ปุจฉา-วิสัชนา พระอริยเจ้าสายพระป่าธรรมยุติ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 20 ตุลาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๓. ครูบาอาจารย์บางท่านนำคณะศิษย์ออกเดินธุดงค์ไปตามท้องถิ่นธุรกันดาร เพื่อแสวงความสงบทางจิต โดยมีพระภิกษุสามเณรและบางทีก็มีพ่อขาวติดตามไปด้วย ทำให้กระผมมีความคิดว่าฆราวาสถ้ามีสมาทานศีล ๘ ควรจะมีโอกาสออกเดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์ไปได้ดังเช่นพ่อขาวซึ่งก็สมาทานเพียงศีล ๘ เช่นกัน ดังนั้นกระผมจึงได้ชักชวนเพื่อนพ้องที่มีความเห็นตรงกันจัดตั้งชมรมธุดงค์กัมมัฏฐานธัมมะบูชาขึ้น เมื่อต้นปี ๒๕๒๙ มีสมาชิกของชมรมเกือบ ๒๐๐ คน ได้เคยพาคณะออกธุดงค์แสวงบุญไปตามจังหวัดต่างๆ ประมาณ ๗ ครั้งแล้ว ทุกๆ ครั้งได้นัดหมายครูบาอาจารย์ที่ท่านอยู่ใกล้บริเวณที่ออกธุดงค์นั้นไปเป็นองค์ควบคุมการปฏิบัติ ทั้งแสดงธรรมะนำทางด้วย สถานที่ๆ ไปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นที่ๆ ครูบาอาจาีรย์ผู้ใหญ่ได้เคยไปพักปฏิบัติธรรมมาแล้ว การเดินทางของพวกกระผมแต่ละครั้งไม่เกิน ๑๐ คน ใช้เวลาประมาณ ๘ วัน สมาชิกทุกคนสมาทานศีล ๘ นุ่งขาวห่มขาวทานอาหารมื๊อเดียว ได้มีโอกาสอยู่ในถ้ำ้บ้าง อยู่ในป่าบ้าง กลางแจ้งบ้าง ตามแตาสถานที่จะพึงมี การเดินทางก็ย้ายไปเรื่อยๆ มีโอกาสใส่บาตรฟังธรรมเจริญภาวนาได้เต็มที่เป็นที่พึงพอใจของคณะที่ร่วมทางเพราะได้บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่างครบถ้วน รู้สึกิ่มใจปิติใจกับทุกคน แต่ในที่สุดก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ครับ กระผมขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าขอคำปรึกษาเพื่อความกระจ่างดังนี้ครับ

    ๑. มีสมาชิกของชมรมหลายท่านแจ้งให้กระผมทราบว่า เมื่อก่อนเข้าพรรษาปี ๓๐ นี้ มีผู้กล่าวอ้างว่าเป็นผู้รู้ในเรื่องกิจกรรมของธุดงค์ดี ได้กล่าวเตือนสติว่า... การออกเดินธุดงค์เป็นกิจของพระภิกษุ สามเณร ไม่ใช่กิจที่ฆราวาสจะพึงนำมาปฏิบัติ

    ๒. การออกธุดงค์ของพวกฆราวาสเป็นการเหนื่อยเปล่าๆ หมดเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่คุ้งค่า เป็นการไปเพื่อความสนุกสนานโดยมีพระภิกษุสามเณรเป็นผู้นำทัศนาจร

    ๓. ธุดงควัตรซึ่งท่านผู้นั้นกล่าวว่าเป็นกิจกรรมเฉพาะพระภิกษุสามเณรนั้น ท่านว่าเป็นสิ่งอันเป็นมงคลสูงยิ่ง เมื่อฆราวาสนำไปปฏิบัติย่อมทำให้เกิดความวิบัติเป็นอัปมงคลต่อชีวิตและครอบครัว

    [​IMG] เรื่องธุดงควัตรนั้นสมควรแก่ฆราวาสหรือไม่ เมื่อพิจารณาแล้วก็เป็นเรื่องที่ตอบยากบ้างเพราะเหตุว่า การที่พระองค์ทรงบัญญัติธุดงควัตรก็เพื่อเน้นให้เป็นเรื่องขัดเกลากิเลส ถ้าภิกษุสามเณรไม่ประสงค์จะปฏิบัติก็ไม่ปรับอาบัติอะไรเพราะตั้งไว้เป็นกลางๆ จะปฏิบัติก็อนุโมทนา ส่วนพระวินัยนั้นในพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร เมื่อพระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้วจะไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ได้ ต้องปรับโทษตามเหตุผลที่ล่วงละเมิดน้อยและมากเรื่องพิเศษ ความเห็นของอาตมามีดังต่อไปนี้ ถ้าหากว่าพวกท่านที่จับกลุ่มกัน จงรักภักดีกันเป็นสามัคคีธรรม เพื่อจะปฏิบัติธรรมในส่วนนี้เสมอกันหมดไม่มีแง่งอนปัญหาทั้งหลายก็จะไม่เกิดขึ้นในพวกท่าน ส่วนปัญหาอื่นภายนอกไม่เป็นปัญหา ถ้าวงศ์ของพวกท่านจงรักภักดีต่อมรรคผลนิพพานอย่างแท้จริง ปัญหาก็จะไม่บานหน้า เรื่องสำคัญมีอยู่ข้อหนึ่งเพศที่ตรงกันข้ามไปด้วยนั้นเองเป็นปัญหามาก เดี่ยวจะถูกกล่าวตู่อย่างนั้นอย่างนี้ ในระหว่างสามีและภรรยาหรือระหว่างคณาญาติของเขาอะไรสารพัด และการเปลืองทรัพย์สินนั้น ถ้าหากผู้มีพอกินพอใช้ก็ไม่สำคัญ ถ้าหากผู้หาเช้ากินเย็นก็ชักจะเกิดปัญหา มีปัญหาสอดเข้ามาว่าเรื่องจะทำตนให้เป็นสุปะฏิปันโนนั้นเพียงแค่ไหนเป็นเพศขาวหรือเหลืองหรือดำ อาตมาเข้าใจว่าไม่เป็นปัญหาในเรื่องเพศ เพราะสุปะฏิปันโน เกี่ยวกับศีล ๕ บริบูรณ์เท่านั้นไม่ด่างพร้อยและเป็นนิจศีลด้วย และไม่เสียดายล่วงละเมิดด้วย แม้อบายมุขทุกประเภทก็เช่นกัน แม้กามารมณ์จะมีอยู่ก็ยินดีแต่เพียงสามีภรรยาของตนเท่านั้น แม้จะมีโกรธก็ไม่ถึงกับผูกเวรไม่สาปแช่งใครทั้งนั้น ทั้งเปล่งวาจาออกปากและนึกในใจก็ไม่มีเสียดายเลย จะนุ่งขาวนุ่งดำสำหรับปกกายก็ไม่มีปัญหา

    หนึ่ง การคบมิตรท่านก็ไม่คบมิตรที่ล่วงละเมิดอบายมุข และก็ไม่ให้กระทบกระเทือนเขาด้วยและไม่สงสัยยินดีในศาสนาอื่นเลย ยอมเป็นยอมตายต่อพุทธ ธรรม สงฆ์ ผูกขาดจองขาดไม่ถือว่าภูติผีปีศาจจะมาทำอะไรเราได้ ไม่ถือฤกษ์ดียามดี ความดีหรือไม่ดีมันขึ้นอยู่กับเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฤกษ์กับยาม เราคือใจ ใจคือเรา ตามสมมติไม่ปฏิเสธสมมติตามส่วนนี้ ส่วนใจเป็นสักแต่ว่าใจ กายเป็นสักแต่ว่ากาย เวทนาเป็นสักแต่ว่าเวทนา จิตเป็นสักแต่ว่าจิต ผู้รู้เป็นสักแต่ว่าผู้รู้ การปฏิบัติแบบนี้เขาผ่านสุปะฏิปันโนไปแล้ว เมื่อได้สุปะฏิปันโนอยู่ในอุ้งมือ อุ้งมือคืออุ้งมือจิตอุ้งมือใจอุ้งมือสติอุ้งมือปัญญาสมดุลย์กัน อุชุ ญายะ สามี ก็ค่อยเป็นไปเองอยู่ในตัวเพราะเดินร่วมหนทางกันแล้ว

    อนึ่ง เรื่องการจับกลุ่มทำบุญแบบนั้นแบบนี้ในสมัยโลกปัจจุบันเป็นของดีอยู่แล้วเพราะไม่ได้จับกลุ่มกันไปทำทุจริต เจตนาดีอยู่ แต่บางสิ่งบางอย่างมันจะบานหน้าในทางที่ปกครองไม่ไหว สิ่งนั้นก็ควรห้ามล้อ ถ้าหากว่ามุ่งหวังมรรคผลนิพพานในปัจจุบันชาติ ในหมู่ของแต่ละหมู่ปัญหาทั้งหลายเรื่องนอกประเด็นอันหยาบก็แบ่งเบาไปในตัว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็ไปไม่รอด ถ้าหากว่าจิตใจสูงวางเฉยไปเสียทุกๆ ท่านที่มากระทบกระเทือนก็ย่อมชนะสิ่งเหล่านั้นไป ที่พระบาลีบอกว่า นัตถิโลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก สิ่งไหนที่เขานินทาตามเป็นจริงเราก็ต้องแก้ สิ่งไหนที่ไม่เป็นจริงเราก้ไม่แก้ ก่อนที่จะรู้ว่าสิ่งที่จริงหรือไม่จริงจะเอาอะไรไปเป็นเครื่องวัด ยกอุทธาหรณ์ ช่างไม้จะต้องเอาดิ่งเป็นเครื่องตัดสินและระดับน้ำเป็นต้น ส่วนเราก็ต้องเอาธรรมคำสั่งสอนเป็นเครื่องตัดสินอันมีในโครตในสูตรในธรรมะวิภาคเล่ม ๑ จงพากันตรจดูให้ชัด เราไม่อาศัยคำสอนของพระบรมศาสนา กำปั้นเท่ากำปั้นก็ไม่ลงกันได้โดยง่าย เพราะพระบรมศาสดาเทศน์ไว้บริบูรณ์แล้ว และก็ให้เอาคำสอนของพระองค์แทนตัวของพระองค์ไว้ได้ทุกเมื่อ จดหมายฉบับที่พวกท่านถามมานี้เป็นของตอบยากนัก แต่ก็รู้เจตนาของพวกท่านนั้นดีอยู่แล้ว ส่วนที่เขาคัดค้านก็เอาคำสอนของพระพุทธศาสนาไปเทียบเคียงนั้นเอง จะอย่างไรก็ตาม ขอให้พวกท่านตรวจดูเรื่องธุดงควัตรของพระพุทธศาสนาในธรรมะวิภาคเล่ม ๒ ดังกล่าวแล้วนั้น ก็สิ้นความสงสัยไปเอง
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๔. ดิฉันอยากจะขอเรียนถามหลวงปู่ถึงเรื่องการควบคุมจิตใจให้มีความสงบอยู่นานๆ และขออุบายหรือวิธีการในการทำสมาธิเพื่อให้จิจสงบเร็วขึ้นด้วยค่ะ
    [​IMG] การภาวนาอยากจะให้จิตจดจ่ออยู่นานๆ ก็ต้องตัดความละโมบอารมณ์อื่นที่มาเกยมาพาด ต้องตั้งสติไว้กับอาจารย์เดิม (คือกรรมฐานเดิมที่ตั้งไว้) ยินดีในกรรมฐานที่ตั้งไว้นั้น อย่าไปยินดีในกรรมฐานอื่นที่ยังไม่ได้ตั้ง นึกหรือบริกรรมกรรมฐานอันเดิมนั้นแหละ ตั้งสัจจะไว้ในที่นั้น ตั้งอธิษฐานไว้ในที่นั่น ถ้ามันลืมไปก็ดึงมาอย่าได้เสียใจเพราะความสำเร็จอยู่กับความอดทนและความเพียร เพราะเอากรรมฐานเดิมที่ตั้งเป็นตัวประกันยอมเป็นยอมตายกับกรรมฐานเดิมนั้น คำว่า "ศีล" คำว่า "ปัญญา" ก็รอบรู้ในกรรมฐานที่ตั้งไว้นั้น อย่าไปวอกแวกเคลื่อนที่ไปทางอื่นเพราะเรารวมคำสอนของพระองค์แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์มาไว้ที่เป้ากรรมฐานที่เราตั้งไว้นั้นแล้ว

    ตลอดทั้งพระพุทธ พระธรรมทั้งหลาย อันหาประมาณไม่ได้เราก็เอามารวมไว้ที่เป้าอันเดียวนั่นแล้ว เราไม่สงสัยจะส่งส่ายไปหาอันอื่นเลย ถ้าไม่ขนาบทิฏฐิของตนอย่างนั้นมันก็ไปคว้าอันนั้นอันนี้อยู่ จิตของเราก็ไม่รวม ความเห็นชอบของเราก็ไม่รวมอยู่ที่แห่งเดียว ที่มันไม่ยอมอยู่ที่แห่งเดียวเพราะอุบายของเราไม่ทันกับกิเลสของเรา เพราะกิเลสของเรามันหลุกหลิกๆ อยู่เหมือนลิง กระโดดนั้นกระโดดนี้ กระโดดถูกกิ่งไม้ผุก็ตกตูมตาย เหตุนั้นจึงให้สันโดษยินดีในกรรมฐานเดิมที่ตั้งไว้ เปรียบเหมือนทิศเหนือ เมื่อทิศเหนือมีอำนาจในแม่เหล็ก เข็มทิศใดๆ ย่อมชี้ไปทางทิศเหนือทั้งนั้น เป็นเมืองขึ้นทิศเหนือก็ว่าได้ ฉันใดก็ดี เมื่อเราตั้งมั่นไว้ในกรรมฐานใดๆ เป็นหลักแล้ว กรรมฐานอื่นๆ มีตั้งหมื่นตั้งแสนย่อมเป็นเมืองขึ้นของกรรมฐานที่เราตั้งไว้ จะเป็นวิปัสสนากรรมฐาน
    กรรมฐานที่เกี่ยวกับปัญญาก็ดี หรือสมถกรรมฐาน กรรมฐานที่เกี่ยวกับจิตใจก็ดี ก็มารวมพลกันอยู่กับเป้าเดิมที่เราตั้งไว้ไม่ส่งส่ายนั่นเอง แม้มรรค ผลนิพพานก็อยู่ในที่นั้นด้วย แม้เราจะกระจายออกจากเป้าเดิมที่นั้นเราก็ไม่สงสัยอีก ให้ถือว่ามันแตกออกจากเป้าเดิม ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา อันเก่านั่นเอง ให้เข้าใจ ว่าสมาธินี้เหมือนเชือกเส้นยาวๆ ที่เราขึงไปทั่วไตรโลกธาตุ แต่เราสาวเข้ามาให้มันรวมเป็นกองเดียวจะโตเท่าฟ้าเท่าแผ่นดินก็ตามหรือจะเล็กลงเท่าปลายเข็มก็ตามก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๕. การบวชชี การถือศีล ๘ สำหรับฆราวาสผู้ต้องทำงาน มีความสำคัญแค่ไหนเจ้าค่ะ

    [​IMG] การถือศีล ๘ ถ้าเรามีศรัทธาเต็มภูมิก็ไม่เห็นยากอะไรและศีล ๘ นี้เมื่อทำไม่ให้ด่างพร้อยแล้วก็เป็นศีลพระอนาคามี ส่วนศีล ๕ ถ้าทำไมให้ด่างพร้อยก็เป็นศีลพระโสดาบัน ศีล ๘ ก็ดี ศีล ๕ ก็ดีเป็นโลกุตรศีลทั้งนั้นเพราะเบื้องต้นยอมถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานไม่เอาลัทธิอื่นมาบนเปและผู้ต้องทำงานมีความสำคัญและไม่สำคัญนั้น มีความสำคัญอยู่ การทำงานที่เป็นการงานที่ชอบคือสัมมากัมมันโต การงานอันนั้นเว้นจากฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามเรียกว่างานที่ชอบ การงานนี้จะเว้นไม่ได้เพราะเป็นการครองชีพ ส่วนที่มีความสำคัญและไม่สำคัญนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับศรัทธาของผู้จักรักษา ท่านผู้มีศรัทธาพร้อมทั้งปัญญานั้นสิ่งที่หนักย่อมถือว่าเป็นของเบาได้เพราะมีศรัทธาเพราะการถือศีล ๕ ศีล ๘ ไม่ได้ลงทุนซื้อท่านผู้ใด แต่การถือศีล ๘ นั้น ทานอาหารเช้ากับเที่ยงเท่านั้น แต่ต้องล้างปากให้ดี ถ้ามีกลิ่นอาหารอยู่ในปาก และเศษอาหารอยู่ในช่องฟันแห่งใดแห่งหนึ่ง ชำระไม่หมด พอตะวันบ่ายแล้วกลืนน้ำลายลงไปก็ขัดต่อ "วิกาลโภฯ" คือเป็นฉันอาหารในเวลาวิกาล เพราะสิกขาบทข้อนี้ไม่ได้มีเจตนา เป็นอจิตตกะ เพราะไม่มีเจตนาก็ไม่พ้นศีลขาด แม้หลวงปู่ทุกวันนี้ฟันโยกคลอนและแตกหัก เป็นหลุมบ้าง ฉันอาหารเช้าแล้วก็พยายามล้างจนที่สุดแต่ถึงกระนั้นเศษอาหารค้างอยู่ที่ฟันและไรฟัน เพราะเราแก่แล้วฟันก็แตกบ้างเป็นหลุมบ้าง ข้อนี้เป็นของปฏิบัติยากอยู่ แต่เป็นหนุ่มไม่ยากเพราะฟันยังไม่แตกไม่โยกไม่คลอน
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๖. การที่ดิฉันออกไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดโดยที่พ่อแม่ไม่ยินดี และไม่เห็นด้วยจะเป็นบาปกับดิฉันไหมเจ้าค่ะ ดิฉันยังไม่ได้แต่งงาน พ่อแม่ของดิฉันไม่ค่อยเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา จะทำบุญกับโรงพยาบาลเท่านั้น

    [​IMG] ลูกๆที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนานั้น ส่วนบิดามารดาไม่เลื่อมใสเรื่องเหล่านี้มันเป็นมาแต่ดึกดำบรรพ์ คือเรื่องพระโมคคัลลาน์ มารดาขององค์ท่านไม่ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเลย เคยเป็นมารดาของพระอรหันต์มาตั้ง ๗ ชาติแล้วก็ยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาส่วนพระโมคคัลลาน์ท่านก็หาวิธีปลอบโยนให้มารดาเลือมใสพระพุทธศาสนา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลเลย องค์ท่านก็หมดปัญญาครั้นมารดาสิ้นลมปราณแล้ว องค์ท่านก็เข้าฌาน เหาะไปในที่ต่างๆ เพื่อจะไปเจอมารดา ทั่วพิภพก็ไม่เห็นจึงมากราบทูลพระบรมศาสดาว่า "เกล้าไปหาพระมารดาด้วยฤทธิ์กำลังฌาน ไปหาที่ไหนก็ไม่เจอเลย" พระบรมศาสดาตอบว่า "ถ้าเธอต้องการเห็นมารดาของเธอ เธอก็จงไปดูห้องถ่าย" เพราะห้องถ่ายแต่โบราณมันเป็นหลุมบ่อย องค์ท่านบอกว่า "มารดาของเธอเป็นหนอนอยู่ในหลุมถ่ายนั้น" เมื่อองค์ท่านได้ฟังแล้วก็หมดปัญญา ก็เลยใช้อุเบกขาตามบุญตามกรรม แต่เราปัจจุบันนี้ ถ้าเจออย่างนั้นจะปฏิบัติอย่างใด ส่วนถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ใจของใครของมัน ไม่เป็นของสำนักอะไรนัก ส่วนเราจะไปมาหาสู่หมู่เพื่อนตลอด พระภิกษุสามเณรอันเป็นชาวพุทธ ถ้าหากว่าท่านห้าม ความไม่เป็นธรรมก็อยู่กับท่าน

    แต่เราอย่าไปโกรธให้ท่าน หาอุบายเคารพ ขอกราบไหว้ให้ทรงอนุญาต ถ้าไม่ทรงอนุญาตแท้ๆ เราก็ไม่ฝืน แต่จิตใจของเราอุทิศยอมเป็นยอมตายต่อพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์อยู่ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และเราก็พยายามไม่ให้กระทบกระเทือนท่าน พูดจาปราศัยด้วยความเคารพอ่อนน้อม บอกว่าจิตอารมณ์ของลูกเป็นอารมณ์อยู่กับพุทธ ธรรม สงฆ์แกะไม่ได้คลายไม่ออก บิดามารดาผู้ทรงคุณล้นเกล้าจะดุด่าว่ากล่าวยังไงก็ขอกราบเท้าทูลถวายอย่าให้ลูกๆ ได้เป็นบาปเป็นกรรมอันใดเทอญ เราต้องไปแถวนี้ เรียกว่าเอาใจดีฆ่าเสือ ได้ผลหรือไม่ได้ผล เราก็พยายามอย่างนั้น สุดท้ายก็คงลงเอยกับเรา เพราะเราเคารพท่านอยู่ไม่ได้ทำแข็ง กระด้าง ด้วยกาย วาจา ใจ และขอจงเชื่อว่าบาปไม่ชนะบุญแต่ไรๆ แล้ว
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๗. การจบการทำบุญ(สิ่งของ ปัจจัย) ที่ถูกควรทำอย่างไร ควรจบ (อธิฐานทุกครั้งหรือไม่ อย่างไรครับ เห็นบางครั้งจบตั้งนาน ส่วนผมบางทีก็จบว่าขอถวายเพื่อบูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวก หรือขอให้พบแต่สิ่งที่ดีงามและขอให้พ้นทุกข์(บางทีเผื่อบิดา มารดา ผู้มีพระคุณบางทีก็ขอให้มีปัญญาสติ)

    [​IMG] การทำบุญต้องให้รู้จักเจตนาของตนว่าทำเพื่ออะไรเป็นเจ้าหัวใจ ทำเพื่อพ้นทุกข์ในวัฎฎสงสารคือพระนิพพานอันนี้เป็นคิวสำคััญมากคิวก็ดี ความประสงค์ก็ดี เจตนาก็ดี ความสัจที่ตั้งไว้ก็ดี ความอธิฐานที่ตั้งไว้ก็ดีก็มีความหมายอันเดียวกัน ส่วนสิ่งของที่เราจะเอาไปบริจาคทานนั้น ถ้าหากว่าทำกับพระปฏิบัติเคร่งครัดในธุดงควัตร หากว่าเป็นเกี่ยวกัยจีวร เราก็ต้องบังสุกุล การบังสุกุล การบังสุกุลมีหลายอย่างแบบหนึ่งบังสุกุลไว้ที่ทางจงกรมของท่านหรือที่บริเวณกุฏิท่าน หรือที่บันไดท่านแล้วเอาใบไม้เป็นพาดไว้เพื่อให้เป็นเครื่องหมายว่า "บังสุกุล" อีกแบบหนึ่ง เอาไปบังฯ ไว้ในศาลาประชุมสงฆ์ และหนทาง (บิณฑบาตร) หรือประตูเข้าวัด

    ส่วนอาหารนั้นท่านผู้ถือธุดงค์เคร่ง ท่านก็ยินดีอันตกลงในบาตร ส่วนโรงครัวนั้น ถ้าวัดใหญ่โตรโหฐานมีพระมากก็เว้นในการทำอาหารไม่ได้ แต่ท่านก็มีขอบเขตอยู่ ฉันหนเดียวด้วย ที่เรียกนั่งอาสนะเดียว ฉันในบาตรด้วย ผู้ที่ฉันในบาตรเคร่งเอารวมลงทั้งหวานและคาวด้วย ไม่ได้ใส่ฝาบาตร ที่นี้ การอธิษฐานมันก็ต้องเอาเจตนา ของเราเป็นประมาณ เป็นภาษาไทยภาษาใจเราก็ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มันอยู่ต้นมือที่เราจะมุ่งบริจาคแล้ว ส่วนปัจจัยนั้นถ้าจะให้สะดวกกับองค์ท่านแท้ เราก้ต้องเอาธนาณัติ,ตั๋ว ฯ หรือเช็ค ฯ ส่วนจะน้อยหรือมาก มันก็ขึ้นอยู่เท่าที่เรา ศรัทธาอันเป็นเจตนาของเรา ส่วนมีเจตนาเพื่อพ้นทุกข์ในวัฎฎสงสารไม่มาเกิดอีกนั้น คำว่าไม่มาเกิด คือไม่มาเกิดในวัฎฎสงสาร คำว่าวัฎฎสงสารหมายเอาพรหมโลกลงมาจนถึงสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์ในนรก และเพื่ออุทิศให้บิดามารดาตลอดทั้งผู้มีพระคุณหรือทั่วทั้งไตรโลกธาตุ อันนั้นเป็นเจตนาดีแล้ว ถึงแม้ของบริจาคทานเราเล็กน้อยก็ไม่ขัดข้องต่อธรรมะยิ่งได้บุญทวีคูณเหมือนเดิม ถ้าทำมากก็ยิ่งได้มาก การอุทิศบุญให้แต่ท่านผู้อื่นบุญไม่ได้หมดไป มีแต่ได้ทวีมากแม้ข้าวเมล็ดเดียวจะอุทิศถึงไตรโลกธาตุได้ไม่ว่าทำบุญประเภทไหนชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็ตาม ขณะจิตเดียวก็ตาม อุทิศให้ไตรโลกธาตุได้ทั้งนั้น อุทิศให้ไตรโลกธาตุได้ทั้งนั้น ท่านเหล่านั้นจะได้รับหรือไม่ได้รับแต่อุทิศให้ท่วมไม่เสียแล้งไม่เสีย และการทำบุญส่วนตัวก็ดี หรือบุญอุทิศก็ดี ทำเพื่อรู้แจ้งพระนิพพานโดยด่วนนั้น มีอานิสงส์มากหาประมาณไม่ได้ และก็เป็นปัญญาไปทางลัดด้วยแต่ผู้สร้างบารมีแก่กล้ามาแล้ว จึงพอใจต้องการอย่างนั้น
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] (คำถามชุดที่ ๘)
    ๑. ผู้ที่บริจาคดวงตาให้กับโรงพยาบาลมีอานิสงส์ไหม


    ๒. เมื่อบริจาคดวงตา ถ้าเป็นบุญบารมี จะเป็นปัจจัยให้ได้ดวงตาเห็นธรรมได้หรือเปล่า

    ๓. จะเป็นอานิสงส์ให้ได้ถึงฌานถึงสมาบัติได้ไหมสุดท้ายพระนิพพานด้วย

    ๔. สมมติผู้บริจาคมีศรัทธา บริจาคมอบให้โรงพยาบาลแล้วอยู่มาอีกเป็นสิบปีจึงสิ้นชีวิต ลูกหลานเกิดเบี้ยวหรือไม่ยอมบอกให้หมอมาเอาดวงตาหรือลูกหลานลืมไม่ได้นึกถึงจึงไม่ได้เรียกหมอมาเอาดวงตา กรณีเช่นนี้ผู้ตายหรือผู้บริจาคจะได้บุญหรือานิสงส์ไหม

    ๕. มีผู้คนเขาพูดว่าให้ดวงตาเขาไปแล้ว เมื่อไปเกิดชาติหน้าภพหน้าจะเป็นคนพิการจริงหรือไม่

    ๖. บางคนก็ว่าสละดวงตาไปแล้วเป็นวิญญาณก็ดี หรือเป็นผี และไปเกิดในภพสัภเวสี จะไม่มีลูกตาดวงตา จริงหรือไม่

    ๗. เมื่อหมอเอาดวงตาไปแล้วใส่ให้ผู้อื่นเกิดใช้ไม่ได้ และดวงตานั้นเกิดเสียหาย หรือหมอทำผิดพลาดด้วยเหตุใดๆ ก็ดี จนดวงตาที่เอาไปนั้นใช้ไม่ได้เหตุการณ์เช่นนี้ผู้สละดวงตาจะได้อานิสงส์ไหม

    ๘. ผู้ที่บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อให้บรรดาหมอและพยายามไปเรียนหรือศึกษาจะได้อานิสงค์ผลบุญหรือไม่อย่างไร เมื่อสิ้นชีวิตแล้วและชาติเบื้องหน้า

    ๙. เมื่อบริจาคดวงตาและร่างกายให้โรงพยาบาลโดยได้ทำการจดชื่อลงชื่อมอบให้ แล้วกลับมาบ้านจะนิมนต์พระสงฆ์มาทำบุญบ้าน แล้วกรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และสัตว์ผู้บริจาคได้ทำเอาไว้กับสัตว์นั้นจะได้หรือไม่ จะถูกต้องหรือไม่

    ๑๐. ถ้าถูกต้องทำได้ และถ้าทำบุญกรวดน้ำ ที่ได้บริจาคดวงตาหรือร่างกายไปแล้ว ภายหลังลูกหลานหรือหมอโรงพบาบาลเกิดทำผิดพลาดหรือลืมไป ไม่ได้เอาดวงตาร่างกายไปทำประโยชน์ดังที่ผู้บริจาคตั้งใจไว้ เมื่อผู้นั้นได้สิ้นชีวิจไปแล้วเช่นนี้จะเป็นเวรเป็นกรรมเป็นบาปแก่ผู้บริจาค และลูกหลานต่อไปหรือไม่ประการใด เพราะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแล้ว

    ๑๑. กระผมอยากทราบว่า สมัยพระพุทธโคดม ท่านยังทรงพระชมม์อยู่พระอรหันต์ที่เป็นภิกษุณีองค์แรกคือใคร มีพระนามว่ากระไรครับ




    [​IMG] ๑. ผู้บริจาคดวงตาให้กับโรงพบาบาลมีอานิสงส์มาก

    ๒. เมื่อบริจาคดวงตาแล้วจะได้กุศลเป็นส่วนไหนนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับผู้ปรารถนายกอุทาหรณ์ เช่น นางอุบลวรรณาถวายดอกบัวต่อพระปัจเจกฯ แล้วก็ปราถนาว่า ข้าพเจ้าเกิดมาในภพใดชาติใด ขอให้สีกายเหมือนดอกบัวและก็ได้รับผลอย่างนั้นจริง จนได้ชื่อว่าอุบลวรรณานั่นเอง คำว่าอุบลแปลว่าดอกบัว คำว่าวรรณาคือผิวพรรณ สีกายเหมือนดอกบัวอยู่ห้าร้อยชาติติดๆกัน ดังนี้

    ส่วนที่จะได้ดวงตาเห็นธรรมหรือไม่นั้นก็ต้องอธิษฐานว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้ดวงตาเห็นธรรม" อย่างนี้ก็จะได้จริงสมดังคำปราถนาดังผลทาน

    ๓. จะเป็นอานิสงส์ให้ได้ถึงฌานหรือไม่นั้น มันก็ขึ้นกับคำปรารถนาดังกล่าวแล้วนั่นเอง ตลอดทั้งพระนิพพานด้วย

    ๔ . ในกรณีที่ตกลงบริจาคไว้แล้วไม่ได้พลิกคืนก็เท่ากับว่าบริจาคแล้ว ก็ต้องได้บุญซิ

    ๕. ให้ดวงตาเขาไปแล้ว เกิดชาติหน้าไม่พิการ เพราะเชื่อผลศีลผลทานเพราะผลศีลผลทานไม่ทำให้คนมีรูปขี้เหร่

    ๖. และผู้ที่ไปเกิดไม่มีดวงตานั้น เป็นผู้มีบุรพกรรมแต่ชาติก่อน เป็นต้นว่าได้ทำให้ตาเขาบอดเป็นต้น เช่น พระจักขุบาลอันเป็นพระอรหันต์ตาบอด เพราะได้ไปวางยาให้เขาตาบอด เพราะโกรธว่าเขาไม่ให้ค่ารักษา ที่เรารักษาตาให้หายแล้วอันนี้พูดย่อเต็มที ในชีวประวัติของพระจักขุบาลยืดยาวนัก

    ๗. เมื่อหมอเอาตาไปแล้วใส่ให้ผู้อื่นเกิดใช้ไม่ได้ หรือดวงตานั้นเกิดเสียหายหรือหมอทำผิดพลาดใดๆ ก็ดี จนดวงตาที่เอาไปนั้นใช้ไม่ได้ เหตุการณ์เช่นนี้ผู้สละดวงตาก็ได้อานิสงส์ตามเดิม เพราะจิตใจไม่ได้พลิกคืนว่าจะไม่ให้

    ๘. ผู้ที่ทานร่างกายให้โรงพยาบาลเพื่อให้บรรดาหมอและพยาบาลไปเรียนหรือศึกษา ก็ต้องได้บุญเต็มส่วนของเจตนานั้นๆ

    ๙. เมื่อบริจาคดวงตาและร่างกายให้โรงพยาบาลโดยไปทำการจดชื่อลงชื่อมอบให้ แล้วมาบ้านนิมนต์พระมาทำบุญบ้านแล้วกรวดน้ำแผ่กุศลให้เจ้ากรรมนายเวรและสัตว์ที่ผู้บริจาคได้ทำเอาไว้กับสัตว์ จะได้หรือไม่นั้นก็ยังเป็นปัญหาอยู่มาก เขาจะได้รับหรือไม่นั้นผลของบุญมาหาเราตามเดิม ถึงแม้เขาจะจองเวรเราอยู่ก็ตามผลบุญส่วนนั้นก็ต้องมาเราอยู่ ในบาลีจึงยืนยันว่า "ปัตติทานมัย" บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ ดังนี้

    ๑๐. ถ้าเราบริจาคแล้ว ผู้อยู่ข้างหลังไม่ทำตามคำสั่งเสีย ก็เป็นความผิดของเขา แต่เราได้บุญตามเต็มอยู่ ผู้เขาลืมเขาก็ต้องเป็นบาปบ้าง

    ๑๑. ยางภิกษุณี องค์แรกคือนางปชาบดีโคตมี เป็นพระอรหันต์ก่อนเพื่อน
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๙. การทำบุญกับพระสุปฏิปันโน มีพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคาอรหันต์ได้บุญมากโดยลำดับหรือพระที่ท่านออกจากนิโรธสมาบัติ เนื่องจากทุนน้อยผมจึงอยากให้หลวงปู่ชี้แนะบอกวิธีสังเกตสังกา (จะได้ทำบุญไม่สูญเปล่าครับ) ว่าพระที่กล่าวมา มีลักษณะอะไรเป็นข้อสังเกต ข้อพิจารณา (อย่างนี้คนเขาก็เลือกทำกับพระอรหันต์ซิครับเพราะได้บุญมาก)

    [​IMG] การทำบุญเราจะเลือกพระนั้น มันก็ต้องขึ้นอยู่กับใจของเรา แต่ส่วนหลวงปู่ต้องพิจารณาว่าข้อวัตรปฏิบัติของพระเหล่านั้นไปแถวใด ไปแถวไสยศาสตร์หรือพุทธศาสตร์ ท่านเหล่านั้นเท่าที่สังเกตบวชเพื่อเลี้ยงชีวิตหรือเพื่อลาภยศหรือเพื่อพ้นทุกข์ในวัฎฎสงสาร เราก็คงพออ่านออก เรื่องแผ่ๆ ขอๆ เรี่ยๆ ไรๆ มีหรือไม่มีข้อวัตรรักใคร่ในการปฏิบัติหรือไม่ คำพูดคำสอนของท่านหนักไปในทางอามิสหรือในทางโลกุตรเพื่อหลุดเพื่อพ้น เสนาสนะที่อยู่ที่อาศัยวิเวกบ้างหรือไม่ เราดูก็คงรู้แพล๊บเดียวกระมัง (แต่เท่าที่ลูกๆ หลานๆ ทำบุญมาแล้วนั้นมันก็เท่ากับว่าเลือกครูบาอาจารย์และพระเจ้าพระสงฆ์ถูกแล้ว)
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๑๐. การสร้างพระพุทธรูป แล้วอุทิศแก่เจ้ากรรมนายเวร แก้กรรมหนักให้เป็นเบาหรือหมดเลยได้จริงไหมครับ คนที่รับทำพิธีนี้เขาให้ข้อคิดว่า มีการทำบุญอะไรล่ะที่จะดีกว่าการสร้างพระพุทธรูปให้คนกราบไหว้บูชา หลวงปู่มีความเห้นอย่างไรครับที่เขาพูดจริงเท็จประการใด?

    [​IMG] การสร้างพระพุทธรูป อุทิศแก่เจ้ากรรมนายเวร แก้กรรมหนักให้เป็นเบาหรือหมดเลยนั้น ส่วนแก้กรรมหนักให้เป็นกรรมเบาก็เป็นการยากอยู่เพราะไม่ได้ทำวัตรขอขมาโทษกันตอนที่ต่างคนต่างมีชีวิตอยู่ ส่วนกุศลผลบุญนั้นได้อยู่ แต่ก็ไม่พอที่จะลบล้างได้ การที่จะลบล้างได้บ้างก็เพราะต่างคนต่างมีชีวิตให้อภัยกันภัยกันในระหว่างคู่เวรกันยังไม่ตาย ยกอุทาหรณ์ที่พระบรมศาสดาขอความลดหย่อนเวรส่วนพระเทวทัตนั้นไปกำเอาดินทรายมาสองกำ ขอผูกเวรพระองค์เท่าเม็ดทรายสองกำที่กำอยู่ พระองค์วิงวอนว่าขอให้วางเสียเถิดเพื่ออย่าผูกเวรเลย แต่พระเทวทัต วางกำมือเดียวเหลือกำมือหนึ่ง ฉนั้นเวรภัยทั้งหลายจึงตามพระองค์มาหลายภพหลายชาติ จนชาติสุดท้ายที่เข้าสู่พระนิพพาน แต่ขอให้เข้าใจว่า พระเทวทัตเป็นคนพาลไม่สมฐานะที่จะผูกเวร เพราะพระองค์ไม่ได้ทำผิด พระเทวทัตทำก่อนไปเห็นถาดทองเก่าเขาแล้วเอาเหล็กไปกรีดดูก็รู้ว่าเป็นทองแท้ แต่โกหกเจ้าของว่าเป็นของเก๊แล้วตีราคาลงต่ำแต่จะต้องเอาไว้นี่เสียก่อนแล้วแกก็ลาจากไป แกนึกในใจว่าเวลาขากลับ จึงจะมาเอาแบบราคาถูกๆ แต่อนิจาเทวทัตผ่านไปนานพอควรประมาณเข้าถึงกลางบ้านแล้ว พระโพธิสัตว์ก็หาซื้อทองด้วยเหมือนกันมาเจอเข้าทีหลังแต่เป็นวันเดียวกัน เขาบอกว่ามีทองเก่าใบเดียวนี่เอง มีชายคนหนึ่งไปห่างจากนี้พอสมควรแล้วแต่คงอยู่ในบ้านนี้เพราะยังไม่ทันข้ามวันข้ามคืน แก่บอกว่าถาดทองใบนี้เป็นของเก๊ แล้วพระโพธิสัตว์ตอบว่า "โอ้ ถาดทองใบนี้เงินที่ข้าพเจ้าถือมาเดี๋ยวนี้นั้นไม่ได้เสี้ยวถาดทองใบนี้เลย ถาดทองใบนี้เป็นถาดทองร้อยเปอร์เซ็นต์ เงินข้าพเจ้ามีอยู่เพียงเปอร์เซ็นต์เดียวเท่านั้น" เจ้าของถาดทองเมื่อได้ฟังแล้วเกิดสลดสังเวชมากนักและเคารพพระโพธิสัตว์มากยิ่ง พร้อมทั้งรักด้วยจึงว่า "อ้ายตัวนั้นมันขี้โกงมันกดขุ่มขะให้ท่านซะ ถึงมีเสี้ยวเดียวเราก็จะเอาเพราะเราเอาคุณธรรมของท่านที่ซื่อตรง" ครั้นพระโพธิสัตว์ได้ถาดทองใบนั้นแล้วก็ออกไปนอกบ้านจะไปทางอื่น พระเทวทัต (สมัยนั้นชื่ออะไรไม่ทราบ) พอกลับมาถึง ถาดทองใบซึ่งจะเอาแบบขี้เท็จเจ้าของเค้าก็บอกว่าเป็นทองที่มีค่ามาก ผู้นั้นมีความสัตย์ซื่อ เราก็เอามูลค่าท่านเพียวเสี้ยวเดียว แล้วเทวทัตโกรธหน้าแดงหน้าดำ ถามว่าเธอคนนั้นออกไปทางไหน ออกไปตรงนี้แหละ คงพอใจแล้วไม่ไปถามที่อื่นพระเทวทัตก็ตามไปโดยด่วนก็ไปเจอกันอยู่นอกบ้านไม่ไกลนัก แล้วก็ขอแบ่งส่วนด้วยมิหนำซ้ำจะไปแย่งเอามาเลย พระโพธิสัตว์ไม่ยอมให้จึงได้ผูกเวรดังกล่าวมาแล้ว
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๑๑. หลานอยากทราบว่าอานิสงส์ของการทำบุญกฐิน เหตุใดจึงเรียกว่ากฐินเหตุใดจึงมีเฉพาะ ๑ เดือนหลังจากออกพรรษาแล้วเท่านั้น

    [​IMG] อานิสงส์ของการทำบุญกฐินได้ ๘๐ กัปป์ กัปป์หนึ่งมีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์บ้าง ๔ พระองค์บ้าง ส่วนกัปป์เราปัจจุบันนี้มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือ ๑ กกุสันโธ ๒ โกนาคมโน ๓ กัสสโป ๔ โคตโมกำลังเป็นอยู่นี้ ๕ อริยเมตไตยโย แต่จะมาในข้างหน้า ยังเป็นเวลาอีกหลายล้านปีในเมืองมนุษย์ จึงจะเรียกว่ากัปป์หนึ่งนับทั้งที่ล่วงมาแล้ว กกุสันโธ

    ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เหตุที่เรียกว่า "กฐิน" นั้น เพราะเรียกตามชื่อไม้สดึงที่ลาดหรือกางออกเพื่อขึงจีวรเย็บ เพราะในครั้งพุทธกาลเย็บมือคน ไม่ได้เย็บจักรเหมือนทุกวันนี้ เพราะไม่มีจักร ที่ว่าเป็นไม้สดึงที่ขึงลาดและกางออกนั้น เพื่อให้ผ้าตึงไม่ให้หดหู่เป็นต้น มีปัญหาว่าเราเย็บจักรแทนไม่ได้เอามือเย็บจะใช้ได้หรือไม่ ก็ใช้ได้อยู่เต็มภูมิ เพราะเย็บจักรก็เอามือเย็บ และเหตุที่มีเฉพาะ ๑ เดือน หลังออกพรรษาแล้วเท่านั้น เพระเหตุว่า พระบรมศาสดาทรงให้ภิกษุทำจีวรกาลอันเป็นการใหญ่แต่ละปีก็กำหนดไว้นับแต่ออกพรรษาแล้วถึงเพ็ญเดือนสิบสองเท่านั้น
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๑๒. การทำบุญนี้คนรวยที่ทำบุญแต่ละครั้งด้วยเงิน ๑ ล้านบาท กับคนจนๆ ทำบุญแต่ละครั้งด้วยเงินครั้งละ ๑๐ บาทนั้น บุญกุศล และอานิสงส์แห่งบุญที่จะได้รับนั้นเท่าเทียมกันหรือไม่


    [​IMG] การทำบุญทำน้อยทำมากก็ดีได้บุญเสมอกันหรือไม่ ข้อนี้ได้ตอบยาวเหยียดดังต่อไปนี้

    ผู้ที่รวยเป็นล้านๆ แต่บริจาคทานเพื่อประชดแดกดันท่านผู้อื่นเพื่อโล่ห์อันนั้นเป็นเกียรติเป็นอำนาจเพื่ออวดคนอันนี้บุญก็ไม่ได้มาก ถ้าไม่มีเจตนาอย่างนั้นมีเจตนาทำเพื่อให้สมเกียรติของคน อันนี้ก็ได้บุญมากว่าบ้าง และการให้ทานอธิบายมาเรียกว่าทักชิณาวิสุทธิ ๔


    - ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ผ่ายปฏิคาหก แต่ไม่บริสุทธิ์ผ่ายทายก
    - ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ผ่ายทายก แต่ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
    - ทักขิณาบางอย่างไม่บริสุทธิ์ทั้ง ๒ ฝ่าย
    - ทักขิณาบางอย่างไม่บริสุทธิ์ทั้ง ๒ ฝ่าย


    ยกอุทาหรณ์อีก กล้าดีนาไม่ดีก็พอได้รับผลบ้าง กล้าไม่ดีนาดีก็ได้รับผลบ้างนาไม่ดีกล้าไม่ดีก็ไม่ได้รับผล (เลวมาก) นาก็ดีกล้าก็ดีนี้เป็นชั้นหนึ่งมีผลมาก


    เรื่องติณบาลในครั้งพุทธกาลของพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ชายคนหนึ่งเป็นคนยากไร้มาก ไม่มีวิชาจะทำอะไร มีผ้านุ่งผืนเดียวเอากาบไม้มาทำต่างเสื่อแล้วก็เอาใบไม้มาปูอีก เพื่อให้นอนได้ เศรษฐีให้นอนเผ้าสวนหญ้าคา เศรษฐีให้ข้าวกินวันละ ๑ ทะนานแล้วแกก็แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งไว้กิน ส่วนหนึ่งให้กระยาจก พวกขอทานส่วนหนึ่งใส่บาตรให้พระเณร เมื่อเศรษฐีได้ทราบก็ให้ขึ้นอีกเป็น ๒ ทะนาน แกก็แบ่งอย่างนั้นอีก แล้วเศรษฐีก็ให้ขึ้นอีกเป็น ๓ ทะนาน แกก็แบ่งอย่างนั้นอีก ครั้นอยู่มาเศรษฐีก็สร้างกฐินอะไรก็ครบหมดในกฐินก็ยังเหลือแต่ด้ายจะเย็บผ้า ชายคนจนนั้นได้ทราบเข้าก็นึกสังเวชตนเองว่า "ผ้านี้กว่าจะเป็นผืนก็ต้องเย็บเสียก่อน เออ ดีละทีนี้เรามีโอกาสจะได้ทำบุญจะไปขอเอากับเศรษฐีในส่วนด้ายนี้ จะรับรองหามาเอง ขอให้คนจนได้ทำบุญด้วย เพราะแต่ชาติก่อนๆชะรอยจะไม่ได้สร้างกุศลเลย จึงเกิดมาเป็นคนจนถึงเพียงนี้" ว่าแล้วก็เย็บใบไม้มานุ่งแทนผ้าผืนที่นุ่งอยู่ แล้วเอาไปซักให้สะอาดเสร็จแล้วก็พับเรียบร้อยเอาไปขายในตลาด คงเป็นชายหนุ่มเพราะหญิงสาวพูดล้อเล่นว่า "คุณพี่เอ๋ย ผ้าของคุณพี่นั้นทำไมถึงไม่นุ่งเล่า จะนุ่งใบตองทำไม ดูแล้วขึ้เหร่เหลือเกิน" ทีนี้แกก็ตอบเขาว่า "มันจะขี้เหร่แต่ชาตินี้ชาติหน้ามันจะสวยดอกคุณน้องเอ๋ย คุณพี่ไม่โกรธดอก" ว่าแล้วก็เอาไปขายได้เงินมา ๑ มาสก ถ้าเทียบในปัจจุบันของเราก็คงจะเพียงราคาบาทเดียวเท่านั้น แกก็ไปซื้อด้ายมาในกองกฐิน พอแกเอาไปถวายร่วมกองกฐินแล้วเศรษฐีก็ให้ผ้านุ่งอันสวยงาม แกก็บอกว่า "ธรรมดาบุญแล้วไม่เป็นหน้าที่จะซื้อขายจะให้เท่าใดก็ไม่เอา" นี้พูดแบบย่อเกินไป แล้วตอนสุดท้ายก็ได้เป็นเศรษฐีด้วยผลทานอันนั้น เพราะเศรษฐีแบ่งมรดกให้ด้วยอำนาจวาสนาผลบุญอันนั้นเอง นี้อย่างไรเล่าผู้เขียนเข้าใจว่า แกมีเจตนาดี เชื่อบุญและผลของบุญเห็นโทษในตนที่ไม่ได้ให้ทานในชาติก่อนๆ โดยหวนคิดด้วยเจตนาอันคาดคะเน ศรัทธาแก่กล้าก็เชื่อผลบุญผลบาปอย่างเต็มภูมิ เพราะไม่ได้บริจาคทานเพื่อจะแข่งดีกับใคร และก็ไม่ได้อวดอ้างว่าเป็นผู้ใจถึง และพระที่รับทานนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วย ส่อแสดงให้เห็นว่ากล้าก็ดี นาก็ดี ก็ได้รับผลมาก ดังนี้ คำว่ากล้าหมายถึงเจตนาผู้บริจาคบริสุทธิ์
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๑๓. พระอริยสงฆ์หรือสุขวิปัสสโกท่านพ้นไปแล้ว โดยใช้สมถกรรมฐาน ๑ ส่วนแต่ใช้ปัญญาดีออกมา ๓ ส่วน แล้วท่านก็พ้นไป แต่จะให้ท่านกลับมาลดต่ำลงมาหมายถึงเครื่องรางของขลัง เรื่องใช้ฤทธิ์เดชช่วย ท่านไม่ทำแน่นอน ฉะนั้นท่านจึงช่วยบำบัดทุกข์และผู้มีปัญหาไม่ได้เท่าที่ควร ถูกต้องเพียงไร


    [​IMG] ผู้มีฤทธิ์เดชช่วยได้หรือไม่นั้น ช่วยได้เป็นบางส่วน ช่วยไม่ได้เป็นบางส่วนที่ช่วยได้เป็นบางส่วนนั้น คือหมายความว่ากรรมของผู้นั้น(คือผู้ถูกช่วย) ไม่หนักหนาอะไร ก็พอช่วยได้บ้าง เช่นกรรมหนักอย่างพระเทวทัด พระอรหันต์จำพวกใดก็ช่วยไม่ได้ เช่นผู้โทษถึงประหารชีวิต และกรรมเก่าของเขาแต่ชาติก่อน ตามมาด้วยก็ช่วยไม่ได้อีกเหมือนกัน เหตุฉะนั้นพระบรมศาสนาจึงเน้นว่าการหวังพึ่งตนเองเป็นชั้นที่หนึ่ง ส่วนท่านผู้อื่นที่เราหวังพึ่งนั้น จัดไว้เป็นชั้นทีสอง สาม สี่ ไปซะ
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๑๔. ปัจจุบันนี้พระอริยเจ้า ตั้งแต่โสดาจนถึงอรหันต์ มีจำนวนมากน้อยเที่ยบกับในอดีตเป็นอย่างไรครับ มีอะไรเป็นข้อวัดว่าท่านเป็นอริยภูมิได้ครับ

    [​IMG] พระอริยเจ้าทุกวันนี้มีมากน้อยว่าครั้งพุทธกาลเท่าใดนั้น ถ้าเทียบตามคาดคะเนก็คงมีน้อยกว่าครั้งพุทธกาล แต่มีข้อแย้งอยู่ว่า ต้องการเห็นพระโสดาหรืออนาคาหรืออรหันต์ก็ต้องเป็นเสียก่อน ไม่ใช่จะเอาปริยัติความจำได้มาเห็นส่วนจะมีอะไรเป็นเครื่องวัดนั้นก็เป็นเครี่องวัดยากอยู่เหมือนกัน เพราะนิสัยและวาสนาของสาวกสาวิกาละไม่ได้ จะละได้ก็แต่กิเลสเป็นตอนๆไปจนจบพระอรหันต์เป็นบางราย ยกอุทาหรณ์เช่น พระสารีบุตร กระโดดข้ามคลอง ชาวโลกทั้งหลายก็กล่าวว่าพระอรหันต์ยังไงกระโดดข้ามคลอง (คลองนั้นคงกว้างแขนเดียวเท่านั้น) แต่พระบรมศาสดาทรงแก้ว่า นิสัยขององค์ท่านเคยเป็นลิงมาหลายชาติ ชอบกระโดดโหนตัวตามต้นไม้ นิสัยอันนี้จึงละไม่ได้ ส่วนกิเลสของท่านนั้นท่านละได้สิ้นเชิงแล้วเหล่านี้เป็นต้น ถ้าจะยกมาให้ฟังก็มีอยู่อีกหลายเรื่องนัก คือเรื่องที่ไม่ใช่นิสัยของพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าละนิสียและวาสนาดังกล่าวแล้วได้ และก็ทิ้งกิเลสทั้งปวงก็ละได้ด้วย จะเทียบอุทาหรณ์ให้ฟังต่อไปอีก พระยามปัสเสนคุอันเป็นพระบรมราชาที่ปกครองแคว้นโกศล กราบเรียนพระบรมศาสดาว่าน้ำในกลางขุ่นขอบนั้นคืออย่างไร พระบรมศาสดาทรงกรุณาตอบว่า คือจิตของมนุษย์ที่เป็นธรรมแต่มารยาทวาจาไม่เหมาะสม น้ำใสขอบขุ่นกลางด้วย มารยาทไม่งาม จิตใจไม่เป็นธรรม น้ำใสทั้งกลางด้วยใสทั้งขอบด้วย หมายความว่า จิตใจก็เป็นธรรม มารยาทก็เป็นธรรมดังนี้เป็นต้น เหตุฉะนั้นจึงเป็นการสังเกตยาก แต่ที่สังเกตง่ายๆ ก็คือเห็นเขาฆ่าโค ฆ่ากระบืออยู่หรือฆ่าคนอยู่ ได้ยินเขาเล่าก็ดีหรือเห็นด้วยตาก็ดี อันนี้เราตัดสินเผงได้ รู้จักดักใจของผู้อื่น และเราก็เป็นอรหันต์เต็มภูมิด้วย (เว้นพระอรหันต์ สุขวิปัสสโกเสีย) เราก็ทายเขาได้เผงๆในใจเลย
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๑๕. เรื่องกฐิน ผมเคยได้ยินมาว่า ถ้าเราจะทำกฐินวัดใด พระในวัดนั้น ห้ามพูดบอกเกี่ยวกับเรื่องกฐินแค่ถ้าถามพระวัดอื่นๆ ก็ได้ไม่ผิด แต่หลวงปู่บอกว่า ถ้าพระบอกแล้วจะเป็นกฐินวจีวิญญัติ ผมขอความกระจ่างแนะนำด้วยครับ

    [​IMG] เรื่องกฐินที่ห้ามไม่ให้พระเทศน์เอาตามอำเภอใจนั้น หมายความว่าโดยไม่ได้ปรึกษาแล้วพระไปเทศน์เอาเองหมด น้อมมาใส่ตัวและวัดของตัวด้วย แต่เมื่อทายกถามเพื่อจะเข้าใจความหมาย พระผู้ตอบจะเป็นพระวัดกฐินนั้นก็ดีหรือวัดอื่นก็ดีก็เป็นของพูดยากอยู่บ้าง นี้พูดตามนิสัยของหลวงปู่โดยไม่ได้หมายทั่วไปกับท่านพระภิกษุอื่นๆ หลวงปู่เข้าใจว่าถ้าญาติโยมตั้งใจไว้อย่างหนึ่ง คือประมาณมูลค่าไว้ในใจของโยมจะซื้ออัฐบริขารเพียงเท่านั้นในใจของตนอยู่ ถ้าพระไปบอกให้เกินค่าของตนที่ตั้งไว้ก็คงจะไม่เหมาะถ้าหากว่าเราตั้งใจไว้ในราคา บริขารสูงบังเอิญพระผู้บอกไปบอกเพียงราคาที่เราตั้งไว้ในใจนั้นก็ดีไป ถ้าหากว่ามันเหนือที่ตั้งไว้ในใจ ข้อนี้แหละมันตัดสินยาก ถ้าน้อยกว่าที่ญาติโยมตั้งไว้ในใจก็ไม่เป็นปัญหาอะไร

    อนึ่ง เราถามพระวัดอื่นให้พระวัดอื่นบอก ถ้าวัดอื่นเป็นนิกายเดียวกัน พระผู้ตอบถ้าเป็นนิสัยของหลวงปู่ ก็ตอบยากอยู่อีก แต่ถ้าเป็นองค์อื่นเมื่อถูกถามเข้าท่านก็จะตอบไปตามธรรมดาที่เคยได้มาก็อาจเป็นได้ แต่จะถึงอย่างไรก็ต้องให้เอาตามศรัทธาเดิมที่ตั้งไว้ซะ ข้อนี้เป็นที่สะดวกของหลวงปู่ หลวงปู่ตอบได้เพียงแค่นี้ส่วนท่านผู้อื่นจะตอบไปตามธรรมดาที่เคยได้ทำมาก็อาจเป็นได้ แต่จะถึงอย่างไรก็ต้องให้เอาตามศรัทธาเดิมที่ตั้งไว้ซะ ข้อนี้เป็นที่สะดวกของหลวงปู่ หลวงปู่ตอบได้เพียงแค่นี้ส่วนท่านผู้อื่นจะตอบอย่างไรก็ให้เป็นเรื่องของท่านผู้อื่นซะ นิสัยของหลวงปู่ ถ้าจะมีผู้บริจาคมาในวัดของตนก็ดี มาในวัดของท่านผู้อื่นก็ดีจะฉลองว่าดีละๆ อย่างเดียวก็คล้ายๆ กับว่าฉลองกิน แต่เมื่อเจตนาไม่เป็นอย่างนั้น ก็ไม่พ้นจะระวังคำพูดเพราะเรื่องเหล่านี้ ถ้าพลาดเข้ามันก็เป็นโลกวัชชะโลกติเตียน ผู้ใจต่ำติเตียนไม่เป็นปัญหา ผู้ที่ใจสูงติเตียนนั่นหนาควรคิด จะอย่างไรก็ตามขอให้ทำตามเจตนาของพวกลูกๆที่ตั้งไว้นั่นเถิด


    อีกประการหนึ่ง ธรรมเนียมของพระกับมัฎฐานกรานผ้าสบง แต่เป็นผ้าที่พระกัมมัฎฐานตัดเองย้อมเองเย็บเองในวันนั้นผ้าสบงผืนหนึ่ง ถ้าหากว่าผ้ากว้าง ๙๐ ซม อย่างนี้ก็ยาวประมาณ ๕ เมตร มาตัดก็พอและก็ต้องเป็นผ้าที่หนาบ้างคือผ้าขาว ส่วนผ้าบริวารและของอื่นๆ นั้นก็แล้วแต่ศรัทธาและให้เข้าใจว่า ผ้าในองค์กฐินนั้น ซึ่งจะเป็นตัวกฐินนั้น ซึ่งจะเป็นตัวกฐินแท้ๆ นั้นมีผ้าอยู่ ๓ ผืนเท่านั้น คือผ้าสังฆาฏิหนึ่ง ผ้าจีวรหนึ่ง ผ้าสงบหนึ่ง ทั้ง ๓ ตัวนี้จะเอาเป็นองค์กฐินตัวใดตัวหนึ่งก็ได้ธรรมเนียมพระกัมมัฏฐานก็ต้องตัดผ้าสบง เพราะตัดง่าย เสร็จเร็ว เย็บแล้วง่ายย้อมแล้วง่าย สำเร็จทันในวันนั้น ส่วนผ้าจีวรมันได้ใช้ผ้ามาก ผ้าสังฆาฏิก็ได้ใช้มาก ผ้าจีวรก็ไม่ต่ำกว่าสิบเมตรสำหรับคนขนาดกลาง ผ้าสังฆาฏิสองชั้นก็ไม่ต่ำกว่า ๑๘ เมตรคนขนาดกลางไม่ใหญ่โต แต่ผ้าสังฆาฏิและจีวรเนิ้อบาง เนื้อแน่นและเนื้อถื่แต่ว่า บางกว่าสบง
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๑๖. กระผม ขออัญเชิญเส้นเกศาหลวงปู่ไว้เคารพสักการะแทนองค์หลวงปู่ไม่ได้ คิดนอกเหนือไปจากนี้ กระผมขอเกศาหลวงปู่มาด้วยความเคารพสักการะ จะได้เป็นที่ระลึกถึงหลวงปู่ซึ่งเกศาหลวงปู่ก็ได้เคยเป็นส่วนหนึ่งหลวงปู่ ซึ่งกระผมก็ไม่มีโอกาสจะได้กราบตัวจริงหลวงปู่ กระผมหวังว่าหลวงปู่คงจะเข้าใจ และมีเมตตาต่อกระผมผู้ไม่มีโอกาส

    [​IMG] ผมนั้นโกนเดือนละครั้ง พอโกนแล้วก็มีผู้มาขอทุกทิศทุกทาง ไม่รู้ว่าเป็นกรรมอะไร หรือจะเป็นเรื่องนิทานที่โบราณกล่าวว่า คนหนึ่งเดินทางไป ไปพอกองขี้หมาแล้วก็หักกิ่งไม้ปกไว้ เกรงว่าผู้มาทีหลังจะเหม็น แต่ผู้ที่มาทีหลังมาอีกพบเข้าก็เลยทำแบบเดียวกัน จนกิ่งไม้นั้นสูงท่วมหัว เลยกลายเป็นไสยศาสตร์ ถือกันว่าเป็นของขลังไปเสียแล้ว อ้ายที่แท้ก็กองขี้หมาจริงๆ อันนี้เกรงว่าจะเป็นแบบนั้น ถ้าไม่ปรารภไว้ก่อนก็คล้ายกับว่าหลวงปู่ให้แบบลืมตัว และแบบอุปาทานด้วยสำคัญตนว่าเป็นผู้ประเสริฐ นั่นคือมหาอุปาทาน ส่วนท่านผู้พ้นไปจากกิเลสทั้งปวงโดยไม่เหลือ ขอยกใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้ ไม่ได้เอามาดีเสมอกัน

    เรื่องเกศานั้น หลวงปู่ก็นึกละอายจะฝากมาให้ ก็คล้ายๆกับว่าตนเป็นผู้วิเศษวิโส ฝากเกศาไปให้คนอื่นกราบไหว้ ธรรมดาเกศาหลวงปู่ เฉพาะหลวงปู่ไม่ได้สนใจ โกนทิ้งแล้วใครจะเอาไปไหนหรือไม่เอาไปไหนหลวงปู่ก็ไม่มีการสนใจ ถ้าจะพูดให้เป็นธรรมแล้ว เกศานี้มันเป็นของภายนอก ของภายในก็คือด้านปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาอันรวมลงมาอยู่ที่ดวงใจ สิ่งไหนที่ทำให้จิตใจเบาจากราคะ เบาจากโทสะ เบาจากโมหะ นั่นแหละเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๑๗. พระเครื่องต่างๆที่เกจิอาจารย์ดังๆ ทั่วไปได้จัดทำขึ้นบ้างก็ทำมาหลายร้อยปีแล้ว บ้างก็เป็นพันปีบ้างก็เพิ่งทำขึ้นเต็มท้องตลาดเต็มประเทศไปหมดจนไม่ทราบว่าจะเลือกแขวนองค์ไหน รุ่นไหนดีนั้นมีอิทธิฤทธิ์ให้ผลในแง่อยู่ยงคงกระพันเมตตามหานิยม หรือโชคลาภต่างๆ จริงหรือไม่ครับ และพระบางรูปที่ทำขึ้นผมสังเกตดูท่านก็เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วทำไมท่านยังทำสิ่งเหล่านี้ออกมาอีกถือเป็นเรื่องผิดพระวินัยหรือไม่และมีความสมควรแค่ไหน เพียงใด ในอดีตพุทธกาลมีการทำพระเครื่องมาหรือไม่ มีผลเป็นที่น่าอัศจรรย์จริงหรือไม่

    [​IMG] พระเครื่องต่างๆ เขาทำมาแล้วตั้งร้อยปีก็ตามมันก็ผิดมาตั้งแต่ร้อยปีนั่นเองไม่สมควรในทางพระพุทธศาสนาแต่มันก็สมควรกับเขาเพราะเขาเห็นอยู่ใน ระดับนั้นให้เข้าใจว่าดีกับชั่วนี้ มืดกับสว่างนี้ มันประชัดขันแข่งกันมาในตัวกี่ล้านๆ ปีที่แล้วก็ไม่ทราบ บัณฑิตกับคนพาลก็สืบโลกมาอย่างนี้ไม่รู้ว่าอันใดเกิดก่อนเกิดหลัง

    ในพระวินัยของพระภิกษุในพรหมชาลสูตรก็ได้ ในพระวินัยปิฏกโดยตรงๆ ก็ดี ในวินัยมุขเล่น ๒ ของนักธรรมโทก็ดี มิได้ส่งเสริมไสยศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น มิได้ส่งเสริมดิรัจฉานคาถาใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องเหล่านี้หลวงปู่ไม่ได้หนักใจเลย ไม่ได้พยายามทิ่งยากเพราะมันชอบเว้นอยู่แล้ว ที่หลวงปู่สักยันต์ที่แขนในปัจจุบันนี้อยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้หมายว่ามันอยู่ยงคงกระพันอันใดเลย ทำตามธรรมเนียมประเพณีของเขาในสมัยนั้นเฉยๆ แต่หลวงปู่เห็นตัวเองทุกวันนี้อาเจียนก็จะออกแล้วและทำมาตั้งแต่ฆราวาส ๒๔๖๕ และ ๒๔๗๐

    ในครั้งพุทธกาลพระเครื่องไม่มีแต่ไสยศาสตร์ต่างๆ เขาก็มีอยู่ทุกๆสมัยจนนับไม่ไหวเสียแล้ว นานาจิตตัง นานาธรรมมัง เพราะพระพุทธศาสนาไม่เป็นฐานะของผู้สร้างบารมีต่ำจะมาเลื่อมใสได้โดยง่าย แม้ถึงจะมาเลื่อมใสก็กลายเป็นนิกายต่างๆแผกเพี้ยนไปด้วย ยกอุทาหรณ์ เช่น นโมตัวเดียวกันก็แปลไปต่างกันนโมแปลว่าความนอบน้อมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กลมกลืนกัน ส่วนเขาผู้อยู่ระดับต่ำเขาก็ตีความหมายว่านโมเลข มโมผา นโมบัตร นโมเบอร์ และสุราเมระยะนี้ ถ้ากินเป็นระยะๆ มันไม่เป็นไรหรอกดูเขาก็พูดอย่างนี้ เพราะเขามีความเห็นอย่างนี้ กินเป็นระยะก็เมาเป็นระยะก็เสียทรัพย์เป็นระยะมันก็เกิดโรคเป็นระยะ มันก็ต้องติเตียนเป็นระยะ มันก็ก่อการทะเลาะวิวาทเป็นระยะ มันก็ไม่รู้จักอายเป็นระยะ มันก็ทอนกำลังปัญญาเป็นระยะเขาไม่ว่าซะ มันก็ถูกของเขาแต่มันไม่ถูกของบัณฑิต
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 width="80%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD vAlign=top>๑๘. พระอานาปานสติเฉพาะตัวหลวงปู่มีเคล็ดหรืออุบายอย่างไรบ้างเพื่อความงอกงามของศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ญาณทัสนะเป็นพิเศษ

    [​IMG] พระอานาปานสติมีเคล็ดมาก พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ย่นลงมารวมในอานาปนสติได้ไม่ลำบากเพราะเป็นกองทัพที่มีกำลังมาก ยกอุทาหรณ์เช่นเราจะพิจารณา "พุทโธ" ก็คุณของพุทโธก็ดี ธัมโม สังโฆ ก็ดีกลมกลืนกันกับพุทโธอยู่แล้วคล้ายเชือก ๓ เกลียวและก็มีอยู่ (พระคุณ) ทุกลมหายใจเข้าออกอีกหายใจอีกด้วย ข้ออื่นมีอยู่อีกเช่นไตรลักษณ์ก็มีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกอีกด้วยแม้พระนิพพานอันทรงอยู่มีอยู่จะเหนือผู้รู้ขึ้นไปก็ตาม ก็ทรงมีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกอีกด้วย

    เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างทั้งสังขาร และวิสังขารมีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกแล้วเราก็ไม่ได้ส่งส่ายหาธรรมทั้งปวงเพราะแม่เหล็กดีย่อมดึงเข็มทิศชี้ไปหา สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของแต่ละคนทั้งนั้นเพราะพระบรมศาสดาไม่ได้สอนให้พวกเราง่าว่าไตรสิกขาก็มีความหมายอันเดียวกันกับแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั่นเอง

    ไม่สำคัญตัวว่าเป็นเรา เขาในขณะนั้น อุปาทานก็แตกกระเจิงไปเองไม่ได้ต้องทำท่า ทำทางให้แตก

    </TD></TR><TR vAlign=top><TD vAlign=top>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๑๙. ปัจจุบันมีเกจิอาจารย์จำนวนมาก ที่สร้างพระเครื่อง ปลุกเสก ปลุกพระทั้งเพื่อประโยชน์แก่ศาสนาและอื่นๆ ไม่ทราบว่าผิดหลักพุทธศาสนาหรือไม่ในความเห็นของหลานๆ คือการสร้างพระขายนี้อย่างน้อยคนก็ได้ทำบุญโดยมีสิ่งของตอบแทน มีพระเป็นที่ยึดเหนี่ยวประกอบกุศลกรรม (ถ้าไม่ทำแบบขายพาณิชย์) ติดพระเครื่องก็ยังดียังดีกว่าติดเหล้า ติดยา ติดการพนัน ฯลฯ ข้อเสียติดวัตถุจนลิมธรรมซึ่งมีค่าประมาณมิได้หลานอยากทราบทัศนคติธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ เพราะคนทุกวันนี้ติดวัตถุกันมากเหลือเกิน (รวมทั้งหลาน) ครับ

    [​IMG] เรื่องพระเครื่องที่ปัจจุบันเกจิอาจารย์ทำมากเป็นการผิดหรือไม่และปลุกเสกพระทั้งเพื่อประโยชน์คือการสร้างพระขาย ในข้อนี้หลวงปู่ไม่พอใจอธิบายจะว่าเป็นคำถามที่ไม่ควรตอบก็ถูก แต่ในชีวประวัติของหลวงปู่ ได้เล่าเรื่องขององค์หลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่มั่นกล่าวว่า "องค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเต็มที่แล้วเราดีอย่างไรจึงจะไปเสกให้ท่านขลัง" เหล่านี้เป็นต้น แต่นิสัยของหลวงปู่ไม่นึกอยากเสียแล้ว เพราะหลวงปู่ถือว่า คุณพุทธ ธรรม สงฆ์ ระลึกได้ไม่ระลึกได้ก็ดีอธิษฐานและตั้งสัจจะผูกขาดจองขาดไว้ที่ดวงใจให้เป็นข้าเป็นทาสพุทธ ธรรม สงฆ์ อยู่ทุกเมื่อแล้ว จะตีความหมายว่ายอมเอาจิตใจผูกไว้กับน้ำมูกน้ำลายของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วและก็น้อมเข้ามาใส่ใจไว้อย่างนี้แน่นหนาแล้วและก็น้อมใจไปผูกไว้อย่างนี้แน่นหนาแล้ว ไม่ได้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพียงทุติฯ ตติฯ เท่านั้น อธิษฐานไว้ถึงทุกเมื่อ ระลึกได้ไม่ระลึกได้ก็ดีจนถึงที่สุดทุกข์โดยชอบในปัจจุบันโดยด่วนด้วย

    อนึ่ง การที่ครูบาอาจารย์บางท่าน บางหมู่ ท่านทำเช่นนั้นก็ขอมอบให้เป็นเรื่องของท่านซะ (แต่หลวงปู่ไม่ทำ) สำหรับหลวงปู่ซื้อไม่ซื้อ ขายก็ไม่ขาย ที่อยู่ในศาสาของหลวงปู่ไม่ได้เผดียงในทางตรงหรือทางอ้อมให้ญาติให้ญาติโยมเอามาให้ ท่านเหล่านั้นเอามาเอง และก็ไม่บอกวันจะมาด้วย เรื่องเหล่านี้พูดน้อยไม่พออธิบายพูดหลายก็เป็นโทษ สมัยโลกจรวด สมัยโลกดาวเทียม เดี๋ยวก็ถูกหาว่ากีดขวางรายได้ แต่หลวงปู่พิจารณาว่า ผู้เรียนหนังสือ ก สระ กา ข สระ ขา ก็พออนุโลมบ้าง แต่ถ้าจะตั้งจนเป็นพุทธพาณิชย์ก็ดูจะเฟ้อเกินไป และมีคำที่คนชอบแย้งว่า แต่การ์ตูนเขาก็ยังขายได้ จะห้ามปรามไม่ให้ซื้อให้ขายนั้น ย่อมเป็นอจิณโดยเสียแล้ว แต่หลวงปู่ชอบปลีกตัวไม่เอาด้วย แต่มีผู้จะให้เอามาไว้เป็นของสงฆ์ไม่เอาไปในทิศทั้ง ๔ เพราะการเอาพระพุทธรูปในด้วย ไม่รู้จะเอาไว้ที่ไหน ถ้าเอาไว้ย่ามก็ไม่รู้ว่าอะไรต่ออะไรระคนปนกันอยู่ ถ้าหากว่าเอาแขวนคอ บางทีก็ลอดใต้ถุนก็มี เป็นส่วนตัวแต่ปรากฎว่ากวาดลานวัดไปเห็นพระพุทธรูปแต่โบราณ(คงจะเป็นรูปเล็ก) เห็นคอหักอยู่ก็นึกเป็นอารมณ์ในอนุสติ พุทธา ธัมมา สังฆา ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ มีปัญหาว่า ศาสนาพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่มาเป็นยุคๆ ก็ต้องมีพระพุทธรูปมาทุกยุคทุกสมัย แต่จะถือเป็นเรื่องของขลังของรางไปทางไสยศาสตร์ก็คงจะน่าควรคิดอยู่ ตั้งเป็นกองๆไว้ขายเหมือนผักเหมือนปลาก็คล้ายกับว่า พ่อของเราถูกขาย หรือยังไงก็ขอเรียนไว้กับท่านผู้รู้ ถ้าจะพูดในที่สุดแล้วก็ยังดีกว่าที่เขาถือศาสดาอื่น ซึ่งเป็นอนันตริยธรรม ๖ ไม่ทรงสรรเสริญ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๒๐. อีกประเภทหนึ่ง ถามว่าท่านทำนิโรธสมาบัติเพื่อประโยชน์อันใด

    [​IMG] ถ้าพิจารณาแล้วก็ทำเพื่อประโยชน์สองทาง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่นบางกรณีเพื่อจะสงเคราะห์คนนั้นคนนี้บ้างแล้วก็เข้านิโรธสมาบัติ เมื่ออกจากนิโรธสมาบัติผู้ใดมีบุญวาสนาก็จำเป็นจะได้ไปใส่บาตรให้ท่าน ผู้นั้นก็จะได้เห็นอานิสงฆ์ปัจจุบันทันตา ส่วนท่านจะออกจากนิโรธสมาบัติเราจะทราบได้ด้วยวิธีใดนั้น มันก็เป็นของยากตอนนี้ เพราะท่านจะเข้านิโรธสมาบัติท่านก็ไม่ได้มาบอกเรา หรือเราเห็นท่านนั่งอยู่ที่เก่าถึง ๗ วัน แต่เราก็ไม่ได้นั่งเฝ้าท่านอยู่อีกด้วย ว่าจิตของท่านตั้งอยู่ในที่ใด ท่านพลิกไปพลิกมาหรือไม่ แต่บางท่านเข้านิโรธสมาบัติสมัยทุกวันนี้ บางทีก็ได้ทราบข่าวเปรยๆ ว่าท่านฉันนมอยู่ บางทีก็ได้ทราบว่า ท่านเข้าได้จริงๆ และก็มีผู้อยู่เบื้องหลังคอยเทอดท่านเพราะแอบกินอามิสกับท่านบ้างก็อาจเป็นได้ สิ่งเหล่านี้เป็นของตัดสินยาก
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] ๒๑. พระผู้มีอภิญญาสูงเมื่อเป่าขมับจับหัวโดยแผ่บารมีเมตตาช่วยได้จริงเพราะท่านมีฤทธิ์เดช ถูกต้องเพียงใด

    [​IMG] สุขวิปัสสโกนั้นท่านแก้ปัญหาผู้อื่นด้วยปัญญาโต้งๆ ไม่ได้แสดงฤทธิ์เดชอันเป็นบุคลาธิษฐาน เรียกว่าตอบด้วยปัญญาโต้งๆและผ่านพ้นเครื่องรางของขลังไปแล้วไม่กลับคืนมาเสพอีก แต่ผู้ที่บริจาคทานกับท่าน รักษาศีลกับท่านภาวนากับท่านก็มีอานิสงส์เท่ากัน ให้เข้าใจว่าสุขวิปัสสโกทำประโยชน์ให้ท่านผู้อื่นด้วยพระปัญญาโต้งๆ ส่วนเดวิชโช ฉฬภิญโญ อภิสัมภิทัปปัตโตก็ทำประโยชน์ให้ได้เหมือนกัน หมายความว่า ผู้มีนิสัยประสงค์อย่างนั้นก็ไปลงเอยกับพระพวกนี้สนิททำให้พวกนี้เลื่อมใสพระพุทธศาสนาได้ การสงเคราะห์กันเพื่อนทำให้เสื่อมใสพระพุทธศาสนาได้ก็ถือว่าทำประโยชน์ให้กันไม่ได้ เพราะขาดความเคารพนับถือ การทำประโยชน์ให้ท่านผู้อื่นได้ทั้งนั้น ส่วนผู้มีวาสนาและนิสัยไม่ตรงกันก็ทำประโยชน์ให้กันไม่ได้ เพราะขาดความเคารพนับถือ การทำประโยชน์ให้ท่านผู้อื่นเราจะหมายในทางอามิสส่วนเดียวความหมายอันนั้นก็เห็นแก่วัตถุเกินไป เพราะวัตถุภายนอกนับไม่จีรังยั่งยืน เพราะเกิดขึ้นแล้วก็แปรดับไปผู้ถือธรรมแท้จะเป็นคนจนในทรัพย์ภายนอกก็ตามไม่สำคัญอะไรกับผู้ที่รวยเท่าแผ่นฟ้าแผ่นดินในอามิส เนื่องด้วยอานิสงส์มาแต่ชาติก่อน ถ้าไม่ทำบุญต่อในชาตินี้กุศลเหล่านั้นก็เป็นอันไม่แน่นอน มีภพมีชาติอยู่ในชาติหน้าก็ต้องอับจน

    อนึ่ง ท่านผู้มีฤทธิ์เดชดับไฟนรกได้ เช่น พระโมคคัลนาน์หรือพระบรมศาสดาก็ดับได้เป็นครั้งคราวชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็ว่าได้แต่เมื่อท่านออกหนีจากนรกแล้วนรกก็เกิดขึ้นตามเดิมเพราะนรกเกิดขึ้นตามกรรมของสัตว์ แต่ละรายๆแม้สวรรค์และพรหมโลกก็เช่นกันขอให้เข้าใจว่า เขตบุญของโลกนี้พระบรมศาสดาบัญญัติไว้ขาดตัวแล้ว คือพระโสดาปัตติมรรคและโสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค นับเป็นคู่ได้สี่คู่ คือ

    ๑ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นคู่ที่ ๑
    ๒ สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล เป็นคู่ที่ ๒
    ๓ อนาคามิมรรค อนาคามิผล เป็นคู่ที่ ๓
    ๔ อรหัตตมรรค อรหัตตผล เป็นคู่ที่ ๔

    ตามคำบาลีว่า จัดตาริ อัฏฐปุริสปุคคลานิ นับเรียงองค์เป็น ๘

    ๑ โสดาปัตติมรรค ๒ โสดาปัตติผล
    ๓ สกทาคามิมรรค ๔ สกทาคามิผล
    ๕ อนาคามิมรรค ๖ อนาคามิผล
    ๗ อรหัตตมรรค ๘ อรหัตตผล


    แต่ละพวกๆ ก็ดี นับเป็นจำนวนล้านๆ พระองค์และมากไปกว่านั้นอีกด้วย พระองค์ยืนยันว่า "อนุตตรัง ปุญญักเขตดังโลกัสสาดิ" อันนี้แหละเป็นเขตบุญของโลกเป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นบุคคลผู้ควรกราบไหว้ ครวเคารพ ควรบูชา ควรของทำบุญ ตามสติกำลังของผู้ให้ เป็นเขตบุญของโลกโดยเด็ดขาด อนุตตรัง ปุญญักเขตตัง โลกกัสสาติเมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว พระอริยบุคคลจำพวกใดๆ ก็ตามจะดำดินบินบนได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นปัญหา เป็นเขตบุญในทางโลกุตรทั้งนั้น เป็นเขตบุญในทางโลกีย์นับแต่ต่ำที่สุด เห็นน้ำจะแห้งออกจากปลาแล้วไปเทน้ำเพิ่มให้มันมีอายุอยู่ ๑ วินาทีก็ดี ถือว่าเป็นบุยทั้งนั้น แต่เป็นบุญโลกีย์ ถ้าผู้บุญหวังโบกุตรเช่นหวังพระอริยจำพวกใดจำพวกหนึ่งก็กลายเป็นบุญโลกุตรไปในเจตนาหรือจะเรียกว่าเจตนาโลกุตรก็ได้ เมื่อเป็นดังนี้ก็ไม่น่าจะลำเอียงว่าพระอริยบุคคลจำพวกใดๆ เพราะจำพวกใดๆ ก็ตามก็สามารถเป็นที่พึ่งของชาวโลกได้ทั้งนั้นเปรียบเหมือนน้ำที่สะอาดหรือาหารที่ไม่มีโทษ ใครท่านผู้ใดยอมรับประทานและยอมดื่มก็เป็นการอิ่มได้ทั้งนั้น หรือเปรียบเหมือนคนยอมกั้นร่วม ร่มก็กั้นท่านผู้นั้นและอีกประการหนึ่ง เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าท่านผู้ใดเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นพระอรหันต์ หรือพระอริยบุคคลดังกล่าวแล้วชั้นใดชั้นหนึ่ง เราจะไม่ยอมทำบุญด้วยก็เป็นความผิดของเราอีกเพราะอริยบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้มีบัญชีติดไว้ว่าอยู่ระดับใด เรามัวไปเลือกอยู่ชีวิตของเราไม่รู้ว่าจะไปได้ขนาดไหน ข้อนี้แหละเป็นข้อสำคัญมาก เรามัวแต่เลือกอยู่เรามรณะไปก่อนเสียก็ได้ จึงเป็นของอธิบายยากนัก
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี

    [​IMG]


    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top>ใครมีเรื่องอะไรสนทนาก็เชิญ
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top>ได้อ่านวิธีปฏิบัติธรรมแบบพม่า
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top>แล้วเวลาปฏิบัติ ปฏิบัติแบบใด
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top>ที่ได้รับการอบรมมานั้น เวลานั่งภาวนาพยายามที่จะขจัด อารมณ์ไม่ให้มารบกวน พอขจัดอารมณ์สงบลงพักหนึง จะมีอารมณ์ใหม่เกิดขึ้น จะเป็นอารมณ์อะไรก็แล้วแต่พอเห็นว่าเกิดอารมณ์ขึ้นแล้ว ก็พยายามทำให้ว่างใจก็สงบอีก ทำอยู่อย่างนี้เห็นว่าเป็นการทำให้สงบได้ไม่นาน ขอกราบเรียนถามว่า ทำอย่งไรจึงจะทำให้สงบได้นานๆ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top>การขับไล่อารมณ์ให้ออกไปได้นั้นดีแล้ว แต่ยังจับหลักไม่ถูกต้องจับให้ได้ จึงจะสงบได้นานๆ
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top>เมื่อทำความสงบแล้ว แต่พออารมณ์เกิดขึ้น ก็พยายามจับอารมณ์นั้น เมื่อจับอารมณ์นั้นได้แล้วก็สามารถทำความสงบได้มันจะเป็นอยู่อย่างนี้และพยายามทำอยู่อย่างนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top>ให้ไปจับเอาต้นเหตุคือ ผู้คิดนึกก่อนที่เป็นอารมณื อารมณ์ทั้งหลายก็หายไป แล้วสงบอยู่อย่างเดียว จับเอาความสงบนั้นให้ได้ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top>เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น ท่านอาจารย์ให้พยายามจับอารมณ์นั้นใช่ไหมครับ
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top>ให้พิจารณาจับอารมณ์นั้นจับที่ตรงเหตุคือผู้ไปคิดนึกเป็นเหตุนั่นแหละจับเอาตรงนั้นแหละให้ได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top>ได้พยายามจับอารมณ์นั้นเหมือนกัน แต่มันก็ดับไปก่อน
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top>ให้เข้มใจอย่างนี้ใจเป็นกลาง ผู้คิดผู้ส่งไปเป็นอารมณ์นั้น คือจิตให้จับเอาจิตผู้เป็นหตุนี่ให้ได้จึงจะหมดเรื่อง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top>ที่ทำภาวนานี้ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้นต้องการทำใจให้ว่าง ตลอดเวลา
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top>ให้เข้มใจอย่างนี้ใจเป็นกลาง ผู้คิดผู้ส่งไปเป็นอารมณ์นั้น คือจิตให้จับเอาจิตผู้เป็นหตุนี่ให้ได้จึงจะหมดเรื่อง

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top>ที่ทำภาวนานี้ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้นต้องการทำใจให้ว่าง ตลอดเวลา
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top>มันไม่ว่างน่ะซี่ ถึงว่างก็ไปยึดความว่างนั้น ก็เลยไม่ว่าง

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top>จะพยายามละอุปาทานได้อย่างไร
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top>มันยังมากมายขอให้พิจารณาอัตตานี้เสียก่อนเมื่อพิจารณาอัตตานี้ เห็นชัดเจนแล้วจนไม่มีอัตตาสิ่งทั้งปวงทั้งหมดเป็น อนัตตา นั่นแหละจึงจะละอุปาทานได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...