ประวัติ..หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท "พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง"

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 28 พฤษภาคม 2007.

  1. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    [​IMG]




    หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง


    จาก หนังสือ ประวัติ พระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
    วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดประทุมธานี
    [​IMG]
    พรรษาที่๑-๓ (พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๒)
    จำพรรษาที่วัดทรายงาม ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง
    จังหวัดจันทบุรี




    วัดทรายงามตั้งอยู่บ้านหนองบัว ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี เหตุที่ได้ชื่อว่า วัดทรายงาม ก็เพราะเหตุที่พื้นที่ในบริเวณวัดเป็นทรายขาวคล้ายสำลีงดงามมาก พระอาจารย์กงมา จึงอาศัยเครื่องหมายนี้ตั้งเป็นชื่อของวัด
    วัดนี้มีเนื้อที่ ๓๑ ไร่ ๖๓ ตารางวา ทิศเหนือติดกับโรงเรียน ทิศใต้ติดต่อกับที่นายจู๊ด วิธีเจริญ ทิศตะวันออกติดต่อกับที่นายฉง บุญสร้าง ทิศตะวันตกติดกับถนนหลวง
    ชาวบ้านผู้ที่อาสาจะไปนิมนต์พระอาจารย์กงมา มาอยู่ที่วัดทรายงาม มีนายเสี่ยน, นายหลวน, ผู้ใหญ่อึก, นายจิ๊ด, นายซี่, นายแดง รวมเป็น ๖ คน เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ปี พ.ศ. ๒๔๗๙
    <TABLE width=150 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    ประตูทางเข้าวัดป่าทรายงาม

    </TD></TR></TBODY></TABLE></B>​
    เมื่อได้พบกับท่านอาจารย์กงมา ก็เข้าไปนิมนต์ ท่านอาจารย์จึงพูดขึ้นว่า
    “ให้พวกโยมอธิษฐานดูเสียก่อน ถ้าดีก็มารับ ถ้าไม่ดีก็อย่ามา ให้พากันกลับไปเสียก่อน ให้ไปเสี่ยงความฝัน ถ้าฝันดีคอยมารับ ถ้าฝันไม่ดีก็อย่ามา”
    ในขณะนั้นนั่นเองนายหลวนก็พูดขึ้นว่า
    “ท่านอาจารย์ขอรับ กระผมฝันดีมาแล้ว ฝันก่อนจะมาเมื่อคืนนี้ คือฝันว่าได้ช้างเผือกสองตัวแม่ลูก รูปร่างสวยงามมาก แต่เมื่อเอามือลูบคลำเข้าแล้ว ช้างเผือกสองแม่ลูกเลยกลับกลายเป็นไก่ขาวไป”
    ท่านอาจารย์ได้สดับเช่นนั้น นั่งนิ่งพิจารณาว่า
    “เออ! ดี แล้วถ้าอย่างนั้นเราก็ตอบตกลงที่จะไปบ้านหนองบัว วันพุธขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๑๗ มีนาคม (๒๔๗๙) ให้มารับ”
    เมื่อถึงวันที่กำหนดชาวบ้านก็พากันมารับ ๔ คน คือ นายสิงห์, นายแดง, นายซี่, นายเสี่ยน
    ถึงเวลาบ่าย ๔โมงตรง ไปกัน ๒ รูป คือพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ กับสามเณรอีกหนึ่งองค์ เมื่อมาถึงแล้วได้เข้าพักที่ป่าช้าผีดิบ (วัคทรายงามปัจจุบัน) ญาติโยมทั้งหลายที่รออยู่ได้กุลีกุจอพากันทำกระท่อมพอได้อาศัย พอตกเย็น ๆ มีคนพากันมาฟังเทศน์เป็นจำนวนมาก เมื่อท่านแสดงธรรมเสร็จทุกคนพากันเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
    อัศจรรย์โก่ขาว
    ขอย้อนกลับไปเรื่องไก่ขาว ที่โยมหลวนเป็นคนฝัน แกฝันว่าได้ช้างเผือก ๒ เชือก แม่ลูก เมื่อลูบคลำแล้ว กลับกลายเป็นไก่ขาวไป
    <TABLE width=150 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เรื่องความฝันน่าจะเป็นเรื่องเล่น แต่ถ้าความฝันกลายเป็นความจริงขึ้นมาแบบเป็นตัวเป็นตนนี้ความฝันนั้นมันก็นาอัศจรรย์อยู่ไม่น้อย เรื่องไก่ขาวตัวนี้ก็เช่นกัน ทำให้ชาวบ้านทั้งพระทั้งเณรพากันแตกตื่น เหมือนกับทุกคนจะบอกว่า มันแปลกดีนะ
    ไก่ขาวตัวนี้เป็นไก่ของเจ๊กเบ๊ ห่างจากป่าช้าที่พระอาจารย์กงมาพักระยะทาง ๑ ทุ่งนา และต้องข้ามไปอีก ๑ ดอน (ประมาณ ๑ กม.) ในบ้านเจ๊กเบ๊นั้นมีไก่เยอะแยะ คืนวันที่พระอาจารย์กงมา มาถึงป่าช้าผีดิบ ก็เป็นวันเดียวกันกับที่เจ้าของไก่จะจับมันไปต้มยำมาเลี้ยงพระในตอนเช้า เจ๊กเบ๊เข้าไปไล่ตะลุมบอนจับมันในเล้า ตัวไหนก็ไม่เอา กะจะเอาตัวนี้มันอ้วนพีดีนัก เล้ามันสูงจับยังไงก็ไม่ได้ มันหนีตายสุดฤทธิ์ ในที่สุดเจ๊กเบ๊หมดความพยายาม คิดไว้ในใจว่าพรุ่งนี้จะเอาใหม่ คือจะฆ่าด้วยวิธีใหม่ กลางคืนฆ่ายาก จะพยายามฆ่ากลางวันแสก ๆ ด้วยการยิงเป็นต้น พอคิดอย่างนี้เสร็จก็เข้านอนเพราะความเหนื่อยล้าที่ไล่ฆ่าไก่ขาวไม่ได้
    พอวันรุ่งขึ้นวันใหม่เท่านั้นแหละไก่ขาวตัวนั้นก็ได้ขันแต่เช้ากว่าเพื่อนเหมือนจะระบายอะไรบางอย่างที่อัดอั้นตันใจ ที่เขาเลี้ยงมาใช่อื่นใดนอกจากฆ่า สัตว์อื่นนอกจากเรานี้หนาไม่มีสัตว์อะไรที่จะซวยเท่า คือเขาเลี้ยงดีอย่างไร ก็เพื่อฆ่าแกงเท่านั้น เพื่อนที่ซวยที่อยู่ไม่ไกลนักอยู่ข้างคอกใกล้เคียงก็คือหมู ตอนเล็กๆ เจ๊กเขาก็เลี้ยงดีเหมือนกันกับเรา แต่พอโตขึ้นอ้วนๆ หายไปทุกที สงสัยไปตาย คิดอย่างนี้ไก่ขาวก็จิตใจไม่ดี เดินกระวนกระวายระมัดระวังภัยในวันนี้เป็นพิเศษเพราะ เมื่อคืนนี้รอดมาได้ วันนี้อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น คิดๆ เสร็จก็คุ้ยเขี่ยหาอาหารแต่เช้ามืด เพื่อตุนเอาแรง พร้อมๆ กับความไม่มั่นใจในการลอบหนีออกจากบ้าน
    พอได้เวลาอรุณรุ่ง มองเห็นพอสลัวๆ แต่พอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร เป็นเวลารำไร เมื่อพระอาทิตย์อุทัยส่องแสง ไก่ขาวก็รีบขัน กระโจนพุ่งโบยบินออกจากเล้า บินร่อนไปจับกิ่งไม้ขันไปเรื่อยๆ แต่มันไม่ไปที่อื่น มันดันตรงมาที่ชายวัดที่ท่านอาจารย์กงมาอยู่พอดิบพอดี เจ้าของคือเจ๊กเบ๊... ก็ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด พยายามไล่จับและไล่กลับ ไล่มันกลับไปที่บ้านตัวเองได้ถึง ๓ ครั้ง ๓ หน
    <TABLE width=150 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    ศาลาเก่าวัดทรายงาม

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ครั้งที่ ๓ นี้มันสำคัญมาก ที่จะต้องจารึกไว้ในชีวประวัติของไก่ขาวตัวนี้ มันหนีมาแล้วบุกตะลุยแหวกผู้คนมาถึงกุฏิท่านอาจารย์กงมาเลยทีเดียว เจ๊กเบ๊ก็ไม่กล้าเข้าไปตาม มันก็อยู่ที่นั่นไม่ไปที่ไหนเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ ท่านอาจารย์ หากินอยู่ที่นั่น นอนอยู่ที่นั่น แสดงถึงความเป็นผู้เจอะเจอที่สัปปายะ คนทั้งหลายก็มาดูมันอยู่ที่นั่น
    อยู่มากันหนึ่งท่านอาจารย์ย้ายไปนอนกุฏิอื่นเจ้าไก่ขาวมันก็ตามไปด้วยท่านย้ายไปหลังไหนวันไหน มันก็ย้ายตามไปหลังนั้นวันนั้นเหมือนกัน เป็นอย่างนี้อยู่โดยตลอด ท่านอาจารย์สั่งสอนให้มันขึ้นไปนอนบนต้นไม้ต้นไหน มันก็ขึ้นต้นนั้น บอกให้หยุด...มันก็หยุด! บอกให้เดิน...มันก็เดิน! มันทำให้ท่านรักสงสารเหมือนมันรู้ภาษาท่านพูด
    เมื่อท่านอาจารย์อ่านหนังสือวินัย เจ้าไก่ขาวก็ไปอยู่ข้าง นั่งอยู่ข้าง ๆ นอนอยู่ข้าง ๆ อย่างน่าอิจฉา มันเหลือบตามองบ้างดูบ้าง ดูหนังสือที่ท่านจับอยู่นั้น คนทั้งหลายก็เฮฮากันมาดู ต่างก็พูดว่า “ไก่ตัวนี้มันเป็นอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2007
  2. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ..​
    ครั้นต่อมาอีกไม่นานนัก คนทั้งหลายก็เที่ยวล้อเล่นกับมัน หลอกมันต่าง ๆ นานา ด้วยความน่ารัก มันก็ชักจะรำคาญจึงเกิดการเตะตีคนขึ้น เป็นอันว่าใครมากวนมัน มันเตะเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น
    ศาลาหลังเก่าวัดป่าทรายงาม
    เด็กน้อยเด็กเล็กมากัด มาเล่นกับมัน มันเตะหมด ไม่มีใครกล้าทำอะไรมันเพราะมันเป็นไก่ท่านอาจารย์ไปแล้ว มันเตะคนก็อันตรายเพราะเดือนมันยาวๆ
    ทายกทายิกาทั้งหลายภายในวัด จึงพากันคิดจะตัดเดือยมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่คน แต่เรื่องนี้เจ้าไก่ขาวมันคงคิดว่าเกิดอันตรายแก่มันในที่สุดมันถูกตัดเดือย ถูกตัดความเป็นผู้กล้าของมันออก
     
  3. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ...​

    พรรษาที่ ๑ (พ.ศ. ๒๔๘๐)
    หลบนอน
    ในพรรษาแรกที่บวชนี้มีพระร่วมจำพรรษา ๕ รูป สามเณร ๑ รูป คือ
    ๑. พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ท่านเป็นชาวจังหวัดสกลนคร
    ๒. พระสังข์ เตมิโย ท่านเป็นชาวจังหวัดเพชรบูรณ์
    ๓. พระทองปาน มหาอุตฺสาโห ท่านเป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี
    ๔. พระเจี๊ยะ จุนฺโท (เราเอง) เป็นชาวจังหวัดจันทบุรี
    ๕. พระอ๊อด โอภาโส เป็นชาวจังหวัดจันทบุรี
    ๖. สามเณรวิริยังค์ บุญฑรีย์กุล เป็นชาวจังหวัดนครราชสีมา
    <TABLE width=150 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    หลวงตามหาบัวกับหลวงปู่เจี๊ยะที่วัดป่าบ้านตาด
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เมื่อเราเข้ามาบวชแล้ว ก็เราเป็นคนหนุ่มนะ อย่างที่ว่าพรรษาแรกๆ ก็ขี้เกียจ เอะอะก็จะหลบไปหลับนอน พอมาถึงกลางๆ พรรษาหรือยังไงก็จำไม่ค่อยได้ ก็มานึกตำหนิตนเอง เอ๊ะ!....เรากินข้าวชาวบ้านแล้ว ทำไมเราถึงมาขี้เกียจอย่างนี้นะ มันเหมาะสมแล้วหรือสำหรับเพศนักบวชที่เสียสละบ้านเรือนออกมาบวช แต่ก่อนเราเคยทำงานหนักๆ ทำการแจวเรือทั้งวันทั้งคืน เราแจวได้ ทำได้ แล้วเวลานี้ล่ะ เรามาเป็นพระเป็นนักบวช แล้วทำไม ทำไมมาขี้เกียจอย่างนี้ สิ้นท่าอย่างนี้ พระแบบเรานี้จะต่างอะไรกับฆราวาสหัวดำๆ ที่ขี้เกียจขี้คร้านทำมาหาเลี้ยงชีพ เราทำแบบนี้มันสมควรแล้วหรือที่ญาติโยมเขากราบไหว้บูชา ว่าเป็นพระผู้ทรงเพศอันประเสริฐ ใครๆ เห็น เขาก็หลีกทางให้ มีอะไรเขาก็หามาให้กิน ในที่สุดมันก็ด่าตัวเองในใจ คือด่าตัวเองในใจดังๆ
     
  4. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ..​

    พรรษาที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๑)
    ถือเนสัชซิคือการไม่นอน
    <TABLE width=150 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ต่อมาพรรษาที่ ๒ แห่งการบวช เราถือธุดงค์ปฏิบัติว่าด้วยการไม่นอน ในกาลเข้าพรรษา ไม่นอนตลอดพรรษาเลยในเวลากลางคืน แต่ในเวลากลางวันนอนมั่งนะ แต่เราก็ตั้งสัจจะไว้ เรานั่งภาวนาในเวลากลางวันนี่ เราก็แบ่งนั่งหลับนิดหน่อยพอให้มีเรี่ยวแรง แต่ก่อนนั่งสมาธิต้องเดินจงกรมก่อน แล้วค่อยมานั่งสมาธิ ทำอย่างนี้วันละ ๓ หน เพื่อถวายพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และเพื่อเป็นอุบายในการภาวนา ด้วยการตั้งสัจจะว่า
     
  5. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ...[​IMG]
    การสืบสวนของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (ชื่น)
    การสืบสวนของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์นี้สุขุมมาก กล่าวคือ พระองค์ไม่ทรงพระกรรณเบา ขณะที่พระองค์มาพักอยู่ที่วัดทรายงาม พระองค์ทรงกระทำวัตรปฏิบัติอย่างปกติธรรมดาของหมู่คณะ คือฉันหนเดียวเหมือนกับพระอาจารย์กงมา แม้พระอาจารย์กงมาจะให้บรรดาญาติโยมนำภัตตาหารเพลมาถวาย พระองค์ก็ไม่ฉัน พระองค์ตรัสว่า
     
  6. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ...​
    บวชมาทำไม?
    การบวช การปฏิบัติ เรามุ่งมาประพฤติปฏิบัติธรรมะ หรือมุ่งมาเพื่อประโยชน์อันใด คิดอย่างนี้ ในชีวิตนักบวชทุก ๆ คน ไม่ว่าบวชชี แม่ขาว หรือบวชพราหมณ์ บวชพระก็ดี บวชมาเพื่ออะไร?
    ที่ต้องถามตนเองอย่างนี้ อย่าว่าขู่ อย่างนี้อย่าว่าดุ วิธีการอย่างนี้เพื่อให้เราระลึกรู้สึกตัวเรา ต้องคิดอย่างนี้ว่า เราบวชมาเพื่ออะไร?
     
  7. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ....
    เปรียบเหมือนขวากหนามที่ตั้งอยู่ในตีนเรา เข็มมีเต็มไปหมด แต่ไม่รู้จักหยิบเอาเข็มนั้นมาใช้ เข็มนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์ ตีนนั้นก็ไม่สามารถจะเอาหนามนั้นออกได้
    ธรรมะมีอยู่ทั่วไป แต่เมื่อบุคคลใดมีปัญญา มีสติมาระลึกบทใดบทหนึ่ง มากำกับอยู่ในหัวใจเราอย่างนั้นแล้ว ตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งใจนั้นเกิดความสงบแล้ว ก็เหมือนหนามที่ทิ่มแทงออกไปจากตีน รู้จักหยิบเข็ม จะตื้นลึกขนาดไหนก็เอาเข็มมาบ่งเข้า ไอ้หนามนั้นมันก็ออกไปจากเท้าของเรา เราก็ได้รับความสบาย ไม่เสียว ไม่เจ็บ ไม่ปวดอีกเหมือนเดิม ใจที่ถูกธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าไปข่มเข้า ใจนั้นก็สงบเยือกเย็นในขณะนั้น
    การปฏิบัติ หัวใจก็ต้องมีความเข้มแข็ง ความอุตสาหะ ความพยายาม ความพากเพียรอย่างนี้ เหมือนไฟที่มันไหม้ติดอยู่กับศีรษะของเราอย่างนี้ เพราะหัวใจอันนั้นไม่เห็นภัย ไม่เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์เดือดร้อน เหมือนอย่างที่ไฟที่ติดอยู่ในหัวเราอย่างนั้นเหมือนกัน บางคนก็ทนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักวิธีแก้ไขดับไฟ ปล่อยให้มันไหม้อยู่ในหัวเรา ก็มีแต่วันที่จะตายจมลงไปอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เพราะเราไม่มีอุบายที่จะแก้ไข อันนี้เป็นสิ่งที่ยาก การแก้หัวใจที่ไม่สงบ ก็ต้องใช้ความพยายามแก้ไขดัดแปลงให้มากๆ ไม่ใช่จะนิ่งเพ่งดูจำเพาะหัวใจอันนั้น อันเดียวอย่างนั้น
    <TABLE width=150 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    กุฏิท่านพ่อลี ที่วัดทรายงาม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    การเพ่งอย่างนั้น ก็ใช้ได้เหมือนกันสำหรับผู้ที่มีกำลัง ถ้าผู้ไม่มีกำลังแล้ว นิวรณธรรมก็เข้ามาทับ หรือเรียกว่าอารมณ์ทั้งหลายเข้ามาชิงความดีของเราที่จะตั้งอยู่ไม่ได้ มันคอยให้ส่ายออกไป โน้มน้าวหาอารมณ์เข้ามาป้อนใจอยู่ตลอดเวลา สมาธิก็ไม่สามารถจะตั้งได้ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติก็ต้องดูเล่ห์ ดูเหลี่ยมดูใจของเรา ใครจะพูดขนาดไหนมันก็ไม่เท่าใจเรา เราต้องดูเราเอง ดูที่หัวใจลงไป ในขณะที่บำเพ็ญอย่างนั้นใจมันไม่สงบ เพราะใจไปคิดวุ่นวายสิ่งใดอย่างนี้ เราต้องหาวิธีแก้ไข ก็เคยพูดให้ฟังอยู่บ่อยๆ แล้วว่า ต้องใช้การบริกรรม เหมือนอย่างคนเราที่ตกไปในกลางทะเล ไม่มีเรือไม่มีแพ ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นพาหนะก็จำเป็นต้องหา มีหู มีตา มีอันใดที่จำเป็นต้องใช้ก็ต้องพยายามหาสิ่งนั้นเพื่อป้องกันชีวิตนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบก็ต้องเป็นอย่างนั้น มีท่อนไม้ ท่อนต้นกล้วย หรือวัตถุอย่างใดๆ มีไม้ไผ่ เป็นต้น ที่จะสามารถเกาะยังชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย ไม่ถึงแก่กาลตายจมลงไปในทะเล
    เหมือนกันกับเราภาวนา ถ้าใจมันไม่สงบ ใจมันก็วอกแวกอยู่ตลอดเวลา ใจไม่สงบ หรืออย่างเกิดความง่วงเหงาหาวนอน หรือเกิดความขี้เกียจขี้คร้าน เกียจคร้านจนไม่อยากคิด นี่มันเป็นอุปสรรคสำหรับการภาวนาทั้งนั้น อุปสรรคสำหรับการปฏิบัติของหัวใจ หัวใจผู้ปฏิบัติก็จำเป็นต้องเข้มแข็งต่อสู้ กำจัดสิ่งเหล่านี้ให้มันออกไปจากหัวใจเรา เมื่อกำจัดออกไปได้ อย่างนั้นก็เหมือนเรามีกำลังลอยอยู่ในทะเลนั่นแหละ เจอะท่อนไม้ที่ได้อาศัยไปถึงฝั่งได้ก็ไม่ถึงแก่ความตาย อุปมาอุปไมยก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ใจที่พะว้าพะวงมีนิวรณธรรมเข้ามาครอบงำใจเราอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงถึงนาทีสองนาทีอย่างนี้ มันก็ชิงเอาไปหมด ไม่ได้ความดีเกิดขึ้นกับใจเรานี่
    เพราะฉะนั้นท่อนไม้ซุงอันใด ที่เราเกาะชีวิตไปนั้นอันยังชีวิตเราไม่ให้ตาย ก็เหมือนกับที่เราอาศัย พุทโธ ธัมโม สังโฆ อันใดอันหนึ่ง หรือความตาย ความไม่เที่ยง ความเจ็บความป่วยอันใดๆ ท่อง อรหัง พุทโธ อิติปิโส ภควา บทใดบทหนึ่ง หยั่งลงไปให้ถึงหัวใจอยู่อย่างนั้น แล้วให้กอดแน่นอยู่อย่างนั้น ไม่ให้ใจพะวักพะวงไปที่ใด อย่างนี้นี่เรียกว่าเป็นอุบาย เป็นที่จะประคับประคองใจของเรานั้นไม่ให้เข้าไปแส่ส่ายหาอารมณ์เข้ามาป้อนใจ
    เมื่อภาวะของใจจดจ่ออยู่อย่างนั้นแล้ว ใจนั้นมันก็จะเกิดความสงบ คือเมื่อก่อนจะสงบมันก็ต้องกำจัดนิวรณ์ตัวนั้นเองออกไป เมื่อนิวรณ์มันออกไป เมื่อเราเพียรพยายามว่าอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ใจนั้นก็จดจ้องกับการบริกรรมอยู่อย่างนั้น ตลอดต่อเนื่องกันไป ใจนั้นก็เริ่มสบาย นิวรณ์ไม่ค่อยมีมา หรือมีมาก็ห่าง ถ้าเห็นว่ายังห่างอยู่ เราก็ต้องอย่าเพิ่งทิ้งการบริกรรมตัวนั้น
    กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ ราคะ โทสะ โมหะ มันฝังอยู่ในหัวใจ เป็นเหมือนหนามมาแทงอยู่ในอกอย่างนี้ มันเจ็บแสบอยู่ทุกวัน เราไม่พยายามถอดมันแล้ว มันก็เป็นไต เป็นหนองแล้วก็เน่าเปื่อย ผลที่สุดก็ตาย ใจเรานี่เป็นอย่างไรมันจึงไม่สงบ เราก็จำเป็นจะต้องพยายามเอามันให้เกิดความสงบจนได้ อย่าให้เสียทีที่เราเป็นนักปฏิบัติ ต้องมีความเข้มแข็งสำหรับใจ บางคนกายก็ไม่เข้มแข็ง ใจก็ยิ่งไม่เข้มแข็งไปใหญ่ บางคนกายไม่ให้แต่ใจเข้มแข็งอย่างนี้
    เพราะฉะนั้นต้องอุตส่าห์ อันธรรมของพระพุทธเจ้า ยกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง บำเพ็ญจนได้เป็นสัพพัญญู ก็ต้องเอาอยู่ ๖ ปีอย่างนี้เป็นต้น ต้องใช้ความพยายาม อดข้าวอดปลา ทำสารพัดสาระเพทุกอย่าง ทำจนเกือบล้มเกือบตายก็ยังไม่ได้สำเร็จมรรคผลธรรมวิเศษนี่ เป็นอย่างนั้น จนกระทั่งมาได้ปีที่ ๖ นี่ มาเห็นปฏิปทาทางเดิน ถึงอานาปานสติ เมื่อใช้ปัญญาพินิจพิจารณา จึงได้รู้ความจริงเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ในการปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน อันใดที่จะแก้ใจให้มันขาดจากนิวรณ์แล้ว ใจนั้นจะได้เป็นสมาธิ นั่นแหละเป็นอุบายสำคัญที่มันจะแก้ใจเราได้ ใจอย่างนั้น จึงเรียกว่าใจอาตาปี คือใจที่สามารถแผดเผากิเลสลงได้
     
  8. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ...​
    ชีวิตนี้เหมือนลิเก
    <TABLE width=150 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    พวกเราทุกคนที่มุ่งเข้าหาความสงบ การทำความสงบนี้เป็นสิ่งสำคัญในบรรดาโลกทั้งหลาย ถ้าเราสังเกตดูอย่างลิเกที่เล่นอยู่อย่างนี้ เอาเสียงหาเงินมาเลี้ยงชีพของตัว ตะเบ็งอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน หลายๆ คืน หลายๆ วัน อย่างนี้เป็นต้น เขามีอุตสาหะ พยายาม พากเพียร พวกเราเป็นผู้ที่สละกิจการบ้านเมืองอย่างนั้น มุ่งมาดปรารถนา ที่จะหาความสงบจริงๆ จังๆ นี่เป็นจุดสำคัญของเรา เขาเล่นลิเกตั้งหลายๆ ชั่วโมง อย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่ค่อยจะเหน็ดเหนื่อยเท่าไหร่ เขาก็มีความเหน็ดเหนื่อย ถ้าถึงเวลาที่จะรบกันในเรื่องอย่างนี้
    เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เมื่อเรา โอปนยิโก น้อมเข้ามาใส่ตนแล้ว ก็เป็นคติเครื่องเตือนใจที่จะสอนเรา อย่างเรานั่งกรรมฐานอย่างนี้ มันเกิดเจ็บเกิดปวดเกิดเมื่อยขึ้นมาอย่างนี้ เราก็น้อมสิ่งเหล่านี้ว่า
    ลิเกนะเขารำได้ ทั้งฟ้อนรำ ทั้งเต้นรำ ทั้งกระโดดโลดเต้น ต่างๆ นานาได้เป็นเวลาตั้งหลาย ๆ ชั่วโมง ทำไมเขาทำได้ เราจะสร้างความดีความงามให้กับหัวใจของเรา ให้ใจเราเกิดความสงบอย่างนี้ เราจะแพ้ได้อย่างไร นี่เราต้องคิดอย่างนั้น เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว มันมีใจอุตสาหะ มีวิริยะ ความพากเพียรเกิดขึ้น
    สิ่งที่เราจะได้รับความแจ้งประจักษ์ขึ้นในตัวเรา ก็ต้องอาศัยวิริยะ ความพากความเพียรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเมื่อขาดวิริยะความพากเพียรแล้วธรรมะจะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะธรรมะเป็นของจริง บุคคลที่จะเข้าไปรู้ความจริงนั้น อย่างการทำสมาธิ ก็จำเป็นจะต้องปลดเปลื้องอารมณ์ที่เป็นอดีต อนาคตให้เหลือใจอันเดียวอยู่กับพุทโธ หรือธัมโม สังโฆ บทใดบทหนึ่ง หรือมรณานุสติ อย่างนี้ เป็นต้นแต่ลักษณะใจเช่นนั้น ที่ไม่ค่อยเคยฝึกหัด หรือไม่เคยชำนิชำนาญ ในการกระทำในขั้นต้น เมื่อการบริกรรมอย่างนั้น ใจก็ต้องวอกแวกคิดไปในที่อื่นบ้าง เป็นธรรมดาของใจ เหมือนวัว ควาย ที่เอามาเลี้ยงอยู่ ยังไม่เคยฝึกชำนิชำนาญ ก็ต้องดึงเชือกดึงพรวนจนขาดอย่างนี้เป็นธรรมดา เหมือนกับตัวเรา
    เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความกล้า ความอาจหาญ ความพรากความเพียรอย่างนั้น จึงจะได้ประสบพบความจริงจากธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ต้องอาศัยความจริงเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น ไม่เห็นแก่ปากท้อง ไม่เห็นแก่หมอน ไม่เห็นแก่เสื่อ นั่งตามสบายตั้งใจภาวนาอย่างจริงจัง อย่างนั้นจึงจะประสบสิ่งอันสูงส่ง
    การภาวนาต้องบริกรรม [​IMG]
    ฉะนั้น พวกเราอย่าไปเสียดายบริกรรม ว่าจนให้มันเหนื่อยที่สุด ให้มันนานเท่าไรได้ยิ่งดี สักประเดี๋ยวจิตมันก็สงบ มันโหยจากการไม่นึกคิดแล้ว ถ้าเราไม่บริกรรมมันกำลังแข็งตัว มันก็ต้องออกไปสู้กับเราอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นต้องบริกรรม พุทโธๆ โธๆ ๆ ๆ ๆ ว่าให้เร็ว พอมันหมดลมก็เอาอีก โธๆ ๆ ๆ ๆ แต่อย่าให้ดัง เดี๋ยวเขาว่าบ้า ให้เบาๆ ในใจ ว่าอยู่อย่างนั้นให้เร็วๆ ๆ โธๆ ๆ หยุด โธๆ ๆ หยุด ถ้าเรา โธเข้า โธออก ก็เสร็จฉิบ...หมดซิ หัวใจมันห่าง แล้วมันคิดหมด
     
  9. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ...​
    การดูลม
    <TABLE width=150 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    กุฏิสงฆ์วัดทรายงาม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    การดูลมหรือที่เรียกว่าอานาปานสตินี่ ต้องเหมือนคนเป็นเศรษฐี ต้องมีทรัพย์สินข้าวของเงินทองกินไม่หมดแล้ว จึงดูลมได้ นั่นบุคคลนั้นเป็นเศรษฐีแล้ว รวยแล้ว ถ้าพูดถึงสมมุติ ต้องเป็นอริยะเจ้าขั้นสูงแล้ว เป็นพระขีณาสพ นั่นจึงดูลม ถ้าผู้ไม่เป็นพระขีณาสพไปดูลมไม่ได้ สมาธิยังไม่พอ ปัญญายังไม่พอ ยังไม่สิ้นอาสวะ ตัวนี้ตัวสำคัญ มีคนมาถามกันแยะนะ ถ้าใครไม่เชื่อก็ให้กลับไป คุยกันไม่รู้เรื่อง
    มีผู้หญิงมาถาม เราก็นั่งหลับตาคุยด้วย มันเอาตำรามาเปิด ทีหลังมันถามเรื่องรูปฌาน อรูปฌาน เอ๊ะ!... เปิดตำรา ดูตำรา เลยบอกโยมกลับเถอะ เราไม่เป็น...ไม่เป็นแล้ว ไล่กลับไปเลย
    เกือบเป็นวิปัสสนู
    เราเกือบจะเป็นวิปัสสนู มันฟุ้งซ่าน เห็นคนพอใจสงบปั๊บ ไปมองดูคน เขามาอยู่ในโลกทำไม มันได้อะไร ใจจะออกไปสอนเขาท่าเดียวนะ ทีหลังไปเปิดตำรา อ๋อ! ที่เรียกว่าอุธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น มันเป็นสมาธิเหมือนกัน แต่มันเป็นวิปัสสนูแล้ว มันเอาไม่อยู่หรอก เอายากอย่างที่พระอาจารย์กงมาท่านบอก มีเด็กมาอยู่ที่นี่ด้วยเป็นวิปัสสนู ก็บอกให้เอาไปขังอย่าให้ออกไปพูด ถ้าคนไปคุยยิ่งไปกันใหญ่ ฟุ้งซ่านตัวสั่น กำลังเป็นวิปัสสนูคนนี้ คนแก้ไม่เป็น ยิ่งไปคุยล่ะ ฟุ้งตายเลย มีก๋งสอน (ก๋งชื่อว่าสอน) กำลังภาวนาดี คนแก่อายุ ๘๐ ปี มีพระไปอยู่ด้วยองค์หนึ่งเป็นมหานิกาย ไปคุยกับแกทุกวัน ยิ่งคุยธรรมะนั่นแหละยิ่งฟุ้งใหญ่ จะเหาะเดินเหินฟ้าอยู่เรื่อย ๆ เราจึงบอกว่า มาหามาคุยกับก๋งไม่ได้นะ ก๋งกำลังเป็นวิปัสสนู จะเสีย แกก็ไม่ฟังเพราะเป็นมหานิวาย ถ้าไม่เป็นมหานิกายจะถูกเตะ เล่นจนก๋งสอนเสียคนเลย ก๋งท่องทั้งวันว่า
     
  10. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ..​
    เตือนตน
    เมื่อทำวัตรสวดมนต์เสร็จ พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ท่านจะเทศน์ธรรมะทุกๆ วัน พวกเราก็เข้าที่นั่งสมาธิ บางคนนั่งภาวนาไม่ได้ ไม่รู้เป็นอะไร เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอนั่งเดี๋ยวเดียวของขึ้น ศาลากระพือหมดเลย ทำไมไม่รู้ นั่งไม่ได้ กระโดดขึ้นมาเลย พระอาจารย์กงมาว่า
     
  11. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ..​
    ธรรมปีติ
    เมื่อนั่งภาวนาหลายๆ ชั่วโมง จิตถอนออกจากสมาธิแล้ว เข้าทางจงกรม เดินจงกรม กำหนดตั้งจิตภาวนาต่อไม่หยุด เดินจงกรมยาวประมาณจากกุฏินี่ถึงหน้าประตู (ท่านชี้บอกระยะทางที่ให้เดินประมาณ ๓๐ ก้าว) แผ่นดินแหลกหมด เดินทั้งคืนยันสว่าง เดินพิจารณาอยู่อย่างนั้นทั้งคืนจนกระทั่งสว่าง เดินมากเข้าๆ แทนที่จะเหน็ดเหนื่อย กลับกระปรี้กระเปร่า กายเบาจิตเบา กายอ่อนจิตอ่อน โอ้โฮ...เบาปีติมันขึ้น...เบา ขาทำท่าจะลอยขึ้นจากพื้นดิน ลอยซิ ลอย ลอย ไม่ขึ้นสักที (หัวเราะ) ขานี่เบาโล่งหมด ความรู้เด่นดวง อันนี้เป็นปีติในธรรม การปฏิบัตินั้นถ้าจริตเราถูกกับแบบไหน ก็ต้องทำซ้ำไปซ้ำมา ไม่ใช่เปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ จะไม่ได้ผล
    เมื่อจิตสงบมีตัวรู้ เกิดวิจารคือการยกจิตขึ้นมาพิจารณาด้วยปัญญา เกิดปีติ สุข เอกัคคตา มันรวมเป็นอัปปนาสมาธิ บาลีท่านว่า
     
  12. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ...​
    การพิจารณากายเพื่อลิ้มรสพระธรรม
    เมื่อเราปฏิบัติอยู่ที่วัดทรายงาม ถึงสมาธิเราจะดีขึ้นจนแน่น แต่เราก็เตือนตนเสมอวา
     
  13. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ..​
    จิตรวมใหญ่ใต้ต้นกระบก
    จนในที่สุดเมื่อภาวนาอยู่ไม่รู้จักคำว่า
     
  14. putipongb

    putipongb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    594
    ค่าพลัง:
    +3,843
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ ผมเคยไปกราบหลวงปู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นยังโง่ไม่รู้จักพระทองคำ
     
  15. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ..​
    กราบลาพระอาจารย์กงมา
    หลังจากออกพรรษาประมาณเดือนธันวาคม ๒๔๘๒ จึงตัดสินใจเข้าไปกราบลาพระอาจารย์กงมา เพื่อเดินทางไปหาท่านพระอาจารย์มั่นที่เชียงใหม่
    สาเหตุที่ต้องเดินทางไปหาท่านนั้น ในใจจริงๆ แล้ว เราคิดว่าเราภาวนาดีพอตัว ถ้าจะพูดหรือสนทนากับใคร คิดว่าในเรื่องจิตนี้คงไม่จบลงโดยง่าย อาจจะมีข้อขัดแย้งกันอีกนานาประการ เราเอาท่านเป็นเกณฑ์เลย เพราะองค์อื่นๆ ที่มาสอนธรรมะอยู่ ณ เวลานี้ ก็ล้วนเป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้น ดังนั้นเราไปหาจุดใหญ่เลย จะต้องดีกว่าแน่นอน เมื่อแน่ใจในตนเอง โดยไม่ปริปากบอกใคร เพราะถ้าบอก เขาก็จะพากันห้ามปราม กลัวเราจะอยู่กับท่านไม่ได้
    แม้แต่พระอาจารย์กงมา เราก็ไม่ได้บอกเรื่องภายในจิตนี้ เราคิดว่า ถ้าบอกเล่าถวายท่าน ท่านก็คงไม่เชื่อ เพราะเราบวชยังไม่นาน อีกทั้งสมัยนั้นมันดื้อมาก ดื้อมากขนาดไม่มีใครจะเชื่อว่า เราภาวนาดีได้ จึงตั้งใจไว้ว่า
     
  16. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ..​
    เมื่อเราพูดขึ้นอย่างนั้น พระอาจารย์กงมาจึงพูดขึ้นว่า
     
  17. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ...​
    พอถึงวันออกเดินทาง มาขึ้นเรือนิภาที่ท่าแฉลบ พร้อมกับท่านเฟื่องและท่านพ่อลี ท่านพ่อลีท่านไปอินเดีย ไม่ได้นั่งเครื่องบินไปนะ ท่านเดินเที่ยวธุดงค์ออกไปทางจังหวัดตากแล้วเข้าไปทางพม่า
    บทเวลาจะไป โยมพ่อโยมแม่ ญาติพี่น้องร้องห่มร้องไห้กันใหญ่ จะไม่ยอมให้เดินทาง ไม่ยอมให้ขึ้นเรือ พูดอ้อนวอน เพื่อจะไม่ให้ไปด้วยอุบายต่าง ๆ นานา พี่สาวมันพูดขึ้นว่า
     
  18. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ...​
    เดินทางสู่เชียงใหม่
    <TABLE width=100 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    สมเด็จพระมหาวีรวงศ์
    (พิมพ์ ธมฺมธโร)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ...พักอยู่ที่กรุงเทพฯประมาณ ๒๐ วัน ขึ้นรถไฟเดินทางไปที่เชียงใหม่ ถึงเชียงใหม่แล้วนั่งสามล้อต่อไปที่วัดเจดีย์หลวง พักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงประมาณ ๔ วัน
    ตอนออกเดินทางมาจากกรุงเทพฯ มีปัจจัยอยู่เพียง ๗ บาท จ่ายค่ารถ จ่ายค่าสามล้อหมดพอดี ไปพักอยู่วัดเจดีย์หลวง ได้พบกับพระมหาเสงี่ยม สนทนากันแบบเพื่อนผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ พูดจาถูกคอกัน ท่านเห็นว่าเราไม่มีเงินค่ารถ จึงชักชวนให้อยู่ก่อน ท่านนิมนต์ให้อยู่ถึงวันพระก่อน เพราะวันพระที่จะถึงนี้ท่านจะเป็นองค์แสดงธรรม ญาติโยมคงจะถวายกัณฑ์เทศน์ โดยตามปกติแล้ว ในวันพระทุกวันพระ พระที่เทศน์จะได้ปัจจัยที่โยมถวาย ๘๐ สตางค์ พอท่านได้ปัจจัย ท่านก็นำมาถวายเป็นค่ารถในการเดินทาง
    ในวันที่ไปถึงเชียงใหม่ ก็เดินทางเข้าไปพักที่วัดเจดีย์หลวง สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ตอนนั้นท่านยังเป็นพระราชกวี (พิมพ์) ตอนนั้นท่านยังหนุ่ม ยังไม่รู้จักกันกับท่าน ท่านก็ให้เราเข้าไปนอนในเจดีย์ใต้เจดีย์หลวง มีทางลอดเข้าไปแคบ ๆ พอนอนได้ ภายใต้เจดีย์นั้นผีดุมาก พอเอนกายนอนลงเท่านั้น มีผีเปรตตัวใหญ่ดำมะเมี่ยม มายืนคร่อมเราอยู่ เราว่าคาถาภาวนามันก็หายไป
    <TABLE width=150 align=right border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    เจดีย์วัดเจดีย์หลวงที่หลวงปู่เจี๊ยะเข้าไปพักในคืนแรกที่ไปถึงเชียงใหม่
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    พอตอนเช้า พวกพระเขาก็พูดกันว่า ใครๆ เข้าไปนอน เป็นต้องหนีตายออกมากลางคืน มีเรานี่แหละอยู่ได้จนสว่าง เขาพูดกันว่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเรื่องผีเปรตที่เคยหลอกหลอนคนและพระก็เงียบสงบไป ผีเปรตตัวนี้กับเรามันคงเคยสร้างบุญสร้างกรรมกับเรา พอเราแผ่เมตตา สวดคาถาภาวนามันก็หายไป ในสมัยนั้นภายใต้เจดีย์นั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปนอนเลย
    มันก็แพ้คุณธรรมของเรา มันดุ เรากำลังทำสมาธิ มันก็เข้ามา มันก็มาตัวดำๆ ทะมึนทึง เราไม่กลัว เราก็ว่าคาถาภาวนา สักประเดี๋ยวมันก็หายไป
     
  19. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ..​
    แต่ก่อนสถานที่นั้นเป็นของวัดพระฝ่ายมหานิกายมาก่อน แต่ต่อมาเป็นของพระธรรมยุต พระเข้าไปนอนไม่ได้เลย มันรังแก
    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เราถึงได้รู้จักกันกับท่านพระมหาพิมพ์ ต่อมาท่านก็เป็นเจ้าคุณฯ และเป็นสมเด็จฯ ตามลำดับ
    <TABLE width=100 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พระอาจารย์เฟื่อง โชติโก
    สหธรรมิกหลวงปู่เจี๊ยะ ที่เดินทางไปหาท่านพระอาจารย์มั่นพร้อมกัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    พอตกกลางคืนก่อนวันออกเดินทาง ภาวนาเกิดนิมิต นิมิตนี้เป็นนิมิตธรรมดาแต่ก็แปลกดีเหมือนก่น พอภาวนาสงบเกิดนิมิตเห็นไก่ ๒ ตัว เห็นถึงสองครั้งสองคราในนิมิต ก็กำหนดรู้ ไม่ได้ใส่ใจอะไร ถือว่าเป็นสิ่งผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จากนั้นก็จำวัด พอถึงรุ่งเช้า มีโยมเอาไข่ต้มเข้ามาถวาย ๒ ฟอง ไปที่ไหนเขาก็ไม่ไป เดินตรงดิ่งเข้ามาถวายเรา ไข่ต้ม ๒ ฟอง แบ่งกับท่านเฟื่องคนละฟอง ฉันกับข้าวเหนียวนึ่ง มันติดคอเพราะเราไม่เคยกิน พอฉันเสร็จก็ออกเดินทางเลย....
    ...พักที่วัดเจดีย์หลวงพอสมควรแล้ว ก็ออกเดินทางไปเชียงดาว แล้วธุดงค์ต่อไปทางปางแดงอันเป็นป่าอยู่ในกลางหุบเขา พักที่ปางแดงพอสมควรแล้วก็ออกเดินทางไปตามหุบผาป่าเขา อันสลับซับซ้อน ทะลุถึงอำเภอพร้าว พักอยู่ตามป่าที่อำเภอพร้าว เพื่อสอบถามว่า ท่านพระอาจารย์มั่นพักอยู่ที่ไหน คุยภาษาเหนือกับคนทางเหนือไม่รู้เรื่อง มันก็ถามเราว่า
     
  20. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ต่อ..​
    เรานึกอยู่อย่างนี้เป็นพันๆ หมื่นๆ ครั้ง หรืออาจจะเกินกว่านั้น ทั้งนึก ทั้งบ่น ทั้งพูด ทั้งคิดแต่ดีอย่างหนึ่ง มันไม่ถอย ใจดวงนี้ไม่มีวันถอย แต่อย่างไรเสียก็ต้องตามหาท่านพระอาจารย์มั่นให้เจอ อยากเล่าสิ่งที่ใจมันเป็นให้ท่านทราบ แล้วท่านจะว่าอย่างไร ถึงตามท่านไม่เจอที่นั่น ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ก็จะตามไปถามจนเจอ ถ้าไม่ตายจากกันก่อน ยังคงต้องตามท่านจนเจอ ใจมันมุ่งมั่นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนกับว่ามีเครื่องดึงดูดให้ไป ให้แสวงหาสิ่งนั้นอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ก่อนบวชนี้เรื่องศาสนาไม่เคยสนใจแม้แต่น้อย ถ้ามีพระแสดงธรรมพระเทศน์ต้องชิงหนี แต่ตอนนี้เดี๋ยวนี้จิตมันไม่เป็นอย่างนั้น มันกระหายผู้รู้ผู้เห็นธรรม มาเป็นสักขีพยานว่าเราไม่ได้บ้า เป็นธรรมที่ชาวโลกที่หมกมุ่นไปด้วยกิเลสตัณหาเอื้อมไม่ถึง แต่เป็นธรรมที่พระอริยเจ้ารับรอง โดยความเป็นธรรมสมควรแก่ธรรม และทรงธรรมนั้นไว้ด้วยความสง่างาม ปานประหนึ่งว่าทรัพย์สมบัติในมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลกไม่เทียมเท่า ไม่อาจแม้จะเทียบเท่าได้ด้วยอุปมาอุปไมยใดๆ
    ถ้าเราพูดว่า เราไม่สนใจในทรัพย์สมบัติเหล่านั้น เพราะสมบัติเหล่านั้นด้อยค่ากว่าธรรมสมบัติที่เราเห็น แม้สมบัติล้ำค่าเช่นนั้น จะมากองเท่ากับภูเขาเลากา แล้วเอามาแลกเปลี่ยนกับธรรมที่เรารู้ได้ เราก็ไม่เอา การพูดว่าไม่เอา คนทั้งหลายในโลกที่มักจะละโมบโลภมาก ต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอน เราต้องพูดกับคนที่รู้เห็นอย่างเดียวกัน คือพุทธสาวกที่รู้ธรรมเห็นธรรมอย่างเดียวกัน ฉะนั้นองค์ท่านพระอาจารย์มั่นน่าจะเป็นสักขีพยานแห่งธรรมได้เป็นอย่างดี เมื่อพูดเมื่อคิดเช่นนี้จึงเร่งฝีเท้าต่อไป
    เมื่อเดินทางถึงบ้านแม่กอย ถามคน เขาบอกว่า ท่านพักอยู่ที่วัดร้างป่าแดงนั้น ก็รีบเร่งเดินทางเข้าไป กระหายใคร่เห็น ใคร่สนทนา มากกว่าการกระหายน้ำ ลืมความเหน็ดเหนื่อย มุ่งตรงเข้าไปยังวัดร้างป่าแดง มีกระท่อมน้อยๆ มุงหญ้าคา ฝาขัดแตะและใบไม้ พื้นไม้ไผ่ ดูๆ ในสถานที่น่าจะมีพระอยู่กันหลายองค์ เพราะสะอาดสะอ้านเหลือประมาณ บ้านเราอยู่เป็นสิบคน ที่แคบๆ ยังไม่สะอาดเท่านี้ นี้น่าจะมีพระอยู่จำนวนไม่น้อย
     

แชร์หน้านี้

Loading...