ผลกรรม ของพระเทวทัต

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศรีสิทธิ, 2 ตุลาคม 2010.

  1. ศรีสิทธิ

    ศรีสิทธิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +1,515
    พระเทวทัตตายจากความเป็นคน
    ไปอยู่ในอเวจีมหานรก

    "..พระเทวทัต เคยจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้ามาหลายแสนกัป เพราะต้นเดิมที่เดียวเป็นคนไม่ดีคือ

    พระเทวทัตเป็นพ่อค้าทุจริต ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นพ่อค้าเหมือนกันแต่เป็นพ่อค้าสุจริต วันหนึ่งมีหญิงแก่คนหนึ่งเคยเป็นคนอยู่ในตระกูลมหาเศรษฐีเก่ารับช่วงตกทอดกันมาหลายชั่วคนแล้ว แต่เวลานั้นกลายเป็นคนจน ในตระกูลเศรษฐีนี้มีถาดทองคำ เหลืออยู่ใบหนึ่ง

    ต่อมาพระเทวทัตไปขอซื้อแกก็เอามาขายให้เพราะเป็นคนจน เมื่อท่านดูแล้วก็ทราบว่าเป็นทองเนื้อดีแต่เห็นว่าเป็นคนจนก็เลยบอกว่า "ทองนี้ไม่ใช่ทองจริงๆ เป็นทองปลอม" จึงตีราคาในฐานะทองปลอมให้ แกก็ไม่ขายเพราะทราบดีว่าเป็นทองเนื้อบริสุทธิ์ พระเทวทัตก็คิดว่าถ้าไม่ซื้อพ่อค้าคนอื่นก็คงไม่ซื้อ ไม่ช้าแกก็ต้องจำใจขายให้กับท่านเอง

    ต่อมาพ่อค้าพระพุทธเจ้าไปพบเข้าเห็นว่าเป็นทองดีจริงๆ เนื้อทองบริสุทธิ์ ก็ให้ราคาเท่าทองคำธรรมดาแกก็ยอมขาย พอพระเทวทัตทราบเข้าก็เจ็บใจจึงจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า โดยหยิบทรายมา ๑ กำมือแล้วก็หว่านลงไปประกาศว่า

    [​IMG]


    "เราจะขอจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเมล็ดทราย ๑ กำมือนี้ หมายความว่า ๑ ชาติเท่ากับ ๑ เม็ด จนกว่าจะหมดเมล็ดทราย"

    ต่อมาเมื่อสมเด็จพระทศพลเป็นพระบรมโพธิสัตว์ไปเกิดทุกๆ ชาติ พระเทวทัตก็ตามจองล้างจองผลาญตลอดเวลา ก่อนชาติสุดท้ายปลายมือสมัยพระพุทธเจ้าเกิดเป็นพระเวสสันดร พระเทวทัตก็มาเกิดเป็นชูชก

    จนมาถึงชาติสุดท้ายพระเทวทัตมาเกิดเป็นพี่ของพระนางพิมพาซึ่งเป็นพระชายาของพระสิทธัตถะราชกุมาร ที่มาเป็นพระพุทธเจ้า และก็เป็นลูกของลุงพระพุทธเจ้าเอง ความจริงก็เป็นญาติสนิทกัน
    ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว บรรดาพระญาติก็พากันออกบวช พระเทวทัตก็ออกบวชด้วย

    เมื่อบวชแล้วก็ได้ฌานโลกีย์ ได้อภิญญาสมาบัติสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เนรมิตอะไรต่อมิอะไรได้ ต่อมาก็มีความกำเริบใจ เพราะอกุศลกรรมเข้าสนับสนุน คิดจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า ไปยุพระเจ้าอชาตศัตรูให้กบฏต่อพระราชบิดา

    และพระเทวทัตก็กบฏต่อพระพุทธเจ้า คิดฆ่าพระพุทธเจ้าและก็จ้างคนฆ่าพระพุทธเจ้า ทำสังฆเภทคือทำสงฆ์ให้แตกกัน และยังคิดฆ่าคนทั้งหลายอีกด้วย ในเมื่อพระเทวทัตเลวจัดขนาดนี้

    [​IMG]


    ในที่สุดแผ่นดินทนไม่ไหว ทนความหนักของความเลวไม่ได้ แผ่นดินจึงแยกปล่อยให้พระเทวทัตลงไปยืนกางแขนกางขาถูกหอกเสียบอยู่ในอเวจีมหานรก

    นรกขุมที่ ๑ ถึงขุมที่ ๗ หรือนรกขุมอื่นๆ บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายมีการเคลื่อนไหวได้ แต่นรกขุมใหญ่ขุมที่ ๘ ที่เรียกว่า "อเวจีมหานรก" ไม่มีการเคลื่อนไหว คำว่า "อจลัง" แปลว่า "ไม่หวั่นไหว"

    นรกขุมนี้มีกำแพงพิเศษทั้งข้างล่าง ข้างบน และทั้ง ๔ ด้านปิดหนา ท่านได้ฌานเวลาลงต้องลงทางปล่อง จะเห็นพระเทวทัตยืนอยู่ เบื้องบนด้ามหอกฝังอยู่กำแพงด้านบน ปลายหอกเสียบตั้งแต่หัวพระเทวทัตทะลุตูดและลงไปปักอยู่กับกำแพงด้านล่าง

    ด้านหน้าด้ามหอกติดอยู่กับกำแพงด้านหน้า ตรงกลางหอกติดอยู่ที่อกพระเทวทัต ด้านปลายหอกไปปักอยู่ที่กำแพงด้านหลัง ด้านข้างก็เหมือนกัน ทั้งมือ ทั้งเท้า ทั้งตัว ถูกเสียบด้วยหอกหลายสิบเล่ม ดูร่างกายของท่านไม่ไหวติงเลย

    ไม่ใช่ตายแต่ดิ้นไม่ไหวเพราะถูกหอกเสียบตรึงหมด และหอกที่เสียบก็เป็นเหล็กแล้วก็เป็นไฟ กระดูกของท่านแดงฉานเหมือนกับเหล็กที่ถูกไฟเผาไหม้จนสุก และไฟก็พุ่งเข้ามาทั้ง ๖ ด้าน ต้องทนทุกข์ทรมาน อยู่อย่างนี้สิ้นเวลา ๑ กัป

    [​IMG]


    ถ้าทำบาปพอดิบพอดีสำหรับลงนรกขุมนี้ แต่ถ้าทำบาปเลยพอดีพอครบ ๑ กัปแทนที่จะผ่านขุมนี้ไปได้ก็ต้องเสวยทุกข์ในนรกขุมนี้ต่อไปอีกเป็นกัปๆ นับเป็นกัปๆ

    อย่างเทวดา เทวดาที่ทำบุญเลยพอดี เขาเกิดเป็นเทวดาตั้ง ๖๐ กัปบ้าง ๑๐๐ กัปบ้าง แต่อายุของเทวดา ๑,๐๐๐ ปีทิพย์บ้าง ๒,๐๐๐ ปีทิพย์บ้าง มันไม่ถึงกัป ก็ตายจากเทวดาปั๊บแล้วก็เกิดเป็นเทวดาปุ๊บทันที เสวยสุขต่อไป ในความเป็นเทวดา.."

    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2010
  2. ศรีสิทธิ

    ศรีสิทธิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +1,515

    บางตอนจาก มิลินทปัญหา

    ถามถึงความไม่เสมอกันและไม่เสมอกัน แห่งกุศลและอกุศล
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า

    “ข้าแต่พระนาคเสน วิบากของบุคคลทั้งสอง คือผู้ทำกุศลกับผู้อกุศล มีผลเสมอกันหรือต่างกันอย่างไร?”

    พระนาคเสนตอบว่า

    “ขอถวายพระพร ต่างกัน คือกุศลมีสุขเป็นผล ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ อกุศลมีทุกข์เป็นผล ทำให้ไปเกิดในนรก”

    พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่าต่อไปว่า

    “ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวไว้ว่า พระเทวทัต มีแต่ดำอย่างเดียว ประกอบด้วยความดำอย่างเดียว ส่วน พระโพธิสัตว์ มีแต่ขาวอย่างเดียว ประกอบด้วยของขาวอย่างเดียว

    แต่มีกล่าวไว้อีกว่า พระเทวทัตเสมอกันกับพระโพธิสัตว์ ด้วยยศและพรรคพวกในชาตินั้น ๆ ก็ยิ่งกว่าก็มี

    อย่างเช่นคราวหนึ่ง พระเทวทัตได้เกิดเป็นบุตรปุโรหิตของพระเจ้าพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เกิดในตระกูลเทหยากเยื่อ แต่เป็นผู้มีวิชา ร่ายวิชาให้เกิดผลมะม่วงได้นอกฤดูกาลเป็นอันว่า คราวนั้น พระโพธิสัตว์ต่ำกว่าพระเทวทัตด้วยชาติตระกูล

    ในคราวหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระโพธิสัตว์เกิดเป็นช้างของพระเจ้าแผ่นดินองค์นั้น อีกเรื่องหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นมนุษย์ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นวานร อีกเรื่อหนึ่ง พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาช่างฉัททันต์ พระเทวทัติ เกิดเป็นนายพรานฆ่าพญาช้างฉัททันต์นั้นเสีย

    อีกเรื่องหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพรานป่า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกกระทา อีกเรื่องหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็น “พระเจ้ากาสี” ที่พันธุมดีนคร พระโพธิสัตว์เกิดเป็น “ขันติวาทีฤาษี” ถูกพระเจ้ากาสีให้ตัดมือตัดเท้าเสีย เรื่องเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า พระเทวทัตยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ด้วยชาติ ตระกูล ยศ ศักดิ์ บริวารก็มี และยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น

    เรื่องพระเทวทัตเกิดเป็นชีเปลือย ชื่อว่า โกรัมภิกะ” พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญานาค ชื่อว่า ปันทรกะ อีกคราวหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็น ชฏิลดาบท พระโพธิสัตว์เกิดเป็นสุกรใหญ่ อีกชาติหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นพระราชา ผู้ทรงพระนามว่า อุปริราช” ผู้เที่ยวไปในอากาศได้ พระโพธิสัตว์เกิดเป็น “กบิลพราหมณ์ราชครู”

    อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นมนุษย์ชื่อว่า “สามะ” พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาเนื้อชื่อ “รุรุ” อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นนายพราน ชื่อว่า “สุสามะ” พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาช่างเผือก ถูกพระเทวทัตตามไปเลื่อยงาถึง ๗ ครั้ง

    อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพญาสุนัขจิ้งจอง เป็นใหญ่กว่าพระราชาทั้งหลายในชมพูทวีป ส่วนพระโพธิสัตว์เกิดเป็น “วิธุรบัณฑิต” เรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้นก็ชี้ให้เห็นว่าพระเทวทัตยิ่ง กว่าชาติ ตระกูล ยศ ศักดิ์ บริาร

    ที่เสมอกันก็มี คือ ชาติหนึ่งพระเทวทัต เกิดเป็นพญาช้างฆ่าลูกในไส้ พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นพญาช้างอีกฝูงหนึ่งเหมือนกัน คราวหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นยักษ์ ชื่อว่า “อธรรม” พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นยักษ์เหมือนกัน ชื่อว่า “สุธรรม”

    คราวหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นนายเรือเป็นใหญ่กว่าตระกู ล ๕๐๐ พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นนายเรือ เป็นใหญ่กว่าตระกูล ๕๐๐ เหมือนกัน อีกคราวหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นพญาเนื้อชื่อว่า “สาขะ” พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นพญาเนื้อเหมือนกัน ชื่อว่า “นิโครธะ”

    ที่ยิ่งหย่อนกว่ากันก็มี เช่น คราวหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นปุโรหิต ชื่อว่า กัณฑหาลพราหมณ์” พระโพธิสัตส์เกิดเป็นพระรากุมารชื่อว่า “พระจันทกุมาร” อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน ๕๐๐ พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน ๕๐๐ เหมือนกัน ชาติหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็น “อลาตเสนาบดี” พระโพธิสัตว์เกิดเป็น “นารทพรหม”

    อีกคราวหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นราชากาสี พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชโอรสทรงพระนามว่า “มหาปทุมกุมาร” อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพระราชามหาตปาตะ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชโอรส ถูกพระราชบิดาให้ตัดมือตัด เท้า และศรีษะเสีย

    มาถึงชาติปัจจุบันนี้ บุคคลทั้งสองนั้นก็ได้มาเกิดในตระกูลศากยราชเหมือนกั น แต่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า พระเทวทัตก็ได้ออกบวชสำเร็จฌานโลกีย์

    โยมจึงสงสัยว่า ข้อที่ว่า “กุศลให้ผลเป็นสุข ทำให้เกิดในสวรรค์ อกุศลให้ผลเป็นทุกข์ทำให้เกิดในนรก กุศลและอกุศลมีผลไม่เสมอกัน”

    แต่เหตุใดบางชาติพระเทวทัตก็ยิ่งกว่า บางชาติก็เสมอกัน บางชาติก็ต่ำกว่า จะว่ามีผลไม่เสมอกันอย่างไร จะว่าต่างกันอย่างไร ถ้าดำกับขาวมีคติเสมอกัน กุศลกับอกุศลก็ต้องมีคติเสมอกัน พระคุณเจ้าข้า”

    พระนาคเสนตอบว่า

    “ขอถวายพระพร กุศลกับอกุศลไม่ใช่มีผลเสมอกัน ไม่ใช่ว่าพระเทวทัตจะทำผิดต่อคนทั้งหลายเสมอไป ส่วนพระโพธิสัตว์ก็ไม่ใช่ว่า ไม่ได้ทำความผิดเลย ผู้ใดทำผิดต่อพระโพธิสัตว์ ผู้นั้นก็ได้รับผลร้าย

    เวลาพระเทวทัตได้เกิดเป็นพระราชา ก็ได้ปกครองบ้านเมืองดี มีการให้สร้างสะพาน สร้างศาลาและสรงน้ำก็มี ให้ทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนขอทานก็มี แล้วเขาก็ได้รับสมบัติในชาตินั้น ด้วยผลแห่งบุญอันนั้น ใครไม่อาจกล่าวได้ว่า พระเทวทัตได้เสวยสมบัติด้วยไม่ได้ให้ทานรักษาศีล ฟังธรรม อบรมจิตใจเลย

    ข้อที่มหาบพิตรตรัสว่า พระเทวทัตกับพระโพธิสัตว์พบกันเสมอกันนั้นไม่จริง ตั้งร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติก็ไม่พบกัน นานจึงจะได้พบกันสักชาติหนึ่ง เหมือนกับเต่าตาบอดอยู่ในมหาสมุทร โผล่ขึ้นมาตั้งแสนครั้ง ก็ไม่พบขอนไม้สักทีก็มี หรือเปรียบเหมือนกับการที่ จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นของได้แสนยากฉะนั้น
    พระสาริบุตรเถระได้เกี่ยวเนื่องกับพระโพธิสัตว์ คือเป็นบิดา เป็นปู่ เป็นอาว์ เป็นพี่ชาย น้องชาย เป็นบุตร เป็นหลาน เป็นมิตรสหายกันกับพระโพธิสัตว์ก็มี

    แต่ว่าหลายแสนชาติ กว่าจะได้เกี่ยวเนื่องกันสักชาติกนึ่ง ด้วยเหตุว่า สัตว์ทั้งหลายในวัฏสงสาร ที่ถูกกระแสสงสารพัดไป ย่อมพบกับสิ่งไม่เป็นที่รักก็มี พบกับสิ่งอันเป็นที่รักก็มี เหมือนกับน้ำที่ไหลบ่าไป ย่อมพบของสอาดก็มี ไม่สอาดก็มี ดีก็มี ไม่ดีก็มี ฉะนั้น

    พระเทวทัตคราวเกิดเป็น “อธรรมยักษ์” ตัวเองก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในธรรม ยังแนะนำผู้อื่นไม่ให้ตั้งอยู่ในธรรมอีก แล้วไปตกนรกใหญ่อยู่ถึง ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี

    ส่วนพระโพธิสัตว์ เมื่อคราวเกิดเป็น “สุธรรมยักษ์” ตัวเองอยู่ในธรรม ยังชักนำบุคคลเหล่าอื่นให้ตั้งอยู่ในธรรมอีก ชาตินั้นได้ขึ้นไปเสวยทิพย์สมบัติอยู่บนสวรรค์ตลอก ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี

    มาชาติปัจจุบันนี้ พระเทวัตก็ไม่เลื่อมใสต่อพระผู้เป็นเจ้า จนถึงกับทำสังฆเภท แล้วจมลงไปในพื้นดิน ส่วนสมเด็จพระชินสีห์ตรัสรู้ธรรมทั้งปวง แล้วดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวง จึงควรเห็นว่า กุศลกับอกุศลให้ผลต่างกันมาก ขอถวายพระพร”

    “สาธุ...พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหาข้อนี้ถูกต้องดีแล้ว”

    อธิบาย

    ฏีกามิลินท์ ท่านอธิบายข้อที่กล่าวว่า “พระเทวทัตเกิดเป็นพญาสุนัขจิ้งจอก เป็นใหญ่กว่าพระราชาทั้งหลายในชมพูทวีปนั้น” มีแจ้งอยู่ใน สัพพทาฐิกชาดก คือในชาดกนั้นว่า

    มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ได้ยินพราหมณ์คนหนึ่ง ไปนั่งร่ายมนต์ปฐวชัยอยู่ในป่าช้าแห่งหนึ่ง ก็จำเอามนต์นั้นได้ เมื่อเข้าไปร่ายมนต์ในป่าหิมพานต์ สัตว์ทั้งหลายมีพยาราชสีห็เป็นต้น ก็เกรงกลัวอำนาจ ยอมมอบตัวเป็นทาสทั้งสิ้น ตั้งให้สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นเป็นพญา เรียกว่า พญาทาฐิกะ” แปลว่า ผู้เป็นใหญ่กว่าสัตว์มีเขี้ยวมีเล็บทั้งปวง

    แล้วพญาทาฐิกะนั้น ก็มีใจกำเริบฮึกเหิมขึ้นนั่งบนหลังพญาราชสีห์กรีฑาทั พสัตว์ป่า เข้าไปล้อมเมื่องพาราณสีไว้ คราวนั้น พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชครูของพระเจ้าพาราณสี มีชื่อว่า วิธุรบัณฑิต ได้ออกความคิดฆ่าพญาสุนัขจิ้งจอกนั้นเสียทั้งบริวาร

    เมื่อรู้ว่าพญาสุนัขจิ้งจอกยกกองทัพมาล้อมเมือง จะให้ราชสีห์แผดเสียงให้คนตายหมดทั้งเมือง จึงขอผลัดกับพญาสุนัขจิ้งจอกไว้ ๗ วัน หลังจากนั้นพระโพธิสัตว์จึงประกาศให้ให้ชาวเมืองอุดห ูด้วยสำลี เมื่อพญาราชสีแผดเสียงแล้ว พญาสุนัขจิ้งจอกกับบริวาร ซึ่งอยู่ในที่มีประมาณ ๓ โยชน์ ก็มีอันแก้วหูแตกตายสิ้น ดังนี้

    ในชาดกไม่ได้กล่าวว่า “พญาสุนัขจิ้งจอกเป็นใหญ่กว่าพระราชาในชมพูทวีปเลย” แต่ในมิลินทปัญหาว่า “พญาสุนัขจิ้งจอกกระทำพระราชาทั้งหลายในชมพูทวีปทั้ง สิ้น ให้ยอมเป็นบริวารของตน” เป็นอันผิดจากชาดกไปฉะนั้น ควรถือชาดกเป็นใหญ่ เพราะมีมาก่อนมิลินทปัญหา

    *-* เพิ่มเติมจากมิลินทปัญหา*-*

    เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาแล้ว กรรมของพระเทวทัตก็จักมีที่สิ้นสุด ในเวลาที่พระเทวทัตจะถึงมรณะ ก็ได้เปล่งวาจานับถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งด้วยคำว่ า

    “ข้าพเจ้าขอนับถือพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุคคลอันล่ำเลิศ ผู้เป็นวิสุทธิเทยยิ่งกว่าเทพยดาทั้งหลาย ผู้ฝึกฝนบุคคลที่ควรฝึกฝน ผู้มีพระจักษุรอบพระองค์ ผู้มีลักษณะแห่งบุญอันคุณด้วย ๑๐๐ ด้วยกระดูกของข้าพระเจ้า ที่ยังมีลมหายใจอยู่อีก” ดังนี้

    ดัวยอานิสงส์เพียงเท่านี้

    “ขอถวายพระพร กัปที่ยังเหลืออยู่นี้ แบ่งออกเป็น ๖ ส่วน พระเทวทัตได้ทำสังฆเภทในส่วนแรก จักไปตกนรกอยู่ตลอด ๕ ส่วน พ้นจากนรกแล้ว จักได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “อัฏฐิสสระ”​
     
  3. ศรีสิทธิ

    ศรีสิทธิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +1,515
    ตอนที่ ๑๔ ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องโปรดให้


    พระเทวทัตบรรพชา

    “ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า พระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณา เป็นผู้แสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายอย่างนั้นหรือ”?”
    “อย่างนั้น มหาบพิตร”

    “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระเทวทัต ใครบวชให้ ขอจงว่าไปตามจริง ?”

    “ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าทรงบวชให้พร้อมกับ พระภัททิยะ พระอนุรุทธ พระอานนท์ พระภัคคุ พระกิมพิละ พระอุบาลี ”

    “ข้าแต่พระนาคเสน พระเทวทัตบวชแล้วจึงทำสังฆเภทได้ เพราะคฤหัสถ์ หรือภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร สามเณรี ทำสังฆเภทไม่ได้ ทำได้แต่เฉพาะภิกษุ ผู้เป็นภิกษุอยู่ตามปกติ ยังร่วมกับสงฆ์ได้อยู่ อยู่ในเสมาอันเดียวกันกับสงฆ์เท่านั้น”

    “ถูกอย่างนั้น มหาบพิตร พระเทวทัต บวชแล้วจึงทำสังฆเภทได้”

    พระพุทธเจ้าทรงทราบเหตุล่วงหน้า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทำสังฆเภทได้รับกรรมอย่างไร?”

    “ขอถวายพระพร ผู้ทำสังฆเภทต้องตกนรกอยู่ตลอด ๑ กัป”

    “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระตถาคตเจ้าทรงทราบหรือไม่ว่า พระเทวทัตบวชแล้วจักทำสังฆเภท แล้วจักไปตกนรกอยู่ตลอดกัป ?”

    “ขอถวายพระพร ทรงทราบ”

    พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสต่อไปว่า

    “ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าทรงทราบ คำที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณาแสวงหาประโยชน์ โปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น ก็ผิดไป ถ้าไม่ทรงทราบ พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พระสัพพัญญู

    ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ มีสองแง่ ได้มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแก้ไขให้สิ้นสงสัย พระภิกษุมีความรู้ดังพระผู้เป็นเจ้า ในภายหน้าโน้นจักหายาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงกำลังปัญญาของพระผู้เป็นเจ้าไ ว้”

    ทรงใช้วิธีผ่อนหนักเป็นเบา “ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณาจริง เป็นพระสัพพัญญูจริง เป็นพระสัพพัสสาวี คือเห็นทุกสิ่งจริง เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงเล็งดูคติของพระเทวทัตด้วยพระสั พพัญญุตญาณ อันประกอบด้วยพระมหากรุณา ก็ได้ทรงเห็นว่า

    พระเทวทัตถ้าเป็นคฤหัสถ์ ก็จักทำบาปกรรมอันจักให้ไปตกนรก เกิดเป็นเปรต อสุรกาย เดรัจฉาน หลายกัป และทรงทราบว่า กรรมของพระเทวทัตไม่มีที่สิ้นสุด

    แต่เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จักมีที่สิ้นสุดได้ เมื่อได้บรรพชาแล้ว ก็จักทำกรรมเพียงให้ตกนรกอยู่ ๑ กัป เท่านั้น ทรงเห็นอย่างนี้ จึงโปรดให้พระเทวทัตบรรพชา ด้วยอำนาจพระมหากรุณา”

    “ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นอันว่า พระตถาคตเจ้าทุบตีพระเทวทัตแล้วทาน้ำมันให้ ผลักให้ล้มแล้ว ดึงแขนให้ลุกขึ้น ฆ่าแล้วชุปชีวิตให้ เพราะให้ทุกข์ก่อนแล้วจึงให้สุขต่อภายหลัง”

    อุปมามารดาบิดาลงโทษบุตร “ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าทรงทำอย่างนั้นจริง ข้อนี้ควรทราบด้วยอุปมา เหมือนมารดาบิดาเฆียนตีบุตรแล้ว ให้ประโยชน์ทีหลังฉันใด พระตถาคตเจ้าก็ทรงทำฉันนั้น

    พระเทวทัตถ้าไม่ได้บรรพชา ยังเป็นคฤหัสถ์อยู่ ก็จักทำบาปกรรม อันจักให้ไปตกนรกอยู่หลายแสนกัป

    เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงทราบอย่างนี้ จึงได้ทรงพระกรุณาให้บรรพชา ได้ทรงทำทุกข์หนักให้เป็นทุกข์เบา ด้วยทรงเล็งเห็นว่า เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาในศาสนาของเราแล้วทุกข์ก็จัก มีที่สิ้นสุด”

    อุปมาบุรุษผู้มีอำนาจ “มหาราชเจ้า เปรียบประดุจบุรุษผู้มีกำลังทรัพย์ ยศ ศักดิ์ ญาติวงศ์ รู้ว่าญาติหรือมิตรจะต้องได้รับพระราชอาญาหนัก ก็ช่วยให้เบาตามความสามารถของตนได้ฉันใด

    สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบว่า พระเทวทัตจะได้รับทุกข์อยู่หลายแสนกัป จึงให้บรรพชาช่วยให้หนักเป็นเบา ด้วยอำนาจศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณฉันนั้น”

    อุปมาเหมือนหมอผ่าตัด “อีกอย่างหนึ่ง หมอผ่าตัดย่อมผ่าตัดโรคที่หนัก ๆ ออกเสียทำให้เบาลง ด้วยอำนาจยาอันแรงกล้าฉันใด

    พระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นว่า พระเทวทัตจะได้รับทุกข์หนักอยู่หลายแสนกัป จึงโปรดให้บรรพชาทำทุกข์หนักให้เป็นทุกข์เบาด้วยกำลั งยา คือพระธรรม อันประกอบด้วยพระมหากรุณาฉันนั้น

    ขอถวายพระพร เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงทำพระเทวทัตผู้จะได้ทุกข์มาก ให้ได้รับทุกข์น้อย จะได้บาปอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ ?”

    “ไม่ได้บาปอย่างใดเลย พระผู้เป็นเจ้า”

    “ขอถวายพระพร เหตุการณ์ข้อนี้ มหาบพิตรจงรับไว้ตามความจริงว่า พระพุทธเจ้าได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา เพราะทรงพระมหากรุณาแท้ ๆ”

    อุปมาเหมือนผู้จับโจร “อีกประการหนึ่ง เมื่อมีผู้จับโจรมาถวาย พระราชอาญา พระราชาก็ตรัส สั่งให้นำไปตัดศีรษะ แต่มีผู้ที่ได้รับพรจากพระราชาทูลขอชีวิตไว้นั้น จะได้บาปอย่างไรหรือ ?”

    “ไม่ได้บาปอย่างไรเลย พระผู้เป็นเจ้า”

    “ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระพุทธเจ้า ทรงพระกรุณาให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยทรงพิจรณาเห็นว่า

    เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาแล้ว กรรมของพระเทวทัตก็จักมีที่สิ้นสุด ในเวลาที่พระเทวทัตจะถึงมรณะ ก็ได้เปล่งวาจานับถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งด้วยคำว่ า

    “ข้าพเจ้าขอนับถือพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุคคลอันล่ำเลิศ ผู้เป็นวิสุทธิเทพยิ่งกว่าเทพยดาทั้งหลาย ผู้ฝึกฝนบุคคลที่ควรฝึกฝน ผู้มีพระจักษุรอบพระองค์ ผู้มีลักษณะแห่งบุญอันคุณด้วย ๑๐๐ ด้วยกระดูกของข้าพระเจ้า ที่ยังมีลมหายใจอยู่อีก” ดังนี้

    ดัวยอานิสงส์เพียงเท่านี้ “ขอถวายพระพร กัปที่ยังเหลืออยู่นี้ แบ่งออกเป็น ๖ ส่วน พระเทวทัตได้ทำสังฆเภทในส่วนแรก จักไปตกนรกอยู่ตลอด ๕ ส่วน พ้นจากนรกแล้ว จักได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “อัฏฐิสสระ”

    ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าผู้ทรงทำอย่างนี้ ได้ชื่อว่าทรงทำสิ่งที่ควรทำต่อพระเทวทัตแล้วหรือ ?”

    “ข้าแต่พระนาคเสน พระตถาคตเจ้าผู้ทรงทำอย่างนี้ ชื่อว่าทรงประทานสิ่งทั้งปวงแก่พระเทวทัตแล้ว ข้อที่พระตถาคตเจ้าได้ทรงทำให้พระเทวทัต ได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ ขื่อว่าได้ทรงทำสิ่งทั้ปวงให้พระเทวทัตแล้ว ไม่มีอะไรที่จะได้ชื่อว่า ไม่ได้ทรงกระทำ”

    “ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าจะได้บาป เพราะเหตุที่พระเทวทัตทำสังฆเภทแล้วไปทนทุกข์อยู่ในน รกบ้างหรือ ?”

    “เปล่าเลย พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระเทวทัตไปตกนรกด้วยกรรมของพระเทวทัตเอง พระพุทธเจ้าจะได้บาปมาแต่ไหน”

    “ขอถวายพระพร แม้เหตุการณ์ดังนี้ ก็ขอมหาบพิตรจงทรงรับเถิดว่า พระพุทธเจ้าได้ให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยพระมหากรุณาแท้ ”

    อุปมามาดาบิดาผู้ใหกำเนิด “ขอมหาบพิตร จงทรงสดับเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือมารดาบิดาทำให้บุตรเกิดขึ้นมาแล้ว ก็กำจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เสีย มีแต่ทำให้เป็นประโยชน์ ทำให้บุตรเติบโตขึ้น

    แต่เมื่อบุตรเติบโตขึ้นแล้ว บุตรก็ได้ทำบาปกรรมไว้ มารดาบิดาจะพลอยได้รับบาปกรรม ที่บุตรกระทำนั้นหรือไม่ ?”

    “ไม่ได้เลยรับเลย พระผู้เป็นเจ้า มารดาบิดาผู้เลี้ยงบุตรให้เติบโตขึ้นนั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีอุปการคุณมากแท้ แต่บุตรจักได้รับโทษแห่งบาปกรรมที่เขาทำด้วยตนเองต่า งหาก”

    “ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระพุทธเจ้าก็เสมอกับมารดาบิดา ที่ได้ให้พระเทวทัตบรรพชา ก็เพราะทรงพระมหากรุณา เหตุอันนี้ขอจงทรงรับเถิดว่า พระพุทธเจ้าให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยพระมหากรุณาแท้”

    อุปมาหมอรักษาแผล “ขอมหาบพิตร จงทรงสดับเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือเหมือนอย่างว่าหมอผ่าตัดจะรักษาแผล อันเต็มด้วยบุพโลหิต มีรูอยู่ข้างใน มีลูกศรฝั่งอยู่ อันเป็นที่ไหลออกแห่งของเปื่อยเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้ง

    ต้องชำระล้างปากแผลอ่อนดีแล้ว จึงตัดด้วยมีดแล้วจี้ด้วยซี่เหล็กแดง แล้วราดด้วยน้ำด่างอันแสบเค็ม แล้วทายา แล้วเนื้อที่แผลก็งอกขึ้น แผลก็หายเป็นลำดับไป

    จึงขอถามมหาบพิตรว่า จะว่าแพทย์ผ่าตัดนั้น ไม่มีจิตเมตตาหรืออย่างไร ?”

    “ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า แพทย์ผ่าตัดนั้น เป็นผู้มีจิตรเมตตาแท้ทีเดียว”

    “ขอถวายพระพร ทุกขเวทนาอันเกิดแก่ผู้บาดเจ็บนั้น ด้วยการรักษาของหมอมีอยู่ หมอนั้นจะได้บาปอย่างไรหรือไม่ ?”

    “ไม่ได้บาปอย่างใดเลย ผู้เป็นเจ้า มีแต่จะได้บุญไปสวรรค์”

    “ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระพุทธเจ้าได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา ด้วยทรงพระมหากรุณา เพื่อปลดเปลื้องพระเทวทัตให้พ้นทุกข์ จึงไม่ได้บาปอะไร”

    อุปมาผู้ถูกหนามตำที่เท้า “ขอมหาบพิตร จงทรงสดับเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือเปรียบประดุจบุรุษคนหนึ่งถูกหนามปักเข้าไปที่เท้า หรือโดนหลักตอ

    มีบุรุษคนหนึ่งมุ่งจะให้บุรุษนั้นสุขสบายจึงบ่งด้วยห นามอันแหลม หรือด้วยมีดแหลม ๆ แล้วชักหนามหรือตอนั้นออก ทั้งที่มีโลหิตไหลอยู่ จะว่าบุรุษผู้ชักหนามหรือตอออกนั้น ไม่มีจิตเมตตาหรือ ?”

    “ว่าไม่ได้เลย พระผู้เป็นเจ้า เพราะบุรุษนั้นมุ่งให้มีความสวัสดีแท้ ๆ ถ้าเขาไม่ช่วยนำหนามหรือตอนั้นออก บุรุษนั้นก็จะต้องถึงซึ่งความตาย หรือถึงซึ่งทุกข์แทบประดาตาย ”

    “ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ หมาบพิตร คือถ้าพระพุทธเจ้าไม่โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา พระเทวทัตก็จะต้องไปไหม้อยู่ในนรกหลายแสนกัป”

    พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า

    “ข้าแต่พระนาคเสน เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงช่วยพระเทวทัต ผู้ไหลไปตามกระแสน้ำ ให้ไหลทวนขึ้นมาเหนือน้ำ ผู้ถึงซึ่งความวิบัติ ให้ถึงซึ่งความเจริญ ผู้ตกไปในเหว ให้ขึ้นจากเหว ผู้เดินทางผิด ให้มาเดินทางถูก

    ข้าแต่พระนาคเสน เหตุการณ์เหล่านี้ ไม่มีบรรพชิตอื่นจะชี้บอกให้เห็นได้ นอกจากผู้มีความรู้ดี ดังพระผู้เป็นเจ้านี้เท่านั้น”

    ฏีกามิลินท์ ข้อที่ว่า “พระเทวทัตจักไปตกนรกอยู่หลายแสนกัปนั้น” คือพระเทวทัตไม่ได้บรรพชาในพระพุทธศาสนา ก็จักเป็นมิจฉาทิฏฐิ อันมีโทษหนักยิ่งกว่าสังฆเภท เพราะมิจฉาฏิฐินั้น ต้องตกนรกอยู่หลายแสนกัป

    ยิ่งเป็นอัจจันตมิจฉาทิฏฐิ คือเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างหนักด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่มีกำหนดว่าจะพ้นจากนรกเมื่อใด จักเป็นหลักตออยู่ในนรกหากำหนดมิได้

    คำว่า “ พระเทวทัตทำสังฆเภทแล้วไปตกนรกอยู่ตลอด ๑ กัปนั้น ” หมายถึง อันตรกัป คือกัปในระหว่างกัปใหญ่เท่านั้น ไม่ใช่หมายเอาตลอดกัปใหญ่ (กัปหนึ่ง ๆ แบ่งเป็น ๖๔ อันตรกัป)

    เมื่อพระนาคเสนเถระแก้ปัญหาข้อนี้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว ก็มีเทวดาตั้งแต่ภูมเทวดาขึ้นไปจนถึงชั้นอกนิฏฐพรกมโ ลก (พรหมชั้น ๑๖ ) เปล่งเสียงสาธุการ ดอกไม้ทิพย์ในสวรรค์ก็ตกลงมาบูชา

    พระเจ้ามิลินท์กับข้าราชบริพารทั้งหลายพร้อมกันประนม มือสาธุการ สรรเสริญว่า ยกพระสารีบุตรเถระเสียแล้ว ไม่มีผู้อื่นจะมีปัญญาเสมอเหมือนพระนาคเสน

    เมื่อพระนาคเสนกลับไปแล้ว พระเจ้ามิลินท์ก็สร้างวัดถวาย ชื่อว่า “ มิลินทวิหาร ” แล้วถวายปัจจัย ๔ แก่พระภิกษุทั้งหลายทุกวันไป
     
  4. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    [​IMG]
    <!-- google_ad_section_end -->
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา </O:p>
    *
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2010
  5. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    [​IMG]

    สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ<O:p
    การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง<O:p

    อภิวาท วันทาโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  6. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    กราบสาธุ สาธุ สาธุ

    โมหะ เหตุเกิดแห่งมิจฉาทิฎฐิ ไม่มีอะไรร้ายกว่านี้ จริงจริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...