ประสบการการถอดจิต สงสัยคับ วอนผู้รู้ช่วยตอบที

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย butwanna, 30 ธันวาคม 2013.

  1. butwanna

    butwanna Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +45
    ขณะที่ผมกำลังนอนภาวนาอยู่ โสตัดตระภิญญา ฯ ก็รู้สึกว่ามือเริ่มชาเท้าเริ่มชา ภายในจิต ของผมก็เห็นมันอธิษฐานว่า ขอให้ร่างกายเป็นโพรงให้กายทิพย์ออกมา พอสักพักหูดับตัดความรู้สึกหมด ก็พยายามลงขึ้น แล้วก็เห็นมันลอยขึ้น พอสักพักก็หันหลังกลับไปดูกายมันนอนอยู่ แล้วก็เริ่มออกจากบ้านล่ะ ตอนแรกก็เดิน ไปไปมามาก็นึกได้ว่า กายทิพย์มันเหาะได้นี้ว้าก็ลองเหาะดูตอนแรกเหาะต่ำฯ จะชนเสาไฟ ก็เลยเหาะสูง เหาะไปเหาะมาไปโผล่ที่ไหนไม่รู้ มีความเจริญมาก บ้านช่องตึกสูงใหญ่เหมื่อนภูเขา งงไม่รู้อยู่ที่ไหน ก็นึกขึ้นได้ว่า อธิษฐานได้นิก็เลยอธิษฐานสะเลย ขอไปกราบพระธาตุ ปั้บไปถึงปรับ พระธาตุที่นั้นมีลักษณะเปงวัตถุสีขาว ทรงกลมข้างมีเรือนไม้มีพระนั่งอยู่ เราก็ตรงดิ่งไปเลยไปกราบพระธาตุมีที่ให้กราบอย่างดี เราก็นั่งลงกราบพระ แต่ก่อนที่เราจะกราบมีคนนั่งอยู่ แต่เราคิดว่าเขาคงไม่เห็นเราหรอกเราก็ไปเบียดนั่งกราบข้างฯ แต่เขาหันมาแยกเขียวใส่เราเลย เราก็เลยคว้าปากกาหรือลักษณะที่คล้ายปากกา ที่อยู่ในกระเป๋าทิ่มให้ แล้วเราก็เดินออกมา ผู้คนที่นั้นเยาะมาก มีทุกๆอย่างคล้ายแดนมนุษย์เรา เดินไปเดินมา เจอพระก้มกราบพระ พระท่านบอกว่าเป็นอาจารของเราไม่รู้กี่ชาติแล้ว ท่านเตือนว่า วันที่ เก้า เดือน ห้าจะมีเจ้ากรรมนายเวรไปเอาชีวิต เราก็นึกว่า ถ้าเราตายผ่านเคราห์นี้ไปไม่ได้ เราคงต้องเกิดอีกัป็นแน่ แล้วพระท่านก็ให้ดูรูปเจ้ากรรมนายเวร ซึ่งเป็นยายก่ะแฟนคนแรกของเรา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เราก็ว่าท่านเป็นไปไม่ได้ ท่านก็พาไปดูที่เกิดเหตุ เป็นห้องนึงไม่รู้จักแต่คุ้นเคย ท่านบอกว่าวันนั้นต้องล็อคกลอนประตูให้แน่นหนา เอาน้ำมนต์ที่ท่านให้มาพรมที่นอนไว้ตั้งใจให้แน่วแน่อย่าวอกแวก ท่านก็ชี้ไปที่เราตาย เป็นที่ต่ำมากเหมื่อนเราตกลงไป มองจากที่อยู่ของเรานั้นสูงริบมาก แล้วเราก็ลาท่านกลับบ้าน แต่ียวมันไม่ใช่บ้านหลังนั้นนะที่เราไปดู แต่เป็นบ้านเราที่โลกมนุษนี้ สักชัวกระพริบตาเราก็มาเข้าร่าง แล้วลุกมาขึ้นพิจารณา ที่ๆเราไปนี้เป็นที่ใดหนอ จะว่าเป็นภพมนุษย์ก็ไม่ใช่ แต่คล้ายมาก จะว่าเป็นเทวดาก็ไม่ใช่ เพราะเทวดากายต้องส่องแสง จะเป็นที่ใดหนอ ภพ ภูมิช่างกว้างจริงๆ แล้วสถานที่ๆพระท่านพาไปดูมันเป็นบ้านเราในอดีตหรืออนาคตล่ะเหตุการที่เกิดขึ้นวันที่เก้าเดือนห้ามันเป็นอดีตหรืออนาคตล่ะใครผู้รู้ช่วยตอบทีคับ ขอบคุณ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เรื่องทำนองนี้ถ้าไม่เก็บมาคิดอะไรเลยซักพักจะได้คำตอบเองครับ.
    หรือว่าสร้างสติทางธรรมเพิ่มเติมขึ้นมาอีกจะทำให้ทราบคำตอบได้ทันที
    ในขณะที่เห็นหรือว่าลืมตาขึ้นในครั้งแรกครับ และถ้าไม่ทราบหลังจากลืมตาแล้วก็ไม่ควรที่จะต้องสนใจให้ลืมไปเลยครับ
    เพราะคิดอย่างไรก็ไม่ถูกและไม่เข้าใจอยู่ดี.
    .ต่อไปใช้สูตรนี้ดูครับจะทราบคำตอบได้เอง.


    ส่วนต่อไปนี้เล่าให้ฟังเฉยๆอ่านเล่นๆแล้วกันนะครับ
    ส่วนมากครูบาร์อาจารย์ในอดีตชาติเราที่
    เป็นพระสงฆ์ที่ท่านเดินทางสายพระโพธิสัตว์อยู่นั้น และจริงๆก็อาจมีท่านอื่นๆอีกแต่จะมาเมื่อการปฏิบัติเรามีโอกาสเข้าถึง
    ท่านมักจะพักรอหรือคอยสอนผู้ปฏิบัติในชั้นดุสิตเป็น
    ปกติครับถ้าเป็นในรูปแบบฆารวาสอาจอยู่ที่บริเวณตีนเขาพระสุเมร
    และมีหลายๆท่านและก็ปกติๆที่จะเจอ
    คนอีกหลายๆคน ณ ที่แห่งนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกครับ.

    และในชั้นนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีแสงสว่างอะไรหรอกครับถึงเรียกว่า
    เป็นเทวดาพวกนี้ใช้ชี้ชัดตรงๆไม่ได้.ไม่งั้นพระสงฆ์ภูมิจิตท่านสูงกว่าเทวดา
    ท่านก็แสดงเป็นแสงให้เราเห็นตลอดแล้วครับ..ให้ดูที่ความใสหรือความละเอียด
    ของผิวแทนหรือความสามารถในการรับรู้ทางจิตในครั้งแรกของเรา
    .เหมือนที่เราเห็นคนแล้วรู้ว่าเป็นคนนั้นหละครับ ก็แสดงว่าภูมิจิตเรายังอยู่ประมาณนี้เราเลยรู้.
    ถ้าภูมิจิตเราเข้าถึงระดับไหนในช่วงนั้นเราจะเข้าใจได้ดี.

    เหมือนๆจูนคลื่นตรงกัน ณ ช่วงเวลานั้นหรือต่ำกว่าเราๆก็รู้ครับ.
    .ถ้าเราเห็นอย่างอื่นๆกำลังสติจะบอกเราได้เองว่าเป็นใครและระดับไหนแบบ
    ไม่มีความลังเลสงสัย...ส่วนพระธาตุสีขาวๆวงกลม
    โดยปกติจะเป็นลักษณะของสมเด็จที่ชื่อแปลว่าอันดับต้นๆครับ..
    .ส่วนการไปได้ในปัจจุบัน ณ เวลานั้นเพื่อให้ทราบวัตถุประสงค์
    มากกว่าการเน้นเพื่อให้เห็นแล้วให้สงสัยและคอยมามุงแสวงหาคำตอบ
    เพราะจะทำให้การปฏิบัติไปได้ช้าครับ.เนื่องจากเกิดความอยากรู้แบบไม่รู้ตัวขึ้น
    เพราะตัวนี้จะเป็นตัวขวางการเข้าถึงอารมย์ในครั้งต่อไปได้ครับ...

    การเห็นเพื่อทราบวัตถุประสงค์นั้น..ในที่นี้คือให้รู้เหตุรู้ผลที่ส่งถึงปัจจุบัน
    และรู้ว่าปัจจุบันควรทำอย่างไรเพื่อส่งผลในอนาคต.
    และยังเตือนว่าหากประมาทจะเกิดอะไรขึ้น..
    กรณีนี้ให้ทราบว่าในอดีตชาติเราเคยมีความเป็นมาอย่างไร
    ถึงมาอยู่ ณ ปัจจุบันนี้และปัจจุบันนี้เราควรจะต้องฝึกปฏิบัติตนอย่างไร
    ที่จะกลายเป็นอนาคตในวันข้างหน้า

    หากไม่ปฏิบัติก็มีโอกาสที่จะลงไปข้างล่างก็จะสูง
    และจะมีมีเหตุให้เปลี่ยนภพภูมิอย่างที่เห็นในนิมิตรนั้นหละครับ
    แต่อย่าลืมหลักการถ้ายังไม่รู้อะไรในขณะที่เห็นหรือลืมตาครั้งแรก
    ให้วางหรือลืมไปและไม่ต้องเก็บมาคิด.เด่วพอกำลังสติมากขึ้น
    มันจะย้อนรู้ได้เองของมันทุกอย่าง.แค่เกิดความรู้ ถึง วินาที
    บางทีคุณเล่าได้ครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่จบครับ.

    ส่วนเจ้ากรรมนายเวรมันไม่ได้หมายความว่ารูปธรรมที่จะส่งผลให้เราอย่างเดียว
    อย่างคุณเคยแตะหมาไม่ได้หมายความว่าหมาตัวนั้นมันจะ
    กลับมากัดคุณ..แต่คุณอาจจะโดนคนอื่นๆแตะคุณ
    หรือเท้าที่คุณไปใช้แตะมันจะมีเหตุให้บาดเจ็บก็เป็นได้ครับ
    มันคือผลของกรรมที่เราได้กระทำไปที่มันจะรอส่ง
    ผลให้เราในช่วงที่เค้าได้เตือนมาในนิมิตรนั้นหละครับ

    ปล.ประมาณนี้ ลองอ่านดีๆก่อนนะครับว่าพอจับใจความได้ไหม..
     
  3. butwanna

    butwanna Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +45
    ขอบคุณคับที่ได้ชี้แนะ

    เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายท่านรู้ไหมว่าการเกิดเป็นคนสำคัญแค่ไหนขบ
    สัตนรกก็ทุกทรมานเกินไป
    สัตเดรชานก็ปัญญาต่ำเกินไป
    เทวดาก็สุขเกินไป
    พรหมา ก็สงบเกินไป
    มนุษย์นั้นมีทั้งกายกับจิตไว้พิจารณาว่าแท้ที่จริงแล้วมันเป็นอย่างไรมันคงอยู่ตลอดไปไหมหรือเกิดแล้วก็ดับไป มีเวทนาความเจ็บปวด ปวดเหมื่อยต่างให้คอยดูคอยพิจารณาให้เห็นความเป็นจริง ว่่ามันเกิดขึ้นได้ตอนไหน มันอยู่นานไหม แล้วมันดับไปตอนไหน
    มีกายนี้ไว้ให้พิจารณา ว่าไหนคือเส้นผมหนอ ไหนคือสมอง กระโกลกศรีษะ ฟันกระดูก หัวใจ ตอนนี้หัวใจคุณเต้นเป็นยังไง ร่างกายนี้มมันเป็นยังไงหนอมันคงอยู่หรือมันเเสือมไป ร่างกายนี้มันเป็นของเราเหลือปล่าวคคำตอบนี้ท่านจงดูเอาเอง
    มีจิตนี้ไหวพิจจารณา จิตนี้มัันแปลกนะมันชอบคิิิิดเองคิดไม่หยุุุุดใครเคยเห็นมันคิดบาง
    บางทีีเอะเกิิดความโมโหขึ้้นอยากจะเดินไปตบสักทีสองทีใครเห็นบางหรืือเห็นว่านั้นมันตัวเราเกิดโทสะขึ้นนั้นตัวเราอยากเดินไปตบ หรือเห็นว่าจิตมันเกิดขึ้นเองเกิดเพราะอะไร อ้าวแหละมันดับไปแล้วดับไปตอนไหนว้า อ่ะสงสัยอีกแล้วสงสัยเกิิดดขขึ้นอีกแล้วอ้้าวดับอีกแล้ว มันไม่เหนื่อยมั้งเหรอจิตนิ เกิดๆดับอยู่นั้นแหละเดียวโทสะเกิดมั้ง เดียวความอยากได้อยากมีเกิดมั้งเอะความเศร้าโสกเสียใจเกิดอีกแล้วโหทำไมทุุกข์อย่างนี้หนอจิตนี้มันเหลือเกินจริงๆไม่เหนืื่อยมั้งเลยหนอ
    ทุกท่านเห็นหรือปล่าวว่ามันเป็นอย่างนัั้นนีี้แหละมนุษย์
    ท่านทั้งหลายเมื่อได้เกิดมาเป็นเพื่อนร่วมโลกกันท่านทั้้้้งหลายจะปล่อยยให้โอกาศทีี่มีค่าได้เกิดมาในดินแดนพระพุทธศาสนาปล่อยไปอีกชาติเหรอ มมาาเถิดท่านทั้งหลายมมาทำปัญญาให้กระจ่างกัน ว่ากายกับใจจิตนี้มันเป็นเยี่ยงไร ถึงแม้ชาตินี้จะล่ะอาสวะได้ไม่หมด แต่ก็เหมื่อนตะกออนที่แน่นิ่งในก้นแก้้วใช้้เป็นบารมีสืบไปในนภายหหน้า
    การดูกายกับจิตเป็นอารม นั้นแลเรียกว่า วิิปัสนากรรมฐาน
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    จะสื่ออะไรครับ..เด่วผมเล่าอะไรให้ฟังนะครับ..
    กลัวว่าเด่วคุณจะไปไกลกว่านี้.ถึงตอนนั้นจะกู่ไม่กลับ..
    ประเด็นแรกที่เข้าใจว่าจิตมันชอบคิดเอง
    มันเป็นธรรมดาถึงธรรมดามากครับ.ใครที่พอเจริญสติ
    เค้าก็พอจะมองเห็นพอรู้ได้หมดครับ.หรือใครที่มีอิทธิบาท
    ในการทำงานเค้าก็เห็น ก็รู้ได้ครับ..แต่ไม่ใช่แบบเห็น
    ฐานความคิดหรือจุดกำเนิดเลยแบบผู้ปฏิบัติ.หรือว่าเห็นจุด
    ที่มันขึ้นออกจากจิตได้...

    ประเด็นที่ ๒ เรื่องความโกรธมันเป็นส่วนอารมย์ครับ.
    เราอยู่ในระดับที่พอมีกำลังสติควบคุมมันได้ครับไม่ใช่ว่า
    อยู่ในระดับที่สามารถตามดูในลักษณะเดินปัญญา
    เพื่อสร้างปัญญาทางธรรมครับยังเป็นระดับไปดูมัน
    ไปจ้องดูมัน มันก็ดับเป็นปกติของมันครับ.แต่ยังไงมันก็ขึ้นมาอีก.
    ระดับนี้ยังไม่ก่อให้เกิดปัญญาทางธรรมครับ
    และการที่ดูมันเกิดดับๆ ยังไงจิตก็ไม่ลงไตรลักษณในกรณีนี้ครับ
    เพราะมันยังเป็นการลงแบบเราคอยควบคุมอยู่
    จิตมันจะเห็นไตรลักษณ์ได้ต้องหลังจากที่มันได้ตามดูส่วนอารมย์
    ส่วนขันธ์ นามธรรม.และพิจารณาแล้วซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือเห็นแล้ว
    เห็นอีกของมันเองหลายๆรอบในระดับกำลังสมาธิเล็กน้อย.
    หรือกำลังระดับฌาน ก็ได้มันถึงจะเห็นได้เองครับ
    .แต่ต้องหลังจากเราแยกอารมย์ออกจากจิตออกจากความคิด
    ออกจากขันธ์ ส่วนที่เป็น นามธรรมกับนามธรรมให้ได้ก่อน
    .ไม่ใช่แค่แยกกายกับจิต ณ ปัจจุบันที่เป็นรูปธรรมกับนามธรรม
    แบบนี้เพราะเราจะไม่ทันความคิดที่เกิดจากจิตครับ..

    ประเด็นสุดท้าย.
    การมาพูดว่าเห็นอวัยะต่างๆมันเป็นอย่างไร.
    อย่างที่คุณเข้าใจมันคือสภาวะที่จิตกับความความคิด
    ที่เกิดจากจิตตอนนี้มันรวมกันและยกตัวเองขึ้นมาปรุงร่วม
    กับจิตเพื่อพิจารณาตัวเองของมันเองอยู่ครับใช้กำลังสมาธิ
    ไม่มากสังเกตุดูออกมาแล้วจิตยังไม่ได้เบื่อหน่ายจริงๆ
    ยังมีอาการฟูอยู่..ไม่ใช่การไปเห็น
    ในระดับที่จิตแยกเด็ดขาดกับกายแล้ว..มีกำลังสติเพียงพอบังคับ
    ให้จิตอยู่ในร่างกายแล้วจิตไปดูเอง ถ้าจิตไปดูเองแบบนี้มันจะไป
    ของมันเองเราจะทำได้แค่ตามดูไปบังคับให้มันแทบไม่ได้มันจะไป
    ของมันเองครับ..และจะคลายกิเลสได้เร็วแต่ให้พยายามคิดพยายาม
    นึกในส่วนที่เกี่ยวข้องกับที่มันได้พิจารณาแล้วก็นึกไม่ออกเพราะจิต
    ถ้ามันวางมันไม่เอาแล้วมันจะทิ้งของมันเลยครับ..
    .
    ยังไม่ใช่วิปัสสนาอย่างที่เข้าใจครับ การแยกกายกับจิตได้เป็นเพียง แยกส่วนรูปกับนาม
    ยังเดินปัญญาไม่ได้ครับ.ยังไม่ใช่ส่วนนามกับนาม.ระดับที่คุณเล่ามา
    นี้ยังกล่ำกลึ่งๆเป็น.ระดับที่จิตและ ความคิดที่เกิดจากจิตปรุงร่วมกันได้อยู่..
    บางทีเค้าก็เรียกว่าวิปัสสนึกครับ..
    สภาวะอยู่ในระดับที่พอมีกำลังสติในการระลึกรู้.
    แต่ยังไม่ถึงฐานของความคิด.ความคิดที่เกิดจากจิตมันยังมีอยู่
    ยังแยกส่วนอารมย์ออกจากความคิดตรงนี้ออกจากขันธ์ ส่วนนามธรรมยังไม่ได้
    ไม่งั้น.สภาวะแบบสมาธิที่คุณสัมผัสได้.
    ตัวคุณเองยังไม่ค่อยรู้อะไรในสิ่งที่สัมผัส.
    ยังมาตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบ..
    มันเลยไปไกลแล้วถ้าเป็นอย่างที่
    คุณเข้าใจในตอนนี้นะครับ..
    คือความเข้าใจในสัมผัสคุณมันสวนทางกับวิปัสสนาที่คุณพยายามจะสื่อครับ
    ถ้าเราวิปัสสนาไปได้.ความเข้าใจในสัมผัสมันจะสัมพันธ์กันด้วยครับ
    ถ้าวิปัสสนามันจะเป็นอย่างที่คุณเข้าใจในตอนนี้นะครับ.

    ยังไงลองทบทวนแนวทางการปฏิบัติของตนเองดูนะครับ..
    ถ้าไม่เชื่อ ลองไปตั้งกระทู้เพื่อดูความเข้าใจ
    ตนเองในเรื่องนี้ดูได้ครับ ในห้อง อภิญญา-สมาธิ จะได้รู้ตัวเองครับว่าเข้าใจหรือไม่.
    สิ่งที่คุณอธิบายจะเป็นตัววัดการปฏิบัติของตนได้ดี.

    ลองตอบคำถามนี้ดูหน่อยครับ..
    ๑.ฐานของจิตอยู่ตรงไหน กิริยาของจิตเวลามีความคิด
    หรืออารมย์มาปรุงร่วมเป็นอย่างไร
    ๒.ลักษณะความคิดที่เกิดจากจิตเป็นอย่างไร
    ๓.ลักษณะความคิดที่เกิดจากขันธ์ ส่วนนามธรรมเป็นอย่างไร
    ๔.เราจะเกิดปัญญาได้เราตามดูข้อ หรือข้อ ครับ.
    รู้แล้วตอบได้แล้ว ถึงค่อยมาพูดเรื่องเดินปัญญาเรืองวิปัสสนานะครับ

    ปล.หวังว่าจะพอเข้าใจ..จบเรื่องเล่าครับ
     
  5. butwanna

    butwanna Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +45
    ขอบคุณนะคับที่แนะนำ ผมไม่ได้ตั้งคำถามเพื่อจะหาคำตอบ แต่ให้ทุกคนตอบเพื่อตัวเอง และคุณหาเจอรึยัง ?
     
  6. phutsa

    phutsa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    261
    ค่าพลัง:
    +852
    อยากทราบวิธีปฏิบัติโดยละเอียดบ้างครับว่าทำยังไง มีอารมณ์แบบไหนถึงสามารถถอดจิตได้ครับ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    อืม..ครับ และขอบคุณที่ถามคืนนะครับ
    ช่วยเปิดมุมมองได้หลายประเด็นเลยครับ.
     
  8. jangira

    jangira เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2010
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +784
    คุยกันไปคุยกันมาก็เถียงกันเองเสียแล้ว ไม่ค่อยอยากจะเข้ามาอ่านสักเท่าไรเว็ปพลังจิตเพราะรู้สึกมีแต่เก่งๆ กันทั้งนั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...