ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. มนุษย์835

    มนุษย์835 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +182
    สับสน วุ่นวาย คิดค้น แสวงหา ตอบโจทย์ เพื่อ....
     
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เดือนกรกฎาคม จะเกิดอุทกภัยแบบน้ำป่าไหลจากภูเขา !!!

    [​IMG]

    กรกฎาคม

    เดือนที่ 7 ในปีมะเส็ง 2013 ปรากฏการณ์ในราศีมิถุน ดาวจันทร์ทับดาวพุธ ทับดาวพฤหัสบดี เป็นที่พยากรณ์ได้ว่าต้นร้ายปลายดี จัดเป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านไปด้วยกันได้ดีในภพที่ 3 นี้มีดาวอาทิตย์และดาวอังคารร่วมอยู่ด้วย ก็ต้องระวังการกระทบกระทั่งในด้านความคิดเห็นของประชาชนและสื่อต่างๆที่จะเป็นตัวเร่งความขัดแย้ง ดาวพลูโตและดาวเนปจูนทำมุมโยคต่อกันจากภพที่ 9 ไปยังภพที่ 11 ทำให้มีปัญหาในเรื่องของประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญไปอีกนาน เพราะฝ่ายพลูโตต้องการพัฒนา แต่ฝ่ายเนปจูนขัดขวาง และลวงโลก อำพรางสิ่งที่ซ่อนไว้ ดาวทั้งสองดวงใช้เวลาโคจรในแต่ละราศีนานมาก ดังนั้นประชาธิปไตยแบบไทยแลนด์จึงเป็นวงจรอุบาทว์ รัฐธรรมนูญจึงมีมากถึง 18 ฉบับ แก้ไขครั้งใดก็มีฝ่ายไม่พอใจทุกครั้ง

    เหตุการณ์ในเดือนนี้มีดาวศุกร์โคจรด้วยมาดของราชาโชคในภพที่ 4 ดาวฝ่ายดีปรากฏเช่นนี้ ทับดาวจันทร์ ก็จะมีเรื่องที่ทุกคนทุกฝ่ายพอใจ เว้นไว้ก็แต่นักการเมืองและคณะรัฐมนตรีที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ มีแต่อุปสรรค แต่ก็คงได้อานิสงส์ไปบ้าง ดังนี้ "ศุกร์จับจันทร์บริบูรณ์ ทายดุจพระสูรย์ประโยชน์อันเดียวมา สนอง" และ "ศุโกรโคจรถึงจันทร์ ลาภาอนันต์ อเนกด้วยศฤงคาร จักได้มิ่งมิตรเพาพาล ศัตรูบันดาล พินาศม้วยมรณา"

    จากคำพยากรณ์นี้อาจเป็นผลร้ายต่อรัฐบาลและการเมืองได้ เพราะดาวศุกร์มาจากภพที่ 12 เป็นวินาศลัคน์ และเป็นเจ้าเรือนในภพที่ 7 ซึ่งถูกดาวบาปเคราะห์คือดาวเสาร์ระห่ำ และพระราหูชอนไช เซาะกร่อนให้รัฐบาลบังเกิดความเซซวนจวนล้มมิล้มแหล่ แต่ด้วยเสียงข้างมากลากไป ก็ถูไถถ่วงเวลาไปวันๆ พอๆ กับม็อบขยันออกมาใช้กำลังหมู่มากกดดันที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Mobocracy คือไม่ได้อะไรดั่งใจก็ก่อม็อบชุมนุมประท้วง ข่มขู่ คุกคาม โดยอ้างประชาธิปไตยร่ำไปจนพร่ำเพรื่อ(ศัพท์นี้มีอยู่ใน Webster Dictionary)

    แม้ว่าดาวศุกร์ทับดาวจันทร์ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ประชาชนมีความสุข แต่อย่าลืมว่าราศีกรกฎเป็นราศีธาตุน้ำ และดาวศุกร์ก็ธาตุน้ำ ดาวจันทร์ก็จัดว่าเป็นธาตุดินชุ่มน้ำ ดังนั้นตลิ่งถูกน้ำเซาะพังได้ง่าย น้ำท่วมหรือฝนตกหนักตลอดทั้งเดือน ในจังหวัดทางภาคเหนือและจังหวัดในภาคตะวันออก ตามพุทธทำนายที่ว่า "ล่วงได้ ปีมะเส็ง พ.ศ.2556 ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล"

    มองออกไปยังต่างประเทศ ยังมีโชคร้ายอยู่ในด้านเศรษฐกิจ แม้จะพยายามกู้วิกฤติกันเต็มที่ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะดวงโลกกับดวงเมืองไทยมีลัคนาสถิตในราศีเมษเหมือนกัน ข้อดีก็คือประชากรโลกมีความขยันขันแข็ง แต่ก็ต้องต่อสู้ดิ้นรน เพราะดาวอังคารซึ่งเป็นตนุลัคน์นั้น เป็นดาวเจ้าเรือนในภพที่ 8 หรือภพมรณะ กองทุนเงินกู้ระหว่างประเทศจึงเกิดขึ้นเพื่อสนองนโยบายทุนนิยม ทุกประเทศจึงเป็นหนี้ การทำสัญญาที่มีลับลมคมใน รวมถึงรัฐบาลมักไม่มีความโปร่งใส เพื่อหาประโยชน์ไม่ใช่เฉพาะแต่ประเทศของตนเท่านั้น

    แต่ยังหาทางไปเอาผลประโยชน์จากชาติอื่นอีกด้วยเพราะชาติมหาอำนาจยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงความคิดที่จะเป็นเจ้าโลก แต่ในปี 2013 ที่นำมารวมกันแล้วได้ 6 (2+0+1+3) มีคำพยากรณ์ว่า เป็นเลขแห่งการตอบสนองในด้านวัตถุนิยม ธนาธิปไตย ทุนนิยมสามานย์ที่แพร่หลายจนทุกประเทศที่ยอมรับกลับมีแต่ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ คนว่างงานมากขึ้น และเป็นปีที่คนชอบความหรูหรา สะดวกสบาย เป็นประเภทที่เรียกว่าจมไม่ลง ส่วนภัยพิบัติจะเน้นที่การเกิดอุทกภัยแบบน้ำป่าไหลจากภูเขา

    สิงหาคม

    ดาวอาทิตย์ยังทรงคุณภาพเป็นมหาจักรในภพที่ 4 ทำมุมขัดแย้งกับดาวเสาร์และพระราหูจรในภพที่ 7 และดาวจรทั้ง 2 นี้ก็ส่งแรงโยคไปยั่วดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดีเดิมในภพที่ 9 คำพยากรณ์ก็จะเป็นความยากลำบากของเกษตรกร ที่ภาครัฐและราชการไม่ได้ดูแลเอาใจใส่ ทำให้ขาดทุน พร้อมโดนฟ้าฝนกระหน่ำอย่างหนักจนผลผลิตเสียหาย เมื่อภาคการเกษตรเสียหาย ผลกระทบก็มาถึงประชาชนทั่วไปที่เป็นผู้บริโภค เกิดการขาดแคลนอาหาร จัดเป็นภัยประการที่ 8 คือ ทุพภิกขภัย จะเกิดข้าวยากหมากแพงและอดอาหาร เป็นไปตาม ลักษณาการของดาวที่ร้อยเรียงเป็นโยคแก่กันจากภพที่ 3 มายังภพที่ 5 และภพที่ 7

    ในขณะที่ฝ่ายรัฐมัวแต่เร่งรัดโครงการคมนาคมที่ไม่จำเป็นและไร้ประโยชน์ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง ที่ประเทศอื่นๆเลิกใช้ไปแล้ว เพราะอัตราค่าโดยสารแพงพอๆ กับค่าตั๋วเครื่องบินการกระทบของดวงดาวเชื่อมโยงไปถึง 4 ภพด้วยกัน คือดาวจร 3 ตำแหน่ง ส่งแรงกระแทกไปยังภพที่ 9 ทำให้สถาบันหลักของชาติสั่นสะเทือน เพราะผู้ประสงค์ร้ายที่มาในคราบของนักวิชาการที่ฝังตัวเป็นกาฝากในมหาวิทยาลัย และปลุกระดมให้นิสิตนักศึกษาเข้าใจผิด เดือนนี้มีปัญหาหลายอย่างที่เกิดจากคนที่มุ่งหมายทำลายชาติ ระบบการศึกษามัวหมอง เกิดความอัปยศเสื่อมเสียในด้านศาสนาจะมีพระเถระผู้ใหญ่จากไป มีพระสงฆ์ทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีความเอนเอียงในทางการเมืองอย่างชัดเจน จนถูกสังคมต่อต้าน

    วงการวิทยาศาสตร์ หันมาสนใจวิชาโหราศาสตร์ เพราะทึ่งในการทำนายถึงภัยธรรมชาติล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ และสามารถล่วงรู้ได้ล่วงหน้าหลายปี

    ในทางการเมืองตลอดทั้งเดือนไม่มีความเคลื่อนไหวจนถึงวันที่14 สิงหาคม ดาวศุกร์เสริดมายังภพที่ 5 ยังผลให้การเมืองเริ่มมีปัญหา หนี้สาธารณะเบอะบาน การใช้งบประมาณไม่โปร่งใส เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ในช่วงนี้เรื่องของหวยออนไลน์บ่อนกาสิโน กลับมากล่าวขวัญและทำกันให้ได้เพื่อมอมเมาประชาชนให้มีความหวังกับการเสี่ยงโชค มากกว่าจะหาทางอื่นให้มีรายได้เพิ่มขึ้น หรือจัดทำให้เป็นรัฐกึ่งสวัสดิการ ไม่มีการให้ฟรีก็จะเหมาะสม ดาวศุกร์นี้มาจากภพวินาศ + กดุมพะ + ปัตนิ หมายความว่า รายได้ของรัฐจะมีมาหาได้จริง แต่ก็ถูกล้างผลาญไปกับโครงการไร้ประโยชน์หรือทุจริตกันแบบลับๆ โดยมีต่างประเทศให้ความร่วมมือ ในอดีต สหรัฐให้เงินกับรัฐบาลเผด็จการในการพัฒนามหาศาล แต่ก็ตักตวงและเอาผลประโยชน์กลับคืนไป มาในยุคนี้ก็มีข้อเสนอที่เนียนขึ้น เช่น องค์การอวกาศสหรัฐจะมาใช้อู่ตะเภา โดยอ้างว่าจะสำรวจสภาพอากาศบ้างอะไรบ้าง ซึ่งก็ไม่จริงทั้งหมด อีกไม่กี่วันต่อมาดาวศุกร์โคจรวิปริตเข้าสู่ภพที่ 6 จะมีการใช้เงินในด้านการแพทย์สาธารณสุข หรือเกิดโรคระบาด ข้าราชการประพฤติมิชอบ มีการวิ่งเต้นเตรียมซื้อตำแหน่งกันเกรียวกราว

    ในภพที่ 3 เป็นภพนำร่องชี้ทิศทางของชาติ มีดาวพฤหัสบดีเป็นประ คือความไม่มั่นคงในด้านการต่างประเทศ การติดต่อซื้อขาย หรือทำสัญญา ก็เสียเปรียบ มีดาวอังคารอยู่ด้วยคงเป็นการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกหลอกอีกเช่นเคย ภาพรวมก็คือรัฐบาลไม่มีอะไรดีขึ้น รอวันเปลี่ยนแปลงที่ดูมืดมนเหมือนคนไทยตกอยู่ในแดนสนธยา สังคมยังอุดมด้วยอาชญากร ยาเสพติด ความฟุ้งเฟ้อ

    ในด้านภัยพิบัติ สงบราบเรียบดี ต่างประเทศก็ไม่มีเหตุร้ายแรงนอกจากปัญหาเศรษฐกิจ และการแข่งขันกันมีอำนาจเหนือดินแดนที่มีทรัพยากรน้ำมัน จนถึงขั้นต้องใช้กองกำลังปะทะกันแล้วจึงหันมาเจรจา

    กันยายน

    ในทางการเมืองน่าจะได้ผู้นำคนใหม่หรือรัฐบาลชุดใหม่แบบโละทิ้งของเก่าไป เพราะขืนบริหารต่อเรื่อยๆไป ชาติไทยไร้อนาคตแน่ นักการเมืองฝ่ายค้านรุกหนักโดยมีมวลชนเป็นกองเชียร์ การตรวจสอบรัฐบาลเข้มข้น จนสามารถยื่นให้ป.ป.ช.เชือดได้หลายคน หลายเรื่องทุจริตเดือนนี้มีเงื้อมเงาแห่งการเกิดสถานการณ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้ แต่ก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆอย่างชัดเจน ดาวศุกร์ยังโคจรเร่งรุดต่อไปยังภพที่ 7 ไปรวมกลุ่มกับดาวเสาร์และพระราหู แม้ว่าดาวศุกร์จะได้มาตรฐานเกษตร

    แต่ก็เป็นคู่ศัตรูกับดาวเสาร์ที่เป็นพินทุบาทว์รอคอยอยู่แล้ว ดังหลักโหรอ้างอิงไว้ว่า "ศุโกรโคจรลี ถึงราศีที่โสรา สดายุต้องภัยยา เพราะวาจาจนตัวตาย จะเสียหายทรัพย์สิ่งสิน สิ้นชีวาขาดบรรลัย" และดาวศุกร์ถึงพระราหูก็กล่าวไว้ว่า "ศุโกรโคจคลา ถึงฐานาอสุรินทร์ ทศกัณฐ์อายุสิ้น ศรนรินทร์ต้องกายา ลูกเมียและข้าไท จะพลัดพรากจากเคหา เกรงชีวาจะมรณา ด้วยภัยยาแห่งศัตรู" นอกจากนี้ยังต้องอุบาทว์พระยมอีกด้วย จึงสรุปได้ว่าในช่วงที่ดาว 3 ดวงนี้มีองศาไล่เลี่ยใกล้เคียงกันในระหว่างวันที่ 17 ถึง 22 กันยายน ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจหยุดพัก อาจยุบสภาหรือลาออก แต่หากยังคงอยู่ต่อไปก็หมดความชอบธรรม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงเดือนนี้ กลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว บริหารงานผิดพลาด แต่ละคนอยู่ใต้อิทธิพลของคนเสื้อแดง จึงทำให้ไร้เสียซึ่งศักดิ์ศรี มีรัฐบาลก็เหมือนไม่มี นอกจากนี้อาจมีคนสำคัญทางการเมืองเสียชีวิต

    ในด้านภัยพิบัติ นับได้ว่าเป็นเดือนน่ากลัว เพราะดาวอาทิตย์ยกสู่ภพที่ 6 เป็นอริแก่ดวงเมืองที่นำปัญหาใหญ่มาให้ เช่น เกิดแผ่นดินไหว เพราะมฤตยูเล็ง เกิดอุทกภัย เพราะดาวศุกร์ ธาตุน้ำ เข้ามาในราศีธาตุลม และมีพระราหูธาตุลมร่วมอยู่ด้วย ก่อให้เกิดพายุใหญ่และฝนตกหนักยาวนานติดต่อกัน จนเขื่อนและอ่างเก็บน้ำรับไว้ไม่อยู่ ในเวลาเดียวกัน ดาวพุธ ธาตุน้ำ มาสมทบทับพระราหู ซึ่งเป็นคู่ศัตรูร้ายแรง จนใครก็ยับยั้งพิบัติภัยไว้ไม่อยู่ และดาวอาทิตย์นี้คือผู้นำที่ต้องอยู่ในภาวะแห่งความยุ่งยาก ถูกถลุงถล่มหนักจนอยู่ไม่ได้

    หากสถานการณ์เป็นไปตามคาด ด้านเศรษฐกิจก็จะตกต่ำเมื่อถึงภัยมหันต์ในข้อที่5 ข้อที่ 6 และข้อที่ 7 ทำให้ฐานะการเงินคลอนแคลน ระส่ำระสาย รายได้หลักจากการส่งออกก็หยุดชะงัก การท่องเที่ยวก็ซบเซา การทำมาหากินของประชาชนประสบความยากลำบาก เต็มไปด้วยความทุกข์ และพึ่งพาใครไม่ได้

    สำหรับประเทศที่จะมีภัยพิบัติมากคือ อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ส่วนทางประเทศตะวันตก แถบฝรั่งเศส เยอรมนี จะเกิดแผ่นดินไหวหรือไฟไหม้ครั้งใหญ่ ทางฝั่งทวีปอเมริกาเหนือก็จะมีเหตุการณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุ เช่น เครื่องบินตกมีผู้สูญเสียชีวิตมาก.

    ตุลาคม

    ในปีนี้ดาวอังคารโคจรเป็นปกติ นับว่าโชคดี เพราะหากเกิดพักร-มน-เสริด ในราศีสิงห์ ก็ให้โทษแก่ชาติบ้านเมืองแบบหมดทางแก้ไข แต่ดาวอาทิตย์ที่ให้แสงไปยังภพต่างๆ จรมาในทุสถานภพที่ 6 เป็นอริลัคน์ ดวงของผู้นำย่อมหมองหม่น อำนาจวาสนาเสื่อมลงไปจนถึงกลางเดือนก็จะยกเข้าสู่ราศีตุล ภพที่ 7 ยิ่งทำให้พบกับปัญหาหนักทั้งเรื่องส่วนตัวและการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะดาวอาทิตย์เป็นนิจ ที่หมายถึงความเสื่อมโทรมไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน เมื่อมากระทบกับดาวเสาร์พระราหู ซึ่งเป็นดาวคนละขั้ว จึงเป็นเดือนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ดาวศุกร์ในราศีพิจิกเป็นมรณะลัคน์และเป็นประ ทำให้เสถียรภาพทางการเงินการคลังง่อนแง่น หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น และจะต้องกู้เงิน ล้วนแล้วแต่เผชิญกับวิกฤติจนเอาตัวไม่รอด ภาคเอกชนและประชาชนส่วนมากขาดสภาพคล่อง รวมถึงเจอผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ รัฐบาลอยู่ต่อไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเดือนตุลาคมนี้

    สิ่งที่นักโหราศาสตร์หวั่นเกรงว่าบ้านเมืองจะไม่มีความสุขสงบ ก็เพราะอิทธิพลของดาวเสาร์ที่เล็งดวงเมืองทำมุม 180 องศา ซึ่งมีผลต่อความแตกแยกของคนในชาติ รัฐบาลอยู่ได้ไม่นานนับจากวันที่ 4 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป และเรื่องของภัยธรรมชาติที่รุนแรงเกิดทั้งแผ่นดินไหวและอุทกภัย ดังนั้นกว่าจะถึงปี พ.ศ.2556 รัฐบาลก็อาจเปลี่ยนไปแล้ว และก็จะเป็นการบันทึกไว้ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและคนสุดท้าย

    อย่าได้อุตริเอาสตรีมาเป็นผู้นำ เพราะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเกิดอาเพศวิปริตหลายเรื่องเนื่องจากดวงเมืองกำหนดให้ตำแหน่งสำคัญนี้ต้องเป็นบุรุษเพศ เพราะมีดาวอาทิตย์กุมลัคนาในราศีเมษ ที่มีดาวอังคารเป็นตนุลัคน์ ดาว 2 ดวงนี้คือเพศชาย และในภพที่ 10 มีดาวเสาร์เป็นดาวเจ้าเรือน ก็จัดว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นชาย หรือต้องอดทน มีความหนักแน่นและเก่งในการวางแผนงานอย่างรอบคอบ ไม่ผิดพลาด ดังนั้นในทัศนะของโหรจึงถือว่าสตรีเพศต้องห้ามเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อเป็นไปแล้ว เรา-ท่านก็ได้เห็นแล้วว่าเป็นอย่างไรโดยไม่ต้องบรรยายถึงความสามารถว่ามีหรือไม่มี ดังนั้นดาวเสาร์ระห่ำเป็นพินทุบาทว์ ก็น่าจะจัดการให้นายกรัฐมนตรีเป็นชายได้โดยเร็วพลัน ก่อนที่ชาติจะกลายเป็นรัฐล้มเหลวและทวีความอาเพศ อัปมงคลไปทั่ว

    สภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวนอย่างหนัก ความหนาวเย็นจะมาถึงเร็วก่อนถึงเวลา และความร้อนก็จะเกิดขึ้นสลับไปมาพร้อมอุบัติภัยที่เหนือความคาดหมาย ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะเมืองไทย แต่จะเกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้างเกือบทุกประเทศ และอาจมีการจากไปของบุคคลที่เคยมีความสำคัญ มีบทบาทและเป็นต้นตอของปัญหาจนถึง พ.ศ.นี้ เมื่อดาวอังคารจรเข้ามาบีบเบียนหลังลัคนา และดาวเสาร์กับพระราหูเบียนหน้าลัคนา ดาวบาปเคราะห์ทั้ง 3 นี้ล้วนแล้วให้โทษกับชะตาบุคคลและดวงเมือง ไปจนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน ดาวอังคารจะเป็นดาวฆาตสำหรับคนราศีกันย์

    พฤศจิกายน

    ในฐานะนักวิเคราะห์ดวงเมือง ก็ต้องขอออกตัวว่า ดวงชะตาบ้านเมืองในปี พ.ศ.2556 ปีมะเส็งนี้ ค่อนข้างทำนายยาก จะเอาให้แน่ชัดก็คงจะไม่ได้ แต่จะไล่เรียงที่มาที่ไป เพราะดาวมาชุมนุมที่ราศีตุลกันตลอดทั้งปี ยืนพื้นด้วยดาวเสาร์จรเป็นพินทุบาทว์ โดยความหมายคือดวงแตก ดวงช้ำ ถามว่าใครช้ำ ไล่ดาวเสาร์ที่มาจากภพศุภะ หรือภพที่ 9 เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับต่างประเทศศาสนา การค้นคิดทางวิทยาศาสตร์ ความรู้ระดับสูง นักวิชาการ สถาบันสำคัญของชาติ การใช้สติปัญญา และความสงบร่มเย็นของชาติ ซึ่งทั้งหมดถูกทำลายให้แตกละเอียด เรื่องดีๆไม่ปรากฏ มีแต่เรื่องทรยศ และดาวเสาร์ก็ดี พระราหูก็ดี มาจากภพกัมมะหรือลาภะ คือดาวทั้งสองเป็นดาวเจ้าเรือนที่ใช้แทนกันได้

    ดังนั้น ความรับผิดชอบในหน้าที่ของฝ่ายบริหาร คือคณะรัฐมนตรี ผู้นำ จึงหย่อนยาน ไร้ประสิทธิภาพ ขาดปัญญา ทำให้ประเทศชาติไม่มีความสุขสงบ การบังคับใช้กฎหมายมีหลายมาตรฐาน เป็นปีที่มีการเล่นพวก เลือกข้างกันมากที่สุด ข้าราชการ ข้าของแผ่นดินไม่มีจิตสำนึก ไม่อินังขังขอบต่อหน้าที่ ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปสู่จุดแห่งความล้มเหลวด้วยอิทธิพลของดาวเสาร์และพระราหูจรเล็งดวงเมือดวงโลกเป็นพินทุบาทว์จร คือร้ายให้มันร้ายไป ความหวัง ความต้องการ เสรีภาพ สิ่งที่ดีที่สุด ย่อมไม่มีอย่างแน่นอนในมะเส็งนี้ ความอุบาทว์กลาดเกลื่อนดังนั้นเป็นยุคที่ตัวใครตัวมัน และกลับไปอ่านภัย 10 ประการอีกครั้ง ก็จะทำให้เข้าใจได้ว่ามันคือกลียุค รัฐบาลผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

    ในด้านอื่นๆที่สำคัญพอๆ กับการเมือง คือรายได้และเศรษฐกิจของชาติดูเหมือนดี แต่พอสแกนเข้าไปก็จะพบความล้มเหลวพร้อมหนี้สิน เงินกู้และการใช้งบประมาณอย่างทุจริต เพราะพระราหูก็ดี ดาวศุกร์ก็ดี มาจากภพวินาศ แล้วก็มาชุมนุมวกไปเวียนมาร่วมกับดาวเสาร์และพระราหูจร เป็นภาพเชิงซ้อนให้เห็นว่าตลอดเวลา ไม่ได้มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรที่บ่งชี้ถึงความเจริญก้าวหน้า หรือพูดง่ายๆ ว่า ประเทศไทยและชาวโลกไร้อนาคต จึงอยู่ไปวันๆ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ฝ่ายที่ครองอำนาจก็กอบโกย ฝ่ายรักชาติบ้านเมืองและสถาบันก็แสดงออกกันเต็มที่ เพื่อพิทักษ์ปกป้อง คะคานอำนาจไว้ ส่วนประชาชนก็ดิ้นรนกันเองเพื่อเอาตัวรอดให้พอมีกินมีใช้ ดาวศุกร์จรเป็นมหาจักร แต่อยู่ในภพศุภะตลอดทั้งเดือน พอทำให้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้บ้าง ว่าตลาดการค้าต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นส่งออกหรือนักท่องเที่ยวจะนำรายได้เข้ามามากกว่าปีที่ผ่านไป

    สภาพอากาศเลวร้าย แปรปรวน โรคระบาด ทำให้มีการล้มตายไม่น้อย ส่วนภัยธรรมชาติก็เล่นบทร้าย แล้วก็อ่อนแรงลง สลับกันไปอย่างน่าเบื่อพื้นที่ควรเฝ้าระวังคือภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคอีสานบางส่วน

    ธันวาคม

    การชุมนุมของดาวกระจายออกไปจากภพที่ 7 แล้ว แต่ดาวอาทิตย์ยกสู่ภพที่ 8 หรือเรือนมรณะ รัฐบาลหรือผู้นำจะปิดกั้นไม่ให้สังคมล่วงรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล มีการทุจริต มีความเปลี่ยนแปลงจากดีเป็นร้าย และจากร้ายเป็นดี จับตาคำทำนายวันสิ้นโลก 21 ธันวาคม 2012 ที่ไม่ใช่วันสิ้นโลก แต่ประชาชนและประชากรทั้งโลกจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงความคิด มีการปฏิรูปสังคม มีการตกผลึกในพันธสัญญาและร่วมมือกันจัดการกับทรราช เพราะดาวจันทร์จรเข้าเรือนตัวเอง ได้มาตรฐานเกษตร และดาวอังคารเป็นอริลัคน์ทำให้ต้องเผชิญต่อภาระหน้าที่ มีการเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งโลกแต่ไม่ใช่การจลาจล ประกอบกับชาติตะวันตกใกล้จะถึงวันคริสต์มาส

    สิ่งที่จะได้เห็นคือการเปลี่ยนแปลงจิตใจทัศนคติจากฝูงชนที่หลงผิดจะกลับใจ แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งจะเปลี่ยนจากการเป็นฝ่ายดีเป็นฝ่ายร้าย หมายถึงยังมีทั้งเทพและมาร แต่กระแสของเทพหรือฝ่ายดีย่อมมีมากกว่า เป็นการสิ้นสุดปีที่ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพราะดาวมฤตยู เนปจูน ทำมุมประชิดกัน จึงมี 2 ฝ่ายชัดเจน ดาวเนปจูนในราศีที่ 10 เป็นภพลาภะของดวงเมืองดวงโลก มาขัดขวางมิให้ความร่วมมือในสังคมเกิดความกลมเกลียว ปรองดอง และดาวนี้ชักจูงให้คนที่เกิดในราศีกุมภ์บังเกิดความคิดที่สวนกระแสแห่งความถูกต้อง ดีงาม ชอบธรรม

    ถัดมามีดาวพลูโต ซึ่งเป็นดาวฝ่ายในภพศุภะ ที่ราศีธนูมีดาวพฤหัสบดี เทพแห่งคุณธรรม เป็นดาวเจ้าเรือน จึงมีกำลังและพลังฉุดรั้งให้คนหันหน้าเข้าสู่ระบบคุณความดี มีการพัฒนาให้โลกเกิดความสุขสงบได้ 2+1+1+2+2+0+2+2 = 12 (วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 ที่ชาวมายันกล่าวไว้ว่าจะเริ่มตั้งแต่วัน เดือน ปี นี้เป็นต้นไป) เป็นเลขที่ก่อให้เกิดการทำลายล้างได้ ถ้าเป็นคนก็เหมือนกับติดคุก ถูกขังลืม แต่ถ้าเป็นภาพรวมของโลกและสังคม ก็คือจุดเปลี่ยนผ่านจากความเลวร้าย เพื่อไปสู่ความสงบสุข รุ่งเรืองของประเทศชาติ แม้จะต้องใช้เวลารอคอยจนกว่าจะถึงปี พ.ศ.2560 (ค.ศ.2017)

    ดังนั้นการล้างโลก ล้างชาติให้สะอาด จึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคนที่ต้องร่วมมือกันทำไปเรื่อยๆตั้งแต่บัดนี้ และแล้วความรุ่งโรจน์โชติช่วงของคนไทยและชาวโลกก็จะอุบัติขึ้น พร้อมกับความเชื่อในเรื่องพระจักรพรรดิพระศรีอาริย์ ตามที่ได้สาธยายมาแล้วในตอนต้น

    ขออำนาจแห่งบุญ ความดีที่ผู้เขียนได้ทำไว้กับประเทศชาติ ดลบันดาลให้ทุกท่านมีทางรอดพ้นภัย มีชีวิต มีลมหายใจเพื่อรอดูโลกในปี พ.ศ.2561 หรือ ค.ศ.2018 ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และศีล สมาธิ ปัญญา เป็นปัจจัยให้เกิดความสวัสดีมีโชคชัย ชนะใจตนเองให้ได้ และมีพลังพิชิตความเลวร้ายทั้งปวงที่อาจเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2556 สำหรับผู้อุดหนุนหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ที่ไม่ยอมเป็นขี้ข้าให้ใครมาบงการ.

    หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วันอังคารที่ 1 มกราคม 2556 เวลา 00:00:14 น.

    ที่มา กรหริศ บัวสรวงผ่าดวงเมืองและสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปี2556
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น !!!

    [​IMG]

    ไซอิ๋ว 2013 คนเล็กอิทธิฤทธิ์หญ่าย เป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซี-ผจญภัย นำแสดงโดย ซูฉี, หวงเป่า, จางเหวิน, หลัวจื้อเสียง และโจว ซิ่วนา เรื่องราวถูกดัดแปลงให้แตกต่างไปจากไซอิ๋วฉบับก่อนๆ โดยเวอร์ชั่นนี้เล่าว่า เมื่อโลกเต็มไปด้วยปีศาจ และมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัส นักล่าปีศาจ อย่าง ซวนจาง หนุ่มผู้เก่งกล้า เขาเชื่อว่า เขาจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้

    เขาจึงยอมเสี่ยงทุกทั้งปราบปีศาจน้ำ ปีศาจหมู รวมทั้งปีศาจของเหล่าปีศาจ ซึ่งก็คือ ซุนหงอคง ก่อนจะรับเหล่าปีศาจมาเป็นสาวก และสอนให้พวกเขารู้จักความรัก ความเมตตา ในขณะเดียวกัน ซวนจาง ก็ได้พบความหมายที่แท้จริง ของความรักที่ยิ่งใหญ่ การชดเชยบาปของตน อย่างไรก็ตามเพื่อช่วยชีวิตของมนุษย์ เขาทั้งสี่จึงเริ่มออกเดินทางไปยังทิศตะวันตก ที่เต็มไปด้วยความท้าทายที่รอพวกเขาอยู่

    สำหรับ ไซอิ๋ว เวอร์ชั่นภาพยนตร์แห่งปี ค.ศ.2013 มี "โจวซิงฉือ" นักแสดงคนดัง รับหน้าที่ทั้งการเขียนบท เป็นผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้าง โดย โจวซิงฉือ เผยว่า ได้แนวคิดการทำหนังเรื่องนี้มาจากเพลงกล่อมเด็ก 300 เพลง ซึ่งมีเพลงที่ตัวเองชอบร้อง นอกจากนี้ในเรื่องยังมีอาวุธพิเศษเพิ่มเติมความสนุก อาทิ ห่วงบิน เป็นอาวุธที่เคยปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่องฤทธิ์แค้นฝ่ามือยูไล อย่างไรก็ตาม ไซอิ๋ว 2013 ฉบับผู้กำกับโจวซิงฉือ เขาจะทำหน้าที่เฉพาะงานเบื้องหลังเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า ต้องการโฟกัสกับหนังให้เต็มร้อย เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด

    ไซอิ๋ว 2013 กำหนดเข้าฉายในบ้านเรา 27 มิ.ย.นี้ หลังจากการเข้าฉายในเมืองจีนทำสถิติโกยรายได้สูงสุดเฉพาะการฉายวันแรกที่ 373 ล้านบาท

    ที่มา ลุ้นของที่ระลึกหนัง ไซอิ๋ว 2013 | เดลินิวส์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2013
  4. comfx22

    comfx22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +234
    ถ้าเป็นแบบในหนัง ภัยพิบัติต่างๆ สงสัยมาจากหงอคงกำลังสู้อยู่กับตัวร้าย ที่แท้กำลังปกป้องโลกอยู่นี่เอง.
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=le9XZje40kE]Dragon Ball Z Ultimate Tenkaichi: All Ultimate Attacks 【HD】 - YouTube[/ame]
     
  5. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดาคู่โลก ที่เกิดขึ้นกับสรรพสัตว์ไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์ เทวดาก็มีอายุ หมดอายุก็จุติ แล้วไปเกิดเป็นอย่างอื่นตามผลของกรรมไม่ว่า กุศลหรืออกุศล
    ภัยพิบัติก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ใช่พึ่งมาเกิดขึ้นให้บรรดาเราๆตระหนกตกใจกันเมื่อวานซืน เดือนที่แล้ว ปีที่แล้วซะที่ไหน
    มีภัยพิบัติหรือไม่มี มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็ต้องตาย กันทุกๆวันอยู่แล้ว
    ปัญหาคือ เราพร้อมจะตายไหม พระพุทธเจ้าท่านพร่ำสอนให้เจริญมรณานุสติ ท่านพุทธทาสท่านก็สอนให้เตรียมตัวตายก่อนตาย
    ท่านผู้ทรงภูมิ ทรงญาณท่านทำนายมา เตือนมา ก็ฟังๆท่านไว้ เพราะถึงแม้ท่านไม่เตือนมาเราชาวพุทธแท้ๆก็ควรจะได้มีปรกติ ปฏิบัติบูชาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เป็นปรกติวิสัยอยู่แล้วมิใช่หรือ ทาน ศีล ภาวนา
    ทาน ศีล ภาวนา เราท่านปฏิบัติแล้วก็ไม่ใช่เพื่อให้หยุดยั้งการตายหรือภัยพิบัติ แต่เพื่อให้ตายอย่างมีเสบียงไว้รองรับภพใหม่ชาติใหม่ หรือถึงขั้นสุดยอดคือนิพพานไปเลย

    ฉะนั้น ก็ไม่ต้องไปตื่นเต้นตกใจกลัวกันเกินกว่าเหตุ ดำรงชีวิตปรกติในครองธรรม ทาน ศีล ภาวนา

    ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านการสื่อสารเจริญมากๆ เกิดอะไรตรงส่วนไหนของโลกก็รู้กันทั่วโลกภายในวันเดียว ฉะนั้นที่เรารับรู้ถึงการเกิดภัยพิบัติเกิดขึ้นถี่ๆรอบโลกนั้นเป็นเพราะการสื่อสารที่ฉับไวหรือไม่ หรือมันพึ่งมาเป็นแบบนี้แล้วเมื่อก่อนไม่เป็น อย่างนั้นหรือ

    การที่เรากลัวความตายจากสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านผู้ทรงญาณมาเตือนถึงภัยพิบัติ จนเรารู้สึกกังวลวิตกจริตนั้น น่าจะผิดวัตถุประสงค์ของท่าน เพราะไม่อย่างนั้นแล้วการที่พระพุทธองค์โปรดสอนพระอานนท์ว่า ให้นึกถึงความตายเป็นมรณานุสติทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ยิ่งน่ากลัวขนพองสยองเกล้ากว่ารึ
    ฉะนั้น เราน่าจะปรับ mind set ทัศนคติของเราเสียใหม่ว่า ท่านมาเตือนเพื่อให้เราเพียรใน ทาน ศีล ภาวนา มั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา แทนการมานั่งหวาดหวั่นวิตกจริต
    แล้วเราท่านจะไม่หวั่นไหว ยิ้มเย้ยภัยพิบัติที่จะมาเยือนได้ เพราะเราพร้อมอยู่แล้วในกุศลกรรมที่สั่งสมเตรียมเป็นเสบียงมา
     
  6. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    ไปอ่านเจอในหลายๆเอกสาร ที่มักส่งเป็นลูกโช่ต่อๆกันมาว่า
    พระอินทร์บ้าง เทวดาบ้าง จะฆ่าคนชั่วให้ตายด้วยวิธีการต่างๆนานา เช่น ปล่อยเชื้อโรคมาบ้างอะไรบ้าง หรือนาคจะปล่อยน้ำ พ่นพิษ มาฆ่าคนชั่วคนเลวให้ตายกันให้สิ้นซาก

    ลองคิดสักนิด มันน่าจะเป็นการเขียนในเชิงอุปมาอุปมัยหรือทำนองบุคคลาธิษฐานหรือเปล่า
    ถ้าเรานึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ว่า มนุษย์และสัตว์ย่อมเป็นไปตามผลของกรรมที่ตนกระทำมาไม่ว่าดีหรือชั่ว กุศลหรืออกุศล ฉะนั้นจำเป็นไหมที่พระอินทร์ เทวดา และนาค ครุฑ ต่างๆจะต้องเปลืองตัวลงมาเข่นฆ่าผู้คนชั่วเหล่านั้น
    พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนนะว่า ฆ่าคนชั่วไม่บาป ฆ่าคนชั่วแล้วได้บุญ ถ้าเป็นเช่นนั้นพระพุทธองค์คงไม่ต้องปล่อยให้พระเทวทัตถูกธรณีสูบไปเองในที่สุดหรอก

    พระอินทร์และเทวดา ท่านเป็นเทวดาเพราะมี หิริโอตตัปปะ ละอายและเกรงกลัวบาป
    ฆ่าคนเป็นบาป ถึงบอกว่า ท่านไม่เปลืองตัวทำบาปหรอกยังไงคนชั่วมันต้องได้รับอกุศลวิบากอยู่แล้ว
    นาคครุฑก็เช่นกัน สัตว์พวกนี้เป็นสัตว์ที่มีคุณธรรมเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้จะเป็นสัตว์มีอิทธิฤทธิ์แต่ก็เป็นภพภูมิเดรัจฉานอยู่ดี นาคครุฑเหล่านี้เขากลัวบาปกลัวเวรกรรม เขาต้องการสั่งสมบารมีเพื่อเกิดในภพภูมิสุงๆ เช่น มนุษย์หรือเทวดา
    ตรงนี้ไม่ได้ไปดูหมิ่นเหยียดภพภูมิ นาคครุฑ เขานะ ท่านลองไปอ่านชาดกเรื่องพระภูริทัติ หนึ่งในพระทศชาติดูแล้วจะรู้ว่าเป็นไปตามที่ได้เขียนไว้
    ฉะนั้น นาคครุฑเขาก็คงไม่มาเปลืองตัวทำบาปตัดรอนธรรมบารมี บุญบารมี ที่เขาได้สั่งสมมาหรอก คนชั่วตายไปคนได้ไม่คุ้มกับบุญบารมีที่เสียไป
    ทุกชีวิตเป็นไปตามกฎแห่งกรรมอยู่แล้ว ถ้าเราหรือท่านเหล่านั้นเชื่อและเคารพพระธรรมคำทรงสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    หรือพระอินทร์ เทวดา นาค ครุฑ อยากจะเปลืองตัวเปลืองบุญกับเหล่าคนชั่วในโลกมนุษย์ ก็คงต้องตามใจท่านหละ แล้วสมมุติว่าท่านจะฆ่าคนชั่วจริงๆ แต่เราครองทาน ศีล ภาวนาไว้ เราจะกลัวอะไรละ ถ้าเราบอกว่ากลัวลูกหลง เทวดาท่านก็กลัวคนดีจะโดนลูกหลงเหมือนกันแหละ คนดีตายไปเพราะการกระทำของท่าน ท่านซวยดับเบิ้ลเลยหละ

    ลองคิดๆกันตามหลักเหตุ หลักผล ละกัน ถ้าเราประกาศตัวว่า เราเป็นชาวพุทธ
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เหตุที่พระพุทธเจ้าต้องมีอายุ 80 ปี !!!

    [​IMG]

    (คัดลอกเป็นบางส่วนจาก “ธัมมวิโมกข์” ปีที่ 27 ฉบับที่ 297 ธันวาคม 2548 ในหน้า 43 ถึง 47)

    สำหรับวันนี้ ก็จะขอเทศน์เป็นการตัดอายุ.... เนื้อความก็มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ ในวันนั้น องค์สมเด็จพระบรมครู ไปทรงกล่าวกับบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า....

    “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัพเพ สัตตา มริสสันติ มรณันตัง หิ ชีวิตัง คนเราเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น”

    หมายความว่า คนทุกคน และสัตว์ทุกประเภท ที่เกิดมาแล้ว มันก็ต้องตาย
    และต่อมาภายหลังจากนั้นไซร้ เมื่ออายุ 80 ปี องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เสด็จดับขันธ์ คือ ตาย ในตอนนี้ไซร้ ก็ปรากฏว่า มีอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย พยายามรวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เทศน์ไว้ อยากจะทราบว่า เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เคยเทศน์ไว้ว่า.... คนที่มีการคล่องใน อิทธิบาท 4 คือ....

    ฉันทะ ความพอใจ
    วิริยะ ความเพียร
    จิตตะ การจดจ่อ การเพียรในกิจการงานที่ทำ
    วิมังสา การใคร่ครวญการงานที่ทำเสมอ


    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคล่องในอิทธิบาท 4 ในด้านของการปฏิบัติธรรม ผู้ที่คล่องจริง ๆ ในอันดับต้น ได้แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าที่คล่องรองลงมาก็คือบรรดา พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็ท่านทั้งสองประเภทนี้คือ พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ถ้ามีอิทธิบาทไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ จะบรรลุ คือ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานไม่ได้ แต่ว่าทำไมองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่เคยคล่องใน อิทธิบาท 4 ประเภทนี้ สามารถจะอธิษฐานตน ให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง หรือกัลป์หนึ่งก็ได้ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับมา นิพพาน เมื่อระหว่างอายุของพระองค์ได้ 80 ปี

    ตอนนี้ พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็มีความสงสัย แต่ทว่าบรรดาพระอรหันต์ตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณ ก็ดี ได้อภิญญาหก ก็ดี วิชชาสาม ก็ดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่สงสัย รู้ด้วยอำนาจของ อตีตังสญาณ แต่ทว่า สำหรับพระอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโก นี้ ต้องสงสัย เพราะว่า ไม่ได้ญานวิเศษ จึงต้องค้นคว้าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ในที่สุดก็พบว่า สมเด็จพระนราสภ คือ.... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะมีอายุ 1 กัป อย่างที่กล่าวไว้ แต่ทว่าการที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา ต้องมีอายุ 80 ปี

    เหตุผล ก็เป็นมาอย่างนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรี ทรงกล่าวว่า.... อตีเต กาเล ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย.... ในอดีตกาล ตถาคตเสวยพระชาติเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถอยหลังจากชาตินี้กลับไปหลายพันชาติ เวลานั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถ ทรงบำเพ็ญบารมี ใกล้จะถึง ปรมัตถบารมี พระวรกายของพระองค์นี้ มีส่วนพิเศษอยู่จุดหนึ่ง คือ.... เท้าทั้งสอง ในอุ้งระหว่างกลางเท้าทั้งสองนี่ มีรูปกงจักรอยู่ด้วย เป็นสีแดง

    ในเวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดเป็นลูกคนจน ทำมาหากินอยู่ในป่า ต่อมาท่านบิดาก็ตาย เหลือแต่มารดาผู้เดียว ท่านก็ปฏิบัติตน เป็นคนประกอบไปด้วยความกตัญญูรู้คุณ หาเช้ากินค่ำ หรือหาค่ำกินเช้า นำเอาอาหารมาเลี้ยงมารดาเป็นที่รัก คือว่าท่านเป็นคนป่า ก็ตัดฟืนขาย เข้าป่าก็แต่เช้า กลับมาจนบ่าย จนเย็น อาบน้ำ อาบท่า กินน้ำ บริโภคอาหาร เสร็จแล้ว ก็นำฟืนเอาไปขาย ได้เงินมาเท่าไร ก็มามอบให้แก่มารดา มารดาก็จัดเงินทั้งหลายเหล่านี้ จัดอาหารมาเลี้ยงดูกัน

    เป็นอันว่า รายได้ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เวลานั้นก็เต็มไปด้วยการฝืดเคืองมาก ในคราวนั้น พระราชามีความลำบากด้วยยักษ์ตนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า “รากษส” นี่มีสภาพเหมือนยักษ์ แต่เป็นยักษ์ที่อยู่ในโพรง และอุโมงค์ใต้ดิน น่ากลัวจะเป็นยักษ์ปลาไหล เพราะอยู่ในโพรง และใต้ดินมันมีบ่ออยู่ แต่ทว่าทางขึ้น ก็ทำเป็นปล่องขึ้น การขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดิน เจ้ารากษสตัวนี้ ปรากฏว่า ถึงเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับเวลา ตรุษสงกรานต์ เป็นงานเกี่ยวกับนักขัตฤกษ์ประจำปี เจ้า รากษส ตัวนี้ ก็ขึ้นมาจับคนเอาไปกินเป็นอาหาร ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2–3 ปี ในแดนไกล

    ต่อมา พระราชาทรงทราบจากบรรดาประชาชนทั้งหลาย ว่า.... เจ้า รากษส ขึ้นมาอาละวาด เจ้า รากษส ตัวนี้ขึ้นมาเป็นเวลากาล ถ้าถึงฤดูนั้น ถึงเดือนนั้น วันนั้น มันก็ขึ้นมาจับคนกินเป็นอาหาร เพื่อเป็นเสบียงกรัง ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2–3 ปี จนเป็นที่แน่ใจของประชาชนทั้งหลายว่า วันนี้แหละเจ้า รากษส จะขึ้นมาจับคนไปกิน จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชา ก็ให้ป่าวประกาศหาคนดีมีฝีมือ ให้ไปสู้กับ เจ้า รากษส ไปดักอยู่ปากปล่องของ รากษส ที่จะขึ้นมา ถ้า รากษส ขึ้นมา ก็จะฆ่า รากษส ให้ตาย

    แต่ว่าบรรดาผู้ฟังทั้งหลาย รากษส มีสภาพเป็นยักษ์ มีความดุร้าย มีกำลังมาก แทนที่คนทั้งหลายที่รับอาสาพระราชา จะไปฆ่า รากษส ก็กลายเป็นอาหารของ รากษส อย่างดี คือ รากษส ไม่ต้องไปหากินไกล จับคนทั้งหลายที่จะไปฆ่าเขา นำกลับไปกินเป็นอาหาร ต่อมาพระราชา เห็นว่า คนทั้งหลายไม่สามารถสู้ รากษส ได้ การประกาศให้บรรดาคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ภายในขอบเขตของพระราชฐาน หรือใกล้พระราชฐาน ก็ไม่มีใครรับอาสาไปปราบ รากษส

    พระราชาได้ประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า.... เราไม่สามารถปราบ รากษส นี้ ได้เพียงใด ความเป็นพระราชาของเราก็ไม่อาจจะคงอยู่ เพราะเราไม่สามารถจะให้ความปลอดภัยกับบรรดาประชาชนได้ แล้วอาศัยที่พระราชาพระองค์นี้ ใช้ ทศพิธราชธรรม อันดี เป็นที่รักของปวงชนทั้งหลาย บรรดาอำมาตย์ ข้าราชบริพารจึงประชุมกันว่า ถ้าหากพวกเราไม่สามารถฆ่า รากษส ได้ พระราชาก็จะสละราชสมบัติ แล้วคนที่มาใหม่ จะดีเท่าองค์นี้ หรือไม่ดี ก็ยังไม่แน่นัก จึงปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรดี จะให้พระราชาครองราชย์ต่อไป

    ในที่ประชุม ก็กล่าวกันว่า ทางที่ดีควรประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศ ที่มีความสามารถ เข้าใจตรงกันว่า พระราชามีบุญญาธิการอย่างนี้ และมีความเดือดร้อนอย่างนี้ ราษฎรจนที่ไหน พระองค์ก็ทรงจนด้วย ราษฎรลำบากที่ไหน พระองค์ก็ทรงลำบากด้วย หาทางช่วยราษฎรให้เป็นสุข พระราชาอย่างนี้ หาได้ยาก ถ้ากระไรก็ดี ก็ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ ว่า.... คนในประเทศของเรา ไม่มีเท่าที่เห็น เพราะอยู่ในแดนไกล ในขอบเขตต่าง ๆ มีมากมาย ควรจะประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความสามารถ แต่ไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ที่จะรับอาสาฆ่า รากษส

    ในที่สุดเขาก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แล้วก็ทำตามนั้น มอบทองคำ เท่าลูกฟัก สำหรับผู้รับอาสา ต่อมา พระราช ก็ส่งคนไปประกาศว่า ถ้าบุคคลใดสามารถจะฆ่า รากษส ให้ตายได้ ในช่วงแห่งการรับอาสาจะมอบทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวบุคคลผู้รับอาสา ให้เป็นทุนสำรองไว้ก่อน ทั้งนี้ ก็เผื่อว่า ไปพลาดพลั้งถูก รากษส ฆ่าตาย ทางบ้านก็จะได้ใช้ทองคำนี้ จับจ่ายใช้สอย เป็นการประทังชีวิตให้มีความสุขสบายแทนผู้ตาย ถ้าบุคคลใดฆ่า รากษส ตาย แล้วตัวเองก็ไม่ตาย ทองคำก็ได้เป็นสิทธิ์อยู่แล้ว แต่เมื่อเวลาที่กลับมาประเทศเขตพระนคร พระราชาจะให้เป็นมหาอุปราช คือไปมีตำแหน่งรองจากพระราชา

    วันนั้น ก็ปรากฏว่า หน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะเข้าป่าไปหาฟืน แต่ยังไม่ทันจะเข้า เดินออกจากบ้าน ก็ได้ยินเสียงประกาศจจจากอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า ถ้าบุคคลผู้ใดรับอาสาฆ่า รากษส ได้ พระราชาจะประทานทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวคนผู้อาสา เป็นเดิมพัน แต่ถ้าฆ่า รากษส ไม่ได้ ต้องตายไป ทองคำนี้ก็จะเลี้ยงครอบครัว และถ้าฆ่าได้ ก็จะแถมรางวัลพิเศษ คือให้เป็นมหาอุปราช

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ จึงคิดว่า เราเป็นลูกคนเดียวของแม่คนเดียว หาเช้ากินค่ำ ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ก็พอกินบ้าง ไม่พอกินบ้าง มีความลำบาก ถ้าหากว่าเราจะยอมเสี่ยงชีวิตของเรา ตายแต่เพียงผู้เดียว ให้แม่ได้มีโอกาสรับทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวเรา แม่ก็จะกินอยู่แบบสบาย ๆ แม้กระทั่งตาย ทองคำก็ยังไม่หมด เมื่อหน่อพระบรมโพธิสัตว์ กำหนดอย่างนี้แล้ว จึงได้ขันรับอาสา แล้วก็รับทองคำมามอบให้แก่แม่ ตอนนี้ แม่คัดค้านอย่างหนัก ไม่อยากจะให้ลูกตาย

    ในที่สุด ก็ต้องจำยอม เพราะตกลงกับเขาแล้ว จึงได้มอบทองคำให้แม่ ตัวเองก็ไปเฝ้าพระราชาพร้อมกับอำมาตย์ เข้าไปเฝ้าแล้ว.... พระราชาถามถึงผลของความต้องการ เธอสามารถแน่ใจที่จะฆ่า รากษส ได้หรือ พระโพธิสัตว์ก็บอกว่า มั่นใจ ต่อไปพระราชา ถามว่า เจ้าต้องการทหารเท่าไร ต้องการอาวุธอะไรบ้าง จะไปฆ่า รากษส หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็ตอบว่า “ไม่ต้องการอะไรอะไรทั้งหมด ต้องการฆ่า ด้วยมือเปล่า”

    พระราชาก็หนักใจ แต่ว่า เขาขันรับอาสาตามนั้น ก็ต้องปล่อยไป เขาก็นำไปส่งที่ปล่องของ รากษส หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ขึ้นไปคอยอยู่ประมาณ 2 วัน พระราชาทรงให้ทหารไปเป็นเพื่อน นำอาหารไปบริโภค ไปคอยอยู่ที่ปากปล่องที่ รากษส จะขึ้น ต่อมา เมื่อถึงวันนั้น คือวันกำหนดที่ รากษส จะขึ้นมา มีเวลาเป็นประจำ ก็ขึ้นมาพอดี พอ รากษส ขึ้นมา ไม่ทันจะพ้นปล่อง หัวขึ้นมาพ้นปล่อง หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ยกเท้าขึ้นหวังจะกระทืบ คือจะกระทืบให้ รากษส คอหักตาย

    รากษส แหงนหน้าขึ้นมา เห็นอุ้งเท้าของหน่อพระจอมไตรบรมโพธิสัตว์ มีกงจักร ในระหว่างท่ามกลางฝ่าเท้า ก็คิดว่า คราวนี้เราตายแน่ เราสู้ไม่ได้ เพราะคนนี้ต้องเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ เพราะกลางระหว่างเท้า มีกงจักรสีแดง จึงได้พูดว่า....

    ช้าก่อน ท่านอย่าพึ่งฆ่าเรา ท่านนี่เป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าในอีกไม่นานนัก เพราะว่ากลางเท้าของท่านมีกงจักร หากท่านฆ่าเรา เราก็ตาย ถ้าท่านฆ่าเราไซร้ ท่านจะมีอายุสั้น ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตามธรรมดาพระพุทธเจ้า จะต้องมีอายุ สองหมื่นปีบ้าง ถึงสี่หมื่นบ้างก็มี

    อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าสามารถจะอธิษฐานตนให้มีอายุถึงกัปหนึ่ง ก็ได้ หากว่า ท่านฆ่าเราตาย ในเวลานี้ เวลานี้เรามีอายุ 80 ปี ถ้าหากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้ เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องมีอายุ 80 ปี เท่านั้น การประกาศพระศาสนาของท่าน จะไม่มีผลตามความประสงค์

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กล่าวว่า.... “เจ้าเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ไล่พิฆาต เข่นฆ่าคนเป็นอาหาร ถึงแม้นว่าเราจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า มีอายุแค่ 80 ปี เราพร้อมยอมตามนั้น” ในที่สุด หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กระทืบศรีษะยักษ์ รากษส ยักษ์ก็คอหักตาย
    ................................................................................

    นี่แหละบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่า พระพุทธเจ้า ทุก ๆ พระองค์ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้า สามารถจะอธิษฐานอายุของตนให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง ก็ย่อมเป็นได้ เพราะคล่องใน อิทธิบาท 4 แต่ว่า ที่องค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดา จะต้องนิพพาน ภายในอายุ 80 ปี ตามพระบาลี ท่านกล่าวว่า เหตุของการฆ่า รากษส ตนนั้น จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องนิพพานในอายุยังสั้น

    ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้ อาตมภาพในฐานะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ทั้ง 3 ประการ ขอจงดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุแล้ว ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงเห็นธรรมนั้น ในชาติปัจจุบันนี้ เทอญ.

    เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้.

    ที่มา www.dhammathai.org
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    โอวาทของพระโพธิสัตว์กวนอิม (สัจจคัมภีร์กัปป์สุดท้าย)

    [​IMG]

    พระศรีอาริยเมตไตรย พระโพธิสัตต์อวโลกิเตศวร ได้ฟังพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ให้ประคองช่วยเหลือเวไนยสัตว์ สิบชั่วร้ายไม่ดีงาม ฟ้าเบื้องบนจะจัดส่งผู้คุมตารางสวรรค์เทียนเหลอเซียน ลงมายังโลกมนุษย์ตรวจดูคัมภีร์นี้ หากผู้ใดถวายด้วยความศรัทธาเคารพ สามารถหลุดพ้นจากดวงแห่งภัยพิบัติได้ ทุกชีวิตในครอบครัวไร้ทุกข์ ไร้กังวล

    หากคนชั่วร้ายที่ไม่เชื่อและศรัทธา แต่คอยดูปี วอก,ระกา,จอ,กุน มีข้าวไร้คนกิน มีเสื้อผ้าไร้คนใส่ มีถนนไร้คนเดิน มีบ้านไร้คนอยู่ มีที่นาไร้คนทำ จวบจนถึงเดือนห้า เดือนหกนั้น งูพิษร้ายเกลื่อนเต็มไปทั่ว เดือนแปด เดือนเก้า คนชั่วร้ายจะตายสิ้น ซากศพเต็มเกลื่อน มีคนที่ละชั่วประพฤติดีไม่ต้องวิตกกังวล เศร้าสลดกับภัยพิบัติทั้งสิบประการนี้คือ

    1. อัคคีภัย - อุทกภัย
    2. ควันที่เป็นสัญญาณทำลายล้าง
    3. มึนซึมหมดสติตาย
    4. การหย่าร้างของสามี - ภรรยา
    5. งูพิษทำร้ายคน
    6. เศร้าสลดซากศพเต็มพื้นปฐพี
    7. ภัยสงครามฆ่าฟันกัน
    8. อากาศแปรเปลี่ยน วันคืนหนาวเย็น
    9. มีบ้านต้องยกให้ผู้อื่นอยู่
    10. เศร้าสลดไม่พบความสันติสุข

    บนถนนคนตายนับไม่ถ้วน หนึ่งหมื่นตายเก้าพัน มหันตภัยมาแล้ว พืชพันธุ์ธัญญาหารเก็บเกี่ยวได้ผลน้อย เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง พญานาคดุร้าย เกะกะระรานทั่ว เวไนยสัตว์มีภัย องค์เง็กเซียนมหาราชจึงจัดส่งกวน, เจ้าสองขุนพลลงสู่โลกมนุษย์ และเทพยดาที่สัญจรอยู่เบื้องบน เหนือโลกมนุษย์เพื่อตรวจดูคัมภีร์นี้ หากมีคนชั่วร้ายทั้งหลาย จะให้ข้าวยากหมากแพง พระศรีอาริยเมตไตรยจะปรากฏ กวนเจ้าสองขุนพลสู่แดนมนุษย์ จากปีจอเริ่มต้นด้วยโรคระบาดจนถึงปีกุน ประชาราษฎร์ในเก้าคน จะรอดตายเพียงหนึ่งคน จะเกิดมหันตภัยขึ้น เช่น

    1. วาตภัย
    2. อัคคีภัย
    3. ฟ้าผ่า ไฟฟ้าช๊อต
    4. ภัยสงคราม
    5. ภัยโรคร้าย
    6. อดอยาก ขาดอาหาร
    7. งูพิษร้ายกัด
    8. ภัยจากการคลอดบุตร
    9. อุทกภัย
    10. ภัยจากการสูญสิ้นมนุษย์ชาติ

    พระศากยมุนีพระพุทธองค์ ครองธรรมกาลหนึ่งหมื่นสามพันปี จนมาถึงปัจจุบันครบบริบูรณ์แล้ว พระศรีอาริยเมตไตรยรับสืบต่อครองธรรมกาล เริ่มต้นแต่ปีวอก จนถึงปีชวด พืชพันธ์ธัญญาหารไม่สมบูรณ์ คนจะอดอยากตาย ภัยสงครามยากที่จะหลีกหนี หากมีคนนำคัมภีร์นี้เผยแพร่ไปทั่วทุกหน ทุกหนึ่งแพร่ไปถึงสิบ สิบแพร่ไปถึงร้อย ร้อยแพร่ไปถึงพัน จนถึงหมื่น จะรอดพ้นจากภัยพิบัติ ถึงยุค เหยาซุ่น มาถึง ( เหยา หมายถึง บ้านเมือง จะมีคง ความรุ่งโรจน์ ซุ่น หมายถึง สังคมจะมีความยุติธรรม) ก็จะได้ร่วมสุขสันต์กับโลกแห่งบัวบาน

    ผู้ใดรู้แล้วไม่ยอมเผยแพร่คัมภีร์นี้ จะต้องพบภัยพิบัติทั้งสิบประการ ยากที่จะกลับมาเกิดอีก ผู้ใดเขียนถ่ายทอดเผยแพร่ออกไป ทุกคนในครอบครัวจะอยู่เป็นสุข พบแต่ความเป็นสิริมงคล สามารถรอดพ้นจากมหันตภัยได้ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าเบื้องบน นำความดีชั่วของชาวโลกกราบบังคมทูลต่อเบื้องบน องค์เง็กเซียนมหาราชทรงทราบข่าว ทรงพิโรธยิ่ง ต่อว่าบรรดาเทพยดาทั้งหลาย เสียแรงเปล่าที่ชาวโลกจุดธูปเทียนบูชากราบไหว้ แต่ไม่ยอมอบรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย

    จวบจนบัดนี้ ในโลกเต็มไปด้วยคนชั่วร้ายไม่มีมโนธรรม จึงได้มีพระราชโองการให้เกิดภัยพิบัติหลายปี เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงประชาราษฎร์ ในเวลานั้นบรรดาเหล่าเทพยดาทั้งหลาย ได้กราบทูลพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์กวนอิมแห่งทะเลใต้ ได้ทรุดกายหมอบลงกับพื้นพระบรมมหาราชวัง ทูลขอให้ทรงโปรดกรุณาแก่ชาวโลกเป็นหลายครั้ง ว่าผู้ชั่วร้ายสมควรดับ ผู้ดีงามควรแบ่งแยก

    องค์เง็กเซียนมหาราช ทรงบัญชาชี้ขาด ทรงเห็นว่า ดี ชั่ว สองอย่างต่างกัน ให้สงครามเจาะจงเลือกที่เกิด ให้โรคระบาดเจาะจงเลือกคนเป็น และส่งจอมพลรับราชโองการเก็บกวาดล้างมนุษย์โลก ตามที่มีผู้ทำชั่วร้ายดังนี้

    1. พวกที่กล่าวโทษ ด่าว่าฟ้าดิน
    2. พวกที่ดำเนินชีวิตปฏิบัติตนผิดหลักฟ้า ฝืนหลักธรรม
    3. พวกที่ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่
    4. พวกที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฆ่าเป็นอาชีพ ฆ่าเป็นกีฬา
    5. พวกที่ลักขโมย ปล้นชิง หยิบฉวยทรัพย์สมบัติ สิ่งของของผู้อื่น
    6. พวกที่โกหกมดเท็จ พูดจาหลอกลวงให้คนหลงเชื่อ
    7. พวกที่ประพฤติผิดในกาม มักมากในตัณหาราคะ
    8. พวกที่ชอบดื่มสุรา ยาเมา สูบบุหรี่ หลงใหลสิ่งเสพติดของมอมเมาสติ
    9. พวกที่ไม่ยึดถือศีลธรรม จิตใจขาดหิริโอตตัปปะ ไม่สำนึกละอายใจในการทำชั่ว ไม่เกรงกลัวบาปกรรม
    10. พวกที่ทำลายพระศาสนา บิดเบือนหลักธรรม หลอกลวงเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    11. พวกที่เหยียบย่ำทำลายคัมภีร์หลักธรรม อักษรหนังสือ
    12. พวกที่ใจเหี้ยมโหด เข่นฆ่าเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น เพื่อผลประโยชน์ของตน
    13. พวกที่ทำลายผู้อื่น เพื่อมุ่งผลกำไรและความสุขส่วนตน
    14. พวกที่ค้าขายใช้เล่ห์เหลี่ยม ขูดรีด คดโกงตาชั่ง
    15. พวกที่ค้าขายสินค้าปลอม ยาปลอม หลอกลวงชาวบ้าน
    16. พวกที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายค้าขายเอาเปรียบคนอื่น
    17. พวกที่หาประโยชน์จากผู้อื่นด้วยการหลอกลวง ต้มตุ๋น
    18. พวกที่พูดจาหยาบคาย ชอบทุบตี ด่าว่าบุพพการี ปู่ย่า ตายาย
    19. พวกที่ชอบพูดจาให้ร้ายป้ายสีผู้อื่น
    20. พวกที่อารมณ์ร้าย โมโหโกรธา ด่าว่าคนอื่นไปทั่ว
    21. พวกที่ชอบว่ากล่าว ตำหนิโทษผู้อื่น ด้วยใจอคติไม่เที่ยงธรรม
    22. พวกผู้ชายที่ไม่จริงใจต่อภรรยา พวกผู้หญิงที่ไม่เคารพซื่อสัตย์ต่อสามี
    23. พวกที่ชอบยุแหย่ทำลายชีวิตครอบครัวผู้อื่นให้แตกแยกล่มสลาย
    24. พวกพี่น้องที่ไม่รักใคร่ปรองดองกัน คอยแต่แย่งชิงดี ชิงเด่นฟ้องร้องแย่งชิงทรัพย์มรดก
    25. พวกวงศ์ตระกูลเดียวกัน แต่กลับทะเลาะเบาะแว้งไม่สามัคคีกลมเกลียว
    26. พวกที่ชอบยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่น ฟ้องร้องคดีความ
    27. พวกที่ไม่มีความจริงใจ เป็นคนลวงโลก สวมหน้ากากเข้าหากัน
    28. พวกหน้าเนื้อใจเสือ ภายนอกแต่งกายให้ดูดี แต่ภายในสกปรกโสมม
    29. พวกที่อาศัยอำนาจหน้าที่ ใช้อิทธิพลในทางที่ผิด
    30. พวกที่กดขี่ราษฏร ฉ้อราษฎร์บังหลวง โกงกินบ้านเมือง
    31. พวกที่ชักศึกเข้าบ้าน ล้างผลาญประเทศชาติ เพื่อประโยชน์ของตน
    32. พวกผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี กลับใช้อุบายวางแผนแก่งแย่งชิงกันเป็นใหญ่
    33. พวกที่ชอบประจบสอพลอ พะเน้าพะนอยกย่องเชิดชูรับใช้คนเลว
    34. พวกที่คอยมุ่งร้าย รังแกคนทำงานที่ซื่อสัตว์สุจริต
    35. พวกคนพาลสันดานหยาบ ที่คอยก่อกวนให้ผู้คนเดือนร้อน อยู่ไม่เป็นสุข
    36. พวกคนร่ำรวย แต่ใจร้ายข่มเหงคนยากไร้
    37. พวกที่ชอบยกย่องคนรวย เหยียบย่ำคนจน
    38. พวกที่เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก ไม่อยากช่วยเหลือ
    39. พวกที่พบเห็นคนอยู่ในฐานะลำบาก กลับเมินเฉยแล้งน้ำใจ
    40. พวกที่เห็นผู้อื่นร่ำรวย ก็เกิดความอิจฉาริษยา
    41. พวกที่เห็นผู้อื่นฐานะสูงส่งด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ ก็เกิดความโกรธแค้นชิงชัง
    42. พวกที่มีจิตใจอาฆาตมาดร้าย ใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำสาปแช่งผู้อื่น
    43. พวกที่ร่ำเรียนคาถาอาคมทำร้ายผู้อื่น ทำเสน่ห์ยาแฝดฝังรูป ฝังรอย
    44. พวกที่ชอบฝึกวิชามาร ทำพิธีใช้ภูตผีกลั่นแกล้งทำลายล้างผู้อื่น
    45. พวกที่ชอบเผาป่า ทำลายสุสาน บุกรุกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
    46. พวกที่กินทั้งกินขว้าง ไม่รู้จักพระคุณข้าว น้ำ อาหาร
    47. พวกที่ทุบตีเด็กเล็กไร้เดียงสาด้วยโทสะข่มเหง รังแกเด็กๆ ผู้ที่ไม่สามารถจะช่วยเหลือตนเองได้
    48. พวกที่อกตัญญู ไม่รู้คุณคน
    49. พวกที่ประพฤติตน คิดแบบอย่างชี้นำ สอนให้เด็กอนุชนรุ่นหลังกระทำตามจนต้องกลายเป็นคนเลว ชีวิตไร้แก่นสาร
    50. พวกที่ถือตัวว่าอาวุโส สูงอายุ ใครว่ากล่าวไม่ได้ ทำผิดไม่ยอมรับ ตักเตือนไม่ยอมแก้ไข
    51. พวกอนุชนรุ่นหลัง ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ไม่ยึดหลักคุณสัมพันธ์
    52. พวกที่ไม่พิจารณาสำรวจดูกรรมดี กรรมชั่วของตนเอง
    53. พวกที่เคยตักเตือนให้ทำความดี กลับทุ่มเถียงดื้อด้านไม่ยอมฟัง
    54. พวกที่คอยเสาะแสวงหาแต่ช่องทางกระทำชั่วอยู่ไม่ว่างเว้น

    นี่คือห้าสิบสี่ข้อกรรมชั่ว แต่ละรายควบคุมสอดส่องเก็บกวาดเรียบ มิให้เหลือไว้ในโลกา ส่งเข้าสู่หนทางเปรตเดรัจฉาน ให้เขาเหล่านั้นสูญพันธุ์ทั้งครอบครัว ให้เขาบ้านแตกสาแหรกขาด ให้เขานองเลือด ให้กระดูกพวกเขาเหล่านั้นดั่งพงพี่ มีที่นาไม่มีคนเพาะปลูกไถ มีบ้านให้ผู้อื่นอยู่อาศัย หากเปลี่ยนแปลงแก้ไข ละความชั่ว สร้างความดี เขาจะหายเจ็บป่วย อายุยั่งยืน ดูเหล่าความคิดของเวไนยสัตว์ทั้งหลายรีบเร่งดำเนินปฎิบัติแต่ดีงาม กำหนดสามปีให้ตรวจทั่ว กลับมากราบทูลทันที องค์เง็กเซียนมหาราชทรงทราบ พระองค์ทรงมีพระราชโองการดังนี้

    ข้าฯ จะลงมา ตรวจตระเวนทุกหนทุกแห่ง ควบคุมสอดลส่องละเอียดถี่ถ้วน ข้าฯ จะดำเนินการตัดสินให้เกิดภัยสงครามระลอก- หนึ่ง ให้โรคระบาดอีกบางส่วน ภายในเวลาไม่กี่เดือนทุกหนทุกแห่ง เก็บกวาดคนชั่วร้ายให้หมดสิ้น ต่อให้เจ้าวิง- วอนไหว้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มิตอบสนอง ต่อให้เจ้ากินยารักษาโรคไม่ได้ผล ถึงแม้ตำราเสินหนงยังอยู่. ถึงทานยาดีชั่วก็ต่างกัน คนดีมีคุณธรรม กินยารักษาได้ผล คนชั่วเลวร้ายกินยาแล้วไม่รอด บัดนี้ข้าฯ เห็นเหตุการณ์น่าเวทนา ไม่มีวิธีใดสามารถช่วยเวไนยสัตว์ได้ ต่อให้เจ้าจุดธูปบูชาข้าฯ เสียแรงเปล่าเห็น ข้าฯ เป็นเทพยาดาน่าเคารพ แต่ปัจจุบัน มีทุกข์ ไม่ยอมช่วยเหลือ ใช่ว่าข้าฯ นั้นจะบิดเบือนต่อเบื้องบน ข้าฯ ได้วิงวอนด้วยความรีบเร่งร้อนรน และเบื้องล่างก็กล่าวพูดสัจธรรมตักเตือนให้ได้

    บัดนี้ถึงกาลปลายกัปป์ ภัยพิบัติยุคสุดท้าย ปุถุชนธรรมดาเก้าตายไว้หนึ่งรอด สงครามอาวุธมีดพร้าเกิดขึ้นรอบด้าน โรคระบาดบุกรุกทุกแห่งหน ฟ้าอสุนีบาตฝ่าฟาดดังสนั่นสั่นสะท้าน อุทกภัยไหลหลากท้นท่วมบ้านเมือง วาตะพายุผกผันกวาดไปทุกหนแห่ง ภัยธรรมชาติแห้งแล้ง ชีวิตยากจะอยู่รอด พญามารเคาะประตูยามค่ำคืน โรคระบาดปรากฎในกลางวันประชิดตัว เสือร้ายออกจากป่าเขาจะหลบหนีอย่างไร งูพิษเต็มถนนหนทาง ยากที่จะเดินหนี มีสิบมหันตภัย ยากหลีกหนี เมื่อมหันตภัยสิบได้ผ่านจึงนับว่ายอดคน

    นี่แหละคือสิบมหาภัยอันยิ่งใหญ่ มีเพียงเตือนให้ท่านเปลี่ยนแปลงปรับปรุงในจิตใจ สบโอกาสรีบๆ แก้ไข สำนึกผิดได้ยินได้รู้ เร่งกลับตัว กลับใจโดยทันใด อย่ารอจนภัยพิบัตินั้นมาถึง จะวิงวอนให้ช่วยเหลืออย่างไรก็ไร้ผล สร้างกุศลความดีกันแต่เนิ่นๆ เพื่อหลบหลีกภัยพิบัติ เหล่าเวไนยสัตว์รีบตั้งจิตศรัทธา เคารพกตัญญู ฟ้า บิดา มารดา จงรักภักดีต่อชาติ บ้านเมือง ประชาราษฎร์คนจนจงรู้จักเจียมตัว ผู้มั่งมีจงเร่งรับช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ยากไร้ ผู้เปรื่องปัญญาตักเตือนชี้แนะผู้ด้อยรู้ ให้ได้ผ่านพ้นภัยด้วยกันในโลกีย์ ผู้ไร้บุญบารมีตกลงสู่ทะเลทุกข์ มีบุญสัมพันธ์ ได้พบความสงบสุข

    บัดนี้ ข้าฯ แฝงกายยืมปากท่านไหว้วานบรรดาผู้ที่รู้จักอักษรเขียนถ่ายทอดให้ข้าฯ หนึ่งเล่ม จะปกปักษ์รักษาให้ร่างกายสมบูรณ์ และแข็งแรง เขียนถ่ายทอดให้ข้าฯ สิบเล่ม ทั้งครอบครัวจะพ้นเคราะห์ภยันตราย เขียนถ่ายทอดให้ข้าฯ ร้อยเล่ม จะปกปักษ์รักษาให้อายุยั่งยืน อีกทั้งลาภ วาสนา มีเงินรีบพิมพ์แจกทันทีทันใด จะปกปักษ์รักษาให้ได้เกียรติทั้งยศศักดิ์อันรุ่งโรจน์ หากพบผู้ไม่รู้ตัวอักษร ช่วยบอกต่อให้เขานั้นได้ฟังและเข้าใจ

    ถ้าหากมีคนชั่วร้ายไม่ศรัทธา เคราะห์ภัยจะใกล้ตัวในทันใด จะเกิดปวดเศียรเวียนศีรษะหน้ามืดและตาลาย เจ็ดทวารเลือดไหล ไปเมืองผี ภายในสิบชั่วร้ายนี้ ข้าฯ มิอาจกล้ากล่าวได้ให้ชัดแจ้งคิดจะเผยความลับของสวรรค์ ก็กลัวเบื้องบนจะลงโทษทัณฑ์ หากท่านทั้งหลายไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาว่าไม่จริง ไม่นานภยันตรายจะมาใกล้ตัวท่าน หากชาวโลก ศรัทธาและเชื่อฟัง เบื้องบนอาจทรงโปรดช่วยให้ไม่เกิดภัยพิบัติ

    จงหัวหมินกั๊ว ปีที่ 5 จันทรคติ เดือน 10 คืนขึ้น 10 ค่ำ 3 ชั่วโมง ลงสู่ ณ กู่ซี่ (โกวจิน) หงีเลียงเกาะ สถานธรรมจิบเลียง * หนังสือนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1916 พ.ศ. 2459 รวม 77 ปี

    ที่มา mindcyber.com!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2013
  9. bluejet

    bluejet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +2,181
    สรุปตัวอย่างข่าวภัยธรรมชาติจากทั่วโลกแสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงโดยทั่วไปรอบโลก

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=L0i2aTSZfNk]Signs Of Change The Past Week Or So July 2013 Part 2 - YouTube[/ame]
     
  10. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    19 ก.ค. 56

    บนถนนคนตายนับไม่ถ้วน หนึ่งหมื่นตายเก้าพัน มหันตภัยมาแล้ว พืชพันธุ์ธัญญาหารเก็บเกี่ยวได้ผลน้อย เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง พญานาคดุร้าย เกะกะระรานทั่ว เวไนยสัตว์มีภัย องค์เง็กเซียนมหาราชจึงจัดส่งกวน, เจ้าสองขุนพลลงสู่โลกมนุษย์ และเทพยดาที่สัญจรอยู่เบื้องบน เหนือโลกมนุษย์เพื่อตรวจดูคัมภีร์นี้ หากมีคนชั่วร้ายทั้งหลาย จะให้ข้าวยากหมากแพง พระศรีอาริยเมตไตรยจะปรากฏ กวนเจ้าสองขุนพลสู่แดนมนุษย์ จากปีจอเริ่มต้นด้วยโรคระบาดจนถึงปีกุน ประชาราษฎร์ในเก้าคน จะรอดตายเพียงหนึ่งคน จะเกิดมหันตภัยขึ้น

    23 ธ.ค. 46 2 เทวดาโดดร่ม

    ทางเทวโลกได้ลงมาเก็บกวาด

    เก็บกวาด ฆาตชั่ว ไม่มั่ว
    อย่ากลัว ความผิด ติดตัว
    เป็นเพราะ หน้าที่ ของชัวร์
    ไม่กลัว ปาปบุญ หนุนทำ

    คนดี มีดี ที่ไว้
    คนร้าย เก็บไป เฉพาะที่
    ทุกคน ต้องสร้าง ความดี
    ให้มี เกราะบุญ คุ้มกัน

    เคอิสรา
     
  11. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ลองอ่านความเห็นของคนอื่นบ้างน่ะครับลุงเค ท่าน romancehawk เขียนได้ดีเข้าใจง่ายอ่านปุ๊ปเข้าใจปั๊ปไม่ต้องแปล

     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ประวัติพญายมราช !!!
    (เทวดาที่ทำหน้าที่พิพากษาและปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ)

    [​IMG]

    ตำนานท้าวพญายมราช (พระยม)

    ท้าวพญายมราช หรือ พระยม ในเทวตำนานยุคต้น ท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศทักษิณ กล่าวไว้คือพระยม เป็นองค์เดียวกัน มีลักษณะใบหน้าดุดัน พระวรกายสีแดงทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ พระหัตถ์ขวาถือบ่วงยมบาศก์(บ่วงบาศก์ที่ใช้จับมัดวิญญาณทั้งหลาย) พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้ท้าวยมทัณฑ์ ทรงกระบือเป็นพาหนะ มีอิทธิฤิทธิ์มากทำหน้าที่พิพากษาและปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ มีบริวารคือ ยมฑูต หรือ นายนิรยบาล มีหน้าที่นำวิญญาณทั้งหลายไปยังสำนักพญายม และลงโทษแก่ดวงวิญญาณในนรก

    ซึ่งบริวารท้าวพญายมราชที่คนไทยรู้จักดีมีด้วยกัน ๒ องค์ ได้แก่ พระกาฬไชยศรี และ เจ้าพ่อเจตตคุปต์ ซึ่งมีรูปเคารพอยู่ที่ศาลหลักเมือง ทำหน้าที่จดชื่อและจับวิญญาณชั่วร้ายที่จะมารบกวนบ้านเมือง ท้าว พญายมราช เป็นเทวดาที่มีการกล่าวถึงในตำนานของทุกชาติพันธุ์ภาษา ของทุกวัฒนธรรมทั่วโลก ต่างกันเพียงการเรียกนามที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาษาเท่านั้น ส่วนหน้าที่และอำนาจนั้นมีความคล้ายคลึงกัน ตำนานลัทธิข้างจีนฝ่าย มหายาน กล่าวว่า พญายมเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง

    ตำนานท้าวพญายมราช มีการกล่าวถึงกำเนิดไว้หลากหลาย อาจเป็นเพราะพญายมเป็นตำแหน่งเทวราชผู้ปกครองยมโลก มีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามมติของเทวสภา หรือบารมีที่สั่งสมมาอย่างเหมาะสมทำให้ไปเกิดเป็นท้าวพญายมราช จากเทวตำนานในยุคต้นที่กล่าวว่าท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ พระยม

    ด้วยในยุคต้นที่ยังไม่มีวิญญาณใดที่เหมาะสม ท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ ท้าววิรุฬหก ทรงเป็นเทวกำเนิดจึงต้องรับภาระในตำแหน่งพญายม หรือ พระยม ซึ่งก็มีตำนานได้กล่าวไว้ว่า บริวารของพญายมคือ ยมฑูต ก็ คือกุมภัณฑ์ พวกหนึ่งนั่นเอง แต่เมื่อมีมนุษย์มากขึ้นสั่งสมบารมีหรือมีความเหมาะสมย่อมได้รับการสถาปนา ให้ดำรงตำแหน่ง

    ท้าวพญายมราช องค์ปัจจุบันในอดีตชาติก่อนที่ท่านจะได้รับสถาปนาเป็นท้าวพญายมราชนั้น ท่านเป็นมนุษย์ในครั้งก่อนพุทธกาล ในยุคที่ยังมนุษย์อยู่กันเป็นชุมชนยังไม่ใหญ่นัก ซึ่งท่านเป็นหัวหน้าชุมชนในหมู่บ้านเป็นผู้มีวิชาความรู้ เมื่อเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในชุมชนหมู่บ้านท่านเป็นผู้นำปราบปรามแก้ไข และต้องตัดสินพิพากษา

    ครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันตายในหมู่บ้าน ที่ท่านดูแลอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าเป็นผู้กระทำด้วยเกรงกลัวความผิด เพราะโทษนั้นหนักถึงกับต้องประหารให้ตายตกตามกันคือชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านในฐานะผู้ปกครองดูแลเมื่อสอบสวนแล้วไม่มีผู้ยอมรับผิด จึงได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาเสกแป้งฝุ่นแล้วซัดออกไปก็จะปรากฎรอยเท้า ผู้กระทำผิด

    บันทึกคำทักท้วงการปฏิบัติหน้าที่ ของพญามัจจุราชและคณะ
    ผศ.พระครูสุนทรธรรมโสภณ (วิเชียร ปญฺญาวุฑฺโฒ)
    ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๘


    ความนำ

    ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจ หรือข้อตกลงเบื้องต้นกับผู้อ่านก่อนว่า ผู้เขียนได้เขียนในขณะที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มิได้ละเมอเพ้อฝัน หรือสติฟั่นเฟือนวิกลจริตผิดปกติโดยประการทั้งปวง แต่มีแรงบันดาลใจจากการมรณะภาพของพระอาจารย์มหามังกร ปัญญาวโร แห่งวัดภูหินดัง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ผู้เป็นเสมือนอาจารย์ที่เคยสั่งสอน ให้ข้อคิดเตือนสติในยามที่ผู้เขียนมีแนวคิดและพฤติกรรมเฉไฉออกนอกความถูกต้องดีงาม ท่านเป็นแบบอย่างแห่งจริยะความประพฤติ ท่านเป็นเพื่อนร่วมงาน ที่ทำงานร่วมแล้วมีความอบอุ่นใจ มีความสุขใจ ท่านคอยแนะแนวการทำงานอย่างมีระบบ วางแผนงานอย่างสุขุมรอบคอบ

    มีการติดตามประเมินงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว ท่านเป็นเพื่อนรุ่นพี่ ที่รักและห่วงใยเอื้ออาทรต่อน้อง คอยให้กำลังใจในการทำงานด้วยดีเสมอมา ซึ่งความจริงคุณลักษณะตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ท่านได้ใช้กับเพื่อน กับรุ่นน้องและกับศิษย์ ตลอดทั้งกับประชาชนทุก ๆ คนไม่เพียงผู้เขียนเท่านั้น เมื่อท่านมาด่วนจากไปแบบที่เราไม่คาดคิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้ และเป็นตัวแทนแห่งความรู้สึกนึกคิดของผู้พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่เคารพ และจากสิ่งที่หวงแหนทั้งมวล ฉะนั้นการเขียนคำทักท้วงการปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชในครั้งนี้เป็นเพียงการระบายความรู้สึกนึกคิดอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการเริ่มวิธีคิดแบบทวนกระแส เพื่อสนองกระแสความรู้สึกให้รู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันกับพวกที่ประสบกับความพลัดพรากแล้วชวนกันคิดตามกระแสธรรม ตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา

    บันทึกคำทักท้วงการปฏิบัติหน้าที่

    ข้าแต่พญามัจจุราชผู้เป็นใหญ่ ผู้เป็นเจ้าแห่งความตาย ข้าพเจ้าและคณะ มีความเคลือบแคลงสงสัย ในการปฏิบัติหน้าที่ของท่านและคณะ ต้องการทราบความจริง และขอทราบความกระจ่างชัด ถึงระบบระเบียบ หลักการและเหตุผลในการปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชและคณะ จึงต้องการให้ทบทวนการปฏิบัติหน้าที่เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาหลังจากได้ตริตรองพิจารณาด้วยเหตุและด้วยผล ตรวจสอบสภาพความเป็นจริง ตลอดทั้งเหตุผลความจำเป็นแล้ว จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชและคณะนั้น เสมือนเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไปโดยปราศจากเหตุผลและความจำเป็น ไม่มีความสอดคล้องกับความเป็นจริงของบุคคลและสถานที่

    ข้าพเจ้ามีความสงสัยและขอกล่าวหาว่า พญามัจจุราชและคณะได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการเลือกปฏิบัติ หลายครั้งพวกข้าพเจ้าเหล่ามวลมนุษย์ได้ใคร่ครวญพิจารณารอบคอบแล้วเห็นว่า บางคนยังไม่สมควรที่จะต้องเอาชีวิตเขาไป ท่านพญามัจจุราชกลับส่งทหารและบริวารมาไล่จับไปโดยเร็วและง่ายดาย แต่ขณะเดียวกันมีบางคนที่อยู่อย่างไร้ค่า แถมยังก่อความทุกข์ความเดือดร้อนให้คนอื่น ก่อปัญหาให้กับสังคม ข่มเหงรังแกรีดนาทาเร้นเพื่อนมนุษย์ มีพฤติกรรมที่หลอกลวงต้มตุ๋นเพื่อนมนุษย์ เช่น ครองเพศเป็นพระสงฆ์แต่ความประพฤติเป็นมหาโจรปล้นศรัทธา คอร์รับชั่นความเชื่อของชาวบ้าน เป็นการทุจริตศรัทธาของประชาชน

    บ้างครองเพศเป็นพระแต่จิตใจเป็นยักษ์เป็นมารที่มีแนวโน้มากขึ้นทุกวันในสังคมมนุษย์ อย่างพวกที่ผลิตอาวุธออกมาเข่นฆ่า ยกกำลังทหารพร้อมด้วยอาวุธนานัปการไปยึดครองประเทศอื่น ไปทำลายล้างผู้คน ไปปล้นสะดมทรัพยากรธรรมชาติของประเทศอื่น ไปเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินข่มเหงรังแกสารพัด เข่นฆ่าผู้คนล้มตายไปมามาย พญามัจจุราชกลับเมินเฉยปล่อยให้กลุ่มบุคคลประเภทนั้นลอยนวล พญามัจจุราชให้กฎเกณฑ์เข้าไปดำเนินการในเอาชีวิตของผู้คนอะไร ทำไมไม่ยึดประโยชน์สุขที่จะเกิดแก่มหาชน

    ขณะนี้พวกข้าพเจ้ากำลังรวบรวมหลักฐาน ในการปฏิบัติหน้าที่อันดูเหมือนที่ไร้ซึ่งเหตุผลเหล่านั้น เพื่อดำเนินการประท้วงและให้ทบทวนในการปฏิบัติหน้าที่ หากไม่สามารถชี้แจงเหตุผลให้กระจ่างชัดจนเป็นที่พอใจของพวกข้าพเจ้าเหล่ามนุษย์แล้ว ในขั้นตอนต่อไปจำเป็นต้องดำเนินการยื่นเรื่องเพื่อถอดถอนพญามัจจุราชและคณะ ในฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นการเลือกละเว้นการปฏิบัติ หรือไม่ ขอให้พญามัจจุราชโปรดได้ชี้แจงเหตุผลในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะบางกรณีมาจับในขณะที่ทำงานอันเป็นประโยชน์สุขต่อสังคม บางคนมียศมีตำแหน่งใหญ่โตแล้วใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางมิชอบ ใช้ไปในทางเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์ของผู้อื่น

    บางคนมีกำลังแข็งแรงก็ใช้กำลังที่ตนมีนั้นไปก่อกรรมทำเข็ญ ไปปล้นไปจี้ ไปเบียดเบียนคนอื่นก่อความปั่นป่วนเดือดร้อนให้กับสังคมบ้านเมือง คือ”ประเภทมีชีวิตอยู่ก็วุ่นวาย ตายไปคนก็สมน้ำหน้า” แบบนี้ก็ควรตาย ขอให้พญามัจจุราชทำงานโดยใช้หลักของนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ มองในมิติเหตุที่จะตกกับสังคมโดยรวมเป็นที่ตั้งเพียงอย่างเดียว ดังกรณีต่อไปนี้

    ๑. มาจับไปในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เพื่อมวลมนุษยชาติ ในฐานะเป็นคนของประชาชน ถือได้ว่ากำลังอยู่ระหว่างทำการบำบัดความทุกข์บำรุงสุขทางใจของมนุษย์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และมีความตั้งใจในการทำงาน ตั้งใจในการทำหน้าที่ของความเป็นพุทธบุตร สมตามที่ได้กล่าวปฏิญาณว่าจะมอบกายถวายชีวิต จะยอมเป็นทาสพระพุทธ พระธรรมและสงฆ์ จะกระทำทุกอย่างด้วยความจงรักภักดีต่อพระพุทธ พระธรรมและสงฆ์ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และก็กระทำตามที่ได้กล่าวปฏิญาณไว้อย่างมั่นคงด้วยดีอย่างสม่ำเสมอ

    ๒. บางคนอายุยังน้อย เป็นวัยที่กำลังทำงาน และเป็นการทำงานที่เป็นไปเพื่อความสุขของมหาชน ที่สำคัญเพราะมีพระภิกษุน้อยรูป เป็นบุคคลน้อยคนในสังคมมนุษย์ปัจจุบันที่มีวิธีคิดที่เข้าถึงรากฐานของวัฒนธรรมของความเป็นสงฆ์ คือ ความคิดเพื่อส่วนรวม เพื่อความสุขความเจริญของส่วนรวม นั่นคือวัฒนธรรมของสังคมสงฆ์ เพราะการกระทำที่เป็นไปเพื่อหมู่คณะ เป็นระบบความคิดที่เป็นสังฆะโดยแท้ หรือที่เรียกว่าจิตสาธารณะ คือความรู้สึกที่เห็นคุณค่าของส่วนรวม ทำงานเพื่อความสุขของส่วนรวม

    ๓. บางทีความกระทบกระเทือนทางร่างกายเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่พอแก้ไขเยียวยาได้ คือถ้าเป็นรถ เป็นเรือ หรือเป็นวัตถุก็พอซ่อมได้ ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทุบทิ้งทั้งคัน ทุกทิ้งทั้งร่างกาย เพื่อให้เปลี่ยนสถานภาพทางร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาแบบมักง่ายแบบสุกเอาเผากิน ของพญามัจจุราชและคณะอย่างเห็นชัดเจน

    มาตรการสำหรับปฏิบัติการที่เร่งด่วน

    ๑. ยื่นเรื่องเพื่อประท้วงและให้ทบทวนในการปฏิบัติหน้าที่ และอาจถึงขั้นยื่นเรื่องเพื่อขอถอดถอนพญามัจจุราชและคณะให้พ้นจากตำแหน่ง หากเห็นว่ามีความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นการเลือกละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะพวกเราเหล่ามนุษย์เห็นว่ามีความไม่ชอบมาพากลในการปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชและคณะ

    ๒. หลักการและเหตุผล กฎระเบียบ กฎกติกาที่พญามัจจุราชใช้ดำเนินการในการจัดการกับมนุษย์มาโดยตลอดนั้น เป็นกฎระเบียบที่อาจไม่ทันสมัย ไม่มีความสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของบริบทต่าง ๆ ทางสังคมในยุคปัจจุบัน จึงเห็นสมควรให้มีการทบทวนกฎระเบียบ และระเบียบวิธีการปฏิบัติของพญามัจจุราชและคณะให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง อาจถึงต้องยกเลิกกฎบางข้อที่ไม่ทันสมัย

    ๓. พวกเราเหล่ามนุษย์ต้องเร่งรีบหาวิธีการ จึงได้มีการระดมสมอง(Brain storming) เปิดเวทีแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อหามาตรการในการปฏิบัติร่วมกัน และมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า”จะเร่งรีบดำเนินการ หากเห็นว่ามีสิ่งใดที่ควรกระทำ จะเร่งทำความดี โดยการคิดดี พูดดีและทำดีอย่างเร่งด่วน โดยจะไม่พัดวันประกันพรุ่ง เพื่อมิให้พญามัจจุราชและคณะ เคลื่อนไหว และดำเนินการใด ๆ ได้ทัน พวกข้าพเจ้าจะรีบกระทำก่อนเพื่อมิให้พญามัจจุราชตั้งตัวได้ทัน

    ๔. ตั้งหน่วยเฝ้าระวัง หน่วยนี้ทำหน้าที่เคลื่อนที่เร็วในการเตือนภัย เพื่อให้ความรู้กับเพื่อนมนุษย์ เตือนสติในการเตรียมความพร้อม ในสิ่งที่ทำ คำที่พูด อารมณ์ที่นึกคิด เพื่อให้เหล่าเพื่อนมนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่อย่างผู้ไม่ประมาทในเพศ วัย และฐานะ ให้เป็นผู้มีความรู้ตัวทั่วพร้อมมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา เพราะพญามัจจุราชจะทำงานแบบตรงไปตรงมาแบบไม่เกรงใจใครใด ๆ ทั้งสิ้น

    ๔. ความจริงหน่วยงานหรือองค์กร ตลอดทั้งบุคลากรที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงในการทำหน้าที่เตือนภัย ให้สติกับประชาชน หน่วยงานแรกได้แก่วัดหรือพระสงฆ์ในฐานะผู้นำด้านจิตวิญาณ ประการแกรพระสงฆ์ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ วางตัวให้เหมาะสมกับสมณภาวะแล้วเตือนค่อยให้ประชาชนเป็นผู้มีสติไม่ประมาทในเพศ วัย ฐานะตามด้วย และหน่วยงานและบุคลากรที่ควรทำหน้าที่อันทรงคุณค่านี้ คือสถานศึกษา ข้าราชการ ผู้ซึ่งถือว่ามีการศึกษา อบรมและมีการพัฒนามาดี เพราะโดยหลักแล้วผู้มีการศึกษา ผู้ที่ได้รับการพัฒนามาแล้วต้องเป็นที่ช่วยเหลืออนุเคราะห์คนอื่น ให้เหมือนพี่ต้องช่วยเหลือน้อง

    การศึกษาและการพัฒนาหากสร้างให้เกิดจิตสำนึกอย่างนี้ ถือว่าสุดยอดของการพัฒนา แต่นี้เพราะความผิดพลาดอย่างมหันต์ ในการจัดการศึกษาและการพัฒนา เพราะผู้ที่ได้ชื่อว่ามีการศึกษาและมีการพัฒนากลายเป็นผู้ที่ก่อปัญหา ก่อความเดือดร้อนให้สังคมเสียเอง ประเด็นนี้ จึงเป็นเด็นทีท้าทายความรู้ความสามารถของหน่วยเฝ้าระวังเตือนภัยให้สติเป็นอย่างมาก

    กฎแห่งความเป็นจริง

    ความจริงคำว่า “พญามัจจุราช”นั้นเป็นเพียงคำศัพท์ที่ใช้แทนกฎธรรมชาติ ที่ใช้แทนกฎแห่งความตายของสรรพชีวิต ในบรรดาชาวพุทธทั้งหลายคงคุ้นเคยกับคำสอนที่เกี่ยวกับความตาย เป็นต้นว่า ”ความเป็นมันไม่ยั่งยืน ความตายมันยั่งยืน เราต้องตายเป็นแท้ ความเป็นของเรามีความตายเป็นที่สุด และความเป็นของเราไม่เที่ยง แต่ความตายของเรามันเที่ยง” เหล่านี้เป็นต้น

    พระพุทธศาสนาสอนให้รู้เท่าทันกับความเป็นจริง ให้เผชิญกับความเป็นจริงตามที่มันเป็น โดยเฉพาะความจริงที่เกี่ยวกับความตาย เพราะความตายไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีนิมิต ไม่ลางบอกเหตุใด ๆทั้งสิ้น และกฎอันนี้เป็นกฎที่ให้ความยุติธรรมแก่ทุกคนในโลกนี้อย่างเท่าเทียมกัน

    อย่างพระพุทธองค์สอนให้อยู่กับความไม่ประมาททุกลมหายใจ พระองค์สอนระลึกถึงความตายทุกๆ วินาที สอนให้เผชิญกับความตาย ในฐานะที่ความตายเป็นกฎความจริงอย่างหนึ่ง เพราะหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาสอนให้รู้เท่าทันกับความจริง ตามสภาพของสิ่งนั้นเป็น เมื่อเรามาเกิดอยู่ในโลกนี้ เมื่อความจริงของโลกนี้เป็นอย่างนี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือมาศึกษาโลกนี้ให้รู้ความจริง ตามสภาพที่โลกเป็น

    มองความตายสองมิติ

    ประการแรก มองความตายที่สิ้นสูญ คือหมดไปสิ้นไป ในฐานะที่มนุษย์ปุถุชน คนหนาด้วยกิเลส จิตใจยังไปด้วยความรัก ความโลภ ความโกรธและความหลง ยังมีความดีใจ เสียใจ ยังอ่อนไหวไปตามกระแสของอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ กล่าวคือยังออกไหวไปตาม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ หากพูดง่าย ๆ แบบฟังแล้วเข้าใจง่าย ๆ ในฐานะที่กำลังโดนคลื่นของโลกธรรม พัดพาไป แล้วจมปลักลงในห้วงลึกแห่งอวิชชา คือ ความไม่รู้ พระพุทธศาสนาจึงสอนให้เกิดความรู้ ตามหลักของไตรสิกขา คือศีล สมาธิและปัญญา

    ความตายในมิติของความสิ้นสูญ ความหมดไปสิ้นไปนี้ หากคิดตามแล้วเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะไม่สามารถรอดพ้นจากความตายไปได้ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ๆ จะขึ้นเขาลงห้วย ใต้พื้นน้ำ ใต้พื้นดิน เข้าหลบในถ้ำและหุบเขา แม้จะไปหลบซ่อนบนฟากฟ้าเวหาหาว ไม่มีทางหลบได้โดยประการทั้งปวง นี้มองในมิติด้านสถานที่ ต่อมามองในด้านฐานะเพศ ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่อาจมีข้อยกเว้น กฎนี้ให้สิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิให้เหนื่อยเปล่า หวังว่านักสิทธิมนุษยชนคงมีความพึงพอใจกับกฎอันนี้ ส่วนวิธีการปฏิบัติต่อผู้ตายนั้นเอาไว้พูดกันในโอกาสอื่น อย่างอยู่ในเพศสมณะนักบวช นักพรต เป็นพระ เถน เณร ชี ก็อย่างนึกว่าตนจะรอดพ้นจากความตายได้ แม้ที่สุดเป็นเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ก็ตกอยู่ภายใต้กฎอันเดียวกันนี้อย่างเท่าเทียมกัน

    เมื่อมองในฐานะเพศไปแล้ว ตอนนี้มามองต่อ ในฐานะวัย เช่น วัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยทำงาน วัยเฒ่าแก่ ชรา ก็ตายให้เห็นในทุก ๆ วัย ขอร้องไว้ไม่ได้ จะจ่ายสินบาทคาดสินบนไม่ได้ เช่น จะไปขอร้องว่า ลูกกระผมยังเล็ก ยังอายุน้อย ขอร้องเถิดเจ้าข้า อย่าพึ่งให้ตายเลย ไม่ได้ผล หรือขอร้องว่าท่านแก่ชราแล้ว ปล่อยท่านเถิดอย่ามารบกวนท่านเลย ท่านเป็นแม่เป็นพ่อคนเดียวของกระผม ของดิฉัน เคารพรักท่านมาก ขอไว้หน่อยเถิด อย่าให้ท่านต้องตายเลย ก็ไม่เป็นผล คือขอไว้ไม่ได้ ดังคำกลอนบทหนึ่ง ที่พระอาจารย์มหามังกร ปัญญาวโร ได้ประพันธ์ไว้ ความว่า

    แก่เจ็บตาย คนทั้งหลาย จะต้องพบ
    จะหลีกหลบ ซ่อนเร้น เป็นไร้ผล
    จะแสนสวย มั่งมี หรือยากจน
    ในที่สุด ทุกคน จะต้องตาย

    ความแตกต่างมนุษย์จึงไม่ได้อยู่ที่ตายหรือไม่ตาย หากแต่อยู่ที่ตายแบบไหน ตายแล้วเหลืออะไรไว้ เป็นอนุสรณ์แก่ชาวโลก หรือจะตายแบบเขาสมน้ำหน้า สาธุการหรือตายแบบคนเขาอาลัยหา ตายแบบคนเขาระลึกถึงคุณความดี นำเอาข้อคิดคำสอนมาเป็นเครื่องเตือนสติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต คือจะต้องตายทั้งทีต้องตายแบบมีดีเหลือไว้

    วัวควายเอย เจ้าต่ำซ้ำ เป็นสัตว์
    คราวิบัติ เนื้อเขาหนัง ยังขายได้
    แต่มนุษย์ เมื่อวิบัติ คือตายไป
    เอาไปขาย ครึ่งสตางค์ ยังว่าแพง

    ตามตลาดเราเห็นแต่เขาขายเนื้อสัตว์ เนื้อปลา ขายหนังสัตว์ ขนสัตว์ แต่ไม่เคยมีที่ไหนเขาเอาเนื้อนางสาวไทย นางสาวจักรวาฬที่ตายแล้วไปวางขายตามตลาด ว่านี้เนื้อสันนางไทย เนื้อสันนางสาวจักรวาฬเมื่อ พ.ศ.นั้น พ.ศ.นี่ ขายในราคาย่อมเยา หรือโฆษณาว่า นี้เนื้อนางสาวไทยแดดเดียว เนื้อนางสาวจักรวาฬแดดเดียวช่วยซื้อหน่อย แม้มีคนขาย ก็คงไม่มีคนซื้อแน่นอน ไม่เชื่อก็ลองดู ผู้เขียนคนหนึ่งละไม่ขอเล่นด้วย เพราะคุณค่าของความเป็นคนอยู่ที่คุณความดี อยู่ที่คุณประโยชน์ที่ได้สร้างสมไว้ด้วยการกระทำทางกาย ทางวาจาและทางจิตใจ ประเด็นนี้มีความสำคัญ จึงอยากฝากไว้ให้เป็นข้อคิด

    ประการที่สอง มองความตายที่ก่อให้เกิดความสร้างเสริม คือสร้างสติปัญญาที่รู้เท่าทันกับความเป็นจริงตามที่มันเป็น เพราะความจริงตามที่เป็นอยู่ คือ มันตายแบบไม่เลือกเพศ วัย ฐานะ และกาลเวลา จากประเด็นนี้เราต้องดำเนินชีวิตโดยความประมาท ต้องเป็นคนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา คือสร้างเสริมความเป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะ คือรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะวินาที และต้องเร่งรีบทำความดีแบบไม่พัดวันประกันพรุ่ง

    รีบทำแบบไม่ให้ความตายขยับทัน แบบไม่ให้ความรู้ตัวทัน พอทำดีทางใดได้ต้องรีบทำก่อนทันที เช่น คิดดี พูดดี ทำดี เพราะความตายมันไม่มีในพรรษา นอกพรรษา ไม่หน้าร้อน หน้าฝน และหน้าหนาว อย่ารีรอเป็นอันขาด เพราะการมัวรีรอเป็นความประมาทอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อรู้และคิดได้อย่างนี้ จึงได้ชื่อว่ามองความตายแบบสร้างเสริม คือ สร้างเสริมสติปัญญา สร้างความรู้เท่าทันกับกฎแห่งความเป็นจริงหรือกฎธรรมชาติ(Nature Law ) เราในฐานะเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องอยู่ใต้กฎของธรรมชาติ ประเด็นสำคัญเราต้องรู้ต้องเข้าใจในกฎธรรมชาติ และปฏิบัติต่อกฎธรรมชาติตลอดทั้งการท่าทีความรู้สึกต่อกฎธรรมชาติอย่างถูกต้องเหมาะสม

    สรุป

    ที่ผู้เขียนได้เสนอมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเสนอความเห็นแทนความรู้สึกผู้พลัดพรากที่กำลังประสบกับความโศกเศร้าเหงาซึม อย่างน้อยแนวคิดของผู้เขียนอาจเป็นเพื่อนในยามเศร้า ของผู้ที่ตกอยู่ในกระแสของความโศกซึมได้ เพื่อจะทุเลาความโศกซึมไปบ้าง แต่ที่สุดผู้เขียนพยามชี้ให้คิดถึงหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงสอนถึงหลักความจริง สอนให้เข้าใจถึงกฎธรรมชาติที่ไม่มีข้อยกเว้นในเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ เพศ วัยและฐานะใด ๆ โดยประการทั้งปวง และพระองค์ตรัสสอนมิให้ตั้งอยู่ในความประมาท ให้ดำรงตนและดำเนินชีวิตอย่างมีสติตลอดเวลา และตำหนิผู้ที่ประมาทว่าเสมือนหนึ่งเป็นคนที่ตายแล้ว

    ดังนั้นขอท่านผู้อ่านโปรดเรียนรู้เข้าใจในความเป็นจริงตามธรรมชาติ เรียนรู้ตนเองให้เข้าใจตนเอง เตือนตนด้วยตนเอง เอาชนะตนด้วยตนเอง แล้วเป็นที่ตนด้วยตนเอง ดำรงตนอยู่อย่างอิสระ โดยปราศจากการครอบงำของความโลภ ความโกรธและความหลง มีความเจริญรุ่งโรจน์ด้วยสติปัญญา แล้วจะเป็นผู้ที่ดำรงชีวิต และดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ในเพศ ไม่ว่าเพศหญิงและเพศชาย ไม่ประมาทในวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาว เฒ่าแก่ ไม่มาทในฐานะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวย ยากจนเข็ญใจ มีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหนในที่สุดก็จะตกอยู่ในกฎแห่งความเป็นจริงตามธรรมชาติที่กล่าวมาแล้วเช่นกันทุก ๆ คน ขอท่านผู้อ่านทั้งหลายโปรดได้สังวรระวังตนเองให้มีสติ อย่าลืมพระราชดำริ ของพระพุทธองค์ทรงเตือนก่อนที่พระองค์จะปรินิพพานเพียงอึดใจเดียวว่า “ ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” นี่คือคำเตือนของบรมครูที่ทรงเตือนด้วยความเมตตา

    กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีชายชราคนหนึ่งต้องต่อสู้กับความยากลำบากมา ตั้งแต่หนุ่มจนแก่วันหนึ่งเข้าไปตัดฟืนในป่าเพื่อนำไปขายในเมืองเป็นการยัง ชีพระหว่างทางรู้สึกหนักและเหน็ดเหนื่อยเหลือกำลัง เกิดความน้อยใจในโชคชะตาตนเองที่ต้องต่อสู้กับความยากจนมาเป็นเนิ่นนาน ชายชราจึงโยนมัดฟืนลงจากบ่าของตนพร้อมตะโกนด้วยเสียงอันแหบแห้ง “ข้าแต่พญามัจจุราช โปรดมาเอาชีวิตอันไร้ค่านี้ไปเสียที ข้าไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว ”เมื่อตะกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ ข้าฟังไม่ถนัด” พญามัจจุราชปรากฎกายขึ้นแล้วย้อนถามชายชรา “อ้อ..ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแต่อยากหาคนช่วยยกมัดฟืนใส่บ่าให้หน่อยเท่านั้น” กล่าวจบชายชราก็รีบแบกมัดฟื้นเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: คำพูดกับความจริงที่มนุษย์ต้องการนั้น อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน โดยเฉพาะคำว่าอยากตายกับความอยากจะตายจริงๆ นั้น ยิ่งเป็นละเรื่องกันเลยทีเดียว

    Posted by ซัลฟา , ผู้อ่าน : 12,971 คน , เวลา 05:09:06 น.

    ที่มา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2013
  13. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    ว่ากันเป็นเรื่องเป็นราว นี่เคยได้เจอท่านปู่กันมั่งหรือยังนี่
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    จีนส่งเรือตรวจการป้วนเปี้ยนใกล้หมู่เกาะพิพาทกับญี่ปุ่นอีก

    [​IMG]

    จีนส่งเรือเข้ามาป้วนเปี้ยนในน่านน้ำรอบหมู่เกาะพิพาท เซนกากุ หรือเตียวหยู ในทะเลจีนตะวันออกอีกวันนี้ หนึ่งวันหลังจากนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยยามฝั่งบนเกาะโอกินาวา

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ว่า หน่วยยามฝั่งของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า พบเรือรัฐบาลจีน 3 ลำ ลอยลำอยู่ในน่านน้ำรอบเกาะศูนย์กลางพิพาทวันนี้ หนึ่งวันหลังจากนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยยามฝั่ง ซึ่งลาดตระเวนอยู่ในพื้นที่พิพาทดังกล่าว โดยเรือตรวจการทางทะเลของจีน เข้าสู่พื้นที่ 12 ไมล์ทะเล ซึ่งถือเป็นน่านน้ำในอาณาบริเวณของหมู่เกาะ “เซนกากุ” ในทะเลจีนตะวันออก เมื่อเวลา 9.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับ 07.30 น. ตามเวลาในไทย จีนเองเรียกเกาะแห่งนี้ว่า “เตียวหยู” และอ้างสิทธิ์ครอบครองเหมือนกัน

    นายอาเบะเดินทางเยือนเมืองอิชิกากิ บนเกาะโอกินาวา ซึ่งเป็นเกาะห่างไกลในทะเลจีนตะวันออก ห่างจากกรุงโตเกียว เมืองหลวงญี่ปุ่น ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 2,000 กิโลเมตร การเดินทางเยือนครั้งนี้ มีขึ้นไม่กี่วันก่อนการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวนครึ่งหนึ่ง ซึ่งนักสังเกตการณ์คาดการณ์ว่า พรรครัฐบาลของนายอาเบะ เป็นตัวเก็งชนะเลือกตั้ง

    ทั้งนี้ ความขัดแย้งยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องระหว่าง 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ในเอเชีย โดยจีนมักส่งเรือของรัฐบาลเข้าไปในน่านน้ำรอบหมู่เกาะดังกล่าว ซึ่งญี่ปุ่นควบคุมอยู่ เป็นประจำ

    เดลินิวส์ วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม 2556 เวลา 18:10 น.

    ที่มา จีนส่งเรือตรวจการป้วนเปี้ยนใกล้หมู่เกาะพิพาทกับญี่ปุ่นอีก | เดลินิวส์

    ยูเออีพบผู้ป่วยไวรัสคล้ายซาร์สอีก 4 ราย

    [​IMG]

    เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ยูเออี)เผยพบผู้ป่วยรายใหม่ด้วยโรคไวรัสคล้ายซาร์สอีก 4 รายหลังพบการแพร่ระบาดอย่างหนักในประเทศเพื่อนบ้านอย่างซาอุดีอาระเบีย

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ว่า สำนักข่าวดับเบิลยูเอเอ็ม ของทางการยูเออีรายงานการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขว่า พบผู้ป่วยรายใหม่อีก 4 รายสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสคล้ายซาร์ส ทำให้ต้องเร่งดำเนินการสอบสวนหาสาเหตุการแพร่ระบาด ซึ่งคร่าชีวิตผู้ป่วยติดเชื้อไปแล้วกว่า 40 ราย นับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อนบ้านของยูเออี

    รายงานข่าวระบุต่อไปว่า ผู้ป่วยรายหนึ่งได้แพร่เชื้อไปติดคนอื่นๆอีก 4 ราย แต่ทางการก็ยังไม่มีแผนที่จะจำกัดหรือควบคุมการเดินทาง หรือแม้แต่เพิ่มการตรวจตรา

    ไวรัสตัวนี้เกี่ยวข้องกับไวรัสซาร์ส หรือ โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ซึ่งระบาดและคร่าชีวิตผู้คนไป 800 รายทั่วโลกเมื่อปี 2546

    เดลินิวส์ วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2556 เวลา 19:46 น.

    อังกฤษยกระดับเตือนภัยคลื่นความร้อน

    [​IMG]

    อังกฤษยกระดับเตือนภัยคลื่นความร้อนพื้นที่ฝั่งตะวันตกของประเทศ หลังอุณหภูมิคงที่ในระดับเกิน 30 องศาเซลเซียสต่อเนื่องเกือบ 1 สัปดาห์ ทำให้มีผู้ล้มป่วยหลายพันคนแล้ว

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ว่า ทางการอังกฤษประกาศยกระดับเตือนภัยคลื่นความร้อนพื้นที่ฝั่งตะวันตกของประเทศ หลังอุณหภูมิคงที่ในระดับเกิน 30 องศาเซลเซียสต่อเนื่องเกือบ 1 สัปดาห์ ทำให้ประชาชนล้มป่วยแล้วหลายพันคน

    รายงานโดยสำนักงานอุตุนิยมวิทยาอังกฤษ ( เม็ต ) ระบุว่า วันพุธที่ 17 ก.ค. เป็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบปี โดยจุดที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดอยู่ที่เขตแฮมป์ตัน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน 32.2 องศาเซลเซียส ทำให้เม็ตยกระดับการเตือนภัยคลื่นความร้อนฝั่งตะวันตกและตะวันตกตอนกลางขึ้นเป็นระดับ 3 ที่จะใช้ประกาศใช้เมื่ออุณหภูมิสูงเกินระดับมาตรฐานนานกว่า 24 ชั่วโมง เนื่องจากในปีนี้อุณหภูมิในหลายพื้นที่สูงเกิน 30 องศาเซลเซียสนานต่อเนื่อง 6 วันแล้ว

    อย่างไรก็ตาม เม็ตยังคงระดับเตือนภัยคลื่นความร้อนในพื้นที่ฝั่งตะวันออกและตะวันออกตอนกลางของประเทศ เอาไว้ที่ระดับ 2 เนื่องจากมีแนวโน้ม 60 % ที่อุณหภูมิเฉลี่ยในบริเวณนี้จะสูงต่อเนื่องนานกว่า 1 วัน

    ขณะที่หน่วยรถพยาบาลในโครงการบริการสุขภาพแห่งชาติ ( เอ็นเอชเอส ) ทางฝั่งตะวันออกเฉีนงเหนือ เผยสถิติการได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากอาการป่วยซึ่งเกิดจากสภาพอากาศร้อนจัด เฉลี่ยวันละราว 1,250 สาย มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้วเกือบ 2 เท่า ส่วนหน่วยรถพยาบาลเอ็นเอชเอสประจำกรุงลอนดอนรายงานว่า ได้รับโทรศัพท์เฉลี่ยแล้ววันละกว่า 5,500 สาย เพิ่มขึ้นราว 1,000 สายจากเมื่อปีที่แล้ว

    ด้านกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษออกประกาศแนะนำให้ประชาชนพยายามดื่มน้ำอย่างต่อเนื่องทั้งวัน เพื่อรักษาสมดุลของร่ายกาย เนื่องจากมีการพยากรณ์ว่า อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อยในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในสัปดาห์หน้า ทำให้มีแนวโน้มจะทำให้สภาพอากาศแปรปรวน และเกิดฝนตกฟ้าคะนอง เสี่ยงที่จะทำให้มีผู้ล้มป่วยมากขึ้นอีก

    เดลินิวส์ วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2556 เวลา 13:02 น.

    ที่มา เดลินิวส์ | อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์
     
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    บัดนี้เป็นการร่อนตะแกรงฟ้าครั้งสุดท้าย !!!

    [​IMG]

    พระพุทธะจี้กงประทับทิพย์ญาณเมตตาว่า..

    กับสุดท้ายกาลจวนเจียน เจ้ากรรมนายเวรติดตามทวงหนี้ ต่างก็รอบุญกุศลและให้โอกาสแล้วมาร้อยกว่าปี แต่มาบัดนี้ไม่มีใครสร้างบุญกุศลชดใช้ ไม่ตั้งใจปฏิบัติบำเพ็ญ เจ้ากรรมนายเวรได้กราบทูลร้องขอความเป็นธรรมต่อพระแม่องค์ธรรม พระแม่องค์ธรรมได้ตรวจสอบดูก็เป็นเช่นนี้จริง จึงบัญชาอนุญาติให้เจ้ากรรมนายเวร ติดตามทวงหนี้ประชิดตัวได้อย่างเต็มที่ได้ทุกเวลาทุกวินาที ไม่ต้องมีการต่อรองเวรกรรมกับพระวิสุทธิอาจารย์เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

    ใครมีหนี้กับใครก้จัดการทวงหนี้เลยได้ทันที (เก็บคนชั่วไม่บำเพ็ญ) เนื่องจากคนก่อกรรมทำชั่วไว้มากมาย ถึงแม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายต่างก็ลงมาโปรดกล่อมเกลาส่งเสริม หลายต่อหลายครั้ง แต่เวไนยก็ยังหลงไม่รู้ตื่น สร้างบาปมากมาย อีกที้งยังไม่สร้างบุญกุศลบรรลุปณิธาน ศิษย์อย่าได้ชะล่าใจจะไม่ทันกาล ตอนนี้ต้องเร่งรับส่งเสริมนำพาเวไนยปฏิบัติงานธรรม เน้นที่สุดส่งเสริมคนทั้งหลายเร่งปฏิบัติบำเพ็ญจริง ทุกๆขณะเวลาให้เห็นงานอริยสำคัญกว่างานอื่นใด

    บัดนี้เป็นการร่อนตะแกรงฟ้าครั้งสุดท้าย ภัยพิบัติครั้งนี้มีเพียงแต่ผู้บำเพ็ญมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมจริงจะมีชีวิตรอด (20%) และจะเป็นผู้เก็บศพเวไนย ภัยจะเกิดทุกวัน ให้ระวังทุกขณะ สิ่งใดที่มนุษย์สร้างขึ้นใหม่ก็จะกลับคืนสู่ธรรมชาติ สิ่งใดมาจากทะเลกลับคืนสู่ทะเล อาจจะมีบางประเทศหายไป ภัยรอบตัวหน้าหลังซ้ายขวา

    ศิษย์มั่นคงพร้อมไม่กลัว ต้องสำนึกด้วยใจจริงแม้ และจากนี้ไป การบำเพ็ญธรรมจะยากลำบากขึ้น ของตั้งใจให้ดี ศิษย์เอ๋ยบัดนี้พระอาจารย์ไม่สามารถแบกรับหนี้กรรมให้ลูกศิษย์ได้อีกแล้ว โอกาสสุดท้ายแล้วในครั้งนี้มุ่งมั่นทำงานธรรม เร่งรีบสร้างบุญกุศลบรรลุปณิธาน มุ่งมั่นทำงานฟ้า ฟ้าไม่ทอดทิ้ง ละทิ้งอัตตากิเลสวางส่งเสริมงานธรรม

    พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ พุทธสถานเฉิงเต๋อ ประเทศมาเลเซีย วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ.2548

    ที่มา mindcyber.com!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    การเตรียมตัว เตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว

    1. เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3 - 6 เดือน
    2. เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย
    ได้แก่เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำร้อน ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
    3. เครื่องใช้ที่จำเป็น
    4. ที่อยู่อาศัย
    5. ยารักษาโรค
    6. ด่างทับทิมและคาราไมล์ (จำเป็นมาก)
    ห้ามกินอาหารที่ไม่ได้ล้างด้วยด่างทับทิม เพราะจะมีทั้งเชื้อโรคและสารกัมมันตรังสี
    ส่วนคาราไมล์ จะมีไว้รักษาโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมล์แล้ว จะหายได้อย่างน่าอัศจรรย์
    7. ยานพาหนะ เช่น เรือ เสื้อชูชีพ
    8. เครื่องช่วยชีวิต
    9. แสงสว่าง เช่นเทียน ตะเกียงพายุ (เวลานั้น ท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน เท่ากับ 1 ราตรี และจะมืดมิดรวม 7 ราตรี หรือ 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก)
    10. เตรียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

    การดูแลตัวเองในช่วงเวลาวิกฤติ

    1. ห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด ใครมาเคาะประตูบ้านก็ห้ามเปิด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นญาติสนิท หรือคนที่เรารู้จักก็ตาม
    2. ห้ามตากฝน เพราะในฝนจะมีพิษ ทั้งเชื้อโรค สารเคมีที่มนุษย์สร้าง
    3. ห้ามลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องใช้ด่างทับทิมล้างทุกครั้ง
    4. ห้ามเปิดประตูต้อนรับผู้อื่น เพราะช่วงเวลานั้น ประตูมิติของโลกทั้ง 3 ภพจะถูกเปิดเป็นครั้งแรก ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องผีสาง จิตวิญญาณก็จะได้เห็น คนที่มาเยือน อาจเป็นผีเปรต ผีโขมด ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราจำแลงมาก็เป็นได้ และห้ามอยากรู้อยากเห็นโดยเด็ดขาด
    5. ห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด
    6. ห้ามกินผักที่ยังไม่ได้แช่ด่างทับทิม
    7. ฝึกการกินน้อย ถ่ายน้อย
    8. ระวังอากาศที่หนาวเย็น
    9. ระวังสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษ เช่น งูพิษ จระเข้
    10. ห้ามอยู่ตึกสูงเกิน 3 ชั้น เพราะตึกสูงเกิน 3 ชั้น จะพังทลายราบเป็นหน้ากลอง

    ขออนุญาติลอกส่วนหนึ่งจากโพสต์ที่อยู่หน้าแรกนะคะ
    ถ้าคนเราต้องเตรียมตัวเพื่อการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมตามที่คัดลอกมาข้างบนนั้นจริงๆ
    มันน่าจะบ่งบอกถึงความนัยอะไรหรือไม่
    - เราต้องเตรียม อาหาร และ น้ำดื่ม ไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3 - 6 เดือน (ยังไม่ได้กล่าวถึงน้ำใช้)
    - เตรียมเครื่องนุ่งห่ม กระเป๋าน้ำร้อน ไว้รับมืออากาศหนาวระดับยะเยือกจับขั้วหัวใจ
    - ท้องฟ้าจะมืดมิด เป็นเวลา 49 วัน
    - อยู่ตึกสูงกว่า 3 ชั้นไม่ได้ ตึกสูงจะพังถล่ม
    - น้ำ นอกบ้านใช้ไม่ได้ ฝนก็โดนไม่ได้ เพราะเป็นพิษจากเชื้อโรคและสารเคมี
    - ออกนอกบ้านไม่ได้ เพราะน้ำและฝนเป็นพิษ ภูติผีปิศาจรอทำร้ายอยู่
    ถ้าต้องเป็นอย่างข้างต้นนี้จริงๆ
    ลำพังแต่ละบ้านเตรียมกันเอง ตัวใครตัวมัน เตรียมกันไหวไหมจะไปกันรอดไหม
    นึกถึง 1 ครอบครัวในปัจจุบัน มีสามี 1, ภรรยา 1, ลูก 1 - 2 ตีว่า 4 คน
    บางบ้านคุณแม่ คุณพ่อ ยังอยู่ไม่รู้หละจะของฝ่าย ภรรยาหรือสามีก็เหอะ สมมุติเพิ่มอีก 2 คน สรุปแล้ว ครอบครัวหนึ่งๆ จะมีสมาชิก 4 - 6 คน
    ปัญหาที่ 1 จะเตรียมอาหารอะไร จำนวนเท่าไหร่ ให้พอเพียงสำหรับคน 4 - 6 คน เพื่อดำรงชีวิตให้ได้ 3 - 6 เดือน ?
    ปัญหาที่ 2 อาหารอะไรที่จะไม่บูด ไม่เน่า ไม่เสีย ในระยะเวลา 3 - 6 เดือนนี้ที่ออกไปไหนไม่ได้ หามาเพิ่มอีกห็ไม่มี
    ปัญหาที่ 3 จะหาภาชนะ อุปกรณ์ อะไรมาใส่มาตุน น้ำดื่ม และ อาหารจำนวนนี้
    ปัญหาที่ 4 จะเก็บ น้ำดื่ม และ อาหาร ไว้ส่วนไหนของบ้านให้พ้นจาก การปนเปื้อนจากภายนอกและไม่โดน มด หนู แมลงสาป มากัดกิน
    ปัญหาที่ 5 พื้นที่ในบ้านจะพอไหมสำหรับการจัดเก็บ น้ำดื่มและอาหาร ที่สะสมตุนไว้นี้
    ห้าปัญหาข้างต้นนี้เป็นปัญหาแค่ของ อาหารและน้ำดื่ม เท่านั้น ยังไม่ได้รวมไปถึงน้ำจะใช้นะ
    อากาศก็เย็นยะเยือก มืดก็มืด บ้านก็เปิดไม่ได้ก็คงต้องปิดทั้งประตูหน้าต่างกันภูติผีปิศาจ
    ต้องต้มน้ำร้อนใส่กระเป๋าน้ำร้อน จุดเทียนหรือตะเกียงเจ้าพายุ
    ปัญหาที่ 6 จะเก็บเชื้อเพลิงไว้มากน้อยแค่ไหน สำหรับหุงต้มอาหาร น้ำร้อน และตะเกียงเจ้าพายุ
    ปัญหาที่ 7 อากาศจะพอหายใจไหม บ้านก็ต้องปิดมิดชิด ไฟฟ้าดับหมดก็ต้องใช้เตาแก๊สหรือเตาถ่าน ไฟเทียนไฟตะเกียงอีก การเผาไหม้คือการใช้อ็อกซิเจนให้หมดไปสิ้นไป ข้างนอกมืดมิด 49 วัน พืชไม่ได้สังเคราะห์แสงก็ไม่มีอ็อกซิเจนถูกผลิตมาเพิ่มอีก
    ปัญหาที่ 8 ถ้าลูกเป็นเด็กทารก ถึงไม่เกินชั้นประถมต้นละ ผู้ที่ต้องจัดการดูแลภาระต่างๆก็มีแค่สามี ภรรยาเท่านั้น สมมุติ แม่ พ่อ แก่มากและป่วยอีก
    นี่พิจารณาแค่ไม่กี่ปัจจัย ก็เจอปัญหาไป 8 ข้อและไม่ใช่ปัญหาเล็กๆสิวๆ

    จะแก้ปัญหากันยังไงดี เพื่อให้อยู่รอดให้ได้
    มันมีนัยว่า มนุษย์นั้นถ้าแยกกันอยู่โดยลำพังครอบครัวใครครอบครัวมัน ตัวใครตัวมัน ไปไม่รอดใช่ไหม
    ฉะนั้น จะรอดได้มนุษย์ต้องร่วมมือกัน รวมเป็นกลุ่มก้อน แต่รวมแบบร่อมมือร่วมใจเอื้ออารี ต่อกันใช่หรือไม่ ???
    จะมีสักกี่ครอบครัวละที่แก้ปัญหาต่างๆข้างต้นได้ตามลำพังโดยไม่ต้องพึ่งใครอื่นเลย
    ฉะนั้น มนุษย์ต้องรักใคร่ เอื้ออารี มีคุณธรรมต่อกัน ไม่เห็นแก่ตัว จึงจะเตรียมการเพื่อการอยู่รอดดังกล่าวได้ ครอบครัวที่มีแต่ คอนโดมิเนี่ยมไม่มีบ้านเดี่ยว ละ คนที่ต้องเช่าหอพักเช่าห้องเช่าอยู่ ละ แล้วเกิดไม่มีญาติที่มีบ้านและที่ดินกว้างใหญ่พอละ
    เท่าที่มองส่วนตัว ถ้าต่างคนต่างเตรียมเพื่อครอบครัวตัวใครตัวมัน ไปไม่รอด
    แล้วพอมันเกิดภาวะอดอยากขาดแคลนขึ้นมาจริงๆ คิดว่าจะมีการออกปล้นสะดมภ์กันไหม ต่างคนต่างอยู่จะรอดไหม

    ถ้าใครพอจำวิชาประวัติศาสตร์ได้ กรุงศรีอยุธยาโดยพม่าข้าศึกล้อมก่อนเสียกรุงครั้งที่สองเป็นเวลาแรมเดือน ออกนอกกรุงไม่ได้พม่าดักฆ่าหมดยกเว้นเล็ดลอดไปได้ ออกไปทำนาก็ไม่ได้ กรณีนี้น้ำไม่เป็นพิษมีสารปนเปื้อนนะ ท้องฟ้าก็ไม่มืดมิด 49 วัน มีการเตรียมการกักตุนเสบียงไว้รับมือการล้องกรุงของพม่าด้วย ยังอดอยากลำบากกันขนาดต้องมีการปล้นกันเองบ้างหนีไปหาพม่าบ้าง แล้วกรุงก็แตกเพราะความเห็นแก่ตัวไม่รักไม่สามัคคีอารีต่อกัน

    ฉะนั้นในกรณีอย่างนี้ ถ้าที่ลอกมาข้างต้นคือทางรอดเดียว
    มันก็บอกเป็นนัยว่า มนุษย์จะรอดได้ก็ต้องมีมนุษยธรรม โอบอ้อมอารีกัน ช่วยเหลือกัน ฉะนั้นถ้าคนไทยเราครองใน ทาน ศีล ภาวนา เป็นส่วนมาก คนที่ครองทาน ศีล ภาวนา ก็ควรจะเป็นผู้ที่มี มนุษยธรรม มีน้ำใจโอบอ้อมอารี ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถึงเวลาภัยพิบัติมา รอดดดดดดดดดดด
    เราๆท่านๆลองช่วยกันไตร่ตรองดู ถ้าเรามองและอ่านอย่างมีสติใช้วิจารณญาณก็จะเห็นทางรอด อย่าไปตระหนกตกใจกับเรื่องราว เทวดาจะโปรยเชื้อโรค นาคจะพ่นพิษอยู่เลย ท่านที่เขียนออกมาทำนองนี้ ท่านอาจไม่ได้มีเจตนาร้ายเพียงแต่ต้องการให้มนุษย์กลัวในความชั่วกลัวตายแล้วรีบกลับตัวกลับใจมาประกอบกรรมดี ก็แค่นั้นเอง แต่ถ้าเราขาดสติเราก็จะมัวแต่ตระหนก วิตกกังวล คิดอะไรไม่ออก
    ลองคิดดูว่า ด่างทับทิมและคาราไมล์ ทำได้จริงอย่างที่บรรยายคุณสมบัติไว้ไหม ถ้าทำได้จริง ทั้งด่างทับทิมและคาราไมล์ก็ควรจะมีคุณสมบัตินั้น ณ วันนี้ เวลานี้ ไม่ต้องรอให้ถึงวันนั้นแล้วจึงมีคุณสมบัติดังกล่าว ลองถามท่านผู้รู้เชิงวิชาการอาหารและการแพทย์ดูละกันคะ
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เทคโนโลยีในทัศนะของพุทธศาสนา !!!

    [​IMG]

    เทคโนโลยีในทัศนะของพุทธศาสนา

    เทคโนโลยีเมื่อนำมาใช้ในทางที่ดีก็เป็นสิ่งดี เมื่อนำมาใช้ในทางที่ไม่ดีก็เป็นสิ่งเลวร้ายได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรมองเทคโนโลยีด้วยสายตาที่ไร้เดียงสาจนเกินไป มีหลายคนหลงคิดว่าเทคโนโลยีล้วนเป็นเพียงเครื่องมือ หรือ Tools ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อการใช้งาน แต่ถ้าเรามองให้ลึกซึ้งลงไปก็จะเห็นถึงความสลับซับซ้อนมากกว่านั้น

    เทคโนโลยีไม่เป็นกลาง

    เมื่อ 22 ปีก่อน อาตมาเคยแปลหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "วิพากษ์คอมพิวเตอร์ เทวรูปแห่งยุคสมัย" เขียนโดยไมเคิล แชลลิส หนังสือเล่มนี้วิพากษ์วิจารณ์เทคโนโลยีใหม่ในยุคสมัยนั้น คือเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ว่ามีผลกระทบต่อสังคมและผู้คนทั้งโลกอย่างไร ประเด็นที่เขาหยิบยกขึ้นมานั้นน่าสนใจยิ่ง เขาอธิบายว่าเทคโนโลยีกับสังคมนั้นแยกกันไม่ออก เทคโนโลยีสามารถก่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้มากมาย อย่างเช่น คอมพิวเตอร์จะมีผลกระทบต่อแบบแผนการทำงานและความสัมพันธ์ในสังคม ยิ่งกว่านั้นมันยังทำให้ความคิดอ่านของผู้คนเปลี่ยนไปด้วย เป็นต้น

    เทคโนโลยีกำหนดโลกทัศน์ของผู้ใช้เทคโนโลยี เปรียบเหมือนคนที่มีค้อนอยู่ในมือ ก็จะมองเห็นแต่ตะปู หรือมองอะไรเป็นตะปู คนที่มีมีดพร้า ก็จะสนใจว่ามีอะไรบ้างที่ตัวเองสามารถจะฟันหรือถากด้วยมีดได้

    อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คนใช้รถยนต์กับคนใช้จักรยาน จะมีทัศนะต่อโลกและชีวิตไม่เหมือนกัน คนใช้รถจะรู้สึกว่าตนเองมีอำนาจ มองว่าคนข้ามถนนและคนเดินบนบาทวิถีคือตัวปัญหา มองว่าต้นไม้ที่เกาะกลางถนนเป็นตัวกีดขวางการเดินทางที่เร่งด่วน แต่ทัศนะเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นกับคนขี่จักรยาน เพราะเขาจะมองว่าคนเดินถนนคือเพื่อนร่วมทาง และต้นไม้ที่เกาะกลางถนนคือร่มเงา ทัศนะที่แตกต่างกันเป็นเพราะใช้เทคโนโลยีที่ต่างกัน

    ความไม่เป็นกลางของเทคโนโลยี มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ที่มาของมัน เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมีที่มาจากอุตสาหกรรมการทหารและอาวุธ การทหารทำให้เกิดความจำเป็นที่มนุษย์ต้องใช้การประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล เพื่อคำนวณหาเป้าหมายในการทำลายล้าง และเสาะแสวงหาข่าวกรองด้านความมั่นคง เทคโนโลยีดิจิตอลที่เราใช้แปลงข้อมูลข่าวสารทั้งหลายในโลกเพื่อการส่งถึงกันนั้น ก็มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่การมองโลกแบบทวิลักษณ์ คือ 0 และ 1 ไม่ขาวก็ต้องเป็นดำ ซึ่งก็คือการปิดและเปิดกระแสไฟฟ้าบนแผงวงจรนั่นเอง ทั้งที่สรรพสิ่งในโลกของเราล้วนแตกต่างหลากหลายมากมายกว่านั้น คือนอกจากขาวและดำแล้ว ยังมีเทาด้วย

    อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นความไม่เป็นกลางของเทคโนโลยี คืออาวุธนิวเคลียร์ แม้จะมีการพูดว่าอาวุธชนิดนี้จะใช้เพื่อรักษาสันติภาพหรือคุกคามสันติภาพก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เพื่ออะไร อย่างไรก็ตามเมื่ออาวุธชนิดนี้อยู่ในมือของประเทศใด ก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่าเดิม แตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ ที่ไม่มีอาวุธชนิดนี้อยู่ในมือ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สันติภาพโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงเปลี่ยนแปลงไปส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศมีการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ มากน้อยเพียงใด

    ถึงแม้ทุกวันนี้ มีการนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาใช้ในทางสันติ คือใช้เป็นเชื้อเพลิงพลังงาน มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วโลก แต่ในท้ายที่สุด กากของเสียนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นก็ยังสร้างปัญหาเพราะสามารถเอาไปใช้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ ดังนั้นการมีอยู่ของเทคโนโลยีนิวเคลียร์ จึงทำให้คนทั้งโลกรู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัวต่อสงครามมาโดยตลอดเช่นกัน แม้ว่าสงครามเย็นจะยุติแล้ว แต่ภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ก็ยังไม่หมด เพราะมีความเป็นห่วงว่าอาวุธชนิดนี้อาจตกอยู่ในมือของกลุ่มก่อการร้าย โลกเราจึงไม่เคยสงบสุขได้อย่างแท้จริงเลยหลังจากที่มีการคิดค้นเทคโนโลยีชนิดนี้ขึ้นมา

    อย่างไรก็ตามเราก็ต้องยอมรับความจริงว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก ขึ้นอยู่ว่าเราจะใช้มันอย่างไรมากกว่า ขณะเดียวกันก็ต้องรู้เท่าทันมันด้วยว่า มันมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และส่งผลต่อทัศนคติของผู้คนอย่างไร ทุกวันนี้เราไม่ค่อยมีหนังสือแนวของไมเคิล แชลลิส ให้อ่านกัน ตอนนี้อาตมาก็ไม่รู้ว่าตัวเขาเองจะหันมาใช้คอมพิวเตอร์แล้วหรือยัง แต่ข้อเสนอของเขายังน่ารับฟัง และนำมาอภิปรายเพื่อคิดอ่านร่วมกัน อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อไม่ให้เทคโนโลยีมาครอบงำเราไม่ว่าในด้านการดำเนินชีวิตหรือในระดับจิตสำนึก

    คำสอนในพระพุทธศาสนา

    ผู้ที่เคร่งศาสนาส่วนใหญ่มักจะมีแนวโน้มต่อต้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือเป็นพวก Luddite ทั้งนี้เพราะผู้ที่สนใจศาสนามักเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ส่วนเทคโนโลยีมักก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่สวนทางกับประเพณีหรือค่านิยมของศาสนิกชน ดังนั้นเราจึงพบว่าในกลุ่มประเทศอิสลาม พวกเคร่งศาสนาแบบสุดโต่งมักต่อต้านอินเทอร์เน็ตหรือจานดาวเทียม เพราะว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นสื่อกลางที่นำเอาค่านิยมตะวันตกไปเผยแพร่ในประเทศของคน รวมทั้งทำให้เกิดความหลงใหลในเรือง เซ็กส์ วัตถุนิยม ความรุนแรง ฯลฯ

    ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็มีลักษณะอนุรักษ์นิยมเช่นกัน แต่ไม่เข้มข้นหรือสุดโต่งขนาดนั้น แน่นอนว่าในสมัยพุทธกาลยังไม่มีการคิดค้นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ในคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้โดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถนำคำสอนของพระองค์ มาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตในโลกยุคดิจิตอลได้

    หลักการแรกคือการพิจารณาถึงคุณค่าแท้และคุณค่าเทียม ยกตัวอย่างเรื่องการกินอาหาร ก็มีคุณค่าอยู่ทั้ง 2 ด้าน คุณค่าแท้คือประโยชน์ด้านสุขภาพอนามัยที่ช่วยบำรุงร่างกายให้อยู่ได้ด้วยดี คุณค่าเทียมคือความเอร็ดอร่อย ความโก้เก๋ ดังนั้นการกินอาหารในร้านริมถนนกับการกินอาหารในภัตตาคารหรูหรา ในแง่คุณค่าแท้ก็ไม่ต่างกัน คือได้ประโยชน์ในทางสุขภาพใกล้เคียงกันมาก แต่เราทุกคนต่างก็อยากไปกินอาหารในภัตตาคาร เพราะมันอร่อยกว่า โก้เก๋กว่า นี่คือการให้ความสำคัญกับคุณค่าเทียมในเรื่องการกินอาหาร

    พระพุทธเจ้าสอนว่าให้เราเอาคุณค่าแท้เป็นหลัก คือกินอาหารเพื่อบำรุงร่างกาย ให้มีเรี่ยวแรงในการทำงานและมีชีวิต ไม่ใช่กินเพื่อมุ่งเอาความเอร็ดอร่อยเป็นหลัก ถ้าใครติดคุณค่าเทียม ก็จะเกิดโทษ เช่น เป็นโรคอ้วน หรือถ้ากลัวอ้วน ก็กลายเป็นโรคบูลีเมียและอนอเรกเซีย

    ถ้ามองในเรื่องเทคโนโลยีทั่วไปอย่างเช่นรถยนต์ คุณค่าแท้ของรถยนต์คือใช้เป็นพาหนะเพื่อเดินทาง เป็นการทุ่นแรงทุ่นเวลา คุณค่าเทียมของมันคือความโก้เก๋ การสร้างภาพลักษณ์ให้แก่ผู้ขับขี่ สมัยนี้เราเน้นคุณค่าเทียมมาก ดังนั้นเวลาดูโฆษณารถยนต์ ให้สังเกตว่าเขาไม่ค่อยพูดว่ารถคันนี้ช่วยให้คุณไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยและประหยัด แต่เน้นว่ารถคันนี้ขับแล้วโดดเด่น โก้เก๋ ไม่เหมือนใคร สถานะทางสังคมสูงส่งกว่าผู้อื่น

    ในสังคมปัจจุบัน โรคภัยไข้เจ็บทางร่างกาย และปัญหาสังคมจำนวนมาก ล้วนเกิดขึ้นจากการที่ผู้คนหมกมุ่นยึดติดกับคุณค่าเทียมมากเกินไป อาตมามีความเห็นว่าคนในยุคปัจจุบัน ไม่ต้องถึงขั้นปฏิเสธคุณค่าเทียมไปเสียทั้งหมด เพียงแต่อย่าให้ความสำคัญกับมันมากไปจนมองข้ามคุณค่าแท้

    การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน เราควรเลือกซื้อและนำมาใช้งานเพื่อคุณค่าแท้ คือเพื่อทำงานเอกสาร ใช้ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ช่วยให้งานสำเร็จเสร็จสิ้นได้รวดเร็วขึ้น ไม่ควรเอาคุณค่าเทียมเป็นหลักคือใช้เพื่อความสนุกสนาน บันเทิง ความตื่นเต้น หลายคนใช้คอมพิวเตอร์เป็นประโยชน์ประเภทหลังจนหยุดไม่ได้ ถึงขั้นเสพติดเทคโนโลยี

    เดี๋ยวนี้คนเสพติดเทคโนโลยีไอทีมาก โดยเฉพาะเกมออนไลน์ ในประเทศเกาหลีมีหลายคนติดเกมออนไลน์จนชีวิตย่ำแย่ บางคนติดเกมออนไลน์จนถูกไล่ออกจากงาน เลยเล่นเกมทั้งวันทั้งคืนจนหัวใจวายตาย มีอยู่ข่าวหนึ่งซึ่งน่าเศร้ามาก สามีและภรรยาชาวเกาหลีคู่หนึ่งติดเล่นเกมออนไลน์นอกบ้าน ทอดทิ้งลูกอายุเพียง 3 เดือนให้อดอาหารจนตาย

    ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 คิมแจบอม อายุ 40 ปี และ คิมยุนเจียง อายุ 25 ปี ถูกศาลตัดสินให้มีความผิดฐานทำให้ลูกสาวของตนเองอายุ 3 เดือนเสียชีวิตโดยประมาท

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็คือหลังจากเลิกงาน พวกเขากลับมาบ้านเพื่อเอาลูกเข้านอน แล้วรีบออกไปเล่นเกมออนไลน์ที่ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ นานกว่า 10 ชั่วโมง ก่อนจะกลับมาที่บ้านและพบว่าลูกสาวเสียชีวิตเพราะขาดอาหาร นี่นับเป็นข่าวสะเทือนขวัญของประเทศเกาหลี และนำไปสู่การออกกฎหมายจำกัดเวลาการเล่นเกมออนไลน์ในเวลาต่อมา

    เกมออนไลน์ที่พวกเขาเล่นมีชื่อว่า "Prius Online" เป็นเกมที่มีตัวละครหลักเป็นเด็กผู้หญิงที่สามารถเติบโตขึ้นมาโดยมีพลังพิเศษมากมาย โดยผู้เล่นจะต้องแข่งกันคอยประคบประหงมเลี้ยงดูเธอแบบออนไลน์ตลอดเวลา

    ลูกสาวอายุ 3 เดือนที่เสียชีวิต ชื่อว่า "คิมซาราง" โดยคำว่า "ซาราง" แปลว่า "ความรัก"

    นี่คือตัวอย่างของการใช้ไอทีเพื่อสนองกิเลสจนเกิดความหลง ความมัวเมา และเสพติด เพราะเราใช้เพื่อมุ่งตอบสนองคุณค่าเทียมที่ไม่มีวันจบสิ้น จนหลงลืมคุณค่าแท้ไป

    เทคโนโลยีนั้นสามารถทำให้เสพติดได้ไม่ต่างจากยาเสพติด โดยนักวิทยาศาสตร์เคยทำการวิจัยเรื่องการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ พบว่ามันมีผลต่อสมองในส่วนที่มีปฏิกิริยาต่อการได้รับรางวัล เหมือนกับคนที่ทำอะไรสำเร็จหรือได้รางวัล จะรู้สึกดีใจขึ้นมา มีความสุข สนุกสนาน เพราะมีสารเคมีบางอย่างหลั่งออกมาในสมอง เกมคอมพิวเตอร์ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน มันทำให้ผู้เล่นต้องเอาชนะ ต้องทำให้สำเร็จเป็นขั้นๆ ไปเรื่อยๆ และเมื่อชนะหรือผ่านได้แต่ละขั้น สารเคมีชนิดนี้หลั่งออกมาเรื่อยๆ ผู้เล่นก็จะรู้สึกมีความสุขและอยากได้ความรู้สึกเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นการเสพติดในที่สุด

    อีกหลักการที่เกี่ยวกับการเลือกใช้เทคโนโลยี คือหลักมหาประเทศ 4 ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าวางไว้เพื่อพิจารณาว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ในกรณีที่มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในอนาคตโดยที่พระองค์ไม่ได้ระบุไว้ว่าอะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ เช่น ถ้าพระองค์ไม่ได้ห้ามไว้ แต่มันเข้ากับหลักที่ไม่ควร สิ่งนั้นก็ไม่ควรทำไม่ควรเสพ และถ้าพระองค์ไม่ได้อนุญาตไว้ แต่มันเข้ากับหลักที่ควร สิ่งนั้นก็ควรทำหรือทำได้ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรานำมาใช้เพื่อเผยแผ่ธรรม หรือเพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา ก็ถือว่าใช้ได้หรือควรใช้ แต่ถ้านำมาใช้ในทางที่ส่งเสริมกิเลส ทำให้ขาดสติ ก็ไม่ควรใช้

    พระพุทธานุญาตมหาประเทศ 4

    ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเกิดความรังเกียจในพระบัญญัติบางสิ่งบางอย่างว่า สิ่งใดหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาต จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระมีพระภาคเจ้า. วัตถุเป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสประทานสำหรับอ้าง 8 ข้อ ดังต่อไปนี้.

    1. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่าสิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้น ไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.

    2. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่าสิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.

    3. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่าสิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.

    4. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่าสิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.

    Space & Time ที่เปลี่ยนไป

    ในยุคนี้ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีอันรวดเร็วฉับไว มีสิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจก็ คือคนสมัยนี้มักรู้สึกว่าไม่ค่อยมีเวลา ไม่รู้เวลาหายไปไหน ทั้ง ๆ ที่เทคโนโลยีนานาชนิดล้วนทุ่นแรงทุ่นเวลาให้เรา เช่น รถยนต์ ทำให้เราถึงที่หมายเร็วขึ้น โทรศัพท์ทำให้เราติดต่อคนที่อยู่ไกลได้โดยใช้เวลาน้อยลง แต่ทำไมทุกวันนี้เราถึงกลับรู้สึกว่า ไม่ค่อยมีเวลาเลย

    ทุกวันนี้สำนึกเรื่องเวลาของคนรุ่นเราเปลี่ยนแปลงไป สมัยก่อนเราเคยนั่งรอกันได้เป็นชั่วโมง ๆ เป็นวัน ๆ เวลาทำงานสำคัญสักชิ้น เราใช้เวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปี โดยไม่รู้สึกว่ามันนานเกินไป เวลากษัตริย์ไทยยกทัพไปตีเชียงใหม่ กองทัพต้องเดินเท้าเป็นเดือน ๆ กว่าจะถึง โดยไม่รู้สึกว่ามันนาน แต่เดี๋ยวนี้พวกเราแค่รอรถติด 2 นาที ก็กระสับกระส่าย หงุดหงิด หรือเวลาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้ามันบูธเกิน ๑ นาที ก็ทนไม่ไหวแล้ว อยากหาซื้อเครื่องใหม่ อยากได้รุ่นที่เร็วกว่านี้ นั้นเป็นเพราะเราไม่รู้จักรอ เราจึงหงุดหงิดง่ายขึ้น

    อาตมาคิดว่ามันขัดแย้งกันมาก เรามีเทคโนโลยีทุ่นแรง ทุ่นเวลา มากมาย แต่แทนที่เราจะมีเวลาเหลือมากขึ้น มีเวลาสบาย ๆ มากขึ้น กลับกลายเป็นว่าเราไม่ค่อยมีเวลา ผิดกับคนสมัยก่อนกว่าข้าวจะสุกต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะซักผ้าเสร็จ กว่าจะเดินออกจากบ้านไปถึงไร่นาก็อีก 1 ชั่วโมง แต่ทำไมในแต่ละวันเขามีเวลาว่างเหลือมากมาย ตรงกันข้ามกับคนในเมืองใหญ่ มีรถยนต์ที่เร็วมาก มีคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต สามารถทำงานที่บ้านได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง แต่กลับมีเวลาว่างน้อยลง ไม่มีเวลาให้ครอบครัว เวลาพักผ่อนก็ไม่ค่อยมี นอนได้ไม่เต็มที่

    คำถามคือ "เวลาหายไปไหน" คำตอบคือ "เวลาหายไปอยู่กับเทคโนโลยี"

    เคยมีคนทำวิจัยพบว่าคนกรุงเทพฯ ใช้เวลาอยู่บนรถ 65 วันต่อปี คือใช้เวลา 1 ใน 6 ของทั้งปีเลยทีเดียว ตัวเลขนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกหรอก ถ้าเราต้องเดินทางไปกลับที่ทำงานวันละ 4 ชั่วโมง ก็คือ 1 ใน 6 ของวัน

    เด็กวัยรุ่นไทยในแต่ละวัน อยู่กับ เกมออนไลน์และอินเทอร์เน็ต 3 ชั่วโมง ดูทีวีอีก 3 ชั่วโมง คุยโทรศัพท์อีก ๒ ชั่วโมง รวมแล้ว 8 ชั่วโมง ซึ่งก็คือ 1 ใน 3 ของวัน แล้วเด็กจะมีเวลานอน เวลาเรียน เวลาออกกำลังกาย เวลาคุยกับพ่อแม่ได้อย่างไร

    ข้อมูลข่าวสารจำนวนมากมายมหาศาลในโลกยุคข้อมูลข่าวสาร เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กินเวลาเราอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในอินเทอร์เน็ตมีข่าวสารมากมาย อาตมาเองเสียเวลากับเรื่องนี้วันหนึ่ง ๆ ก็ไม่น้อย แค่ตอบอีเมล์ก็เกือบชั่วโมงแล้ว ข้อมูลเหล่าในอินเทอร์เน็ตเหล่านี้บางทีก็อดใจไม่ไหวที่จะเปิดอ่าน เราจึงควรคุมตัวเองให้ได้ อย่าไปจมกับมันมาก เพราะมันจะดึงดูดเราลึกเข้าไปเรื่อยๆ ข้อมูลข่าวสารที่มากเกินไปแบบนี้ มันจะดึงเราเข้าไปแบบไม่มีวันจบ ได้ข้อมูลมากเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด ไม่มีวันสิ้นสุด ต้องเตือนใจให้รู้จักหยุด รู้จักพอ

    ไม่น่าแปลกใจที่คนเราใช้เวลามากมายกับข้อมูลข่าวสาร หรืออยู่กับเทคโนโลยีไอที จนกระทั่งไม่มีเวลาเหลือ ในบ้านมีพ่อแม่ลูก 4 คน มีโทรทัศน์คนละเครื่อง แต่ละคนก็อยู่ในห้องตัวเอง ทั้งวันก็ต่างคนต่างอยู่หน้าจอโทรทัศน์ หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จนไม่มีเวลาคุยกัน พ่อจะเรียกลูกมากินข้าว ต้องใช้โทรศัพท์มือถือเรียกลงมา บางคนถึงกับส่ง SMS หรือเขียนอีเมล์ถึงลูกให้ลงมากินข้าว

    นั่นแปลว่า ไม่เพียงแค่สำนึกเรื่องเวลาเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป สำนึกในเรื่อง space รวมทั้งความสัมพันธ์กับผู้คนก็เปลี่ยนไปพร้อมกันด้วย ในด้านหนึ่งเทคโนโลยีช่วยให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งมันทำให้เราเหินห่างจากคนใกล้ตัวเช่นคนในบ้าน ขณะที่คนไกลได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่คนใกล้กลับห่างเหินกัน Space บิดเบือนไปหมด เราติดต่อกับเพื่อนที่อเมริกาทุกวัน แต่เราไม่คุยกับพ่อแม่เราเอง

    การปฏิบัติธรรมในยุคดิจิตอล

    เทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับธรรมะ ในแง่ที่ว่ามันมุ่งจัดการกับสิ่งรอบตัว ขณะที่ธรรมะเน้นที่การจัดการกับตัวเอง เมื่อเทคโนโลยีล้อมรอบตัวเรามากขึ้น มันบิดเบือน Space & Time ของเราไปทั้งหมด ทุกอย่างต้องเร่งรีบ ขณะเดียวกันจิตใจก็ส่งออกนอก ถูกดึงออกนอกตัว จนอยู่เฉยไม่ได้ ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว เดี๋ยวนี้เราไม่สามารถจะอยู่นิ่งได้นานๆ รอได้นานๆ แค่ 1 ชั่วโมงก็ทนไม่ได้ หากต้องวิ่งวุ่นและเร่งรีบแบบนี้ เราจะรู้จักตัวเองได้อย่างไร เราจะมีความสงบใจได้อย่างไร การเข้าถึงธรรมะจึงเป็นเรื่องที่ยากขึ้น เพราะธรรมะเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความสงบ การหันมามองตน ดูจิตใจของตนเอง

    คนเราจะมีความสุขได้ก็ต้องรู้จัก "เป็นมิตรกับตัวเอง" คนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเป็นมิตรกับตัวเองเท่าไร ถ้าเรารักตัวเองจริงอย่างที่พูดกัน ทำไมเราไม่อยากอยู่กับตัวเองล่ะ ถ้าให้นั่งอยู่ในห้องคนเดียว จะทนได้นานสักแค่ไหน นั่งไปชั่วโมงเดียวก็กระสับกระส่าย เบื่อ เหงา อยากโทรศัพท์หาเพื่อน อยากเล่นเกมออนไลน์ อยากเล่นบีบี อยากแชทกับเพื่อน หรือไปเที่ยวห้าง

    สังเกตจากคนที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดของอาตมา วันแรกๆ ที่เข้ามา หลายคนจะมีอาการกระสับกระส่าย อาตมาเรียกว่ามีอาการเหมือนลงแดง เพราะห้ามพูดคุยกัน ต้องเดินจงกรมวันละหลายชั่วโมง ไม่มีโทรทัศน์ให้ดู โทรศัพท์ก็ไม่ได้ คนที่เสพติดเทคโนโลยีจึงรู้สึกเป็นทุกข์ นอกจากการฝึกปฏิบัติธรรมที่จัดเป็นประจำ ทางวัดยังจัดงานเดินธรรมยาตรา ทุกวันที่ 1-8 ธันวาคม ของทุกปี และจะมีโรงเรียนจากกรุงเทพฯ ส่งครูและเด็กนักเรียนไปร่วมกัน ครูจะยึดโทรศัพท์มือถือไว้หมด วันแรก ๆ เด็กวัยรุ่นที่มาร่วมงานจะกระสับกระส่ายกันมาก โทรก็ไม่ได้ ทีวีก็ไม่มีดู

    อย่างไรก็ตาม อาการนี้จะมีอยู่แค่ 1-2 วันแรกเท่านั้น วันหลังๆ พวกเขาจะหาย และไม่ต้องพึ่งพาโทรศัพท์อีกแล้ว ผ่านไปไม่กี่วัน เขาได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วชีวิตคนเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขนาดนั้นก็ได้ ถึงแม้ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ก็ยังอยู่ได้อย่างมีความสุข เพียงแต่ทุกวันนี้เราเสพเทคโนโลยีจนเคยตัว พอไม่มีอะไรทำก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมากด แล้วก็เสพติดมัน เด็กนักเรียนหลายคนบอกว่าชีวิตเบาลงเยอะ ได้ดูใจตัวเอง ได้มีเวลาคุยกับเพื่อน ได้มีเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตบ้างก็ดี

    การที่คนสมัยนี้เข้าถึงธรรมะได้ยากขึ้น ทำให้เขาโหยหาธรรมะมากกว่าเดิม เพราะชีวิตเครียดมากขึ้น สมัยนี้เรามีความพรั่งพร้อมทางวัตถุ ได้เสพได้บริโภคเต็มที่ ก็เลยรู้สึกอิ่มตัวเร็ว สมัยก่อนวัตถุสิ่งเสพไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนอย่างตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกอิ่มตัวเหมือนคนสมัยนี้ พออิ่มตัวเร็ว ก็เลยรู้สึกว่าวัตถุไม่ใช่คำตอบ ไม่ได้ให้ความสุขอย่างแท้จริง เกิดความเบื่อหน่าย จึงหันไปแสวงหาสิ่งอื่นที่เชื่อว่าจะทำให้มีความสุขมากกว่านี้

    ในภาวะนี้ เราจะตกอยู่บนทางแพร่ง ทางหนึ่งก็คิดว่าเราต้องมีเงินให้มากกว่านี้ มีวัตถุให้มากกว่านี้ เราถึงจะมีความสุข เหมือนคนติดยาเสพติด ต้องใช้ยามากขึ้น หรือยาแรงขึ้น ถึงจะเพลิดเพลินเหมือนเก่า เหมือนนักการเมือง เสพติดในอำนาจก็ต้องแสวงหาอำนาจมากขึ้น หรือตำแหน่งสูงขึ้น คนที่ติดเทคโนโลยีก็เช่นกัน พอมีแล้วก็ยังไม่พอใจ อยากได้สินค้ารุ่นใหม่ขึ้น แพงขึ้น ดีขึ้น

    อีกทางหนึ่ง คือการหันหลังให้กับสิ่งเหล่านั้น แล้วมาหาธรรมะ เหมือนกับชาวตะวันตกที่มีความเจริญทางวัตถุสูงมาก เสพสุขกันเต็มที่ทั้ง ตา หู จมูก สิ้น กาย แล้วก็รู้สึกอิ่มตัว เบื่อหน่ายวัตถุ จึงหันเข้าหาธรรมะ ในอเมริกา ยุโรป คนจึงสนใจพุทธศาสนาหรือทำสมาธิภาวนามากขึ้น

    ถึงแม้จะไม่ได้เข้าวัดปฏิบัติธรรมหรือเจริญสติ ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ที่ถูกรายล้อมไปด้วยเทคโนโลยี เราก็สามารถมีชีวิตสงบเย็นได้ โดยใช้หลักการดังต่อไปนี้

    1. ความพอดีและความสันโดษ คือใช้เทคโนโลยีหรือเสพวัตถุแต่พอดี ทั้งในแง่เวลาและปริมาณ คือถ้าเราใช้เทคโนโลยีแต่พอดี เราก็มีเวลามากขึ้นในการทำสิ่งอื่นที่มีความสำคัญ ดังนั้นจึงควรกำหนดเวลาให้ตัวเอง ว่าวันหนึ่งจะใช้เวลากับเฟซบุคนานเท่าไร เล่นเกมนานเท่าไร จะแชทนานเท่าไร ดูทีวีนานเท่าไร ถ้าไม่กำหนด ไม่มีวินัย ความพอดีก็เกิดขึ้นได้ยาก

    2. มีสติ สติช่วยให้เราไม่หลงเพลินกับการเสพเทคโนโลยี รู้จักหยุดเมื่อถึงเวลา ถ้าไม่มีสติ ก็จะหลงจนเพลิน จนเสียงานเสียการ บางคนดูละครเกาหลีตั้งแต่หัวค่ำยันสว่าง แล้วก็มาบ่นว่าทำอย่างไรดี ติดละครเกาหลีจนไม่มีเวลาทำงาน

    3. ต้องรู้คุณและโทษ ของทุกสิ่งมีทั้งคุณและโทษ ใช้ให้มันเป็นคุณมากกว่าโทษ

    4. แยกแยะระหว่างคุณค่าแท้กับคุณค่าเทียม ใช้หรือบริโภคสิ่งต่าง ๆ โดยมุ่งคุณค่าแท้มากกว่าคุณค่าเทียม

    ถ้าทำเช่นนี้ได้ เราจะเป็นนายเทคโนโลยี ไม่ใช่ปล่อยให้เทคโนโลยีมาเป็นนายเรา เราจะมีเวลาว่างมากขึ้น รวมทั้งมีเวลาสำหรับการศึกษาหาความรู้ ดูแลครอบครัว อ่านหนังสือ พัฒนาตัวเอง ออกกำลังกาย และถ้ามีเวลาเหลืออีกก็ออกไปช่วยเหลือผู้อื่น บำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม

    อนาคตของมนุษยชาติ

    อาตมาไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้า เทคโนโลยีจะนำพามนุษย์ไปไหน จะดีขึ้นหรือแย่ลง ก็บอกไม่ได้ เพราะเมื่อก่อนเราเคยคาดหวังกันไว้สูงมาก ว่าเทคโนโลยีจะทำให้สังคมเราดีขึ้น ชีวิตของเราดีขึ้น หรือทำให้โลกมีสันติภาพ แต่ก็อย่างที่เรารู้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกลับทำให้มนุษย์ทำลายล้างกันมากขึ้น จนทุกวันนี้โลกก็ยังไม่มีสันติภาพอย่างแท้จริง ในเวลาเดียวกันเคยมีคนคาดทำนายว่าในโลกยุคสารสนเทศ คนจะมีความรู้มากขึ้น อวิชชาจะน้อยลง

    แต่ความเป็นจริงก็คือทุกวันนี้ ความเท็จก็ยังแพร่ระบาดอยู่ และยิ่งแพร่ระบาดได้ง่ายและเร็วกว่าเดิมด้วยซ้ำ แม้กระทั่งในหมู่คนที่มีความรู้ สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ ก็ยังมีความหลง มีอวิชชา หรือเชื่อความเท็จได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น ในอเมริกาทุกวันนี้มีถึง ๓๐ ล้านคนที่เชื่อว่าประธานาธิบดี บารัก โอบามา เป็นมุสลิม คนพวกนี้ใช้อินเทอร์เน็ตกันทั้งนั้น แต่เขาก็ยังหลงเชื่อข่าวลือนี้เพราะความเท็จเรื่องนี้แพร่หลายมากในอินเทอร์เน็ต

    สมัยนี้เว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จและความเห็นแบบสุดโต่ง มีมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากมันจะทำให้ความเท็จแพร่ออกไปมากขึ้นแล้ว มันยังทำให้กลุ่มคนที่สุดโต่งทางความคิดติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น เมื่อก่อนก็มีคนสุดโต่งอยู่ แต่ใน 1 หมู่บ้านอาจจะมีอยู่แค่ 2-3 คน จะติดต่อคนที่คิดแบบเดียวกันก็ยาก เพราะคนเหล่านี้มักจะอยู่กระจัดกระจาย แต่ในทุกวันนี้ เขาติดต่อกันได้ง่ายมากเพราะมีอินเทอร์เน็ต คนคอเดียวกันก็เลือกเข้าเว็บไซต์เดียวกัน จึงพากันสุดโต่งยิ่งกว่าเดิม

    ความสุดโต่งในยุคสารสนเทศนี่น่ากลัวมาก ในอเมริกามีกลุ่มคนสุดโต่งไปในหลากหลายรูปแบบ คนเหยียดผิว คนเกลียดเกย์ คนเกลียดมุสลิม คนเกลียดยิว คนพวกนี้อาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเผยแพร่ความคิดของตัว รวมทั้งพูดกรอกหูพวกเดียวกันจนมีอคติรุนแรงมากขึ้น

    ข้อสรุปของอาตมาคือ ความดีงาม ความเจริญรุ่งเรือง ของมนุษยชาติ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุเทคโนโลยีมากเท่ากับคุณภาพจิตของผู้คน ถ้าใจเราคับแคบ เห็นแก่ตัว เทคโนโลยีก็ยิ่งทำให้เราคับแคบและเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น

    การเซนเซอร์ไม่เคยได้ผลยั่งยืนไม่ว่าในยุคใดสมัยใด ไม่ว่าจะใช้กับสื่อเก่าหรือสื่อใหม่ในยุคดิจิตอล การเซนเซอร์เป็นดาบสองคมที่จะย้อนกลับมาทำร้ายคนที่เซนเซอร์เอง รัฐบาลจะไม่สามารถปิดเว็บไซต์ของฝ่ายตรงข้าม หรือปิดหูปิดตาประชาชนได้นาน เพราะเขาก็ย้ายไปเปิดที่อื่น สู้เอาความจริงหรือเหตุผลมาสู้กันไม่ได้

    อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและผู้คนที่รวมตัวกันเป็นสังคมในโลกออนไลน์ ก็ไม่ควรรอให้ใครมาเซนเซอร์ แต่เราควรควบคุมกันเอง ยกตัวอย่างเช่น ในเฟซบุคมีกลุ่มที่สร้างขึ้นมาเพื่อปลุกปั่นความเกลียดชัง ก็ควรมีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อความสันติเป็นต้น

    ในหมู่ผู้ใช้ควรจะร่วมกันสร้างวัฒนธรรมเพื่อการอยู่ร่วมกัน เช่น ช่วยกันสร้างมาตรฐานว่า ไม่ใช้คำหยาบคาย ไม่กล่าวประณามหยามเหยียดผู้อื่น ไม่ปลุกปั่นความเกลียด เรื่องนี้ควรทำให้เป็นวัฒนธรรม คือนอกจากวัฒนธรรมในวงการอินเทอร์เน็ตที่เน้นสิทธิเสรีภาพในด้านข้อมูลข่าวสารแล้ว เรายังควรมีมารยาทต่อกัน ถกเถียงกันด้วยเหตุผล เมื่อสังคมออนไลน์มีวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์ เป็นที่ยอมรับร่วมกัน ต่อไปพวกผู้ใช้ที่คำหยาบคายหรือเกเรก็จะพูดเบาลง หรือย้ายไปที่อื่น พวกที่ชอบด่าทอ เผยแพร่ความเกลียดชัง ใส่ร้าย กล่าวเท็จ ก็จะหดแคบลงไปเรื่อยๆ อาตมาเชื่อว่าวิธีนี้ดีกว่าการเซนเซอร์

    ในส่วนของพระสงฆ์ จริงๆ แล้วทุกวันนี้ พระรู้เรื่องเทคโนโลยีกันเยอะมาก จนมีคนเอาไปพูดล้อกัน "อยากรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ให้ถามพระ อยากรู้เรื่องธรรมะให้ถามฆราวาส" พระสมัยนี้ไปเดินแถวพันธุ์ทิพย์กันเยอะมาก นี่ก็เป็นแนวโน้มที่น่าสังเกต อาตมาคิดว่าพระสงฆ์ควรจะใช้งานให้เหมาะสม อย่างเช่นการใช้งานโซเชียลเน็ทเวิร์ค ถ้าใช้เพื่อการพูดเล่นกัน อาจจะไม่เหมาะสมสำหรับพระสงฆ์ แต่ถ้าใช้เผยแผ่ธรรมะ ก็น่าจะเหมาะสม และพระสงฆ์ควรเรียนรู้ที่จะใช้งานในด้านนี้ให้มากขึ้น

    ทุกวันนี้อาตมาใช้เฟซบุคในการเผยแผ่ธรรมะ คิดว่าเฟซบุคได้รับความนิยมมากกว่า และเข้าถึงผู้คนได้ง่ายกว่า เว็บไซต์ของอาตมาที่ visalo.org ก็ยังทำอยู่ แต่คนเข้าน้อยกว่ามาก อาจเป็นเพราะว่าเว็บไซต์เป็นสิ่งที่เราต้องขวนขวายเข้าไปหา ส่วนเฟซบุคนั้น เวลาเราเขียนอะไร ข้อความจะไปปรากฏในหน้าเฟซบุคของคนอื่นทันที คือไม่ต้องไปหา มันมาเอง อาตมาคิดว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คเหล่านี้ อาจจะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ อย่างเช่นการให้สติแก่ประชาชนไทยในช่วงเวลาที่กำลังมีความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อปีที่แล้ว

    อย่างไรก็ตาม เราอาศัยแค่เฟซบุคอย่างเดียวไม่ได้ การรอให้คนมากดไลค์หรือใส่คอมเมนต์เห็นด้วยเท่านั้น ยังไม่มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร คนหนุ่มสาวในยุคนี้ต้องลงทุนและลงแรงให้มากกว่านี้ แต่คนหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่ค่อยมีเวลาต่อสู้กับอะไร แค่ต่อสู้กับความเบื่อ ความเหงา ความหงุดหงิด ความเซ็ง ก็เหนื่อยแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงความสะดวกสบายจนเคยตัวจากเทคโนโลยีทั้งหลาย ต้องสู้กับสิ่งยั่วยุกิเลสตัณหาสารพัด รวมทั้งสิ่งดึงดูดความสนใจไปจากสิ่งที่เป็นสาระแท้จริงของชีวิต ถ้ายังผ่านสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้ ชีวิตเขาก็คงลำบาก ยากที่คิดทำอะไรเพื่อผู้อื่นได้

    **********************************

    1. เทคโนโลยีกำหนดโลกทัศน์ของผู้ใช้เทคโนโลยี เปรียบเหมือนคนที่มีค้อนอยู่ในมือ ก็จะมุมมองที่เห็นแต่เฉพาะตะปู โฟกัสไปที่หัวตะปู มุ่งไปที่การตอกตะปูตัวนั้น

    2. คุณค่าแท้ของเทคโนโลยีรถยนต์คือใช้มันเพื่อการเดินทางไกลแทนเท้า คุณค่าเทียมของมันคือความโก้เก๋ การแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของผู้ขับขี่ โฆษณารถยนต์ในยุคที่มุ่งเน้นคุณค่าเทียม จึงไม่ได้โฆษณาว่ารถคันนี้ช่วยให้คุณไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยและประหยัด ยังโฆษณาว่ารถคันนี้ขับแล้วโดดเด่น โก้เก๋ ไม่เหมือนใคร

    3. ในอินเทอร์เน็ตมีข่าวสารมากมายบางทีก็อดใจไม่ไหวที่จะเปิดอ่าน แต่ก็ต้องคอยคุมตัวเองไว้ อย่าไปยุ่งกับมันมาก เพราะมันจะดึงดูดเราลึกเข้าไปเรื่อยๆ ข้อมูลข่าวสารที่มากเกินไปแบบนี้ มันจะดึงเราเข้าไปแบบไม่มีวันจบ เราค้นหาข้อมูลได้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีวันหมด ไม่มีวันสิ้นสุด

    4. มีคนเอาไปพูดล้อกัน "ถ้าอยากรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ให้ถามพระ ถ้าอยากรู้เรื่องธรรมะให้ถามโยม" พระสมัยนี้ไปเดินพันธุ์ทิพย์กันทั้งนั้น นี่ก็เป็นแนวโน้มที่น่าสนใจ และพระสงฆ์ควรจะหาทางใช้งานที่เหมาะสม

    5. เราอาศัยแค่เฟซบุคไม่ได้ การรอให้คนมากดไลค์หรือใส่คอมเมนต์เห็นด้วยเท่านั้น ยังไม่มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร คนหนุ่มสาวในยุคนี้ต้องลงทุนและลงแรงให้มากกว่านี้

    อาตมาใช้คอมพิวเตอร์ครั้งแรกในปี 2537 ใช้อินเทอร์เน็ตตั้งแต่ปี 2538 ได้ใช้เวลามากรุงเทพฯ อาศัยสำนักงานของเพื่อน ๆ สำหรับต่ออินเทอร์เน็ต มีอีเมล์แอคเคานต์ของตนเองเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2542 ที่ yahoo.com และเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตประจำ ตั้งแต่ปี 2548 โดยใช้โทรศัพท์มือถือเป็นโมเด็ม ต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทาง GPRS

    ในปัจจุบันอาตมาใช้โน้ตบุค 1 เครื่อง สำหรับการทำงาน เขียนหนังสือ แปลหนังสือ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ในตอนเช้าและเย็น เอาไว้เปิดดูข่าวประจำวัน เช็คข้อมูลในการเขียนหนังสือ ค้นคว้าวิกิพีเดีย เช็คอีเมล์งาน และเผยแพร่งานในเฟซบุค นอกจากนี้ มีเน็ตบุค 1 เครื่อง เอาไว้พกพาไปใช้ในเวลาเดินทางไกลๆ และมีเครื่องเล่นเอ็มพีสาม เพื่ออัดเสียงคำบรรยาย นำไฟล์เสียงไปให้ลูกศิษย์ นำไปแกะแล้วอาตมาจะขัดเกลาข้อความ เพื่อเผยแพร่ในเว็บไซต์ เฟซบุคมี 3 แห่ง คืออาตมาทำเอง 1 แอคเคานต์ และมีลูกศิษย์ช่วยทำให้อีก ๒ แอคเคานต์

    อาตมามีเวลาใช้อินเทอร์เน็ตไม่เกิน 30 ชั่วโมงต่อเดือน จึงกำหนดตัวเองว่าจะใช้อินเทอร์เน็ตวันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากมีเวลาใช้จำกัด อาตมาจึงไม่ไปเสียเวลาแวะดูเว็บไซต์พร่ำเพรื่อ ไม่ไปโหลดคลิปวิดีโอ เพราะใช้เวลานานมากเนื่องจากโมเด็มโหลดข้อมูลค่อนข้างช้า ผิดกับหลายคนที่ออนไลน์ทั้งวัน สามารถใช้อินเทอร์เน็ตโดยไม่จำกัด ทำให้มีความพอดีได้ยาก

    พระไพศาล วิสาโล นิตยสาร CHIP มีนาคม ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2013
  18. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    20 ก.ค. 56

    ท่านเกษมได้ออกมาอธิบายในเรื่องของเทวดาให้ได้รับรู้แล้วถึงเทวดาผู้มีหน้าที่ในการเก็บกวาด หวังว่าจะเป็นความรู้ประดับสติปัญญาได้ดี

    ในเรื่องภพภูมิ ถ้าจะว่าตามตัวหนังสือที่ทราบๆกันจะมี 31ภูมิ คือ 16ชั้นฟ้า 15ชั้นดินแต่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ว่ามี 39ภูมิเปรียบเหมือนกับผู้รู้มากกับผู้รู้น้อยต่างคนต่างออกมาพูดก็สรุปได้ว่าถูกทั้งนั้นแต่จะถูกมากถูกน้อยก็เป็นอีกเรื่อง

    23 ธ.ค. 46 สองเทวดาโดดร่ม

    ทางเทวโลกได้ลงมาเก็บกวาด

    บทนี้จะเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า บทความมาจากต่างที่แต่มีความหมายเดียวกัน บทความนี้ได้ลงมา 6ปีแล้วในเว็บนี้ ถ้าไม่ถูกลบก็พลิกกลับไปหาอ่านได้

    เคอิสรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กรกฎาคม 2013
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    คลื่นความร้อนถล่มนิวยอร์ก ชาวบ้านแห่เล่นน้ำในสระน้ำสาธารณะ

    [​IMG]

    คลื่นความร้อนเล่นงานชาวนิวยอร์ก ต้องพาครอบครัวแห่ไปเล่นน้ำในสระน้ำสาธารณะ เพื่อคลายร้อนที่อุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส และคาดว่าอุณหภูมิจะสูงต่อไปจนถึงวันพรุ่งนี้

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากนครนิวยอร์ก ของสหรัฐ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ว่า ชาวนิวยอร์ก ยังคงแห่กันหนีคลื่นอากาศที่ร้อนจัด ลงไปเล่นน้ำในสระน้ำสาธารณะอย่างสนุกสนานเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นอีกวันหนึ่งที่อากาศร้อนจัด โดยอุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส ประชาชนหลายพันคน ต้องลงไปเล่นน้ำในสระกลางแจ้งและสระในร่มอีกหลายสิบสระเนืองแน่น โดยที่สระน้ำฮามิลตัน ฟิช ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2479 มีประชาชนเกือบ 1,000 คน ลงเล่นเต็มความจุของสระ

    ประชาชนบางคนกล่าวว่า คาดว่าอากาศจะร้อนได้อีก แต่ก็ยังโชคดีที่ยังมีสระน้ำแห่งนี้ พวกเขาบอกว่า มันวิเศษมาก ขณะพาลูกจูงหลานมาเล่นน้ำคลายร้อน คาดว่าคลื่นความร้อนจะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงสุดสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะลดระดับลงในวันอาทิตย์

    เดลินิวส์ วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลา 06:03 น.

    มุสลิมอินเดียยังปักหลักประท้วงทหารหมิ่นศาสนา-ฆ่าประชาชน

    [​IMG]

    ชาวมุสลิมอินเดียในแคว้นจัมมู-แคชเมียร์ ประท้วงใหญ่ประณามทหารรัฐบาล ที่ยิงประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก อีกทั้งยังดูหมิ่นคัมภีร์อัลกุรอานด้วย หลังบุกทำร้ายครูและนักเรียนในโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่ง

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากแคว้นแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ว่า ผู้ประท้วงในแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ ทางตอนเหนือของอินเดีย ชุมนุมประท้วงใหญ่เมื่อวานนี้ เพื่อประณามกรณีที่ทหารพรานอินเดีย หรือบีเอสเอฟ สังหารประชาชน 4 คนในเขตโดฮา โดยตามรายงานของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ระบุว่า ทหารอินเดียบางนาย ได้บุกเข้าไปในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ที่หมู่บ้านดาดัด ในเขตรัมบัน เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา และทำร้ายร่างกายนักเรียน และเฆี่ยนตีผู้นำศาสนาในท้องถิ่น และดูหมิ่นคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาด้วย

    เพื่อเป็นการแก้แค้น ในอีกหนึ่งวันถัดมา ประชาชนในท้องถิ่น ไปรวมตัวกันใช้ก้อนหินขว้างปาเข้าใส่ค่ายทหารบีเอสเอฟ ซึ่งส่งผลให้ทหารยิงตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง ทำให้ประชาชนเสียชีวิตไป 4 ศพ และบาดเจ็บอีก 40 คน

    เหตุรุนแรงดังกล่าว ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจของชาวบ้าน และมีการประท้วงรุนแรง เรียกร้องให้ทางการทำการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว และนำตัวทหารที่กระทำผิดมาลงโทษ ส่วนที่จัมมู นายซาฮูร์ อาเหม็ด ประธานองค์กรมุสลิม เวลแฟร์ ทรัสต์ กล่าวว่า เขาได้พบหารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง และผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว เรียกร้องให้รัฐบาลรับประกันแล้วว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณ์นี้ซ้ำรอยอีก

    อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่บีเอสเอฟ ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยระบุว่า การยิงปืนเข้าใส่ผู้ประท้วง เป็นการป้องกันตนเอง เนื่องจากกลุ่มผู้ประท้วงบุกจู่โจมค่ายของพวกเขา ส่วนนายซูชิกุมาร ชินเด รัฐมนตรีมหาดไทยของรัฐบาลกลาง สั่งให้ทำการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว แต่กลุ่มผู้ประท้วงยังคงปักหลักอยู่ในเมืองรีซี แคว้นจัมมู

    เดลินิวส์ วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลา 05:10 น.

    อียิปต์ชุมนุมใหญ่ต่อต้านรัฐบาล

    [​IMG]

    ฝ่ายสนับสนุนประธานาธิบดีมอร์ซี ที่ถูกยึดอำนาจของอียิปต์ มาตามนัดรวมตัวชุมนุมประท้วงทั่วประเทศครั้งใหม่ กดดันให้กองทัพคืนตำแหน่งให้นายมอร์ซี ขณะที่ฝ่ายต่อต้านนายมอร์ซี ก็จัดชุมนุมประท้วงคู่ขนานที่จัตุรัสตาห์รีร์ เช่นกัน

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ว่า ผู้สนับสนุนนายโมฮาเหม็ด มอร์ซี ประธานาธิบดีที่ถูกยึดอำนาจของอียิปต์ จำนวนหลายหมื่นคน จัดการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ทั่วประเทศ เมื่อวานนี้ โดยในกรุงไคโรมีผู้ประท้วงจำนวนมาก รวมตัวกันอยู่นอกมัสยิดราบา อัล-อาดาวิยา เพื่อเรียกร้องคืนตำแหน่งให้ผู้นำเคร่งศาสนาที่ถูกปลด ขณะที่ ฝ่ายต่อต้านนายมอร์ซี ก็จัดชุมนุมประท้วงคู่ขนานที่บริเวณลานจัตุรัสตาห์รีร์ ในพื้นที่ใกล้เคียงเช่นกัน แต่มีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น

    กว่า 2 สัปดาห์ หลังจากกองทัพอียิปต์ โค่นอำนาจนายมอร์ซีจากตำแหน่ง ก็ยังไม่มีสัญญาณของความเป็นไปได้ที่สถานการณ์จะคลี่คลายลง ซึ่งทำให้ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดของโลกอาหรับแห่งนี้ แตกแยกอย่างหนัก และยังเป็นสัญญาณเตือนไปถึงพันธมิตรตะวันตกของอียิปต์ด้วย

    ทั้งนี้ กลุ่มภราดรภาพมุสลิม เรียกร้องให้ชุมนุมประท้วงทั่วประเทศ พร้อมกล่าวหาผู้บัญชาการกองทัพ พลเอกอับเดล-ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ก่อรัฐประหารยึดอำนาจประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเสรีคนแรกของประเทศ ขณะที่ นาวี พิลเลย์ ข้าหลางใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หรือยูเอ็น กำลังกดดันให้บรรดาผู้นำรักษาการของอียิปต์ ชี้แจงเหตุผลว่าทำไมนายมอร์ซีถูกจับ และเมื่อไหร่เขาจะถูกนำตัวไปดำเนินคดี

    นายมอร์ซี ถูกยึดอำนาจเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งผู้สนับสนุนของเขา ที่ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของกลุ่มภราดรภาพมุสลิม กล่าวว่า เป็นการยึดอำนาจของกองทัพ และนายมอร์ซีถูกกองทัพควบคุมตัวอยู่ที่สถานที่ลับแห่งหนึ่ง

    เดลินิวส์ วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลา 05:00 น.

    ที่มา เดลินิวส์ | อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เหล่าเทพเทวาจะคอยสนับสนุนและช่วยเหลือผู้บำเพ็ญธรรม !!!

    [​IMG]

    Water Lily สมาชิก

    ข้อความจากฮิลาริออน
    14-21 ก.ค. 2013


    เธอผู้เป็นที่รัก

    เมื่อคลื่นแห่งแสงได้สาดไปทั่วทั้งโลก มุมมืดที่ถูกซ่อนเร้นในโลก ซึ่งกำลังเบ่งบานอย่างเป็นความลับและเป็นลบนั้น ได้ถูกนำออกมาสู่แสงสว่างแห่งความจริง ทุกสิ่งที่ถูกเปิดเผยได้ช่วยคลี่คลายภาพลวงตา จากการตระหนักรู้ของมนุษยชาติ โลกกำลังทำความสะอาดและทำให้บริสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การยกระดับ ความเร็วของการทำความสะอาดนี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก สำหรับผู้ที่ยังคงหลับไหลและไม่ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆตัวนั้น กำลังจะถูกสะกิดให้ตื่นขึ้นจากการหลับไหล ภาพลวงตากำลังถูกตัดออก โดยการเปิดเผยซึ่งกำลังพุ่งตรงมายังมนุษยชาติ ซึ่งยืนอยู่บนมุมของทางแยก

    พลังของมนุษย์นั้นมีมากและมีอยู่รอบโลก และจะทวีกำลังขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมา จิตวิญญาณแต่ละดวงจะทำการเลือก ว่าจะยังคงอยู่บนหนทางที่กำลังพังทลายไปต่อหน้า หรือเลือกที่จะโอบกอดผู้อื่นไว้ด้วยความรักมากกว่าเดิม พวกเขาจะยืนอยู่ร่วมกับชนผู้กล้า ผู้ซึ่งจะเปล่งวาจาออกมาเพื่อประกาศถึงหนทางที่ดีกว่า การเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ และการเปลี่ยนแปลงจะขยายตัวขึ้นทั้งในด้านกำลังและการเข้าถึง หัวใจของมวลมนุษยจะเปิดออกอย่างเงียบสงัด เพื่อเข้าถึงการติดต่อกับแก่นแท้แห่งความศักดิ์สิทธิ์ (Divine Essence) ของพวกเขา ความรักจะหาหนทางของมัน ชุมชนต่างๆจะรวมตัวกันอย่างสมัครสมานและเป็นอันหนึ่งอันเดียว ครอบครัวจะกลับมารวมกันเพื่อรักษาการเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน และเพื่อเฉลิมฉลองและสรรเสริญบรรพบุรุษ

    คลื่นแห่งการสำนึกคุณภายในหัวใจทุกดวง จะหลั่งไหลมายังหัวใจของมารดาแห่งโลก เช่นเดียวกับที่ทุกคนตระหนักถึงความรักของเธอ ที่มอบให้กับผู้อยู่อาศัยทั้งหลาย มันชัดเจนขึ้นว่ามนุษย์นั้นอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์แบบเอื้อซึ่งกันและกันกับโลกนี้ และโลกนี้กำลังพยายามที่จะปรับปรุงใหม่ และเปลี่ยนแปลงในทางที่มีผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยน้อยที่สุด แต่ในกระบวนการให้กำเนิด มันจะมีแรงกดดันอย่างต่อเนื่องในหลายๆส่วนของโลกนี้ และนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องถูกปลดปล่อยออกมา

    เราได้เฝ้ามองอย่างอัศจรรย์ใจต่อความดื้อดึง อย่างน่าประหลาดของจิตวิญญาณมนุษย์ ที่กำลังดิ้นรนเพื่อเอาชนะการสร้างความเชื่อหลายอย่าง ที่ได้ถูกเก็บไว้ในทุกเซลล์ของพวกเขา ซึ่งไม่สามารถรับใช้หนทางแห่งแสงที่พวกเขาอยูได้อีกต่อไป ผลกระทบของการต่อสู้ภายในหัวใจทุกดวง ต่อพลังตรงข้ามเริ่มที่จะลดลง และความเบาสบายของสรรพสิ่งจะได้ชัยชนะ จงอย่าหวั่นไหวต่อหนทางที่เธอได้เลือก เพราะว่ามันสิ่งที่ถูกต้องสำหรับเธอและผู้ที่เธอรัก เธอไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เหล่าเทพเทวาจะยืนอยู่เคียงข้างเธอ เพื่อสนับสนุนและเป็นเพื่อนเธอ พวกเขาพยายามจะลดภาระที่เธอแบกรับ โดยใช้อารมณขันเพื่อที่เธอจะเดินต่อไป และข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ในหนทางของแต่ละคน

    เธอถูกรักอย่างลึกซึ้ง และได้รับการยอมรับถึงจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิก และการไม่ลดละของเธอ เธอได้รับการสรรเสริญถึงความดื้อรื้นและกล้าหาญ ชาวสวรรค์กำลังร้องประสานเสียง ให้มวลมนุษย์เพื่อบทบาทของเธอ ที่กำลังดำเนินไปตามแผนการของจักรวาล และกำลังเปิดเผยออกมา จงนิ่งและเปิดหัวใจของเธอให้กับเสียงของพวกเขา ในขณะที่กำลังยกระดับโลก และทุกสิ่งเหนือเธอไปสู่การตระหนักรู้ที่สูงกว่า จงนิ่งและจงรู้ว่าเธอคือความศักดิ์สิทธิ์(Divine)ที่ประจักษ์บนโลกนี้ รักษาความคิดนี้ไว้ ทุกๆสิ่งนั้นดีแล้ว

    พบกันสัปดาห์หน้า
    เรา คือ ฮิลาริออน

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ข้อควา...ของมนุษยชาติ-ไปสู่มิติที่-5-a.246190/page-369
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Dusitburi10.jpg
      Dusitburi10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.4 KB
      เปิดดู:
      1,571

แชร์หน้านี้

Loading...