ประสบการณ์ มโนมยิทธิ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย santosos, 8 กันยายน 2005.

  1. หนูมาลี

    หนูมาลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2005
    โพสต์:
    607
    ค่าพลัง:
    +1,148
    อืมมมมมมมมมมม
     
  2. vichian

    vichian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8,164
    ค่าพลัง:
    +41,920
    พระวังหน้า,พระไกเซอร์,สมเด็จม้วน

    เห็นด้วยครับที่ควรจะลองลงมือปฎิบัติดู หากได้ผลเป็นประการใด ก็นำมาเล่าสู่กันฟัง ผมเชื่อว่าผู้ที่ได้ผลจากการปฎิบัติจริงคงยินดีที่จะมายืนยันหรือมาช่วยแนะนำการปฎิบัติของคุณ เพราะคุณเองก็ได้ศึกษามามากพอสมควร แต่ขอแนะนำว่าอย่าเอาดีแค่เพียงการศึกษาเท่านั้น ควรลงมือปฎิบัติด้วยควบคู่กันไปก็จะดีกับคุณเอง เปรียบเหมือนคนที่รู้จักตําราทําอาหารแต่ไม่เคยลงมือทํา แล้จะได้ลิ้มรสชาดอาหารที่ตนรู้จักว่าเป็นอย่างไร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2008
  3. vichian

    vichian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8,164
    ค่าพลัง:
    +41,920
    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 11<O:p</O:p
    สมเด็จองค์ปฐมรุ่น 3 จำนวน 5 องค์ <O:p</O:p
    ให้ร่วมบุญบูชาองค์ละ 2,345 บาท
    <O:p</O:p[​IMG][​IMG]


    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 12<O:p</O:p
    พระยอดธง วัดโพธิ์สุทธาวาส 2 องค์(สุดท้าย)
    มอบให้ 1 องค์เมื่อร่วมบุญ 2,345 บาท
    [​IMG] [​IMG]


    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 13<O:p</O:p
    เข็มกลัดดาว 6 แฉก พลอยสีแดง(หายาก) 2 องค์<O:p</O:p
    ให้ร่วมบุญบูชาองค์ละ 1,745 บาท
    [​IMG] [​IMG]

    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 14<O:p</O:p
    เข็มกลัดดาว 6 แฉก พลอยสีขาว 2 องค์<O:p</O:p
    ให้ร่วมบุญบูชาองค์ละ 645 บาท<O:p</O:p
    [​IMG] [​IMG]

    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 15<O:p</O:p
    เหรียญใบโพธิ์ รูปหลวงพ่อ หลังยันต์เกราะเพชรชุบทอง 4 เหรียญ
    ให้ร่วมบุญบูชาเหรียญละ 1,155 บาท
    [​IMG] [​IMG]

    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 16 <O:p</O:p
    พระยอดธง วัดโพธิ์สุทธาวาส 3 องค์(สุดท้าย)<O:p</O:p
    ให้ร่วมบุญบูชาองค์ละ 2,055 บาท
    [​IMG] [​IMG]

    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 17<O:p</O:p
    เหรียญของขวัญวันเกิดรุ่น 3 จำนวน 5 เหรียญ<O:p</O:p
    ให้ร่วมบุญบูชาเหรียญละ 545 บาท
    <O:p</O:p[​IMG][​IMG]

    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 18<O:p</O:p
    เหรียญเอกราช รุ่น 1 จำนวน 3 เหรียญ<O:p</O:p
    ให้ร่วมบุญบูชาเหรียญละ 545 บาท
    [​IMG] [​IMG]

    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 19<O:p</O:p
    เหรียญเอกราช รุ่น1(หลังยันต์เกราะเพชร) หายาก 2 เหรียญ<O:p</O:p
    ให้ร่วมบุญบูชาเหรียญละ 485 บาท
    [​IMG] [​IMG]

    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 20<O:p</O:p
    <O:p</O:pเหรียญเอกราช รุ่น 2 จำนวน 3 เหรียญ
    ให้ร่วมบุญบูชาเหรียญละ 425 บาท
    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    เมื่อประมาณ30ปีที่แล้ว ผมได้รับหนังสือธรรมะเล่มแรกจากเพื่อน แล้วก็อ่านจนจบก็เกิดข้อสงสัยมากมาย เกี่ยวกับคําสอนและการปฎิบัติในการนั่งสมาธิ เพียงแค่กําหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมคําภาวนาว่าพุทโธ ว่าจะเกิดผลอะไรบ้างโดยไม่มีใครสอน ผมทำทุกคืนในห้องนอนของผมหลังจากทุกคนในบ้านหลับแล้วก็ประมาณเที่ยงคืน ทำครั้งละประมาณครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยถึงสองชั่วโมง ทำอยู่ร่วมสองปีจึงเห็นผลในคืนหนึ่ง ปรากฎว่าทั้งคำภาวนาและลมหายใจหายไปพร้อมกับรู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังตกลงไปในท่อขนาดใหญ่ที่มืดมิดเหมือนตัวกำลังไหลไปตามท่อนั้นด้วยความเร็วมาก แล้วผมก็เห็นแสงสว่างเล็กๆเหมือนเป็นทางออกของท่อ แล้วผมก็โผล่ที่ปลายท่อ ก็เกิดความสว่างไสว อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต พร้อมกันนั้นก็เกิดอาการขนลุกสู้ทั่วทั้งตัวตั้งแต่ผมบนหัวลงมา ซึ่งไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน แล้วผมก็เห็นสิ่งหนึ่งซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตอีกเช่นกันมันน่ากลัวมากจำติดตามาถึงเดี๋ยวนี้ สิ่งนั้นคือ.......(เดี๋ยวมาเล่าต่อขอทำธุระหน่อยครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2008
  4. พลังธรรม

    พลังธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +35
    นี่คือ วิทยาการ

    ที่มีความสำคัญ และ มีคุณประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อมวลมนุษยชาติ

    เรียนรู้ได้ สอนได้ เข้าใจได้

    ไม่น่าเชื่อว่า ถูกทอดทิ้ง

    ให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สำหรับกราบไหว้พึ่งพิง

    ของคนหลายร้อยล้านคน ยาวนานเป็นพันๆ ปี



    กลัวตาย ฝันร้าย สูญเสีย และ ความอยุติธรรม เป็นแค่ ปลายเหตุ ต้นสายนั้นอยู่ที่ไหน?

    มนุษย์ที่มีสติปัญญา ได้ค้นหาคำตอบนี้มานานแสนนาน และ

    คำตอบสุดท้ายปรากฏขึ้น เมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว

    ประกาศโดย พระพุทธเจ้า



    ทฤษฎี ของ พระพุทธเจ้าเรื่อง "นิพพาน" นั้น

    มิใช่ศาสนา (เพื่อโลกหน้า) ไม่ต้องใช้ความเชื่อ ไม่ต้องใช้ความศรัทธา

    แต่เป็นความรู้ด้านจริยศาสตร์ การปฏิบัติตัวที่เหมาะสม

    เพื่อสร้างความผาสุก ให้แก่มนุษย์ และโลก

    เป็นวิทยาการ ที่ สอนให้มนุษย์ รู้จักตนเอง และผู้อื่น ให้ผลทันที ที่นี่ เดี๋ยวนี้

    เมื่อพระพุทธเจ้า "ตรัสรู้" และเผยแพร่หลักธรรม เรื่อง "นิพพาน" นั้น

    ทรงตระหนักดีว่าเป็นสิ่งยากยิ่ง สำหรับสติปัญญาของคนในยุคนั้น จะเข้าใจได้

    จึงแบ่งคำสอนออกเป็นส่วนย่อยๆ และอธิบายทีละส่วน

    ให้เหมาะกับบุคคล และสถานการณ์

    ดังนั้น เราจึงพบแต่คำอธิบาย มุมเล็กๆ มุมเดียว ที่มองไปยัง "นิพพาน" เท่านั้น

    ไม่มีสรุปใจความ หรือ หลักการ หรือ ทฤษฎี ของ "นิพพาน"

    ว่ามีเนื้อหาอย่างไร ณ ที่ใดเลย



    ณ ที่นี้ จะกล่าวถึง "พุทธทฤษฏี" เรื่อง "นิพพาน" กันตรงๆ แบบสรุป

    โดยถือหลักว่า ผู้มีปัญญา ต้องมองเห็นจุดหมายก่อนส่วน วิธีการนั้นทีหลัง



    "พุทธทฤษฎี" เป็นสิ่งที่ พระพุทธเจ้า มอบให้ เวไนยสัตว์ (สัตว์ที่มีสติปัญญาเพียงพอ) ด้วยความเมตตา

    เป็นสิ่งรู้เห็นและเข้าถึงได้ อย่างแน่นอนด้วย "ปัญญา" หนทางเดียวเท่านั้น

    ขอบอกตรงนี้ว่า "นิพพาน" เป็นเพียง จุดหมายปลายทาง หรือ ผล ของการกระทำเท่านั้น

    การรู้ และเข้าใจหลักการ นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด วิธีการนั้นไม่สำคัญ เพราะ หลักการจะนำไปถึงจุดหมายได้ หลายวิธี



    หลักการของพระพุทธเจ้า คือ "มัฌชิมาปฏิปทา"

    ความเพียร ใดๆ ที่ไม่ได้มุ่ง ไปยังการสร้างสรรค์ สติปัญญา ให้มีความฉลาดยิ่งขึ้นนั้น

    มิได้มีประโยชน์ในการนี้เลย เพราะ

    "มัฌชิมาปฏิปทา" เป็นการใช้สติปัญญาวิเคราะห์ วิจัย และจัดการ กับสิ่งที่เกิดขึ้น

    ข้างใน และข้างนอกกายเรา ทุกลมหายใจ



    ความเคารพ ความศรัทธา ความพึ่งพา การภาวนา ใดๆ

    ก็ไม่สามารถ ช่วยนำพาผู้ใด ไปสู่ ความรู้ ความเข้าใจ "มัฌชิมาปฏิปทา" ได้แม้แต่น้อย

    ต้องกราบขออภัยจริงๆ



    ผู้นับถือพระพุทธเจ้า แบบเป็นที่พึ่ง สรณะ

    ไม่มีความจำเป็นต้องเรียนรู้ "มัฌชิมาปฏิปทา" เพื่อไปสู่ "นิพพาน"

    เพราะ ไม่ได้ใช้เรื่องเหล่านี้



    แม้พระพุทธเจ้าเอง จะเลือกสอน หรือ บวชให้กับ ผู้ที่สอนได้เท่านั้น





    มารู้จักต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง เสียก่อน

    เอกภพ เกิดขึ้นเองจากการระเบิดใหญ่ 45,000 ล้านปีมาแล้ว

    ทุกสิ่งพุ่งกระจายออกไปจากศูนย์กลาง

    มีชิ้นส่วนหลุดออกมา เป็นสุริยะจักรวาล หลุดมา เป็นดวงอาทิตย์

    และหลุดออกมา เป็นโลก 4,500 ล้านปีมาแล้ว



    โลก แต่เดิมเป็นลูกไฟร้อน เมื่อเย็นลงมีน้ำมีแผ่นดิน

    มีเซลล์สิ่งมีชีวิตแรกเกิดขึ้นเอง พัฒนามีลูกหลานเป็นสัตว์ และพืช

    นักวิทยาศาสตร์ วัดระยะ คำนวนอายุ หาจุดศูนย์กลาง และทำแผนที่เอกภพได้แล้ว

    แต่ยังค้นหา สิ่งมีชีวิตที่อื่นยังไม่พบ แม้พยายามค้นหามา กว่า 100 ปีมาแล้ว



    ตามประวัติศาสตร์ มนุษย์นั้น วิวัฒนาการมาจาก สัตว์จำพวกลิงไม่มีหาง

    เริ่มเดินสองขาตัวตรง ราว 2 ล้านปีมาแล้ว สายพันธุ์แรก เกิดขึ้นในทวีปอาฟริกา

    ต่อมาฉลาดกว่าสรรพสัตว์ ได้เดินด้วยเท้าไปทั่วโลก 35,000 ปีมาแล้ว

    ที่เล่ามาทั้งหมด เพื่อบอกว่า ไม่มีใครสร้างโลก ดวงดาว และสิ่งมีชีวิต





    ประวัติศาสตร์อินเดีย นับถอยหลังไป 3,500 ปี คือ ก่อนพุทธกาล 1,000 ปี

    คนอินเดียเชื่อถึอว่า ชีวิต มีการเวียนว่ายตายเกิด และ ชีวิต นั้นเป็นทุกข์ คนดินเดียตัวดำ เป็นเผ่า"ทมิฬ"

    ถูกรุกราน และครอบครองกดขี่ โดยคนตัวขาวจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ เรียกว่าเผ่า "อารยัน หรือ อริยกะ"

    เผ่าอารยัน เข้าปกครองอินเดีย แบ่งชนชั้นวรรณะ ให้คนตัวดำทั้งอินเดีย อยู่ต่ำที่สุด

    นับถือ คัมภีร์พระเวท อันเป็นต้นกำเนิด ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู

    เดิมมีพระเจ้าองค์เดียว เกิดตายหนเดียว (เหมือนศาสนาในตะวันออกกลาง และยุโรป)

    ต่อมา เริ่มมีพระเจ้าหลายองค์ และมีวัฏสงสาร (เวียนว่ายตายเกิด)

    เริ่มมีคนนิยมออกแสวงหา "สัจธรรม" เพื่อการพ้นทุกข์

    ละทิ้งไปจากบ้านเรือน อยู่ตามป่าเขา บำเพ็ญพรหมจรรย์

    ตามหลักศาสนาแทบทุกศาสนาตอนนั้น



    ชาวฮินดูนั้น กราบไหว้เซ่นสรวงสังเวย รับใช้ ขอพรจากพระเจ้าอย่างเดียว

    พระเจ้าสร้างทุกอย่าง โลกและดวงดาว อะไรที่เป็นไป ในทุกที่ ทุกเรื่อง

    พระเจ้า ขีดเส้นไว้ให้เป็นไป พราหมณ์เป็นพวกเดียวที่ติดต่อกับพระเจ้าได้

    การแบ่งชั้นวรรณะ เป็นไปตามพระเจ้า มีสวรรค์หลายชั้น มีนรกหลายชั้น

    คนต้องตาย ต้องเกิดหลายชาติ จนกว่า พระเจ้าพอใจให้ไปอยู่ด้วย

    เรียกว่าพบกับ "โมกษะ" เป็นความสุขสูงสุดของมนุษย์



    1,000 ปีผ่านไป ศาสนาฮินดูยังคงมีอิทธิพลสูงสุด มีการตั้งลัทธิแยกออกมาบ้าง

    ที่สำคัญ มี 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธ และ ศาสนาเชน(นิครนถ์)

    มีลักษณะคล้ายกันตรงที่ ไม่ยอมรับการเซ่นไหว้บูชายัญเทพเจ้า

    และการพึ่งพิงภักดีต่อทวยเทพเป็นสรณะ ตามแบบฮินดู

    และสอนว่า มนุษย์สามารถพบ "สัจธรรม" ได้เอง ด้วยปัญญา และการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง

    ทั้ง 2 ศาสนานี้ ปฏิเสธความคิดของฮินดูทุกเรื่อง



    มาสนใจดูความเชื่อแบบฮินดู ที่ศาสนาพุทธ และเชน ปฏิเสธ

    เช่น การแบ่งชนชั้นวรรณะ การเชื่อว่ามี พระเจ้า เทวดา และผี

    ที่สามารถให้คุณให้โทษต่อมนุษย์ ต้องเคารพเกรงกลัว

    และเซ่นไหว้ การเชื่อว่า "ตัวตน(วิญญาณ)" คงทนอยู่ตลอดกาลตายแล้ว "ตัวตน" ไม่ตายด้วย

    จะวนเวียนไปเกิดใหม่ ในภพภูมิต่างๆ เป็นรูปร่างต่างๆ ในนรก ในสวรรค์

    ขอย้ำว่าศาสนาพุทธ และเชน ไม่ยอมรับความเชื่อเหล่านี้ทุกประการ



    พระพุทธเจ้า และ มหาวีระ คล้ายคลึงกันหลายประการ เป็นโอรสของกษัตริย์ (ผิวขาวชาวอารยัน)

    ออกจากบ้านเมืองครอบครัวมาอยู่ป่าหาสัจธรรม เคยบำเพ็ญเพียรด้วยการทรมานตนมาก่อน

    ตรัสรู้ ใต้ต้นโพธิ์ เมื่อประกาศศาสนา ก็ เผยแพร่อยู่ในประชาชนส่วนใหญ่

    ของอินเดียที่เป็นวรรณะต่ำ (ชาวทมิฬ) สอนธรรมะด้วยภาษามคธ (ซึ่งไม่มีตัวอักษร)

    ทั้ง 2 ศาสดา มีชีวิตในช่วงเวลาเดียวกัน ในเมือง และแคว้นเดียวกัน

    แต่ศาสนาเชนแตกต่างจากพุทธมากตรงที่ ถือการทรมานตน เป็นทางการพ้นทุกข์ และสตรีไม่มีสิทธิ์หลุดพ้น



    ขอเล่าพุทธประวัติก่อน

    ชั่วชีวิตของคนนั้น สะท้อนผลงาน

    เพราะ "พุทธทฤษฎี" นี้เป็นผลงาน จากสติปัญญาขั้นสูงที่สุด เท่าที่เคยมีในมนุษยชาติ

    เป็นปริศนาที่คนธรรมดา ไม่สามารถเข้าใจได้เลยมาถึง 2,500 ปี

    แม้ว่ามีการรักษาจดจำท่องไว้ ให้มั่นคงคงอยู่ในพระไตรปิฎก

    จากถ้อยคำที่มีคุณค่า กลายเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่มีใครคิดจะแปลความหมาย

    ทั้งๆ ที่เป็นวิทยาการที่มีประโยชน์ ต่อมวลมนุษย์ เรียนรู้ได้และสอนได้



    ในประเทศอินเดีย 2,600 ปีมาแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ โอรสของกษัตริย์ เผ่าอารยัน

    ซึ่งแวดล้อมด้วยความสุขสบาย ในโลกีย์วิสัย มีพระชายา และโอรสแล้ว

    พระองค์สนใจใฝ่แสวงหา "สัจธรรม" ความรู้แท้ว่า มนุษย์เป็นอย่างไร ควรใช้ชีวิตอย่างไร จึงจะสมกับการเป็นมนุษย์

    จึงออกบวชเมื่ออายุ 29 พรรษา บำเพ็ญพรหมจรรย์ อาศัยตามป่าเขา เป็นศิษย์ของฤาษี เรียนรู้วิชาโยคะต่างๆ

    เรียนการฝึกจิต ทำสมาธิ เพื่อให้มีฤทธิ์ หลายปีผ่านไป แม้สำเร็จถึงขั้นสูงสุดแล้ว ก็ยังไม่พบอะไร



    ยุคนั้นนิยมการทรมานร่างกาย เชื่อว่าจะเข้าถึง "สัจธรรม" ได้

    พระองค์ทดลองทรมานร่างกาย อดอาหาร และข่มความทุกข์ทรมานเหล่านี้ ด้วยพลังของสมาธิ ที่ได้มาจากการฝึกจิต

    ด้วยความหวังว่า เมื่อร่างกาย ถูกข่มถึงที่สุดแล้ว จิตก็จะมีอำนาจบรรลุ "โมกษะ" หรือพบ"สัจธรรม"ได้

    ทรงพำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างหนัก ถึงที่สุดหลายปี จนร่างกายผ่ายผอม อ่อนแอจนถึงสิ้นสติ

    และพบว่า ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง จึงเลิกทรมานตนเสีย

    เมื่อร่างกายเป็นปกติและมีสมองแจ่มใส พระพุทธเจ้า ทรงพิจารณาทบทวนประสบการณ์ โดยละเอียดเพื่อค้นหาสัจธรรม

    และในที่สุด พระองค์ก็ "ตรัสรู้" ค้นพบความจริง "สัจธรรม" ว่า...

    ชีวิตมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร กระบวนการของชีวิตเป็นอย่างไร

    ทุกข์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน เกิดอย่างไร อะไรเป็นสาเหตุของความทุกข์ และรู้ว่าจะดับทุกข์ได้อย่างไร

    ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุ 35 พรรษา

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบนั้น ขอเรียกว่า "พุทธทฤษฎี"

    มีเนื้อหาสำคัญ เป็นหลักปฏิบัติตน (จริยศาสตร์) โดยใช้สติปัญญาตัดสินการกระทำ

    เรียกว่า "มัฌชิิมาปฏิปทา" หรือ "ทางสายกลาง"

    (คำนี้แย่ที่สุด เพราะทุกคนคิดว่ารู้จักดีแล้ว ซึ่งไม่ตรงกับของพระพุทธเจ้า)

    เรียกว่า "หนทางที่ไม่เขว" ยังให้ความหมายดีกว่



    หลังจากตรัสรู้แล้ว ทรงทบทวนความรู้ "พุทธทฤษฎี" ถึง 7 สัปดาห์ และ พิจารณาเห็นว่า

    ลึกซึ้งยากยิ่ง ที่ผู้อื่นจะรู้ตามอย่างได้ จะต้องเรียนรู้ รายละเอียดมากมาย

    เพื่อการวิเคราะห์สิ่งที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมต่างๆ ได้อย่างมีเหตุผล

    ซึ่งจำเป็นต้องสร้างสติปัญญาก่อน

    แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงตัดสินใจ เผยแพร่สอนหลักธรรมไปตลอดพระชนม์ชีพ

    และมีสาวกเข้าใจ "พุทธทฤษฎี"ได้ด้วยปัญญา ของพระพุทธเจ้า



    พระองค์ ใช้เวลา 45 ปี หลังตรัสรู้ ทรงจาริก แสดงธรรม พร่ำสอนหลักธรรม

    ดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย ประพฤติพรหมจรรย์ เกื้อกูลโลก ตลอดพระชนม์ชีพ

    ทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพาน กลางดิน ใต้ต้นไม้ในป่า มีพระชนมพรรษา ได้ 80 ปี

    ทางโบราณคดี นับยุคของพระพุทธเจ้าเป็น ปลายยุคสัมฤทธิ์ ต้นยุคเหล็ก

    เทียบกับไทยเป็นก่อนประวัติศาสตร์ "ยุคบ้านเชียง"



    คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี ในรูปของ "พระไตรปิฎก

    เป็นที่รวมของความรู้ที่ทรงสอน ข้อปฏิบัติต่างๆ ที่ควรและไม่ควร

    โครงสร้างความรู้ กระบวนการที่เป็นไป มีการรวบรวมไว้อย่างระมัดระวัง และอนุรักษ์ใว้ ยาวนานถึง 2,500 ปี

    เป็นสิ่งน่าศึกษา และท้าทายสติปัญญา ของคนปัจจุบันยุค 2000 อย่างยิ่ง

    ว่าของเก่าขนาดนี้ ทำไมถึงยากขนาดนั้น?



    ความยากของ "พุทธทฤษฎี" ประวัติศาสตร์ระบุไว้ชัดเจน

    100 ปีหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ภิกษุชาวแคว้นวัชชีจำนวนมาก

    แก้ไขดัดแปลงพระธรรมวินัยตามใจชอบ เปลี่ยนวิธีการสอนใหม่

    คือ หาทางทำให้คนเข้าวัดมากๆ ไว้ก่อน อะไรที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนก็ไม่เป็นไร

    เอาที่ชาวบ้านชอบมาใส่ ให้คนนิยมมากๆ เสร็จแล้วค่อย สอนธรรมะให้ทีหลัง รวมเทพฮินดูนรกสวรรค์บุญกรรมมากันเพียบ

    ทำแบบนี้พุทธศาสนาเจริญมากมาย แผ่ขยายไปทั่วขึ้นไปทั่วทวีปเอเซีย นิกายนี้เรียก "มหายาน"



    "พุทธทฤษฎี"; กลายเป็นปริศนาอมตะ

    แม้ฝ่าย "หินยาน" ผู้อนุรักษ์พระไตรปิฎกไว้ พยายามศึกษา และปฏิบัติ รู้ว่าเป็นของดีเลิศล้ำ

    แต่เข้าใจได้ยากยิ่ง วันเวลาผ่านไป ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี บ้างก็ว่าเรียนไปก็เท่านั้น มีแต่ทฤษฎี ต้องปฏิบัติ หลับตาฝึกจิตกันดีกว่า

    วันเวลาผ่านไป ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี (การฝึกจิตไม่ได้ทำให้คนฉลาดขึ้น การคิดเลขเก่งก็เช่นเดียวกัน)

    แปลกตรงที่ วัดฝ่ายหินยาน ในเมืองไทยปัจจุบันที่เจริญรุ่งเรืองและร่ำรวย

    เห็นได้ชัดว่ากำลังใช้วิธีการเดียวกัน กับมหายาน



    "นิพพาน" ยังคงเป็นความฝัน

    จนกว่า เรา เข้าใจจริงๆ ว่า พระพุทธเจ้า สอนเรื่องอะไร โดยสมบูรณ์ ทุกแง่ ทุกมุม

    ที่รู้แล้วอธิบายได้ ฟังแล้วเข้าใจได้



    ต่อไปนี้ เป็นเนื้อหาสาระ ทางความรู้ และ หลักปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าสอน

    ซึ่ง คนส่วนมาก เข้าใจเป็นอย่างอื่น

    ณ ที่นี้ ขอให้ เริ่มต้นกันใหม่



    โลก จักรวาล ธรรมชาติ สรรพสัตว์ และมนุษย์ เกิดขึ้นเอง ด้วยเหตุปัจจัย

    สืบค้นได้ถ้ามีเวลาพอ ไม่มีใครสร้าง

    โลกหมุนเวียนไป สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นไปตามเรื่องของมัน ไม่ได้มีปัญหาทุกประการ

    มามีปัญหา ตรงที่เริ่มมีมนุษย์ปรากฏขึ้นในโลก และ ปัญหานั้นเป็นของมนุษย์ผู้เดียว



    ฝนตกฟ้าร้องแผ่นดินไหวน้ำท่วม สรรพสัตว์ฆ่ากันกินกันไป ตามสัญชาติญาณ

    บ้างสูญพันธุ์บ้าง เกิดสายพันธุ์ใหม่ ล้วนเป็นธรรมดา ตามสาเหตุและปัจจัยทั้งสิ้น

    ไม่มีใครสนใจหรือทุกข์ร้อนอะไร จนกระทั้งสัตว์ชนิดหนึ่ง มีสมองโต และเฉลียวฉลาดมาก

    เรียกว่า "มนุษย์" พบว่าตัวเองนั้น มีตัวตนแยกต่างหาก ต่างสัตว์อื่นๆ

    และต่างจากสิ่งแวดล้อม และต่างจาก "มนุษย์" ตัวอื่นอีกด้วย

    "ความฉลาด" ของมนุษย์ สร้างปัญหาให้กับมนุษย์เอง



    "สมอง" ที่ "คิด" ได้มากกว่าสรรพสัตว์ รู้ภาวะตัวตน ที่เรียกว่า "จิตใจ"

    ภายในจิตใจ ของใครของมันนั้น ทำเรื่องราวต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อสิ่งแวดล้อม

    ทำให้เกิดปัญหา ย้อนกลับมาเล่นงาน ตัวเองในที่สุด



    มนุษย์รู้ว่าตัวเองฉลาด จึงใช้ความคิดของตัวเอง ดัดแปลง เปลี่ยนสัญชาติญาณ ผิดแผกจากธรรมชาติไปเป็นอันมาก

    และเริ่มมีความทุกข์ เริ่มสับสนไม่เข้าใจว่า ควรดำเนินชีวิตไปอย่างไร

    ขณะที่สรรพสัตว์อื่นๆ ดำเนินชีวิตไป ตามตามสัญชาติญาณเท่านั้น

    ไม่ได้ใช้ความคิดปรุงแต่ง จึงไม่ได้มีความทุกข์ร้อนอะไร



    ตามหลักธรรมชาติแล้ว มนุษย์อาจฆ่าสัตว์หมดโลกแล้วตัวเอง ก็สูญพันธ์ไปด้วย

    และก่อนจากไป ก็ระเบิดโลกแหลกเป็นผงธุลี ก็เป็นเรื่องธรรมชาติสามัญ

    ไม่มีใครทุกข์ร้อนอะไร



    สรุปว่า ในธรรมชาตินั้นมันจะเป็นไปอย่างไร ก็ไม่มีใครเป็นทุกข์

    มีสัตว์ฉลาด และคิดได้ จึงเอาสิ่งต่างๆ มาคิด จึงมีปัญหา

    ปัญหานั้นตกเป็นภาระของ สัตว์ฉลาดนั้นเอง



    การที่เราจะรู้ได้ ว่ามนุษย์ควรมีชีวิตอย่างไร ต้องเริ่มต้น ด้วยการรู้จัก ว่ามนุษย์เป็นอย่างไรก่อน

    ที่จริงมนุษย์ เป็นสัตว์ธรรมดา ที่มีสมองใหญ่ จึงมีสติปัญญาสูงพอที่จะคิดได้ จนสมองบอกเราว่าเรามีจิตใจ

    สิ่งเหล่านี้มาจากสมอง ที่ซับซ้อนและมีเงื่อนไข ตามธรรมชาติของมัน

    "สมอง" ทำงานตลอดเวลา ไม่มีการหยุดพัก แม้เวลามนุษย์หลับ (มักฝัน)

    มันวิ่งแล่นไปอย่างอิสระ เรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยการสัมผัส เข้าใจ รู้สึก จดจำ ตัดสินว่าชอบหรือไม่

    เตรียมการที่จะจัดการ กับสิ่งต่างๆ ที่มันพบตลอดเวลา

    กระบวนการนี้ใช้ร่างกายเป็นสื่อ รองรับความต้องการของ "สมอง" ที่เราเรียกว่า "จิตใจ"



    พระพุทธเจ้า อธิบายว่ามนุษย์นั้น คือ สิ่งที่ประกอบด้วย "ขันธ์ 5"

    ได้แก่

    รูป

    เวทนา

    สัญญา

    สังขาร

    วิญญาณ



    ต่างจากสัตว์ทั้งปวง ที่ไม่มี สังขาร และวิญญาณ ตรงที่ต่างนี้สำคัญที่สุด!!



    "ขันธ์ 5" นี้ สำคัญยิ่งนัก

    2,500 ปี ที่เราไม่เข้าใจ หลัก "พุทธทฤษฎี"

    ก็เพราะเรา ไม่เข้าใจ "ขันธ์ 5" นั่นเอง

    เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบ "พุทธทฤษฎี" ตามแง่มุมต่างๆ

    ที่แม้เรารู้ว่าดีเลิศ แต่ไม่อาจเข้าใจได้เลย







    ขันธ์ที่ 1 รูป

    คือ ร่างกายของคน ประกอบด้วย อวัยวะทุกส่วน เป็นวัตถุ จับต้องมองเห็น ภายนอก และภายในร่างกายทั้งหมด

    รวมทั้งสมอง หัวใจ ปอด ไต ตอนมีชีวิต เคลื่อนไหวได้เอง ทำกิจกรรมต่างๆ

    เช่น กินอาหาร ขับถ่าย สืบพันธุ์ มีเจริญเติบโต และเสื่อม แก่ชรา ป่วย และตาย

    เมื่อตายแล้ว อวัยวะเหล่านี้ยังอยู่ครบ แต่ไม่สามารถ ทำอะไรได้อีก

    สรรพสัตว์ ก็มีรูป เช่นเดียวกัน


    ขันธ์ที่ 2 เวทนา
    ประสาทสัมผัส มี ตา หู จมู ลิ้น กาย เมื่อถูกกระทบ จะส่งสัญญาณ ไปตามเส้นประสาท สู่สมอง

    และที่สมองส่งสัญญาณ ย้อนกลับไปสั่งให้ร่างกายปฏิบัติ สัญญาณนี้ คือ "ผัสสะ"

    เป็นไปตามธรรมชาติบริสุทธิ์ จะผิดแผกแตกต่างบ้าง ด้านคุณภาพ ตามแต่สายพันธุ์

    สรรพสัตว์ ก็มีผัสสะเช่นเดียวกัน


    ขันธ์ที่ 3 สัญญา

    ผัสสะที่ได้รับจากประสาทสัมผัส เมื่อเข้ามาสู่สมองแล้ว จะส่งมาตรวจสอบที่ความทรงจำ
    แยกแยะ ว่ารู้จัก ไม่รู้จัก "ความจำ" นี้ เป็นรากเหง้าของความฉลาด เป็นต้นกำเนิดของความคิด

    สัตว์อื่น ที่ว่าฉลาดที่สุดแล้ว มีความจำด้อยกว่ามนุษย์เป็นพันๆ เท่า

    มนุษย์ยังสามารถจำ สิ่งที่คิดขึ้นมาเอง ในสมองล้วนๆ ไว้ได้ด้วย



    ขันธ์ที่ 4 สังขาร

    "ความจำ" นั้นสอนให้สมอง รู้จัก "คิด" รู้จักจำแนกสิ่งต่างๆ ระบุว่า สิ่งใดชอบ สิ่งใดไม่ชอบ

    คิดล่วงหน้าว่า เมื่อเจออีกจะทำอย่างไร ความคิดแบบนี้ คือ "โปรแกรม"

    มนุษย์วิวัฒนาการเพราะใช้สมองทบทวน กลับไปมาระหว่าง

    ความคิด ความจำ ลองทำ ได้ผลก็กลับมา จำได้ คิดเพิ่ม แล้วลองทำอีก

    เราพัฒนาสร้าง "โปรแกรม" ไว้ในสมอง และสอนถ่ายทอดบอกต่อๆ มา เป็น "วิทยาการ"

    เป็น "ความฉลาด" ใช้สร้างสรรค์ และ ปรุงแต่งทุกสิ่งในขันธ์ทั้ง 5 นี้

    ไม่เว้นตัวมันเอง สรรพปัญหาทั้งหลาย "ต้นเหตุอยู่ตรงนี้"

    ความคิด เป็นดาบ 2 คม จึงต้องควบคุมการใช้ให้เหมาะสมระมัดระวัง (ห้ามหยุดคิดด้วย)



    ขันธ์ที่ 5 วิญญาณ

    ด้วยความจำ ความคิด พิจารณาสิ่งต่างๆ มนุษย์สังเกตพบว่า มีตัวตน ของตนเองอยู่ ไม่ใช่ ไม่เหมือนใครๆ

    คือ "จิตใจ" มีความชื่นชอบ และไม่ชอบกับผัสสะต่างๆ เป็นการตัดสินลงความเห็นผ่านการใช้ โปรแกรม(สังขาร)

    สรุปเป็นคำตอบคำตอบนี้จะส่งผลให้เกิดการปฏิบัติ สั่งให้ร่างกาย(รูป) กระทำการต่างๆ

    ส่งเป็นผัสสะกลับไปให้สมองอีก(เวทนาที่ 6)

    ส่งให้ความจำ(สัญญา)บันทึกไว้ ส่งให้โปรแกรม(สังขาร)เขียนเพิ่มเติมอีก

    จิตใจ เป็นปลายทางที่เริ่มต้นจาก ผัสสะ เป็นผลลัพท์จากโปรแกรม ที่มนุษย์แต่ละคน เขียนสะสมสร้างไว้

    ในความจำตั้งแต่เด็ก เพื่อปรุงแต่งให้มีผลเอนเอียง ไปในทางที่แต่ละคนชอบ

    ดังนั้น จิตใจ ที่เป็นอารมณ์ต่างๆ เช่น รัก โลภ โกรธ หลง นั้น

    ในแต่ละคนจึงมีพฤติกรรมต่างกัน นี่เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้มนุษย์ไม่เหมือนกัน ในแทบทุกด้าน

    ไม่รู้จิตใจกันอย่างสมบูรณ์ และไม่รู้ว่า จิตใจของมนุษย์นั้นที่แท้เป็นอย่างไร

    ที่สำคัญ จิตใจก็ย้งเป็นต้นทางของผัสสะ อีกทางหนึ่งด้วย (พอมาอีกครั้งเรียกนามรูป)



    ทำให้บางครั้ง มนุษย์คิดวกวน คิดซ้ำซาก ทับกันเป็นทวีคูณ

    จิตใจ(วิญญาณ) คือ ผลที่ได้จากการคิดของสมองคน สมองนั้นอาศัยอยู่ในร่างกาย

    แม้สมองจะมีอำนาจเพียงไร เมื่อสมองเสื่อมหรือสมองตาย อำนาจนั้นย่อมสูญไปด้วย

    ความจริงนี้ สมองคนทั่วโลก ทุกเผ่าพันธุ์ยอมรับไม่ได้ และสร้างความเชื่อว่าจิตวิญญาณนั้น

    เมื่อคนตายแล้วยังคงอยู่ ซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับนอกจากความฝันที่ไม่มีน้ำหนักอะไร

    จิตวิญญาณ นี้ สรรพสัตว์อื่นๆ ไม่มี



    ทีนี้เห็นตัวตนของคุณหรือยัง ?

    ว่าใครปรุงแต่งตัวคุณ คุณปรุงแต่งตัวใคร และคุณเป็นเจ้าของสิ่งปรุงแต่งนี้ใช่ไหม



    "ขันธ์ 5" คือ องค์ประกอบของมนุษย์ เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพล้วน

    ขันธ์แรกเป็นร่างกายมนุษย์ ที่เหลือเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้น ในระบบประสาทสัมผัส และในก้อนสมอง

    ไม่มีอะไรเป็นนามธรรม ไม่มีอะไร อยู่นอกร่างกายมนุษย์

    พอเข้าใจ "ขันธ์ 5" แล้ว "พุทธทฤษฎี" ก็เผยออกให้เห็นแจ่มชัดทุกข้อ



    "ขันธ์ 5" เป็นเพียง อาณาเขตปริมณฑล ของการ "ปฏิบัติภาระกิจ" ตามแนวทาง "พุทธทฤษฎี"

    ซึ่งสอนให้เรา กระทำสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ของความเป็นมนุษย์

    มนุษย์ ที่ประเสริฐ จะต้องมี จริยธรรมอันประเสริฐ

    ปฏิบัติตนได้ ถูกต้องเหมาะสมสูงสุด

    มิใช่ ดีแต่พูด ดีแต่คิด



    ความเหมาะสมในการปฎิบัตินี้ เรียกว่า "ทางที่ไม่เขว" (มัฌชิมาปฏิปทา)

    มิใช่ ชุ่ยๆ ลวกๆ และ เซ่อๆ

    "ผู้ปฎิบัติธรรม" จะต้อง มีความสามารถขั้นเอกอุ ที่จะควบคุมขันธ์ทั้ง 5 ไว้

    ให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม ตลอดเวลา ทุกลมหายใจ ไม่ไขว้เขวออกนอกเส้นทาง แม้แต่นิดเดียว



    ลองนึกภาพ

    นักกายกรรม ขี่จักรยานล้อเดียว มือถือไม้พลองยาว ไต่เส้นลวด ข้ามหุบเหว .........................

    ทักษะร่างกาย สมาธิ สติ ปัญญา สูงสุด ในการรักษาความสมดุลย์ตลอดเวลา



    พลังกาย สมาธิ สติ ปัญญา ใช้หลักจริยธรรม

    ควบคุมขันธ์ทั้ง 5 แบบ "ทางที่ไม่เขว" หรือ"ทางสายกลาง"

    "มัฌชิมาปฏิปทา" ของพระพุทธเจ้า



    ในอาณาเขตปริมณฑลของขันธ์ 5 นี้

    คำนี้สรุปได้ สั้นๆ ตื้นๆ แต่ยากสุดๆ หินสุดๆ

    "ไม่ละเมิดผู้อื่น ไม่ละเมิดตนเอง"



    อย่าดูถูกคำนี้เป็นอันขาด

    พระพุทธเจ้าใช้เวลา 45 ปี หลังตรัสรู้ สอนแก่มนุษย์ชาติ จนปรินิพพาน

    ไม่ได้ออกนอกบรรทัดนี้เลย

    (หนึ่งล้านหน้ากระดาษเอสี่ ยังไม่พออธิบายข้อความบรรทัดนี้)

    มรรคผล ที่ได้รับจาก การดำเนินชีวิต แบบ "มัฌชิมาปฏิปทา" ครบถ้วนสมบูรณ์ใน "พุทธทฤษฎี"

    เรียกว่า "นิพพาน"



    เห็น "พุทธทฤษฎี" แล้ว

    หาค้นอ่านเพิ่มเติมได้ จากหนังสือธรรมะรอบๆ ตัวของท่าน

    มีแทรกซ้อนพูดถึงอยู่แทบทุกเล่ม

    รวมทั้งในพระไตรปิฎกทั้งหมด ไม่แปลก และเป็นความจริง

    อย่าลืมเอาฮินดูออกให้หมดเสียก่อนล่ะ..!!!

    <LI>
    ทำไมฝรั่งจึงไม่เข้าใจ ปรัชญาของพระพุทธเจ้า และชาวพุทธคิดว่าพุทธ ไม่ใช่ปรัชญา?
    <LI>
    ดวงจิตที่แท้นั้นเป็นเช่นไร เกี่ยวข้องกับอัตตาอย่างไร.?
    <LI>
    กิเลสนั้น มันจับมาเผาได้จริงหรือ.?
    <LI>
    พระพุทธเจ้ายืนยันว่า ฮินดู พราหมณ์ และโยคี คือ เดียรฉานวิชชา.?
    <LI>
    ทำไมอภินิหารและชาดก จึงมีมากมายในพระไตรปิฎก ?
    <LI>
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย แบบไม่มีความทุกข์ มีจริงหรือพระพุทธเจ้าโกหก.?
    <LI>
    นรก สวรรค์ จากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้ามีสักครั้งไหม..?
    <LI>
    คุณรู้ไหมว่าพระเวสสัดรชาดกนั้น เมดอินไทยแลนด์ คนไทยแต่งเองด้วย
    <LI>
    กฏแห่งกรรมของพระพุทธเจ้า กับ หนังทีวี เจ้ากรรมนายเวรนั้น..มันคนละเรื่อง?

    ผมมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธเพียงแค่นี้เองครับ
    <LI>
    แต่มันทำให้ชีวิตผมมีความสุขนะ
    <LI>
    แล้วพวกคุณล่ะ กำลังพูดถึงเรื่องอะไร?
    <LI>
    มันทำให้ชีวิตพวกคุณมีความสุขหรือเปล่า?
    <LI>
    ถ้ามีผมก็ดีใจด้วย?
    <LI>
    แต่ถ้าไม่ผมแนะนำให้ลองกับไปอ่านบทความนี้ใหม่ซัก 2-3รอบนะครับ
     
  5. sathit56

    sathit56 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +39
    คุณพลังธรรม...
    คุณ...นิพพานแล้วหรือ?...ที่บอกว่าแค่นี้คุณก็มีความสุข..
    คุณลองประพฤติปฏิบัติ...ตามที่ครูบาอาจารย์...ท่านสอนสั่ง..แล้วยัง?
    2,500 ปี มานี้ ไม่มีคนเข้าใจอย่างคุณหรือ?...คุณคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วหรือ?
    คนไทยคนไหนแต่งเวสสันดรชาดก?
    แต่งปี พ.ศ.ไหน?
    เผ่าไทยมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่?....นักวิชาการยังถกเถียงกันอยู่เลย...
    ช่วยบอกชื่อผู้แต่งให้ทราบหน่อยสิ....
     
  6. vichian

    vichian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8,164
    ค่าพลัง:
    +41,920
    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 21
    เหรียญพระชัยหลังช้าง พิมพ์ ภปร. 10 เหรียญ<O:p</O:p
    ให้ร่วมบุญบูชาเหรียญละ 245บาท<O:p</O:p
    [​IMG][​IMG]


    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 26<O:p</O:p
    พระฤาษีท่องสวรรค์ 2 องค์<O:p</O:p
    ให้ร่วมบุญบูชาองค์ละ 2,365 บาท
    [​IMG] [​IMG]

    Promotionพิเศษ (ครั้งที่ 2)<O:p</O:p
    รายการที่ 30<O:p</O:p
    เหรียญยุทธภูมิ 2 เหรียญ<O:p</O:p
    ให้ร่วมบุญบูชาเหรียญละ 1,455 บาท
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    คุณพลังธรรม
    ผมอ่านบทความนั้นแล้วก็สงสารผู้เป็นเจ้าของบทความ เพราะว่า คำอธิบายขันธ์ตัวที่5 วิญญาณ คือจิตใจ เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง แล้วจะเข้าใจและเข้าถึงคำว่า นิพพาน ได้อย่างไร วิญญาณขันธ์ ก็คือ ประสาทรับรู้ความรู้สึกของร่างกายมิใช่จิตใจอย่างที่กล่าวในบทความครับ เพราะจิตกับขันธ์5(ร่างกาย)เป็นคนละส่วนกัน

    <!-- / message --><!-- attachments --><!-- / message --><!-- sig -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2008
  7. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    เอ่อ ...ชักไปกันใหญ่แล้ว จะจริงจะเท็จก็รับฟังเถิด ตรองด้วยปัญญา สมาธิเป็นเรื่องปัจจัตตังถ้าเป็นจริง การปรามาสผู้ทรงญาณมีโทษมาก ไม่คุ้มกันหรอกครับ ส่วนผมโมทนาในความดีอย่างเดียวก็พอ
     
  8. Fame

    Fame เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +266
    อืมมมมมมมมมมมมมมม...............................................
     
  9. vichian

    vichian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8,164
    ค่าพลัง:
    +41,920
    ด่วน...มอบพระของหลวงพ่อฤาษีฯ......(ช่วงสุดท้าย)

    No27
    เหรียญครบรอบ ๑๐๐ปีเกิด สร้าง ปีพ.ศ.2518 เหรียญใหญ่สีทอง
    นำมาให้ร่วมบุญบูชาเหรียญละ 747 บาท มี 1 เหรียญเท่านั้น
    [​IMG] [​IMG]

    No28
    เหรียญที่ระลึกผูกพัทธสีมา เป็นเหรียญคู่ เหรียญหลวงปู่ปาน ด้านหลังยันต์เกราะเพชร ,เหรียญหลวงพ่อ ด้านหลังยันต์นะโมพุทธายะ สร้าง 23 เมษายน พ.ศ. 2520 ด้านหน้าเป็นพระพุทธเจ้า อยู่ระหว่างยันต์ท้าวมหาชมภู ใช้รักษาโรคระบาด และอันตรายทุกอย่าง ทุกประเภท เหรียญสภาพสวย
    นำมาให้ร่วมบุญบูชาคู่ละ 789 บาท มี 1 คู่เท่านั้น
    [​IMG] [​IMG]

    No29
    พระคำข้าวรุ่นพิเศษ สร้างปีพ.ศ.2535 ด้านหน้ารูปเหมือนหลวงพ่อ เขียนว่า พระราชพรหมยาน ด้านหลังยันต์เกราะเพชร
    นำมาให้ร่วมบุญบูชาองค์ละ 949 บาท มี 2 องค์
    [​IMG] [​IMG]

    No30
    พระปิดตามหาลาภ สร้างปีพ.ศ.2518 เนื่องในงานครบรอบ 100 ปีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ด้านหลังเป็นรูปแหลวงพ่อปาน
    นำมาให้ร่วมบุญบูชาองค์ละ 1,134 บาท มี 1 องค์
    [​IMG] [​IMG]

    No31
    เหรียญฉลองสมณศักดิ์ สร้าง 24 มีนาคม 2528 เป็นรูปหลวงพ่อ ด้านหลังยันต์ท้าวมหาพรหม เขียนว่า ที่ระลึกในงานฉลองสมณศักดิ์
    นำมาให้ร่วมบุญบูชาองค์ละ 1,765 บาท มี 1 องค์
    [​IMG] [​IMG]

    No32
    เหรียญหลวงพ่อปาน สร้าง ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๖ เป็นเหรียญสีทอง ด้านหน้ารูปหลวงพ่อปาน เขียนว่า หลวงพ่อปาน ด้านหลังยันต์เกราะเพชร
    นำมาให้ร่วมบุญบูชาเหรียญละ 248 บาท มี 2 เหรียญ
    [​IMG] [​IMG]

    No33
    แหนบทองรูปหลวงพ่อ แหนบนี้ป้องกันสรรพอันตรายทุกชนิด นิวเคลียร์และฝนเหลือง ให้ผลทางลาภ เมตตา อธิฐานได้ดังใจทุกอย่าง มาแบ่งกันบูชาครับ
    นำมาให้ร่วมบุญบูชาองค์ละ 212 บาท มี 1 องค์
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2008
  10. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,166
    ค่าพลัง:
    +3,212
    ผมไม่เก่ง และไม่ทรงเจ้า ช่วยเข้าใจด้วย
     
  11. ป้อม

    ป้อม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +223
  12. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,166
    ค่าพลัง:
    +3,212
    โพสท์ เพื่อบอก คนที่ใช้วิธีหลวงพ่อไม่ใช่คนทรง
    ทำไมต้องมีแต่คนทรง
    ผมไม่เก่งเหมือนคนที่มาว่าคนอื่น จึงไม่ขอช่วยใคร
    ถ้ามีไร โทรมาคุยได้ แต่อย่ามาหาว่าช่วยคนต้องทรงเจ้า
     
  13. อักขรสั จร

    อักขรสั จร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +343
    พระไตรปิฎกเป็นสิ่งมหัศจรรย์
    เกิดจากการสังคายนาของพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ 300 กว่าองค์
    ผู้ที่มีภูมิธรรมต่างกัน อ่านไปก็จะมีความเข้าใจต่างกัน
    ทุกท่านเร่งปฎิบัติกันไปเถอะครับ
    อย่าเสียเวลาคิดฟุ้งซ่านไปเองเลย
    พระธรรมเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตนครับ
    อะไรที่ยังไม่รู้ก็ละไว้ก่อน อย่าด่วนสรุปว่าไม่จริง
    ใครตายแล้วอัฐิเป็นแก้ว หรือสังขารไม่เน่าเปื่อย เดี๋ยวก็ได้รู้กันเองครับ

    คุณพลังธรรมครับ ผมโชคดีที่เมื่อสมัยที่ผมคิดแบบคุณยังไม่มีอินเตอร์เน็ต
    เมื่อรู้แจ้งเมื่อไหร่อย่าลืมมาตามแก้กรรมด้วยนะครับ
     
  14. berserk

    berserk สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +15
    แล้วทำไงจะเริ่มต้นมีมโนมยิทธิ จะฝึกอย่างไร
     
  15. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,166
    ค่าพลัง:
    +3,212
    คนอยากได้มโนมยิทธิ ทำอย่างนี้

    เราจะได้ ทำใจให้สะอาด นึกถึงพระเสมอ มีอุเบกขาเป็นประจำ พรหมวิหารข้ออื่นทำเป็นรองๆไป
    ทำบารมี10เสมอ ทำเช่นนี้ มีใจเด็ดเดี่ยว 7วันใจเป็นพระ มโนมยิทธิจะมาเอง
     
  16. berserk

    berserk สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +15
    ผมมันคนปัญญาน้อยครับ เอาชัดๆกว่านี้ได้ไหมครับ(ทำเสียงเหมือนคุณสุทธิชัย หยุ่น)
    ตั้งใจจะทำจริงนะครับ ไม่ได้ล่อเล่น แล้วขอถามอีกข้อนะครับ สมมุติว่าทำตามที่คุณบอกแล้วยังทำไม่ได้ จะมีวิธีไหนอีกหรือเปล่าครับ ช่วยบอกหน่อยครับ แล้วขอโมทนา สาธุด้วยครับ
     
  17. dektep

    dektep สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +10
    ผู้รู้จริงย่อมไม่สงสัย......ปฎิบัติซิค่ะ....แล้วคุณจะได้หมดความสงสัย
     
  18. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,166
    ค่าพลัง:
    +3,212
    เมื่อเราทำใจไปเพ่งพระ เราไม่รู้ว่าทำอย่างไร

    เมื่อเราทำใจไปเพ่งพระ เราไม่รู้ว่าทำอย่างไร
    อาจทำอย่างที่ผมได้วิธีองค์ปฐมสอนผมได้ คือมองไปในองค์ท่าน
    มองไปถ้าเจอท่านอีกข้างใน ้ก็มองอีกเข้าไปเรื่อยจนกว่าจะหมด
    คือ ไม่มีไร แต่ถ้ามีแสงสว่างเราก็มองต่อไป จนแสงส่างไม่มี
    ต้องไม่มีแม้แสงสว่าง มีแต่ความไร้รูปแบบ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
    อิสระ นี่คือ สภาวะที่ในพระ เป็นกลางให้มากที่สุด
     
  19. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    หากต้องการฝึกมโนมยิทธิ ในการเริ่มฝึกครั้งแรกขอแนะนำให้ไปฝึกที่วัดท่าซุงหรืือที่บ้านซอยสายลม

    วัดท่าซุง (วัดจันทาราม)
    อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี


    บ้านซอยสายลม (ซอยพหลโยธิน 8)
    วันเสาร์ อาทิตย์ และวันจันทร์ ทุกต้นเดือน
    ตั้งแต่เวลา 11.30 - 15.00 น.
     
  20. berserk

    berserk สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2005
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +15
    อนุโมทนาสาธุครับ หากลองทำแล้วมีข้อสงสัยประการใดจะขออนุญาตถามอีกครั้งครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...