ประสบการณ์มโนมยิทธิ และญาณ ๘

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย White Sage, 29 มกราคม 2014.

  1. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    แฮะๆ สาธุครับ ไปอ่านได้เลยครับน้อง อัพแล้ว แต่ถ้ายาวๆนี่ต้องวันเสาร์น่ะครับ ซักผ้าให้ท่านผบ.ทบ.เสร็จจะมาปั่นใหม่ครับ
     
  2. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    "การฝึกญาณ ๘"


    ส่วนตัวดูไม่ได้ค่ะ ^^ แต่คนอื่นอาจดูได้ก็ได้นะคะ (ไม่เคยมีปสก.เลยค่ะคุณเมธาวี อิอิ) :)

    แต่จำไม่ผิดตอนที่เราฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังและเต็มกำลัง จนมีความมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว เราก็เริ่มมาซักซ้อมญาณ 8 กันง่ายๆ ตามประสาพุทธภูมิวัยสะรุ่น เช่น


    ปัจจุปปันนังสญาณ(ญาณในส่วนปัจจุบัน)


    เวลาที่ไปทำบุญและนั่งกินข้าวกันกับแก๊งพุทธภูมิ ขากลับขณะที่รอรถเมล์ เราก็ทำสมาธิและพิจารณาตัดกาย (พิจารณาวิปัสสนาญาณแบบเดียวกับตอนฝึกมโนมยิทธิ) เมื่อตัดกายแล้วเราก็ถามพระท่าน ว่ารถเมล์ที่เราจะขึ้นจะมาในอีกกี่นาที ท่านก็จะบอกนาทีมาว่าภายใน 3 นาที 7 นาที 10 นาที ฯลฯ ซึ่งรถเมล์ก็จะมาตามนั้นค่ะ หรือบางทีเราก็ฝึกทายกันว่าคนแรกที่จะผ่านมาจะใส่เสื้อสีอะไร อย่างนี้เป็นต้น ก็ฝึกไปเรื่อยๆนิวรณ์กินบ้าง มั่วบ้าง ถูกบ้าง ค่อยๆสะสมความชินไปเรื่อยๆค่ะ


    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ(ญาณระลึกชาติ)


    ตอนที่ฝึกมโนมยิทธิใหม่ๆ ด้วยความเป็นพุทธภูมิและมีสัญญาเกี่ยวกับการเป็นทหารมามาก ซึ่งดูได้จากนิสัยที่ชอบเล่นต่อสู้แบบเด็กผู้ชาย ชอบสมมติตัวเองเป็นนักรบ ชอบดาบ คาถาและยันต์ต่างๆ ชอบวาดรูปทหารโบราณถือดาบ และเวลาเรียนประวัติศาสตร์ตอนรบกับประเทศเพื่อนบ้านอารมณ์จิตมักจะปีติรุนแรงอยู่เสมอๆ รวมถึงถูกทักว่าเป็นทหารมาในอดีตชาติ ดังนั้นจึงได้ลองฝึกซ้อมญาณ 8 โดยเช็คกับเพื่อนพุทธภูมิด้วยกัน ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นอายุราวๆ 17 ปี ได้ลองไปดูว่าในสมัยพระนเรศวรมหาราชได้เกิดเป็นใคร และก็เห็นภาพว่าเกิดเป็นผู้ชายผิวขาว รูปร่างสมส่วน โดยชาตินั้นไม่ได้รับราชการทหารโดยตรงเหมือนเพื่อนพุทธภูมิ แต่เป็นทหารอาสาร่วมรบเพื่อปกป้องบ้านเมือง โดยฝีมือในการรบถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ซึ่งทั้งหมดที่เห็นนี้เราจะซักเพื่อนพุทธภูมิว่าเห็นอย่างไรบ้างเพื่อเช็คว่าตรงกันหรือเปล่า ซึ่งก็เห็นตรงกันทั้งของเราและของเค้าค่ะ


    หรือในบางครั้งเมื่อเราไปทำบุญหรือฝึกสมาธิกับอ.ฆราวาสมา เราก็จะไปพักที่ห้องของพี่ที่เป็นพุทธภูมิและรวมตัวกันฝึกมโนมยิทธิ สนทนาธรรม ดูดวง พูดคุยเฮฮาจิปาถะกันตามประสาวัยรุ่น มีอยู่ครั้งหนึ่งเราได้ฝึกมโนมยิทธิพร้อมกัน โดยหลังจากที่กล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัยและสมาทานพระกรรมฐานเสร็จ เราก็ได้ไปดูอดีตชาติว่าเคยเกิดร่วมกันในชาติไหนบ้าง มีอยู่ชาติหนึ่งเกิดเป็นผู้ชายเหมือนกันหมด เลยดูว่าชาตินั้นๆประกอบอาชีพอะไรกัน ซึ่งตอนนั้นรู้สึกและเห็นแว๊บๆว่าเป็นอาจารย์สอนศิลปะ ซึ่งพี่พุทธภูมิคนหนึ่งก็เห็นเหมือนกับเราค่ะ


    อนาคตังสญาณ(ญาณรู้อนาคต)


    ส่วนตัวยอมรับว่าตั้งแต่ฝึกมโนมยิทธิมา ไม่ค่อยได้ญาณเหมือนคนอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะที่พระท่านมาสงเคราะห์ตลอด หรือเป็นเทวดาที่เคยเกี่ยวข้องกันมาบอก และมักจะเป็นแนวอนาคตังสญาณ(ญาณหยั่งรู้อนาคต)ที่ไม่มีทางจะเป็นไปได้ทั้งนั้น โดยพระท่านมักจะบอกไว้เป็นปริศนาเสมอๆว่า"เมื่อถึงเวลานั้นๆเธอจะรู้เอง" เช่น อีกประมาณหนึ่งปีข้างหน้า จะมีเหตุการณ์เข้ามาเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้เธอได้รู้เอง ซึ่งเรื่องทั้งหมดจะอยู่ในส่วนของประสบการณ์มโนมยิทธิและญาณ๘นั่นเอง


    พอมานั่งคิดๆดูแล้ว ส่วนตัวได้ข้อสรุปว่า


    1. สิ่งต่างๆที่เรารู้ ส่วนใหญ่เกิดจากบารมีพระท่านสงเคราะห์ หรือท่านอื่นๆสงเคราะห์ เพราะลำพังญาณ๘ ที่รู้เองโดยถามจากพระท่านอย่างมากก็แค่รถเมล์จะมาในกี่นาที ซึ่งก็ทายผิดมั่งถูกมั่ง


    2. เรื่องต่างๆที่ท่านให้รู้ ยอมรับว่าสอดคล้องกับจริตนิสัยของตนเองเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้ารู้อะไรง่ายๆ แล้วมีความเป็นไปได้อยู่แล้ว รับรองว่าตอนที่หลุดออกมาจากการปฏิบัติธรรม แล้วมาใช้เหตุใช้ผลทางโลกสูงๆโดยปฏิเสธเรื่องพวกนี้ ตัวเองจะต้องวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะมีความเชื่อความศรัทธาในคำสอนของหลวงพ่อเป็นทุนเดิม ดังนั้นการเห็นสิ่งต่างๆที่สอดคล้องกับความเชื่อของตนเองจึงไม่ใช่เรื่องแปลก และยิ่งถ้าหากตนเองได้อ่านคำสอนของหลวงพ่อก่อนแล้วค่อยเห็นในตอนฝึกมโนมยิทธิแล้ว ตัวเองจะต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอน เพราะถือว่ามีการรับรู้ข้อมูลอยู่ก่อน


    ซึ่งตอนนั้นพอมาคิดดูดีๆถึงเรื่องราวการปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาทั้งหมด ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เห็นพระจุฬามณีในการฝึกมโนมยิทธิครั้งแรก เราก็เห็นก่อนครูฝึกบอกนะ เห็นโดยที่เราไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับพระจุฬามณีมาก่อนเลย หรือเรื่องพระรามเจ้าโพธิสัตว์ เราก็ไม่เคยอ่านคำสอนหลวงพ่อมาก่อนถือได้ว่าไม่มีการรับรู้ข้อมูลใดๆทั้งสิ้นก่อนเห็น หรืออย่างเรื่องคู่บารมี แม้จะเป็นคำพูดของอ.ฆราวาสที่บอกเราก็จริง แต่เราไปแบบเงียบๆไม่ให้ใครรู้ ไปเจอและเห็นว่าใส่ชุดสีอะไร เห็นในจิตขณะนั้นด้วยว่ามีคนมาแอบดู ซึ่งเราก็รู้แว๊บๆว่าน่าจะเป็นพี่พุทธภูมิที่มาฝึกด้วยกัน แล้วพอฝึกเสร็จสิ่งแรกที่พี่แกทำก็คือพูดแซวเราซะงั้น เล่นเอาอายไปพักนึงเลย ซึ่งเราก็ไม่เชื่อเลยถามว่ารู้ได้ไง พี่แกก็เล่นแซวกลับมาอีกทำนองว่าเป็นผู้หญิงใส่ชุดสไบสีเขียวใช่ไหม ทั้งหมดนี้ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ปราบนิสัยของเราชัดๆเลย เพราะเอาเหตุผลทุกอย่างมาคัดค้านก็ไม่พ้นจุดที่อธิบายไม่ได้อยู่ดี


    แต่ด้วยนิสัยหรือกรรมในขณะนั้นของเราเองก็ไม่รู้ เราก็ยังคัดค้านด้วยความดื้อแบบไม่เชื่อสุดๆในทำนองว่า แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าสิ่งที่เราเห็นมาจากพระท่านและพรหมเทวดาองค์อื่นๆจริง ไม่ถูกจิตวิญญาณที่ไม่ดี เช่น อสุรกายที่มีฤทธิ์เข้ามาแทรกแซง อันนี้เราคิดจริงๆนะคะ ตอนที่หลุดออกจาการปฏิบัติธรรม วิเคราะห์ขนาดนี้จริงๆ กล่าวคือถ้าเอาเหตุผลในทางโลกมาคัดค้านเพื่อตรวจสอบไม่ได้แล้ว ก็เอาเรื่องที่มองไม่เห็นนี่แหละมาคัดค้าน ซึ่งสิ่งที่เราได้คำตอบก็คือ แล้วเรื่องพายุนาร์กิสที่พม่ากับเรื่องแผ่นดินไหวที่เสฉวนล่ะจะว่าอย่างไร เพราะเรื่องแบบนี้ต่อให้มีสิ่งที่มีฤทธิ์และไม่ดีมาแทรกแซงจริง จะมีใครที่มีฤทธิ์ขนาดรู้เรื่องพวกนี้ได้นอกจากพระพุทธเจ้า เพราะไม่อย่างนั้นคนที่ถูกอสุรกายหรือสิ่งอื่นๆหลอกหรือครอบงำอยู่ ก็ต้องมีออกมาให้เห็นแล้วสิว่าเค้าก็ทำแบบนี้ได้


    ซึ่งบอกตรงๆนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เราเถียงไม่ออก และดื้อต่อไปอีกไม่ได้ เรื่องนี้จึงเป็นที่มั่นที่สุดท้ายที่ทำให้เราเชื่อเรื่องพวกนี้ในตอนที่เราออกจากการปฏิบัติธรรมไปค่ะ ดังนั้นเราจึงมองว่าที่พระท่านให้เรารู้ คงเป็นเพราะท่านทราบว่าเมื่อวาระกรรมของเราเข้ามาจนต้องออกจากการปฏิบัติธรรมไป และไปอยู่กับการคิดจากเหตุและผลแบบสุดๆแล้ว เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เราไม่สามารถหักล้างได้ค่ะ


    ดังนั้นขึ้นชื่อว่าพุทธบารมีแล้ว ย่อมเป็นดังคำกล่าวที่ว่า "สัตถาเทวะมนุสสานัง" อันหมายความว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นครูผู้ฝึกแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายค่ะ โดยเฉพาะเด็กดื้อแบบจขกท.นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2014
  3. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    "ข้อสงสัยเรื่องการบูชาพระพุทธรูป"


    เหตุที่จขกท.ตัดสินใจเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเพิ่งได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับข้อสงสัยที่ว่า "การบูชาพระพุทธรูปนั้นเป็นสิ่งที่ผิดคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ให้พระธรรมคำสอนเป็นตัวแทนของท่านหรือไม่ อย่างไร?"


    หลังจากที่ได้ไปอ่านเรื่องราวต่างๆแล้วพบว่า ปัจจุบันมีความคิดความเชื่อที่ว่าการยึดถือพระพุทธรูปนั้นเป็นสิ่งที่ผิดคำสอน เป็นการยึดติด จนเลยไปถึงการแสดงการไม่ยึดติดด้วยการทำลายพระพุทธรูป จึงขออนุญาตนำมุมมองมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ค่ะ


    หากมองในแง่พระไตรปิฏก


    เราจะพบเรื่องราวเกี่ยวกับอานิสงค์ของการสร้างพระพุทธรูปว่าเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง หากใครได้อ่านเรื่องราวในวัฏฏังคุลีราชชาดก ชาดกว่าด้วยอานิสงค์การสร้างพระพุทธรูปจะทราบ


    และในแง่ของการปฏิบัติภาวนาก็เช่นกัน การที่เราปฏิบัติในพุทธานุสติบ่อยๆก็เป็นเหตุให้ได้สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ เนื่องจากจิตมีสมาธิ ตรงนี้ถือว่าเป็นอานิสงค์ผลบุญอย่างยิ่งค่ะ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทานก็ดี การปฏิบัติภาวนาก็ดี ล้วนเกิดขึ้นได้ก็ด้วยรูปของพระพุทธเจ้า คือพระพุทธรูปในทางรูปธรรม และภาพพระพุทธเจ้าในสมาธิอันเป็นนามธรรม


    ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ การที่เราให้ความเคารพต่อพระพุทธเจ้า(หรือพระพุทธรูป) ล้วนเป็นเหตุปัจจัยแห่งการสร้างบารมีเพื่อหลุดพ้นทั้งสิ้น แล้วเราจะกล่าวได้อย่างไรว่าการบูชาพระพุทธรูปนั้นเป็นสิ่งที่ผิดและทำให้เราหลงทาง


    เมื่อมองในแง่ของพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ


    ส่วนตัวเมื่อดูปฏิปทาและจริยาวัตรของพระหลายๆรูปที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทุกๆองค์ล้วนแล้วแต่มีจิตที่เคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะทางกาย(ซึ่งเป็นส่วนที่หยาบ)ท่านก็กราบพระพุทธรูปเป็นปกติ หรือทางจิต(ซึ่งเป็นส่วนที่มองไม่เห็น)ท่านก็มีจิตที่นอบน้อมบูชาในความดีของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอๆ


    แล้วเราจะกล่าวและเชื่อได้อย่างไรว่าการบูชาพระพุทธรูปนั้นเป็นการยึดติด


    สุดท้าย เมื่อมองในแง่มุมการปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาของตนเอง


    ส่วนตัวเป็นผู้ปฏิบัติธรรมในสายมโนมยิทธิ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งในฐานะผู้ปฏิบัติจะต้องยึดหลักของอานาปานสติและพุทธานุสติเป็นสำคัญอันเป็นสมถะภาวนาพื้นฐาน แล้วใช้วิปัสสนาญาณกรรมฐานเพื่อพิจารณาละสังโยชน์ 3 ในเบื้องต้น เพื่อให้จิตมีความสะอาดบริสุทธิ์พอสมควร จึงจะสามารถเกิดทิพจักขุญาณและท่องเที่ยวไปยังนรก สวรรค์ พรหม และนิพพานได้ และเกิดญาณ 8 ประการที่ทำให้เราเข้าใจคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างสิ้นสงสัย ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จิตของผู้ฝึกจะมีพุทธานุสติกรรมฐานเป็นปกติ มีความเคารพพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ทั้งในสภาวะความเป็นทิพย์ หรือพระพุทธรูปที่เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ค่ะ


    ดังนั้นการหลุดพ้นจึงมิใช่การทำลายพระพุทธรูปเพื่อลดการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆเพื่อให้ตนเองสามารถละกิเลสได้ แต่ต้องรู้จักปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เริ่มตั้งแต่การให้ทาน เช่น การสร้างพระพุทธรูป การรักษาศีล 5 ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ การปฏิบัติภาวนาทั้งในสมถภาวนาและวิปัสสนาญาณโดยอาศัยพุทธานุสติ(การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า)เป็นสำคัญค่ะ


    สำหรับประเด็นที่ว่า "การสร้างพระพุทธรูปเป็นอิทธิพลจากชนชาติกรีกและเกิดภายหลังพุทธกาล"


    ส่วนตัวมองว่า ไม่ว่าการสร้างพระพุทธรูปจะเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล ดังเรื่องราวการสร้างพระพุทธรูปไม้แก่นจันทร์แดงในสมัยพระเจ้าปเสนทิโกศล หรือเกิดภายหลังสมัยพุทธกาลด้วยอิทธิพลจากชนชาติกรีก ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากจิตของบุคคลทั้งหลายที่มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันเป็นพุทธานุสติกรรมฐาน เป็นเหตุแห่งบารมีและบุญที่จะนำบุคคลนั้นๆไปสู่สวรรค์ พรหม และนิพพานค่ะ


    ดังนั้นจึงยอมรับว่า นับถือในความดีและความฉลาดของคนที่ริเริ่มการสร้างพระพุทธรูปเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นนวัตกรรม(innovation)ที่ชาญฉลาดที่สามารถทำให้อนุชนคนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้มีเครื่องระลึกนึกถึงพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นการสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพระพุทธรูป และการระลึกถึงพระพุทธองค์(พุทธานุสติ)


    สำหรับประเด็นที่ว่า "การสร้างพระพุทธรูปเป็นการปรามาสและดูหมิ่นพระพุทธเจ้า"


    ส่วนตัวมองว่าแม้พระพุทธรูปนั้นจะสร้างจากวัตถุธาตุต่างๆ เช่น อิฐ หิน ดิน ทรายก็ตาม ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการปรามาสพระพุทธองค์แต่อย่างใด เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเกิดขึ้นจากธาตุต่างๆมาประชุมกันเป็นธรรมดา ซึ่งถ้าใครเคยพิจารณากรรมฐานในส่วนจตุธาตุววัฏฐาน ๔ จะทราบดี ทั้งนี้แม้แต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์อย่างพระไตรปิฏก ก็มีการจารึกลงในใบลานมาแต่โบราณ ซึ่งใบลานก็มาจากต้นไม้นั่นเอง ดังนั้นการสร้างพระพุทธรูปจึงไม่ใช่การปรามาสดูหมิ่นพระพุทธองค์แต่อย่างใดค่ะ


    สำหรับประเด็นที่ว่า "การสร้างพระพุทธรูปทำให้คนยึดติด เมื่อตายไปจะต้องเกิดเป็นวิญญาณที่สิงอยู่ในพระพุทธรูปนั้น"


    สำหรับประเด็นนี้่ส่วนตัวมองว่า หากบุคคลใดที่เข้าถึงพุทธานุสติจริงๆจะทราบว่า จิตที่ระลึกนึกถึงพุทธคุณอยู่เป็นปกตินั้น จะมีแต่ความดีอยู่ในจิตตลอดเวลา ดังนั้นหากบุคคลนั้นถึงคราวตาย ด้วยบุญกุศลที่ระลึกนึกถึงความดีของพระพุทธองค์ จิตของบุคคลนั้นย่อมไปสู่สวรรค์เป็นอย่างน้อยแน่นอนค่ะ


    สำหรับโพสต์นี้ ถ้าหากกล่าวหนักไป หรือกระทบท่านผู้ใด ต้องขออภัยด้วยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2014
  4. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    พี่เอาด้วยครับคุณน้อง White Sage ขอกล่าวถึงการที่เราจะนับถือและบูชาพระพุทธรูปนั้น ผมก็ไม่เห็นว่าจะผิดหรือปรามาสพระรัตนตรัยตรงไหน ยังไง เพราะครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีตั้งแต่ในกุฏิที่พวกท่านจำวัด ท่านก็กราบไหว้พระพุทธรูปเป็นปกติ ถ้าเราจะเอ่ยชื่อของท่านกันแล้วละก้อ พวกเราปฏิเสธไม่ได้แน่ว่าพวกท่านเหล่านั้นเป็นพระอริยเจ้าเช่น หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ หลวงพ่อโหน่งวัดคลองมะดัน หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุง(หลวงพ่อของพวกเรา) หลวงปู่มั่น ภูริทตฺต หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่สิมวัดถ้ำผาปล่อง เป็นต้น และการที่เราสร้างและบูชาพระพุทธรูปนั้นเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐาน 1 ใน40 กองที่พระพุทธองค์ตรัสสั่งสอนไว้เพื่อให้ถึงพระนิพพาน เป็นการเนื่องถึงพระพุทธองค์ทางใจ และเป็นการกันเราตกนรกด้วย
    [​IMG][​IMG][​IMG]

    แต่คนที่
    วิจารณ์แบบที่คุณน้องกล่าวถึงนี่ ในสังคมนี่มีทั้งฆราวาสและพะ (พะในที่นี้ความหมายคนละอย่างกับพระนะครับ) เวลาที่พวกเราญาติธรรมได้รู้และเห็นสิ่งที่คนพวกนี้หรือคนประเภทนี้พยายามจะทำนั้น เห็นแล้วก็สลดใจและก็ปลงสังเวช
    ศาสนาของพระพุทธองค์ไม่ได้เสื่อม ที่เสื่อมคือคนครับ ฉะนั้นแล้วใครจะลงอบายภูมิ ก็ปล่อยเค้าไป เราไม่ไปด้วย “เพราะคนเราเกิดก็ไม่ได้เกิดพร้อมกัน คนที่เกิดพร้อมกันก็ไม่ได้หมายความว่าตอนตายจะตายพร้อมกัน ตายพร้อมกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปที่เดียวกัน” รวมความว่าใครชอบใจที่ไหนก็ปล่อยเค้าไปที่นั้นตามชอบใจเลยครับ

    เคยเห็นนกหรือปลาที่คนเขาจับมาขายให้คนซื้อไปปล่อยสะเดาะเคราะห์ตามวัดต่างๆกันไหมครับ ผมเคยได้ยินหลวงปู่องค์นึงท่านกล่าวว่า “กูไม่ได้เป็นคนจับมา ใครจับมากรรมก็อยู่กับคนนั้นละโว้ย” เพราะกรรมเกิดจากเจตนา ถ้ากรรมนั้นได้ลงมือกระทำและผลของกรรมนั้นสำเร็จแล้ว ก็ได้กรรมเป็นของตัวเองละครับ ด้วยเหตุนี้ก็ต้องกล่าวคำว่า ตัวใครตัวมันละก๊าบ คนเรานี่ก็แปลกนะครับ ไอ้ตอนเป็นๆอยู่ชอบใจที่ไหนก็ไม่ค่อยจะได้ไป พอตอนตายได้ยินแต่คนเค้าบอกกันว่าไปที่ชอบที่ชอบ
    การปฏิบัตินั้นเป็นการปฏิบัติเพื่อละกิเลสครับ ไม่ใช่ให้กอดกิเลสไว้ เพราะฉะนั้นใครชอบที่ไหนก็ไปตามใจชอบกันเลยครับ ส่วนผมจะไปบ้านใหม่ที่สร้างไว้แล้ว ที่ตั้งใจปฏิบัติทุกวันนี้ก็เพื่อสร้างทุนรอนในการไปอยู่ครับ

    [​IMG]

    ปล.สำหรับประเด็นที่ว่า "การสร้างพระพุทธรูปเป็นอิทธิพลจากชนชาติกรีกและเกิดภายหลังพุทธกาล"
    อันนี้ไม่ได้แซวพี่ใช่ม้า เพราะพี่เพิ่งพิมพ์ลงกระทู้เมื่อวานนี้เองง่ะ อิๆ
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2014
  5. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ฮ่าๆ ไม่ได้แซวนะคะพี่ :p


    จริงๆเคยมีคนโพสต์เรื่องนี้ลงเว็บพลังจิตและอ้างพระไตรปิฏกไว้ บังเอิญไปเห็นพอดีเลยโพสต์แชร์มุมมองไว้ โดยพูดในแง่ของพระไตรปิฏก พูดในแง่ของครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้ว ว่าท่านก็กราบไหว้พระพุทธรูปเป็นปกติ และท่านยังสอนให้เราเคารพพระพุทธองค์ และให้หมั่นภาวนาระลึกถึงความดีของท่านเท่าที่จะทำได้(พุทธานุสติกรรมฐาน)


    แต่โพสต์ไปแล้ว ก็มีประเด็นที่พูดถึงเพิ่มเติมขึ้นมา อาทิเช่น


    - การสร้างพระพุทธรูปอยู่นอกเหนือพุทธบัญญัติ เพราะเพิ่งมาเกิดภายหลังพุทธกาลด้วยอิทธิพลชนชาติกรีก

    - การสร้างพระพุทธรูปเป็นการปรามาสดูหมิ่นพระพุทธองค์ เพราะสร้างจากดิน หิน ปูน ทราย

    - การสร้างพระพุทธรูปเป็นการทำให้เกิดกรรมหนักแก่บุคคลอื่น เพราะบุคคลนั้นจะมาทำการล่วงเกินพระพุทธรูปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    - การสร้างพระพุทธรูปทำให้คนยึดติด เพราะเมื่อตายไปแล้วเห็นด้วยญาณว่าวิญญาณของคนนั้นๆไปสิงอยู่ในพระพุทธรูป


    "มูลเหตุแห่งการสร้างบุญบารมี"


    ซึ่งตรงจุดนี้ส่วนตัวขออธิบายดังนี้ค่ะ


    "ธรรมชาติของจิต และการเวียนว่ายตายเกิด"


    ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจในเรื่องธรรมชาติของจิตและการเวียนว่ายตายเกิดกันก่อน ธรรมชาติของจิตนั้นมีการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ ตามกำลังบุญและบาปที่ได้สั่งสมมา
    และสิ่งที่ทำให้จิตต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นเวลายาวนานนับไม่ถ้วนอยู่อย่างนี้ก็คือกิเลสที่อยู่ในจิตของเรานั่นเอง ซึ่งตรงแหละเป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดเราจึงทำกรรมที่เป็นบาปมากกว่าบุญ


    ดังนั้นหลักในการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นก็คือ การทำอย่างไรเพื่อให้จิตของเราละจากกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งในตอนเริ่มแรกนั้นจะยากมากเพราะจิตของเราอยู่กับกิเลสมานาน จึงต้องค่อยๆอาศัยการฝึกฝนปฏิบัติตนทีละเล็กละน้อยให้จิตคลายจากกิเลสเหล่านั้น


    "จิตของคนเราในช่วงเริ่มต้น"


    ทีนี้ในช่วงเริ่มแรกนั้น จิตของคนเรายังมีกิเลสมาก แม้แต่ความดีง่ายๆและเล็กน้อยมากซึ่งเป็นความดีพื้นฐานเบื้องต้นที่จิตควรจะมีคือการให้ทานก็ยังไม่มีแก่จิตของเราเลย ดังนั้นจิตในช่วงนี้จึงต้องค่อยๆฝึกฝนการรู้จักการให้ทานแก่คนอื่นจนจิตมีนิสัยรู้จักการให้ขึ้นมา ซึ่งในช่วงนี้จิตยังไม่ถึงขั้นของการมีนิสัยที่จะรักษาศีล จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดในอบายภูมิ 4 ค่อนข้างมาก (อบายภูมิ 4 คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน)


    ดังนั้นขั้นต่อมา จิตของคนเราก็เริ่มที่จะรู้จักการรักษาศีลขึ้นมาบ้าง ซึ่งแรกๆก็ทำไม่ได้มั่ง ฝืนใจมั่ง บกพร่องมั่ง กว่าจะทำได้ครบทุกข้อก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอบายภูมิ4 เพราะจิตยังไม่มีศีลนั่นเอง


    ตรงนี้บางท่านอาจสงสัยว่าทำไมจึงต้องรักษาศีล จึงขออธิบายว่า เพราะการักษาศีลเป็นการไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น อันเป็นนิสัยเบื้องต้นที่จิตที่หวังจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ต้องมีค่ะ


    ทีนี้เมื่อถึงที่สุด จิตได้มีการพัฒนาจนมีนิสัยรู้จักการให้และมีนิสัยรู้จักการไม่เบียดเบียนผู้อื่น(มีศีล)แล้ว เราจึงจะเรียกได้ว่าจิตดวงนั้นทำบารมีขั้นต้นเต็มแล้ว (คนที่มีบารมีขั้นต้นเต็ม จิตจะมีนิสัยการให้และการรักษาศีลอยู่เสมอค่ะ)


    "จิตของคนเราในช่วงขั้นกลาง"


    เมื่อจิตของคนเรามีทานและศีลเต็มแล้ว จิตจะต้องมีการพัฒนาอีกเพื่อสร้างนิสัยของการระงับกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตของตน ตรงนี้เราจะเห็นว่าในขั้นนี้เราเริ่มที่จะเข้าถึงจิตของตนแล้ว และเริ่มที่จะฝึกฝนจิตใจของตนเองให้เท่าทันกิเลสที่เข้ามา ซึ่งแตกต่างจากการให้ทานและรักษาศีลที่ยังไม่รู้จักการเข้าถึงจิตของตน เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นที่จิตเริ่มรู้จักฝึกและสร้างนิสัยลดละเลิกการทำบาปอันเป็นส่วนของกายและวาจาเท่านั้น


    และในส่วนของการฝึกจิตเพื่อสงบระงับจากกิเลสนี้ จิตจะต้องรู้จักการทำสมาธิ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้นำมาบอกแก่เราว่ามีอยู่หลายแนวทางด้วยกัน เรียกว่า กรรมฐาน 40 ซึ่งทุกๆกองต้องมีการจับลมหายใจเป็นพื้นฐาน(ต้องมีอานาปานุสติเป็นพื้นฐาน)


    ซึ่งการสร้างนิสัยให้จิตรู้จักการสงบระงับจากกิเลสนั้น ต้องสั่งสมกันมาอย่างยาวนานนับชาติไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน ในขั้นนี้จิตจะเริ่มลดละเลิกจากกิเลสที่เป็นอุปสรรคสำคัญของการเกิดสมาธิซึ่งก็คือนิวรณ์ 5 ตามลำดับ จิตจึงเริ่มมีนิสัยรักความสงบระงับจากกิเลสและได้ฌานสมาบัติ


    และเมื่อถึงที่สุด จิตรู้จักสงบระงับจากกิเลสเป็นนิสัยเมื่อไหร่ จิตดวงนั้นจึงจะเรียกได้ว่ามีบารมีขั้นกลาง(อุปบารมี)เต็ม


    ซึ่งการเวียนว่ายตายเกิดในช่วงที่จิตเริ่มมีศีลเป็นต้นมา โอกาสที่จะตกอบายภูมิ 4 นั้นจะเริ่มน้อยลงตามลำดับ เพราะจิตเริ่มมีความดีรู้จักการไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นนั่นเอง แต่จะตกอบายภูมิ 4 น้อยลงไปอีกเมื่อจิตรู้จักการสงบระงับกิเลสที่จิตใจ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะกลไกที่จิตดวงหนึ่งจะไปสู่ภพภูมิอีกภพภูมิหนึ่งเมื่อถึงคราตายนั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์จิตก่อนตาย ซึ่งจิตที่มีนิสัยมีศีลไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นนั้น จะเป็นจิตที่มีแต่ความดีอยู่ตลอดในชีวิตของเค้า ดังนั้นก่อนตายจิตจึงมีโอกาสอยู่ในบุญกุศลตามความเคยชินที่มีมาตลอดชีวิต อันทำให้จิตดวงนั้นมีโอกาสได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี เช่น สวรรค์ มากขึ้นตามลำดับ


    และยิ่งหากเป็นจิตที่มีนิสัยรู้จักสงบระงับจากกิเลสด้วยแล้ว จิตจะยิ่งมีความบริสุทธิ์มากขึ้นไปอีก เพราะจิตดวงนั้นมีสภาวะเป็นสมาธิหรือเป็นฌานสมาบัติ ดังนั้นเมื่อถึงคราวตาย อารมณ์จิตที่รู้จักสงบระงับจากกิเลสก็จะทำให้จิตมีแต่ความดีและเยือกเย็น ซึ่งส่งผลให้ได้ไปเกิดยังสวรรค์หรือพรหมนั่นเอง


    "จิตของคนเราในช่วงขั้นปลาย"


    และเมื่อจิตพัฒนาในส่วนของนิสัยการรู้จักสงบระงับจากกิเลสถึงที่สุด(อุปบารมีเต็ม) จิตจะเริ่มรู้จักสร้างนิสัยในการละกิเลสซึ่งเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิง โดยการหมั่นฝึกฝนพิจารณาในวิปัสสนาญาณให้เห็นถึงความเป็นจริง เพื่อนำไปสู่การละสังโยชน์ทั้ง 3 ประการ อาทิเช่น สักกายทิฐิ (การเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา) จนในที่สุดจิตก็เกิดปัญญาและมีนิสัยเห็นความเป็นจริงอย่างนี้เป็นปกติ ซึ่งก็คือการเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันนั่นเอง


    สำหรับการพัฒนานิสัยของจิตในขั้นนี้ เรียกว่าการทำบารมีในขั้นปลาย(ปรมัตถบารมี)จิตจะมีความพอใจในการให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติภาวนาเพื่อสงบระงับจากกิเลส และหมั่นใช้การพิจารณาในวิปัสสนาญาณเป็นปกติ ซึ่งกว่าจิตดวงนั้นจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันได้ก็ต้องอาศัยการฝึกฝนตนเองมานับชาติไม่ถ้วนเช่นเดียวกันนั่นเอง


    อานิสงค์แห่งการสร้างและบูชาพระพุทธรูป


    เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติของจิต การเวียนว่ายตายเกิด และการบำเพ็ญบารมีเพื่อการหลุดพ้นแล้ว เราจะเห็นได้ว่าหลักการสำคัญในการหลุดพ้นก็คือ การทำอย่างไรก็ได้ให้จิตของเรามีทาน(นิสัยรู้จักการให้) ศีล(นิสัยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น) และภาวนา(นิสัยรู้จักสงบระงับจากกิเลส และนิสัยรู้จักเห็นความเป็นจริงของขันธ์5 คือร่างกาย)


    ดังนั้นถ้าหากการสร้างพระพุทธรูปเกิดภายหลังและอยู่นอกเหนือพุทธบัญญัติจริง เราก็ต้องรู้จักใช้ปัญญาพิจารณาว่าการสร้างพระพุทธรูปนั้นมีส่วนช่วยให้เรามีทาน ศีล และภาวนาอย่างไร


    ดังนั้นส่วนตัวจึงมองว่าคนที่ริเริ่มการสร้างพระพุทธรูปนั้นมีจิตที่ฉลาดและเป็นบุญกุศลมาก เพราะประการแรก การสร้างพระพุทธรูปนั้นเกิดขึ้นด้วยความเคารพศรัทธาในความดีของพระพุทธเจ้าของเค้า แต่กลับมีผลที่ตามมาอย่างมากมายมหาศาลแก่บุคคลอื่นๆอีก เพราะเป็นเหตุแห่งการสร้างบุญกุศลของชนรุ่นหลังที่ประมาณค่ามิได้ ไม่ว่าจะเป็น


    - บุญที่เกิดจากการสร้างพระพุทธรูปด้วยจิตที่มีศรัทธา เพราะจิตที่มีศรัทธาในความดีของพระพุทธองค์ในขณะนั้นถือว่าเป็นพุทธานุสติ จิตสงบระงับจากกิเลสชั่วคราว อันเป็นความดีขั้นกลาง


    - บุญที่เกิดจากการสร้างและถวายพระพุทธรูปให้เป็นประโยชน์แก่พระสงฆ์โดยส่วนรวมในพระพุทธศาสนา จัดว่าเป็นสังฆทานซึ่งเป็นทานที่มีอานิงค์มาก (นี่ยังไม่นับรวมถึงบุญที่เกิดจากการสร้างพระพุทธรูปโดยตรง)


    - บุญที่เกิดจากการที่บุคคลภาวนาในพุทธานุสติ อันเป็นการระลึกนึกถึงคุณความดีของพระพุทธองค์ โดยอาศัยพระพุทธรูปที่สร้างขึ้น จนเป็นเหตุให้ได้สมาธิ ฌาน ญาณ อภิญญาต่างๆ และในท้ายที่สุดมีความศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์อย่างมั่นคง อันเป็นการตัดวิจิกิจฉาที่เป็น 1 ในสังโยชน์ 3 ประการ ที่ทำให้บุคคลเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2014
  6. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    สาธุจ้า ในความเข้าใจของผมนะครับ ในพระไตรปิฏกนั้น ด้วยการที่ได้แปลมาจากภาษาบาลี บางประโยคและบางคำ เวลาแปลมาแล้ว ก็ตีความได้หลายความหมาย คล้ายๆกันแต่ไม่เหมือนกัน แล้วท่านที่ท่องจำหรือเรียกกันว่าทรงพระไตรปิฏกนั้นส่วนมากไม่ได้ปฏิบัติกันเลย เอาแต่ท่องจำแล้วก็ตีความหมายกันผิดๆ เหมือนนักบวชชื่อกปิละที่เกิดมาเป็นปลามีสีเหมือนทองแต่ปากเหม็นเหมือนอุจจาระ

    คนเรานี่ก็แปลกนะครับ พระพุทธรูปท่านก็อยู่ของท่านเฉยๆ ยังไปวิจารณ์ท่านอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2014
  7. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    เห็นโพสต์ที่พี่พิมพ์มาแล้วค่ะ :) ถ้าจะพูดกันขึ้นมาแล้วก็เป็นเรื่องของใครของมันจริงๆถ้าเกิดเค้าจะคิดกันแบบนั้น แต่ยอมรับว่าพอไปอ่านเจอเข้า ก็อดไม่ได้ที่ไปแลกเปลี่ยนความคิดกับเขาเหล่านั้นดู


    และด้วยความที่เป็นพุทธภูมิจึงมองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเราจะทำยังไงให้จิตของเราและของคนอื่นๆมีทาน ศีล และภาวนาอยู่ประจำใจ เพราะนั่นเป็นหลักสำคัญในการหลุดพ้น


    ซึ่งในกรณีการสร้างและบูชาพระพุทธรูปนี้ ส่วนตัวมองเห็นแต่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ในทางที่ก่อให้เกิดความดีแก่จิตใจของเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความดีในขั้นทาน ศีล หรือภาวนา


    ดังนั้นจึงอยากให้ท่านทั้งหลายฉุกคิดดูว่าสิ่งที่เชื่อและคิดนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการสร้างบุญบารมีในระดับต่างๆหรือไม่ อย่างไร จึงขอฝากไว้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ



    สำหรับประเด็นเรื่องการตีความความหมายของคำบาลีในพระไตรปิฏกน่าสนใจมากค่ะ (อันนี้ไม่ทราบมาก่อนเลยค่ะ)


    และก็เห็นอย่างที่พี่บอกในเรื่องของการศึกษาเชิงปริยัติและปรัชญาของท่านผู้ทรงพระไตรปิฏก ว่าไม่สามารถทำให้เข้าถึงความจริงในพระพุทธศาสนาได้ค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เพราะเรื่องแบบนี้เป็นปัจจัตตัง ขึ้นอยู่กับวาระกรรมและการสั่งสมบุญบารมีของท่านนั้นๆ แม้ว่าเราจะเข้าใจถึงความคิดและเหตุผลของท่านเหล่านั้นก็ตาม


    เพราะเรื่องการพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า เวลาไปพิสูจน์ก็ไปแต่เพียงผู้เดียว ไปด้วยจิตที่มีการสั่งสมบุญบารมีมานับชาติไม่ถ้วน ดังนั้นสิ่งที่เราประสบพบเจอในสมาธิ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ต่อให้อธิบายให้ละเอียดและเห็นภาพแค่ไหน ก็คงยากที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจถึงสิ่งที่เราไปสัมผัสมาค่ะ :'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2014
  8. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    หลวงพ่อเตือนเรื่องการสงเคราะห์แนะนำข้อธรรมะกับบุคคลอื่น

    จากหนังสือตายไม่สูญ...แล้วไปไหน โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)หน้า 384 หน้าสุดท้าย

    [FONT=&quot]..ต้องทราบไว้เสมอว่า คนที่เกิดมานี่ มีต้นกรรมไม่เสมอกัน คนในโลกแบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ[/FONT]


    [FONT=&quot]1.คนฉลาดมากที่ทำบุญไว้เต็มแล้ว มีบารมีครบถ้วนเพียงแนะนำแต่เพียงหัวข้อย่อๆก็บรรลุมรรคผลทันที[/FONT]

    [FONT=&quot]2.บางพวกปัญญาบารมีหย่อนนิดหน่อย พออธิบายก็บรรลุมรรคผล[/FONT]

    [FONT=&quot]3.บางพวกแนะนำให้เข้าใจในกุศลเบื้องต้นได้ แต่เอาบรรลุมรรคผลไม่ได้[/FONT]

    [FONT=&quot]4.พวกสุดท้าย เป็นพวกเหลือขอ พูดไม่รู้เรื่อง อวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ หมดทางแนะนำ[/FONT]

    [FONT=&quot]คนในโลกแบ่งเป็น 4 พวกอย่างนี้ ลูก จงอย่าคิดว่าเขาจะเหมือนเราเสมอไป การแนะนำคนเป็นของดี แต่อย่าเอาใจเข้าไปผูกพัน ถือว่าบอกปล่อยเขาทำตามก็ดี ไม่ทำตามก็ช่าง เอาตัวเรารอดเป็นการพอแล้ว ปล่อยเขา เขาจะคิด จะพูด จะทำอย่างไร อย่าสนใจเป็นอันขาด..[/FONT][FONT=&quot]”

    [/FONT]
    [FONT=&quot][​IMG][/FONT]


    ผมคิดว่าคนที่คุณน้อง White Sage กล่าวถึงนั้นคงนับรวมเข้าพวกข้อ 4 นะครับ
    ช่างเขาเตอะ ปล่อยเค้าไป เราไปที่ของเราดีกว่าครับ[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2014
  9. choto

    choto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +330
    ผมก็เคยเป็นเหมือนกันที่เป็นเดือดเป็นร้อนว่าทำไมเขาถึงเข้าใจแบบนี้นะ ทำไมเขาไม่ศึกษาให้ละเอียดกว่านี้ แต่ในกรณีผมไม่เคยไปดีเบตความเห็นเกี่ยวกับพระพุทธรูปนะครับ แต่ที่ผมเคยไปซอกแซกกับเขาคือเรื่องประเด็นทั่วไปของพระพุทธศาสนานี่แหละครับ ผมเคยรู้สึกมือไม้สั่นอยากจะอธิบาย อยากจะโต้เถียง

    เวลาที่เขาลงข้อมูลด้วยจิตใจอันหยาบโลนของเขา ประเด็นที่เขาเสนอมันก็ไม่ได้ผิดหรอกครับ แต่มันไม่ถูกต้องทั้งหมด มันเลยรู้สึกคันไม้คันมือแล้วก็รำพึงในใจว่าทำไมเขาถึงได้ทำแบบนี้นะ ทำไมเขาไม่ศึกษาให้มากกว่านี้นะ อาจจะเป็นเพราะวิสัยอยากสอน(หรืออยาก ส.เสือใส่เกือกก็ไม่รู้) เลยทำให้คันไม้คันมือ ก็เคยไปเลียบๆเคียงๆเถียงกับเขาบ้าง

    แต่พอมานั่งคิดย้อนหลังไปอีกทีแล้ว เออ เราไม่ควรทำมันเลยนี่หว่า คนที่เข้าใจพระพุทธศาสนาเพียงด้านใดด้านหนึ่งแล้วแสดงกิริยาอันกักขฬะของออกมา เราไม่ควรไปยุ่งเขาหรอก ยังมีคนที่พร้อมจะได้รับคำแนะนำที่ดีจากเรา แล้วผมก็ชอบย้อนมาย้ำเตือนตัวเองเสมอ ถ้าเราไม่แน่จริงอย่าเพิ่งไปยุ่งเลยดีกว่า ทำให้หัวใจของเรามีหลักมีเกณฑ์มีข้ออรรถข้อธรรมที่มั่นคงก่อนดีกว่า ถ้าพื้นฐานของเราไม่แน่นไปคุยอะไรกับคนอื่นๆก็มีแต่จะโดนสับเละ

    แล้วผมก็มักจะมีข้อคิดเล็กๆน้อย เป็นคำพูดของหลวงพ่อฤาษีที่ท่านพูดเอาไว้ว่า อย่าสนใจจริยาของผู้อื่น หรือบางครั้งผมก็มักจะนำเอาข้อธรรมหลักสั้นๆที่สมเด็จองค์ปฐมท่านได้ตรัสสอนเอาไว้คือ อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น ผมก็ชอบที่จะนำมาย้ำเตือนตัวเองบ่อยๆ ที่จริงจะว่าไปผมไม่ได้สนใจเรื่องของเขาเสียทีเดียวก็ไม่ได้ ก็มีไปสอดส่องความเคลื่อนไหวของเขาบ้าง รู้เขารู้เขา แต่ก็พยายามไม่เอามาแบกให้มันทุกข์

    ผมจำได้ไม่แน่ชัดนะครับหัวเรื่องของหลักธรรมเรื่องที่ผมจะกล่าวถึงชื่อหัวเรื่องอะไร ที่ข้อความจะมีประมาณว่าคนที่ไม่สามารถสอนได้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงสอน ในเมื่อเขาไม่อยากรับรู้แล้วก็ปล่อยเขาไป และไม่มีพระองค์ไหนทรงทำคือการสอนคนที่ไม่ควรได้รับคำสั่งสอน ประมาณนี้นะครับ ผมจำได้ไม่แน่ชัด เคยอ่านผ่านตา นี่ก็เป็นหลักธรรมที่ผมมักจะเอามาย้ำเตือนตัวเอง

    ในกรณีที่เจอคนมีความเห็นต่าง ผมชอบนำมาย้ำเตือนตัวเองเสมอๆ ใจจริงก็อยากให้เขาได้รู้ได้เห็นแบบที่เรารู้เราเห็นเหมือนกัน แต่ถ้าเราไม่แน่นพอ ไม่ดีจริงแล้วเขาก็ไม่เอาด้วย มันมีแต่จะเดี้ยงไปเปล่าๆ ได้แต่แผ่ความปรารถนาดีว่าขอให้สักวันหนึ่งเขาได้หูตาสว่างในพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระเมตตาอันหาประมาณไม่ได้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เป็นหยาดทิพย์ชโลมใจ ทั้งตัวของผมเองและผู้คนที่ร่วมเดินทางไกลในสังสารวัฏอันยาวนาน ให้เขาตื่นรู้และเบิกบานในพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว

    ขออนุโมทนาในกุศลกรรมทั้งปวงของพี่ White Sage และพี่softkid9 และท่านอื่นๆด้วยนะครับ จากที่พี่ๆโพสต์มานี่ผมยังอ่อนด้อยห่างไกลจากพี่ๆเยอะเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2014
  10. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    สาธุกับคุณ choto ครับ คนที่มีธรรมะในใจและมีความยับยั้งชั่งใจ และยังมองว่าตัวเองยังดีไม่พอแบบคุณนี้ ขอให้ถึงพระนิพพานในเร็ววันนะครับ ผมก็เป็นเหมือนกันเลยครับ ก็พยายามเตือนตัวเองว่าคนเราต่างจิตต่างใจ เราไม่สามารถไปบังคับใครให้เชื่อเหมือนที่เราเชื่อ ทั้งๆที่สิ่งที่หลวงพ่อของพวกเราท่านเทศน์สั่งสอนให้เข้าใจง่ายๆ ก็ยังมีคนที่เป็นมิจฉาทิฐิเค้าไม่ยอมรับและกล่าวให้ร้ายหลวงพ่อเราบ่อยไปครับ ก็ต้องปล่อยเค้าไป ให้เค้าไปที่ชอบๆของเค้ากันน่ะครับ เราไปบ้านใหม่เราดีกว่า และสิ่งที่คุณ choto ได้ทำสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้ อย่าทิ้งนะครับ เพราะเป็นหนทางให้เราไปนิพพาน คงได้ไปพบกันข้างบนแน่ๆ สาธุ

    หลวงพ่อท่านเคยกล่าวไว้ว่าพระใหญ่ท่านตรัสกับหลวงพ่อว่าอย่าไปเชื่อคนที่เขามองไม่เห็นผี คนที่มองไม่เห็นผีเล่าเรื่องผีให้เธอฟังมันจะเล่าถูกต้องอะไร คนที่ไม่เคยเห็นนิพพาน ไปให้เขาสอนเธอ แล้วเธอไปรับคำสอนของเขามันจะถูกหรือ นี่เธอพบของเธอเอง เธอเห็นของเธอเอง แล้วบริษัทของเธอ ถ้าเขาต้องการก็เอาไอ้ที่เธอได้นั่นแหละให้เขา มันเป็นของกลางๆ คือการตัดขันธ์ 5

    ตัดตอนจากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน หน้า 118

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2014
  11. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    วิธีดูจริยาของผู้ปฏิบัติธรรม


    สาธุและขอบคุณพี่ๆทั้งสองท่านคือ พี่ softkid9 และ พี่ choto นะคะ (น่าจะเป็นพี่ทั้ง2ท่านเลยเพราะจขกท.วัยขึ้นต้นด้วยเลข 2เท่านั้นค่ะ อุอุ) สำหรับสิ่งที่พี่ๆกล่าวมานั้นถูกต้องค่ะ แต่คงเพราะจขกท.อารมณ์พุทธภูมิเข้าสิง :'( เลยตอบไปโดยตั้งใจฝากข้อคิดไว้ให้คนอื่นๆที่เข้ามาอ่านได้ลองพิจารณาดูค่ะ


    อย่างไรก็ดีคนเราก็แบ่งออกเป็น 4 ประเภทอย่างที่หลวงพ่อท่านกล่าวไว้จริงๆ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดหรือความไม่ดีของใคร แต่เป็นเพราะการสั่งสมบารมีและกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และจขกท.ก็ชอบมากๆกับคำพูดของพี่ choto ที่ว่า "ใจจริงก็อยากให้เขาได้รู้ได้เห็นแบบที่เรารู้เราเห็นเหมือนกัน" แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะบรรดาท่านทั้งหลายที่เข้าถึงฝั่งแล้ว(อาทิเช่น ในเบื้องต้นคือพระโสดาบัน)ท่านก็คงจะรู้เห็นอะไรที่เราไม่รู้อีกมากนัก ซึ่งท่านก็ทำได้แต่เพียงสงเคราะห์เราให้ลงมือปฏิบัติเพื่อพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเอง ดังคำว่า อัตตาหิ อัตโน นาโถ "ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"ค่ะ


    ที่จริงเรื่องบางอย่างจขกท.ก็ไม่อยากจะเขียนเหมือนกัน เพราะตามหลักแล้วคนที่ปฏิบัติธรรมจริงๆจะรู้จักระมัดระวังรักษาอารมณ์ใจของตนเองอย่างยิ่ง(ไม่สนใจจริยาของบุคคลอื่น) และมองเห็นความไม่ดีของตนเองอยู่เสมอๆ และเวลาที่จะสงเคราะห์แนะนำธรรมแก่บุคคลใดก็ตาม ก็จะเป็นไปด้วยพรหมวิหาร 4 และอนุโลมตามกำลังบารมีของคนนั้นๆ ซึ่งตรงนี้จขกท.มั่นใจว่าเอาไว้ใช้ดูจริยาของผู้ปฏิบัติธรรมได้ดีทีเดียวค่ะ


    ดังนั้นถ้าพี่chotoเจอใครสับเละ หรือว่าด้วยธรรมะ ให้สังเกตดีๆว่าจริยาที่เค้าใช้นั้นออกมาจากจิตที่หยาบหรือประณีต และอนุโลมตามจริตนิสัยของเรา หรืออนุโลมไปตามวาระความเหมาะสมของสถานการณ์ในขณะนั้นๆหรือไม่ หรือว่าออกมาจากจิตใจและจริยาที่เต็มไปด้วยมานะกิเลสนะคะ รับรองว่าพี่chotoจะได้พบเจอกัลยาณมิตรในทางธรรมแน่นอนค่ะ :)


    หลัก 2 ประการในการปฏิบัติธรรม


    ในอดีตที่ผ่านมาจขกท.จะยึดหลัก 2 ประการในการปฏิบัติธรรมอยู่เสมอๆ นั่นก็คือ


    1.การไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่นและระมัดระวังรักษาอารมณ์ใจของตนเองอยู่เสมอๆ เช่น การสำรวมอินทรีย์ และหมั่นปฏิบัติภาวนาเพื่อให้จิตละจากนิวรณ์ 5 หรือการหมั่นพิจารณาเพื่อตัดกายสำหรับการใช้มโนมยิทธิให้คล่องตัว


    2.การหมั่นพิจารณาใคร่ครวญให้เห็นความเลวของตนอยู่เสมอๆ คือ ถ้าจขกท.รู้สึกว่าตัวเองดีเมื่อไหร่ เช่น คิดว่าตัวเองรู้เห็นสิ่งต่างๆได้ ไปพระนิพพานได้ ทรงพรหมวิหาร 4 ได้(ซึ่งก็ทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น) และมองว่าตัวเองเก่ง จขกท.ก็จะรู้ว่าขณะนั้นอารมณ์มานะกิเลสเข้าสิงใจจขกท.แล้ว ดังนี้เป็นต้นค่ะ ตรงนี้จขกท.มองว่าเป็นประโยชน์สำหรับการปฏิบัติธรรมมาก เพราะจะทำให้เราไม่หลงตัวเองว่าเป็นพระอริยเจ้า หรือผู้ทรงฌาน ซึ่งทำให้เรายิ่งหลงทางและห่างไกลจากความดีในเบื้องต้น คือ การละสังโยชน์ 3 อันเป็นคุณธรรมของพระโสดาบันค่ะ


    ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่จขกท.ได้ข้อสรุปจากการปฏิบัติธรรมในอดีตก็คือ หากว่าบุคคลใดที่ปฏิบัติธรรมแล้วมีจริยาไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น หมั่นใช้อิทธิบาท 4 ระมัดระวังรักษาอารมณ์ใจของตนเองอยู่เสมอๆ และไม่เห็นว่าตนเองดี คือรู้จักคิดพิจารณาให้เห็นความเลวของตนเองอยู่เสมอๆแล้ว บุคคลนั้นขึ้นชื่อว่าเข้าถึงกระแสแห่งความดีในเบื้องต้นแล้วค่ะ



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2014
  12. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    แฮะๆ เรียกพี่ก็ ok ครับ เมื่อก่อนผมก็นึกอยากจะให้คนอื่นเค้าเชื่อและศรัทธาเหมือนเรา แต่คนเรานี่มีนิสัยต่างกันร้อยแปดพันเก้าจริงๆ ด้วยจริยาของผู้ที่บำเพ็ญสายพุทธภูมินั้นจะนึกถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง หรือเรียกว่าคำนึงถึงประโยชน์ของคนหมู่มากไว้ก่อน แต่ก็จะสงเคราะห์คนที่สงเคราะห์ได้เท่านั้น ส่วนใครที่สงเคราะห์ไม่ได้ ท่านก็จะวางเฉยเสีย เพราะเกินวิสัยที่จะสงเคราะห์ได้ เป็นนิสัยของสายนี้โดยเฉพาะ แต่ผมนี่ลาแล้วครับ เพราะเบื่อคน เห็นคนมาเยอะ ยิ่งช่วงที่ไปวิ่งงานที่ชลบุรี โหย เจอมาเยอะครับ เลยลากันที

    เอ่อแล้วคุณน้องWhite Sage กับคุณ choto มีชื่อเล่นมั๊ย จะได้ไม่ต้องเรียกชื่อในบอร์ด ผมชื่อเก่งครับ
     
  13. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ขอบคุณนะคะพี่ งั้นขอเรียกพี่เก่งนะคะ อิอิ ^o^ พี่เก่งเรียกเฟมก็ได้ค่ะพี่ อุอุ

    ว่าแต่พี่choto ชื่ออะไรค่ะ? ยินดีที่ได้รู้จักคร่าา ^o^
     
  14. choto

    choto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +330
    ผมชื่อต๋องครับ อายุอานามปีนี้ก็ ๒๔ ปีครับ น่าจะอ่อนปีและอ่อนหัดกว่าพี่เก่งและ(น่าจะพี่)คุณเฟม

    จากที่ผมได้เขียนไปเมื่อครั้งที่แล้วนะครับ คือจริงๆผมก็ปรารถนาพุทธภูมิเช่นกัน แล้วที่เขียนแบบนั้นไปวิสัยของผมอาจจะไม่เท่าของคุณเฟม เพราะยังอ่อนหัด เวลาที่ผมไปเจอพวกบทความที่มีการเข้าใจผิดไปต่างๆนานาจากแหล่งอื่น ผมก็มือไม่สั่นอยากจะเข้าไปแก้ให้เขาได้กระจ่างทุกที แต่พอสุดท้ายมาคิดๆไป กำลังของตัวเองยังไม่พอ ความรู้ยังไม่แน่น หัวใจยังไม่มีหลักมีเกณฑ์ที่มั่นคง เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า ถ้าเรายังอ่อนแอคนที่เราจะไปดูแลก็มีแต่จะป่วยหนัก เหมือนเตี้ยอุ้มค่อม ยึดถือประโยชน์ตนไม่ทิ้ง ประโยชน์ท่านไม่ละ แต่ไม่รู้ผมคิดแบบนี้ถูกหรือเปล่านะครับ ขอพุทธภูมิรุ่นพี่มาไขความกระจ่างและแนะนำแนวทางหน่อย


    ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้จักทั้ง ๒ ท่านนะครับ ขอนุโมทนาในกุศลกรรมทั้งปวง
     
  15. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    อุอุ้ย แก่สุดเลยเรา พี่ 35 แล้วครับ ตอนอายุใกล้ๆกับน้องเฟมกะน้องต๋อง ตอนนั้นพี่ซ่าน่าดู เพื่อนผู้หญิงพี่เยอะ ก็ตอนหนุ่มๆก็ดูดีหน่อยนึง เดี๋ยวนี้วันดีคืนดีท่านผบ.ทบ.ท่านเรียกไ_้แก่ เราก็หูตั้งหางกระดิกรอท่านใช้งานแล้ว ถ้าน้องๆยังไม่แต่งงานก็ถือว่าสบายตัวละครับ บ่นดังเดี๋ยวท่านผบ.ทบ.ท่านได้ยิน น้องเฟมเคยอ่านหนังสือเรื่องนี้มั๊ย รู้สึกว่าคุณอ๋อยคนเขียนจะเป็นลูกศิษย์อาจารย์คนเมืองบัวอาจารย์ของน้องเฟมน่ะ พี่อ่านแล้วใช้ได้เลย ลองไปหาที่ร้านซีเอ็ดกะร้านนายอินทร์นะครับ

    [​IMG][​IMG]

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--> [FONT=&quot]
    ปลาที่อยู่ในตู้ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกจองจำ เพราะตัวมันไม่สามารถแยกออกมาจากน้ำได้ ถ้ามีปลาสักตัวสามารถออกมานอกตู้แล้วมองเข้าไปมันจะเข้าใจทันทีว่า เพื่อนๆมันไม่ได้มีอิสระแต่อย่างใด เช่นเดียวกันมนุษย์ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกจองจำ จนกว่าจะมีใครหลุดพ้นจากอิทธิพลของแสงและเวลา แล้วมองกลับเข้าไป จึงจะรู้ว่าเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนตกอยู่ภายใต้กฏแห่งไตรลักษณ์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย น่าเวทนายิ่งนัก และสภาวะที่สามารถพ้นจากวงจรนี้มีอยู่จริง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบแล้ว นิพพานเป็นความจริงขั้นปรมัตถสัจจะ ที่ตรงข้ามกับสมมติสัจจะในโลก การอธิบายโดยใช้ภาษาในโลกจึงไม่สามารถอธิบายได้ นิพพานไม่ใช่เรื่องของความเข้าใจ แต่เป็นเรื่องของการเข้าถึง[/FONT]


    [FONT=&quot]สัจธรรมแห่งจักรวาล ทันตแพทย์สม สุจิรา หน้า 169[/FONT]
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2014
  16. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    "การทำบารมีพุทธภูมิ - ว่าด้วยเรื่องของคน"


    สาธุ ขออนุโมทนาบุญที่คุณ(น้อง)ต๋องทำมาตั้งแต่อดีตด้วยนะคะ ;) (อายุห่างกันแค่2ปีเอง)


    เรื่องวิสัยนั้นไม่ต่างกันหรอกค่ะ เพียงแต่วาระกรรมของแต่ละท่านนั้นไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง ;) ถ้าให้มองนะคะ การทำบารมีพุทธภูมิต้องตกผลึกในทางโลกและทางธรรมระดับหนึ่งถึงจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ดีค่ะ (เน้นคำว่า"ระดับหนึ่ง"และคำว่า"ช่วยเหลือคนอื่นได้ดี"นะคะ)


    ส่วนตัว เมื่อตอนแรกๆ ก็มีแต่ความสงสัยใคร่รู้มากมายเกี่ยวกับการปรารถนาพุทธภูมิ เริ่มแรกเมื่อฝึกสมาธิก็ทำได้มั่งไม่ได้มั่ง พอทำไปเรื่อยๆก็มีประสบการณ์ต่างๆตามลำดับ แต่องค์ความรู้ทางโลกและประสบการณ์ต่างๆยังไม่มากพอ ดังนั้นการพัฒนาตัวเองจึงมีขีดจำกัดอย่างมาก เพราะคนเรามีสังขาร(ร่างกาย)เป็นเครื่องมือในการทำบารมี และสมองก็คือที่มาแห่งความคิดและปัญญาที่จะทำสิ่งต่างๆค่ะ


    ดังนั้นถ้าเราไม่มีข้อมูล ความคิด ความรู้ และประสบการณ์ที่มากพอ ดังคำกล่าวที่ว่า "ข้อมูลคืออำนาจ" หรือ"ความรู้คืออำนาจ" มันจะเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำบารมีค่ะ และสิ่งที่เข้าใจจากการทำบารมีพุทธภูมิที่ผ่านๆมาก็คือ "คน" ค่ะ


    เหตุใดจึงพูดถึงเรื่องของ "คน" ก็เพราะว่าการทำบารมีพุทธภูมินั้นเราจะต้องนำ"คน"ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ค่ะ และในการมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว"คน" รวมทั้งเราเองก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นมนุษย์และอยู่กับกิเลสต่างๆ ดังนั้นการทำบารมีพุทธภูมิจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับหมู่คนนั่นเอง ;)


    ตัวเฟมหรือจขกท.เองนั้น เท่าที่จำความได้เรื่องของ"คน"จะมาวนเวียนอยู่ในความคิดตั้งแต่เด็ก ดังที่ได้กล่าวไปในโพสต์ก่อนหน้านี้ แต่ที่เริ่มมาเด่นชัดในตอนโตก็คือ ตอนที่ตัดสินใจเลือกคณะที่จะเอนทรานส์ ตอนนั้นจำได้ว่าด้วยความที่เป็นเด็กขี้เกียจเรียน เพราะเรียนไม่ตรงสายที่ถนัด (เลือกวิทย์-คณิตทั้งที่ไม่ชอบเอาซะเลย) ทำให้ผลการเรียนในช่วงม.ปลายตกต่ำเป็นอย่างมาก และไม่ตั้งใจเรียนด้วย ทำให้ไม่รู้ว่าจะเลือกคณะอะไรดี เลยคิดเล่นๆว่าอนาคตสาขาใดที่จะเป็นที่ต้องการมากที่สุด หรือยากที่สุด แล้วก็ได้คำตอบว่าเรื่อง "คน" อนาคตเรื่องของ"คน"นี่แหละจะยากที่สุด...


    แล้วก็ด้วยความใจง่ายของจกขท. T^T เลยเลือกคณะที่สามารถทำงานฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ หรือที่เรียกกันว่า HR และคณะที่โดนใจใช่เลยเมื่อเห็นชื่อนั้นก็คือ คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศค่ะ เรียกได้ว่าหลวมตัวกำหนดเส้นทางชีวิตแค่ชั่ววินาทีก็ว่าได้ (ถ้าใครกำลังจะศึกษาต่ออย่าทำแบบนี้นะคะ เพราะของจขกท.เองน่าจะตัดสินใจเพราะกรรมและความมึนที่ใช้อารมณ์ความรู้สึกค่ะ ฮ่าๆ)


    และเมื่อเอนทรานส์เข้าไปแล้ว ยอมรับว่าไม่ได้ตั้งใจเรียนมากนัก เพราะเอาเวลาไปศึกษาและปฏิบัติในทางธรรมอยู่ค่ะ จนกระทั่งอ.ฆราวาสท่านเสียชีวิตนั่นแหละ ถึงได้กลับมาเรียนหนังสือ ไม่โดดเรียนอย่างที่ผ่านๆมา อันนี้ท่านใดที่กำลังศึกษาอยู่อย่าเลียนแบบนะคะ ให้แบ่งเวลาในการทำหน้าที่ทางโลกและทางธรรมให้ดีค่ะ อย่าทำแบบจขกท.เลย - -*


    ดังนั้นในช่วงภาคเรียนที่ 2 ของปีสาม จึงกลับมานั่งเรียนหนังสือหนังหาอย่างจริงจังค่ะ และก็เจอกับคำถามหลายๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับทางธรรม อาทิเช่น เรื่องการเมืองกับพุทธศาสนา เรื่องพระไตรปิฏก ซึ่งตอนที่เรียนเราก็นั่งฟังไปวิเคราะห์ไปจนได้ข้อสรุปต่างๆค่ะ ตรงนี้ขอแจ้งว่า ตอนที่วิเคราะห์นั้นเราทำอารมณ์ใจกลางๆ เป็นสมาธิ เพราะต้องการตัดอคติออกไปให้มากที่สุด


    ดังนั้น จขกท.จะขอนำเรื่องของพระไตรปิฏกที่วิเคราะห์ออกมาให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณากันดูนะคะ


    "ข้อสงสัยเกี่ยวกับพระไตรปิฎก"


    จากที่โพสต์ไว้ในหัวข้อ "คำถามและข้อสงสัยในพระพุทธศาสนา" จะพบว่ามีการพูดถึงประเด็นปัญหาชวนคิดเกี่ยวกับพระไตรปิฏกอยู่ 2 ประเด็นคือ


    1. พระไตรปิฏกที่ผ่านกาลเวลามาหลายร้อยปี(หรือพันปี)นั้น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ถูกเปลี่ยนแปลง ดัดแปลง หรือพูดเสริมเติมแต่ง ? และเราก็เห็นแล้วว่าพระพุทธศาสนาในแต่ละประเทศ ก็มีการปรับตัวให้เข้ากับท้องถิ่น(local)นั้นๆ แล้วอะไรคือพระไตรปิฏกของแท้ดังเดิม ?

    ปล. ปัญหาข้อนี้ยังไม่รวมไปถึงประเด็นที่ว่าพระไตรปิฏกนั้นเกิดจากการสังคายนาโดยพระเถระ(ซึ่งเราเชื่อกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์) ที่จำธรรมะมาแบบมุขปาฐะ(ถ่ายทอดทางวาจาต่อๆกันมา) ซึ่งตรงนี้ทางโลกเค้ามองว่า จะจำกันมาถูกต้องตามแบบเดิม(original)แท้ๆได้ยังไง >> อันนี้ถือว่าเป็นประเด็นที่มาก่อนหน้าเสียอีก แต่ขอไม่พูดถึงละกันนะคะ


    2. เรื่องที่ระบุในพระไตรปิฏก เช่น เรื่องราวของนรกสวรรค์ ภพภูมิต่างๆ อันนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์มาหรือไม่ ? และพระพุทธศาสนาต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอดจากอิทธิพลและการคุกคามนั้นจริงหรือไม่ อย่างไร ?


    จากประเด็นปัญหาดังกล่าว นำมาซึ่งข้อสงสัยในความถูกต้องของพระไตรปิฏก ซึ่งมีผลอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น และการดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาในช่วงหลังกึ่งพุทธกาล


    ยอมรับว่าตอนที่ฟังประเด็นเหล่านี้ในวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์(ถ้าจำไม่ผิด) รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก และพื้นฐานความรู้เราตอนนั้นที่มีก็คือ


    1. ประสบการณ์ทางธรรมที่ผ่านมาทั้งหมด

    2. คำกล่าวของหลวงพ่อเกี่ยวกับพระไตรปิฏก ซึ่งท่านกล่าวประมาณว่าพระไตรปิฏกนั้นถูกต้องทั้งหมด มีที่ผิดอยู่แค่...แห่งเท่านั้น (พอดีจำไม่ได้ค่ะ ขออภัย อิอิ)


    ดังนั้นเราเลยค้างคาใจ และรับฟังในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลนั้นก่อนโดยไม่เชื่อหรือปฏิเสธจนกว่าจะได้คำตอบ


    จนกระทั่งวันหนึ่งเราได้เรียนในหัวข้อเกี่ยวกับวาทกรรมและภาษาศาสตร์ โดยเนื้อหานั้นจะพูดถึงวาทกรรม ธรรมชาติของภาษา การใช้ภาษาในการเข้าถึงความจริง คือ truth หรือ reality อะไรทำนองนี้ ซึ่งภาพรวมสรุปได้คือ ภาษานั้นไม่สามารถเข้าถึงความจริงได้ และไม่สามารถสื่อสารถึงสิ่งที่มนุษย์ต้องการจะสื่อได้ทั้งหมด...พูดง่ายๆว่าภาษานั้นก็เป็นสิ่งที่หยาบและมีข้อจำกัดนั่นเอง แต่กระนั้นก็เป็นสิ่งที่มนุษย์เราใช้สื่อสารกันได้อย่างดีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ค่ะ


    ดังนั้นพอได้เรียนเรื่องนี้แล้ว เราก็นึกถึงประเด็นเกี่ยวกับพระไตรปิฏกที่ได้เรียนก่อนหน้านี้ขึ้นมาทันที และเพื่อเป็นการไม่อคติ เราจึงทำสมาธิให้ใจเป็นกลาง แล้วลองมานั่งคิดวิเคราะห์ดู ซึ่งพอนำเรื่องภาษาศาสตร์มาจับดูแล้ว ภาษาในพระไตรปิฏก อาทิเช่น เรื่องฌาน ถ้าคนที่ไม่เคยผ่านอารมณ์ฌานมาก่อน ก็จะอ่านไม่เข้าใจค่ะ และเค้าจะตีความผ่านความคิด ความรู้ ความเชื่อ ประสบการณ์ (ปัจจัยทางโลกของคนๆนั้น) และคุณธรรมในจิตหรือกิเลส (ปัจจัยทางธรรม)ค่ะ


    พูดง่ายๆได้ว่า เค้าไม่เข้าถึงความจริงที่เป็นสภาวะธรรมที่ซ่อนอยู่ภายใต้ตัวหนังสือนั้น ซึ่งทางโลกเค้าก็รู้ว่าภาษานั้นไม่สามารถสื่อสารความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ฯลฯ ได้ จึงอาจถือได้ว่าภาษานั้นเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่งค่ะ ซึ่งเราก็มองว่าจะทำได้อย่างไร เพราะเค้ายังไม่รู้เรื่องของสภาวะจิต หรือตัวจิตนั่นเอง


    พอได้ข้อสรุปแบบนี้ เลยมองว่าประเด็นปัญหาเรื่องพระไตรปิฏกนั้นไม่ยากเลย เพราะไม่ว่าตัวอักษรนั้นจะถูกเปลี่ยนไปตามชาติ ตามวัฒนธรรมของท้องถิ่น ซึ่งทำให้คำบางคำไม่สามารถแทนความหมายในภาษาดั้งเดิม หรือไม่ว่าการเรียบเรียงเนื้อหานั้นจะตกหล่นไป เพราะการถ่ายทอดแบบมุขปาฐะ และกินเวลามาหลายร้อยหลายพันปี ทั้งหมดนี้ก็ไม่ทำให้สภาวะธรรมที่เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนนั้นถูกเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ธรรมหรือธรรมชาติก็ยังคงอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดา ขึ้นอยู่ที่ว่าผู้ใดจะสามารถเข้าถึงได้เท่านั้นเอง


    หมายเหตุ


    - ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจของจขกท.เองแต่เพียงผู้เดียวนะคะ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

    - การวิเคราะห์ของจขกท. เป็นการวิเคราะห์ภาพรวมอย่างหยาบๆ เอาหลักการสำคัญทางโลกมาวิเคราะห์ร่วมกับประสบการณ์ทางธรรมที่ผ่านมาเท่านั้น

    - เจตนาของจขกท คือ การปลดเปลื้องข้อสงสัยเกี่ยวกับพระไตรปิฏก เพื่อให้คนทั้งหลายได้เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่าง

    ถูกต้อง ตรงทาง ทั้งนี้เพราะพระไตรปิฏกถือเป็นสิ่งสำคัญอันหนึ่งในการยังไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาในช่วงกึ่งพุทธกาลค่ะ


    สุดท้ายนี้ขอนำเอาพระราชปณิธานของ"สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" ซึ่งจขกท.ได้อ่านเมื่อครั้งยังเพิ่งเข้าสู่ทางธรรม และได้อธิษฐานไว้ว่าจะขอยังไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาในยุคกึ่งพุทธกาลนี้เช่นเดียวกับที่พระองค์ท่านได้เคยกระทำมาในฐานะของ"ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ"ค่ะ


    [​IMG]


    "พระปณิธาน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช


    อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก

    ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา

    ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา

    แด่พระศาสดา สมณะ พระพุทธโคดม

    ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี

    สมณะพราหมณ์ ปฏิบัติ ให้พอสม

    เจริญสมถะ วิปัสนา พ่อชื่นชม

    ถวายบังคม รอยพระบาท พระศาสดา

    คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า

    ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา

    พุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา

    พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2014
  17. choto

    choto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +330
    ขอบคุณพี่เฟมมากเลยครับ แสดงว่าที่ผมทำอยู่ในปัจจุบันก็เข้ารูปเข้ารอย

    เหลือทางด้านจิตใจที่ต้องยกเครื่องกันอีกพอสมควร พักหลังๆนี่ผมไม่ค่อยยกระดับใจให้สูงขึ้นเลย โดนลูกน้องมารหลอกล่อเสียท่ามันทุกที
     
  18. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ทวารหกจะเป็นตัวกำหนดให้มนุษย์สามารถรับผัสสะได้เฉพาะมิตินี้เท่านั้น เมื่อเสียชีวิตลงร่างกายสูญหาย แต่จิตได้เป็นอิสระ จะพบกับความจริงของจักรวาล เพราะจิตไม่มีขอบเขตจำกัดการรับรู้ แม้ขณะมีชีวิตอยู่ ถ้าสามารถตั้งสติสกัดผัสสะได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ จิตจะแยกตัวออกจากสมอง ทำให้สามารถเข้าถึงความลับเรื่องมิติและภพภูมิได้ แต่ถ้ายังยึดติดกับกายเนื้อ ก็จะเห็นเท่าที่ศักยภาพของตามนุษย์สามารถทำได้ ภาพที่ตาเห็นเป็นเพียงภาพในขอบเขตที่ประสาทสัมผัสสามารถรับรู้เท่านั้น "สิ่งที่เราเห็นล้วนไม่ใช่ความจริงแท้ของจักรวาล หากแต่เป็นความจริงเท่าที่อายตนะสามารถรับผัสสะนั้นได้"

    [FONT=&quot]สัจธรรมแห่งจักรวาล ทันตแพทย์สม สุจิรา หน้า 21[/FONT]

    [​IMG]

    (กระทู้ตัวเองมีก็ไม่โพสเนอะ อิๆ)
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2014
  19. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743

    ชอบตรงนี้ค่ะ "สิ่งที่เราเห็นล้วนไม่ใช่ความจริงแท้ของจักรวาล หากแต่เป็นความจริงเท่าที่อายตนะสามารถรับผัสสะนั้นได้"


    บอกตรงๆเลยว่าประโยคนี้คือ concept หรือแนวคิดหลักๆ ที่เฟมใช้ในการวิเคราะห์เรื่องภาพของพระนิพพานที่สมองและร่างกายแปลผลมาจากจิตที่ได้ทิพจักขุญาณค่ะ ซึ่งจะขอกล่าวโดยละเอียดในเรื่อง "พระนิพพานเป็นเมืองแก้วหรือไม่" นะคะ


    "สภาวะของพระนิพพานเป็นอย่างไร? เป็นอนัตตาหรืออัตตา? และมีสภาพเป็นเมืองแก้วหรือไม่?" - ตอนที่ 1


    สำหรับข้อถกเถียงในเรื่องของพระนิพพานว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตา ยอมรับว่าตอนที่ยังปฏิบัติธรรมอยู่ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้ยินข้อถกเถียงทำนองนี้มา และกราบอาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อหาคำตอบ(เป็นสมาธิระดับอุปจารสมาธิ) และก็ได้คำตอบมาในขณะนั้นว่า "สภาวะพระนิพพานนั้นไม่เป็นทั้งอัตตาและอนัตตา คำว่าอัตตาและอนัตตานั้นไม่สามารถเอามาอธิบายสภาวะพระนิพพานได้"


    เมื่อทราบคำตอบดังกล่าว จขกท.จึงได้ทำอารมณ์เบาๆเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถอธิบายสภาวะพระนิพพานว่าเป็นอนัตตาและอัตตา และก็ได้คำตอบมาว่า"เพราะพระนิพพานนั้นไม่เป็นอนัตตาแบบที่พระไตรปิฏกกล่าวถึงสภาพของโลกนี้และภพภูมิต่างๆ อีกทั้งยังไม่เป็นอัตตาแบบที่พระไตรปิฏกอธิบายสภาพของโลกนี้และภพภูมิต่างๆ ด้วยพระนิพพานนั้นพ้นไปจากสภาพของกฎไตรลักษณ์(อนัตตา) และพ้นไปจากสภาพอัตตา(คือการมีตัวตนอันหมายถึงมานะกิเลสในสังโยชน์ ๑๐ ประการ)แล้วนั่นเอง"


    และในภายหลังที่จขกท.มาศึกษาพระไตรปิฏกในส่วนที่พูดถึงพระนิพพาน จขกท.จึงเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเราจึงสามารถกล่าวได้ว่าพระไตรปิฏพูดถึงพระนิพพานได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้เพราะการที่พระไตรปิฏกกล่าวไว้อย่างนั้น ก็เพื่อให้คนที่กำลังศึกษาเข้าใจว่าพระนิพพานนั้นไม่ใช่ทั้งสิ่งนั้นและสิ่งนี้อย่างที่คนเราเข้าใจนั่นเอง(เป็นลักษณะการอธิบายในเชิงปฏิเสธ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่กล่าวว่าไม่ใช่อัตตานั้นค่อนข้างชัดเจน


    สำหรับส่วนที่กล่าวว่านิพพานเป็นอนัตตานั้น มีความหมายว่า บุคคลใดที่สามารถเข้าถึงอนัตตา(เห็นอนัตตา) คือสามารถละสังโยชน์ประการต่างๆได้ ย่อมเข้าถึงซึ่งนิพพานได้นั่นเอง ดังนั้นการที่กล่าวว่านิพพาน=อนัตตานั้นจึงถือเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้องเท่าใดนัก เพราะในความเป็นจริงแล้วสภาวะนิพพานไม่ใช่อนัตตา แต่การเข้าถึง"อนัตตา"ย่อมนำมาซึ่ง"นิพพาน"


    และทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์ส่วนตัวจากการที่พระท่านมาสงเคราะห์ และได้ศึกษาพระไตรปิฏก คำสอนของพระสุปฏิปันโนต่างๆในภายหลัง จึงขอให้ทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ :)


    ทั้งนี้นอกจากประเด็นข้อถกเถียงว่าพระนิพพานเป็นอนัตตาหรืออัตตาแล้ว ยังมีข้อสงสัยในเรื่องสภาพของพระนิพพานอีกประเด็นหนึ่ง ว่ามีสภาพเป็นดินแดน เป็นเมือง เป็นสถานที่ ฯลฯ ตามที่เรานิยามกันทางโลกหรือไม่ ทั้งนี้ในเบื้องต้นจขกท.ขอนำคำพูดของพระสุปฏิปันโนหลายๆองค์ที่ท่านได้กล่าวถึงพระนิพพานไว้มาให้ลองอ่านดูดังนี้ค่ะ


    "พระนิพพานมีสภาพเป็นเมืองแก้วหรือไม่?"


    ทั้งนี้ในประเด็นที่ว่าสภาพพระนิพพานเป็นดินแดน เป็นเมือง หรือเป็นสถานที่อย่างที่เราเข้าใจกันหรือไม่ จขกท.ยอมรับว่าเวลาที่ไปสวรรค์หรือพระนิพพานตามการปฏิบัติแบบมโนมยิทธิทั้งครึ่งกำลังและเต็มกำลัง จขกท.เห็นในสิ่งที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านกล่าวไว้ค่ะ


    ซึ่งในระหว่างที่จขกท.ออกจากการปฏิบัติธรรม และได้เรียนรู้วิชาการต่างๆในทางโลกนั้น จขกท.เกิดความสงสัยว่า พระนิพพานที่เห็นนั้น เห็นเพราะมาจากอิทธิพลของข้อมูลที่เราไปรับรู้มาจากคำสอนของหลวงพ่อหรือเปล่า โดยมองว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มีอยู่จริง แต่ภาพที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมด และด้วยความสงสัยในเรื่องดังกล่าว จขกท.ได้นำเอากรณีประสบการณ์อนาคตังสญาณที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพยากรณ์เรื่องราวต่างๆให้จขกท.ทราบมานั่งวิเคราะห์ดู ซึ่งจขกท.ก็มีคำถามหลายๆข้อตามประสาคนที่ใช้เหตุใช้ผลในความรู้แบบทางโลกนั่นเอง


    กล่าวคือ ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านจะพากจขกท.ไปยังทะเลแห่งนั้นเพื่อบอกเรื่องราวต่างๆให้ทราบ จขกท.ได้ไปยังพระนิพพานที่มีลักษณะเป็นแก้วอย่างที่หลวงพ่อท่านบอก และได้พบกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หลวงปูป่าน หลวงพ่อ และพระองค์อื่นๆอีก 2-3 ท่าน ซึ่งแต่ละพระองค์มีลักษณะอย่างที่หลวงพ่อฤาษีท่านกล่าวไว้ทุกประการ


    ซึ่งตรงนี้ จขกท.ได้ตั้งคำถามกับตนเองว่า พระนิพพานนั้นมีสภาพเป็นแก้วอย่างที่เราเห็นจริงหรือไม่? แล้วลักษณะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายที่เราเห็นเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือ? ทำไมถึงมีลักษณะเหมือนศิลปะแบบไทย? หรือว่าหลวงพ่อฤาษีท่านได้รับอิทธิพลความเป็นไทยจึงมีกระบวนการแปลภาพแปลผลออกมาอย่างนั้น? หรือว่าจริงๆแล้วศิลปะความเป็นไทยได้รับอิทธิพลมาจากคนโบราณที่ไปพบเห็นสิ่งต่างๆเหล่านี้แทน? แสดงว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง แต่ที่เห็นอาจไม่ตรงตามความจริงทั้งหมดหรือเปล่า? เพราะเราก็ทราบกันดีอยู่ว่ามีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทราบทุกๆเรื่องและทิพจักขุญาณชัดเจนแจ่มใสที่สุด


    ซึ่งจขกท.ได้ข้อสรุปว่าพระนิพพานนั้นอยู่เหนือการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมดของร่างกายมนุษย์(ข้อจำกัดของอายตนะมนุษย์) ดังนั้นการรู้เห็นพระนิพพานจึงต้องมาจากการฝึกจิตจนจิตมีกำลังสมถภาวนาเพียงพอ และสามารถพิจารณาวิปัสสนาญาณเพื่อละสังโยชน์(ชั่วคราว)ได้ในขณะนั้นๆ แต่อย่างไรก็ตาม การเห็นพระนิพพานยังมีข้อจำกัดในเรื่องของความชัดเจนแจ่มใสของทิพจักขุญาณ ทั้งนี้เพราะมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มีทิพจักขุญาณชัดเจนแจ่มใสที่สุด


    ดังนั้นเมื่อนำหลักคิดในเรื่องการรับรู้ผ่านอายตนะของมนุษย์ และหลักการของจิตว่าด้วยทิพจักขุญาณแล้ว จขกท.จึงได้ข้อสรุปออกมาอย่างเป็นกลางๆว่า พระนิพพานที่หลวงปู่หลวงพ่อองค์ต่างๆท่านบอกไว้นั้น น่าจะมีความใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดเท่าที่จิตของท่านจะสามารถไปรับรู้ผ่านทิพจักขุญาณและแปลผลผ่านอายตนะของสังขารร่างกายมนุษย์แล้วค่ะ


    บันทึกท้ายเรื่อง


    *** ข้อสงสัยเรื่องพระนิพพานมีสภาพเป็นเมืองแก้วหรือไม่นั้น เกิดขึ้นตอนที่จขกท.ออกจากการปฏิบัติธรรมตามที่พระท่านได้บอกไว้ โดยในตอนนั้น จขกท.ได้ลองวิพากษ์วิจารณ์หาคำตอบด้วยเหตุผลโดยเอาศาสตร์ทางโลกมาวิเคราะห์ดู ซึ่งสุดท้ายก็ได้คำอธิบายมาชุดนึงในแบบฉบับของตัวเอง(ดังรายละเอียดข้างบน) โดยคำอธิบายดังกล่าวถือเป็นการมองจากทั้ง 2 ฝั่ง คือ มองจากศาสตร์และประสบการณ์ทางจิตของตนเอง และมองจากศาสตร์ทางจิตวิทยา ทั้งนี้คำอธิบายดังกล่าว มีปรากฎการณ์ของการประนีประนอมยอมความกัน และเว้นที่ว่างที่ไม่รู้ระหว่างศาสตร์ทั้ง 2 ศาสตร์ดังกล่าว


    *** ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า จขกท.ยังก้าวไม่ถึงจุดที่จะรู้ในเรื่องดังกล่าวได้ด้วยความสามารถทางจิต(อภิญญา)นั่นเอง เพราะถ้าจขกท.มีความสามารถถึงระดับนั้น คงจะไม่มานั่งคิดวิเคราะห์ให้ปวดหัวแน่นอนค่ะ อิอิ ดังนั้น ขอให้ท่านผู้อ่านถือว่าเรื่องราวที่นำมาเล่าสู่กันฟังนี้ เป็นความเข้าใจของเด็กน้อยคนนึงที่พอจะรวบรวมเอาประสบการณ์ทางจิตและความรู้ในทางโลกของตนมาอธิบายให้ท่านทั้งหลายฟังค่ะ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ :)


    *** โปรดติดตามต่อในตอน "พระนิพพานเป็นอย่างไร? มีสภาพเป็นอนัตตาหรืออัตตา? และมีสภาพเป็นเมืองแก้วหรือไม่?" - ตอนที่ 2 นะคะ


    *** หากท่านใดสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับนิพพานให้ลองค้นคำว่า "เมื่อหลวงปู่ปานให้หลวงพ่อฤาษีลิงดำไปเรียนธรรมกาย" ในกูเกิ้ลดูค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2014
  20. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง​
    การที่ถามว่าโลกหน้ามีจริงไหม ก็เหมือนกับการถามว่าพรุ่งนี้มีจริงไหม ซึ่งก็พอตอบได้ว่าพรุ่งนี้นั้นมีจริง มีแน่ๆ แต่ถ้าจะให้หาหลักฐานมาแสดงว่าพรุ่งนี้จะมีได้อย่างไรนั้นก็สุดปัญญาจะนำพรุ่งนี้มาแสดงให้เห็นในวันนี้ได้

    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...