เสียงธรรม ปรับใจให้สัมผัสธรรม

ในห้อง 'ธรรมเพื่อความหลุดพ้น' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 21 มิถุนายน 2011.

  1. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    <table width="95%" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="1"><tbody><tr><td style="font-family: 'Microsoft Sans Serif', 'MS Sans Serif', 'Angsana New', CordiaUPC; font-size: 12pt; ">[​IMG]

    ทษก็เห็นอยู่ในใจ ทุกข์ที่เกิดจากโทษก็เห็นอยู่ในใจ ธรรมที่เป็นเครื่องมือสอดส่องมองดูทั้งโทษทั้งทุกข์ โทษหมายถึงความผิด ทุกข์หมายถึงผลที่เกิดขึ้นจากความผิด ท่านก็สอนไว้โดยถูกต้อง ก็อยู่ในจิตแห่งเดียวกัน อุบายวิธีแก้โทษเพื่อดับทุกข์อันเป็นผลของโทษ ท่านสอนไว้โดยถูกต้องละเอียดลออมากให้นักปฏิบัติเรา สอนตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักใหญ่กว่าอย่างอื่น ๆ ศีลก็ต่างองค์ต่างรักษาอยู่แล้ว คือส่วนหยาบ โทษส่วนหยาบที่แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา มีใจเป็นตัวการสำคัญ เราก็ได้รักษาอยู่แล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้รักษาได้ง่ายกว่าธรรมประเภทอื่น ๆ

    สมาธิ ปัญญา ตามขั้นตามภูมิ ท่านสอนไว้แล้วโดยละเอียดลออไม่มีแง่สงสัย ธรรมเหล่านี้เป็นเครื่องมืออันเหมาะสมสำหรับที่จะสอดส่องมองดูและแก้ไขถอดถอนสิ่งที่เป็นโทษภายในใจของเราผู้ปฏิบัติ แต่เหตุใดจึงมีตั้งแต่โทษ ภายในจิตใจก็เป็นตัวโทษอยู่แล้ว แสดงอากัปกิริยาออกมาทุกอาการล้วนแล้วแต่โทษ ส่วนธรรมไม่ค่อยปรากฏหรือไม่ปรากฏ นี่เป็นสิ่งที่น่าคิดอยู่มาก ธรรมก็ประกาศกังวานมานาน ครูอาจารย์ทั้งหลายที่แนะนำสั่งสอนโดยถูกต้องแม่นยำ ท่านก็สอนมาอยู่เรื่อย ๆ ผู้รับการศึกษาอบรมจากท่านก็รับเรื่อยมา แต่ผลที่เกิดขึ้นจากการอบรมฝึกฝนทรมานตนจากครูจากอาจารย์นั้นไม่ค่อยปรากฏ มีแต่สิ่งที่จะแก้จะถอดถอนจะทำลายมันนั้นแลเจริญงอกงามขึ้นภายในจิตใจ มากกว่าธรรมจะเจริญภายในใจ นี่จึงเป็นเรื่องที่หนักอยู่มากสำหรับผู้ให้การแนะนำสั่งสอน

    ยิ่งมาสับปนกันมาก ๆ ไม่ทราบมาจากแห่งหนตำบลใด และไม่ทราบว่าได้รับการอบรมอย่างไรหรือไม่ มาคละเคล้ากันแล้วเลยกลายเป็นทะเลมูตรทะเลคูถไปตาม ๆ กันหมด เก้ง ๆ ก้าง ๆ เด้น ๆ ด้าน ๆ หนักใจจะตายทั้งผู้อยู่ก่อนทั้งครูอาจารย์ มันได้เรื่องได้ราวอะไร นี่ยิ่งนับวันมากขึ้นทุกที มากเพื่อความดีงามก็พอทำเนา ไอ้มากเพื่อความเหลวไหลเหลวแหลกนี่ซิ จะทำให้แหลกไปตาม ๆ กันหมด ควรคิดควรคำนึงให้มากนักปฏิบัติ อย่าเห็นแก่ความสุขความสบายซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสผลิตขึ้นมาหลอกลวงเป็นประจำเท่านั้น จะไม่มองเห็นทางออกเลย

    ถ้ายังมีความอาลัยเสียดายอยู่กับความสุขอันเป็นนิสัยของกิเลสฝังใจอยู่แล้ว จะไม่มีทางออก ธรรมจะประกาศกังวานอยู่ทั่วแดนโลกธาตุก็ประกาศแต่ธรรม แต่ไม่เกิดประโยชน์กับผู้ไม่สนใจ ผู้รักใคร่ต่อกิเลสอันเป็นกองเพลิงทั้งหลาย จะคลุกเคล้ากันอยู่อย่างนั้นตลอดไป หาต้นหาปลายไม่ได้ถ้าไม่มีการชำระสะสาง ไม่มีความอดความทนความอุตส่าห์พยายาม นี่จึงเป็นที่หนักใจอยู่มาก

    เคยสอนหมู่เพื่อนก็สอนมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งด้านปฏิบัติหนักเบามากน้อยเพียงไรก็ได้นำมาสอน อะไรในโลกอันนี้จะเป็นเรื่องยุ่งเรื่องยาก เรื่องเหนียวแน่นมั่นคงยิ่งกว่ากิเลส ที่ฝังอยู่ภายในจิตใจของสัตว์โลกและของเรานี้ไม่มีเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นการแก้ไข การถอดถอน การต่อสู้กัน จึงต้องเป็นเรื่องหนักไม่ใช่น้อย ถ้าเราจะเอาแบบกิเลสมาใช้กับกิเลส ก็เป็นการเพิ่มพูนหรือบวกกิเลสให้มีจำนวนมากและมีกำลังมากขึ้น ทุกข์ก็เพิ่มขึ้นตาม ๆ กันกับกำลังแห่งกิเลสมีจำนวนมาก เราหวังผลประโยชน์อะไรถ้าไม่เพิ่มพูนทางด้านธรรมะขึ้น วิริยะก็ต้องเพิ่ม คือความเพียร อุบายวิธีการต่าง ๆ ต้องพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง สังเกตเหตุสังเกตผล สังเกตการลบการบวกของตนเองในการประพฤติปฏิบัติพากเพียร สักแต่ว่าทำเฉย ๆ จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

    สติเป็นของสำคัญเคยพูดเสมอ อยู่ที่ไหน อิริยาบถใด ให้เป็นเหมือนกันกับเข้าต่อสู้สงครามอยู่ตลอดเวลา ทุกข์ก็ยอมทุกข์กับการต่อสู้ อย่ายอมทุกข์เพราะความแพ้ เพราะความนอนใจ ความคล้อยตามสิ่งที่มีอำนาจเหนือกว่าอยู่แล้ว

    ทำไมอริยสัจมีเต็มอยู่ทั้งร่างกาย และจิตใจไม่มีอะไรบกพร่องเลย ทำไมจึงไม่เห็น นี่ซิน่าแปลกใจอยู่มาก เอาจิตส่งไปไหน เอาสติปัญญาส่งไปไหน จิต สติ ปัญญา เป็นสิ่งที่จะควรรู้ควรเห็นสิ่งที่มีอยู่ในกายในใจของเราโดยแท้ ทำไมจึงไม่รู้ไม่เห็น ส่งไปไหน ส่ายไปไหน สัจธรรมมีอยู่ในกายในใจนี้แท้ ๆ ทุกข์ที่แสดงเปลวขึ้นมาภายในใจ ก็มีเชื้อของมันส่งเสริมคือสมุทัย ความคิดความปรุงด้วยความอยากในแง่ต่าง ๆ ไม่มีประมาณนั้นคิดอยู่ตลอดเวลา ปรุงตลอดเวลา สำคัญมั่นหมายอยู่ตลอด มีอะไรเข้าไปขัดไปขวาง มีอะไรเข้าไปทดสอบเข้าไปพิจารณา เป็นเครื่องคัดค้านต้านทานกันบ้าง ถ้ามีก็ควรจะรู้ เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดจากจิตแท้ ๆ สติปัญญาก็ผลิตขึ้นได้ในจิต อยู่ด้วยกัน ถ้าไม่ปล่อยเรื่องสติปัญญาให้เหลวแหลกแหวกแนวไปเสียเท่านั้น

    มีแต่เรื่องของทุกข์ของสมุทัยทำหน้าที่เต็มหัวใจอยู่ตลอดเวลา แม้ขณะที่สำคัญว่ากำลังทำความพากเพียรอยู่ ถ้าไม่เป็นทำนองที่กล่าวนี้อย่างไรต้องรู้ต้องเห็น เพราะสัจธรรมนี้สด ๆ ร้อน ๆ อยู่แท้ ๆ เป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลาภายในกายในใจของเรา ไม่เป็นสิ่งที่จะต้องคว้าหาโน้นคว้าหานี้ คว้าไปตามเวล่ำเวลาตามฤดูกาล ตามสถานที่นั่นที่นี่ ตามอิริยาบถนั่นนี่ มันมีอยู่กับกายกับใจนี้ตลอดเวลาโดยไม่เลือกว่ากาลสถานที่เวล่ำเวลาใด ๆ เลย เป็นของมีอยู่เป็นปัจจุบันธรรม หรือว่ากิเลสก็เป็นปัจจุบันของมันอยู่นั้น ธรรมก็เป็นปัจจุบันธรรม หยิบยกขึ้นมาพิจารณาเมื่อไรก็รู้ก็เห็นกัน แต่นี้ทำไมจึงไม่รู้ไม่เห็น

    เราหวังอะไรเรื่องความเกิด ความทุกข์ ความทรมานทั้งทางร่างกาย และจิตใจ เราเคยประสบพบเห็นมาด้วยกันแล้ว เป็นที่สงสัยที่ตรงไหน แล้วเรื่องความเกิดแก่เจ็บตายนี้ก็เอาตัวของเรานี้เป็นสักขีพยานยืนยันกัน ตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน และอนาคต หาประมาณไม่ได้ จะเป็นใครถ้าไม่ใช่เป็นเรื่องของจิตตัวหลับตาไม่มีสติปัญญารักษาตนนี้เลย กลิ้งไปเหมือนลูกฟุตบอลเท่านั้นไม่มีอะไรมาเป็นวัฏฏะ ผู้พิจารณาต้องพิจารณาตรงนี้ เราสงสัยอะไรเรื่องโลกสงสารอันนี้ มีอะไรที่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ น่าแปลกประหลาด น่าติดอกติดใจอ้อยอิ่ง ให้ยึดให้ถือให้คล้อยตามตลอดเวลาไม่มีเวลาจืดจางเลย นอกจากเป็นเครื่องล่อของกิเลสโดยถ่ายเดียวเท่านั้น เราสงสัยอะไร

    ท่านผู้วิเศษไม่ใช่ท่านผู้นอนจมอยู่ในกองทุกข์นี้ ผู้สลัดปัดทิ้งซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้วได้หลุดพ้นไป จึงให้นามว่าเป็นผู้วิเศษขึ้นมา และเป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ ดังพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาองค์ไหนก็วิเศษองค์นั้น เพราะพ้นจากสิ่งสกปรกโสมมไปแล้ว พระสงฆ์สาวกองค์ใดก็ตาม เมื่อหลุดลอยออกจากกองมูตรกองคูถคือกิเลสประเภทต่าง ๆ แล้ว เรียกได้เป็นผู้วิเศษด้วยกันทั้งนั้น ธรรมที่ท่านได้บรรลุท่านได้ตรัสรู้ก็เป็นธรรมวิเศษ เราเคยเห็นที่ไหนว่า กิเลสตัวราคะวิเศษ โทสะวิเศษ โมหะวิเศษ ความรักความชัง ความเกลียดความโกรธวิเศษ มีที่ตรงไหน เราถึงได้รักได้สงวนเอานักหนา จึงไม่เคยเห็นภัยมัน นอกจากถูกกล่อมตลอดเวลา

    การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นโซ่เป็นตรวนผูกมัดรัดรึงแล้ว จะอะไรเป็นผู้ผูกมัดรัดรึง เป็นผู้ชักผู้จูงให้เกิดในภพชาติต่าง ๆ พร้อมกับการหาบกองทุกข์ไปโดยลำดับลำดาในภพชาตินั้น ๆ ถ้าไม่ใช่ประเภทเหล่านี้จะเป็นอะไรไป ธรรมมีที่ไหนว่าพาสัตว์โลกให้ได้รับความทุกข์ ให้ได้รับความลำบาก ไม่เคยมี ทำให้สัตว์โลกได้รับความทุกข์ความทรมาน ไม่เคยมี ธรรมพาสัตว์โลกให้ล่มจมฉิบหาย ให้เป็นผู้ต่ำช้าเลวทรามไม่เคยมี มีแต่ให้วิเศษวิโสทั้งนั้น ดิบดีขึ้นไปโดยลำดับลำดาจนถึงขั้นวิเศษวิโส

    ไอ้ที่กล่าวมาเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เรื่องของกิเลส พาให้สัตว์ได้รับความทุกข์ความยากความลำบาก ความทรมาน ความต่ำช้าเลวทราม เกิดนั้นเกิดนี้เกิดไม่หยุดไม่ถอย เกิดที่ตรงไหนแบกทุกข์ที่ตรงนั้น คำว่าไม่ได้แบกทุกข์นี้ไม่มี ถ้าลงชื่อว่าได้เกิดแล้ว จะมากจะน้อยมีต่างกันบ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง แต่ยังไงก็คือตัวภัย ทำไมท่านถึงว่าเรื่องความเกิดเป็นตัวภัย ก็เพราะไม่ใช่ตัวคุณ คุณก็คือความไม่เกิด มหาคุณคือความไม่เกิด ความเลิศความประเสริฐก็คือจิตที่ไม่เกิด จิตที่หลุดลอยออกจากสิ่งที่พาฝังจมมาเป็นเวลานานนี้ได้แล้วเท่านั้น จึงเป็นผู้ประเสริฐ จิตประเสริฐ

    ความเพียร เราทำไมจึงให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดเวลา มันวิเศษละเหรอในวงความเพียร เดินจงกรมก็ให้กิเลสเหยียบ นั่งสมาธิก็ให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายอยู่ ธรรมเกิดขึ้นได้ที่ไหน ความเผอเรอ ความไม่มีสติสตัง ความไม่จดจ่อต่อเนื่อง ความไม่เอาไหน เหล่านี้ล้วนแล้วแต่กิเลสแทรกอยู่ตลอดเวลา เราทั้งหลายอยากทราบ เอ้า พิจารณาตามที่กล่าวนี้ซิ นี่ได้พิจารณามาแล้วไม่ได้คุย ไม่อย่างนั้นไม่ได้สิ่งเหล่านี้มาพูด ต่อสู้กันเสียจนชีวิตบางทีจะหาไม่ไปเลยก็มี แต่มันก็ไม่ตาย จึงได้เรื่องเหล่านี้มาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง

    ใครจะคิดก็คิดซิ มันวิเศษวิโสอะไรธาตุขันธ์อันนี้ ดูซิ ดินก็ทราบว่าเป็นดิน น้ำทราบว่าเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟอยู่แล้ว ในส่วนผสมที่เรียกว่าร่างกายนี้มีอะไรเป็นของประเสริฐเลิศเลอ มีความรู้ที่แทรกอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้น อาศัยประสาทช่วยรับรู้ในแง่ต่าง ๆ ซึ่งออกไปจากความรู้อันเดียวคือใจเป็นสำคัญ ก็มีเท่านั้น และพิจารณาลงไปซิ กรรมฐานที่พระพุทธเจ้าประทานไว้นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเหรอ นั้นแลคือเครื่องมือที่ปราบวัฏจักรวัฏจิตที่ติดพันอยู่ในสิ่งเหล่านี้ แยกแยะออกให้เห็นตามความจริงของมัน ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เข้าไปถึงภายใน นอกจากความเป็นปฏิกูลโสโครกไปหมดทั้งร่างนี้แล้ว ท่านยังแสดง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทับลงไปอีก ซึ่งเป็นส่วนละเอียดเป็นลำดับไป

    เราอยู่กับกอง อนิจฺจํ เป็นความสุขแล้วเหรอ นั่น อยู่กับกองทุกข์ กอดกองทุกข์เป็นความสุขแล้วหรือ อยู่กับ อนตฺตา กอด อนตฺตา อยู่ว่าเป็นตนเป็นตัวอยู่นั้น เป็นความสุขแล้วหรือ ถ้าสุขโลกนี้บ่นกันทำไม โลกนี้ต้องแบกทุกข์กันทำไม เพราะโลกนี้เต็มไปด้วย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยู่แล้ว หากว่าพาโลกให้ประเสริฐจริง ๆ โลกนี้ควรจะประเสริฐไปนานแล้ว นี่ก็เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเสี้ยนเป็นหนามเป็นพิษเป็นภัยนั่นเอง จึงได้สอนให้พิจารณาเพื่อถอดเพื่อถอนตนออกจากสิ่งเหล่านี้ การถอดถอนตนออกได้มากน้อย นั้นคือความพ้นภัยไปได้โดยลำดับ เมื่อถอนได้โดยสิ้นเชิงแล้วก็ภัยไม่มี ความทุกข์ก็สิ้นซากลงไป เพราะกิเลสสิ้นซาก

    นี่ได้สอนซ้ำ ๆ ซาก ๆ สอนหมู่เพื่อนมาเป็นเวลาตั้ง ๓๐ กว่าปีแล้วนี่จนกระทั่งป่านนี้ สังขารร่างกายก็ร่วงโรยลงไป ๆ หมู่เพื่อนพอที่จะได้รับเหตุรับผลเป็นเครื่องทำนุบำรุงจิตใจ ให้ได้สืบต่อแขนงแห่งธรรม ตั้งแต่สมาธิธรรม ปัญญาธรรมขึ้นไป ก็ไม่ค่อยปรากฏแล้วทำยังไง นี่ตามปกติก็ไม่ประชุม เพราะเหนื่อยลำบากในธาตุในขันธ์แต่ก็ทนเอา เมื่อพอถูไถได้จึงต้องลงมา หมู่เพื่อนควรจะเห็นใจตัวเองด้วย เห็นใจครูอาจารย์ด้วย ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งที่เป็นข้าศึก คำว่าข้าศึกอยู่ที่ไหนก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่มีเป็นความเคยชินต่อผู้ใด ใครสัมผัสสัมพันธ์เข้าก็เหมือนไฟ ต้องร้อนทุกระยะ ร้อนทุกจุดที่สัมผัสกัน กิเลสก็เหมือนกันอย่างนั้นเอง

    วันหนึ่งคืนหนึ่งประกอบความเพียรมานี้เป็นผลยังไงบ้าง ได้บวกลบคูณหารกันบ้างหรือยัง ควรจะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงแก้ไขกันอย่างไร ไม่มีสติปัญญาไปไม่รอดนะ เรื่องกิเลสนี่แหลมคมขนาดไหนได้เคยพูดแล้ว มีสติปัญญาเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดได้ อย่างที่เคยเป็นมาก็คือเรื่องของกิเลสอยู่แล้ว จะรอดหรือไม่รอดมันก็จมอยู่แล้ว มีปัญหาอะไรที่จะพูดขึ้นมา นอกจากจะใช้สติปัญญาให้มีความละเอียด จะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงให้ทันกับเหตุการณ์ คำว่าเหตุการณ์คือเรื่องของกิเลสนั่นเอง ไม่ใช่เรื่องอื่นเรื่องใด

    สมาธิก็อยู่กับตัวนี้ ภาวนาให้เป็นสมาธิทำไมจิตมันเป็นไปไม่ได้ ทำอะไรต้องทำให้จริงให้จังอย่าทำเหลาะ ๆ แหละ ๆ อยู่ที่ไหนก็ให้กิเลสไปทำงานเสีย ในวงสมาธิก็ให้กิเลสไปทำงานอยู่นั้นเสีย มีแต่ชื่อว่าสมาธิ ภาวนาก็มีแต่ชื่อ ผู้ทำงานจริง ๆ คือเรื่องของกิเลส เรื่องความเผอเรอ ความเลื่อนลอย หาความพากเพียรไม่ได้ หาความอดทนไม่ได้ หาสติปัญญาไม่ได้ กลายเป็นเรื่องของกิเลสไปเสียหมด แต่แล้วก็จะทวงเอามรรคผลนิพพาน ทวงเอามรรคผลนิพพานจากกิเลสได้ที่ไหน ถ้าไม่ทวงจากอรรถจากธรรม มีสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม เป็นต้น ไม่ต้องทวงก็ได้ ขอให้หนักแน่นในธรรมเหล่านี้ จะเป็นกุญแจเปิดออกให้เห็นแจ้งชัดเจนในความจริงทั้งหลายที่มีอยู่มากน้อย หยาบละเอียด พ้นสติปัญญานี้ไปไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าเคยประกาศกังวานมา ๒,๕๐๐ ปีนี้แล้วด้วยธรรมเหล่านี้ เราผู้ปฏิบัติธรรมจึงไม่ควรนอนใจ

    ผู้มาศึกษาอบรมพอสมควรที่จะขยับขยาย ก็ควรพิจารณาถึงหมู่ถึงเพื่อนที่เข้าใหม่ก็มี ผู้ที่จะมาใหม่ก็มี หัวใจมีคุณค่าด้วยกัน มีความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน มีแต่อัดแน่นอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่มาใหม่อบรมศึกษาก็ไม่ได้เรื่อง สุดท้ายผู้อยู่เก่าก็ไม่ได้เรื่องอีก แน่นอัดกันอยู่ เลยกลายเป็นข้องอึ่งข้องปลาไปเสีย อยู่ในข้องเต็มข้องนั่นแหละ คอยแต่จะลงหม้อน้ำร้อน วัดก็เลยเป็นเหมือนข้องปลาไปน่ะซิ หม้อน้ำร้อนก็คือราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา นั่นแลจะเป็นอะไรไป

    นี่ดูมัน โห ขวางตามากนะระยะนี้ ทำให้คิดเอามากทีเดียว ที่เราห่างจากการแนะนำสั่งสอนการอบรม ตั้งแต่ออกพรรษามาแล้วนี้สุขภาพไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน การอบรมสั่งสอนหมู่เพื่อนก็น้อยลงไป ๆ จนแทบว่าจะขาดไปในบางครั้ง ทีนี้หมู่เพื่อนก็มาเรื่อย ๆ มองดูก็ขวางแล้ว ฟังด้วยหูก็ขวางแล้ว สัมผัสสัมพันธ์อะไร ๆ ขวางไปหมด อะไรมันขวาง ถ้าไม่ใช่เรื่องของกิเลสจะมาขวางได้ยังไง ก็เรื่องความผิดความพลาดความไม่น่าดู ความพลั้งความเผลอ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องคลังของกิเลสทั้งมวลแสดงตัวออกมา เจ้าตัวไม่รู้เพราะไม่มีเครื่องพิสูจน์ ไม่ได้พิสูจน์ ไม่สนใจพิสูจน์ในตัวเอง นี่สำคัญ มันจึงไม่รู้ ผู้อื่นอยู่ไกล ๆ มองเห็นทำไมรู้

    </td></tr></tbody></table>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a22-02-2526.wma
      ขนาดไฟล์:
      10.2 MB
      เปิดดู:
      1,116
  2. Limtied

    Limtied เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    822
    ค่าพลัง:
    +3,662
    ขออนุโมทนา
    สาธุ สาธุ สาธุ

    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  3. xmen123

    xmen123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    431
    ค่าพลัง:
    +152
    ขอ ขอบคุณ และขอ โมทนาบุญ ด้วยครับ+++
     
  4. P.S._FabriNET

    P.S._FabriNET เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2010
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +803
    ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง อนุโมทนาสาธุครับ
     
  5. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,676
    ค่าพลัง:
    +2,294
    สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
     
  6. manop_225

    manop_225 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2009
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +0
    อนุโมทนา สาธุครับ
     
  7. paul1234

    paul1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    392
    ค่าพลัง:
    +634
    อนุโมทนา สาธุครับ<!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...