ประสบการณ์การตายแล้วฟื้น..หลวงปู่จันทา ถาวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 24 มิถุนายน 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]

    หลวงปู่จันทา ถาวโร


    ประสบการณ์การตายแล้วฟื้น

    สมัยหนึ่ง (ปี 2494) ไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านตะเบาะ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ มีพระจำพรรษาอยู่ด้วยกัน 3 รูป สามเณร 1 รูป และผ้าขาวเฒ่า 1 คน (ผ้าขาวคือฆราวาสผู้รักษาศีล 8 อยู่ที่วัด) อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันเพ็ญเดือน 10 หลังจากฉันอาหารเช้าแล้วกลับมาที่กุฏิ เอาผ้าคลุมจะไปฟังธรรม ก็พอดีไข้มาลาเรียมันกำเริบหนักขึ้นสมอง ล้มลงกับพื้นที่กุฏิซึ่งปูด้วยฟากไม้ไผ่ เณรได้ยินเสียงล้มลงจึงออกมาดูแล้วถามว่า “ครูบา...เป็นอะไร” (ครูบาเป็นคำเรียกพระที่พรรษาหย่อน 10) “ไม่รู้...มันมึนตึ๊บแล้วก็ล้มลงเลย”

    เณรก็วิ่งไปบอกญาติโยมว่า “ครูบาจันทาล้มลงนะ...เป็นอะไรก็ไม่ทราบ” ทั้งพระและโยมเขาก็เข้ามาดู เอาหมอมาด้วย หมอก็ตรวจดูแล้วบอกว่า เป็นไข้มาลาเรียขึ้นสมองอย่างหนัก อีก 5 นาทีก็จะสิ้นลม โยมทายกวัดเขาก็ว่า จะเป็นหรือตายอย่างไรก็ตามต้องฉีดยาช่วยเหลือไว้ก่อน พอฉีดยาเสร็จแล้วไม่นานก็สิ้นลม เมื่อสิ้นลมดวงจิตนั้นยังไม่ยอมออกจากร่าง ยังห่วงใยเสียดายร่างกายอยู่ ไม่นานมีเพื่อนคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆ ร้องบอกว่า

    “เพื่อนๆ รีบออกจากเรือนเถอะ ไฟมันจะไหม้ทับหัว” ก็เลยออกจากร่างมายืนติดกับเพื่อน

    เพื่อนก็บอกว่า “นี่แหล่ะ...เพื่อนเอ๋ย สมบัติร่างกายนี้นั้นอาศัยกันมาตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้นั้นก็ถูกไฟพยาธิเผาให้เร่าร้อนฉิบหายเสียแล้ว จะอาศัยอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ หมดเพียงแค่นี้นั่นแหละ ถึงจะเสียดายอย่างไรก็หมดสิทธิ์อำนาจที่จะเข้าไปครอบครองได้อีกต่อไป”

    จากนั้นทั้งพระและโยมก็ช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็หามศพไปไว้ที่ศาล วางนอนไว้เฉยๆ ไม่ได้ใส่โลงและก็ไม่ได้ฉีดยา ก็ตามไปดูอีกเพราะความเสียดายนั่นแหละ เข้าไปนั่งลูบคลำร่างกายศพ ดูแล้วก็เฉยเหมือนขอนไม้ โอ้หนอ...ขึ้นชื่อว่าตายแล้วถึงจะคิดเสียดาย อาลัยอาวรณ์อย่างไรก็เอากลับคืนมาไม่ได้แล้วก็หมดความสงสัย ทีนี้ก็หันไปพูดกับพระเณรเขาก็ไม่พูดด้วย ไปถามญาติโยมเขาก็ไม่พูดด้วย เขามองไม่เห็นเพราะมีแต่นามธรรมคือ “ดวงจิต” จึงหันกลับมาถามเพื่อนว่า “เราจะไปไหนกันดี” เพื่อนก็ตอบว่า “จะพาไปเที่ยวดูภูมิประเทศ”

    ก็ออกเดินทางกันวันยังค่ำ มีแต่ดวงจิตไปสบาย ไม่หิวโหย ไม่เหนื่อยล้า ครั้นไปถึงกึ่งกลางระหว่าง 2 หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งเป็นภูเขา อีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นป่าดง ในระหว่างกลางนั้นเป็นสนามเล่น ก็เลยไปพักเล่นอยู่กับเขา พักเล่นอยู่จนกระทั่งตี 3 พวกเขากลับบ้านกันหมดเพราะมันจะค่ำ กลางคืนเป็นกลางวันนะ เมื่อพวกเขากลับกันหมดแล้วก็ถามเพื่อนว่า “เราจะไปไหนกันอีก” เพื่อนก็บอกว่า “เราเองก็มาใหม่ ยังไม่รู้จักภูมิประเทศดี จะไปข้างหน้าก็เป็นป่าดง ไปข้างหลังก็เป็นภูเขา แต่ว่าขณะนี้สมบัติปัจจัยเก่าคือร่างกายนั้นยังสดชื่นอยู่ พอที่จะกลับคืนสู่ร่างเก่าได้เพราะมีบุญครึ่งหนึ่งรักษาไว้ แต่ว่าเรามาไกลแล้ว จะเดินกลับคงไม่ทันแน่ ต้องวิ่ง”

    เอ้าวิ่งก็วิ่งเลย ข้ามดงข้ามทุ่งมาถึงวัดแล้วก็ขึ้นไปบนศาลาไปดูซากศพก็เห็นนอนสบายดีอยู่ มีแต่ญาติโยมที่มาเฝ้าศพปรึกษากันว่าจะเผาหรือฝังเท่านั้น เพื่อนก็บอกให้เข้าไปนั่งติดกับร่างศพและตั้งสติให้ดี นึกถึงบุญเก่าและบุญใหม่ประกอบกันเข้านั่นแหละจะช่วยให้ดวงจิตกลับเข้าสู่ร่างได้ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ พอนึกจบแล้วก็เข้าสู่ร่างกายได้สบาย เมื่อหันหน้ากลับมาดูเพื่อน เพื่อนหายไปเสียแล้ว

    พอแจ้งเป็นวันใหม่ กระดุกกระดิกร่างกายได้สมบูรณ์ดีแล้ว ลืมตาขึ้นได้ยินเสียงนกแซงแซวร้อง ก็ระลึกขึ้นมาว่าเรามีชีวิตกลับคืนมาได้ก็เพราะบุญหรอก บุญที่สะสมไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้าเป็นเครื่องรักษา ฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะสะสมแต่บุญกุศลเท่านั้น สิ่งอื่นไม่ว่าจะเป็นสมบัติ ข้าวของ เงินทอง กุฏิ วิหาร สบง จีวร สังฆาฏิก็ดี เมื่อสิ้นลมแล้วก็ทอดทิ้งไว้หมดเสียสิ้น มีแต่บุญกุศลเก่าและใหม่เท่านั้นที่จะบันดาลให้เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์เ ป็นผ้าสบงจีวร เป็นสังฆาฏิสวยงาม เป็นที่พึ่งพิงอาศัยได้แท้แน่นอน

    เมื่อตั้งสัตยาธิษฐานเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง พวกญาติโยมที่มาเฝ้าศพอยู่บนศาลาก็ตกใจ บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็กระโดดลงศาลาไปด้วยความกลัวผี ไม่นานพอหายตกใจกลัวแล้ว พวกโยมทายกวัดก็เข้ามาถามความเป็นมา เพราะไม่เคยเห็นคนตายไปวันกับคืนแล้วพื้นคืนมาได้ ก็แสดงให้เขาฟังอย่างที่ได้อธิบายมาแล้วนั่นแหละ และก็ว่าโยมทั้งหลายต่อไปนี้จงยึดเอาอาตมาเป็นคติธรรมเตือนใจนะ เพราะบุญกรรมดีสะสมไว้แต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้าจะรักษาสมบัติร่างกายไว้ ถึงตายแล้วก็ไม่เน่ายังสดชื่นเหมือนเดิมทำให้พื้นกลับคืนมาได้ ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงรีบเร่งสะสมคุณงามความดีใส่ตนไว้ จะได้เป็นเพื่อนสองเป็นคู่ครองติดตามตลอดไป...



    www.bp.or.th
     
  2. Nok Nok

    Nok Nok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +3,297
    [​IMG]
    กราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
     
  3. ucon888

    ucon888 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2009
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +993
    โมทนาบุญด้วยครับ
    นึกถึงบุญเก่าและบุญใหม่ประกอบกันเข้านั่นแหละจะช่วยให้ดวงจิตกลับเข้าสู่ร่างได้ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์
    สิ่งที่จะช่วยเราได้จริง ๆ ก็มีเท่านี้เองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...