนี้เป็นแบบที่แฝงอยู่กับโลกที่เขาใช้กันตลอดมา แม้จะมีธรรมในใจอันเป็นสาเหตุให้คิดถึงท่าน แต่ก็ยังแฝงอยู่กับแบบของโลกที่เคยใช้กัน จึงไม่ค่อยเป็นประโยชน์สำหรับนักบวช เฉพาะอย่างยิ่งคือตัวเราที่กำลังมุ่งธรรมขั้น….อยู่อย่างเต็มใจจึงไม่ควรคิดอย่างยิ่ง

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคต ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ฉะนั้นความคิดถึงแบบนี้จึงยังไม่เข้ากับธรรมเหล่านี้ได้สนิท สิ่งที่จะเข้ากันได้สนิท คือการปฏิบัติตนตามคำสอนที่ท่านอาจารย์สอนไว้แล้วอย่างไรด้วยความถูกต้องแม่นยำ นั่นเป็นความคิดถึงท่านโดยถูกต้อง แม้จะตายเพราะการฝึกทรมานตนตามหลักธรรมก็ชื่อว่าตายอย่างถูกต้อง ควรคิดและปฏิบัติตนตามแบบนี้ จะสมกับว่าเรามาศึกษากับท่านเพื่อเหตุเพื่อผล อย่าทำความอาลัยเสียดายท่านแบบโลกมาขวางธรรม จะเป็นเสี้ยนหนามแก่ตัวเปล่า ๆ จึงพอได้สติสตังคิดน้อมเอาธรรมมายับยั้งชโลมใจที่กำลังถูกมรสุมพัดผันทั้งดวง และพอมีชีวิตรอดมาได้ ไม่จมลงด้วยแบบไม่เป็นท่าเสียแต่ครั้งนั้น

    การจัดงานศพท่านพระอาจารย์

    พอรุ่งเช้าทั้งพระผู้ใหญ่ทั้งข้าราชการทุกแผนกในตัวจังหวัด ทราบข่าวมรณภาพของท่านอาจารย์ ต่างก็รีบออกมากราบเยี่ยมศพท่าน และปรึกษาหารือกิจการเกี่ยวกับศพท่านว่าจะควรปฏิบัติอย่างไร เพื่อความเหมาะสมและเป็นการถวายเกียรติโดยควรแก่ฐานะ ที่ท่านเป็นพระอาจารย์องค์สำคัญที่ประชาชนเคารพเลื่อมใสมากแทบทั่วประเทศไทย พร้อมกับนำเรื่องท่านไปออกข่าวทางวิทยุและหนังสือพิมพ์ เพื่อประชาชนที่เป็นลูกศิษย์และท่านที่เคารพเลื่อมใสในท่าน ซึ่งอยู่ในที่ต่าง ๆ ทั้งใกล้และไกลได้ทราบโดยทั่วกัน พอข่าวท่านมรณภาพกระจายไปถึงไหน ทั้งประชาชนและพระเณรทั้งใกล้และไกล ต่างพากันหลั่งไหลมากราบเยี่ยมศพท่านถึงที่นั้นมิได้ขาด นับแต่วันมรณภาพจนถึงวันถวายฌาปนกิจศพท่าน ทั้งที่มากลับและมาค้างคืน โดยมากที่มาจากทางไกลก็จำต้องค้างคืน เพราะการคมนาคมไม่ค่อยสะดวกเหมือนทุกวันนี้

    วัตถุไทยทานที่ต่างท่านต่างนำมาถวายบูชาท่านมีมากต่อมาก จนเหลือหูเหลือตาไม่อาจพรรณนานับได้ นับแต่วันท่านเริ่มออกมาพักที่วัดบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม เครื่องไทยทานที่มีผู้ศรัทธาในท่านนำมาถวายบูชามิได้ขาดเลย เหมือนน้ำเหมือนท่าที่ไหลรินในฤดูฝนฉะนั้น ตามปกติเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้มีอติเรกลาภมากอยู่แล้ว ไม่ว่าท่านจะพักในป่าในเขาหรือในที่เช่นไร ย่อมมีเทวบุตรเทวธิดาผู้ใจบุญ พยายามขวนขวายและด้นดั้นซอกซอนเข้าไปถวายท่านจนได้

    ปกตินิสัยท่านเป็นนักเสียสละอยู่แล้ว มีมาได้มาเท่าไร ท่านบำเพ็ญทานสงเคราะห์ไปเรื่อย ๆ ไม่มีคำว่าตระหนี่ถี่เหนียวหรือเสียดาย ไม่ว่าวัตถุชนิดไร มีราคาต่ำหรือสูง ท่านให้ทานได้เสมอกันหมด พูดถึงความจนของพระก็น่าจะไม่มีท่านผู้ใดจนไปกว่าท่าน การได้มาก็รู้สึกเด่นอยู่มาก แต่ทางเข้าคือได้มากับทางออกคือการบริจาคทาน รู้สึกกว้างเท่ากัน หรือทางออกอาจกว้างกว่าเสียอีก เราพอทราบได้ เวลาได้มาแล้วไม่กี่วันท่านให้ทานไปหมด เวลาไม่มีมาแต่บางโอกาสท่านอาจคิดอยากสงเคราะห์ผู้อื่นอยู่บ้างตามนิสัย เป็นเพียงท่านไม่ออกปากพูดเท่านั้น ท่านไปพักที่ใดวัดแถวใกล้เคียงจะได้รับการสงเคราะห์โดยทั่วถึง ฉะนั้น แม้ท่านมรณภาพแล้ว ข่าวไปถึงไหนศรัทธาญาติโยมก็มักจะมาถึงนั้น พร้อมทั้งเครื่องบริจาคติดตัวมาด้วย เวลาตั้งศพท่านไว้ศาลาวัดสุทธาวาส จึงมีท่านผู้ศรัทธามาบริจาคทำบุญมิได้ขาด

    ศพท่านทั้งฝ่ายพระผู้ใหญ่และข้าราชการเห็นต้องกันว่า ควรเก็บไว้จนถึงเดือนสามข้างขึ้น คือต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ค่อยถวายฌาปนกิจศพท่าน ด้วยเหตุนี้จึงได้พร้อมกันจัดหีบถาวรเพื่อบรรจุศพท่าน

    ในวันต่อมาเวลาบ่าย ๔ โมง ประชาชน พระ เณรจำนวนมากมายพร้อมกันสรงน้ำศพท่าน เสร็จแล้วใช้ผ้าขาวพับห่อพันองค์ท่านหลายชั้น ภายนอกจีวรที่ครองถวายเรียบร้อยแล้วอาราธนาเข้าในหีบศพถาวร หลังจากนั้นคณะศรัทธามากท่าน มีท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์เป็นประธาน ปรึกษากันตกลงจัดให้มีการสวดมนต์ถวายท่านทุกคืน และมีการแสดงธรรมด้วยในวาระเดียวกัน ส่วนหีบศพท่านด้านหน้าปิดด้วยกระจก เพื่อท่านผู้มาแต่ไกลยังไม่เห็นองค์ท่าน ประสงค์อยากดูย่อมเป็นความสะดวก ไม่เสียใจว่ามาถึงแล้วไม่ได้เห็นท่าน

    การสวดมนต์ถวายท่าน มีประชาชนและพระเณรมาร่วมพิธีวันละมาก ๆ งานคราวนี้ได้เห็นน้ำใจพี่น้องชาวสกลนครเรา ทั้งท่านข้าราชการทุกแผนก ตลอดพ่อค้าประชาชนทั่วหน้ากันที่มีศรัทธาแข็งแรงและห้าวหาญในการบริจาค และเอาการเอางานในธุระหน้าที่ไม่มีความย่อท้ออ่อนแอเลย นับแต่วันท่านอาจารย์ไปถึงและมรณภาพจนถึงวันงานถวายฌาปนกิจศพท่าน พี่น้องชาวสกลนครเรา ต่างวิ่งเต้นขวนขวายที่จะให้พระเณรได้รับความสะดวกในปัจจัยสี่ และกิจการใหญ่โตที่ขวางหน้าอยู่ให้สำเร็จไปด้วยดีและมีเกียรติ โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยและสิ้นเปลืองใด ๆ ทั้งสิ้น

    พระมากมายที่มากราบนมัสการเยี่ยมศพท่านอาจารย์ในระหว่างก่อนจะถึงวันงานเป็นเวลาสามเดือน และพระเณรอยู่ประจำเพื่อดูแลกิจการจำนวนเป็นร้อยขึ้นไป พี่น้องทั้งหลายมิได้ย่อท้อ ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยต่างพร้อมใจกันมีศรัทธาใส่บาตร จนกว่าพระเณรจำนวนมากจะผ่านไปหมดทุกองค์แทบเป็นลม แม้เช่นนั้นก็ไม่ยอมลดละความเพียร คงพร้อมกันพยายามโดยสม่ำเสมอ อาหารบิณฑบาตไม่เคยบกพร่องเลย มีแต่เหลือเฟือตลอดสาย ไม่ว่าพระเณรจะมาเพิ่มมากเพียงไร ไม่มีวิตกวิจารณ์ว่าอาหารจะบกพร่องขาดเกิน ผู้เขียนเห็นด้วยตาตัวเองตลอดงาน จึงอดที่จะจารึกความดีงามและความพร้อมเพรียงสามัคคีของพี่น้องลงสู่จิตใจอย่างลึกไม่มีวันหลงลืมมิได้

    ผู้เขียนไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เห็นความอดทน ความทนทาน ความเสียสละทุกด้านของพี่น้องดังกล่าวขนาดนี้ พอเห็นแล้วถึงใจจำติดตาติดใจไม่ลืมเลย จึงขอชมเชยสรรเสริญพี่น้องชาวสกลนครเราไว้ในที่นี้ด้วยว่า เป็นศรัทธาแม่เหล็กไม่มีย่อหย่อนอ่อนกำลังต่อภาระหน้าที่ทุกด้านในการนี้ ผู้เขียนมีความอบอุ่นไว้วางใจอย่างฝังลึกตลอดมา นับแต่ได้เห็นเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้นมาแล้วด้วยตาตัวเอง จึงขอจารึกไว้ในใจตลอดจนอวสาน ไม่มีวันหลงลืมเลย

    พระเณรที่มาช่วยดูแลงานที่ควรทำเพื่อเตรียมรับท่านที่มาในงาน โดยมีฆราวาสญาติโยมเป็นแรงงาน ก็น่าเห็นใจทั้งสองฝ่าย เพราะเพียงระหว่างที่ยังไม่ถึงวันงานก็มีพระเณรมากอยู่แล้ว ยิ่งถึงวันงานเข้าจริง ๆ ได้กะการกันไว้ว่า ทั้งพระเณรและฆราวาสที่จะมาในงานนี้ต้องเป็นจำนวนหมื่นขึ้นไป ฉะนั้นจำต้องพากันเตรียมจัดทำปะรำต่าง ๆ ทั้งที่พัก ทั้งโรงครัวไว้มากเท่าที่จะมากได้ เพื่อความสะดวกในงาน ซึ่งเป็นงานใหญ่และมีประชาชนจะมาร่วมเป็นจำนวนมาก โดยเริ่มงานตั้งแต่ท่านเริ่มมรณภาพไปจนถึงวันงานก็พอดี
     
  8. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    พอจวนวันงานจะมาถึง พระเณรและประชาชนนับวันหลั่งไหลมาทุกทิศทุกทางทั้งใกล้ทั้งไกล จนเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับแทบเป็นลม รับไม่หวาดไม่ไหว จวนวันเข้าเท่าไรยิ่งล้นไหลกันมา จนหาที่พักให้ไม่ได้พอกับจำนวนคนและพระเณรที่มา พอถึงวันงานเข้าจริง ๆ บริเวณวัดทั้งกุฎี ทั้งป่ากว้าง ๆ ในวัดเต็มไปด้วยพระเณรที่มาจากที่ต่าง ๆ มองดูกลดขาวเปรี๊ยะไปทั้งป่า เฉพาะภายในวัดสุทธาวาสมีพระเณรทั้งหมดในวันงานกว่า ๘๐๐ ที่พักอยู่ตามวัดต่าง ๆ พอไปมาหาสู่งานได้สะดวกมีจำนวนมากพอดู

    เมื่อรวมพระเณรที่มาในงานทั้งพักในวัดและนอกวัดมีจำนวนกว่า ๑,๐๐๐ รูป ส่วนฆราวาสญาติโยมที่พักอยู่ในวัดก็นับไม่ไหว เพราะเหลือหูเหลือตาที่จะนับอ่านได้ ที่พักอยู่ตามร่มไม้ทุ่งนาก็มีแยะ ที่พักอยู่ในตัวเมืองก็มาก ตามโรงแรมต่าง ๆ เต็มไปหมด จนไม่มีโรงแรมให้พักพอกับจำนวนคน เวลามารวมในงานแล้วนับไม่ได้ เพียงคาดคะเนเอาประมาณหลายหมื่น แต่แปลกและน่าอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง ที่ไม่มีเสียงดังสมคนมากมายเหมือนงานทั้งหลายที่เคยมีกัน ได้ยินเฉพาะเครื่องกระจายเสียงที่ทำการโฆษณาประจำงานในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวกับงานของวัดเท่านั้น

    งานนี้ไม่มีมหรสพคบงันใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นงานกรรมฐานล้วน ๆ เครื่องไทยทานที่ประชาชนต่างมีศรัทธานำมาสมโภชโมทนาช่วยเหลือในงานนี้ อยากจะพูดว่า กองเท่าภูเขาลูกย่อย ๆ เรานี่เอง ข้าวกี่ร้อยกระสอบ อาหารกี่สิบกี่ร้อยรถยนต์ที่ต่างท่านต่างขนมา มาด้วยกำลังศรัทธาอย่างไม่อัดไม่อั้น ผ้าที่นำมาเพื่อถวายบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลถวายท่านอาจารย์ก็อยากจะพูดว่า กองใหญ่ยิ่งกว่าโรงงานทอผ้าเสียอีก ซึ่งผู้เขียนก็ไม่เคยไปเห็นโรงงานทอผ้าเลย ไม่ทราบว่าใหญ่โตขนาดไหน แต่กองผ้าของคณะศรัทธาทั้งแผ่นดินที่ต่างท่านต่างนำมานี้รู้สึกมากกว่านั้น จึงกล้าเดาด้วยความกล้าหาญไม่กลัวผิด

    ตอนนี้ขออภัยท่านผู้อ่านมาก ๆ ด้วยผู้เขียนชักเพ้อไป เพราะความภูมิใจในไทยทานของท่านนักใจบุญทั้งหลาย ไม่นึกว่าคนไทยเราจะเป็นนักใจบุญถึงขนาดนั้น เห็นเครื่องแสดงน้ำใจออกมาแล้วจึงอัศจรรย์ท่านศรัทธาทั้งหลายมาจนบัดนี้ ว่าคนไทยเราเป็นนักเสียสละ นักสังคหวัตถุคือนักให้ทานอย่างไม่อั้นไม่เสียดาย ฉะนั้น เมืองไทยเราแม้จะเป็นเมืองเล็กในสายตาของเมืองใหญ่ทั้งหลาย แต่การเสียสละให้ทานด้วยศรัทธาและด้วยความเมตตานี้ แม้แต่เมืองใหญ่ ๆ ก็สู้ไม่ได้ สมกับเมืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนาที่สั่งสอนคนให้มีความเมตตาต่อกัน เมืองไทยเราจึงเป็นเมืองของคนมีอัธยาศัยกว้างขวาง ไม่คับแคบตีบตันตลอดมาแต่ดึกดำบรรพ์

    งานนี้ก็เช่นกัน เป็นงานที่สมบูรณ์พูนผลเสียทุกอย่าง จากบรรดาศรัทธาผู้เสียสละทั้งหลาย ต่างมาบริจาคให้ทานอย่างไม่อั้น หม้อข้าวหม้อแกง อาหารคาวหวานต่าง ๆ เห็นแล้วเลยน่ากลัวมากกว่าจะน่าฉัน เพราะใหญ่โตมาก หิ้วคนเดียวไม่ไหว ต้องช่วยกันหิ้วหรือหามเข้ามาสู่ปะรำที่พระท่านฉัน

    ทำเลที่ฉันต้องจัดหลายแห่ง แห่งละประมาณ ๓๐–๔๐ องค์บ้าง ๕๐–๖๐ องค์บ้าง ทั่วไปหมด ตามกุฎีพระเถระบ้าง แห่งละ ๙–๑๐ องค์ แต่สะดวกในการจัดแจกอาหารที่ไม่ต้องจัดสำรับให้วุ่นวายและสิ้นเปลืองสำรับและถ้วยชาม เพราะมีแต่พระกรรมฐานเสียมากราว ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องจัดสำรับถวายก็มีพระผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองและพระผู้ติดตามไม่มากนัก เมื่อยกหม้อข้าวหม้อแกงถวายพระท่านแล้วก็จัดใส่บาตรกันเอง คาวหวานรวมลงในบาตรใบเดียวเท่านั้น เพราะปกติท่านเคยฉันสำรวมอยู่แล้ว

    อาหารมีมากจนเหลือเฟือ ตลอดงานไม่มีอดอยากขาดแคลนเลย ด้วยอำนาจศรัทธาของพุทธศาสนิกชน และอำนาจบารมีท่านอาจารย์มั่นท่านคุ้มครองรักษา ไม่เคยปรากฏว่ามีการดื่มเหล้าเมาสุราและทะเลาะวิวาทฆ่าตี และฉกลักขโมยปล้นจี้สิ่งของของกันและกันเลย

    เมื่อเก็บสิ่งของที่มีผู้ทำตกหายได้ ก็นำไปมอบกองโฆษณาให้ประกาศหาเจ้าของ ถ้าเป็นสิ่งของมีค่า ผู้โฆษณาไม่บอกรูปลักษณะ เป็นเพียงประกาศให้ทราบว่าของมีค่าของท่านผู้ใดตกหายเชิญมาติดต่อแสดงหลักฐานที่กองโฆษณา ถ้ารูปลักษณะตรงกันแล้วก็มอบให้เจ้าของไป ถ้าเป็นสิ่งของธรรมดาก็บอกชื่อสิ่งของหรือรูปลักษณะให้เจ้าของมารับเอาไป ถ้าเป็นเงินก็บอกเพียงว่าเงินตกหาย ไม่บอกจำนวนหรือสิ่งบรรจุเงิน เช่น กระเป๋า เป็นต้น ให้เจ้าของมาบอกจำนวนและสิ่งบรรจุเอาเอง เมื่อบอกได้ถูกต้องก็มอบให้เจ้าของไปตามธรรมเนียม

    งานนี้มี ๓ คืนกับ ๔ วัน และงานนี้เป็นงานที่แปลกและอัศจรรย์เป็นพิเศษ คือคนมามากต่อมากแต่ไม่มีการส่งเสียงหนึ่ง ไม่ทะเลาะวิวาทฆ่าตีกันหนึ่ง ไม่มีการขโมยของกันล้วงกระเป๋ากันหนึ่ง เก็บสิ่งของมีค่าได้ยังอุตส่าห์นำไปมอบให้เจ้าหน้าที่กองโฆษณาหนึ่ง ไม่มีคนดื่มเหล้าเมาสุรามาอาละวาดเกะกะในบริเวณงานหนึ่ง พระเณรก็สงบเสงี่ยมงามตาน่าเคารพเลื่อมใสหนึ่ง แต่ละข้อยากจะมีในงานหนึ่ง ๆ จึงอดจะเรียกว่าเป็นงานแปลกมิได้

    ตอนกลางคืนราว ๒ ทุ่มมีการสวดมนต์และมาติกาบังสุกุลถวายท่านทุกคืน และมีการแสดงธรรมทุกคืน ตอนเช้าหลังจากเสร็จแล้วมีการมาติกาบังสุกุลไปเรื่อย ๆ ไม่ค่อยมีกำหนดเวลาตายตัวนัก เพราะศรัทธาและพระเณรมีมาก ถ้าจะรอทำตามเวลาคงไม่ทันกับเหตุการณ์ ดังนั้นจึงเปิดโอกาสให้ตามแต่ท่านผู้ใดจะมีศรัทธานิมนต์พระมากน้อยได้ตามกำลังและเวลาที่ต้องการ การนิมนต์พระต้องผ่านทางกองโฆษณาทำหน้าที่แทน ถ้าจะเที่ยวตามนิมนต์เป็นไม่เจอพระองค์ที่ต้องการ เพราะพระมากต่อมาก ที่จำต้องนิมนต์ทางเครื่องกระจายเสียงโดยเห็นว่าเป็นความสะดวกกว่า เพราะรายชื่อของพระเณรที่มาในงาน ทางกองบัญชีพระได้จดชื่อและฉายาท่านไว้พร้อมแล้วแต่ขณะท่านมาถึงวัดทีแรก ทั้งนี้เนื่องจากกองโฆษณาได้ประกาศอยู่เสมอว่า พระเณรอาคันตุกะที่เข้ามาในงานขอนิมนต์ไปแจ้งรายชื่อและฉายาที่กองโฆษณาทุกรูปไป มีเจ้าหน้าที่เตรียมรอคอยอยู่พร้อมแล้ว เพื่อทราบจำนวนพระเณรที่มาในงานนี้ เวลานิมนต์ในกิจธุระจะได้ถูกกับชื่อและฉายาของพระเณรองค์นั้น ๆ

    การบิณฑบาตของพระในงานนี้ นอกจากวันงานท่านไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ แถวนั้นและไปในเมือง วันงานคณะศรัทธาทั้งหลายอาราธนานิมนต์ท่านรับบิณฑบาตตามบริเวณงาน นอกวัดบ้าง ในวัดบ้าง หลายแห่งที่ศรัทธาเตรียมใส่บาตรท่าน งานนี้ท่านทำพิธีเปิดมีกำหนด ๓ คืนกับ ๔ วัน ซึ่งเริ่มแต่วันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ถวายฌาปนกิจศพท่านคืนของวันขึ้น ๑๓ ค่ำราว ๖ ทุ่ม พอรุ่งเช้าของวันขึ้น ๑๔ ค่ำก็เป็นวันเก็บอัฐิท่าน ส่วนวันที่และเดือนอะไรนั้นจำไม่ค่อยได้ กรุณานำไปเทียบกับปฏิทินร้อยปีอาจพอทราบได้

    การดำเนินงานเกี่ยวกับมาติกาบังสุกุลอุทิศถวายท่านนั้น เริ่มมาแต่วันเริ่มงานเรื่อยมาทั้งกลางวันกลางคืนไม่มีกำหนดตายตัว ดังที่เรียนมาบ้างแล้ว เพราะท่านที่ศรัทธาจะถวายบังสุกุลมีมากต่อมาก จะรอให้ทำตามกำหนดเวลารู้สึกไม่สะดวก เพราะท่านที่มาในงานโดยมากมาจากที่ไกล ๆ กันทั้งนั้น เมื่อมาถึงควรจะทำได้เมื่อไร ควรเปิดโอกาสให้บำเพ็ญตามความสะดวก ท่านผู้ใดต้องการพระหรือเณรจำนวนเท่าไร ก็ติดต่อกับหน่วยโฆษณาให้อาราธนานิมนต์ให้ รู้สึกเป็นความสะดวกและได้ถือปฏิบัติทำนองนี้ตลอดงาน

    ส่วนเมรุเป็นที่บรรจุศพท่าน ได้จัดขึ้นในบริเวณที่พระอุโบสถอยู่เวลานี้ รู้สึกสวยงามมาก สมเกียรติ ทำเป็นจตุรมุข มีลวดลายแปลกประหลาดมาก ผู้เขียนไม่ชำนาญในรูปลักษณะตลอดชื่อของลวดลายต่าง ๆ ที่นายช่างผู้ชำนาญงานทำถวายท่าน ถ้าจำไม่ผิดวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เป็นวันอาราธนาท่านไปสู่เมรุ ก่อนหน้าเล็กน้อยบรรดาลูกศิษย์ทั้งพระและประชาชนได้พร้อมกันทำวัตรขอขมาโทษท่านเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นก็อาราธนาไปสู่เมรุ ตอนนี้คงอดทนไม่ไหว ได้เกิดโกลาหลวุ่นวายกันขึ้นอีกจนได้ คราวนี้เป็นคณะลูกศิษย์ฝ่ายฆราวาสหญิงชาย พอเริ่มอาราธนาท่านเคลื่อนที่ไปสู่เมรุ ต่างมีอากัปกิริยาที่ไม่ค่อยแจ่มใสขึ้นมาในขณะนั้น น้ำหูน้ำตากิริยาเศร้าโศกและเสียงร้องไห้เริ่มแสดงออกเป็นลำดับ

    นับแต่ขณะท่านเคลื่อนจากที่ไปสู่เมรุรู้สึกวุ่นวายสับสนพอดู ในสังคมแห่งความวิโยคพลัดพรากจากไปแห่งท่านผู้มีบุญหนาเมตตาราวมหาสมุทรสุดขอบเขตไม่มีประมาณ บรรดาลูกศิษย์บริวารต่างร้องไห้ด้วยความอาลัยเสียดาย เพราะครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายในการพลัดพรากจากร่างกายหายสูญความสมมุติที่เคยก่อภพก่อชาติ พาให้ได้นามว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่อกันเป็นสายยาวเหยียดไม่มีเบื้องต้น เบื้องปลาย ท่านอาจารย์ได้ทำลายกงกรรมของวัฏจักรเสียสิ้นแล้ว บัดนี้ก้าวเข้าสู่เมืองแก้วอันประเสริฐคือพระนิพพาน ไม่มีวันกลับมาวุ่นวายกับกองสังขารอันเป็นสถานที่หลั่งน้ำตาอีกต่อไป

    บรรดาลูกศิษย์ที่ร้องไห้ถึงท่านครั้งนี้ เพราะความเคารพรักเสียดายที่ได้เคยประสิทธิ์ประสาทธรรมโสรจสรงประพรมดวงใจให้หายง่วงเหงาเมามัว พอมีสติระลึกบาปบุญได้ก็ระลึกถึงพระคุณท่าน อยากได้ไว้เป็นแก้วบูชาเป็นขวัญตาขวัญใจต่อไปอีก ต่อเมื่อสุดวิสัยจะห้ามได้ จึงขอถวายน้ำใจเป็นความอาลัยรักด้วยน้ำตาเป็นเครื่องสักการบูชาว่า คณะลูกศิษย์เหล่านี้บุญน้อย แต่ยังมีวาสนาบารมีได้มาพบเห็น ในคราวพลัดพรากจากไปของท่านผู้ทรงมหาคุณบุญหนักศักดิ์ยิ่ง เป็นผู้สิ้นกิเลสถึงความวิเศษศักดิ์สิทธิ์สมัยปัจจุบันที่แสนหาได้ยาก นาน ๆ ถึงจะได้พบเห็นเป็นขวัญตาขวัญใจที่ใฝ่ฝันมานานสักองค์หนึ่ง

    แม้ท่านได้ผ่านพ้นกองทุกข์ในสงสารถึงพระนิพพานอันเป็นบรมสุขแล้ว ก็ขออาราธนาเมตตาโปรดโสรจสรงมวลสัตว์ผู้ยากจน ซึ่งกำลังตกอยู่ในความสุดวิสัย ได้แต่พากันร้องไห้พิไรรำพันถึงอยู่เวลานี้บ้างเถิดเจ้าพระคุณบุญล้นฝั่ง ซึ่งฝังเพชรไว้ในหัวใจ เมื่อใดพวกข้าพเจ้าทั้งหลายจะพอมีทางรอดตาข่ายแห่งมาร ได้มีวาสนาถึงพระนิพพานตามพระคุณท่านก็ไม่มีทางทราบได้ เพราะกรรมหนักกรรมหนาเกิดมาอาภัพวาสนา จึงเพียงได้มาชมบารมีพระคุณท่านเป็นขวัญใจบูชาไว้ด้วยน้ำตาดังที่เป็นอยู่ขณะนี้แล

    เหล่านี้เป็นคำร้องไห้วิงวอนปรารถนาของพุทธบริษัททั้งหลาย ที่แสนอาลัยเสียดายในความพลัดพรากจากไปของท่าน จนศพท่านที่อาราธนาเข้าสู่เมรุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาการที่น่าเวทนาสงสารเหล่านั้นจึงค่อย ๆ สงบลง

    พอได้เวลาที่กำหนดไว้ ๖ ทุ่มคือเที่ยงคืน ก็พร้อมกันเริ่มถวายเพลิงจริง แต่ผู้คนในขณะนั้นประหนึ่งจะล้นแผ่นดินแออัดยัดเยียดเบียดเสียดกันจนจะหาทางเดินไม่ได้ เพราะต่างคนต่างมุ่งอยากดูอยากเห็นในวาระสุดท้ายเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ใจไปนาน ฉะนั้นจึงพากันเฝ้ารออยู่จนถึงเวลาที่กำหนดไว้ พอถึงเวลาถวายเพลิงท่านจริง ขณะนั้นปรากฏมีเมฆก้อนหนึ่งขนาดย่อม ๆ ไหลผ่านเข้ามาและโปรยละอองฝนมาเพียงเบา ๆ พร้อมกับขณะที่ไฟเริ่มแสดงเปลวและโปรยอยู่ประมาณ ๑๕ นาที เมฆก็ค่อย ๆ จางหายไปในท่ามกลางแห่งความสว่างแห่งแสงพระจันทร์ข้างขึ้น
     
  9. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    จึงเป็นที่น่าประหลาดและอัศจรรย์อย่างสุดจะคาดจะเดาได้ถูก ว่าทำไมจึงดลบันดาลให้เห็นเป็นความแปลกหูแปลกตาขึ้นมาในท่ามกลางความสว่างแห่งแสงเดือนเช่นนั้น เพราะปกติฟ้าก็แจ้งขาวดาวสว่างในฤดูแล้งธรรมดาเราดี ๆ นี่เอง แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ มีเมฆลอยมาและมีละอองฝนโปรยปรายลงมา ทำให้แปลกตาสะดุดใจระลึกไว้ไม่ลืมจนบัดนี้ เหตุการณ์ทั้งนี้บรรดาท่านที่อยู่ในวงงานขณะนั้น ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ว่าไม่จริง เรื่องมิได้เป็นไปในทำนองนั้น เป็นแต่ผู้เขียนอุตริขึ้นมาเอง เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ผู้เขียนประสบมาเองอย่างประจักษ์ตาและสะดุดใจตลอดมา พอท่านที่อยู่ในวงงานขณะนั้นได้อ่านตอนนี้ อย่างไรต้องเพิ่มความจำและความสะดุดใจขึ้นมาในทันทีว่า เหตุการณ์ได้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

    การถวายเพลิงท่านมิได้ถวายด้วยฟืนหรือถ่านดังที่เคยทำกันมา แต่ถวายด้วยไม้จันทน์ที่มีกลิ่นหอม ซึ่งบรรดาศิษย์ท่านผู้เคารพเลื่อมใสในท่าน สั่งมาจากฝั่งแม่น้ำโขงประเทศลาวเป็นพิเศษจนเพียงพอกับความต้องการและผสมด้วยธูปหอมเป็นเชื้อเพลิงตลอดสาย ผลเป็นความเรียบร้อยเช่นเดียวกับที่เผาด้วยฟืนหรือถ่าน นับแต่ขณะเริ่มถวายเพลิงท่านได้มีกรรมการทั้งพระและฆราวาสคอยดูแลกิจการอยู่เป็นประจำตลอดงานนั้น และมีการรักษาอยู่ตลอดไป จนถึงเวลาเก็บอัฐิท่าน

    เวลา ๙ น.ของวันรุ่งขึ้นก็เริ่มเก็บอัฐิท่านและแจกไปตามจังหวัดต่าง ๆ ที่มีผู้มาในงานนี้ เพื่อนำไปเป็นสมบัติกลาง ๆ โดยมอบกับพระในนามของจังหวัดนั้น ๆ เชิญไปบรรจุไว้ในสถานที่ต่าง ๆ ตามแต่จะเห็นควร ส่วนประชาชนก็มีการแจกเหมือนกัน แต่คนมากต่อมากไม่อาจปฏิบัติได้โดยทั่วถึง เท่าที่จำได้ผู้มาในนามของจังหวัดนั้น ๆ และได้รับแจกอัฐิท่านไปมี ๒๐ กว่าจังหวัด

    ตอนเก็บอัฐิท่านพึ่งผ่านไปนั้น ก็น่าสงสารประชาชนอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอีกวาระหนึ่ง ซึ่งทำให้ประทับตาประทับใจอย่างมาก คือพอคณะกรรมการเก็บอัฐิท่านเสร็จเรียบร้อยลงเท่านั้น ผู้คนชายหญิงต่างชุลมุนวุ่นวายกันเข้าเก็บกวาดเอาเถ้าและถ่านที่เศษเหลือจากที่เก็บแล้วไปสักการบูชา ได้คนละเล็กละน้อย จนสถานที่นั้นเตียนเกลี้ยงยิ่งกว่าล้างด้วยน้ำและเช็ดถูให้เกลี้ยงเสียอีก พอได้ออกมาต่างคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสดีใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนตัวจะเหาะลอยในขณะนั้น มองดูในมือต่างคนต่างกำแน่นราวกับจะมีใคร ๆ มาแย่งชิงเอาดวงใจในกำมือไปเสียฉะนั้น นี้เป็นเหตุการณ์ที่น่าสงสารสังเวชอีกเหตุการณ์หนึ่ง ไม่ด้อยกว่าเหตุการณ์ทั้งหลายที่ผ่านมาในงานท่านอาจารย์มั่นครั้งนี้

    แล้วยังครั้งสุดท้ายแถมเข้าไปอีก คือก่อนจะพากันกลับไปถิ่นฐานบ้านเรือนของตนๆ โดยมากพากันไปกราบลาท่านอาจารย์ที่เมรุ ซึ่งเป็นความมั่นว่า ท่านย้ายจากศาลาไปอยู่เมรุแล้ว ขณะก้มกราบท่านถึงวาระที่สามจบลงต่างพากันนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เป็นลักษณะรำพังรำพันด้วยความอาลัยเสียดายอย่างสุดซึ้ง แล้วแสดงอาการไว้อาลัยด้วยน้ำตาสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร คิดถึงใจเราใจท่านที่มีความรู้สึกคิดนึกและกตัญญูกตเวทีในท่านผู้ทรงพระคุณอย่างล้นพ้น ก็อดที่จะกลั้นความอาลัยเสียดายไว้ไม่ได้เช่นเดียวกัน พอคณะนั้นผ่านออกมาด้วยความเศร้าโศกหน้าชุ่มด้วยน้ำตา คณะนี้ก็ก้าวเข้าไปกราบลาท่าน ด้วยกิริยาท่าทางของคนที่มีความจงรักภักดีและเศร้าโศก เพราะความวิโยคพลัดพรากแห่งสิ่งที่เทิดทูนบนหัวใจ ได้จากไปไม่มีวันกลับคืน เป็นความสับเปลี่ยนเวียนกันไปมาอยู่ที่บริเวณเมรุท่านเป็นชั่วโมง ๆ กว่าเรื่องที่น่าสงสารสังเวชจะสงบลง จึงทำให้ปลงธรรมสังเวชอย่างติดตาติดใจตลอดมา

    รวมความแล้วใจเป็นธรรมชาติที่ใหญ่โตกว่าอะไรในโลก เรื่องและอาการทั้งหลายที่เป็นมาเหล่านี้ เป็นสาเหตุมาจากใจอันเป็นรากฐานสำคัญ ประชาชนพระเณรจำนวนหมื่น ๆ ที่มาในงานนี้ก็เรื่องหัวใจพาให้มา ท่านอาจารย์ที่เป็นจุดดึงดูดจิตใจของประชาชน ก็ขึ้นอยู่กับท่านเป็นใจที่บริสุทธิ์หรือธรรมทั้งดวง ซึ่งใคร ๆ ปรารถนากันทั่วโลก จึงเป็นเครื่องดึงดูดจิตใจของคนผู้รู้จักบุญบาปให้คิดอยากมากราบไหว้บูชาท่าน แม้ไม่ได้ส่วนกุศลชนิดตักตวงเอาตามใจหวัง ก็ยังพอเป็นอุปนิสัยปัจจัยสืบต่อภพแห่งความเป็นมนุษย์อย่าให้ขาดสูญสิ้นซากไปเสียทีเดียว ยังดีกว่าเป็นคนหน้าด้านไปแย่งเกิดในกำเนิดสัตว์นรกและสัตว์เดียรัจฉานเป็นร้อยเป็นพันชนิดไม่มีประมาณ เสวยความทุกข์ทรมานในภพนั้น ๆ ตลอดอนันตกาล ไม่มีวันหลุดพ้นไปได้ ซึ่งเป็นการเกิดมาเหยียบย่ำซ้ำเติมตัวเองไม่มีชิ้นดี พอเป็นที่ยึดที่อาศัยได้ในภพหนึ่ง ๆ บ้างเลย ที่เรียกว่าเป็นคนหมดหวัง

    ด้วยเหตุนี้เรื่องในสากลโลกจึงรวมลงที่ใจ เป็นผู้ควบคุมเครื่องจักรน้อยใหญ่ให้สิ่งทั้งหลายหมุนไปตามวิถีทางเดินของใจ ที่หนักไปในทางใด ถ้าใจหนักไปในทางดีทุกสิ่งที่ทำลงไปย่อมให้ผลเป็นสุขโดยสม่ำเสมอทั้งปัจจุบันและอนาคต ปรากฏแต่ความมีหวังและสมหวังเรื่อยไปไม่ขัดสนจนตรอก จะออกซอกไหนซอยใดก็เป็นซอกเป็นซอยที่คอยอำนวยความสะดวกปลอดภัยให้ผู้เป็นเจ้าของได้รับความสุขความเจริญเสมอไป จนถึงแดนแห่งความสมหวัง คือเกิดทุกภพทุกชาติมีแต่ความสมหวังตลอดไป ดังครูบาอาจารย์ที่มีคนเคารพเลื่อมใสและระลึกถึงท่านเป็นขวัญใจอยู่เวลานี้

    เพราะใจท่านเป็นใจกุศลแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นสูงสุด ที่คนทั้งหลายสรรเสริญท่านอย่างสมเกียรติว่าท่านปรินิพพานก็มีอยู่มาก คำว่าปรินิพพานนี้จะมีได้เฉพาะท่านผู้สิ้นกิเลสอาสวะโดยสิ้นเชิงแล้วเท่านั้น ท่านสิ้นความสืบต่อแห่งสังขารไม่มีลมปราณเหมือนเวลายังมีชีวิตอยู่ โลกทั้งหลายเรียกว่า “ตาย”แต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านตาย โลกเรียกว่า “ปรินิพพาน” ท่านอาจารย์มั่นก็มีคนถวายเกียรติท่านว่าปรินิพพานมากเหมือนกัน ผู้เขียนไม่มีเหตุผลที่ควรจะนำมาคัดค้าน จำต้องยอมจำนนและอนุโมทนาตามคำที่โลกถวายเป็นเกียรติท่านในวาระสุดท้าย เพราะเท่าที่เคยได้อยู่และรับโอวาทท่านตลอดมาเป็นเวลานานปีพอสมควร ก็ไม่มีที่ค้านธรรมท่านได้เลย นอกจากทำให้ซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก ว่าเป็นอมตธรรมอย่างสมบูรณ์ที่ออกมาจากใจที่บริสุทธิ์จริง ๆ เท่านั้น ฉะนั้นใจประเภทนี้จึงหาไม่มีในโลกมนุษย์ปุถุชนเรา ร้อยทั้งร้อยไม่มีเจอเลย ถ้าต้องการเจอก็จำต้องพยายามชำระแก้ไขใจของปุถุชนให้กลายเป็นใจอริยชนขั้นสุดยอดขึ้นมา ใจดวงนั้นอยู่ที่ไหนก็อยู่อย่างอริยจิตอริยธรรมตลอดเวลาอกาลิโก

    ที่ว่าใจเป็นใหญ่กว่าสิ่งทั้งหลายในโลกนั้น คือใจเป็นผู้ปกครองสมบัติทั้งมวล แต่สิ่งทั้งหลายดังกล่าวดีหรือชั่วต้องขึ้นอยู่กับใจผู้เป็นใหญ่และรับผิดชอบ ถ้าใจพาชั่ว โลกแม้จะใหญ่โตเพียงไรก็มีทางบรรลัยได้อย่างไม่มีปัญหา ดังนั้นใจจึงควรได้รับการอบรมหรือศึกษา พอจะปกครองตัวปกครองโลกให้เป็นไปโดยความสะดวกปลอดภัยเท่าที่ควร ตัวก็เป็นบุคคลน่าอยู่ ไม่เดือดร้อนรำคาญ โลกก็เป็นโลกน่าอยู่ ไม่เป็นโลกที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายจนเกินไป
     
  10. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    หลังงานถวายเพลิง เหล่าศิษย์กระจัดกระจาย

    พอถวายเพลิงท่านอาจารย์มั่นผ่านไปแล้ว ปรากฏว่าพระเณรสายของท่านมีความกระวนกระวายระส่ำระสายมากพอดู เพราะปราศจากที่พึ่งที่ยึดทางใจ ระเหเร่ร่อนไปทางทิศใต้ทิศเหนือเหมือนว่าวเชือกขาดอยู่บนอากาศฉะนั้น เพราะความร้อนรุ่มกลุ้มใจเหมือนพ่อแม่ตายจาก มีแต่ลูกกำพร้าตัวเล็ก ๆ ไม่มีความรู้ความสามารถปกครองตนได้ ฉะนั้นวงคณะปฏิบัติสายของท่านรู้สึกสั่นสะเทือนไปมากในระยะที่ผ่านไปใหม่ ๆ กว่าจะจับกันเป็นกลุ่มเป็นกอเป็นหลักเป็นฐานได้ ก็นับว่าพอเห็นโทษแห่งความไม่มีครูอาจารย์มากพอดู ฉะนั้นการผ่านไปของครูบาอาจารย์องค์มีคุณสมบัติสำคัญแต่ละองค์มิใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นความสะเทือนในวงพระสงฆ์และผู้ปฏิบัตินั้น ๆ มาก จนอาจพูดได้ว่าแผ่นดินถล่มไปพักหนึ่ง ถ้าคณะลูกศิษย์มีความสามารถตั้งตัวได้ด้วยข้อปฏิบัติและทางจิตใจพอทรงตัวและทรงหมู่คณะไว้ได้ ไม่เดือดร้อนเหลวไหลในกาลต่อไป

    การสูญเสียท่านผู้เป็นหัวหน้าที่ดี ไม่ว่าทางครอบครัว สังคม บริษัทห้างร้าน วงราชการงานแผ่นดินแผนกต่าง ๆ และคณะสงฆ์ ตลอดวงพระปฏิบัติทุก ๆ แขนง ย่อมเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงไปตาม ๆ กัน ผู้น้อยซึ่งหวังความเจริญก้าวหน้าทั้งปัจจุบันและอนาคต จึงไม่ควรนิ่งนอนใจในการเตรียมตัวเตรียมใจไว้ต้อนรับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องประสบอยู่โดยดีในวันหรือเวลาหนึ่งแน่นอน

    ผู้เขียนได้เห็นโทษครั้งยิ่งใหญ่สมัยท่านพระอาจารย์มั่นมรณภาพผ่านไปเพียงองค์เดียวเท่านั้น แต่ในสายตาและความรู้สึกปรากฏว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องท่านมีความซบเซาเหงาหงอย และอยากจะพูดว่าล้มละลายไปตาม ๆ กันมากมาย ทั้งนักบวชและฆราวาส จนไม่อาจประมาณได้ เช่นเดียวกับสิ่งก่อสร้างที่ส่วนมั่นคงได้ถูกทำลายลง ส่วนอื่น ๆ ก็พลอยเสียหายไปด้วยฉะนั้น

    ผู้เขียนได้รับความกระเทือนใจอย่างหนักมาแต่ครั้งนั้น จึงทำให้หวั่นวิตกต่ออนาคตของพระเณรในวงปฏิบัติที่ขาดครูอาจารย์ผู้ให้ความร่มเย็น ว่าเป็นทางไหลมาแห่งความเสื่อมเสียได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่รีบเร่งตักตวงเสียแต่ขณะนี้ที่กำลังมีครูอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนอยู่ เวลาท่านจากไป ตัวเราเองแม้ยังมีลมหายใจอยู่แต่ไม่มีหลักยึดก็เท่ากับตายทั้งเป็น

    ผู้เขียนได้เคยเห็นโทษของตัวที่ไม่เป็นท่ามาแต่ครั้งนั้นแล้วว่าเหลวจริง ๆ ด้วยมรสุมประดังกันเข้าพัดผันดวงใจ มรสุมลูกหนึ่งพัดมาว่าเราหมดที่พึ่งแล้ว ลูกหนึ่งพัดมาว่าต่อไปนี้เราจะพึ่งใคร ลูกหนึ่งพัดมาว่าท่านไปแล้วสบายหายห่วงส่วนเรายังอยู่แต่ลมหายใจ แต่ใจเหมือนคนตายแล้ว เพราะขาดหลักยึดและขาดอย่างหมดหวังเคว้งคว้างเกาะอะไรไม่ติดเลย ลูกหนึ่งพัดมาว่าอะไร ๆ มันจะสุดจะสิ้นไปตามท่านเสียแล้ว ลูกหนึ่งว่าต่อไปนี้เราจะอยู่กับใคร พ่อก็จากไปเสียแล้ว

    ลูกหนึ่งว่าคราวนี้ถึงคราวล่มจมของเราเสียแล้วหรือ จึงพอจะตั้งไข่พ่อก็มาตายจาก กรรมเราหนักเอาเสียจริง ๆ คราวนี้ ลูกหนึ่งอุทานออกมาว่า โอ้โฮ เจ้ากรรมช่างทรมานคนอนาถาถึงขนาดนี้เชียวหนอ ลูกหนึ่งว่าตายจมแน่แล้วคราวนี้ซึ่งเป็นคราวหัวเลี้ยวหัวต่อเสียด้วย ระหว่างกิเลสกับธรรมกำลังรบกันอย่างเต็มกำลัง มีท่านอาจารย์เป็นผู้เมตตาช่วยอุบายการรบอยู่ทุกเวลา ต่อไปใครจะมีแก่ใจมาเมตตาช่วยเหลือเราอีก เราไม่เคยมีความทุกข์จนหาทางออกไม่ได้เหมือนคราวนี้ นี้เป็นคราวตกนรกหลุมความหมดหวังพัดผันหัวใจให้ขาดดิ้นสิ้นความหมาย ยังไม่ตายแต่ทำให้สิ้นความหวังเสียทุกอย่างในคราวนี้

    ทั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดแก่ผู้เขียนในครั้งท่านอาจารย์มั่นมรณภาพลงไป ทำให้เข็ดหลาบกราบไหว้ ไม่อยากให้วงคณะปฏิบัติต้องประสบความทุกข์ทรมานดังที่เคยประสบมาแล้วทั้งที่ยังไม่มีหลักยึดพอจะพึ่งตัวเองได้ จึงได้พยายามเตือนหมู่คณะเสมอมา กลัวว่าจะนอนหลับทับสิทธิ์ที่ควรจะได้จะถึงจนเกินไป บทเวลาตะวันอัสดงคตแล้วจึงจะวิ่งหาที่พึ่งเพื่อหลบซ่อนผ่อนคลาย กลัวจะตายทั้งเป็นดังที่เคยเห็นมาแล้ว ไม่ประสงค์จะให้หมู่คณะพบเห็นด้วยอีก จึงรีบช่วยตักเตือนให้พากันรีบเร่งความเพียรเวลาเดือนยังสว่างไสว ใจยังกำลังเอางาน สังขารก็กำลังอำนวย แม้เจ้าตัวประสงค์ความร่ำรวยศีลธรรมตลอดมรรคผลนิพพานก็ยังพอทำได้ ไม่เป็นคนทุกข์ไร้เข็ญใจทั้งที่สมบัติมีอยู่เต็มโลกตลอดมา

    อัฐิท่านพระอาจารย์มั่นกลายเป็นพระธาตุ

    เมื่อต่างท่านที่ได้รับแจกอัฐิท่านอาจารย์ไปแล้ว ต่างก็เชิญไปไว้ในสถานที่ควรของตน ๆ เพื่อสักการบูชาแทนองค์ท่าน หลังจากนั้นเรื่องก็ค่อยเงียบหายไป เพราะต่างคนต่างพรากจากกันในคราวเป็นไปสู่ถิ่นฐานบ้านเรือนของตน จนกาลล่วงไปแล้ว ๔ ปี คุณวัน คมนามูล เจ้าของร้านศิริผลพานิชและโรงแรมสุทธิผล จังหวัดนครราชสีมา ไปถวายผ้าป่าจังหวัดสกลนคร ได้รับแจกอัฐิส่วนบนของท่านอาจารย์มั่นชิ้นหนึ่งจากเจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส ซึ่งเป็นวัดที่ท่านอาจารย์มั่นมรณภาพ กลับมาถึงบ้านได้เชิญอัฐิชิ้นนั้นรวมลงในผอบอันเดียวกันกับที่บรรจุอัฐิท่านอาจารย์อยู่แล้วแต่สมัยได้รับแจกมาจากงานศพท่าน

    พอเปิดผอบออกเท่านั้น สิ่งที่ไม่เคยคาดฝันก็ปรากฏขึ้นในผอบคือ อัฐิชุดแรกที่ได้รับแจกไปจากงานศพท่านได้กลายเป็นพระธาตุเสียหมด เจ้าของเกิดความอัศจรรย์จนตัวแทบลอย เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นจึงให้คนรีบไปดูอัฐิส่วนที่เก็บไว้โรงแรมสุทธิผลอีก ที่นั้นก็กลายเป็นพระธาตุเช่นกันอีก รวมทั้งสองแห่งจึงเป็นพระธาตุ ๓๔๔ องค์ ยังเหลือติดผอบอยู่บ้างเป็นผง ๆ เล็กน้อย ต่อมาไม่นานนัก จำนวนผงนั้นก็ได้กลายเป็นพระธาตุเสียจนหมดอีก จึงรวมเป็นพระธาตุจากอัฐิของท่านพระอาจารย์มั่น ๓๔๔ องค์ นี้เป็นรายแรกที่ปรากฏความอัศจรรย์จากอัฐิกลายเป็นพระธาตุ

    จากนั้นเรื่องก็เล่าลือไปทุกหนทุกแห่ง ผู้คนทราบถึงไหนก็มาขอพระธาตุกับคุณวันไปสักการบูชากันถึงนั่น คุณวันเองก็เป็นคนมีนิสัยใจบุญอยู่แล้ว จึงเห็นใจท่านที่มาขอและแจกกันไปคนละเล็กละน้อย คือคนละ ๑ องค์บ้าง ๒-๓ องค์บ้าง ผู้เขียน คุณวันก็ได้กรุณาให้ไปสองครั้ง ครั้งแรก ๕ องค์ ครั้งที่สอง ๒ องค์ รวมเป็น ๗ องค์ด้วยกัน พอได้มาแล้วก็โฆษณาใหญ่ว่าตัวได้ของดีมา ได้ของดีมา ปากไม่เป็นสุข เป็นสุขเฉพาะใจคือดีใจที่ได้อัฐิจากคุณวันมา

    สุดท้ายก็มาเสียเปรียบ (ต้องขออภัยเรียนอย่างตรงไปตรงมา) ผู้หญิงเรียบวุธไปเลย แต่ชอบกลที่ไม่มีเสียใจเลยทั้งที่รู้ว่าเสียเปรียบ จากนั้นปากก็เป็นสุข ไม่มีอะไรโฆษณาอีก คือพอได้ยินว่าได้ของดีมาใครก็ขอดู ซึ่งมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น ขณะนั้นคนนั้นก็ขอดู ก็หยิบให้ดู หยิบให้ดูจนหมดทุกองค์ พอดูเสร็จแล้วคนนั้นก็ขอเอาเลย คนนี้ก็ขอเอาเลย พร้อมกับห่อกันมุบมิบ แล้วทีนี้ใครจะกล้าขอคืนล่ะ ถ้าไม่อยากเสียเปรียบสองซ้อน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ที่มิได้มีพระธาตุท่านอาจารย์มั่นติดตัวมาจนบัดนี้ ทราบภายหลังว่า คุณวันเองก็แบ่งให้ท่านที่มาขอไปสักการบูชาแทบไม่มีเหลือแล้ว เลยไม่กล้าไปรบกวนอีก

    เท่าที่ทราบ อัฐิท่านอาจารย์มั่นกลายเป็นพระธาตุ ที่ร้านคุณวัน นครราชสีมา เป็นแห่งแรก หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ กลายเป็นพระธาตุเรื่อยไป ไม่ว่าที่ไหน ใครบูชาไว้ที่ไหนก็กลายเป็นพระธาตุขึ้นมาเป็นลำดับ จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นไปเรื่อย ๆ แต่เป็นกันอย่างมุบมิบซุบซิบเฉพาะครัวเรือน ไม่กล้าบอกให้ใครทราบ เกรงจะถูกขอ เพราะเป็นของหายากและคุณค่าสูงไม่มีประมาณ อาจพูดได้ว่าผู้ไม่มีนิสัยวาสนาเกี่ยวกับท่านก็ยากจะได้พระธาตุท่านมาไว้บูชา กรุณาดูแต่ผู้เขียนซึ่งได้มาแล้วยังไม่มีวาสนารักษาท่านไว้ได้ ต้องให้ท่านผู้อื่นไปรักษาแทนสบายไปเลย

    พระธาตุท่านอาจารย์มั่นยังเป็นที่น่าแปลกและอัศจรรย์อยู่หลายอย่าง คือพระธาตุ ๒ องค์ เจ้าของอธิษฐานขอให้เป็น ๓ องค์เพื่อให้ครบรัตนะ คือ พุทธ ธรรม สงฆ์ ก็กลายเป็น ๓ องค์ได้จริง ๆ ผู้มีอยู่ ๒ องค์อธิษฐานขอให้เป็น ๓ องค์ เช่นที่คนอื่นเขาเป็น แต่กลับรวมเป็นองค์เดียวก็มี เจ้าของเสียใจมาก มาเล่าให้ผู้เขียนฟังและขอคำชี้แจง
     
  11. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    ผู้เขียนได้อธิบายให้ทราบบ้างว่า พระธาตุท่านอาจารย์มั่นกลายเป็น ๓ องค์ก็ดี กลายเป็นองค์เดียวก็ดี หรือยังมิได้กลายเป็นพระธาตุเลยก็ดี ทั้งนี้ก็คืออัฐิธาตุที่ออกจากองค์ท่านอันเดียวกัน จึงไม่ควรเสียใจ การที่พระธาตุ ๒ องค์กลับมาเป็นองค์เดียวก็เป็นอภินิหารของท่านอยู่แล้ว เราจะหาความอัศจรรย์จากอะไรอีก แม้ผมท่านที่ปลงออกมีผู้เก็บไว้บูชาในที่ต่าง ๆ ก็กลายเป็นพระธาตุได้เช่นเดียวกับอัฐิซึ่งมีอยู่หลายแห่ง

    ที่เป็นดังนี้เข้าใจว่า อัฐิหรือผมท่านที่เก็บไว้นาน ๆ ไปอาจจะกลายเป็นพระธาตุไปตาม ๆ กัน ดังอัฐิท่านที่ค่อย ๆ กลายเป็นพระธาตุมาเป็นลำดับนี้แล แต่ทั้งอัฐิธาตุท่าน ทั้งพระธาตุท่าน แม้จะถูกเก็บรักษาไว้สักการบูชาอยู่กับท่านผู้ใด ก็ไม่มีใครบอกใครให้ทราบเลย มีแต่ปิดเงียบท่าเดียวเท่านั้น ทุกวันนี้ เพราะต่างคนต่างรักต่างคนต่างสงวน แต่ถ้าถูกถามรายที่อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุ เจ้าของก็จะบอกอย่างอาจหาญว่า อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุได้แน่นอนไม่สงสัย ถ้าถามต่อไปว่า คุณมีพระธาตุหรืออัฐิท่านอาจารย์มั่นบ้างหรือเปล่า? จะแสดงอาการยิ้มแล้วตอบเพียงว่า แม้มีก็นิดเดียวแจกให้ใครไม่ได้ อันเป็นเชิงกันท่าไว้ในตัวกลัวผู้อื่นจะขอ จึงทราบได้ยากเฉพาะทุกวันนี้ ว่าอัฐิหรือพระธาตุท่านมีอยู่กับท่านผู้ใดบ้าง แม้แต่พระหรือครูอาจารย์ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ ถามยังไม่อาจบอกตรง จึงน่าเห็นใจท่านที่มีความเคารพเลื่อมใสและรักสงวนท่านมาก

    ฉะนั้นท่านพระอาจารย์มั่นจึงเป็นพระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่ง ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และล่วงลับผ่านไปแล้ว เวลายังมีชีวิตอยู่ก็เป็นจุดยับยั้งผ่อนคลายความตึงเครียดแห่งจิตใจบรรดาศิษย์ทั้งพระและฆราวาสเป็นอย่างดีตลอดมา เราพอทราบได้ตามที่มีผู้มาเล่าให้ฟัง ขณะจิตคิดจะทำความชั่วบ้าง ขณะจิตกำลังลุกเป็นไฟเนื่องจากเหตุการณ์บางอย่างบังคับบ้าง ขณะเกิดความเคียดแค้นอย่างสุดขีด จะตัดสินใจฆ่าคนอยู่ในนาทีนั้นบ้าง พอระลึกถึงท่านอาจารย์มั่นขึ้นมาได้เท่านั้น เหตุการณ์ที่เป็นอยู่ภายในเหล่านั้น ราวกับน้ำดับไฟสงบลงทันทีทันใด และเห็นโทษแห่งความผิดของตัวขึ้นในขณะนั้น อยากก้มลงกราบองค์ท่านทันทีที่ระลึกได้ สิ่งที่คิดว่าจะทำนั้นเลยหายราวกะปลิดทิ้ง นี่เป็นฝ่ายฆราวาสเล่าให้ฟัง แม้ที่มิได้เล่าก็เข้าใจว่ายังมีอยู่มาก และสามารถแก้ความผิดของตัวได้ในลักษณะเดียวกัน ด้วยอำนาจความระลึกถึงท่านด้วยความเคารพเลื่อมใส

    ส่วนพระที่ได้รับความยับยั้งใจไปตามเพศของตน เพราะอำนาจความเชื่อความเลื่อมใสในท่านก็เข้าใจว่ามีจำนวนไม่น้อยเช่นเดียวกัน เท่าที่ท่านอบรมคนให้เป็นคนดีนั้นนับจำนวนไม่ถ้วน เริ่มแต่วันท่านอุปสมบทและสั่งสอนมาจนถึงวันมรณภาพ ถ้านับเวลาสั่งสอนผู้คนพระเณรก็ไม่ต่ำกว่า ๔๐ ปี ในระหว่าง ๑ ปีถึง ๔๐ ปีนั้น มีพระเณรและฆราวาสมารับการอบรมกับท่านมากเพียงไร เฉพาะพระที่มีหลักฐานมั่นคงทางด้านจิตใจและข้อปฏิบัติมีจำนวนมากมาย ท่านอาจารย์เหล่านี้จะเป็นครูอาจารย์สั่งสอนผู้คนพระเณรให้มีหลักยึดต่อไปในอนาคต ซึ่งสืบเนื่องมาจากท่านอาจารย์มั่นเป็นผู้ให้กำเนิดความรู้ทั้งภายในและภายนอกมาก่อน มิฉะนั้นก็หาทางเดินไม่ได้แม้ตัวเอง โดยไม่ต้องพูดถึงการสั่งสอนคนอื่นให้เป็นคนดีได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ การวางรากฐานจิตใจให้มั่นคงต่อเหตุผลอรรถธรรมความถูกต้องดีงามเป็นขั้น ๆ จึงเป็นงานชิ้นใหญ่และหนักมากกว่างานชิ้นใด ๆ ในโลกที่พวกเราเคยทำ และเคยบ่นกันว่ายาก ๆ เพราะงานนั้นเป็นเพียงสิ่งคล้อยตามจิตใจของผู้พาดำเนินเท่านั้น หลักใหญ่ของงานทุกแขนงและทุกชิ้นอย่างแท้จริงขึ้นอยู่กับใจทั้งสิ้น นอกจากนั้นยังเกี่ยวกับงานผิดถูกชั่วดีอีกว่าใครเป็นผู้บงการและพาดำเนินถ้าไม่ใช่ใจ ถ้าใจเป็นผู้ชี้ขาดและพาดำเนิน ใจได้รับการศึกษาอบรมพอทราบเรื่องของตัวเกี่ยวกับความผิดถูกชั่วดีอย่างไรบ้างเพียงไร จึงจะประคองตัวและงานนั้น ๆ ไปด้วยความราบรื่นชื่นใจ ตลอดความปลอดภัยอันเกิดจากผลงานที่ตนทำทุกอย่าง เมื่อกล่าวถึงจิตใจ บรรดาท่านที่เคยทราบความลึกซึ้งหนาบางของท่านอาจารย์มั่นมาบ้างแล้ว จะต้องกราบท่านอย่างสนิทใจ ระลึกไว้มิได้ลืม ทั้งเวลาท่านยังมีชีวิตอยู่และเวลาท่านจากไปแล้ว อดระลึกถึงความกตัญญูกตเวทีในท่านมิได้อย่างแน่นอน แม้ชีวิตจะขาดไปก็ยอมถวายไปเลย

    ท่านอาจารย์มั่นเป็นอาจารย์เอกทางด้านพัฒนาจิตใจคน อาจพูดได้ว่าเกือบทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ถูกจุดสำคัญของโลกด้วย เพราะใจที่ได้รับการพัฒนาด้วยอรรถด้วยธรรมด้วยดี ความเสียหายไม่ค่อยมี หรืออาจพูดได้อย่างเต็มปากว่า จิตที่ได้รับการพัฒนาเต็มที่แล้ว แน่ใจว่าความเสียหายไม่มี ทั้งงานและผลของงานก็เป็นที่แน่ใจ โลกที่ได้รับการพัฒนาจิตใจไปพร้อม ๆ กันด้วยดีย่อมเป็นโลกที่เจริญจริง ประชาชนมีความสงบสุข มิใช่เจริญแต่ด้านวัตถุอย่างเดียว แต่ใจร้อนเหมือนไฟ มีแต่การเบียดเบียนทำลายกัน เอารัดเอาเปรียบกัน ฉ้อโกงกัน เร็วยิ่งกว่าเจ้าบอนนี่ขึ้นโลกพระจันทร์ ซึ่งไม่ผิดอะไรกับความเจริญแห่งไฟในแดนนรก

    ถ้ายังไม่ทราบว่าแดนนรกมีความเจริญด้วยความรุ่มร้อนขนาดไหน ก็ควรดูโลกที่ปราศจากการพัฒนาจิตใจ ซึ่งมีแต่ความรุงรังไปด้วยสิ่งสกปรกที่ระบายออกจากท่อไอเสียคือใจ ความประพฤติการกระทำทุกด้านเป็นสิ่งขวางโลก ขวางธรรม ขวางหู ขวางตา ขวางใจไปหมด ไม่มีอะไรน่าดูน่าชมเลย เต็มไปด้วยสิ่งไม่พึงปรารถนา ฉะนั้นท่านผู้มีความฉลาดแหลมคม จึงนิยมการพัฒนาจิตใจก่อนพัฒนาสิ่งอื่นใด ซึ่งเป็นเพียงบริวารของใจเท่านั้น เมื่อพัฒนาใจดีแล้ว การระบายออกทางกายวาจา ความประพฤติ การกระทำตลอดทุกด้าน ย่อมกลายเป็นของสะอาดไปตามส่วนใหญ่คือใจ โลกย่อมมีความสงบสุขสมกับคนฉลาดด้วยจิตพัฒนาปกครองโลก ปกครองตน โดยทางเหตุผลอรรถธรรม

    ความฉลาดของมนุษย์ที่ปราศจากธรรมจะฉลาดเพียงไร ยังไม่ควรเป็นที่ไว้ใจและชมเชยโดยถ่ายเดียวได้ แม้จะฉลาดแสดงความสามารถขึ้นชมดวงดาว พระอาทิตย์ พระจันทร์บนฟ้าได้ก็ยังไม่ถือเป็นจุดสำคัญ ความฉลาดถ้ายังขืนระบายสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยออก เพื่อความเดือดร้อนแก่ตนและผู้อื่นอยู่ อย่างไม่สำนึกตัวว่าเป็นความผิด ความรู้ความฉลาดนั้นยังไม่อาจเลยภูมิของสัตว์เดียรัจฉานที่เคยเป็นอยู่ด้วยการเบียดเบียนและกัดฉีกกันกิน โดยถือว่าเป็นความฉลาดและเป็นความสุขของเขาซึ่งอยู่ในภูมินั้น ๆ

    ความฉลาดที่รับรองกันตามหลักเหตุผลที่ยังตนและโลกให้เจริญนั้น ไม่จำต้องออกใบประกาศนียบัตรให้โชว์ก็ได้ แต่การระบายออกทางใจและความประพฤติสิ่งกระทำอันเป็นไปเพื่อตนและโลกได้รับความสุขความเย็นใจด้วยนั้น ถือว่าเป็นผลงานที่ออกจากความฉลาดอย่างแท้จริง และเป็นประกาศนียบัตรอยู่ในตัวพร้อมแล้ว ไม่จำต้องหาใบประกาศมาบังหน้าและอวดโลกเพื่ออำนาจในทางผิดอย่างลึกลับ ซึ่งผลคือความเดือดร้อนของผู้ได้รับ มิได้เป็นของลับ ๆ ไปด้วย แต่เป็นความทุกข์ร้อนอยู่อย่างเปิดเผย ดังที่เห็น ๆ กันอยู่อย่างเต็มตา รู้อยู่อย่างเต็มใจ นอกจากไม่พูดกันเท่านั้น ทั้งนี้หากมิใช่โทษของการมองข้ามการพัฒนาภายในคือใจแล้ว ใครจะเชื่อกันได้ลงคอว่า การพัฒนาแต่ด้านวัตถุด้วยทั้งใจที่รกรุงรังด้วยสนิมคือกิเลส ความเห็นแก่ตัวและพวกพ้องของตัวทำให้โลกเจริญ ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขโดยทั่วกันดังนี้ นอกจากคนที่ตายหมดความรู้สึกดีชั่วทุกอย่างแล้วเท่านั้น จะไม่มีความขัดใจและคิดแย้งการกระทำดังที่ว่า

    เมื่อนำมาเทียบระหว่างผู้มีการพัฒนาทางใจกับผู้ไม่ได้พัฒนาทางใจเลย การงานและผลของงานต่างกันราวฟ้ากับดิน ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงชมเชยสมาธิสมาบัติเพื่อความเหาะเหินเดินอากาศดำดินดำน้ำ เหาะข้ามทะเลต่าง ๆ ว่าเป็นผู้ฉลาดเลื่องลือ แต่ทรงชมเชยผู้พยายามฝึกอบรมตนโดยวิธีต่าง ๆ เพื่อความดีงาม จะเป็นทางสมาธิสมาบัติหรือทางใดก็ตาม ด้วยความรอบคอบต่อการระบายออกทางความประพฤติการกระทำ มิให้เกิดโทษแก่ตนและผู้อื่นว่าเป็นผู้ฉลาด เพราะความน่าอยู่ของโลกทั่วไป ย่อมขึ้นอยู่กับความสุขใจเป็นหลักใหญ่ แม้ร่างกายและความเป็นอยู่ในด้านต่าง ๆ จะมีอดบ้างอิ่มบ้างตามคติธรรมดาของโลกอนิจฺจํ แต่ก็ยังน่าอยู่ เพราะผู้พาอยู่พาไปคือใจมีความสุขเท่าที่ควร ไม่แผดเผาเร่าร้อน จนทำให้คิดอยากย้ายภพย้ายชาติย้ายบ้านเรือนและสถานที่อยู่ต่าง ๆ
     
  12. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    เหตุที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุ

    ปัญหาเรื่องอัฐิท่านพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เสาร์ กลายเป็นพระธาตุ ปรากฏว่ากระจายไปในที่ต่าง ๆ จนทำให้เกิดความสงสัยกันก็มี ในระยะอัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุใหม่ ๆ บางท่านมาถามว่า อัฐิของพระอรหันต์ก็ดี ของสามัญชนก็ดี ต่างก็เป็นธาตุดินชนิดเดียวกัน ส่วนอัฐิของสามัญชนทำไมจึงกลายเป็นพระธาตุไม่ได้ เฉพาะอัฐิของพระอรหันต์ทำไมจึงกลายเป็นพระธาตุได้ ทั้งสองนี้มีความแปลกต่างกันอย่างไรบ้าง ก็ได้อธิบายให้ฟังเท่าที่สามารถแต่เพียงโดยย่อว่า

    เรื่องอัฐินั้น ปัญหาส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับใจเป็นสำคัญ คำว่าจิตแม้เป็นจิตเช่นเดียวกัน แต่มีอำนาจและคุณสมบัติต่างกันอยู่มาก คือจิตของพระอรหันต์ท่านเป็นอริยจิต เป็นจิตที่บริสุทธิ์ ส่วนจิตของสามัญชนเป็นเพียงสามัญจิต เป็นจิตที่มีกิเลสโสมมต่าง ๆ

    เมื่อจิตผู้เป็นเจ้าของเข้าครองอยู่ในร่างใด และจิตเป็นจิตประเภทใด ร่างนั้นอาจกลายไปตามสภาพของจิตผู้เป็นใหญ่พาให้เป็นไป เช่น จิตพระอรหันต์เป็นจิตที่บริสุทธิ์ อาจมีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุที่บริสุทธิ์ไปตามส่วนของตน อัฐิท่านจึงกลายเป็นพระธาตุได้ แต่อัฐิของสามัญชนทั่ว ๆ ไป แม้จะเป็นธาตุดินเช่นเดียวกัน แต่จิตผู้เป็นเจ้าของเต็มไปด้วยกิเลส และไม่มีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นของบริสุทธิ์ได้ อัฐิจึงกลายเป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ไปไม่ได้ จำต้องเป็นสามัญธาตุไปตามจิตของคนมีกิเลสอยู่โดยดี หรือจะเรียกไปตามภูมิของจิตภูมิของธาตุว่า อริยจิต อริยเหตุ และสามัญจิต สามัญธาตุก็คงไม่ผิด เพราะคุณสมบัติของจิตของธาตุระหว่างพระอรหันต์กับสามัญชนต่างกัน อัฐิจำต้องต่างกันอยู่โดยดี ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมานั้น ทุกองค์เวลานิพพานแล้วอัฐิต้องกลายเป็นพระธาตุด้วยกันทั้งสิ้นดังนี้

    ข้อนี้ผู้เขียนยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปได้อย่างนั้นทุก ๆ องค์ เฉพาะจิตท่านที่สำเร็จพระอรหัตภูมิเป็นจิตที่บริสุทธิ์เต็มภูมินับแต่ขณะที่สำเร็จ ส่วนร่างกายที่เกี่ยวโยงไปถึงอัฐิเวลาถูกเผาแล้วจะกลายเป็นพระธาตุได้เช่นเดียวกันทุกองค์หรือไม่ ยังเป็นปัญหาอยู่บ้าง

    ระหว่างกาลเวลาที่บรรลุ ถึงวันท่านนิพพาน มีเวลาสั้นยาวต่างกัน องค์ที่บรรลุแล้วมีเวลาทรงขันธ์อยู่นาน เวลานิพพานแล้วอัฐิย่อมมีทางกลายเป็นพระธาตุได้โดยไม่มีปัญหา เพราะระยะเวลาที่ทรงขันธ์อยู่ จิตที่บริสุทธิ์ก็ย่อมทรงขันธ์เช่นเดียวกับความสืบต่อแห่งชีวิตด้วยการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย มีลมหายใจ เป็นต้น และมีการเข้าสมาบัติประจำอิริยาบถ ซึ่งเป็นการซักฟอกธาตุขันธ์ให้บริสุทธิ์ไปตามส่วนของตนโดยลำดับด้วยในขณะเดียวกัน เวลานิพพานแล้วอัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุดังที่เห็น ๆ กันอยู่

    ส่วนองค์ที่บรรลุแล้วมิได้ทรงขันธ์อยู่นานเท่าที่ควร แล้วนิพพานไปเสียนั้น อัฐิท่านจะกลายเป็นพระธาตุได้เหมือนพระอรหันต์ทั้งหลายที่มีโอกาสอยู่นานหรือไม่ เป็นความไม่สนิทใจ เพราะจิตไม่มีเวลาอยู่กับธาตุขันธ์นาน และมิได้ซักฟอกด้วยสมาธิสมาบัติดังกล่าวมา

    ท่านที่เป็น ทันธาภิญญา คือรู้ได้ช้าค่อยเป็นค่อยไป เช่นบำเพ็ญไปถึงขั้นอนาคามีผลแล้วติดอยู่นานจนกว่าจะก้าวขึ้นขั้นอรหัตภูมิได้ คือต้องพิจารณาท่องเที่ยวไปมาอยู่ในระหว่างอรหัตมรรคกับอรหัตผลจนกว่าจิตจะชำนิชำนาญและมีกำลังเต็มที่จึงผ่านไปได้ ในขณะที่กำลังพิจารณาอยู่ในขั้นอรหัตมรรคเพื่ออรหัตผล ก็เป็นอุบายวิธีซักฟอกธาตุขันธ์ในตัวด้วย เวลานิพพานแล้วอัฐิอาจกลายเป็นพระธาตุได้

    ส่วนท่านที่เป็น ขิปปาภิญญา คือรู้ได้เร็วและนิพพานไปเร็วหลังจากบรรลุแล้ว ท่านเหล่านี้ไม่แน่ใจว่าอัฐิจะกลายเป็นพระธาตุได้หรือประการใด เพราะจิตที่บริสุทธิ์ไม่มีเวลาทรงและซักฟอกธาตุขันธ์อยู่นานเท่าที่ควร ส่วนสามัญจิตของสามัญชนทั่ว ๆ ไปนั้น ไม่อยู่ในข่ายที่อัฐิจะควรแปรเป็นพระธาตุได้ด้วยกรณีใด ๆ จึงขอกล่าวเท่าที่กล่าวผ่านมาแล้ว
     
  13. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    เหตุที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุ

    ปัญหาเรื่องอัฐิท่านพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เสาร์ กลายเป็นพระธาตุ ปรากฏว่ากระจายไปในที่ต่าง ๆ จนทำให้เกิดความสงสัยกันก็มี ในระยะอัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุใหม่ ๆ บางท่านมาถามว่า อัฐิของพระอรหันต์ก็ดี ของสามัญชนก็ดี ต่างก็เป็นธาตุดินชนิดเดียวกัน ส่วนอัฐิของสามัญชนทำไมจึงกลายเป็นพระธาตุไม่ได้ เฉพาะอัฐิของพระอรหันต์ทำไมจึงกลายเป็นพระธาตุได้ ทั้งสองนี้มีความแปลกต่างกันอย่างไรบ้าง ก็ได้อธิบายให้ฟังเท่าที่สามารถแต่เพียงโดยย่อว่า

    เรื่องอัฐินั้น ปัญหาส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับใจเป็นสำคัญ คำว่าจิตแม้เป็นจิตเช่นเดียวกัน แต่มีอำนาจและคุณสมบัติต่างกันอยู่มาก คือจิตของพระอรหันต์ท่านเป็นอริยจิต เป็นจิตที่บริสุทธิ์ ส่วนจิตของสามัญชนเป็นเพียงสามัญจิต เป็นจิตที่มีกิเลสโสมมต่าง ๆ

    เมื่อจิตผู้เป็นเจ้าของเข้าครองอยู่ในร่างใด และจิตเป็นจิตประเภทใด ร่างนั้นอาจกลายไปตามสภาพของจิตผู้เป็นใหญ่พาให้เป็นไป เช่น จิตพระอรหันต์เป็นจิตที่บริสุทธิ์ อาจมีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุที่บริสุทธิ์ไปตามส่วนของตน อัฐิท่านจึงกลายเป็นพระธาตุได้ แต่อัฐิของสามัญชนทั่ว ๆ ไป แม้จะเป็นธาตุดินเช่นเดียวกัน แต่จิตผู้เป็นเจ้าของเต็มไปด้วยกิเลส และไม่มีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นของบริสุทธิ์ได้ อัฐิจึงกลายเป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ไปไม่ได้ จำต้องเป็นสามัญธาตุไปตามจิตของคนมีกิเลสอยู่โดยดี หรือจะเรียกไปตามภูมิของจิตภูมิของธาตุว่า อริยจิต อริยเหตุ และสามัญจิต สามัญธาตุก็คงไม่ผิด เพราะคุณสมบัติของจิตของธาตุระหว่างพระอรหันต์กับสามัญชนต่างกัน อัฐิจำต้องต่างกันอยู่โดยดี ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมานั้น ทุกองค์เวลานิพพานแล้วอัฐิต้องกลายเป็นพระธาตุด้วยกันทั้งสิ้นดังนี้

    ข้อนี้ผู้เขียนยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปได้อย่างนั้นทุก ๆ องค์ เฉพาะจิตท่านที่สำเร็จพระอรหัตภูมิเป็นจิตที่บริสุทธิ์เต็มภูมินับแต่ขณะที่สำเร็จ ส่วนร่างกายที่เกี่ยวโยงไปถึงอัฐิเวลาถูกเผาแล้วจะกลายเป็นพระธาตุได้เช่นเดียวกันทุกองค์หรือไม่ ยังเป็นปัญหาอยู่บ้าง

    ระหว่างกาลเวลาที่บรรลุ ถึงวันท่านนิพพาน มีเวลาสั้นยาวต่างกัน องค์ที่บรรลุแล้วมีเวลาทรงขันธ์อยู่นาน เวลานิพพานแล้วอัฐิย่อมมีทางกลายเป็นพระธาตุได้โดยไม่มีปัญหา เพราะระยะเวลาที่ทรงขันธ์อยู่ จิตที่บริสุทธิ์ก็ย่อมทรงขันธ์เช่นเดียวกับความสืบต่อแห่งชีวิตด้วยการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย มีลมหายใจ เป็นต้น และมีการเข้าสมาบัติประจำอิริยาบถ ซึ่งเป็นการซักฟอกธาตุขันธ์ให้บริสุทธิ์ไปตามส่วนของตนโดยลำดับด้วยในขณะเดียวกัน เวลานิพพานแล้วอัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุดังที่เห็น ๆ กันอยู่

    ส่วนองค์ที่บรรลุแล้วมิได้ทรงขันธ์อยู่นานเท่าที่ควร แล้วนิพพานไปเสียนั้น อัฐิท่านจะกลายเป็นพระธาตุได้เหมือนพระอรหันต์ทั้งหลายที่มีโอกาสอยู่นานหรือไม่ เป็นความไม่สนิทใจ เพราะจิตไม่มีเวลาอยู่กับธาตุขันธ์นาน และมิได้ซักฟอกด้วยสมาธิสมาบัติดังกล่าวมา

    ท่านที่เป็น ทันธาภิญญา คือรู้ได้ช้าค่อยเป็นค่อยไป เช่นบำเพ็ญไปถึงขั้นอนาคามีผลแล้วติดอยู่นานจนกว่าจะก้าวขึ้นขั้นอรหัตภูมิได้ คือต้องพิจารณาท่องเที่ยวไปมาอยู่ในระหว่างอรหัตมรรคกับอรหัตผลจนกว่าจิตจะชำนิชำนาญและมีกำลังเต็มที่จึงผ่านไปได้ ในขณะที่กำลังพิจารณาอยู่ในขั้นอรหัตมรรคเพื่ออรหัตผล ก็เป็นอุบายวิธีซักฟอกธาตุขันธ์ในตัวด้วย เวลานิพพานแล้วอัฐิอาจกลายเป็นพระธาตุได้

    ส่วนท่านที่เป็น ขิปปาภิญญา คือรู้ได้เร็วและนิพพานไปเร็วหลังจากบรรลุแล้ว ท่านเหล่านี้ไม่แน่ใจว่าอัฐิจะกลายเป็นพระธาตุได้หรือประการใด เพราะจิตที่บริสุทธิ์ไม่มีเวลาทรงและซักฟอกธาตุขันธ์อยู่นานเท่าที่ควร ส่วนสามัญจิตของสามัญชนทั่ว ๆ ไปนั้น ไม่อยู่ในข่ายที่อัฐิจะควรแปรเป็นพระธาตุได้ด้วยกรณีใด ๆ จึงขอกล่าวเท่าที่กล่าวผ่านมาแล้ว
     
  14. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    อัศจรรย์แห่งพระธาตุท่านพระอาจารย์มั่น

    เฉพาะองค์ท่านพระอาจารย์มั่น นอกจากอัฐิกลายเป็นพระธาตุให้เห็นอย่างประจักษ์แล้ว พระธาตุยังแสดงความอัศจรรย์ให้เห็นหลายอย่าง ดังที่เขียนผ่านมาบ้างแล้วว่า ผู้มีพระธาตุสององค์อธิษฐานขอให้เป็นสามองค์ ก็เป็นสามองค์ได้ ผู้มีสององค์อธิษฐานขอให้เป็นสามองค์ แต่กลับเป็นองค์เดียวก็ได้ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้เลย แต่ได้เป็นไปเสียแล้ว

    ผู้ได้มาสององค์จากท่านผู้มีเมตตาจิตมอบให้ พอตกเย็นมาเปิดดูกลับเป็นสามองค์ก็ได้ รายนี้เป็นความแปลก เพราะชั่วระยะเวลาเช้าไปถึงเย็นเท่านั้นก็มาเพิ่มได้

    ท่านผู้นี้เป็นข้าราชการผู้ใหญ่มีศรัทธาในองค์ท่านพระอาจารย์มั่นมาก และเป็นผู้ให้ความสะดวกตลอดการช่วยเหลือต่าง ๆ แทบทุกกรณีที่เกี่ยวกับงานท่านพระอาจารย์มั่น นับแต่วันแรกที่ท่านไปถึงวัดสุทธาวาสจนตลอดงาน พระผู้ใหญ่เห็นใจและสงสารมาก เมื่อคุณวัน นครราชสีมา ถวายพระธาตุท่านอาจารย์มั่นมา ท่านจึงมอบให้ข้าราชการผู้นี้ตอนเช้า พอได้รับพระธาตุจากท่านแล้ว ขณะนั้นไม่มีกล่องหรือผอบจะใส่ มีแต่ขวดยานัตถุ์เปล่าติดกระเป๋าเสื้อ จึงได้เอาใส่พระธาตุไปพลาง ขณะเชิญพระธาตุเข้ากระเป๋าเสื้อก็ปิดกระดุมเสื้อด้วยดี ขวดก็ปิดฝาด้วยดี กลัวพระธาตุจะสูญหายไปเสีย

    นับแต่ขณะที่ได้พระธาตุจากมือพระผู้ใหญ่แล้ว ปรากฏว่าใจมีความปีติยินดีเป็นล้นพ้น ลุกจากที่นั้นก็ไปทำงานเลยทีเดียว และเกิดความอิ่มเอิบตื้นตันใจตลอดวัน ประหนึ่งจิตมิได้คิดเหินห่างจากพระธาตุที่ได้รับมานั้นเลยทั้งวัน

    พอเลิกจากงานไปถึงบ้านก็โฆษณาใหญ่ว่าตนได้ของประเสริฐมา ในชีวิตไม่เคยมี คนในบ้านต่างก็มารุมดู จากนั้นก็เอาผอบมาใส่พระธาตุทันที พอเปิดฝาขวดออกเชิญพระธาตุท่านอาจารย์มั่นออกมา โดยไม่คาดฝันว่าจะพบความอัศจรรย์ที่แสดงออกมาจากพระธาตุท่าน คือพอเชิญพระธาตุออกจากขวดก็ได้เห็นกลายเป็นสามองค์ในขณะนั้น ยิ่งเพิ่มความอัศจรรย์ในองค์ท่านและเกิดความปีติในพระธาตุยิ่งขึ้น แทบจะเหาะลอยไปทั้งตัว พร้อมกับประกาศความอัศจรรย์ของท่านอาจารย์มั่นว่าเป็นองค์พระอรหันต์ให้ภรรยาและลูก ๆ ฟังในขณะนั้น อย่างไม่คิดว่าใครจะหาว่าเป็นบ้าเป็นบออะไรเลย

    ภรรยาและลูก ๆ ยังไม่แน่ใจ เกรงว่าที่รับพระธาตุมาจะจำจำนวนผิดไป

    ฝ่ายสามีก็เถียงใหญ่แบบไม่ยอมฟังเสียงใครเลยว่า พระธาตุสององค์ที่ท่านเจ้าคุณ….ให้มาเมื่อเช้านี้จำไม่ผิดแน่ เพราะขณะรับจากท่านก็รับด้วยความสนใจและเลื่อมใสอย่างบอกไม่ถูก แม้อยู่ที่ทำงานก็มิได้ลืมพระธาตุตลอดวันว่าได้พระธาตุมาสององค์ ได้พระธาตุมาสององค์ จนกลายเป็นคำบริกรรมเหมือนคนภาวนาแล้วจะให้หลงลืมได้อย่างไร ถ้าใคร ๆ ยังไม่ลงใจว่าเป็นความจริง พรุ่งนี้เช้าเราจะไปเรียนถามท่านเจ้าคุณท่านใหม่ เห็นจริงกันพรุ่งนี้เอง

    ฝ่ายคนในบ้านไม่ยอม อยากรู้ในวันนี้เดี๋ยวนี้ ขอให้ไปเรียนถามท่านเดี๋ยวนี้ ตกลงต้องไปเดี๋ยวนั้นและเรียนถามว่า ที่ท่านเมตตาให้พระธาตุกระผมเมื่อเช้านี้กี่องค์

    ท่านตอบว่าให้สององค์ ทำไมถามอย่างนั้น พระธาตุหายหรือ

    ข้าราชการผู้นั้นตอบด้วยความตื้นตันใจว่า พระธาตุมิได้หายแต่กลับได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง รวมเป็นสามองค์ด้วยกัน ที่กระผมเรียนถามก็เพราะเวลาไปถึงบ้านแล้ว เปิดฝาขวดออกดู เพื่อจะเชิญพระธาตุเข้าในผอบ แทนที่จะมีสององค์ตามที่เข้าใจ แต่กลับมีสามองค์ เลยทำให้กระผมเกิดความดีใจจนตัวสั่น รีบบอกกับลูกเมีย แต่ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นความจริงเลย เกรงว่าผมอาจจำผิดก็ได้ เลยเคี่ยวเข็ญให้กระผมมาเรียนถามท่านอีกครั้ง จึงได้มาตามคำเขาแล้วก็เป็นความจริง ยิ่งทำให้กระผมดีใจเสียใหญ่

    ว่าอย่างไร? เชื่อหรือยังทีนี้? นี่เป็นคำพูดกับภรรยาที่มาด้วย

    ภรรยายิ้มแล้วพูดว่า ก็เกรงจะจำผิดและหาเรื่องไปโกหกกันเล่นก็ต้องพูดอย่างนั้น เป็นความจริงดังที่ว่าก็ต้องเชื่อ ใครจะฝืนความจริงเพื่อประโยชน์อะไร

    ท่านเจ้าคุณก็ยิ้มและเล่าตามความจริงให้ภรรยาฟัง ว่า

    อาตมาได้ให้คุณ….. สององค์จริงเมื่อเช้านี้ เพราะเห็นว่าเป็นผู้มีคุณต่อท่านอาจารย์มั่นมาก ตลอดพระสงฆ์ เรื่อยมาแต่วันท่านมรณภาพจนเสร็จงาน อาตมายังจำไม่ลืม เมื่อได้พระธาตุท่านอาจารย์มั่นมาจากคุณวัน คมนามูล ร้าน ศิริผลพานิช นครราชสีมา ก็เลยสงวนไว้ เพื่อนำมามอบให้เป็นที่ระลึก ซึ่งเป็นของหายากในสมัยปัจจุบัน เพิ่งจะพบอัฐิกลายเป็นพระธาตุเฉพาะของท่านอาจารย์มั่นเพียงองค์เดียว นอกนั้นก็ได้ยินแต่ตำราท่านบอกไว้ ยังไม่เห็นตัวจริงประจักษ์ตา

    บัดนี้ได้เห็นเป็นพยานหลักฐานอย่างแท้จริงเสียแล้ว กรุณารักษาไว้ในที่สมควร เดี๋ยวท่านหายไปก็ยิ่งลำบากมากกว่าเป็นความสุขใจในเวลาท่านมาเพิ่มให้เป็นไหน ๆ จะว่าอาตมาไม่บอก เพราะพระธาตุท่านอาจารย์มั่นเป็นของอัศจรรย์มาก ยิ่งท่านมาได้ง่าย ๆ อย่างนี้ บทเวลาท่านไปเพราะความเคารพเราไม่พอยิ่งไปได้ง่าย กรุณาเชิญท่านไว้ที่สูง เคารพบูชาท่านทุกเช้าเย็น ท่านอาจบันดาลความเป็นสิริมงคลเกินคาดให้เวลาใดก็ได้

    อาตมาเชื่อท่านร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เป็นพระผู้บริสุทธิ์มานานแล้ว แต่ไม่กล้าบอกใครได้ง่าย ๆ กลัวเขาจะหาว่าเป็นบ้า เพราะคนเรามีนิสัยเชื่อในสิ่งที่ดีได้ยาก แต่เชื่อในสิ่งไม่ดีได้ง่าย จึงหาคนดีได้ยาก หาคนชั่วได้ง่าย แม้ในตัวเราเอง ถ้าสังเกตดูก็พอทราบได้ว่า ใจชอบคิดในทางชั่วมากกว่าทางดีเป็นประจำนิสัย

    พอท่านแนะจบลง ท่านข้าราชการกับภรรยาก็กราบนมัสการลาท่านกลับ ด้วยความชื่นบานหรรษาอย่างบอกไม่ถูกทั้งสองคน

    นี่แลพระธาตุท่านพระอาจารย์มั่นเป็นความแปลกและอัศจรรย์ดังที่นำมาลง เพื่อท่านผู้อ่านได้พิจารณาหามูลเหตุแห่งความอัศจรรย์ของพระธาตุดังกล่าวนี้ต่อไป ส่วนการค้นหาหลักฐานและเหตุผลมาพิสูจน์ดังที่โลกใช้กันนั้น รู้สึกจะพิสูจน์ได้ยาก อาจมองไม่เห็นร่องรอยเลยก็ได้สำหรับเรื่องทำนองนี้ เพราะสุดวิสัยสำหรับพวกเราที่มีกิเลสจะตามรู้ได้ เพียงแต่ธาตุดินที่อยู่ในส่วนร่างกายท่านผู้บริสุทธิ์กับอยู่ในตัวเรา ก็แสดงให้เห็นเป็นของแปลกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ว่าอัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุได้อย่างประจักษ์ตา ส่วนร่างกายของพวกเราที่มีกิเลส แม้มีจำนวนล้าน ๆ คน ไม่มีรายใดสามารถเป็นไปได้อย่างท่าน จึงควรเรียกได้ว่า ท่านเป็นบุคคลที่แปลกต่างจากมนุษย์ทั้งหลายอยู่มากจนเทียบกันไม่ได้ ยิ่งใจที่บริสุทธิ์ด้วยแล้วยิ่งเพิ่มความประเสริฐและอัศจรรย์จนไม่มีนิมิตเครื่องหมายใด ๆ มาเทียบได้เลย เป็นจิตที่โลกทั้งหลายควรเคารพบูชาจริง ๆ จึงต้องยอมบูชากัน

    ตามปกติโลกผู้มีความหยิ่งในชาติของตนประจำนิสัย ไม่ค่อยยอมลงกับใครหรืออะไรได้อย่างง่าย ๆ แต่เมื่อหาทางคัดค้านไม่ได้ก็จำต้องยอม เพราะอยากเป็นคนดี เมื่อเห็นของดีแล้วไม่ยอมรับก็รู้สึกจะโง่เกินไป ไม่สมภูมิเป็นมนุษย์ ดังท่านอาจารย์มั่นเป็นต้นในสมัยปัจจุบัน บรรดาพระเณรเถรชีที่เข้าไปถึงองค์ท่านจริง ๆ และได้รับคำแนะนำสั่งสอนจากท่านจนเป็นที่เข้าใจแล้ว เท่าที่สังเกตมา ยังไม่เคยเห็นรายใดจะดื้อด้านหาญสู้ท่านด้วยทิฐิมานะ ไม่ยอมลงกับความจริงที่สั่งสอนเลย เห็นแต่ยอมรับแบบเอาชีวิตเข้าแลกได้โดยไม่อาลัยเสียดายเลย

    ถ้าเทียบความจริงที่ท่านแสดงออกมาจากความบริสุทธิ์ ที่รู้จริงเห็นจริงในธรรมทุกขั้นแต่ละบทละบาทนั้น มีความถูกต้องตายตัวอย่างที่ค้านไม่ได้ เช่นเดียวกับผู้บวก ลบ คูณ หาร ด้วยความรู้สึกที่ถูกต้องเชี่ยวชาญนั่นเอง เช่น หนึ่งบวกกับหนึ่งต้องเป็นสอง สองบวกสองต้องเป็นสี่ เป็นต้น จะบวกลบคูณหารทวีขึ้นไปสูงเท่าไร ก็มีแต่ความถูกต้องแม่นยำตามหลักวิชา ไม่มีผิดพลาดคลาดเคลื่อน จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่บวกลบคูณหาร เมื่อถูกต้องตามหลักแล้วก็ไม่มีใครคัดค้านได้ว่าผิดวิสัย

    ผู้ที่มาคัดค้านหลักที่ถูกต้องแล้ว แม้มีจำนวนมากคนเพียงไร ก็เท่ากับมาประกาศขายความโง่ไม่เป็นท่าของตนให้ความจริงหัวเราะเปล่า ๆ ฉะนั้นกฎความถูกต้องจึงไม่นิยมว่า ควรมีอยู่ในเด็กหรือผู้ใหญ่ หญิง ชาย หรือชาติ ชั้น วรรณะใด ๆ ทั้งสิ้น ย่อมเป็นที่ยอมรับกันอย่างหาที่ค้านไม่ได้ หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าและสาวกผู้รู้ถึงมูลความจริงโดยตลอดทั่วถึงแล้ว ย่อมสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มภูมิ โดยไม่มีความสะทกสะท้านหวั่นไหวใด ๆ ทั้งสิ้น
     
  15. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    ท่านอาจารย์มั่นเป็นผู้ทรงความรู้จริงเห็นจริงเต็มภูมินิสัยวาสนาท่านผู้หนึ่ง ดังนั้นบรรดาความรู้ที่เกี่ยวกับภายในภายนอกที่ท่านรู้เห็นอย่างประจักษ์ใจ จึงสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มภูมิ โดยไม่สนใจว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะตำหนิหรือชมเชยใด ๆ เลย ภูมิธรรมภายใน นับแต่ศีล สมาธิ ปัญญาทุกขั้น ตลอดถึงวิมุตติพระนิพพาน ท่านแสดงออกมาอย่างอาจหาญและเปิดเผย ตามแต่ผู้ฟังจะยึดได้น้อยมากเท่าที่กำลังความสามารถจะอำนวย ธรรมภายนอกเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่มีประมาณ เช่น เทวบุตร เทวธิดา อินทร์ พรหม ภูตผีชนิดต่าง ๆ ท่านก็แสดงอย่างองอาจกล้าหาญ สุดแต่ผู้ฟังจะพิจารณาตามได้หรือไม่เพียงไร ผู้มีนิสัยไปในแนวเดียวกับท่าน ย่อมได้รับความเพิ่มพูนส่งเสริม หรือต่อเติมความรู้ที่มีอยู่แล้วให้กว้างขวางและแม่นยำมากขึ้น ทำให้รู้วิธีปฏิบัติต่อวิชาแขนงนั้น ๆ ดียิ่งขึ้น และปฏิบัติต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้สะดวกและทันท่วงที

    ให้พระลูกศิษย์รับแขกเทวดาแทน

    ลูกศิษย์ท่านบางองค์พอเป็นพยานท่านได้บ้างในบางกรณี เกี่ยวกับเหตุการณ์ภายนอก แม้ไม่แตกฉานเหมือนท่าน จะขอยกตัวอย่างพอเป็นหลักพิจารณา เช่น

    บางคืนท่านต้อนรับแขกเทวดาหลายพวกจนดึก ไม่ได้พักผ่อน รู้สึกเหนื่อยมากต้องการพักผ่อนร่างกายบ้าง แขกเทพฯ พวกหนึ่งพากันมาขอฟังธรรมท่านอีกตอนดึก ๆ ท่านจำต้องบอกว่าคืนนี้เหนื่อยมากแล้ว เพราะรับแขกเทพฯ มาสองสามพวกแล้วจะขอพักผ่อน ขอเชิญพากันไปฟังธรรมท่านองค์นั้น พอท่านบอกแล้วพวกเทพฯ ก็พากันไปหาพระองค์นั้น และบอกกับท่านตามที่ท่านอาจารย์สั่งมา ท่านก็แสดงธรรมให้ฟังพอสมควรแล้วพากันกลับ

    พอตื่นเช้าพระองค์นั้นก็มาเรียนถามท่านอาจารย์ว่า

    คืนนี้พวกเทวดาไปหากระผม โดยบอกว่าก่อนจะมาหาท่านที่นี่ก็ได้พากันไปหาท่านอาจารย์ขอฟังธรรมท่าน แต่ท่านบอกว่าท่านรับแขกหลายพวกแล้วรู้สึกเหนื่อยมากจะขอพักผ่อน ขอให้พากันไปฟังธรรมท่านองค์นั้น จึงได้พากันมาหาท่านดังนี้ ข้อที่พวกเทวดาพูดอย่างนั้นเป็นความจริงประการใด หรือเขามาโกหกหาอุบายฟังเทศน์กระผมต่างหาก กระผมไม่แน่ใจ จึงได้มาเรียนถามท่านอาจารย์อีกครั้งหนึ่งดังนี้

    ท่านอาจารย์ตอบว่า

    ก็ผมรับแขกตั้งสองสามพวกเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว พอพวกหลังมา ผมก็ได้บอกเขามาหาท่านจริง ๆ ดังที่เขาอ้างนั่นแล

    พวกเทวดาไม่โกหกพระหรอก ไม่เหมือนมนุษย์ที่แสนปลิ้นปล้อนหลอกลวงไว้ใจไม่ค่อยได้ เขาว่าจะมาต้องมา และว่าจะมาเวลาเท่าไรต้องมาเวลาเท่านั้น ผมเคยสมาคมกับพวกเทพฯ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างมานานแล้ว ไม่เคยเห็นเขาพูดโกหกหลอกลวงเลย เขามีสัตย์มีศีลยิ่งกว่ามนุษย์หลายเท่า ความสัตย์เขาถือกันมาก เป็นชีวิตจิตใจจริง ๆ ไปทำเคลื่อนให้เขาเห็นไม่ได้ เขาตำหนิเอามากมาย ถ้าแก้ไม่มีเหตุผลความจริงเขาไม่ยอมนับถือเอาเลย ผมเคยถูกเขาตำหนิเอาบ้างเหมือนกัน แต่เรามิได้มีเจตนาจะโกหกเขา เป็นแต่เวลาเข้าสมาธิเพลินไปในบางครั้งซึ่งเลยภูมิรับแขก กว่าจะถอนจิตขึ้นมาเขามารออยู่นานแล้ว เมื่อถูกเขาต่อว่า เราก็บอกตามเหตุผลว่าเราพักจิตมิได้ถอนขึ้นมาตามเวลา ซึ่งเขาก็ยอมรับ

    บางครั้งผมก็ว่าให้เขาเหมือนกันว่าพระเพียงองค์เดียว ส่วนเทวดาเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ตลอดรุกขเทวดา ซึ่งมาจากที่ต่าง ๆ ต่างก็มุ่งมาหาแต่พระองค์เดียว ใครจะไปชนะต้อนรับได้ทุกหมู่ทุกพวกและตรงตามเวล่ำเวลาเอาเสียทุกครั้ง บางทีสุขภาพไม่ค่อยดียังต้องทนรับแขก ซึ่งมีความลำบากมากเพียงไร ควรเห็นใจบ้าง บางทีกำลังเข้าพักในสมาธิอย่างเพลิน ๆ ก็ต้องถอนออกมารับแขก เคลื่อนเวลาบ้างเล็กน้อยก็คอยแต่จะตำหนิติเตียนกัน ถ้าเป็นเช่นนี้เดี๋ยวจะอยู่คนเดียวให้สบาย ไม่ต้องต้อนรับใครให้เสียเวลาและเหนื่อยเปล่าจะว่าอย่างไร

    เมื่อถูกเราว่า ดังนั้น เขายอมรับสารภาพและขอโทษทันที ถ้าเป็นพวกที่เคยมาและรู้เรื่องของเราดีแล้ว แม้จะเคลื่อนคลาดไปบ้างไม่ตรงตามเวลา เขาก็ไม่ถือสาหาโทษกับเราเอาง่าย ๆ นัก นอกจากพวกที่ไม่เคยมาอาจมีอยู่บ้าง เพราะเขาถือสัตย์มากตามนิสัยของพวกเทพฯ ทั้งหลาย ไม่ว่าเบื้องบนเบื้องล่าง ตลอดรุกขเทวดาเหมือนกันหมด

    บางครั้งเขาก็กลัวเป็นบาปเหมือนกันที่ได้ทราบว่า เรากำลังเข้าพักในสมาธิ ต้องถอนออกมาต้อนรับเขา ซึ่งพอดีถูกเขาว่าให้เราว่าไม่รักษาสัตย์ บางครั้งเราก็ว่าให้เขาหนักบ้างเหมือนกัน ว่า

    เรารักษาสัตย์ยิ่งกว่าชีวิต อย่าว่าแต่เพียงยิ่งกว่าเทวดาเลย แต่ที่ไม่ได้ออกมาตามเวลาเพราะความจำเป็นในธรรม ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าการรักษาสัตย์เพื่อเทวดาเป็นไหน ๆ เทวดาทั้งหลายในขั้นต่าง ๆ บนสวรรค์และพรหมโลกทุกชั้น แม้จะมีกายทิพย์อันละเอียดกว่ากายอาตมาที่เป็นมนุษย์ก็ตาม แต่ธรรมและจิตตลอดความสัตย์ที่อาตมารักษาอยู่เป็นประจำ มีความละเอียดสุขุมยิ่งกว่ากายกว่าจิตและกว่าความสัตย์ของเทวดา อินทร์ พรหมเป็นร้อยเท่าพันทวี แต่มิใช่ฐานะที่อาตมาจะมาพูดพล่าม ๆ แบบคนไม่มีสติอยู่กับตัว ที่พูดขณะนี้ก็เพื่อท่านทั้งหลายได้ทราบและระลึกกันเสียบ้างว่า ธรรมที่อาตมารักษาอยู่มีความสำคัญเพียงไร จะได้ไม่พากันคิดอะไร ๆ ตำหนิออกมาเอาง่าย ๆ โดยไม่พิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน

    พอแสดงความจริงที่จำเป็นต่อหน้าที่ของเราให้เขาทราบ ต่างพากันเห็นโทษกลัวเป็นบาปกันมากมายและพากันขอขมาโทษ เราก็บอกว่าเรามิได้ถือโทษอะไรกับใคร ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าสัตว์ มนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม นาค ครุฑที่มีอยู่ทั่วไตรโลกธาตุ เราถือธรรมที่เต็มไปด้วยความเมตตา สงสารโลก ปราศจากความริษยาเบียดเบียนใด ๆ ทั้งมวล อิริยาบถทั้งสี่เราอยู่ด้วยธรรมคือความบริสุทธิ์ใจล้วน ๆ พวกเทวดาทั้งหลายมีเพียงเจตนาที่เป็นกุศลและคำสัตย์เท่านั้น ยังไม่เป็นของอัศจรรย์เท่าที่ควรจะชมเชย ส่วนพระพุทธเจ้าและสาวกท่านมีทั้งความสัตย์ที่บริสุทธิ์ ธรรมที่บริสุทธิ์ และพระทัยที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ โดยไม่มีสัตว์โลกแม้รายหนึ่งจะสามารถล่วงรู้ได้ ว่าเป็นธรรมชาติที่ประเสริฐและอัศจรรย์เพียงไร

    ความสัตย์ที่เทวดาทั้งหลายยึดถือกันอยู่ประจำนิสัยนั้น เป็นเพียงความสัตย์ที่อยู่ในข่ายแห่งสมมุติ ซึ่งใคร ๆ ก็พอทราบและรักษากันได้ ไม่สุดวิสัย ส่วนความสัตย์ ธรรม พระทัยและใจที่บริสุทธิ์ อันเป็นสมบัติของพระองค์และพระสาวกโดยเฉพาะนั้น ไม่มีใครสามารถรู้และรักษาได้ ถ้ายังไม่ก้าวเข้าถึงภูมินั้นก่อน ส่วนอาตมาจะมีภูมิความสัตย์ชั้นวิมุตติธรรมเพียงไรหรือไม่นั้น ไม่ใช่ฐานะที่มาอวดอ้างกัน แต่โปรดทราบเพียงว่า ศีลสัตย์ที่เทวดารักษากันอยู่เวลานี้ มิใช่ศีลสัตย์ที่วิเศษเหมือนของพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน
     
  16. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    ท่านอาจารย์มั่นเป็นผู้ทรงความรู้จริงเห็นจริงเต็มภูมินิสัยวาสนาท่านผู้หนึ่ง ดังนั้นบรรดาความรู้ที่เกี่ยวกับภายในภายนอกที่ท่านรู้เห็นอย่างประจักษ์ใจ จึงสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มภูมิ โดยไม่สนใจว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะตำหนิหรือชมเชยใด ๆ เลย ภูมิธรรมภายใน นับแต่ศีล สมาธิ ปัญญาทุกขั้น ตลอดถึงวิมุตติพระนิพพาน ท่านแสดงออกมาอย่างอาจหาญและเปิดเผย ตามแต่ผู้ฟังจะยึดได้น้อยมากเท่าที่กำลังความสามารถจะอำนวย ธรรมภายนอกเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่มีประมาณ เช่น เทวบุตร เทวธิดา อินทร์ พรหม ภูตผีชนิดต่าง ๆ ท่านก็แสดงอย่างองอาจกล้าหาญ สุดแต่ผู้ฟังจะพิจารณาตามได้หรือไม่เพียงไร ผู้มีนิสัยไปในแนวเดียวกับท่าน ย่อมได้รับความเพิ่มพูนส่งเสริม หรือต่อเติมความรู้ที่มีอยู่แล้วให้กว้างขวางและแม่นยำมากขึ้น ทำให้รู้วิธีปฏิบัติต่อวิชาแขนงนั้น ๆ ดียิ่งขึ้น และปฏิบัติต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้สะดวกและทันท่วงที

    ให้พระลูกศิษย์รับแขกเทวดาแทน

    ลูกศิษย์ท่านบางองค์พอเป็นพยานท่านได้บ้างในบางกรณี เกี่ยวกับเหตุการณ์ภายนอก แม้ไม่แตกฉานเหมือนท่าน จะขอยกตัวอย่างพอเป็นหลักพิจารณา เช่น

    บางคืนท่านต้อนรับแขกเทวดาหลายพวกจนดึก ไม่ได้พักผ่อน รู้สึกเหนื่อยมากต้องการพักผ่อนร่างกายบ้าง แขกเทพฯ พวกหนึ่งพากันมาขอฟังธรรมท่านอีกตอนดึก ๆ ท่านจำต้องบอกว่าคืนนี้เหนื่อยมากแล้ว เพราะรับแขกเทพฯ มาสองสามพวกแล้วจะขอพักผ่อน ขอเชิญพากันไปฟังธรรมท่านองค์นั้น พอท่านบอกแล้วพวกเทพฯ ก็พากันไปหาพระองค์นั้น และบอกกับท่านตามที่ท่านอาจารย์สั่งมา ท่านก็แสดงธรรมให้ฟังพอสมควรแล้วพากันกลับ

    พอตื่นเช้าพระองค์นั้นก็มาเรียนถามท่านอาจารย์ว่า

    คืนนี้พวกเทวดาไปหากระผม โดยบอกว่าก่อนจะมาหาท่านที่นี่ก็ได้พากันไปหาท่านอาจารย์ขอฟังธรรมท่าน แต่ท่านบอกว่าท่านรับแขกหลายพวกแล้วรู้สึกเหนื่อยมากจะขอพักผ่อน ขอให้พากันไปฟังธรรมท่านองค์นั้น จึงได้พากันมาหาท่านดังนี้ ข้อที่พวกเทวดาพูดอย่างนั้นเป็นความจริงประการใด หรือเขามาโกหกหาอุบายฟังเทศน์กระผมต่างหาก กระผมไม่แน่ใจ จึงได้มาเรียนถามท่านอาจารย์อีกครั้งหนึ่งดังนี้

    ท่านอาจารย์ตอบว่า

    ก็ผมรับแขกตั้งสองสามพวกเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว พอพวกหลังมา ผมก็ได้บอกเขามาหาท่านจริง ๆ ดังที่เขาอ้างนั่นแล

    พวกเทวดาไม่โกหกพระหรอก ไม่เหมือนมนุษย์ที่แสนปลิ้นปล้อนหลอกลวงไว้ใจไม่ค่อยได้ เขาว่าจะมาต้องมา และว่าจะมาเวลาเท่าไรต้องมาเวลาเท่านั้น ผมเคยสมาคมกับพวกเทพฯ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างมานานแล้ว ไม่เคยเห็นเขาพูดโกหกหลอกลวงเลย เขามีสัตย์มีศีลยิ่งกว่ามนุษย์หลายเท่า ความสัตย์เขาถือกันมาก เป็นชีวิตจิตใจจริง ๆ ไปทำเคลื่อนให้เขาเห็นไม่ได้ เขาตำหนิเอามากมาย ถ้าแก้ไม่มีเหตุผลความจริงเขาไม่ยอมนับถือเอาเลย ผมเคยถูกเขาตำหนิเอาบ้างเหมือนกัน แต่เรามิได้มีเจตนาจะโกหกเขา เป็นแต่เวลาเข้าสมาธิเพลินไปในบางครั้งซึ่งเลยภูมิรับแขก กว่าจะถอนจิตขึ้นมาเขามารออยู่นานแล้ว เมื่อถูกเขาต่อว่า เราก็บอกตามเหตุผลว่าเราพักจิตมิได้ถอนขึ้นมาตามเวลา ซึ่งเขาก็ยอมรับ

    บางครั้งผมก็ว่าให้เขาเหมือนกันว่าพระเพียงองค์เดียว ส่วนเทวดาเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ตลอดรุกขเทวดา ซึ่งมาจากที่ต่าง ๆ ต่างก็มุ่งมาหาแต่พระองค์เดียว ใครจะไปชนะต้อนรับได้ทุกหมู่ทุกพวกและตรงตามเวล่ำเวลาเอาเสียทุกครั้ง บางทีสุขภาพไม่ค่อยดียังต้องทนรับแขก ซึ่งมีความลำบากมากเพียงไร ควรเห็นใจบ้าง บางทีกำลังเข้าพักในสมาธิอย่างเพลิน ๆ ก็ต้องถอนออกมารับแขก เคลื่อนเวลาบ้างเล็กน้อยก็คอยแต่จะตำหนิติเตียนกัน ถ้าเป็นเช่นนี้เดี๋ยวจะอยู่คนเดียวให้สบาย ไม่ต้องต้อนรับใครให้เสียเวลาและเหนื่อยเปล่าจะว่าอย่างไร

    เมื่อถูกเราว่า ดังนั้น เขายอมรับสารภาพและขอโทษทันที ถ้าเป็นพวกที่เคยมาและรู้เรื่องของเราดีแล้ว แม้จะเคลื่อนคลาดไปบ้างไม่ตรงตามเวลา เขาก็ไม่ถือสาหาโทษกับเราเอาง่าย ๆ นัก นอกจากพวกที่ไม่เคยมาอาจมีอยู่บ้าง เพราะเขาถือสัตย์มากตามนิสัยของพวกเทพฯ ทั้งหลาย ไม่ว่าเบื้องบนเบื้องล่าง ตลอดรุกขเทวดาเหมือนกันหมด

    บางครั้งเขาก็กลัวเป็นบาปเหมือนกันที่ได้ทราบว่า เรากำลังเข้าพักในสมาธิ ต้องถอนออกมาต้อนรับเขา ซึ่งพอดีถูกเขาว่าให้เราว่าไม่รักษาสัตย์ บางครั้งเราก็ว่าให้เขาหนักบ้างเหมือนกัน ว่า

    เรารักษาสัตย์ยิ่งกว่าชีวิต อย่าว่าแต่เพียงยิ่งกว่าเทวดาเลย แต่ที่ไม่ได้ออกมาตามเวลาเพราะความจำเป็นในธรรม ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าการรักษาสัตย์เพื่อเทวดาเป็นไหน ๆ เทวดาทั้งหลายในขั้นต่าง ๆ บนสวรรค์และพรหมโลกทุกชั้น แม้จะมีกายทิพย์อันละเอียดกว่ากายอาตมาที่เป็นมนุษย์ก็ตาม แต่ธรรมและจิตตลอดความสัตย์ที่อาตมารักษาอยู่เป็นประจำ มีความละเอียดสุขุมยิ่งกว่ากายกว่าจิตและกว่าความสัตย์ของเทวดา อินทร์ พรหมเป็นร้อยเท่าพันทวี แต่มิใช่ฐานะที่อาตมาจะมาพูดพล่าม ๆ แบบคนไม่มีสติอยู่กับตัว ที่พูดขณะนี้ก็เพื่อท่านทั้งหลายได้ทราบและระลึกกันเสียบ้างว่า ธรรมที่อาตมารักษาอยู่มีความสำคัญเพียงไร จะได้ไม่พากันคิดอะไร ๆ ตำหนิออกมาเอาง่าย ๆ โดยไม่พิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน

    พอแสดงความจริงที่จำเป็นต่อหน้าที่ของเราให้เขาทราบ ต่างพากันเห็นโทษกลัวเป็นบาปกันมากมายและพากันขอขมาโทษ เราก็บอกว่าเรามิได้ถือโทษอะไรกับใคร ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าสัตว์ มนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม นาค ครุฑที่มีอยู่ทั่วไตรโลกธาตุ เราถือธรรมที่เต็มไปด้วยความเมตตา สงสารโลก ปราศจากความริษยาเบียดเบียนใด ๆ ทั้งมวล อิริยาบถทั้งสี่เราอยู่ด้วยธรรมคือความบริสุทธิ์ใจล้วน ๆ พวกเทวดาทั้งหลายมีเพียงเจตนาที่เป็นกุศลและคำสัตย์เท่านั้น ยังไม่เป็นของอัศจรรย์เท่าที่ควรจะชมเชย ส่วนพระพุทธเจ้าและสาวกท่านมีทั้งความสัตย์ที่บริสุทธิ์ ธรรมที่บริสุทธิ์ และพระทัยที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ โดยไม่มีสัตว์โลกแม้รายหนึ่งจะสามารถล่วงรู้ได้ ว่าเป็นธรรมชาติที่ประเสริฐและอัศจรรย์เพียงไร

    ความสัตย์ที่เทวดาทั้งหลายยึดถือกันอยู่ประจำนิสัยนั้น เป็นเพียงความสัตย์ที่อยู่ในข่ายแห่งสมมุติ ซึ่งใคร ๆ ก็พอทราบและรักษากันได้ ไม่สุดวิสัย ส่วนความสัตย์ ธรรม พระทัยและใจที่บริสุทธิ์ อันเป็นสมบัติของพระองค์และพระสาวกโดยเฉพาะนั้น ไม่มีใครสามารถรู้และรักษาได้ ถ้ายังไม่ก้าวเข้าถึงภูมินั้นก่อน ส่วนอาตมาจะมีภูมิความสัตย์ชั้นวิมุตติธรรมเพียงไรหรือไม่นั้น ไม่ใช่ฐานะที่มาอวดอ้างกัน แต่โปรดทราบเพียงว่า ศีลสัตย์ที่เทวดารักษากันอยู่เวลานี้ มิใช่ศีลสัตย์ที่วิเศษเหมือนของพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน
     
  17. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    ท่านว่าให้พวกเทวดาขนาดนี้ ถ้าเป็นมนุษย์เราน่ากลัวจะเกิดความอับอายหรืออะไร ๆ ก็ยากจะเดาได้ แต่ทราบว่าเทวดาทั้งหลายยินดีฟังธรรมท่านด้วยความสนใจจดจ่อ และเห็นโทษของตนที่ได้ล่วงเกินท่านด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จากนั้นต่างทำความระมัดระวังด้วยจิตใจยินดีเป็นอย่างยิ่ง มิได้คิดถือโกรธถือโทษในท่านเลยแม้แต่น้อย ท่านว่าน่าชมเชยเป็นอย่างยิ่งสมกับเขาเป็นสัตว์ชั้นสูงจริง ๆ ดังนี้

    ที่ยกตัวอย่างมาเพียงย่อ ๆ นี้พอเป็นแนวแห่งความคิดเกี่ยวกับสิ่งลึกลับที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ ถ้ามีผู้รู้เห็นด้วย สิ่งนั้น ๆ ก็มิได้ลึกลับเสมอไป เช่นเดียวกับธรรมาภิสมัย ถ้าทรงรู้ได้เฉพาะพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวก็ราวกับเป็นธรรมลึกลับ ต่อเมื่อสาวกรู้ตามเห็นตามได้ ธรรมนั้นก็หมดความลึกลับ แม้สิ่งลึกลับดังกล่าวก็เช่นเดียวกัน ผู้ที่เห็นจำนวนมากน้อยเหล่านั้นไม่ถือเป็นของลึกลับ แต่ผู้ที่ยังไม่รู้ไม่เห็นจำนวนเท่าไร ก็ยังเป็นของลึกลับสำหรับคนจำนวนนั้น สิ่งลึกลับทางภายในที่เคยเด่นในครั้งพุทธกาล มีพระพุทธเจ้าและสาวกเป็นผู้ได้เห็นได้ชม และสิ่งลึกลับทางภายนอกก็มีพระพุทธเจ้าและสาวก ผู้มีนิสัยในทางนั้นได้เห็นได้ชมเท่านั้น มิได้สาธารณะแก่ผู้ที่ยังไม่รู้ไม่เห็น ส่วนคนในครั้งพุทธกาลที่ไม่สามารถอาจรู้เห็นได้ อย่างมากก็เพียงได้ยินคำบอกเล่า แล้วนำมาพิจารณาพอให้เกิดผลเป็นความเชื่อตาม และเกิดความสุขใจทั้งที่ตนยังไม่ได้รู้เห็นและพอให้เกิดผล ไม่เชื่อว่ามีว่าเป็นได้ กลายเป็นความขัดข้องแก่ตัวอยู่เพียงเท่านั้น คงไม่มีส่วนตามพระพุทธเจ้า และสาวกท่านผู้ได้ชมอย่างเต็มพระทัยและเต็มใจ

    แม้สมัยนี้ก็คงเป็นทำนองเดียวกัน สิ่งลึกลับทั้งภายในภายนอกจะเปิดเผยขึ้นมาได้เฉพาะที่ควรแก่วิสัยเท่านั้น ผู้ไม่สามารถก็คงได้ยินแต่คำบอกเล่า แม้จะเชื่อตามหรือจะไม่เชื่อ ตลอดการคัดค้าน ก็คงไม่มีเหตุผลมายืนยันเหมือนด้านวัตถุ ผู้เขียนก็นับเข้าในจำนวนผู้คิดอยากจะคัดค้าน แต่ไม่มีเหตุผลเพียงพอเฉย ๆ จึงยอมหมกตัวนิ่งอยู่ และเขียนประวัติท่านอาจารย์มั่นด้วยความบอกเล่าจากท่าน และจากบรรดาครูบาอาจารย์ที่เคยอยู่กับท่านมาในยุคนั้น ๆ แบบเถรตรง ไม่มีความแยบคายภายในตัวบ้างเลย แต่ความเชื่อเลื่อมใสในองค์ท่านอาจารย์มั่นนั้นยอมรับว่า มีมากเต็มหัวใจ

    ถ้ามีท่านผู้เคารพเชื่อถือได้มาพูดอะไรเป็นความจริงตามที่พูดมาบอกว่า ให้ท่านตายแทนท่านอาจารย์มั่นเสีย แล้วจะอาราธนานิมนต์ท่านอาจารย์มั่นที่มรณภาพไปแล้วกลับมาสั่งสอนโลก ซึ่งจะเกิดประโยชน์แก่โลกอย่างมากมาย อย่างท่านนี้อยู่ไปทำไม ทำประโยชน์แก่โลกก็ไม่ได้ เพราะความโง่เขลาตัวเดียวนี่เองที่เด่นที่สุดสำหรับท่าน ท่านจะยินดีตายเพื่อเปลี่ยนท่านอาจารย์มั่นกลับมาสั่งสอนโลกไหม เพียงเท่านี้ ผู้เขียนจะถามเอาความจริงทันทีว่า ท่านอาจารย์มั่นจะฟื้นกลับมาถ้าผมตายแทนท่านแล้วจริงหรือ ถ้าท่านผู้นั้นตอบเป็นความจริงว่าจริง เท่านี้ จะรับทันที และรีบให้จัดการเพื่อตายในเดี๋ยวนั้น โดยไม่ต้องขอรอเวลาแม้วินาทีหนึ่งเลย

    เพราะคิดหนักใจกับความโง่ของตนอยู่มากตลอดมา แม้ไม่มีใครมาบอกให้ตายแทนท่านอาจารย์มั่น ทั้งรู้สึกเสียใจขณะที่เขียนประวัติท่านว่าตนโง่มาก แม้ท่านเมตตาเล่าอะไรให้ฟังทุกแง่ทุกมุมก็จำไม่ได้เท่าที่ควร ปล่อยให้หลุดหายไปเสียมากต่อมาก เพราะภาชนะรับไม่ดี ที่ได้มาเขียนบ้างนี้ต้องขออภัย ถ้าเทียบกับสัตว์ก็คงเป็นชนิดสัตว์เลี้ยงที่ไล่ไม่ยอมหนีนั่นแล จึงยังตกค้างอยู่ในความจำพอได้มาลงให้ท่านผู้อ่านคันฟันไปด้วย เพราะอ่านไม่ถึงใจ

    ความลึกลับดังกล่าวมา ในสมัยปัจจุบันก็มีท่านอาจารย์มั่นเป็นผู้รื้อฟื้นขึ้นมาพอเป็นขวัญใจบ้าง สำหรับผู้ได้ยินจากท่านเมตตาทั้งภายในและภายนอก แต่ผู้รู้ตามท่านบ้างในความลี้ลับทั้งสองนี้รู้สึกมีน้อยมาก แทบไม่มี ประหนึ่งท่านปฏิบัติเพื่อความตาดีใจสว่าง เราปฏิบัติเพื่อความตาบอดใจมืด จึงไม่ยอมรู้เห็นอย่างท่านบ้าง พอได้เขียนแทรกลงในประวัติท่านแม้ไม่มาก นี้เป็นความจนใจของผู้เขียนเอง มิได้สนใจบรรดาความรู้ความเห็นต่าง ๆ ที่ท่านแสดงให้ฟังอย่างฉะฉาน เท่าที่สังเกตดูลูกศิษย์ที่พอรู้เห็นตามท่านได้บ้าง ทั้งภายในภายนอก ไม่ปรากฏว่ามีรายใดคัดค้านท่านเลย แต่กลับเป็นพยานแก่กันและกันในสิ่งที่ตนรู้เห็นและสิ่งที่ท่านรู้เห็นเป็นอย่างดีอีกด้วย พอแสดงให้ผู้ไม่รู้ไม่เห็นมีเงื่อนพิจารณาว่าอาจมีมูลความจริง ในสิ่งที่ตนไม่รู้ไม่เห็นนั้น ๆ ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม และทรงรู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นพระองค์แรก แล้วมีพระสาวกรู้เห็นตามและกลายเป็นพยานของกันและกัน ฉะนั้นเรื่องที่ท่านอาจารย์มั่นรู้เห็นทั้งภายในภายนอกในสมัยปัจจุบัน ก็มิได้เป็นของลี้ลับเสมอไป เมื่อยังมีผู้รู้เห็นตามท่านได้อยู่ แม้ไม่มากราย

    แก้ปัญหาให้อุบาสิกาไม่ต้องไปเกิดในท้องหลานสาว

    ยังมีเรื่องลี้ลับอีกเรื่องหนึ่งซึ่งน่าพิจารณาและน่าสงสัยอยู่มาก ในสมาคมแห่งบุคคลผู้ชอบเป็นคนนักสงสัยเช่นพวกเรา คือ

    เมื่อท่านพักอยู่วัดบ้านหนองผือ นาใน มีอุบาสิกานุ่งขาวห่มขาวคนหนึ่งซึ่งมีความเคารพเลื่อมใสท่านมาก มาเล่าเรื่องของตัวเองถวายท่านว่า ขณะแกนั่งภาวนาตลอดกลางคืนยามดึกสงัด พอจิตรวมสงบลงสนิทไม่แสดงกิริยาใด ๆ ปรากฏแต่ความสงบนิ่งอยู่เฉพาะในเวลานั้น ทำให้แกเห็นกระแสจิตอันละเอียดยิ่งออกจากดวงจิตเป็นสายใยยาวเหยียด ออกนอกกายนอกใจไปสู่ภายนอก แกเกิดความสงสัย จึงตามดูว่ากระแสจิตนี้มันขโมยส่งออกไปแต่เมื่อไร ส่งไปเกี่ยวข้องกับอะไรและส่งไปเพื่ออะไร พอแกตามกระแสจิตอันละเอียดนั้นไป ก็ทราบชัดในขณะนั้นว่า กระแสจิตแกเริ่มไปจับจองที่เกิดเอาไว้ในท้องหลานสาวคนหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกัน ทั้งที่ตัวแกยังไม่ตาย

    พอทราบเช่นนั้นก็เกิดความตกใจ เลยต้องย้อนจิตกลับคืนมาที่เดิม และถอนจิตออกจากสมาธิ แกใจไม่ดีเลยนับแต่ขณะนั้นมา และในระยะเดียวกัน หลานสาวคนนั้นก็เริ่มตั้งครรภ์มาได้หนึ่งเดือนแล้วเช่นกัน พอตื่นเช้าวันหลังแกรีบออกมาวัด เล่าเรื่องนั้นถวายท่านอาจารย์ฟังดังที่กล่าวมา ขณะนั้นผู้เขียนกับพระเณรหลายท่านก็นั่งฟังอยู่ด้วย ต่างองค์ต่างงงไปตาม ๆ กัน ขณะที่ได้ฟังแกเล่าเรื่องแปลก ๆ ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เฉพาะผู้เขียนสนใจอยากทราบเรื่องนี้เป็นพิเศษอยู่อย่างกระหาย ว่าท่านอาจารย์ท่านจะอธิบายไปในแง่ใดบ้างให้หญิงแก่คนนั้นฟัง ขณะนั้นทุกคนนั่งนิ่งเงียบราวกับไม่หายใจ นัยน์ตาต่างชำเลืองดูท่านอาจารย์ด้วยความกระหายอยากฟังในเดี๋ยวนั้น ๆ

    ท่านอาจารย์เองนั่งหลับตานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งราว ๒ นาที แล้วจึงอธิบายธรรมให้แก่โยมแก่คนนั้นฟังว่า

    “เมื่อจิตรวมสงบลง คราวต่อไปให้โยมตรวจดูกระแสจิตด้วยดี ถ้าเห็นกระแสนั้นส่งออกไปภายนอกดังที่โยมว่านั้น ให้กำหนดจิตตัดกระแสนั้นให้ขาดด้วยปัญญา ถ้ากำหนดตัดขาดด้วยปัญญาจริง ๆ ต่อไปกระแสนั้นจะไม่ปรากฏ แต่โยมต้องกำหนดดูกระแสจิตนั้นด้วยดีและกำหนดตัดให้ขาดด้วยปัญญาจริง ๆ อย่าทำเพียงสักแต่ว่าทำเท่านั้น เดี๋ยวเวลาตายโยมจะไปเกิดในท้องหลานสาวนะจะหาว่าอาตมาไม่บอก นี่คือคำบอกของอาตมา จงจำให้ดี ถ้าโยมกำหนดตัดกระแสจิตนั้นไม่ขาด เวลาโยมตายต้องไปเกิดในท้องหลานสาวแน่ ๆ ไม่สงสัย”

    พอแกได้รับคำแนะนำจากท่าน แล้วก็กลับบ้าน ราวสองวันแกกลับมาหาท่านอีกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมาก แม้คนไม่มีญาณ ยังทราบได้จากสีหน้าของแกที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า สมประสงค์แล้ว พอแกนั่งลงเท่านั้น ท่านอาจารย์ก็ถามเป็นเชิงเล่นบ้าง จริงบ้างทันทีว่า

    “เป็นอย่างไร ห้ามอยู่หรือเปล่า ที่จะไปเกิดกับหลานสาวทั้งที่ตัวยังไม่ตายน่ะ”

    แกเรียนตอบท่านทันทีเลยว่า “โยมตัดขาดแล้วคืนแรก คือพอจิตรวมสงบลงสนิทแล้วกำหนดดู ก็เห็นเด่นชัดดังที่เคยเห็นมาแล้ว โยมก็กำหนดตัดด้วยปัญญาดังหลวงพ่อบอกจนขาดกระเด็นไปเลย คืนนี้โยมกำหนดดูอีกอย่างละเอียดเพื่อความแน่ใจ วานนี้จึงยังไม่ออกมา ไม่ปรากฏว่ามีอีก หายเงียบไปเลย วันนี้อยู่ไม่ได้ต้องออกมาเล่าถวายหลวงพ่อฟัง”

    ท่านเริ่มประโยคแรกว่า
     
  18. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    นี่แลความละเอียดของจิต จะทราบได้จากการภาวนาเท่านั้น วิธีอื่นไม่มีทางทราบได้ โยมเกือบเสียตัวให้กิเลสตัวนี้จับไสไปเกิดในท้องหลานสาวแบบไม่รู้สึกตัว แต่ยังดีภาวนารู้เรื่องของมันเสียก่อน แล้วรีบแก้ไขกันทันเหตุการณ์

    ฝ่ายผู้หญิงคนนั้น พอทางนี้ตัดกระแสจิตขาดจากความสืบต่อก็แท้งในระยะเดียวกัน

    อยู่มาไม่นานนักปัญหาเกี่ยวกับการไปเกิดทั้งที่เจ้าของยังไม่ตาย และปัญหาเกี่ยวกับการแท้งบุตรก็เกิดขึ้นในวงคณะสงฆ์ด้วยกัน เพราะคนอื่นไม่มีใครทราบ ตัวยายแก่ก็ไม่เคยบอกเรื่องแกให้ใครทราบ แกมาเล่าถวายเฉพาะท่านอาจารย์องค์เดียว แต่พระหลายองค์ซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยก็พลอยได้ทราบเรื่องของแกอย่างละเอียดทุกแขนงไป ฉะนั้นปัญหานี้จึงเกิดขึ้นในวัดหนองผือ โดยพระสงฆ์นำปัญหาทั้งสองข้อนี้เรียนถามท่านอาจารย์

    ในปัญหาแรกว่า คนยังไม่ตายทำไมจึงเริ่มไปเกิดในท้องเขาแล้ว

    ท่านตอบว่า ก็เพียงเริ่มนี่นา ยังมิได้ไปเกิด แม้กิจอื่น ๆ ก็ยังมีทางเริ่มได้ทั้งที่ยังไม่ลงมือทำ นี่แกก็เพียงเริ่มจะไปเกิดเท่านั้น แต่ยังมิได้ไปเกิด จึงยังไม่เป็นปัญหาและอุปสรรคแก่คำว่าคนยังไม่ตาย แต่ไปเกิดแล้ว ถ้าแกรู้ไม่ทันก็มีหวังไปตั้งบ้านเรือนคือเกิดในท้องหลานสาวแน่ ๆ

    ปัญหาที่สองว่า การตัดกระแสจิตที่กำลังสืบเนื่องเกี่ยวโยงกันระหว่างยายแก่กับหญิงคนนั้น ไม่เป็นการทำลายชีวิตมนุษย์หรืออย่างไร

    ท่านตอบว่า จะทำลายอะไรก็เพียงตัดกระแสจิตเท่านั้น มิได้ตัดหัวคนที่เกิดเป็นตนเป็นตัวแล้ว จิตแท้ยังอยู่กับยายแก่ ส่วนกระแสจิตแกส่งไปยึดไว้ที่หลานสาว พอแกรู้ก็รีบแก้ไขคือตัดกระแสจิตของตนเสีย มิให้ไปเกี่ยวข้องอีกต่อไป เรื่องก็ยุติกันไปเท่านั้น

    ที่สำคัญก็ตอนที่ยายแก่มาเล่าถวายท่านว่า กระแสจิตตนขโมยไปจับจองเอาท้องหลานสาวเป็นที่เกิดโดยเจ้าตัวไม่รู้ ท่านอาจารย์เองก็มิได้คัดค้านว่าที่รู้อย่างนั้นไม่จริง ไม่ถูก ควรพิจารณาเสียใหม่ แต่กลับตอบไปตามร่องรอยที่ยายแก่รู้เห็น จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่มาก

    เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วก็มีสาเหตุที่พาให้จิตส่งไปเกี่ยวเกาะกับหลานสาวได้ คือยายแก่เล่าว่า แกรักหลานสาวคนนี้มากเสมอมา มีเมตตาห่วงใยและติดต่อเกี่ยวข้องกับหลานสาวคนนี้เสมอ แต่มิได้คิดว่าจะมีสิ่งลึกลับคอยแอบขโมยไปก่อเหตุเช่นนั้นขึ้นมา ถึงกับจะต้องไปเกิดเป็นลูกเขาอีก ถ้าไม่ได้หลวงพ่อช่วยวิธีแก้ไขก็คงไม่พ้นไปเกิดในท้องหลานสาวแน่นอน

    ท่านอาจารย์มั่นว่า

    จิตนี้พิสดาร เกินกว่าความรู้ความสามารถของคนธรรมดาจะตามรู้ตามรักษาได้ โดยมิให้เป็นภัยแก่ตัวผู้เป็นเจ้าของ ดังที่ยายแก่พูดไม่มีผิด ถ้าแกไม่มีหลักใจทางสมาธิภาวนาอยู่บ้าง แกไม่มีทางรู้วิถีทางเดินของใจได้เลย ทั้งเวลาเป็นอยู่และเวลาตายไป ฉะนั้นการทำสมาธิภาวนา จึงเป็นวิธีปฏิบัติต่อใจได้ดีและถูกทาง ยิ่งเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อด้วยแล้ว สติปัญญายิ่งมีความสำคัญมากในการตามรู้และรักษาจิต ตลอดการต้านทานทุกขเวทนาไม่ให้มาทับจิตในเวลาจวนตัว ซึ่งเป็นเวลาเอาแพ้เอาชนะกันจริง ๆ

    ถ้าพลาดท่าขณะนั้นก็เท่ากับพลาดไปอย่างน้อยภพหนึ่งชาติหนึ่ง เช่น ไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดใดก็ต้องเสียเวลานานเท่าชีวิตของสัตว์ในภพภูมินั้น ๆ ขณะที่เสียเวลายังต้องเสวยกรรมในกำเนิดนั้นไปด้วย ถ้าจิตดีมีสติพอประคองตัวได้ อย่างน้อยก็มาเกิดเป็นมนุษย์ มากกว่านั้นก็ไปเกิดในเทวสถาน ชมวิมานและเสวยทิพย์สมบัติอยู่นานปีถึงจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เวลามาเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ลืมศีลธรรมที่ตนเคยบำเพ็ญรักษามาแต่บุพเพชาติ ทำให้เพิ่มอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารขึ้นโดยลำดับ จนจิตมีกำลังแก่กล้าสามารถรักษาตัวได้ การตายก็เป็นเพียงการเปลี่ยนร่างจากต่ำขึ้นไปสูง จากสั้นไปหายาว จากหยาบไปหาละเอียด จากวัฏจักรไปเป็นวิวัฏจักร ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่านเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนเครื่องเสวยมาเป็นลำดับ สุดท้ายก็หมดสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอะไรต่อไปอีก เพราะจิตที่ได้รับการอบรมไปทุกภพทุกชาติจนฉลาดเหนือสิ่งใด ๆ กลายเป็นนิพพานสมบัติขึ้นมาอย่างสมพระทัยและสมใจ ซึ่งล้วนไปจากการฝึกฝนอบรมจิตให้ดีไปโดยลำดับทั้งสิ้น

    ด้วยเหตุนี้นักปราชญ์ทั้งหลายจึงไม่ท้อถอยในการสร้างกุศล อันเป็นสวัสดีมงคลแก่ตนทุกเพศทุกวัย จนสุดวิสัยที่จะทำได้ไม่เลือกกาล ต้องขออภัยท่านผู้อ่านมาก ๆ ที่เขียนวกไปเวียนมาทั้งที่พยายามจนสุดกำลัง แต่ความหลงลืมรู้สึกจะออกหน้าออกตาอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้ยุ่ง หยิบหน้าใส่หลังหยิบหลังใส่หน้าไม่รู้จักจบสิ้นลงได้ ทั้งนี้เรื่องท่านผ่านไปไกลจนแทบพูดได้ว่าเกือบจบแล้ว ผู้เขียนก็ยังเก็บไม่หมดเพราะความหลงลืมตัวเดียวเท่านั้น พาให้วุ่นไม่เลิกแล้วไปได้ อ่านต่อไปท่านก็ยังจะได้เห็นความเหลวไหลของผู้เขียนไปตลอดสาย เกี่ยวกับเรื่องสับสนระคนกัน ไม่เรียงลำดับไปตามแถวตามแนวที่ควรจะเป็น

    อีกเรื่องหนึ่งที่น่าคิดก็คือ

    ให้พญานาคแสดงรอยให้ปรากฏเป็นหลักฐาน

    ที่วัดหนองผือนั่นเอง เช้าวันหนึ่งขณะที่ท่านออกจากที่ภาวนาแล้วออกมาจากห้อง ท่านถามขึ้นมาเลยโดยไม่มีใครเริ่มเรื่องไว้ก่อนว่า

    “พากันไปดูซิที่ใต้ถุนกุฎีเรา เห็นรอยงูใหญ่ออกไปจากที่นั่นหรือเปล่า คืนนี้พญานาคมาเยี่ยมฟังธรรม ก่อนจะไปเราบอกให้แสดงรอยไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายให้พระเณรดูกันตอนเช้าบ้าง”

    พระก็เรียนตอบท่านว่า “มีรอยงูตัวใหญ่มาก ซึ่งออกจากใต้ถุนท่านอาจารย์เข้าไปในป่าโน้น งูตัวนี้มาจากไหนก็ไม่รู้ ที่อื่นรอยไม่ปรากฏ แต่มาปรากฏเอาตรงใต้ถุนนี้เท่านั้น ลานวัดเตียน ๆ รอยมาจากทางไหนก็พอจะเห็นได้ แต่นี่ไม่เห็นมาจากที่อื่นเลย มามีเฉพาะใต้ถุนนี้แห่งเดียวนอกนั้นไม่มี”

    ท่านตอบว่า “จะให้มีมาจากที่ไหนกันก็พญานาคลงไปจากกุฎีเราเมื่อคืนนี้ ก่อนจะไปเราบอกให้แสดงรอยไว้ใต้ถุนกุฎีเรา” ดังนี้

    ถ้ามีพระเณรเห็นรอยงูก่อนแล้วขึ้นไปเรียนถามท่านเป็นต้นเหตุก่อนก็จะไม่น่าคิดนัก แต่นี้ท่านถามออกมาเลยทีเดียว โดยไม่มีใครปรารภเรื่องนี้ไว้ก่อน ประกอบกับรอยงูใหญ่ที่ใต้ถุนท่านก็มีจริง ๆ ดังที่ท่านถามด้วย นี้แสดงว่าท่านรู้เห็นทางใน และให้พญานาคแสดงรอยไว้ให้พระเณรดูทางตาเนื้อ เพราะตาในบอด ไม่สามารถมองเห็นได้เวลาพญานาคมาเยี่ยมฟังธรรมท่าน

    แล้วก็พากันเรียนถามท่านในโอกาสว่าง ๆ ว่า เวลาพญานาคมาหาท่านอาจารย์ เขามาในร่างแห่งงูหรือในร่างอะไร

    ท่านตอบว่า พวกนี้เอาแน่นอนไม่ได้ ถ้ามาเพื่ออรรถเพื่อธรรมดังที่มาหาเรา ก็มาในร่างแห่งมนุษย์เป็นชั้น ๆ ตามแต่ยศใครสูงหรือต่ำ ถ้าเป็นพญานาคก็มาในร่างแห่งกษัตริย์ มีบริวารห้อมล้อมมา กิริยาอาการทั้งหมดเหมือนกิริยาของกษัตริย์ทั้งสิ้น การสนทนาก็เหมือนพระสนทนากับกษัตริย์ ใช้ราชาศัพท์กันเป็นพื้น บรรดาบริวารที่มาด้วยก็เหมือนข้าราชการตามเสด็จพระมหากษัตริย์ ต่างมีมรรยาทเรียบร้อยสวยงาม มีความเคารพกันมากยิ่งกว่ามนุษย์เรา ขณะที่นั่งฟังธรรมไม่มีใครแสดงกิริยากระดุกกระดิกอันเป็นการแสดงความรำคาญ ขณะสนทนาธรรมก็มีเฉพาะหัวหน้าเป็นผู้ทำหน้าที่แทน ใครสงสัยก็พูดกับหัวหน้า หัวหน้าก็เรียนถามท่านแทน ท่านก็อธิบายให้ฟังตามจุดที่สงสัย จนเป็นที่เข้าใจแล้วก็พากันลากลับ
     
  19. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเราจะพอเชื่อตามท่านได้แม้ตนไม่รู้ คือ

    รู้ว่าของที่ถวายไม่บริสุทธิ์

    มีพระองค์หนึ่งเห็นท่านชอบสูบบุหรี่ตราไก่ เลยสั่งโยมไปแลกเปลี่ยนมาถวายท่าน เวลาเขานำมาให้แล้วก็นำไปถวายท่าน ขณะนั้นท่านก็ยังไม่ว่าอะไร คงยังไม่มีเวลาพิจารณา เพราะขณะที่พระนำบุหรี่ไปถวาย เป็นเวลาที่ท่านกำลังพูดธรรมะอยู่ จึงพากันฟังธรรมท่านไปเรื่อย ๆ จนจบแล้วพากันกลับมา พอเช้าวันหลังพระองค์นั้นขึ้นไปหาท่านอีก ท่านบอกว่า

    “บุหรี่กล่องนี้ให้เอาไปเสีย ผมไม่สูบ เพราะเป็นบุหรี่หลายเจ้าของ”

    ทางพระองค์นั้นเรียนท่านว่า “บุหรี่นี่เป็นของกระผมคนเดียว ที่สั่งให้โยมไปแลกเปลี่ยนมาวานนี้มิได้เป็นของหลายเจ้า กระผมสั่งเขาให้หามาถวายท่านอาจารย์โดยเฉพาะ”

    ท่านก็พูดยืนคำอยู่อย่างนั้นว่า “ให้เอาไปเสีย เพราะบุหรี่นี้มีหลายเจ้าของเป็นกรรมสิทธิ์ไม่บริสุทธิ์ จะสูบเอาประโยชน์อะไร”

    พระองค์นั้นก็ไม่กล้าเรียนท่านอีกเพราะกลัวถูกดุ ต้องจำใจถือบุหรี่กล่องนั้นกลับมา แล้วเรียกโยมคนที่สั่งให้ไปแลกเปลี่ยนนั้นมาถามเรื่องราวว่า เขาทำอย่างไรกันแน่

    เมื่อถามโยมคนนั้นก็ทราบว่า เขาเอาปัจจัยซึ่งเหลือจากที่แลกเปลี่ยนสมณบริขารของพระหลายองค์ ที่สั่งเขามาแลกเปลี่ยนบุหรี่กล่องนั้นมา

    ท่านถามเขาว่า พระองค์ใดบ้างที่สั่งและปัจจัยขององค์ใดบ้างที่โยมเอามาแลกเปลี่ยนบุหรี่กล่องนี้มา

    เขาก็บอกว่าขององค์นั้น ๆ พอทราบเรื่องละเอียดแล้ว ท่านก็รีบไปหาพระที่โยมระบุนามและบอกเรื่องราวของบุหรี่ให้ท่านทราบ ต่างก็แสดงความยินดีต่อท่านอยู่แล้ว จึงพอใจอนุโมทนาโดยทั่วกันในขณะนั้น

    พระองค์นั้นจึงได้นำบุหรี่กล่องนั้นไปถวายท่านอีก โดยกราบเรียนสารภาพตัวว่าเป็นความผิดของตัวจริง ๆ ที่ไม่ได้ไต่ถามโยมผู้ไปแลกเปลี่ยนโดยละเอียดถี่ถ้วนก่อน แต่แล้วก็เป็นความจริงดังท่านอาจารย์ว่าจริง ๆ บัดนี้กระผมได้ถามโยมดูแล้วว่า เป็นของหลายเจ้าที่เขาเอารวมกันซื้อมา ส่วนพระทั้งหลายพอทราบ ต่างยินดีถวายท่านอาจารย์ด้วยกันทั้งหมด

    ท่านก็รับบุหรี่กล่องนั้นไว้โดยมิได้พูดอะไรต่อไป แม้หลังจากวันนั้นแล้วก็หายเงียบไปเลย พอพระองค์นั้นกลับมาพูดเรื่องบุหรี่กับหมู่เพื่อนที่ตนไปคัดค้านท่านแต่ไม่ได้ผล สุดท้ายก็ถูกตามคำท่าน พระที่ได้ยินคำนี้เกิดความแปลกใจว่าท่านรู้ได้อย่างไร เพราะไม่มีใครไปกราบเรียนท่านเลย

    ท่านหนึ่งพูดค้านขึ้นในสมาคมหนู (สภาลับของพระที่แอบคุยกัน) ว่า

    ก็ถ้าท่านเหมือนพวกเรา ๆ ก็จะว่าท่านรู้ท่านฉลาดอย่างไรล่ะ เพราะท่านต่างจากพวกเราทุกด้านนั้นเอง จึงได้เคารพและชมว่าท่านฉลาดจริง ที่พวกเราพากันมารุมอาศัยพึ่งร่มเงาท่านอยู่ ก็เพราะเห็นความสามารถท่านต่างจากพวกเราราวฟ้ากับดินนั่นแล ผมเองไม่สงสัย แม้ไม่รู้อย่างท่านก็ยังเชื่อว่า ท่านรู้กว่าผม ฉลาดกว่าผมทุกด้าน ไม่มีอะไรต้องติ จึงได้มามอบกายถวายชีวิตให้ท่านดุด่าสั่งสอน โดยมิได้มีทิฐิมานะแสดงออกให้กระเทือนใจท่านแม้แต่น้อย ทั้งที่กิเลสมีอยู่กับใจ แต่กิเลสมันคงกลัวท่านเหมือนกัน จึงไม่กล้าแสดงออกมาบ้างเลย

    ผมเข้าใจว่าเพราะความยอมตน ความกลัว ความเคารพเลื่อมใสท่าน ซึ่งมีอำนาจมากกว่ากิเลสประเภทเลว ๆ ที่เคยต่อสู้กับครูหรือกับใคร ๆ มาประจำนิสัย แต่พอมาถึงท่านแล้วมันหมอบราบไปเสียหมด ไม่มีกิเลสตัวใดกล้าออกมาเพ่นพ่านเหมือนอยู่กับอาจารย์อื่น ๆ ถ้าทราบว่าเรายังไม่ยอมลงท่าน ผมเองก็ไม่กล้ามาอยู่กับท่าน แม้ขืนอยู่ไปคงไม่เกิดประโยชน์ นอกจากจะเกิดโทษโดยถ่ายเดียวเท่านั้น

    จะว่าอะไร แค่นำของไปถวายท่านดังที่เห็น ๆ มา เพียงเราคิดไม่ดีในตอนกลางคืน พอตกตอนเช้าไปกุฎีท่าน มองดูสายตาท่านแหลมคม ราวกับจะฉีกเราให้แหลกละเอียดไปในขณะนั้นทีเดียว ถ้าเห็นอาการอย่างนั้นอย่าขืนเข้าไปรับบริขารหรืออะไร ๆ จากมือท่าน ท่านเป็นไม่ยอมให้คนแบบนั้นรับเด็ดขาด ที่ท่านทำอย่างนั้น ก็เพื่ออุบายทรมานความดื้อด้านของเราโดยทางอ้อม ยิ่งกว่านั้นก็ใส่ปัญหาแทงเข้าไปในขั้วหัวใจเราให้เจ็บแสบอยู่นาน ๆ เพื่อจะได้เข็ดหลาบเสียที แต่แปลกใจปุถุชนเรานี้มันเข็ดแต่ไม่หลาบ คือเข็ดขณะที่ถูกของแข็งและเจ็บแสบลงลึกในเวลานั้น พอท่านแสดงอาการธรรมดากับตนบ้าง เอาอีกแล้ว เกิดเรื่องอีกจนได้

    ทั้งที่ไม่มีเจตนาจะคิดสิ่งที่เห็นว่าเป็นภัยแก่ตน แต่มันตามอาจารย์ของเจ้าบอนนี่ (ลิง) ไม่ทันสักที เพราะมันรวดเร็วยิ่งกว่าลิงร้อยตัวเป็นไหน ๆ พอมาหาท่านอีกดูท่าทางแล้วชักจะเข้าไม่ติด มีสีหน้าและสายตาแปลก ๆ พอให้ระวังยาก ๆ อยู่นั่นแล แม้เช่นนั้นมันยังไม่รู้สึกเข็ดหลาบเลย คือไม่เห็นภัยไปนาน พอไป ๆ ชักจะเห็นสิ่งที่เคยเป็นภัยนั้น ๆ ว่าเป็นมิตรโดยไม่รู้สึกตัวอีกแล้ว ฉะนั้น จึงว่ามันเข็ดแต่ไม่หลาบ ถ้าทั้งเข็ดทั้งหลาบก็รู้สึกตัวและกลัวสิ่งนั้นไปนาน ๆ ใจก็สงบเย็นไม่รุ่มร้อน เวลามาหาท่านก็ไม่ได้ระวังนักว่าท่านจะดุด่าต่าง ๆ จิตผมเป็นอย่างนี้จึงหนีจากท่านไปไหนไม่ค่อยได้ เพราะไม่ไว้ใจตัวเอง อยู่กับท่านมันกลัวและระวังอยู่เสมอ ใจก็ไม่กล้าคิดไปนอกลู่นอกทางนัก หากมีบ้างก็รู้ได้เร็ว รีบฉุดมาทันกับเหตุการณ์ ไม่ถึงกับแสดงผลร้อนให้ปรากฏ

    ผมน่ะเชื่อท่านชนิดหมอบราบเลยทุกวันนี้ ว่าท่านอาจารย์มั่นท่านรู้วาระจิตผมจริง ๆ ส่วนท่านจะรู้วาระจิตใครหรือไม่ผมไม่สนใจ สนใจเฉพาะเรื่องท่านกับผมเท่านั้น เพราะผมมันเป็นคนชอบดื้อไม่เข้าเรื่อง น่าให้ท่านดัดสันดาน ท่านจึงดัดเสียบ้างพอให้เข็ด คือบางทีมันคิดบ้า ๆ ไปก็มี เมื่อมาอยู่กับท่านใหม่ ๆ โดยคิดว่า เขาว่าท่านอาจารย์มั่นนี้รู้จิตใจคน ใครคิดอะไรท่านรู้ได้หมด ท่านจะรู้ได้หมดจริง ๆ หรือ ถ้าท่านรู้ได้หมดจริง ๆ สำหรับเราไม่จำเป็นที่ท่านจะสนใจรู้ไปหมด ขอให้ท่านรู้แต่ความคิดของเราที่คิดอยู่ขณะนี้ก็พอแล้ว ถ้าท่านรู้แม้เพียงขณะจิตที่เราคิดต่อท่านอยู่เวลานี้เท่านั้น เราจะยอมกราบท่านอย่างราบเลย นอกนั้นเราไม่คิดเข้าบัญชีว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับท่านเลย

    พอตกตอนเย็นไปหาท่าน ดูท่าทางแทบนั่งไม่ติดพื้นเสียแล้ว ตาท่านจับจ้องมาหาเราราวกับไม่กะพริบตาเอาเลย ขณะที่ตาจ้องมาก็เหมือนจะตะโกนจี้ใจเราอยู่ทุกขณะด้วย พอท่านเริ่มเทศน์ให้พระฟัง เราไม่ค่อยได้เรื่องอะไร ได้แต่ความร้อนใจอย่างเดียวและกลัวท่านจะดุเราคนเดียวที่ไปดื้อทดลองท่าน พอท่านเริ่มเทศน์ไม่นานนัก ธรรมที่เต็มไปด้วยไม้เรียวชนิดต่าง ๆ ก็เริ่มเฉียดหลัง เฉียดไปเฉียดมาและเฉียดใกล้เฉียดไกลเข้ามาทุกที บางทีเฉียดมาขั้วหัวใจจนร้อนวูบและตัวไหวโดยไม่รู้สึกตัว ยิ่งกลัวใจก็ยิ่งร้อนไม่เป็นสุขเลย ขณะนั่งฟังท่านเฆี่ยนท่านตีด้วยอุบายต่าง ๆ พอจวนจะจบการแสดงธรรม ทนไม่ไหวต้องยอมท่านทางภายในว่า เท่าที่คิดไปนั้นก็เป็นเพียงอยากทราบเรื่องท่านอาจารย์เท่านั้น ว่าจะรู้ใจคนอื่นจริงไหม มิได้มีความคิดจะดูถูกเหยียดหยามว่าไม่มีคุณธรรมอย่างอื่น มาบัดนี้ได้ยอมรับแล้ว ว่าท่านอาจารย์สามารถและเก่งจริง กระผมขอมอบกายถวายชีวิตต่อท่านอาจารย์ตลอดวันตาย ขอท่านได้เมตตาอนุเคราะห์สั่งสอนต่อไปเถิด อย่าได้เกิดความอิดหนาระอาใจด้วยเรื่องเพียงเท่านี้เสียก่อนเลย
     
  20. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    เราคิดยอมตนเพียงเท่านี้ การแสดงธรรมที่กำลังเผ็ดร้อนก็ค่อย ๆ อ่อนลง ๆ สุดท้ายก็แย้มปัญหาออกมาฝากไว้วาระสุดท้ายอีกว่า ความผิดความถูกมีอยู่กับตัวทำไมจึงไม่สนใจดูบ้าง เสือกไปหาดูเรื่องผิดเรื่องถูกของคนอื่นเพื่อประโยชน์อะไร ความคิดชนิดนั้นหรือที่พาให้เราเป็นคนเก่งคนดี แม้จะรู้ว่าคนอื่นเก่งคนอื่นดี แต่ถ้าเจ้าของไม่เก่งไม่ดีมันก็อยู่แค่นั้นเองไปไม่รอด ถ้าอยากรู้เรื่องของคนอื่นว่าดีหรือไม่ดีเพียงไร ก็ต้องดูเรื่องของตัวให้รอบคอบทุกด้านก่อน เรื่องของคนอื่นก็รู้ไปเอง ไม่จำต้องทดลอง คนลองไม่ใช่คนเก่งคนดี ถ้าเก่งถ้าดีจริงแล้วไม่ต้องลองก็รู้ แล้วก็จบธรรมเพียงเท่านั้น

    ผมเองเกือบสลบในขณะนั้น เหงื่อแตกโชกไปทั้งตัว ยอมท่านอย่างหมอบราบและเข็ดหลาบจนป่านนี้ ไม่เคยไปหาญลองดีกับท่านอีกเลย คราวนี้เป็นคราวเข็ดหลาบขนาดหนักสำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับท่าน ถ้าเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับท่านมันเข็ดขนาดนี้ ผมคงพ้นทุกข์ไปนานแล้ว แต่มันไม่เข็ดแบบนี้จึงน่าโมโหจะตายไป

    นี่เป็นเรื่องพระท่านแอบสนทนากันในสภาหนู ผู้เขียนก็อยู่ในสภานั้นด้วย และมีส่วนได้เสียไปด้วยกัน จึงได้นำเรื่องนี้มาลงโดยมีบุหรี่ตราไก่เป็นต้นเหตุ พอเป็นข้อคิดว่า ความจริงของความจริงมีอยู่ทุกแห่งทุกหนและทุกเวลาอกาลิโก ขอแต่ปฏิบัติให้ถึงความจริงทำจริง ต้องรู้ตามความสามารถและภูมิวาสนาของตนแน่นอน ไม่ว่าธรรมภายในคือสัจธรรม และธรรมภายนอกคือความรู้แขนงต่าง ๆ ตามภูมินิสัยวาสนาของแต่ละรายที่สร้างมา และความปรารถนาที่ตั้งไว้ไม่เหมือนกัน แต่ผลส่วนใหญ่คือมรรคผลนิพพานนั้น เมื่อถึงแล้วเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์มั่นท่านเป็นอาจารย์ที่ผู้อยู่ใกล้ชิดจะลืมเรื่องต่าง ๆ และปฏิปทาที่ท่านพาดำเนินไม่ได้ตลอดไปเมื่อยังมีลมหายใจอยู่ บรรดาลูกศิษย์ท่านที่เป็นพระเถระผู้ใหญ่เวลานี้มีอยู่หลายองค์ด้วยกัน แต่ละองค์มีนิสัยวาสนาและปฏิปทาเครื่องดำเนินภายใน ตลอดความรู้อรรถธรรมและความรู้พิเศษแปลกต่างกันไปเป็นราย ๆ

    เท่าที่เขียนตอนต้นได้ระบุนามลูกศิษย์ท่านผ่านมาบ้างแล้ว ที่ยังมิได้ระบุนามท่านก็มี จึงได้เรียนไว้ว่า เมื่อดำเนินเรื่องท่านเจ้าของประวัติไปพอสมควร หากมีเวลาก็จะระบุนามคณะลูกศิษย์ท่านต่อไปอีกดังนี้ จึงได้เริ่มฟื้นนามลูกศิษย์ท่านขึ้นมาอีก พอทราบบ้างว่าท่านดำเนินและรู้กันอย่างไร ท่านประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ มาอย่างไรบ้างแต่ละองค์ตามคติธรรมดา พระพุทธเจ้าทรงเผชิญความลำบากและรู้ธรรมอย่างไรบ้าง บรรดาสาวกก็ย่อมเดินตามรอยพระบาทที่ทรงพาดำเนิน ตลอดความรู้ความเห็นก็เป็นไปตามร่องรอยของศาสดาแบบศิษย์มีครู บรรดาลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันทางปฏิปทาเครื่องดำเนิน ส่วนการประสบเหตุการณ์ภายนอกที่น่าตื่นเต้นหวาดเสียว มีต่าง ๆ กันไปตามสถานที่อยู่บำเพ็ญและที่เที่ยวไป ไม่เหมือนกัน

    เมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ ก็ทำให้ระลึกเลื่อมใสและบูชาท่านอาจารย์องค์หนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ท่านอาจารย์ ที่มีการเที่ยวธุดงคกรรมฐานแตกต่างจากหมู่คณะอยู่บ้าง จึงขอประทานโทษนำเรื่องท่านออกมาลงให้ท่านผู้อ่านได้ทราบบ้างในสมัยปัจจุบันว่า สิ่งที่เคยมีในครั้งพุทธกาลอันเป็นส่วนภายนอกอาจยังมีในสมัยนี้ได้อยู่บ้างหรืออย่างไร คือเราเคยได้ยินหรือได้เห็นในหนังสือ ว่าช้างมาถวายอารักขา และลิงมาถวายรวงผึ้งแด่พระพุทธเจ้าเป็นต้น เรื่องคล้ายคลึงกันในสมัยนี้ก็อาจเป็นเรื่องของท่านอาจารย์องค์นี้ จึงขอประทานออกนามท่านด้วย เพื่อเป็นหลักฐานไว้กับเรื่องที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้

    เรื่องพระอาจารย์ชอบฝ่าดงเสือ

    ท่านมีนามว่า “ท่านพระอาจารย์ชอบ” อายุคงย่างเข้า ๗๐ ปี จำไม่ถนัด ทราบว่าท่านบวชมานาน การปฏิบัติท่านชอบอยู่ในป่าในเขาตลอดมาจนถึงปัจจุบัน นิสัยท่านชอบออกเดินทางในเวลาค่ำคืน ท่านจึงชอบเจอสัตว์จำพวกค่ำคืนมีเสือเป็นต้นเสมอ

    บ่ายวันหนึ่งท่านออกเดินทางจากหล่มสัก เพชรบูรณ์ มุ่งไปทางจังหวัดลำปาง เชียงใหม่ พอจวนจะเข้าดงหลวงก็พบชาวบ้าน เขาบอกท่านด้วยความเป็นห่วงว่า

    ขอนิมนต์ท่านพักอยู่หมู่บ้านแถบนี้ก่อน เช้าวันหลังค่อยเดินทางต่อไป เพราะดงนี้กว้างมาก ถ้าตกบ่ายแล้วเดินทางไม่ทะลุดงได้เลย ถ้าเดินไม่ทะลุป่าในตอนกลางวัน โดยมากคนมักเป็นอาหารเสืออยู่เสมอ เพราะความไม่รู้ระยะทางใกล้ไกล ดังนี้พอบ่ายไปแล้วเดินทางไม่ทะลุแน่ และตอนกลางคืนเสือออกมาเที่ยวหากินทุกคืน ถ้าเจอคนแล้วมันก็ถือเป็นอาหารของมันเลย ไม่มีรายใดผ่านปากเสือไปได้ นี่ก็กลัวพระคุณเจ้าจะเป็นเช่นนั้น จึงไม่อยากให้ไปในเวลาบ่ายแล้วเช่นวันนี้ ป้ายประกาศเขาปิดไว้เพื่อผู้เดินทางจะได้อ่าน และทราบเรื่องของดงยักษ์นี้แล้วไม่กล้าไป ยักษ์จะได้ไม่กินเป็นอาหารของมัน

    ท่านถามเขาว่า ยักษ์อะไรกัน เคยได้ยินแต่โบราณท่านว่าไว้ แต่ทุกวันนี้ไม่เคยได้เห็นได้ยินเลย เพิ่งมาได้ยินเอาวันนี้เอง

    เขาเรียนท่านว่า ยักษ์เสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอนนั่นเองท่าน มิใช่ยักษ์อื่นที่ไหนหรอก ถ้าไปไม่ทะลุดง เสือต้องกินเป็นอาหารแน่นอน จึงขอนิมนต์ท่านกลับคืนไปพักค้างที่บ้านแถบนี้เสียก่อน พรุ่งนี้เช้าฉันเสร็จแล้วค่อยเดินทางต่อไป

    แต่ท่านไม่ยอมกลับและจะขอเดินทางต่อไปในวันนั้น เขาเรียนถามท่านด้วยความเป็นห่วงว่า

    บ่ายขนาดนี้ใครจะเดินเร็วขนาดไหนต้องมืดอยู่กลางดงใหญ่นี้ไม่มีทางพ้นไปได้เลย

    ท่านไม่ฟังเสียงเขาเลย มีแต่จะไปท่าเดียว

    เขาถามท่านว่า “ท่านกลัวเสือไหม”

    ท่านตอบเขาว่า “กลัว แต่จะไป”

    ชาวบ้านเรียนท่านว่า “หากมันมาเจอแล้ว อย่างไรมันก็ไม่หนีคนเลย ต้องกินเป็นอาหารแน่นอน ถ้าท่านกลัวเสือกินคน ท่านก็ไม่ควรไป เพราะถ้าขืนไป มันก็กินท่านจนได้”

    ท่านตอบว่า “ถ้ากรรมมาถึงตัวแล้วก็ยอมเป็นอาหารของมันไปเสีย ถ้ากรรมยังสืบต่ออยู่มันคงไม่กิน”

    ว่าแล้วก็ลาเขา ออกเดินทางไปอย่างไม่อาลัยเสียดายชีวิตเลย

    พอก้าวเข้าในดงมองดูสองฟากทางมีแต่รอยเสือตะกุยดิน ทั้งขี้ทั้งเยี่ยวทั้งเก่าทั้งใหม่เต็มไปตลอดทาง ท่านก็เดินภาวนาเรื่อยไป ดูรอยเสือตามทางเรื่อยไป ใจก็ไม่กลัว พอมืดก็ถึงกลางดงพอดี ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงเสือโคร่งใหญ่กระหึ่มตามมาข้างหลัง ตัวหนึ่งกระหึ่มมาทางด้านหน้า ต่างร้องมาหากัน ตัวอยู่ข้างหลังก็ร้องใกล้เข้ามาจวนจะทันท่าน ตัวอยู่ข้างหน้าก็ร้องใกล้เข้ามาหาท่าน และต่างตัวต่างร้องใกล้เข้ามาทุกที ๆ ผลสุดท้ายทั้งตัวอยู่ข้างหน้าทั้งตัวอยู่ข้างหลังก็มาถึงท่านพร้อมกัน พอมาถึงท่านแล้วยิ่งกระหึ่มใหญ่

    พอเห็นท่าไม่ดี ท่านก็หยุดยืนนิ่งปลงอนิจฺจํว่า เราคงครั้งนี้แน่เป็นครั้งยุติของชีวิต เพราะมองไปดูตัวอยู่ข้างหน้า ก็กำลังทำท่าทำทางจะโดดมาตะครุบท่าน ชำเลืองตาไปดูตัวอยู่ข้างหลัง ก็กำลังทำท่าจะโดดมาตะครุบท่านอยู่เช่นเดียวกัน แต่ละตัวอยู่ห่างจากท่านราววาเศษเท่านั้น ขณะนั้นปรากฏว่าจิตกลัวจนเลยกลัว ยืนตัวแข็งโด่อยู่กับที่ แต่สติยังดีจึงกำหนดจิตให้ดีไม่ให้เผลอ แม้จะตายในขณะนั้นเพราะเสือกินก็ไม่ให้เสียที

    พอได้สติก็กำหนดย้อนกลับจากเสือเข้ามาหาตัวโดยเฉพาะ จิตก็รวมลงอย่างสนิทในขณะนั้น ความรู้ผุดขึ้นมาว่า เสือกินไม่ได้แน่นอน ดังนี้ จากนั้นก็หายเงียบไปเลยทั้งเสือทั้งคน ไม่รู้สึกว่าตนยืนอยู่หรือนั่งอยู่ ความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอก ตลอดร่างกายได้หายไปโดยสิ้นเชิงในเวลานั้น ความหมายว่าเสือก็หายไปพร้อม ๆ กัน ยังเหลืออยู่เฉพาะความรู้ที่เด่นดวงเพียงอันเดียวทรงตัวอยู่ในขณะนั้น จิตรวมลงอย่างเต็มที่ คือถึงฐานแห่งสมาธิแท้และนานเป็นเวลาหลายชั่วโมงจึงถอนขึ้นมา

    พอจิตถอนขึ้นมาตัวเองยังยืนอยู่อย่างเดิม บ่าแบกกลดและสะพายบาตร มือข้างหนึ่งหิ้วโคมไฟเทียนไข ส่วนไฟดับแต่เมื่อไรไม่ทราบได้เพราะจิตรวมอยู่นาน

    พอจุดไฟสว่างขึ้น แล้วตามองไปดูเสือสองตัวนั้นเลยไม่เห็น ไม่ทราบว่าพากันหายไปไหนเงียบ ขณะที่จิตถอนขึ้นมานั้นมิได้คิดกลัวอะไรเลย แต่มีความอาจหาญเต็มดวงใจ ขณะนั้นแม้เสือจะมาอีกสักร้อยตัวพันตัวใจก็ไม่มีสะทกสะท้านเลย เพราะได้เห็นฤทธิ์ของใจและของธรรมประจักษ์แล้ว เมื่อจิตถอนขึ้นมาแล้วยังเกิดความอัศจรรย์ตัวเองว่า รอดปากเสือมาได้อย่างไรกัน และอัศจรรย์จนไม่มีอะไรเทียบได้

    ขณะนั้นทำให้เกิดความรักความสงสารเสือตัวนั้น ว่าเป็นคู่มิตรมาให้อรรถให้ธรรมเราอย่างถึงใจ แล้วก็พากันหายไปราวกับปาฏิหาริย์ ทำให้คิดถึงมันมากแทนที่จะกลัวเหมือนครั้งแรกพบ

    ท่านว่าเสือโคร่งทั้งสองตัวนั้นใหญ่มาก ตัวขนาดม้าที่แข่งอยู่ที่สนามม้านางเลิ้ง กรุงเทพฯ เราดี ๆ นี่เอง แต่ตัวมันยาวกว่าม้ามากมาย หัวมันวัดผ่าศูนย์กลางคงได้ราว ๔๐ เซนติเมตร ใหญ่พิลึก ไม่เคยพบเคยเห็นนับแต่เกิดมา ฉะนั้นเมื่อเห็นมันทีแรกจึงยืนตัวแข็งโด่ราวกับตายไปแล้ว เพียงแต่ยังมีสติดีอยู่เท่านั้น

    หลังจากจิตถอนขึ้นมาแล้วมีแต่ความรื่นเริงเย็นใจ คิดว่าไปที่ไหนไปได้ทั้งนั้น ไม่คิดกลัวอะไรเลยในโลก และมิได้คิดว่าจะมีอะไรสามารถทำลายได้ เพราะได้เชื่อจิตเชื่อธรรมว่าเป็นเอกในโลกทั้งสามอย่างเต็มใจเสียแล้ว

    หลังจากนั้นก็ออกเดินทางด้วยวิธีจงกรมไปในตัว อย่างเยือกเย็นเห็นผลในธรรมเต็มดวงใจ ไม่หวั่นไหว จิตมีความระลึกคิดถึงเสือคู่มิตรทั้งสองตัวนั้นมิได้ลืมเลย ถ้าเผื่อเห็นมันอีกคราวนี้ คิดว่าจะเดินเข้าไปลูบคลำหลังมันเล่นได้อย่างสบาย ราวกับสัตว์เลี้ยงในบ้านเราดี ๆ นี่เอง แต่มันจะยอมให้เราลูบคลำหรือไม่เท่านั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...