ปุจฉา-วิสัชนา พระอริยเจ้าสายพระป่าธรรมยุติ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 20 ตุลาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> เมื่อใจเข้าถึงสภาพของความสงบ มันว่าง มีความสบายมากเวลาถึงขั้นนี้จะต้องพิจารณาถึงเรื่องใจเป็นอะไรกายเป็นอะไร อัตตาเป้นอะไร คือเมื่อเข้าขั้นนี้ ควรหัดพิจารณาได้ใช่หรือไม่่</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> เวลาเข้าถึงสภาพความสงบมันก็เป็นภาวนาแล้ว ให้รักษาความสงบนั้นไว้ก่อนอย่าเพิ่งไปอะไรก่อนเลย มันจะเป็นสัญญา สังขารไปเสีย ให้มันพิจารณาของมันเอง จะดีกว่าการเข้าใจว่าถึงขั้นนี้แล้วจะพิจารณาอย่างนั้นอย่างนี้ผิด คนอยากได้ปัญญาพอหัดทำความสงบเป็นสมาธินิดๆหน่อยๆก็พิจารณานั้นเสียแล้ว มันเลยไม่ชัด สมาธิก็เสื่อมปัญญาก็ไม่ได้ ผลทีสุดเลยเหลวไม่เป็นท่า</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> เวลาภาวนาโดยมากกำหนดพุทโธ แต่ไม่สามารถกำหนดให้เข้ากับลมหายใจได้เพราะจะทำให้ไอ เวลากำนหดใจมันก็ลงมาอยู่ที่อก และรู้สึกสุขสบายตรงนั้น พอสุขสบายเยือกเย็นก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร มันเกิดความสงสัยเพราะไม่มีเครื่องอยู่ ปล่อยเฉยๆ แล้วไม่ทราบจะทำอย่างไรต่อไป เวลานั่งพิจารณากายเกิดภาพเห็นชัด จะต้องเอาใจไปตามภาพนิมิต หรือว่าจะเอาใจไปตามอาการสามสิบสองพอสงสัยอย่างนั้นภาพเหล่านั้นก็หายไปไม่ทราบจะทำอย่างไรต่อไป</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> กำหนดเอาใจมันก็ดีแล้วนี่ ถูกทางแล้ว ถูกับนิสัยอย่างนั้นจึงค่อยลงได้ จิตเห็นภาพต่างๆขึ้นมา ถ้าหากว่าเราส่งไปหาภาพจิตมันก็ถอย ถึงว่าอย่าส่งไปหาภาพ ให้ย้อนมาดูผู้ไปเห็นภาพนั้น จิตใจมั่นคงกว่าเดิม เมื่อใจสบายแล้วจงหาตัวผู้สบายให้ได้จับตัวนั้นได้แล้วปล่อยวางเรื่องอื่นหมด ก็มีเครื่องอยู่ต่อไป เครื่องอยู่ในที่นี้คือ จับผู้ไปรู้ไปเห็นนั้นเองให้ได้</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> ความสุขที่เกิดจากภายนอก เวลามาเปรียบเทียบกับความสุขที่เกิดจากภาวนาต่างกันอย่างไร </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> คือว่า ความสุขที่เกิดจากภายนอกเรียกว่า ความสุขที่เกิดขากอามิส ได้สิ่งใดมาเขาเรียกว่าสุข ก่อนที่จะได้มันก็ทุกข์ได้มาแล้วก็ทุกข์คือต้องรักษาต้องใช้ มิใช่มันหามาให้เรา เราไปหามันมา มันใช้เรา เราเข้าใจผิดน่ะหากว่าเราไม่ใช้มันก็อยู่เหมือนเก่า เหตุนั้นจึงว่ามันใช้เราไปซื้อ ใช้ให้เรารักษา ในโลกมันจำเป็นต้องทำอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนี้มันก้ไม่ได้เรียกว่าเรา เป็นคนใช้ของโลก เราเป็นคนใช้ของกิเลส เราเป็นคนใช้ของความอยาก ภาษาธรรมเรียกว่าเราเป็นทาสของความอยาก มันใช้ให้เราดิ้นรนกระเสือกกระสน ด้วยประการต่างๆมันให้อยู่เป็นสุข ไม่ได้แม้แต่นอนก็ยังคิดนึกมันไม่ให้เรานั่งนอนเฉยๆ ไม่ใช่มันจะสนุกสบาย นอนก็ยังคิดนึกอยู่ นั่นแหละเรียกว่าเราเป็นทาสของมัน เรามาหัดเป็นไทเป็นนายของมันเสียเวลานอนก็นอนให้มันหลับดีๆ ให้มันสงบเสียอย่าไปยุ่งกับมันเงินนี่เราเป็นทาสเป็นคนใช้ตลอดกาล เราวางแล้วมันก็อยู่ตามเดิมไม่ไปไหน ขอให้วางปัจจุบันพอได้ความสงบสุขแล้วจึงเห็นอานิสสงฆ์ของความสุขที่เกี่ยวด้วยอามิสมันกังวล ความสุขที่ไม่เจือปนด้วยอามิสไม่มีกังวล ต่างกันอย่างนี้</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> เมื่อก่อนจะหัดภาวนา เวลาไปเที่ยวกลางคืนกับมานอนก็รู้สึกนอนสบายแต่ เมื่อหัดภาวนาแล้วยังไปเที่ยวอยู่เหมือนเดิม เวลากลับมารู้สึกจิตใจมันขัดแย้งกัน ไม่รู้สึกสบายใจเลย</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> นี่แหละคนเราหลงลืมตัวเสียจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พอมาหัดภาวนานาเข้าพอรู้ตัวรู้ตัวบ้างแต่มันก็ไม่ยอมจะดื้อหลงอยู่ร่ำไป มันจึงขัดแย้งกัน ผู้หลงก็ดึงไปหลง ผู้รู้จะดึงไปหารู้เลยตกลงกันไม่ได้ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> เคยฝึกอบรมภาวนากับพระพม่ามาก่อน ท่านให้กำหนดลมหายใจเข้า-ออก เวลาเกิดเวทนาขึ้นมาก็ให้ไปกำหนดเอาเวทนา เมื่อหัดทำกำหนดลมหายใจเกิดเวทนาขึ้นมาก็พยายามหายใจถี่เข้าๆ จนเวทนาหายไป เวลาเกิดเวทนาขึ้นมาอีก ก็กำหนดอย่างนั้นอีกจนเวทนาหายไป แต่ในครั้งสุดท้ายเวทนาเกิดแรงมากจนไม่สามารถที่จะเอาชนะได้เลย หยุดทำต่อไป ขอกราบเรียนถามว่า ถ้าหากหัดภาวนาอีกเวลาเกิดเวทนาขึ้นมา ควรพิจารณาแยกเวทนากับจิตผู้ไปรู้หรือไม่</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> แยกจิตกับผู้รู้ออกจากกัน เวทนามันก็หายไปเท่านั้นเองเพราะจิตผู้ไปคิดไปยึดถือเอาเวทนาเป็นตัวตน ออกจากผู้รู้ได้แล้วก็หมดเรื่อง</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> เราจะต่อสู้กับความโลภทางวัตถุได้อย่างไรในการฝึกอบรมเกี่ยวกับการภาวนาจึงจะเอาชนะได้</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ความโลภมันมิใช่อยู่ที่วัตถุแต่อยู่ที่ใจ คือ ความอยากวัตถุมันจะมีมากสักเท่าไร ก็แต่ความอยากมันไม่พอ มันก็ไม่พออยู่ดีนั่นเอง ท่านให้พิจารณา เมื่อกายกับใจอยู่ด้วยกัน คือไม่ตายต้องหาไปกิน ไปใช้ไป เมื่อตายแล้วกายมันไม่รู้อะไรเลย สลาย เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ไปหมด แต่ใจเป็นผู้รับภาระ กรรมนั้นผู้เดียว เมื่อดีก็รับภาระเป็นสุข ทำชั่วก็รัยภาระ กรรมนั้นผู้เดียว เมื่อดีก็รับภาระเป็นสุข ทำชั่วก็รับภาระไปเป็นทุกข์ ยังไม่สิ้นภพสิ้นชาติอยู่ตราบใด ต้องเสวยอย่างนี้ร่ำไปพิจารณาอย่างนี้แล้ว ถึงไม่พ้นทุกข์ก็ค่อยเบาบางลงบ้าง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> การหัดสติก็ยากเพราะเป็นฆราวาส แล้ววิธีที่จะหัดเบื้องต้นคืออะไรครับ</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ไม่ว่าฆราวาสและนักบวชล่ะ มันยากด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่านักบวชถ้าตั้งใจก็มีเวลาที่ทำได้ดีกว่าฆราวาสหน่อย เรื่องสตินี้เป็นของจำเป็นต้องทำ เหมือนกันกับเรามีรถมีเรือ เราใช้ไม่ได้ขับไม่เป็น มันก็ไม่เป็นประโยชน์แก่พวกเราซิ เหมือนกันนั่นแหละ สจิเรามีอยู่แต่เราไม่คุมสติให้อยู่ใต้อำนาจของเรา สตินั้นก็เหลวใช้ไม่ได้ แล้วแต่สตินั้นพาเราไปทำชั่ว ทำผิด ทุจริตต่างๆ เราก็ไม่รู้เลยกลายเป็นผู้มีสติฟั่นเฟือน ต้องคุมให้อยู่ใน อำนาจของเรา เราทำดี ทำชั่ว ทำผิด ทำถูก ทำอะไรทั้งหมดให้รู้ตัวอยู่เป็นนิจ เมื่อทำอย่างนี้อยู่เสมอจนเคยชินแล้วจะรู้สึกตัวว่า เมื่อไม่ได้ทำจะไม่สบาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> การภาวนาให้กำหนดลมหายใจและกำหนดเมตตาไปด้วย แรกๆก็จับลมหายใจสักครู่ ต่อจากนั้นก็แผ่เมตตาให้ครอบครัว แล้วแผ่เมตตาแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายพอแผ่เมตตาเสร็จแล้วก็จับลมหายใจอีก ลมหายใจก็เริ่มละเอียดเข้าๆ รู้สึกสงบมาก บางคราวรู้สึกว่าลมหายใจหายไป ไม่รู้สึกกายเลย พอถึงขั้นนั้นแล้วไม่ทราบจะทำอย่างไรต่อไป เกิดความกลัว จับอะไรไม่ได้ในขณะนั้น อยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่าทำถึงขนาดนั้นแล้วจะต้องทำอย่างไรต่อไปจึงจะก้าวหน้า</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> วิธีแผ่เมตตาเบื้องต้นก็ถูกแล้วแต่อย่าไปเอาลมมาปนเมตตา อยู่เฉพาะเมตตา ถ้าไปนึกเอาลมมาปนมันจะเขวไปเสีย เมื่อนึกเมตตาในครอบครัวจิตจะค่อยสงบลงๆ จงนึกเมตตาแต่อย่างเดียวจนใจสงบหายวาบเข้าไปเป็น เอกัคคตารมณ์ ผู้ไม่เคยเป็นพอเกิดขึ้นจะเกิดความกลัว คือมันว่างเลย ไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยว จงอย่ากลัวยึดเอาความว่างนั้นเป็นอารมณ์ ความว่างจากกิเลส ทั้งปวงเป็นของดีแล้วนั่นเป็นของดีเมื่อใจได้ที่พึ่งก็สงบหนักแน่นยิ่งขึ้น นี่เป็นวิธีพักผ่อนของใจ ดังอธิบายให้ฟังแล้วเมื่อตะกี้นี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> เวลาภาวนากำหนดพุทโธ บางคราวก็กำหนดอาการ ๓๒ เมื่อกำหนดอาการ ๓๒ บางครั้ง อาการหนึ่งปรากฎขึ้นมา ชัดเลยแล้วก็หายไป บางทีกำหนดพุทโธ อารมณ์พุทโธหายไปไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกตัวเลย พอตื่นขึ้นมาใจก็จะไปจับพุทโธหายไปไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกตัวเลย พอตื่นขึ้นมาใจก็จะไปจับพุทธโธ อีก อารมณ์เป็นพุทโธอีก ต่อมารู้สึกคล้ายนอนหลับไม่ทราบว่าไปไหน เคยได้รับคำแนะนำว่าให้รู้สภาพของมัน แต่ไม่เข้าใจ ขอความเมตตาท่านอาจารย์ โปรดอธิบายด้วยครับ</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ภาวนาพุทโธบางคนก็ชอบ ถูกนิสัยถูกใจ พอบริกรรมพุทโธๆ ใจรวมได้ ที่ว่ามันหายไปนั้นเรียกว่าใจมันรวมได้มันจึงค่อยวางพุทโธ เข้ากับหลักที่ว่า ถ้าภาวนาถึงแม้แต่คำบริกรรมพุทโธก็หายไป เวลามาพิจารณาอาการ ๓๒ มันก็วางได้เหมือนกัน เป็นการดีมาก ใช้ได้ทั้งสองอย่าง เมื่อมันหายไปนั้นคล้ายกับมันไม่มีสติ ไม่รู้ตัว เมื่อรู้ตัวขึ้นมาก็พิจารณาอย่างเก่า พิจารณาอย่างนั้นอยู่เรื่อยไป ให้ชำนาญเสียก่อนอย่าเพิ่งแก้มันเลย ต่อเมื่อ ชำนาญแล้วจะแก้มันเอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> เวลานี้อายุ ๓๒ ปี สิ่งแวดล้อมเป็นแบบฝรั่งทั้งนั้น เวลาเกิดก็เกิดในเมืองฝรั่ง ไม่มีพุทธศาสนา สังคมของฝรั่งก็มีการบังคับหลายเรื่องจึงทำให้พวกเราเป็นโรค คือโรคแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง เดี๋ยวชอบอย่างนั้นเดี๋ยวชอบอย่างนี้ นานๆเข้าก็อาจจะทำให้เกิดโรคประสาท เดี๋ยวนี้ก็ค่อยรู้สึกตัวว่าใจเป็นโรคแล้ว จะแก้ไขกันได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งแวดล้อมเป็นเช่นนี้และเป็นเวลานานมาแล้ว</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> สิ่งแวดล้อมของคนเรานั้นไม่ว่าสังคมไหนสังคมยุโรปก็ดี สังคมเอเชียก็ดีเหมือนกันทุกชาติทุกภาษาประเพณีคนละอย่างกันจะหยาบหรือละเอียดมากน้อยผิดกันเท่านั้น เพราะเหตุนี้พระพุทธเจ้าเห็นโทษของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จึงปรารถนาที่จะให้มนุษย์ชาวโลกพ้นเสียจากสิ่งแวดล้อม คือ กองทุกข์จึงได้บำเพ็ญพระโพธิญาณ คือ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าจนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วจึงอุตส่าห์เทศนา สั่งสอนให้มนุษย์ชาวโลกรู้จักโทษ เห็นโทษแล้วระงับ คือปล่อยวางถึงจะเป็นระยะชั่วครู่หนึ่งก็ตาม คือรู้จักวิธีทอดธุระปล่อยวางไม่ต้องเอามากมายหรอก เอาขณะเดียวครู่เดียว ในขณะที่เห็นโทษนั้นทิ้งเสียเลย จะรักษาแต่ใจไม่ให้ส่งส่าย ทำความสงบอยู่แต่เฉพาะตน นี้เป็นวิธีแก้โรคทางใจ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> เกิดต่างประเทศและถือศาสนาคริสต์มานาน ปัจจุบันนี้ถือศาสนาพุทธ เพราะเหตุว่าศาสนาพุทธมีเหตุผลมากกว่าศาสนาคริสต์ แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังคิดถึงศาสนาคริสต์อยู่ เขาสอนว่าพระเจ้า เมื่อเราไม่นับถือพระเจ้าแล้วเราจะได้รับผลไม่ดี เทียบศาสนาพุทธกับศาสนาคริสต์แล้วทำให้คิดถึงพระเยซู พระเยซูเป็นผู้เจริญอาจยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า เพราะยังมีโกรธอยู่ แต่ว่าอยากทราบว่าเรื่องศาสนาคริสต์จะต้องมีอะไรไปยึดหรือเปล่า หรือเราควรจะเปลี่ยนหมดเลยไม่ควรไปเกี่ยวข้อง หรือว่าบางสิ่งบางอย่างในศาสนาคริสต์เราควรจะถือเหมือนเดิม</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ศาสนาคริสต์ที่ถือกันมานั้นโดยถือว่าพระเจ้าเป็นผู้อำนวยผลประโยชน์ทุกๆอย่าง ทุกๆประการ แต่เราก็ยังไม่เคยเห็นตัวของพระเจ้า พระเจ้าสั่งพระเยซูอย่างไรก็มีหลายคน ต้นตอเหตุที่จะได้รับคำสอน บัญญัติ ๑๐ ประการ พระธรรมมาสอนต่างหาก คือเขาไปทำความสงบอย่างพวกเราทำกรรมฐานนี่แหละ เมื่อจิตมันสงบจะเป็นไปได้ ไม่มีใครมาสอน บัญญัติ ๑๐ ประการแก่โมเสส มันเกิดเองรู้เอง เพราะเขาถือพระเจ้าเลยหาว่าพระเจ้ามาสอน

    ในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าธรรมะเป็นเครื่องพร่ำสอนคือสอนคนเราให้ละชั่ว ทำดี สิ่งใดผิดสิ่งใดถูกก็สอนให้รู้จัก


    ถ้าไม่ถือพระเจ้าจะเป็นบาปไหม ให้มาภาวนาลองดูเสียก่อน พอทำความสงบแล้วอย่าว่าแต่พระเจ้าเลย แม้แต่พระพุทธเจ้าที่เรานับถือในพระพุทธศาสนาก็ไม่มี ในที่นั้น ยังเหลือแต่ความสุขสงบอันเดียว ผู้ถือธรรมแท้ต้องเป็นอย่างนี้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 width="95%" align=center><TBODY><TR><TD>ท่านอาจารย์พานั่งภาวนาพร้อมทั้งอบรมธรรมนำด้วย

    การภาวนาคือการอบรมใจให้พักไม่ให้คิดส่งออกไปภายนอกคือหัดทำความสงบดังที่ได้อธิบายมาแล้ว มีการพักผ่อนการงานของใจคือ การคิดนึกปรุงแต่งแต่วาการพักของใจที่จะให้พักง่ายๆ เป็นการลำบาก เพราะเป็นของเร็ว ใจมีอาการเร็วที่สุดยากที่เราจะจับได้ มันวิ่งไปหน้าไปหลังจับไม่ทัน จะบังคับเฉยๆมันเป็นการลำบาก เพราะฉะนั้นเราจึงหาจุดใดจุดหนึ่งให้ใจไปพัก เช่นจะภาวนาพุทโธ ก็ให้ใจไปอยู่ที่ปลายจมูกลมหายใจเข้า-ออก เอาสติไปคุมจิตให้อยู่ตรงนั้น เวลามันอยู่หรือไม่อยู่ก็ให้รู้ มันหนีไปก็ดึงมันคืนมา ให้มันอยู่ในจุดเดียว เราต้องหัดอย่งนี้ เมื่อเราหัดนานๆหนักเข้ามันจะค่อยอ่อน ค่อยซาลง คือมีความรู้สึกอยู่ เช่น ลมหายใจ มันจะหายวับไปแล้วไปสงบเป็นอันหนึ่งของมันต่างหาก ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าธรรม ถึงแม้ใครจะนับถือ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ก็ตาม ถ้าหากถึงจุดนั้นเรียกว่าถึงพระเจ้าด้วยกันทั้งนั้น เข้าถึงกันหมดทุกศาสนา ผู้จะรู้จักหลักของศาสนาให้มาหัดตรงนั้นเสียก่อน จึงจะรู้สึกด้วยตนเอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> ในสมัยนี้มีการทำร้ายผู้คนและสิ่งของอยู่มาก จะแก้ไขได้อย่างไรหรือว่าจะแก้ไขโดยการปฏิบัติได้อย่างไร เช่น ในเมืองเพิร์ธการฆ่าสัตว์ ลักขโมย โดยปืนยิงกัน อะไร ต่ออะไรก็มีอยู่มาก ที่อื่นในออสเตรเลียก็มีอยู่มากเช่นเดียวกัน จะแก้ไขอย่างไร</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ก็เรื่องอย่างนี้เอง เรื่องความเสื่อมโทรมของศีลธรรมมีมากขึ้น ฉะนั้นจึงจำเป็นจะต้องเอาพุทธศาสนามาใช้ เพื่อระงับความเลวร้ายโหดเหี้ยมของมนุษย์ ยิ่งวิชาผ่ายโลกผ่ายวัตถุเจริญก้าวหน้าขึ้นเท่าไร ศีลธรรมก็ยิ่งเสื่อมไป เพราะฉะนั้นจึงพากันมาหวนระลึกถึงศีลธรรมเอามาปฏิบัติ ความเจริญก้าวหน้าของโลก มิใช่จะนำความสุขเจริญมาให้ถ่ายเดียวก็หาไม่ พร้อมกันนั้นก็นำความเดือดร้อนมาให้อีก ส่วนพุทธศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ยิ่งเจริญเท่าไรยิ่งนำความสุขมาให้โลก มันเจริญขึ้นดังที่ว่ามาแล้ว เครื่องประหารกันนับไม่ ถ้วนพอปิดอกผิดใจเกลียดโกรธกันก็ทำร้ายซึ่งกันและกันยิ่งจะเพิ่มทวีความเดือดร้อนขึ้นทุกที ส่วนหลักพระพุทธศาสนาให้งดเว้นเบียดเบียนซึ่งกันและกันทั้งหมดไม่เลือกหน้าไม่ว่าผู้ใหญ่และเด็ก คนจนคนมี แม้แต่ถือศาสนาอื่นใดก็ตาม เมื่อคนทั้งโลกทำตามโดยนัยนี้แล้วลองคิดดูซิว่าจะได้ความสุขหรือไม่
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> เวลานั่งภาวนาแล้วง่วงนอนเพราะทำงานตลอดวันเลยต้องตั้งใจดีๆ ในการทำภาวนา ถึงแม้ตาจะหลับจนได้ แต่ใจก็จดจ่อกับพุทโธจนรู้สึกว่าจิตว่างไม่มีอะไร ต่อจากนั้นมีความรู้สึกขี้นมาอย่างหนึ่งคือมีความรู้สึกคล้ายมีอาการเคลื่อน แรกๆคิดว่าเป็นความคิด แต่มันก็ไม่ใช่เป็นความคิด เพราะคิดอะไรไม่ออก ต่อมาใจประหวัดไปคิดถึงน้องสาวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก็ได้ยินเสียงขึ้นมาทันทีดังนั้นจึงอยากจะกราบเรียนถามว่า เวลาที่มีความรู้สึกว่าจิตมันเคลื่อนแล้วคิดอะไรไม่ออกนั้นควรจะพิจารณาอะไร</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> สภาพนั้นใช้ไม่ได้ สภาพนั้นเรียกว่าจิตจะเข้าถึงอัปปนาจิตอันนั้นมีอาการ แต่มันไม่สามารถที่จะรับรู้สิ่งอื่นได้ แสดงว่าจิตนั้นมีอาการเฉพาะของมัน แต่มันไม่สามารถที่จะสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับเรื่องภายนอกได้ จิตอันนี้ยังเหลือแต่จิตแท้ๆจิตอัปปนาใช้การไม่ได้ เราต่อสู้ความง่วงหรือต่อสู้ความวุ่นวายอะไรต่างๆทุกอย่าง เราหัดแบบนี้เพื่อเอาชนะเรื่องทั้งหลายอุปสรรคทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อเราเอาชนะแล้ว เราก็ไปพักเพื่อความสุขสบายต่อไป ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็ไม่หมดเรื่องทุกข์ นี่เรียกว่าต่อสู้เพื่อเอาชนะ ชนะแบบนี้ได้ขั้นนั้นเสียก่อน แต่ว่าชนะขั้นนี้แล้วยังไม่ใช่ชนะขั้นเด็ดขาด เป็นชนะชั่วครั้งชั่วคราว ที่จะให้เด็ดขาดต้องออกมาต่อสู้กันในอุปจารสมาธิ พิจารณากันทั้งภายนอกและภายในเห็นอยู่ทุกอย่างจึงจะเด็ดขาด
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> ศาสนาพุทธให้สอนตนเองเสียก่อน อยากทราบว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าจะซึมซามเข้าไปในประเทศไทย ได้อย่างไรในเมื่อเราทำกับตัวเอง</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> เรื่องนี้ถึงศาสนาไหนก็ตามมันก็ต้องสอนตนเองก่อนเหมือนกันไม่ว่าศาสนาใด ตนเองเข้าใจ จึงจะเผบแพร่ไปในที่อื่นๆได้ แต่ว่าศาสนาพุทธนั้นยังมีพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ก่อนที่จะสอนคนอื่นนั้นตนเองต้องทำได้แล้วจึงสอนคนอื่นให้ทำตาม ตนเองเห็นความดีแล้วจึงสอนคนอื่นให้ดีตามคนเองทำบริสุทธิ์ได้แล้วจึงสอนคนอื่นให้ทำความบริสุทธิ์ตาม หากคนอื่นจะทำตามหรือไม่ทำตามตนเองก็ไม่เสียหาย หากคนอื่นทำตามเขาก็ดีด้วย เราก็ดีด้วย เรื่องพุทธศาสนามีคติอย่างนี้ สอนอย่างนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> ความบริสุทธ์นั้นหมายความว่าอะไร ที่สอนว่าต้องทำจิตใจให้บริสุทธิ์นั้น การทำความบริสุทธิ์คืออะไร จะต้องทำอย่างไร</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ความบริสุทธิ์นั้นหมายความว่า สะอาด ขาว ดี ไม่มีราศีส่วนว่าต้องทำใจให้บริสุทธิ์นั้น คือทำใจให้สะอาดปราศจากกิเลสทั้งหลาย มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> พุทธศาสนิกชนในโลกมีประมาณเท่าใด</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ไม่ทราบเหมือนกัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> ศาสนาพุทธมีอยู่ในประเทศอะไรบ้าง</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ที่ทราบก็มี ประเทศไทย พม่า ลังกา ลาว เวียดนาม เขมร ญี่ปุ่น จีน แต่ประเทศทั้งหลายเหล่านั้นการถือพุทธศาสนาก็อาจจะมีแตกต่างกันไปบ้างคือเคร่งครัดหย่อนหยานต่างกัน ไม่สม่ำเสมอกัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> ผมนับถือศาสนาคริสต์ มีความเข้าใจว่าใครกันก็แล้วแต่เมื่อปฏิบัติศาสนาและเข้าถึงศาสนาได้อย่างลึกซึ้ง ก็เข้าถึงศาสนาทั้งหมดจะเป็นความคิดที่ถูกต้องหรือเปล่า</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ศาสนาทุกศาสนามีจุดหมายอันเดียว คือต้องการให้คนละชั่ว ทำดีเหมือนๆ กันหมดทุกศาสนา แต่วิธีหรือลัทธิที่จะสอนให้คนละชั่วทำดีนั้นมีวิธีต่างๆ กันแล้วแต่หัวหน้าผู้จะอบรมและสั่งสอน ถ้าหากถึงหลักคือละชั่วและทำดีได้แล้วถูกหมดทุกศาสนา ศาสนาคริสต์มีคนนับถือมากในโลก มากว่าทุกศาสนา เพราะศาสนามีอิทธิพลทางด้านเงินทองมากมาก คนเราถ้าหากว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเป้นเครื่องอุดหนุนหรือสนับสนุนเช่น ปัจจัยได้แก่ เงินทอง คนก็ชอบใจ นับถือกันได้ง่าย นอกจากนั้นอีกทางศาสนาคริสต์ใครจะทำดีทำชั่วพระเจ้าเป็นผู้รับทั้งหมด เหตุนั้นคนทั้งหลายจึงหลายจึงชอบคือทำตามความชอบใจแล้วให้พระเจ้าช่วยด้วย ส่วนทางศาสนาพุทธนั้นทำดีได้ ดีด้วยตนเอง ทำชั่วได้ชั่วด้วยตนเอง และก็ให้เห็นด้วยใจของตน และมีอิสระในการทำงานไม่ต้องอยู่ในบังคับบัญชาของใคร ผู้ที่ศึกษาไม่เข้าใจและไม่รู้หลักของพุทธศาสนาแล้วจึงถือศาสนาพุทธไม่ค่อยมั่นคง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> ไม่เห็นด้วยที่ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องศาสนาคริสต์ไม่ใช่ว่าเขาจะปล่อยภาระต่างๆเป็นของพระเจ้า เราต้องรับภาระเองถึงความดีความชั่ว และเราจะต้องปฏิบัติ พระเจ้าจึงจะช่วยเราได้ ถ้าหากเราไม่รับผิดชอบในการกระทำของเรา พระเจ้าก็ไม่สามารถจะช่วยได้ มติของเราเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างจะทิ้งให้พระเจ้า</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ถ้าอย่างนั้นก็เข้ากับหลักพุทธศาสนา มันก็พึ่งตนเองดีๆ นั้นแหละจะถือพุทธหรือถือพุทธหรือคริสต์ก็เท่านั้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> ศาสนาคริสต์กับศาสนาพุทธต่างกันตรงที่ศาสนาคริสต์ล้างบาปได้ และตนเองไม่สามารถที่จะพึ่งตนเองได้จะต้องพึ่งพระเจ้าในการล้างบาป</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ล้างบาปแล้วมันหมดหรือไม่ อย่างเราไปฆ่าคนโทษถึงประหารชีวิตให้พระเจ้าช่วยล้างบาป โทษมันจะหมดหรือ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> ล้างบาปนี้โทษอาจจะหมดได้ เมื่อเราตั้งใจล้างบาปจริงและจะงดเว้นไม่ทำบาปอีกต่อไป แต่บาปในการกระทำยังต้องได้รับอยู่</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ถ้าหากว่าล้างบาปเก่าไม่ได้ ก็ล้างบาปใหม่คือไม่ทำมันก็เหมือนศาสนาพุทธละซี ศาสนาพุทธงดเว้นจะไม่ทำบาป อีกต่อไปมันก็อันเดียวกันนั่นเอง ดังนั้นจำเป็นจะให้พระเจ้าล้างทำไม ตัวเองล้างก็หมดอยู่แล้ว จิตเราสกปรกเราก็ล้างน่ะซี ถ้าหากจิตเราไม่สกปรกจะล้างทำไม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> บาปที่สกปรกที่สุดคือบาปที่ถือตัวว่าตัวเป็นใหญ่เวลาทำชั่วกับคนอื่นรู้สึกตัวว่ามันไม่ดีด้วยเหตุที่ถือตัวว่าเป็นใหญ่ จึงไม่สามารถจะไปขออภัยกับเขาได้ และไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนผิดอยากทราบว่าการถือตัวเป็นใหญ่ มันผิดเหมือนหลักของศาสนาพุทธหรือเปล่า</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ผิดเหมือนๆกัน พุทธศาสนายังสอนว่า การถือว่าตนเป็นเหตุใหญ่กว่าเขา ตนเลวกว่าเขา หรือตนเสมอเขา ไม่ดีทั้งนั้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> เพราะเหตุการณ์ถือตัวจึงไม่ยอมรับว่าตนเองทำไม่ดี ไม่รับผิดชอบและไม่ยอมขออภับกับคนอื่นที่ตนทำผิดมันจึงเกิดเรื่อง ถ้าหากเราจะระงับเรื่องนี้ทางศาสนาพุทธมีวิธีแก้ไขอย่างไร</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> เรื่องทำชั่วทำผิดให้แก่คนอื่นนับตั้งแต่บุคคลตลอดถึงหมู่คณะและประเทศชาติ ถ้าหากเรารู้เรื่องว่าเราทำด้วยกองกิเลสด้วยทิฐิมานะก็ตามเมื่อผิดแล้วและเห็นโทษในความผิด นั้นๆ ในการที่เราเห็นโทษนี่แหละ หากว่าเรา ยอมสละเพราะเห็นโทษอันนั้นว่าเป็นของไม่ดี มันมีอยู่ในใจของตนแล้วจึงจะไปยอมสละ คือไปขอโทษเขาได้ ถ้าหากเห็นโทษแต่ไม่ยอมสละในการถือตัวว่าตัวดีเด่น ตัวเก่งกว่าเขา โทษอันนั้นก็ไม่สามารถหายได้ จึงไม่มีหนทางที่ระงับได้ เหตุนั้นพุทธศาสนาจึงสอนให้เห็นโทษของตน แล้วพยายามละโทษอันนั้นโทษอันนั้นจึงจะหาย
    ท่านอุปมาเปรียบเหมือนดังกับพระจันทร์ เมื่อเมฆหมอกปกคลุมแสงสว่างก็มิดหายไป หากว่าเรารู้โทษแล้ว ไปขอขมาโทษ ก็เหมือนกับเมฆหมอกนั้นเลื่อนไหลไปจากพระจันทร์ แสงสว่างก็แจ่มจ้าขึ้นมาตามเดิม ถ้าไม่เชื่อก็ลองทำดูโดยเฉพาะบุคคลเพื่อนมิตรของเราหากว่าเราได้ทำผิดแล้วทีหลังรู้ตัวไปพูดความจริง ขอโทษเขาแล้ว ก็กลับจะเป็นความดียิ่งกว่าเก่าอีกด้วยซ้ำ เพราะเห็นใจซึ่งกันและกัน บาปในทางพุทธศาสนาต้องล้างด้วยวิธีนี้ จึงจะเป็นอันว่าล้างแท้ หากว่าคนนั้นเขาไม่ยอมรับหรือไม่ยอมให้อภัย ก็หมายความว่ายังล้างไม่หมด ถ้าหากเขายอมรับอภัยดีกันได้ นั้นแหละเรียกว่าล้างบาปอย่างแท้จริง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> ได้เคยผ่านมาแล้วในชีวิตของดิฉันคือ บางทีอาจจะทำผิดกับผู้อื่นที่ไม่ใช่คนรู้จักหรือไม่ได้เป็นเพื่อนพอรู้สึกตัวแล้วไปขออภัยกับคนนั้น เลยกลับเป็นเพื่อนสนิทกันทีหลัง ดังนั้นจึงเห็นว่าทางนี้ทางเดียวที่จะทำให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าสามัคคีกัน</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ก็อย่างนั้น นี่แหละวิธีล้างบาป ศาสนาพุทธจึงครอบหมดเลยไม่ต้องให้พระเจ้าล้างเราล้างด้วยตนเอง ไม่ต้องใช้พระเจ้าอีกต่อไป เราใช้เราเองก็หมดเรื่อง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> ไปขออภัยเพราะเหตุว่านับถือพระเยซู คิดถึงพระเยซูจึง คิดถึงพระเยซูจึงเป็นเหตุทำให้มีกำลังใจทำได้ ถ้าหากไม่ระลึกถึงพระเยซูก็ไม่สามารถที่จะทำได้เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่เขาจะต้องไปล้างบาป ไปบอกกับพระเยซูในสิ่งที่เขาทำผิด ถ้าหากไม่ไปล้างบาปไม่ไปขออภัยกับพระเยซู ก็ไม่สามารถที่จะไปขออภัยคนอื่นได้เลยเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องล้างบาปและขออภัยกับพระเยซู</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> มันก็จะต้องมีเครื่องยึดเป็นธรรมดาเบื้องต้นก่อนที่เราจะละชั่วทำดีได้ทุกประการก็ต้องการระลึกถึงผู้ที่ทำดีมาแล้วก่อน เช่นเราระลึกถึงพระเยซูไม่ทำให้เราทำชั่วเมื่อเราทำชั่ว ก็ระลึกถึงพระเยซูรับรู้ เราก็รู้ด้วยตนเอง เพราะของพรรค์นี้มันอยู่ที่ใจ เรารู้ด้วยใจของตนเองไปให้พระเยซูรับรู้ด้วยก็ดีเหมือนกันเพราะเรานับถือท่าน แต่ว่าตัวของเราเป็นผู้รู้เสียก่อน พระเยซูไม่รู้รับรู้กับเราเลย เราเป็นคนรู้แล้ว เราเป็นคนละ พระเยซูจะปกปักรักษา คนทั้งโลกก็แย่อยู่ไม่เป็นสุขเลย พระเยซูก็ต้องเดือนร้อนเป็นทุกข์เหมือนกัน อย่าให้พระเยซูเดือนร้อน เป็นทุกข์เลย เราละเองเสียเลยจะดีกว่า
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> เราได้ทำให้พระเยซูเดือนร้อนมากเป็นบาป</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> ก็เดือดร้อนละซี บาปด้วยซ้ำไป ศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักชั่วแล้วละเว้นด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้มาตามปกปักรักษาอยู่ตลอดเวลา นิพพานแล้วหมดเรื่อง พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เป็นทาสใคร ถ้าหากเรารู้สึกผิดถูกดีชั่ว แล้วงดเว้นด้วยตนเอง นั่นแหละพระเจ้ามาตามรักษา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>
    ผู้ถาม
    </TD><TD vAlign=top> ที่ท่านอาจารย์พูดว่า ถ้ารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาเราพยายามแก้ไขด้วยตนเอง มันคล้ายๆพระเยซูมาอยู่ในตัวเรา ตามความเข้าใจของเราพระเยซูอยู่ในตัวของเราไม่ใช่มันเป็นเรื่องภายนอก</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์
    </TD><TD vAlign=top> เออ! มันต้องเป็นอย่างนั้นค่อยถูกหน่อยให้รู้จักหลักศาสนา มันไม่ผิดแผกแตกต่างกันเลย ศาสนาทุกศาสนา อันเดียวกัน คือละชั่ว ทำดี แต่นี่มันยังไม่ทันถูกจึงงมงายให้พระเจ้าช่วยอยู่ตลอดเวลา อะไรต่างๆ ก็ได้พระเจ้าช่วยทั้งนั้น เข้าใจผิดกันอย่างนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>ผู้ถาม

    </TD><TD vAlign=top>เห็นด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านอาจารย์อธิบายมานี้</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์


    </TD><TD vAlign=top>ที่จริงหลักอันเดียวกัน พูดให้มันเข้าหลักกันได้ก็ใช้ได้ ถ้าถือทิฐิมานะว่ามึง ว่ากู มันเลยไม่ลงกัน ว่าข้าถือคริสต์และข้าถืออิสลามละ ข้าถือพุทธละ อะไรต่างๆพูดถึงเนื้อแท้ ข้อเท็จจริงมันอันเดียวกันละชั่วทำดีด้วยกันทั้งนั้นแต่ว่าจะหยาบหรือละเอียดมันอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก และวิธีสอนมันเป็นเทคนิคของแต่ละศาสนา

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>ผู้ถาม

    </TD><TD vAlign=top>เมื่อก่อนที่ดิฉันจะนับถือศาสนาพุทธดิฉันคิดว่าทุกคนไม่ดี ไม่ยอมเข้ากับคนอื่น แต่เพื่อนคนนี้ (ผู้ถามปัญหาข้างบนนี้) พยายามดึงดิฉันมาสอนดิฉันให้ละชั่วทำดีเพราะเขาบอกว่าเขานับถือพระเจ้า ดิฉันตอบไปว่าดิฉันทำไม่ได้เพราะ ดิฉันไม่เชื่อเลย เขาบอกว่าไม่เป็นไร อย่าไปคิดว่าเป็นพระเจ้าคิดว่าเป็นกะหล่ำปลีก็ได้ เขาพยายามชึ้ให้ชำระตัวเองโดยวิธีนั่งเงียบๆ แล้วฟังพระเจ้า อะไรที่เราทำผิดมาแล้วมันจะเกิดความรู้ขึ้นมาเองแล้วให้เราละชั่วอันนั้นต่อมาเมื่อดิฉันสนใจศาสนาและเห็นว่าคนนี้เป็นคนดี เขาไม่ต้องการอะไรจากดิฉัน แต่อยากช่วยดิฉัน</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์


    </TD><TD vAlign=top>คือเวลานั่งเฉยๆนั่น อย่างเรานั่งภาวนาสมาธิ บางคนอาจจะเกิดความรู้อะไรขึ้นมา อย่างที่เล่าให้ฟัง เช่น โมเสสไปนั่งทำความสงบ ผู้จะเป็นมันก็เป็นมีสอนดีสอนชั่วเกิดขึ้นมาในที่นั่นอย่างเรานั่งภาวนาก็มี บางทีปรากฎเสียงครูบาอจารย์หรือใครที่เรานับถือหรือปรากฎเสียงขึ้นมาเฉยๆ ก็มี มันหมู่เดียวกันเดียวกันนั่นแหละ หลักอันเดียวกัน ในเมื่อเขาเชื่อมั่นในหลักคริสต์ของเขาแล้ว เขาเชื่อว่าพระเจ้าของเขาตามปกปักรักษา พอจิตมันแน่วลงไปมันก็ปรากฎขึ้นมา ที่จริงคือธรรมะในทางพุทธศาสนา ตามพร่ำสอนอันเดียวนั่นแหละเราถือธรรมนั่นเขาถือพระเจ้า

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=100>ผู้ถาม

    </TD><TD vAlign=top>เมื่อก่อนที่ดิฉันจะนับถือศาสนาพุทธดิฉันคิดว่าทุกคนไม่ดี ไม่ยอมเข้ากับคนอื่น แต่เพื่อนคนนี้ (ผู้ถามปัญหาข้างบนนี้) พยายามดึงดิฉันมาสอนดิฉันให้ละชั่วทำดีเพราะเขาบอกว่าเขานับถือพระเจ้า ดิฉันตอบไปว่าดิฉันทำไม่ได้เพราะ ดิฉันไม่เชื่อเลย เขาบอกว่าไม่เป็นไร อย่าไปคิดว่าเป็นพระเจ้าคิดว่าเป็นกะหล่ำปลีก็ได้ เขาพยายามชึ้ให้ชำระตัวเองโดยวิธีนั่งเงียบๆ แล้วฟังพระเจ้า อะไรที่เราทำผิดมาแล้วมันจะเกิดความรู้ขึ้นมาเองแล้วให้เราละชั่วอันนั้นต่อมาเมื่อดิฉันสนใจศาสนาและเห็นว่าคนนี้เป็นคนดี เขาไม่ต้องการอะไรจากดิฉัน แต่อยากช่วยดิฉัน</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=100>
    ท่านอาจารย์


    </TD><TD vAlign=top>คือเวลานั่งเฉยๆนั่น อย่างเรานั่งภาวนาสมาธิ บางคนอาจจะเกิดความรู้อะไรขึ้นมา อย่างที่เล่าให้ฟัง เช่น โมเสสไปนั่งทำความสงบ ผู้จะเป็นมันก็เป็นมีสอนดีสอนชั่วเกิดขึ้นมาในที่นั่นอย่างเรานั่งภาวนาก็มี บางทีปรากฎเสียงครูบาอจารย์หรือใครที่เรานับถือหรือปรากฎเสียงขึ้นมาเฉยๆ ก็มี มันหมู่เดียวกันเดียวกันนั่นแหละ หลักอันเดียวกัน ในเมื่อเขาเชื่อมั่นในหลักคริสต์ของเขาแล้ว เขาเชื่อว่าพระเจ้าของเขาตามปกปักรักษา พอจิตมันแน่วลงไปมันก็ปรากฎขึ้นมา ที่จริงคือธรรมะในทางพุทธศาสนา ตามพร่ำสอนอันเดียวนั่นแหละเราถือธรรมนั่นเขาถือพระเจ้า

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    www.buddhismthailand.com
     
  14. เสรีชน

    เสรีชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +727
    ธรรมเเลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
     
  15. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,947
    ค่าพลัง:
    +1,276
    satu satu satu
     

แชร์หน้านี้

Loading...