ประวัติ แม่ชี ณัฐทิพย์ ตนุพันธ์ พอสังเขป

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย hongsanart, 15 สิงหาคม 2006.

  1. ผู้หญิงธรรมดา

    ผู้หญิงธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +535
    หนึ่งชีวิตมีมากมายหลายเรื่องราว ฟังแล้วเอามาประยุกต์ใช้กับเรื่องราวตัวเอง จะได้สร้างภาระให้สังคมครอบครัวน้อยหน่อย มีกำลังใจในการต่อสู้กับสังคมมากขึ้น อนุโมทนาเจ้าค่ะ
     
  2. ยี่เข่ง

    ยี่เข่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +36
    กราบอนุโมทนา สาธุ
    อ่านแล้วซึ้ง แม่ชีทำไมสู้ชีวิตขนาดนี้
    ทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไปค่ะ
     
  3. ยี่เข่ง

    ยี่เข่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +36
    อ่านจบค่ะ
    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ
    เรื่องต่าง ๆ มากมายทำให้ท้อแท้
    ลูกก็เป็นบุคคลหนึ่งเพิ่งหันมาปฏิบัติธรรม
    แต่ก็ต้องทำงานไปด้วย รู้สึกเบื่อทางโลกทุกวัน ๆ
    ปัญหาเล็ก ๆ คนทุกก็ไม่ล่ะกัน
    ลูกพยายามนำคำสั่งสอนของพระอาจารย์มาปฏิบัติได้ผลดี ค่ะ
     
  4. sacrifar

    sacrifar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +3,221
    แม่ชีสู้จริงๆครับ ผมเองชายแท้ๆยังไม่รู้ว่าจะใจถึง-กายถึงแบบแม่ชีหรือเปล่า เรื่องประกันนั้นเคยมีประสบการณ์เหมือนกัน เป็นประกันภัยรถยนต์ของบริษัทแห่งหนึ่งครับ วันนั้นแม่ผมเป็นคนขับรถกำลังจะออกจากลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เลี้ยว เอี๊ยด แคร่กๆ ไปถูกับรถที่จอดข้างๆ เอาล่ะสิ เรียกประกัน (ตามสูตร) ซึ่งประกันรถแม่ผมก็ทำไว้กับตัวแทนขายที่อยุ่ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้นั่นแหละ แต่โทรติดต่อไปก็ถูกโยนไปให้บริษัทใหญ่(ตามสูตรอีก) พอโทรไปที่บ.ใหญ่ก็โยนไปไหนไม่รุ้อีก เสียเวลาอยุ่หลายช.ม. เป็นอันว่าไม่โทรแล้ว เดินไปหาเจ้าตัวแทนขายเลย ต่อว่าให้ แล้วก็เคลียๆ นี่ขนาดตัวแทนขายมันอยุ่ในที่เกิดเหตุเลยนะเนี่ย ถ้าไปแอ๊กซิเด้นกลางถนนที่ไหน คงต้องรอเป็นครึ่งวัน เฮ้อ อยากให้พวกนี้มาอ่านที่แม่ชีสอนจัง (แต่คนดีๆก็มีนะคับ ถึงแม้จะน้อยก็เถอะ)
     
  5. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ประวัติภาค ๒ ตอน ๓

    หลังจากผ่าตัดสลัดทิ้งเพื่อนร้ายในกายออกไปจากตัวแล้ว ดูเหมือนอะไรๆบางอย่างเริ่มมีปฏิกิริยา มีการเปลี่ยนแปลงในหลายอย่างของชีวิตมากขึ้น แม่ชีพึมพำกับตัวเอง

    "ป่วยครั้งนี้ทำให้เราได้เห็นอะไรดีๆจากที่ไม่เคยเห็นนั่น คือ น้ำใจของคน คนที่บอกว่ารักอาจารย์

    ยามตัวเองเดือดร้อนอาจารย์จัดการแก้ปัญหาให้ได้ทุกเรื่อง เมื่อถึงเวลาอาจารย์ต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง กลับไม่เห็นหัวและไม่เห็นหน้ารวมทั้งไม่ได้ยินเสียงทักทายเลย

    ไม่เหมือนเมื่อคราวที่เขาเดือดร้อน เช้าถึง กลางวันถึง เย็นถึง สารพัด นี่แหละหนา คน" แม่ชีนั่งพึมพำกับตัวเองไปเรื่อยๆ

    ไม่ได้น้อยใจหรือเสียใจอะไร เนื่องจากเข้าใจ ธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งย่อมเป็นเช่นนี้ เรื่องการคิดมันก็เป็นเรื่องธรรมดา คนไม่คิดอะไรเลยนี่สิ มันไม่ธรรมดา และแม่ชีก็ไม่เชื่อว่า จะไม่มีใครคิดอะไรเลย

    "ส่วนลูกศิษย์ใกล้ๆก็ยังทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย เช่น คุณอ้อย,ปุก และลูกศิษย์อีกหลายคน ช่วยกันสรรหา อาหาร เครื่องบำรุงอาจารย์เป็นการใหญ่

    ที่สำคัญคือ เพื่อนไม่เคยทิ้งเพื่อนจริงๆ เพื่อนในที่นี้ คือ โยมที่เจอกัน
    จนเรียกกันว่าเพื่อน เพื่อนคนนี้บินตรงจากกรุงเทพฯลงมาหา มาให้กำลังใจทั้งๆที่ไม่ค่อยมีเวลามากเท่าไหร่ต้องบินต่างประเทศเสมอ

    เพื่อนบอกว่า "อาจารย์จะเอาเงินจากไหนรักษา (เป็นเพื่อนแต่ยังคงให้เกียรติเรียกอาจารย์)

    "ตรงนี้แหละที่ชอบมาก คือเพื่อนหอบเงินมามอบให้รักษากาย

    แต่สุดท้ายแม่ชีก็นำไปสร้างอะไรหลายๆอย่างใน "ทิพยสถานธรรม"ไม่นำเงินไปสร้างได้อย่างไร ก็สร้างค้างอยู่ ก็ต้องให้เงินผู้รับเหมา ไม่เช่นนั้นจะเสร็จได้อย่างไร? จึงทำให้ที่พักเสร็จไปหลายหลังแล้วด้วยเงินจากการป่วยนี่แหละ...

    (คติ...เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสงามๆจ้า...)

    เมื่ออะไรๆค่อยๆผ่อนคลายด้วยสมองและสองมือกับปากที่ดีไพเราะผสมอาการป่วยที่ก่อประโยชน์อันงดงาม

    ทำให้มีผู้เมตตารวมทั้งพระเดชพระคุณเจ้า เข้ามาสนับสนุนอุดมการณ์
    ในการกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่แม่ชีกำลังดำเนินการอยู่นั่นเอง....

    มาถึงเรื่องการรักษาทางเคมีบำบัดบ้าง ตกลงต้องให้เคมีรวม ๘ ครั้ง ฉายแสง ๒๕ แสง

    ไม่รีรอเอาอย่างไรก็เอากัน ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป (ใจแป้วเหมือนกัน)

    โดยเริ่มจากการเข้ารับเคมีบำบัดครั้งแรก โดยมีคุณสุขสวย พยาบาลโรงพยาบาลสงขลาคือ คุณสมจิตร, คุณธีราพร,คุณอ้อย,ปุก ไปให้กำลังใจและดำเนินการประสานงานกับบุคลากรและแพทย์ทาง ม.อ หาดใหญ่ให้

    ดูๆก็เหมือนเด็กเส้นเพราะผ่านฉลุยไม่ต้องรอนานเหมือนคนอื่น กระดากเหมือนกัน เพราะเห็นคนอื่นนั่งรอกันนานมาก คอพับคออ่อนกันเป็นแถว ทุกสายตาหันมามองแม่ชี ไม่รู้ว่าคิดอะไรในใจกัน (ช่างมันเรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับเรา)

    เข้าพบหมอเพื่อตรวจดูแผล โอ้โฮ!!!ทำไมหมอเยอะจัง อ๋อ...นักศึกษาแพทย์นั่นเอง ตายล่ะสิ...
    ไม่เคยเปิดหน้าอกให้ใครดู ปัดโธ่...ก็อายน่ะสิ นักศึกษาแพทย์ทั้งหญิงและชาย (ผู้ชายมากหน่อย)ยืนมุงดูแม่ชีคล้ายกับเราเป็นตัวประหลาดอย่างนั้น

    หมอใหญ่ให้เปิดหน้าอกเพื่อดูและตรวจอาการ ใจเต้นโครมคราม คิดในใจ
    "ไม่น่าป่วยเลยตู เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ถือว่าเป็นครูให้ดูศึกษากันก่อนเราตายดีกว่า น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าตอนตาย อย่างพวกอุทิศกายให้โรงพยาบาล หลังจากตายแล้ว ให้มันตอนมีชีวิตอยู่นี่แหละดีนักแล"

    คิดได้อย่างนั้นก็เปิดเสื้อให้ดูแบบไม่อายจนคนยืนดูหน้าแดงกันตามๆเลย...เป็นงั้นไป

    จากนั้นก็พบหมอผู้ให้เคมีบำบัดและไปห้องรับเคมี (๒๗ พ.ย.๕๐) รีบไปเพราะยังไม่รู้พิษร้ายของเคมี อีกทั้งอยากรู้นักว่า

    "ทำไมคนรับเคมีจึงตายกันนัก?" พอเข้าไปในห้องรับเคมี มองดูก็เหมือนเก้าอี้นั่งนิ่มๆในหน่วยไตเทียมที่เห็นจนชิน

    เพราะปุกเป็นหัวหน้าหน่วยไตเทียมที่คอยฟอกไตของผู้ป่วยในโรงพยาบาลสงขลา แม่ชีไปนั่งดูบ่อยครั้ง

    ผู้ฉีดยาเคมีอธิบายเรื่องยาเคมี และผลข้างเคียงของยาไปเรื่อยๆ มาถึงตอนผลข้างเคียงของเคมีคือ ผมร่วง

    ข้อนี้ไม่มีปัญหาสำหรับแม่ชี ดีจะได้ไม่ต้องโกนให้เสียเวลาเสียเงินซื้อใบมีดโกนด้วย ฮ้าๆๆๆ...

    ผู้ฉีดเริ่มฉีดน้ำเกลือช้าๆสบายๆ ไม่มีอาการอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็ตามด้วยเข็มที่สอง

    โอ้โฮ!!!ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ?
    แม่ชีถามผู้ฉีด ผู้ฉีดบอกว่ามีอาการอย่างนี้เดี๋ยวเดียวเท่านั้นแล้วก็จะปกติ โอย...มันสุดบรรยาย คันยิบยับจับใจ เห็นดาวเห็นเดือนเลย

    พอยาเข้าไปในร่างกายมันวิ่งไปที่อวัยวะเพศก่อน จากนั้นก็ลามมาที่แผลตรงที่ผ่าตัด ไหลลงไปปลายเท้าแล้วตีขึ้นบนศีรษะ คันบอกไม่ถูก (ถ้าอยากรู้ว่าคันอย่างไรก็ไปให้หมอฉีดดูก็ได้ จะได้รู้ว่ามันสุดๆ)
    แม่ชีต้องเอาปลายเท้าถูกันไปมา สักพักก็ทุเลา

    จากนั้นผู้ฉีดยกยาอีกสองเข็มใหญ่อ่านชื่อเพื่อความชัดเจนกันความผิดพลาดให้ฟัง ทุกอย่างพร้อม เริ่มด้วยตัวยาสีแดง

    ฉีดเข้าไปตามเส้นอย่างช้าๆ แม่ชีนั่งหลับตาทำสมาธิตามรู้กับการไหลของยา (ปัดโธ่!!!ลูกศิษย์ดันชวนคุยอยู่ได้)

    สักพักแม่ชีก็ลืมตามองดูเคมีไหลเข้าตัวเอง "เออหนอ คนเรานี่ก็แปลก อยู่ดีไม่ว่าดี เอายาพิษฉีดเข้าร่างกาย ทำร้ายตัวเองทำไม?" คิดไปสารพัดจนน้ำยาหมดเข็ม

    เริ่มเข็มที่สองตัวยาเป็นสีขาว ผู้ฉีดบอกว่า "เข็มนี้จะวิ่งขึ้นศีรษะ ทำให้ร้อนและอาจจะมึนศีรษะ รวมทั้งออกทางปาก
    ทำให้ปากแห้งด้วย"

    ยาเคมีไหลเข้าตามเส้นอย่างช้าๆจนหมดเข็ม ผู้ฉีดถามว่า "แม่ชีร้อนไหม?"
    "ไม่ร้อน เย็นศีรษะแต่ว่ามันเหมือนมีควันพุ่งออกจากปาก" แม่ชีตอบกลับไป

    เป็นอันว่าการให้เคมีครั้งแรกผ่านไปด้วยดี แม่ชีเดินออกจากห้องเคมีอย่างสบายๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    คุณสุขสวย ,คุณสมจิตรและคุณธีราพร ต่างกุลีกุจอหาน้ำเย็นมาให้ดื่มแถมด้วยไอศครีมรสวานิลาเย็นชื่นใจ

    ลมพัดเย็นสบายๆ ตอนกลับแม่ชีต้องจูงคุณสุขสวยเพราะอายุมากกว่าแม่ชี (เป็นพยาบาลเก่าที่เกษียณหลายปีแล้ว ถ้าจะพูดไปคุณสุขสวยอายุเท่าๆแม่ของแม่ชี แต่ว่าเรียกแม่ชีว่าอาจารย์ คนฟังบางคนมักจะทำหน้างงๆเสมอ )

    กลายเป็นคนป่วยจูงคนไม่ป่วยแทน เพราะตอนนั้นไม่มีอาการใดๆเกิดขึ้นกับแม่ชีเลย

    ครั้นมาถึงที่ทิพยสถานธรรมไม่นาน อาการปั่นป่วนในท้องเริ่มขึ้น มีอาการมึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนอย่างแรง เสียงโอกอากๆดังลั่นทั่ว
    ทิพยสถานธรรม (สมน้ำหน้าตัวเองเหมือนกัน ทำเก่งต่อหน้าคนอื่น ที่แท้ก็แพ้เคมีนั่นเอง)

    โปรดติดตามตอนต่อไป
    บุญรักษา /ธรรมสวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มีนาคม 2008
  6. jojoedesign

    jojoedesign เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +340
    แม่ชีจึงถามว่า "หมอให้คลีโมเตี่ยหรือ?" พ่อบอกว่า "ไม่ใช่ มันเป็นยาเคมี ไม่ใช่คลีโมอย่างที่หนูบอกนะ"พ่อตอบกลับมา

    แม่ชีจึงกล่าวว่า "แม่ชีบอกเตี่ยแล้วว่า ถ้าเป็นมะเร็งอย่าให้เคมีหรือคลีโมนั่นแหละ อันเดียวกัน แม่ชีจะรักษาเตี่ยเอง แต่นี่ให้เคมีแล้วรักษาลำบาก"

    จากข้อความที่อ้างอิงข้างบน เป็นเนื้อหาที่แม่ชี บอกกับพ่อของแม่ชี ตอนที่ทราบว่าท่านป่วยเป็นมะเร็ง

    ผมจึงอยากถามแม่ชีว่า แม่ชีบอกว่าจะรักษาพ่อเอง และไม่ให้พ่อใช้เคมีบำบัด แล้วทำไมเวลาแม่ชีเป็นจีงไม่รักษาตัวเอง แล้วต้องใช้เคมีบำบัดด้วยครับ
     
  7. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468

    เจริญธรรม...

    ถามได้ดีมาก...

    หมอเป็นโรคภายในกาย ถามว่าหมอผ่าตัดตัวเองได้หรือไม่?
    หมอก็ยังต้องหาหมอรักษาโรคภายในบางอย่าง

    แม่ชีให้หมอเฉพาะทางเอาโรคร้ายออกไป รับทั้งเคมีและฉายแสง หมอกำหนดรับเคมีถึง ๘ ครั้ง

    ตรวจไปตรวจมาลดเหลือ ๖ ครั้ง สุดท้ายจบลงที่ ๔ ครั้ง

    เพราะแม่ชีสอนให้ลูกศิษย์ใช้พลังจิตช่วยกายแม่ชีให้แข็งแรง อีกทั้งต่อสู้กับผลร้ายของเคมีที่กัดกินส่วนดีในกายไปพร้อมๆกับฆ่าเชื้อของโรคร้าย

    คนที่ฝึกจิตมาดีย่อมมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง เมื่อกายเริ่มแข็งแรงขึ้นด้วยการบำรุงดูแลเรื่องอาหารการกิน วิตามินและการออกกำลังกาย

    จากนั้นแม่ชีจึงรักษาตัวเองร่วมกับพลังจิตของหลายท่านที่มาส่งมาให้เกือบทุกวัน

    จึงขออนุโมทนาบุญมา ณ ที่นี้


    ส่วนพ่อของแม่ชีนั้นท่านอายุมากพอประมาณ การรับเคมีทำให้ร่างกายทรุดโทรมมาก ตอนนั้นแม่ชีไม่ได้อยู่ดูแลท่าน เนื่องจากมีภารกิจมาก

    สุดท้ายแม่ชีก็ต้องใช้พลังจิตช่วยพ่อ ตอนที่นำท่านมาอยู่ด้วยบนเขา
    แต่โรคร้ายและความตายไม่มีใครห้ามและหยุดยั้งมันได้
    เพราะพ่อเป็นมะเร็งตับ ,ถุงน้ำดี และลำไส้ระยะสุดท้าย

    ก่อนตายพ่อได้รับธรรมะทำให้จิตสงบระงับจากความเจ็บปวดทางกายและนอนสงบนิ่ง ไม่ทรมาน


    บุญรักษา/ธรรมสวัสดี
     
  8. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    หลายท่านที่เผชิญกับมรสุมกับชีวิต แล้วแก้ไขอะไรด้วยตนเองไม่ได้ ลองมาอ่านประวัติแม่ชีฯ ดูสิคะ เผื่อทำให้ท่านมีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไปได้ง่ายขึ้นกว่านี้
     
  9. jojoedesign

    jojoedesign เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +340
    รับทราบครับ อนุโมทนาครับแม่ชี ขอให้สุขภาพแข็งแรง หายป่วย ไว ๆ ถ้ามีโอกาสจะแวะไปที่เกาะยอ ครับ

    ไม่ทราบว่าปกติ แม่ชีจะจำวัดที่เกาะยอ วันไหนบ้างครับ
     
  10. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    แม่ชีจำวัดตลอดเวลาค่ะ ไม่เคยลืมวัดทุกลมหายใจเข้าออก "วัดใจ"นั่นเอง

    ที่ทิพยสถานธรรม รูปแบบไม่เหมือนวัดทั่วไป ที่นี่เราอยู่กันแบบวัดใจตัวเองและวัดใจผู้อื่น

    ทิพยสถานธรรมถูกห้อมล้อมไปด้วยศาสนธรรม ขวามือเป็นวัดท้ายยอ ซ้ายมือเป็นวัดเขากุด ด้านหน้าเป็นวัดโคกเปี้ยว ด้านหลังเป็นมัสยิด

    ทุกเย็นวัดเขากุดจะสวดมนต์เสียงดัง ผสมผสานกับวัดโคกเปี้ยว ด้านหลังก็ละหมาด ดังมาถึงทิพยสถานธรรม สำหรับวัดท้ายยอเงียบเพราะพระน้อย

    ที่ทิพยสถานธรรมจึงปฏิบัติกิจทางกายด้วยการทำงานดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง
    โดยการแบ่งหน้าที่และช่วยเหลือกัน ก่อนนอนจึงมีการทำกิจทางใจให้สงบเพื่อเตรียมตัวรับวันใหม่ต่อไป

    แม่ชีที่มาอยู่ด้วยส่วนมากจะอยู่ในวัยซนอยากรู้อยากเห็นเหมือนคนปกติ แม่ชีจึงฝึกและหัดให้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน อาจจะดูไม่เหมือนรูปแบบของการปฏิบัติธรรมดังที่เคยเห็นมา

    แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วว่า ประโยชน์ที่จะเกิดมีมากกว่า เป็นการสอนให้รู้จักแบ่งปันความสุขส่วนตัวของตนเพื่อดูแลคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่และญาติ กระทำกับคนเหล่านั้นเสมือนพ่อแม่และญาติของตน

    นับว่าเด็กๆทำได้ดีพอสมควร รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของผู้ป่วยของแม่ชีเด็ก ทำให้โลกนี้สดใสขึ้นและทำให้โรคร้ายทางกายและใจบรรเทาได้แม้เพียงชั่วขณะ

    ต้องขอบอกว่า ทิพยสถานธรรม ไม่ใช่รูปแบบวัดทั่วไปที่เห็น แต่เป็นวัดที่มีอยู่ในใจของทุกคน นั่นคือวัดใจกัน

    บุญรักษา/ธรรมสวัสดี
     
  11. อิงตะวัน

    อิงตะวัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +28
    ฝากตัวเป็นสามชิกใหม่ด้วยคะ
    อ่านประวัติแม่ชีแล้ว ทำให้เห้นภาพผู้หญิง แกร่ง เก่ง
    และจุดหักเหที่ทำให้มาบวชตลอดชีวิต
    จะรอศึกษาต่อเจ้าคะ
     
  12. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ประวัติภาค ๒ ตอน ๔

    เสียงโอ๊กอากดังเป็นระยะๆ ฟังดูคล้ายคนคลื่นไส้อาเจียนเหมือนคนท้อง ได้กลิ่นอาหารก็เหม็น กลิ่นตัวคนก็เหม็น ทำให้ไม่อยากทานอะไรและไม่อยากพบใคร ไล่ออกไปหมดยกเว้นพยาบาล

    ลูกศิษย์ที่เป็นพยาบาลพยายามจะนำน้ำเกลือมาให้ แต่แม่ชีปฏิเสธ "ให้มันรู้ไปว่าจะทนไม่ได้ ตายก็ตายกัน"

    แม้จะทานไม่ได้แม่ชีก็พยายามทานข้าวต้ม ทานไปอ๊วกไป แค่นั้นยังไม่พอท้องเสียอีกต่างหาก ทั้งๆที่ทานน้อยก็ยังถ่าย หมดเรี่ยวหมดแรง ซีดเหมือนไก่ถูกต้มแต่ก็พยายามลุกเดินออกกำลังกายเบาๆ

    คืนนั้นเองที่ชีวิตเกือบไม่รอด มีไข้หนาวสั่น ต้องเอาผ้าพันคอมาพันคอไว้ตอนนอน ลูกศิษย์และแม่จะขอมานอนเฝ้าในห้อง
    หากแม่ชีมีอาการอะไรจะได้ช่วยกันดูแล แต่แม่ชีปฏิเสธบอกว่า "ไม่ต้อง"

    ขณะกำลังเคลิ้มหลับเหมือนมีผู้ชายร่างใหญ่เดินเข้ามาบีบคอ ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก พยายามดิ้นต่อสู้ แต่ดูเหมือนจะหมดหนทาง ผู้ชายที่บีบคอพูดออกมาว่า "มึงเก่งนักหรือไง ตายเสียเถอะ"

    ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าเห็นแม่และลูกศิษย์ที่ดูแลเดินเข้ามาในห้องมายืนดูแม่ชี จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องไป

    แม่ชีตะโกนเรียกให้แม่และลูกศิษย์ช่วย ไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีใครได้ยิน
    ผู้ชายคนนั้นหัวเราะเยาะพลางกล่าวว่า "มึงตะโกนไปเถอะไม่มีใครได้ยินมึงหรอก" พลางกำมือบีบคอแม่ชีหนักขึ้น

    ขณะนั้นเองแม่ชีรวบรวมสติและกำลังยกเท้าถีบร่างผู้ชายที่บีบคออย่างจังพร้อมกับเรียก "แม่"
    พร้อมกับสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมา เหงื่อไหลท่วมตัว เอามือจับที่คอ"โธ่!!!ผ้าพันคอนี่เอง"

    สักพักเหมือนมีเสียงใครกระซิบข้างหูให้หลับตาลงนอนหลับต่อไป แม่ชีเคลิ้มหลับตาลงอีกทั้งๆที่พยายามฝืนไม่ให้หลับ สุดท้ายก็ฝืนทนไม่ได้ต้องหลับตาลงและนอนหลับไปในที่สุด

    ฝันอีกแล้ว ในฝันนั้นมีผู้ชายอีกแล้วมาชวนให้ไปนิพพาน ผู้ชายในฝันชี้มือไปทางประตูแล้วบอกว่า
    "อยากไปนิพพานไม่ใช่หรือ? นั่นไงประตูไปนิพพาน ไม่เชื่อก็ลองเข้าไปดูสิ ที่นี่แหละที่พระอริยะทั้งหลายปรารถนาจะมากันนัก

    ดูสิหลวงปู่โต หลวงปู่แหวน หลวงปู่ทวด หลวงปู่ศุข หลวงพ่อฤาษีลิงดำและอีกหลายท่านก็อยู่ในนั้นแหละ เข้าไปสิเข้าไปเลย"

    แม่ชีชะโงกหน้าเข้าไปพอประมาณเพื่อจะดูว่าจริงดังคำบอกของผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า?

    เมื่อมองเข้าไปก็เห็นดังคำที่ผู้ชายคนนั้นบอก เมื่อหันกลับมาก็เห็นหลวงปู่สุภาซึ่งเป็นอาจารย์ยืนอยู่ห่างๆ
    หลวงปู่บอกว่า"นั่นไงประตูนิพพานเข้าไปสิลูก จะได้สบาย"

    แม่ชียืนพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่จึงกล่าวขึ้นว่า"แม่ชีเข้าใจว่านิพพานเป็นอย่างไรและนิพพานอยู่ตรงไหน ที่นี่ไม่ใช่นิพพาน ท่านก็ไม่ใช่อาจารย์ของแม่ชีด้วย ท่านเป็นมารต่างหากอย่ามาหลอกแม่ชีเลยจงหลีกทางไปเถอะ"

    เมื่อแม่ชีพูดจบร่างหลวงปู่ก็กลับกลายเป็นผู้ชายคนเดิม กระโดดขึ้นมาบนร่างของแม่ชีพร้อมกับบีบคออย่างหนักอีก ด้วยความโมโห"งั้นมึงตายเสียเถอะ"

    ตอนนั้นจิตของแม่ชีเริ่มปลงจึงพูดว่า"ถ้าท่านอยากได้ชีวิตของฉันซึ่งมันทำให้ท่านสบายใจ งั้นก็เชิญเอาไปเลย ฉันยินดีสละชีวิตนี้ให้ท่าน ขอท่านจงมีความสุข"

    จากนั้นแม่ชีก็แผ่เมตตาให้พ่อแม่ ญาติธรรมทั้งหลาย
    สรรพสัตว์น้อยใหญ่ สรรพวิญญาณและเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายให้มีความสุขกันทุกถ้วนหน้า

    เมื่อแผ่เมตตาเสร็จรู้สึกว่าร่างกายเบาลืมตาขึ้นมาได้โดยไม่ต้องฝืนหรือหนักเหมือนครั้งแรกเลยมองนาฬิกาบอกเวลา ตีสองกว่าๆ แม่ชีจึงยกมือขึ้นสาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ จากนั้นก็นอนหลับอย่างสบายจนรุ่งเช้า

    ตื่นขึ้นมาแม่และลูกศิษย์นำอาหารเข้ามาให้จึงถามว่า"เมื่อคืนเดินเข้ามาในห้องหรือเปล่า? แม่และลูกศิษย์บอกว่า
    "เดินเข้ามายืนดูเห็นหลับ แต่ดูท่าทางกระสับกระส่ายนึกว่าร้อนไม่อยากรบกาวนจึงเดินออกไป"

    แม่ชีจึงเล่าเรื่องราวและอธิบายให้ฟังว่า"เคยมีอาการแบบนี้บ่อยครั้ง เวลาที่ร่างกายอ่อนแอ เหมือนมีคนทำร้ายในฝัน ทีหลังถ้าดูแล้วแม่ชีมีอาการอย่างนี้ให้รีบปลุกทันที"

    วันที่สามร่างกายเริ่มปรับสภาพได้พอสมควร หิวข้าวมากขอข้าวสวยกับปลาสลิดทอด ลูกศิษย์รีบนำมาให้ นึกว่าจะทานไม่ได้กลับทานหมดจานใหญ่ ท้องโตเลย

    เอาละสิ...ลำไส้เริ่มไม่ทำงานท้องอืดเหมือนคนเป็นโรคท้องมาร อึดอัดมาก รีบเรียกพยาบาลมาดู

    ลูกศิษย์ที่เป็นพยาบาลชื่อ ปุก เคาะท้อง แล้วตรวจชีพจรกับวัดความดันพลางพูดว่า "ความดันอาจารย์ต่ำ ดันทุรังสูงไม่มี" พูดแล้วปุกก็หัวเราะ

    จากนั้นก็พูดต่อว่า "ลำไส้ไม่ทำงานเนื่องจากผลของเคมี ให้อาจารย์ทานยาช่วยย่อยก่อนทานอาหารทุกครั้งนะคะ"

    คืนนั้นนอนไม่หลับกระสับกระส่าย ร้อนข้างในกาย เปิดแอร์ช่วยก็ไม่หาย แถมเปิดพัดลมจ่ออีกก็ยังร้อนใน อยู่อย่างนั้น คอแห้ง ปากแห้ง ต้องลุกมาทานน้ำเย็นๆและยาคูล โอย...ทรมานจริงๆ

    ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆที่ชอบโกหกแม่รวมทั้งขโมยเงินแม่ไปซื้อของกินและเที่ยวสนุกเสมอๆ ไม่เคยนึกว่าแม่จะลำบาก นี่แหละหนากรรมตามสนอง สมน้ำหน้าตัวเอง

    อาการเริ่มดีขึ้นโดยลำดับ ปุกมาบอกว่าสงสารผัวเมียคู่หนึ่งตกงาน เมียทำอาหารเพื่อสุขภาพเก่ง ขอให้อาจารย์เมตตารับมาอยู่
    ที่ทิพยสถานธรรมเพื่อทำอาหารให้อาจารย์ อีกทั้งทางโรงพยาบาลอนุญาตให้อาจารย์เอาคนไปขายอาหารเพื่อสุขภาพ ที่โรงพยาบาลได้โดยไม่ต้องเสียค่าเช่า

    คิดแล้วก็สงสารคนตกงานพลัดบ้านมาไกล จึง O.K ตามนั้น เมียทำอาหาร สามีช่วยดูแลทิพยสถานธรรม

    แม่ชีลงทุนไปซื้ออุปกรณ์ด้วยตัวเอง(ทั้งที่ยังอ่อนล้ากับเคมี) พร้อมกับคุณอ้อยและปุกที่หาดใหญ่ สั่งตู้ใส่กับข้าวรวมเป็นเงินทั้งสิ้นแปดหมื่นกว่าบาท
    จ้างทำกับข้าวสองคนผัวเมียกินอยู่กับแม่ชีในราคา ห้าพันบาทในเบื้องต้น ทำอาหารอย่างเดียวตอนเช้า

    ส่วนการขายที่โรงพยาบาลมีแม่ของแม่ชีและลูกศิษย์ไปขายในตอนเช้า ขายเสร็จประมาณบ่ายสองโมงเย็น

    สองสามวันมีแต่ปัญหาสารพัด ผัวเมียตีกันเป็นประจำ ทำอาหารก็ทิ้งๆขว้างๆด้วยถือว่าตนไม่ได้เสียเงิน แทนที่จะทำอาหารให้แม่ชีทานเพื่อบำรุงร่างกายกลับกลายเป็นทานไม่ได้ เรียกง่ายๆ "หมายังไม่รับประทานเลย"
    จะเลิกจ้างก็สงสารต้องทนจ้างต่อไป

    เมื่ออาการทางกายเริ่มดีขึ้นจึงเริ่มเปิดสอนการใช้พลังจิตรักษาโรคร้ายครั้งแรก
    มีผู้เข้ารับการอบรม ๑๘คน มาจากสงขลา พัทลุง หาดใหญ่ กรุงเทพฯ การอบรมผ่านไปด้วยดี

    หมอนัดรับเคมีเข็มที่สองวันที่ ๒๖ พ.ย.๕๐ ตรวจเลือดแล้วพบหมอ หมอบอกว่าให้แม่ชีหยุดรับเคมีก่อนดีกว่า ให้ไปฉายแสงให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมารับเคมีทีหลัง

    แม่ชีบอกว่ารับเคมีพร้อมกับฉายแสงไปด้วยเลยแล้วกัน จะได้เสร็จทีเดียว เบื่อความช้าและเนิ่นนานๆ

    ปุกจึงบอกว่า "ถ้าร่างกายอาจารย์ไม่แข็งแรง รับเคมีไปอาจารย์อาจไม่รอด ฉะนั้นอาจารย์ต้องบำรุงร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้นกว่านี้โดยไว"
    แม่ชีรับปากปุกทันที

    จากนั้นแม่ชีก็ไปพบหมอฉายรังสีตกลงนัดฉายรังสีพร้อมกับการให้เคมี
    โดยเริ่มฉายแสงวันที่ ๒๕ พ.ย.๕๐ รวมทั้งสิ้น ๒๕แสง หมอขีดเส้นใกล้แผล

    ทีแรกนึกกลัวเหมือนกันด้วยคิดว่า คงเป็นแสงเหมือนในหนังจีนกำลังภายในที่มีลำแสงร้อนพุ่งลงมาสู่ตรงแผล ใจเต้นโครมคราม (ไม่กลัวแต่หวั่นๆเท่านั้นเอง)

    พอเข้าไปในห้องฉายแสง แหม!!! มีแต่ผู้ชายอีกแล้ว ต้องเปิดเสื้อให้ผู้ชายดูเหมือนเดิม จัดท่าจนเมื่อย

    เจ้าหน้าที่ผู้ชายก็วัดแล้ววัดอีกเปิดดูหน้าอกข้างนี้และข้างนั้น จนเบื่อละมั้งเดินออกไปจากห้อง

    สักครู่เดินเข้ามาใหม่บอกว่าลืมปิดผ้า ปัดโธ่!!! เมื่อปิดผ้าเสร็จก็เดินออกไป เครื่องฉายแสงทำงาน

    เดี๋ยวเดียวก็หมุนไปอีกข้าง เจ้าหน้าที่ผู้ชายเข้ามาเปิดผ้าดูอีกแล้ว จากนั้นก็เปลี่ยนแผ่นเหล็กแล้วเดินออกไป

    เครื่องฉายแสงทำงานต่อ เป็นอันว่าเสร็จสิ้นการฉายแสงๆแรก ไม่เจ็บอะไรเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    กลับมาถึงทิพยสถานธรรมต้องปวดหัวกับผัวเมียที่ทำอาหารอีกแล้ว ทนไม่ได้จึงบอกปุกว่า
    "อาจารย์หมดความอดทนและหมดความเมตตาแล้วนะ จัดการเรื่องนี้ให้แล้วกัน เพราะเธอหาเรื่องมาให้อาจารย์"

    ปุกจัดการให้ผัวเมียคู่นี้ออกโดยแม่ชีจ่ายเงินให้ แต่การขายอาหารยังคงดำเนินต่อไป

    แม่ชีต้องปวดหัวหาคนมาทำอาหารให้ขายอีก บอกแม่ให้เลิกขาย แม่ก็บอกว่า คนกำลังติด เฮ้ย...ต้องตามใจแม่ เพราะท่านสบายใจที่ได้พบคนมากๆอีกทั้งยังชอบขายของ ก็ต้องยอมท่าน

    หาคนทำอาหารได้เริ่มขายต่อไป เช้าๆแม่ชีจะยืนมองแม่ตื่นแต่เช้าไปขายของ ไม่สบายใจเลยด้วยแม่อายุมากแล้วแทนที่จะสบายอยู่เฉยๆ ต้องมาขายของให้ลำบาก แม่ชีได้แต่ถอนใจอย่างนั้นทุกวัน

    ขายได้ประมาณเดือนกว่าๆระยะนั้นก็ยังมีปัญหาทุกวัน สุดท้ายแม่ชีทนไม่ได้ ไม่ยอมตามใจใครแล้ว บอกกับแม่ว่า
    "เลิกขายเถอะนะ แม่มาทำกับข้าวให้ลูกชีกินเพื่อให้ร่างกายลูกแข็งแรงดีกว่า ถ้ายังเป็นอย่างนี้ แม่ชีตายเร็วกว่าปกติแน่ เพราะกลุ้มใจที่เห็นแม่ต้องมาทำแบบนี้"

    แม่บอกว่าแม่สบายใจ เหนื่อยไม่เป็นไรขอให้ได้ไปขาย

    สุดท้ายแม่ชีจึงยื่นคำขาดว่า
    "ขายแล้วขาดทุนจะขายทำไม? เอาเวลาไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าหรือ?"
    ไม่รีรอขนตู้ขนของกลับโดยฉับพลัน แม่ของแม่ชีนั่งเงียบ สงสารท่านเหมือนกัน(แต่สงสารตัวเองมากกว่า)

    โปรดติดตามตอนต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤษภาคม 2008
  13. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    ผมอยู่ภาคอีสานครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ของ อ.แม่ชี อีกคนน่ะครับ
     
  14. viroj

    viroj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,070
    ค่าพลัง:
    +2,846
    โปรดติดตามตอนต่อไป
     
  15. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    กำลังรอครับ...เมื่อไหร่ อ.แม่ชีจะเล่าเรื่องตอนต่อไป
     
  16. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ประวัติภาค ๒ ตอนที่ ๕

    เวลาเดินทางไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไม่มีวันตาย แต่ชีวิตของคนเราต่างกับเวลามาก

    ปัญหารุมเร้าเข้ามาในแต่ละวันจบเรื่องนี้เรื่องใหม่เข้ามาแทนที่ ลูกศิษย์พยายามให้แม่ชีพักผ่อนให้มากรวมทั้งดูแลเรื่องอาหารการกิน

    แม่ชีต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันใหม่ จากเป็นคนที่นั่งทำงานทั้งวันต้องกลายมาเป็นนอน ทั้งวันแทน รู้สึกอึดอัดเหมือนคนไร้ค่า

    จึงบอกกับลูกศิษย์ว่า "จะจัดอบรมเพราะเบื่อกับการนอนและเก็บตัวเหมือนคนไร้ค่าแล้ว"

    ลูกศิษย์พยายามห้ามแต่ก็ไม่ได้ผลเพราะแม่ชีบอกว่า
    "ถ้าจะตายก็ขอให้ทำหน้าที่จนหมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้วกัน"
    ลูกศิษย์ขัดขวางกับความตั้งใจจริงของแม่ชีไม่ได้ แม่ชีจึงเริ่มอบรมครั้งแรกกับพนักงานธนาคารกรุงไทย

    จากนั้นก็เปิดอบรม "มหัศจรรย์แห่งจิตอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์ รุ่นที่๑" ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ ธ.ค ๕๑
    เป็นการสอนในเรื่องของการรักษาโรคโดยใช้พลังจิตและสี

    วันที่ ๒๐ ไปเสวนาธรรมที่โรงพยาบาลสงขลาร่วมกับพระและญาติโยม ช่วงเช้ารู้สึกดีไม่มีปัญหา ระหว่างการเสวนาธรรม ก็ยังสดชื่นจนใครๆต่างบอกว่า
    "นี่หรือคนป่วย"

    เมื่อเสวนาธรรมเสร็จตอนบ่ายต้องเข้าร่วมสวดมนต์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัวฯ
    ถึงตอนนี้เริ่มมีอาการหน้ามืดตาลาย ต้องไปนอนพักผ่อนในห้องพักของหมอที่โรงพยาบาล
    สุดท้ายต้องกลับทิพยสถานธรรม ลูกศิษย์ให้งดรับงานทั้งหมดแต่แม่ชีก็ดื้ออีกเช่นเคย

    วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ รับกิจเดินบิณฑบาตรร่วมกับพระหลายรูป เนื่องในวันปีใหม่ซึ่งกิจนี้แม่ชีรับทุกปี
    การห้ามของลูกศิษย์ไร้ผล งานนี้เกือบไม่รอดแต่ก็พยายามจนงานเสร็จลุล่วงไปได้ดี
    พระเดชพระคุณเจ้าหลายท่านก็ให้กำลังใจ (อย่างนี้จะให้รีบตายได้อย่างไร ลูกศิษย์เตือนระวังจะตายน้ำตื้น)

    วันรุ่งขึ้นต้องนั่งรถไปที่พัทลุงเพื่ออบรมนักเรียน ร่างกายเริ่มอ่อนล้าเนื่องจากเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติแต่ใจเต็มร้อย

    ไปถึงพัทลุงกระเช้าดันเสียซะนี่...ต้องเดินขึ้นเขา ๒๔๖ ขั้น ขาสั่นเหมือนกัน ดีที่ได้ลูกศิษย์ประคองไว้
    นักเรียนยืนมองดูแม่ชีเดินขึ้นเขาหลายคน ทำให้แม่ชีมีกำลังใจมากขึ้น
    สอนนักเรียนได้ครึ่งวันต้องรีบกลับสงขลาเพื่อมาฉายแสงที่มอ.

    ขณะที่เข้าไปในห้องฉายแสงนั้นมียายชราร่างกายผอมคนหนึ่งลงจากเครื่องฉายแสง ขณะกำลังติดกระดุมเสื้ออยู่นั้น ยายชราเซเกือบล้ม ดีที่แม่ชีเดินเข้าไปในห้องฉายแสงเพื่อฉายแสง เห็นดังนั้นไม่รอช้าคว้าข้อมือของยายชราไว้ได้ทัน
    พนักงานที่ทำการฉายแสงรีบวิ่งเข้ามาช่วยพยุงยายชราออกไป แม่ชีคิดในใจว่า

    "การฉายแสงนี้เหมือนการเล่นเก้าอี้ดนตรีเลย คนนี้เสร็จออกไป คนใหม่เข้ามาไม่ต้องพูดจามากความ เป็นมะเร็งตรงไหนก็เปิดให้ฉายตรงนั้น หมดความอายแล้ว"

    แถมบางวันเครื่องฉายแสงเสีย ต้องทุลักทุเลกัน แม่ชีก็เคยติดอยู่บนเตียงสูงเนื่องจากเครื่องฉายไม่ทำงาน ต้องปีนลงมา ขำเหมือนกัน

    วันที่ ๒๕ ธ.ค ๒๕๕๑ ลูกศิษย์ที่เป็นพยาบาลมาดูดเลือดแต่เช้าตรู่ (ส่งผลเลือดไปมอ.)เนื่องจากเบื่อไปรอคิวที่มอ.
    วันรุ่งขึ้นต้องพบหมอเพื่อให้คีโมต่อเป็นเข็มที่ ๓ รู้สึกเบื่อเต็มทีกับการรับคีโม แค่คิดว่าเบื่อก็เกิดอาการคลื่นไส้ หน้ามืดตาลาย (อธิบายไม่ถูก)มันพะอืดพะอม นั่งอิดออดอยู่นานจนลูกศิษย์เตือนให้รีบไปเดี๋ยวคนมาก

    สุดท้ายแม่ชีก็รีบหายใจเข้าปอดอย่างแรง "เอ้า...ไหนๆก็ไหนๆ เดี๋ยวเธอจะหาว่าอาจารย์ใจเสาะ"
    แม่ชีพูดกับลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็ช่างปากหวานและให้กำลังใจมากเหลือเกิน

    การให้คีโมดำเนินไปตามปกติซึ่งครั้งนี้เร็วกว่าเดิม ลุกขึ้นยืนอย่างเร็วเพราะอยากกลับทิพยสถานธรรมแล้วอีกทั้งหิวข้าวด้วย ถึงตอนนี้ต้องรีบนั่งลงอย่างเร็วเหมือนกัน เพราะหน้ามืดตาลายไม่รู้ว่ามึนเพราะยาหรือเพราะหิว

    เจ้าหน้าที่นำเครื่องวัดความดันมาวัด สรุปความดันต่ำ ต้องนั่งสักพัก
    ลูกศิษย์นำรถเข็นมาให้นั่ง ทีแรกไม่นั่งเพราะเห็นว่ายังแข็งแรงอยู่ ลูกศิษย์ขอร้องจึงต้องจำใจนั่ง

    จากนั้นลูกศิษย์ก็เข็นรถอย่างเร็วเหมือนจะไปซิ่งแข่งกับใคร
    เสียวเหมือนกัน (กลัวรถเข็นคว่ำ)เพราะเข็นไปตามทางเดินที่มี
    เนินสูงต่ำเป็นระยะๆ จนแม่ชีต้องหัวเราะออกมา


    ลูกศิษย์บอกให้รัดเข็มขัด แม่ชีพูดกลับไปพร้อมกับหัวเราะ "เธอนี่ถ้าจะบ้าใหญ่แล้ว "ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า "ให้อาจารย์ขำบ้างไงจะได้ไม่ซีเรียส"
    "ฉันจะยิ่งเครียดเพราะเธอนี่แหละ" แม่ชีตอบพลางหัวเราะ

    ขณะนั่งรถมาก็อ๊วกเป็นระยะๆเหมือนกัน

    กลับมาถึงทิพยสถานธรรมต้องให้น้ำเกลือต่อ

    โปรดติดตามตอนต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤษภาคม 2008
  17. TIGERs

    TIGERs Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +28
    กราบแม่ชีครับผม

    เมื่อไหร่จะสร้างเป็นหนังหรือละครบ้าง อยากดูจัง
     
  18. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    (sing) ถ้าสร้างจริง TIGERs จะร่วมแสดงด้วยไหมครับ(sing)
     
  19. แผ่นฟ้า

    แผ่นฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +428
    เรื่องราวของแม่ชี หนูอ่านแล้ว จากคำพูด บทความ เรื่องราวที่ผ่านพ้นมาได้ หนูได้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของแม่ชีมากเลยค่ะ ทั้งความกตัญญู ความอดทน การไม่ยึดติด หนูจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านแม่ชีนะค่ะ
    *** แม่ชี ค่ะ หนูขอถามได้ไหมค่ะ ท่านช่วยตอบหนูหน่อยเถอะค่ะ
    ทำไมเวลาหนูสวดมนต์ก่อนนอน หนูถึงฝันแปลกๆ หรือฝันร้าย แต่ถ้าคืนไหน หนูลืมหรือไม่ได้สวดมนต์ตัวเองถึงหลับสนิทละค่ะ หรือแทบจำฝันไม่ได้เลย ทำไม มันกลับกันละค่ะ ***
    ทุกวันนี้หนูจะสวดมนต์ค่ะ แต่นั่งสมาธิ ไม่ค่อยได้เพราะใจวอกแวก ขณะสวดมนต์เหมือนคนรีบสวด ลิ้นพันกันตลอดเจ้าค่ะ ***
     
  20. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    อย่ากลัวกับการสวดมนต์เลย คิดในทางกลับกันสิว่า ฝันร้ายอาจกลายเป็นดีและก็จะเป็นผลดีกับหนูด้วย คือ มีความเพียรพยายามเพิ่มขึ้น

    การสวดมนต์เป็นแรกเริ่มของความสงบ ที่สำคัญจะทำให้ได้รู้ซึ้งถึงคำสอน (หนังสือแปล) นั่งสมาธิไม่ได้ก็สวดมนต์ไปก่อนก็ได้จ้า

    บุญรักษา/ธรรมสวัสดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...