ผีมีจริง...ตอนสร้างเมรุเผาศพเสร็จเพราะมีเว็บพลังจิตใช้งบเกือบล้าน(ป่าช้าโบราณ)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร, 7 กรกฎาคม 2011.

  1. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ผี....มีจริงหรือ
    ผี...มี จริงหรือ?....เป็นคำถามที่ไม่สามารถอธิบายโดยมีพยานอ้างอิงได้เต็มปากเต็มคำ เรื่อง..ผี..เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานมนาน ไม่มีที่สิ้นสุด หากแต่คนที่ยังไม่เคยเจอผีก็มักมีเหตุผลมาอ้างอิงเสมอ เช่น ตาฝาดหรือเปล่า เมาหรือเปล่า โกหกหรือเปล่าและอีกหลาย ๆ เหตุผลมาเปรียบเทียบแต่...คนที่เคยเจอ..ผี.. จึงรู้ว่า..ผี..มีอยู่จริง ไม่ได้เมา ตาไม่ฝาดและไม่ได้โกหก คนที่เคยเจอมักจะพูดได้ประโยคเดียว....คุณไม่เคยเจอ คุณไม่รู้หรอก....ก่อน ที่จะบอกได้ว่า..ผี..มีจริงหรือไม่?..เรามาดูกันก่อนสิว่าไอ้เจ้า..ผี..มัน คืออะไร....จากหนังสือ..ผีในวรรณคดี..ครับ เขียนโดยคุณวิชาภรณ์ แสงมณี ข้าพเจ้าขอนุญาตคัดมาเป็นบางส่วนซึ่งเป็นข้อมูลทางวิชาการอาจมีประโยชน์ต่อ ท่านผู้อ่านหรือไม่ก็เอาแค่พอคลายเครียดจากการทำงานในชีวิตประจำวัน ครับ...เราเริ่มกันเลยนะครับ

    ผี....คืออะไร ?
    ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้คำจำกัดความไว้ว่า..ผี น. สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีหรือร้าย เช่น ผีปู่ย่าตายาย ผีเรือน ผีห่า ; เรียกคนที่ตายแล้วว่า ..ผี..
    นี่คือคำอธิบายเรื่อง..ผี..ตามพจนานุกรม
    พลตรี หลงวิจิตรวาทการ ท่านปราชญ์คนหนึ่งของเมืองไทยได้อธิบายเรื่องผีไว้ในหนังสือ...วิชชาแปดประการ...ของท่านว่า
    ลัทธิโยคีนั้น เขาถือว่าในมนุษย์เรามีส่วนใหญ่ที่แบ่งออกได้เป็น ๗ ส่วนคือ
    ๑. กาย
    ๒. เจตภูต
    ๓. ปราณ
    ๔. สัญญา
    ๕. ปัญญา
    ๖. ดวงจิต
    ๗ . วิญญาณ
    คือท่านเรียงลำดับจากละเอียดมาหาของหยาบที่สุดคือ..กาย..และท่านอธิบายเรื่องเจตภูตไว้ว่า
    เจตภูต..เป็นกายอีกกายหนึ่งซึ่งมีลักษณะละเอียดกว่ากายธรรมดา เพราะปกติเราเห็นด้วยตาไม่ได้ แต่ก็ยังหยาบกว่าธรรมชาติอีก ๕ ประการเพราะเจตภูตนี้ยังอาจเห็นได้ด้วยตาในบางครั้งเจตภูตเป็นสิ่งซึ่งคนในสมัยโบราณรู้จักดีที่สุด และเป็นบ่อเกิดของการ..ถือลาง..หรือ..ผีสาง.. หรือสิ่งลึกลับอะไรต่าง ๆ แต่ตามลัทธิของ..โยคี..นั้น..เจตภูต..เป็น ส่วนหนึ่งของกาย แยกออกจากกายได้เป็นบางครั้ง เช่นเวลาหลับนอน การที่แยกออกไปนั้นก็ยังมีความเกี่ยวพันกับกายอยู่ คล้ายมีสายใยผูกติดกันไว้ สามารถดึงเอากลับกายได้เมื่อต้องการ ในบางครั้งถูกดึงเข้ามาแรงหรือเร็วเกินไป เจตภูตก็กระทบกายอย่างแรงจนคนเรารู้สึกตัว ตัวอย่างเช่น เรานอนหลับอย่างสบาย...เจตภูตกำลังออกจากร่างกายไปท่องเที่ยวอย่างเพลิด เพลิน พอเกิดมีเสียงโครมครามขึ้นข้าง ๆ ตัวเราตกใจตื่น สายใยดึงเอาเจตภูตเข้ามาสู่กายทันทีและกระทบกายอย่างแรง จนเมื่อเราตื่นขึ้นมารู้สึกใจเต้นหรือตัวสั่นอยู่นาน
    พลตรี หลวงวิจิตรวาทการกล่าวต่อไปว่า
    .....เมื่อกายแตกหรือถูกทำลายลง ที่เราเรียกว่า..ตาย..เจตภูต จึงไม่มีกายอยู่และออกท่องเที่ยวไป จนบางครั้งทำให้คนอื่นเห็นประจักษ์ตาอย่างที่เราเรียกว่า..ปีศาจ..ในเรื่อง กายกับเจตภูตนี้อาจเปรียบเทียบได้อย่างดีกับตัวเราและบ้านของเรา สมมุติว่าเรามีบ้านซึ่งอยู่มานานจนจวนพังแล้ว เรารู้ว่าบ้านนั้นจะพังลงในวันหนึ่งจึงเตรียมแสวงหาที่อยู่ไว้ใหม่ เมื่อบ้านนั้นพังทลายลงจริง ๆ เราก็ไปอยู่บ้านใหม่ทีเดียว โดยมิต้องมาวนเวียนอยู่ที่เก่าหรือต้องไปอาศัยญาติพี่น้องอยู่ แต่ถ้าบ้านของเรายังดีอยู่แท้ ๆ เราไม่เคยนึกว่าบ้านของเราจะพังทลาย บังเอิญเกิดภัยพิบัติเช่นอัคคีภัยมาทำลายบ้านของเรา โดยที่เราไม่รู้ตัวหรือเตรียมแสวงหาที่อื่นไว้ เช่นนี้ เราก็มีอยู่สองทาง ทางหนึ่งวิ่งไปอาศัยญาติพี่น้องอยู่ อีกทางหนึ่งเราไม่รู้จะไปอาศัยใครเราก้ต้องวนเวียนอยู่ในบริเวณบ้านเก่าที่ ถูกทำลายลง ตากแดดตากฝนอยู่ในที่นั้น จนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้ดังนี้ฉันใด เจตภูตก็ฉันนั้น เมื่อกายเจ็บปวดทนทุกขเวทนาอยู่นาน เช่นเป็นโรคเรื้อรังแรมปี เจตภูตรู้ตัวแล้วว่ากายอันนี้จะทนทานอยู่ไม่ได้นาน ก้เริ่มท่องเที่ยวออกมองหาที่ไปอยู่ไว้ก่อน พอกายอันนี้ถูกทำลายลงเจตภูตก็ออกจากกายโดยเรียบร้อย ไม่ต้องวนเวียนไปมาอยู่ใกล้ ๆ แต่ถ้าร่างกายถูกทำลายลงเพราะอุบัติเหตุ เช่นถูกรถทับตาย ถูกฆ่าตาย หรือตายด้วยโรคปัจจุบันอย่างใดอย่างหนึ่งเจตภูตต้องออกจากกายโดยมิทันเตรียม ตัวจึงไม่รู้จะไปทางไหน จึงต้องวนเวียนอยู่ตรงนั้นเองหรือวิ่งไปหาพี่น้องที่ตนรักใคร่ จนบางครั้งไปปรากฏแก่ตาของใครคนหนึ่งเข้า จึงถูกเรียกว่า..ปีศาจ..และเพราะเหตุนี้เองคนที่ตายด้วยโรคเรื้อรังทน ทุกขเวทนามาตลอดกาลนานนั้น ไม่ค่อยมีใครจะเห็น..ปีศาจ..แต่คนที่ตายโดยปัจจุบันทันด่วนมักจะมีคน เห็น..ปีศาจ..บ่อย ๆ จรเราถือกันว่าคนที่ตายโหงมักจะ..เป็นผีดุ.. แต่ถ้าเราเชื่อตามลัทธิโยคีที่อธิบายมานี่แล้ว เราจะไม่กลัวผีเลย เพราะสิ่งที่เราเรียกว่า..ผี..หรือ..ปีศาจ..ซึ่งเราหมายความถึงธรรมชาติที่ ดุร้ายอะไรต่าง ๆ นั้นที่จริงก็เป็นส่วนหนึ่งของกายนี้เอง และมีอยู่ตั้งแต่เรามีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีขึ้นหลังจากเราตายไปแล้ว....
    ครับ...นี่เป็นคำอธิบายเรื่อง..ผี...ของพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ คราวนี้ลองไปศึกษาท่านเสถียรโกเศศหรือท่านพระยาอนุมานราชธนกันบ้าง...ท่านกล่าวไว้ในหนังสือ..ผีสางเทวดา..ไว้ว่าอย่างนี้ครับ
    .....สิ่ง ใดตามปกติไม่สามารถมองเห็นตัวได้ แต่เราถือหรือเข้าใจเอาว่ามีฤทธิ์อำนาจอยู่เหนือมนุษย์ อาจให้ดีหรือให้ร้าย คือให้คุณหรือให้โทษแก่เราได้ สิ่งเหล่านี้เรากลัวเกรงและบางทีก็ต้องนับถือด้วย เราจึงเรียกสิ่งที่ว่านี้ว่า..ผี.. จริงอยู่ บางคนเคยเห็นผี แต่ที่ว่าเห็นนั้นไม่ใช่เห็นตัวตนจริง ๆ ของผี ..ผี ..นั้น ตัวจริงจะมีอย่างไรแน่ไม่มีใครทราบ ทราบแต่ว่าถ้าผีต้องการจะให้เห็นตัวตนก็จะสำแดงเป็นรูปร่างราง ๆ ไม่ชัดเจน หรือไม่ก็เป็นรูปต่าง ๆ ตามแต่ผีจะต้องการจะให้เห็น หรือตามที่เราจะเห็นไปเอง และว่านั่นแหละคือ..ผี.. หรือถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งใดที่ปรากฏขึ้นแก่เราและเราไม่สามารถอธิบายด้วยปัญญาและเหตุผลหรือคิด ว่าเป็นสิ่งประหลาดน่าอัศจรรย์ผิดธรรมดาสามัญที่ควรจะเป็น สิ่งนั้นเราก้เรียกว่า..ผี..และเรียกอาการที่ปรากฏขึ้นในธรรมชาติที่ประหลาด อัศจรรย์หรือรุนแรงน่าสะพรึงกลัวว่า ..ผี..เป็นผู้บันดาลให้ปรากฏขึ้น ผีนั้นจะต้องมีอยู่ตลอดไป ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์มาจนทุกวันนี้.....
    ท่านเสถียรโกเศศได้กล่าวไว้อีกว่า
    .....คน โดยมากถือว่าเมื่อตายแล้วก็ไปเป็นผี...อะไรตาย..ตอบอย่างกำปั้นทุบดินว่า สิ้นลมหายใจ ร่างกายไม่เคลื่อนไหวกระดุกกระดิกได้อีกต่อไป แล้วก้เน่าเปื่อยสูญสิ้น เพราะฉะนั้นที่ว่าตายคือตายแต่ร่างกาย แต่เราซึ่งเป็นลม ๆ มองไม่เห็นตัวนั้นถือว่าไม่ตาย สิ่งที่เป็นลม ๆ นี้เดิมเราเรียกว่า..ขวัญ..แต่เดี๋ยวนี้เราเรียกว่า..วิญญาณ..และวิญญาณนี้แหละถ้ายังไม่มาเกิดเป็นคนอีกก็ไปเกิดเป็นผีวิญญาณนั้นมีรูปร่างเป็นอย่างไรก้ไม่มีใครเคยเห็น ถ้าจะนึกเอาก็เห็นจะมีรูปร่างกลม ๆ อย่างดวงไฟ เราจึงเรียกว่า..ดวงวิญญาณ..และ คงจะมีลักษณะแบน ๆ ด้วยเราจึงพูดว่า..ขวัญบิน..คือขวัญหนีออกจากร่างกายไปเมื่อคนยังมีชีวิต หรือยังมีลมหายใจอยู่ก็เรียกว่ายังเป็นอยู่หรือยังไม่ตายเพราะวิญญาณสิงอยู่ ครั้นเมื่อตายแล้ววิญญาณจะได้อะไรอาศัยเป็นร่างกายตัวจนเล่าและจะรู้ได้ อย่างไรว่าเป็นใคร ตอบง่ายนิดเดียวว่ามีร่างเหมือนอย่างเดิมและแบบบางแต่โปร่งมาก เห็นได้แต่เงา ๆ เป็นลม ๆ เท่านั้น เรียกในภาษสันสกฤตว่า..อาตมัน..เดิม แปลว่า..ลมหายใจ..แต่เราเรียกว่า..วิญญาณ..เดิมแปลว่าความรู้สึก เพราะฉะนั้นเมื่อวิญญาณยังไม่มีโอกาส มาเกิดมีรูปร่างเป็นคนอีกก็เป็นผีไปก่อน เหตุนี้ผีจึงไม่มีรูปร่างเป็นแต่ลม ๆ ถ้าจะมีรูปร่างเมื่อเป็นผีก็เป็นรูปหากบันดาลให้เราเห็นไปเอง .....
    ท่าน ผู้อ่านครับ...พอจะมองเห็นความหมายหรือตัวตนของคำว่า..ผี..กันหรือยัง...ไม่ น่ากลัวอย่างที่คิดกันใช่ไหมครับ คงจะลดหรือเลิกกลัวกันไปได้บ้าง...อาตมาเคยโดนสอง-สามครั้ง ยังชี้ชัดไม่ได้ว่า ..ผี..มีตัวตนเป็นอย่างไร..แค่..มาเป็นลม ๆ วูบ ๆ วาบ ๆ อย่างที่ท่านเสถียรโกเศศกล่าวไว้ไม่ผิดเลย
    หาก ใครที่ไม่เชื่อหรือยังไม่เคยเจออยากลองพิสูจน์ก็ย่อมได้....ตอนดึก ๆ หลังเที่ยงคืนไปแล้ว เชิญไปนั่งตามสี่แยกที่มีอุบัติเหตุตายกันบ่อย ๆ( ไปคนเดียวนะโยม ) อาจพบเห็นเจตภูตก็ได้หรือไปที่ป่าช้าเก่า ๆ ตามบ้านนอก ( ป่าช้าฝังแบบโบราณนะครับ หรือซองเก็บศพก็ได้ ..อย่าลืม!..ไป(คนเดียวนะโยม )



    <o></o>
    อนุโมทนาสาธุ โยมเอื้อยจากเเดนไกล..สหรัฐอเมริกา มีจิตศรัทธา ร่วมบุญซื้อที่ดินถวายวัดป่าบ้านหนองผักเเว่น เป็นจำนวน 1ไร่ กับอีก85 ตารางวา รวมเป็นเงิน มอบถวายวัดทั้งสิน 33,500 บาท
    ดังมีรายนามผู้ร่วมบุญสมทบทุนซื้อที่ดินดังนี้

    1.คุณโยมเอื้อย TIEMSIRY PHONGSA เเละครอบครัว ร่วมบริจาคซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดป่าเป็นเงิน 400 U.S
    2.คุณสาง คุณyin phonsa ร่วมบริจาคสมทบซื้อที่ดินเป็นเงิน 100 U.S
    3.คุณคำพั้ว Phongsa ร่วมบริจาคซื้อที่ดินเป็นเงิน 100 U.S.
    4.คุณนิกร คุณเวียงชัย สินพาลี ร่วมบริจาคซื้อที่ดินถวายวัด 100 U.S.
    5.MR. TIM คุณ คำเพชร ร่วมบริจาคซื้อที่ดิน ถวายวัด เป็นเงิน 100 U.S.
    6.คุณ ELANOR คูณอุทัย เเละครอบครัว ร่วมบริจาคซื้อที่ดิน 100 U.S.
    7.คุณ คำสิงห์ พงสา พร้อมครอบครัว ร่วมบริจาคซื้อที่ดิน 50 U.S.
    8.MR. TONY AND MANIVAN ร่วมบริจาค ซื้อที่ดิน 50 U.S.
    9.คุณนิกร คุณ KIN PHONGSA ร่วมบริจาคซื้อที่ดินถวายวัด เป็นจำนวนเงิน100 U.S
    รวมเป็นเงิน มอบถวายวัดบ้านหนองผักเเว่น ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด รวมเป็นเงินทั้งสิน 33,500 บาท
    ขอขอบใจ ขอให้โยมเอื้อยเเละญาติพี่น้องเเละครอบครอบ PHONGA สุขกาย สุขใจโชคดีมีชัย
    ขอให้
    คุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า จงปกปักฮักษา คุ้มครอง
    อยู่ดี มีความสุขใจ ตลอดปี2012 เเละตลอดไปสาธุ
    ทางวัดจะสวดมนต์ อธิฐานจิต ให้ได้รับบุญกุศล ที่ท่านทั้งหลายมีจิตศรัทธา ฮ่วมบุญซื้อที่ดินศร้างถวายวัดป่าบ้านหนองผักเเว่น
    ขอให้โยมเอื้อย TIEMSIRI PHONGSA
    อยู่ดีมีเเฮง ควมเจ็บอย่าให้ได้ ควมไข่อย่าให้มี สุขกาย สะบายใจ ตลอดไปเทอญสาธุๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2015
  2. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    อ่านสนุกได้แง่คิดและธรรมะคติแถมติดมือกลับบ้าน ขอบพระคุณค่ะ พระคุณเจ้า
     
  3. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]

    <<การเผาศพ
    สำหรับไฟเผาศพนั้นจัดให้มีไว้ต่างหาก อย่าไปจุดต่อใต้ตามแท้บ่ดี คดีธรรมกล่าวไว้ว่าไฟรนลุกลวกไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ พวกนี้จะลามไหม้หมู่คน ทุกวันนี้มันร้อนเผากายเฮาอยู่ ก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ พวกนี้คุมไว้อยู่ที่ใจ ถ้าเป็นแดงดวงกล้าเวลามันร้อนเร่งฮอดจักลามตามติดดั่งไฟฉันนั้น<!-- google_ad_section_end --> ​
     
  4. pr!mpr!e

    pr!mpr!e เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2010
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +145
    ขอบคุณสำหรับเรื่องราวค่ะ
     
  5. vangiras

    vangiras เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +3,218
    เรื่อง ผีลักหลับ ตกลงแต่งขึ้นใช่ไหม แหม....มันเล่าซะเห็นภาพเหมือนกำลังดูหนังเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 13.gif
      13.gif
      ขนาดไฟล์:
      2.5 KB
      เปิดดู:
      17,830
  6. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ผีตายโหง
    หลายๆคนหากได้ยินคำนี้ ยังไม่เจอศพก็กลัวไว้ก่อน ความกลัว เป็นเรื่องธรรมดาของคน เช่น กลัวตาย กลัวความมืด กลัวอุบัติเหตุในการเดินทาง กลัวว่าจะเเก่ฯ สารพัดกลัว เป็นเรื่องธรรมดา ทุกศาสนาเกิดขึ้นเพราะความกลัวทั้งนั้น เมื่อหลายพันปีก่อ คนโบราณ กลัวฟ้าฝ่า กลัวภัยที่จะมาถึงตัว จึงได้หาสิ่งยึดเหนียวทางจิตใจ บางเผ่า อาจจะนับถือ ต้นไม้ใหญ่ ภูเขาที่เขาคิดว่าเป็นที่พึ่งได้ ...เเต่พุทธศาสนา สอนให้มีปัญญา ให้หาสาเหตุเเห่งทุกข์ เพื่อที่จะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ พระพุทธองค์ ท่านไม่กลัว ความเกิด เเก่ เจ็บ ตาย เพราะท่านเข้าใจ ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนไม่ล่วงพ้น ความตายไปได้ เคยถาม ตัวเองบ้างไหม ที่กลัวทั้งหมดเรากลัวอะไรกันเเน่...คำตอบคือเรากลัวตาย เเล้วถามต่อไปว่า
    เเล้วทุกคนตายไหม?....
     
  7. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    ความกลัวเกิดจากทิฐิอัคติเรื่องต่างๆทางใจผูกมัดไว้กับตาตัวเอง เวลาเจอเรื่องที่ตอนเป็นมีอัคติทางใจนั้น จึงเกิดภาพมายาทำให้คิดแตเรื่องไม่ดี เป็นให้ กลัว ไม่ชอบ เกลียด เป็นต้นครับ และมันสามารถส่งผลทางใช้ชีวิตระดับนึงครับ หลวงพี่ คนเราทำตัวเองทั้งนั้น
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    นมัสการครับ..
     
  9. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    เมือกลางเตือนสิงหาคม พ.ศ.2548 ช่วงเข้าพรรษา หลวงปู่ดี คัมภีโร ท่านเป็นอาจารย์ ของอาตมาบอกว่า ถ้าจะบวชจริงๆก็ขอให้ทดลองรักษาศิลเเปด สัก3เดือนดูก่อน อาตมาตอบตกลงทันที ปกติตัวอาตมาเป็นคนที่กลัวผีมากๆ เเต่เมื่อตัดสินใจมุ่งมั่น ตัดขาดจากโลกภายนอกเเล้วว่า ตั้งใจจะบวชตลอดชีวิต หลวงปู่ดีโกนหัวให้ พร้อมนุ่งขาว ห่มขาว ถือสัจจะว่าจะไม่เข้าไปในหมู่บ้านจนกว่าจะออกพรรษา ป่าช้าวัดป่าบ้านหนองผักเเว่น มีเนื้อที่50กว่าไร กว้างมาก ปฏิบัติตามหลวงปู่สอนทุกอย่าง กินน้อย นอนน้อย เจริญสติให้มาก นั่งสมาธิ ได้พอสมควรก็จะเดินจงกลม วันเเรกจำได้ว่านั้งสมาธิได้เเค่20นาที ทรมานมาก ค่อยๆฝึก นั่งให้นานขึ้น จนนั้งได้ที่1ชั่วโมงกว่า เมื่อเข้าเตือนที่สอง พยามตัดโลกภายนอก เเม้โทรศัพท์ ก็ปิดสนิท ไม่ติดต่อใครเลย อยู่ในป่าช้าทั้งกลางวันเเละกลางคืน จะอยู่อุโมงค์ ที่หลวงปู่ดี กำหนดเท่านั้น หากวันไหน ศิลขาด ด้วยความประมาท เเละเผลอตัวเช่น หลงร้องเพลง เเค่หนึ่งประโยค ก็จะมาต่อศิล ถือชาวบ้านเรียกว่าขอศิลเเปดใหม่ ตั้งใจปฏิบัติจนจวนจะออกพรรษา มีอยู่คืนหนึ่ง เป็นคืนเเรกในชิวิต ที่รู้ว่าความสุขที่เกิดจากความสงบเป็นอย่างไร สวดมนต์ ทำวัตรเย็นเเล้ว ประมาณห้าทุ่ม นั่งมาสมาธิต่อเลย ขณะที่นั้งสมาธิ ได้นานพอสมควรนั้น ดูที่ลมหายใจเข้าออกอยากเดียว เเม้จิตมันจะวิ่งไปใหน ก็เอาสติดึงกลับทันที ขณะทีกำหนดลมหายใจ เข้าออกๆ อยู่นั้น มีอาการขนลุก ทั้งตัว เเต่ว่าไม่ให้ขาดสติ เปรียบเทียบ เหมือนเรากำลังเดินไป ตกหลุมลึกมากวูป ดวงจิตรวมเป็นหนึ่ง สว่างรอบตัว เเต่ก็ไม่ทิ้งสติ ดูมันพร้อมภาวนาตลอด ดูความสงบ...เเสงสว่างรอบทิศมองเห็นเเม้ตัวเองนั่งอยู่ มีความสุขที่สุดในชีวิต เหมือนกำลังอมยิ้ม อธิบายได้ไม่หมด ต้องรอให้พบด้วยตัวคุณโยมเอง มีความสุข สุขจนน้ำตาไหลอาบเเก้ม สุขหาที่สุดไม่ได้ ขณะนั้นความรู้สึกลึกๆเหมือนว่าไม่ได้ หายใจ เเต่ยังมีสติรู้ต้องหายใจอยู่เเล้ว ถึงไม่หายใจ มันจะตายตอนนี้ ก็ไม่เป็นไร สติบอกตลอด(หลวงปู่ ท่านเน้นตรงนี้มาก หากปฏิบัติ อย่าทิ้งสติ เเม้จะเกิดอะไรขึ้น หลวงปู่ดี ท่านย้ำเเล้ว ย้ำอีก ตั้งเเต่เริ่มปฏิบัติใหม่ๆเเล้ว...อยู่ในอาการสงบนั้น นานมากมีเเต่ความสุขที่สุด หาที่เปรียบไม่ได้ในโลกนี้ ความสุขที่เกิดจากความสงบ เป็นอย่างนี้เอง ...พอจิตสงบเเล้วก็หันมาดูร่างกาย ตัวเอง เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ดูว่าเป็นของไม่น่ายินดีเอาซะเลย วันนั้นนั่งได้นานมาก นานที่สุดอยุ่ในอารมณ์สงบตลอด จนออกจากสมาธิ
    ดูเวลาตี3 กับอีกสิบนาที เเปลกใจ ทำไมเรานั่งเเป็บเดียว ตี3เเล้ว ความรู้สึกลึกๆนึกว่าเเค่1ชั่วโมงเท่านั้น ออกจากสมาธิ เดินออกจากกลางป่าช้า กลับกุฏิหาหลวงปุ่ดี เดินอมยิ้ม ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เเม้เเต่งู ที่มีอยู่เต็มป่าช้าก็ไม่กลัว คิดว่าถ้าเราไม่เคยมีกรรมต่อกัน ก้คงไม่กัด เเต่ถ้ามันเกิดก็เเค่ตาย ไม่เป้นไร คิดอย่างนี้จริง...มาทีกุฏิ มองเห็นเเสงเทียนของหลวงปู่ที่จุดไว้ ปลายทางที่เดินจงกลม ค่อยๆเดิน กลัวว่าจะรบกวนความสงบของหลวงปู่ ...อาตมาใจตอนนั้นมีเเต่อยากนั้งสมาธิ ไม่ทักหลวงปุ่เหมือนทุกวัน สวดมนต์ ทำวัตรเช้าต่อเลย ทำวัตรเสร็จ สวดธัมมะจักกัปปะวัตะนะสูตตัง ตีสีเกือบตีห้านั้งสมาธิต่อเลย ภาวนาพุทโธ ได้ไท่รชนานจิตเป็นสมาธิ เกิดนิมิต เห็นเปรต มากราบสาม ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ในจิตถามว่า พากันมาทำไม เปรตตอบว่ามาขอเสื้อผ้าใส เพราะไม่เคยได้รับส่วนบุญ จากญาติพี่น้องเลย ...เเคนี้ก่อน ได้เวลาสวดมนต์ทำวัตรเย็น เเล้วคุณโยม17.00น.เเล้ว ค่อยมาฟังกันต่อเด้อ
    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร
    โทร0872365287
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2014
  10. interpoo

    interpoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    2,970
    ค่าพลัง:
    +19,780
    จริงเป็นที่สุด เจ้าค่ะ...หลวงพ่อ...
     
  11. phak

    phak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +458
    Anumo..tana..satu..satu..satu..jou..ka.
     
  12. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อนุโมทนาสาธุ ในกุศลจิต เเละขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
    เเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้ จงบันดาลให้ ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ
    พละปฏิภาณ ธนสารสมบัติ เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนา
    ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  13. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
     
  14. เดินดง

    เดินดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +1,614
    อนุโมทนากับหลวงพ่อด้วยค่ะ มาเขียนต่อไวๆนะคะรออ่านอยู่ค่ะ
     
  15. samaice

    samaice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +1,017
    มาเขียนต่อไวๆนะคะรออ่านอยู่ค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. yaktumdee

    yaktumdee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +5
    อนุโมทนาค่ะหลวงพ่อ หากมีบุญอันไดให้ร่วมสร้างแจ้งหน้ากระทู้ก็ดีน่ะค่ะ จะได้ร่วมกันสร้างคนล่ะเล็กล่ะน้อยค่ะ
     
  17. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    ปูเสื่อนั่งรอด้วยคนนะ ขอรับ
     
  18. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,428
    ค่าพลัง:
    +33,493
    รออ่านอยู่เจ้าค่ะพระอาจารย์^^
     
  19. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,428
    ค่าพลัง:
    +33,493
    ห้องน้ำที่วัดมีห้องเดียวหรอคะพระอาจารย์
     
  20. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ***ให้ชื่อตอนนี้ว่าหอบสาดเเลน***
    ผ่านการทดสอบถือศิล8อยู่ป่าช้าครบ3เดือน จนหลวงปู่ยอมที่จะบวชพระให้ เมื่อบวชเข้ามาเเล้วก็ตั้งใจปฏิบัติอยู่ในวินัยของพระตลอด คือสำรวม กาย วาจา ใจ ฉันข้าวเวลาเดียวคือ9โมงเช้า ทำตามหลวงปู่ดีทุกอย่าง 7วันเเรกของการเป็นพระทำได้ดีน่าพอใจ ทั้งตัวอาตมาเองเเละตัวหลวงปู่ดี อาตมาชอบเปิดวิทยุ ฟังเสียงธรรมจากวัดป่าบ้านตาด สมัยที่หลวงตามหาบัวท่านยังเเข็งเเร็ง จะไม่ฟังเพลงพราะเป็นข้อความทั้งทางวินัย เเละกฏของวัดป่า ผ่าน7วัน วันที่เเปด ฉันเช้าเสร็จ9โมงครึ่ง กับไปที่กุฏิพักผ่อนเนื่องจากตื่นตั้งเเต่ตี3 เผลอหลับไปประมาณ1ชั่วโมง ตื่นมาอีกทีนึกขึ้นได้ ว่าเเม่ชีกาว ตอนนี้ อายุ79ปีเเล้ว บอกว่าเป็นพระใหม่ยังหนุ่มยังเเน่น ช่วย ขุดจอมปลวกด้านทิศตะวันตกกุฏิหลวงปู่ให้หน่อย ยายจะปลูกผัก ยายชีเคยสั่งไว้ อย่างนี้... ไม่ได้ถามหลวงปู่ดีก่อน ตื่นขึ้นล้างหน้าเสร็จ ถือสอบเดินไปขุดเลย ขุดครั้งเเรกก็รู้สึกขนลุก เเต่ปลอบใจว่าเราคงคิดมากไปเอง คงไม่มีอะไรหรอก หากผิดวินัยคืนนี้ จะปลงอาบัติกับหลวงปู่เอง(ประมาท) ขุดไปได้ครึ่งหนึ่งเห็นปลวก ออกมาเยอะมากบางตัวก็โดนจอบที่ขุดตายรู้สึกไม่สะบายใจ เลยหยุดขุด...หลวงปู่กลับมาจากกิจนิมนต์ ตอนบ่ายโมง ท่านมาเห็นว่าขุดเเล้ว ท่านยืนมองเเป๊บหนึ่ง ท่านก็พูดขึ้นว่า ขุดจอมปลวก จุดธูปบอกเขาหรือยัง...อาตมาตอบว่าไม่ได้บอก คงไม่เป็นไรหรอกหลวงปู่(มีเถียงอีก)...ตั้งเเต่ช่วงบ่าย ถึงเย็น รู้สึกปวดทั้งตัว ขนลุกเป็นระยะเหมือนไม่สะบาย เเต่ไม่บอกใคร คิดว่าคงจะเป็นเพราะนานๆ ทำงานหนัก ตกเย็นก่อนทำวัตร ปลงอาบัติกับหลวงปู่ พร้อมทำวัตรเย็น นั่งสมาธิต่ออีก จาก6โมงเย็นจนถึง2ทุ่มก็เเยกย้ายกัน กลับกุฏิ เเต่อาตมาอยู่กุฏิเดียวกับหลวงปู่ เเต่อยู่ไกลกันพอสมควร หลวงปู่ดีท่านจำวัด ที่เตียงไม้ ปลายที่เดินจงกลม อาตมานอนจำวัดอีกห้องหนึ่ง ภายในกุฏิ วันนั้นปวดเมื่อยตัวมากฉันพารา ไป2เม็ด นอนเลย ปกติก่อนจะนอนจะสวดมนต์ เเละนั่งสมาธิ อีกรอบเเผร่เมตตา ก่อนจึงจะนอน คืนนั้นไม่ทำ หลับสนิท เวลาดึกเเค่ไหน ไม่ได้ดูนาฬิกาอาตมาฝัน ฝันไปว่าไปพังบ้านคน เเต่ดูไปก็ดชเหมือนกุฏิพระ เจ้าของบ้านตัวสูงๆหัวล้าน ใส่เหมือนสบง เเต่ไม่มีอังสะใส่ ยืนด่าอาตมา ...ความว่าทำไมมาพังบ้านเขา บอกให้เขามาอยู่ที่นี้ ยังมาพังอีก ทำไมไม่เกรงใจกันบ้าง พร้อมจะทำร้ายอาตมา เดินเข้ามา(ในฝันเเต่เหมือนจริงมากๆ อาตมาถอยหลังไม่คิดสู้ ประชิดตัวอาตมาดึงขวานออกมา จะฟักหัวอาตมา ตกใจสะดุ้งตื่น ไม่ลังเลคิดว่าเกิดเรื่องจริงๆ คว้าเสื่อได้วิ่งเลย ไม่สำรวมด้วย จุดหมายคือหลวงปู่ ที่นอนอยุ่ไกลออกไปอีก20เมตร พร้อมร้องว่ากลัวเเล้วๆ ตั้งสติได้ เล่าให้หลวงปู่ฟัง ว่ามีคนหัวล้าน คล้ายพระโบราณ เเต่ไม่ใส่อังสะ จะเอาขวานฟันหัว หลวงปู่ดี นิ่งเเบบหนึ่ง บอกว่าให้เอาดอกไม้ 13คู่ เทียน เเละธูป 13คู (ขันห้าขันเเปด ไปจุดที่เเละบอกกล่าวที่หน้าพระประธาน) ว่าจะปลูกบ้านให้ใหม่ เมื่อทำตามหลวงปู่เเนะนำก็คืนนั้น สวดมนต์ เเผร่เมตตา นอนหลับต่อได้ ปัจจุบัน ที่ตรงอาตมาขุด เป็นบ้านเล็กๆทรงไทย ทำให้ภูมิเจ้าที่อยู่ จนถึงทุกวันนี้
    มีโอกาส จะถ่ายรูปมาฝาก ญาติโยม ออกพรรษาก่อน...อาตมาจะต้องกลับไปสร้างห้องน้ำถวายวัด ที่มีผู้ใจบุญร่วมบุญมาตอนนี้ ขาดเจ้าภาพอยู่4ห้องคุณโยม ท่านใดจะร่วมบุญ สมทบทุนก่อสร้างก็ขอเชิญนะคุณโยม มากน้อยไม่ป็นไร เเล้วเเต่ศรัทธา ติดต่ออาตมาโทร0860152130 พระจิรวัฒน์ ญาณวโร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...