ผีมีจริง...ตอนสร้างเมรุเผาศพเสร็จเพราะมีเว็บพลังจิตใช้งบเกือบล้าน(ป่าช้าโบราณ)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร, 7 กรกฎาคม 2011.

  1. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    เปรตปากเน่า
    กาลเมื่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภถึงเปรตปูติมุขเปรต (เปรตปากเน่า) ให้เป็นต้นเหตุ แล้วจึงทรงตรัสเทศนาว่า
    กาลเมื่อพระศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกุลบุตร ๒ คน ได้มีศรัทธาออกบวชในพระศาสนา เป็นผู้มีความประพฤติเคร่งครัด มีอาจารมรรยาทดี เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ได้พำนักอาศัยอยู่ในอาวาสที่สร้างอยู่ ณ ชนบทแห่งหนึ่ง
    กาลต่อมา มีภิกษุรูปหนึ่ง ได้เดินทางมาจากหัวเมืองที่ห่างไกล ได้มาขออาศัยอยู่ด้วยกับภิกษุผู้ทรงศีลทั้งสองรูปในอาวาสนั้น
    พระเถระเจ้าทั้งสอง ก็มีจิตกรุณา อนุญาตให้ภิกษุรูปนั้นได้อยู่อีกทั้งยังทำการดูแลต้อนรับเป็นอย่างดี
    กาลต่อมาภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะนั้น ได้คิดขึ้นมาว่า อาวาสแห่งนี้ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม มีหมู่ไม้ใหญ่อันให้ร่มเงา อุดมไปด้วยน้ำท่า อยู่แล้วร่มเย็นสบาย อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ชาวบ้านก็มีจิตศรัทธาบริจาคทานสมบูรณ์มิได้ขาด ถ้าเราจักอยู่ต่อไปในอาวาสนี้ คงมิได้รับความยากลำบากใดๆ แต่ก็คงจะมีเหตุให้ไม่สบายใจอยู่ดี เป็นเพราะภิกษุเก่าทั้งสองรูปนั้น ยังคงอยู่ที่นี้ด้วย
    ผู้คนชนทั้งหลาย ก็อาจจะคิดได้ว่า เราเป็นศิษย์ของพระเก่าทั้งสอง ลาภสักการะอันเลิศพึงจะมีแก่เราผู้เดียว ก็ต้องแยกแตกแบ่งให้แก่ภิกษุเก่าทั้งสองนั้น กว่าจะมาถึงเราลาภนั้นๆ ก็คงจะเป็นชนิดเลวแล้ว เห็นทีเราจะต้องหาวิธียุแหย่ ให้ภิกษุเก่าทั้งสองแตกแยกทะเลาะวิวาทกัน จะได้ต่างคนต่างไปเสียจากอาวาสนี้
    อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุเก่าผู้เป็นพระเถระสูงสุด ก็ให้โอวาทแก่ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าตามธรรมเนียม เสร็จแล้วก็กลับไปยังกุฏีของตน
    ภิกษุอาคันตุกะนั้น ก็เข้าไปหา แล้วกล่าวว่า ?ข้าแต่พระอาจารย์ผู้เจริญ พระเถระอีกองค์ที่เป็นสหธรรมิกของท่าน มีวิสัยเสแสร้ง แกล้งทำตนเป็นมิตรที่ดีต่อหน้าท่าเท่านั้น เวลาลับหลังก็ติเตียน นินทา พูดจาด่าว่าดุจดังเป็นศัตรูกับท่าน?
    พระเถระเจ้าพอได้ฟัง คำพูดของภิกษุอาคันตุกะ จึงกล่าวถามว่า ?เขาว่าอย่างไร?
    ภิกษุอาคันตุกะ จึงตอบว่า ?พระเถระผู้เป็นเพื่อนอาจารย์กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านเป็นคนชอบโอ้อวด วางอำนาจ ชอบเสแสร้ง มากมายาลวงโลก หาเลี้ยงชีพด้วยวิธีประจบคฤหัสถ์?
    พระเถระผู้มีอายุ ครั้งได้ฟังจึงยิ้ม แล้วกล่าวว่า ?อย่าเลย ขอท่านอย่ากล่าวเช่นนี้ เรารู้ดีว่า เพื่อสหธรรมิกของเรา จะไม่กล่าวเช่นนั้นเป็นแน่ เรารู้จักเขามาตั้งแต่ยังเป็นฆราวาสแล้ว เขาเป็นผู้มีอัธยาศัยดี มีน้ำใจ เป็นผู้เคร่งครัดในศีล ขอท่านอย่าได้พูดเช่นนี้อีกเลย?
    ภิกษุอาคันตุกะ พอได้ฟังจึงกล่าวว่า ?ถ้าท่านอาจารย์คิดอย่างนี้ก็ดีแล้ว เป็นการสมควร เพราะคุ้นเคยอยู่ร่วมกันมานาน แต่สิ่งที่ข้าพเจ้านำมาพูด ก็ด้วยความเคารพรักต่อท่านอาจารย์ ถ้ามิเช่นนั้นจะมาพูดทำไม ข้าพเจ้าก็มิเคยผิดใจกับพระเถระเพื่อนท่าน สักวัน แล้วท่านอาจารย์จะรู้ความจริงเอง?
    กล่าวดังนั้นแล้ว ภิกษุอาคันตุกะ ก็เข้าไปหาพระเถระผู้เป็นเพื่อนของอาจารย์ แล้วก็กล่าวยุยงขึ้นว่า ?ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าได้ยินท่านอาจารย์ผู้เป็นสหธรรมมิตรกับท่าน กล่าวตำหนิติว่า ท่านเป็นบุคคลที่มักมาก จิตใจคับแคบ มีมารยาสาไถย ต่อหน้าว่าอย่างลับหลังทำอีกอย่าง ด้วยความรักเคารพในท่าน ข้าพเจ้าทนฟังเขาตำหนิท่านอยู่ไม่ได้ จึงนำความมาบอกแก่ท่าน จะได้ระวังตน เพราะท่านกำลังจะไว้ใจศัตรู?
    ข้างพระเถระ พอได้ฟังภิกษุอาคันตุกะ มากล่าวดังนั้น จึงพูดว่า ?อย่าเลย ท่านอย่ามากล่าวดังนี้เลย เรารู้จักเพื่อนสหธรรมิกรูปนี้ดีมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว เขาเป็นผู้มีกิริยาวาจาเรียบร้อยงดงาม สำรวมระวังอยู่ในศีล เรามิเคยเห็นแม้สักครั้งที่เขาจะประพฤติทุจริต?
    ภิกษุอาคันตุกะจึงกล่าวขึ้นว่า ?ไม่เป็นไร ท่านมิเชื่อข้าพเจ้าก็ไม่เป็นไร สักวันหนึ่งความจริงก็จะต้องปรากฏ ที่ข้าพเจ้ามาพูดมาเตือนเพราะหวังดี ถ้าท่านไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร? กล่าวเช่นนั้นแล้ว ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ ก็กลับไปยังที่พักของตน
    วันต่อมา ภิกษุอาคันตุกะนั้น ก็แวะเวียนเข้าไปหาพระเถระทั้งสอง แล้วก็พูดจายุแยงใส่ไคร้ให้ทั้งสองผิดใจกัน ทำอยู่เช่นนี้บ่อยครั้ง จนในที่สุด พระเถระทั้งสองต่างฝ่ายต่างคิดว่า ดูท่าเรื่องเหล่านี้คงจะเป็นจริง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดจาซึ่งกัน และไม่ร่วมทำกิจวัตร ไม่สมาคมต่อกัน แม้ที่สุดก็ไม่เคารพนับถือต่อกัน
    เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ ไม่นานพระเถระทั้งสองก็เก็บบาตรและบริขารออกเดินทางจากวัดไปคนละทาง
    ภิกษุอาคันตุกะ ครั้นเห็นว่าแผนการยุแหย่ของตนมีผลสำเร็จ เป้นเหตุให้พระเถระทั้งสองผิดใจกัน จนต่างฝ่ายต่างพากันทิ้งวัดหนีไปเสีย ภิกษุผู้มีความปรารถนาชั่วช้าก็รื่นเริงยินดี พอถึงเวลาเช้าก็เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงกล่าวถามภิกษุนั้นว่า ?พระเถระทั้งสองไปไหน?
    ภิกษุนั้นจึงตอบว่า ?พระเถระทั้ง ๒ ทะเลาะกันทั้งคืนยันรุ่ง แม้เราจะห้ามปรามก็ไม่เชื่อฟัง พอรุ่งเช้าต่างก็เก็บข้าวของหนีออกจากวัดไม่รู้ว่าไปทางไหน?ชาวบ้านจึงกล่าวว่า ?ถึงพระเถระทั้งสองจะหนีไปแล้ว แต่ขอท่านจงอยู่ในวัดนี้เพื่อที่จะอนุเคราะห์พวกข้าพเจ้าให้ได้ทำบุญ ฟังธรรม?
    ภิกษุผู้คิดชั่วนั้นจึงรับว่า ?ได้ซิโยม อาตมาจะพำนักอยู่ในอาวาสนี้ เพื่อที่จะได้ดูแลรักษาอาวาสของพวกท่านต่อไป?
    จำเนียรกาลเนิ่นนานมา ภิกษุนั้นเมื่อได้เป็นใหญ่ในอาวาส อีกทั้งต้องอยู่แต่ลำพังผู้เดียว ก็รู้สึกโดดเดี่ยว หงอยเหงา เศร้าซึม เหตุเพราะวันๆ ก็ไม่มีผู้ใดจะมาพูดคุยด้วย จะเจอหน้าผู้คนก็ตอนไปบิณฑบาต แต่ก็มิได้พูดได้คุย กลับมาวัดฉันอาหารก็ต้องอยู่คนเดียว สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเป็นภิกษุผู้ทรงศีลเจริญธรรมก็ต้องถือว่าเป็นสถานการณ์ที่เป็นลาภอย่างยิ่ง เพราะจะได้มีโอกาสเจริญภาวนากัมมัฏฐาน แต่ภิกษุรูปนี้หาได้มีความสำรวมในศีลไม่ อีกทั้งยังมิได้เคยเจริญภาวนาใดๆ เลย จิตก็กำเริบกระสับกระส่าย ไม่สามารถหาความสุขจากความสงบได้ คุ้นเคยแต่จะระคนปนอยู่กับหมู่คณะ ครั้นเมื่อขาดหมู่คณะไป ใจก็เศร้าหมอง ทั้งยังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมนะตอนพระเถระทั้งสองรูปอยู่อาศัยภายในวัด จึงมีผู้คนไปมาหาสู่ท่านทั้งสองอยู่เนืองนิจ พร้อมทั้งนำลาภสักการะมาถวายให้ท่านทั้งสองอยู่เนืองๆ แต่เวลานี้ ที่นี่ไม่มีพระเถระทั้งสองแล้ว หมู่ชนผู้คนต่างก็พากันหดหาย ไม่มาให้เห็นหน้า ลาภที่เกิดจากหมู่ชนเหล่านั้น ที่เราหวังจะได้เลยพลอยหดหายไปด้วย เรานี่มันซวยจริงๆ นี่ถ้าเราไม่ไปยุแหย่ท่านผู้ทรงศีลทั้งสองให้แตกร้าวกัน แล้วต่างพากันหนีไป ป่านนี้ลาภเหล่านั้นคงจะมากมีแก่เราไปด้วย เราได้ทำผิดเสียแล้ว ดันไปยุแหย่ให้ผู้ทรงศีลทั้งสองแตกกัน แล้วเอกลาภที่หวังจะได้ก็มิได้เกิดแก่เรา ประโยชน์อันใดเราจะอยู่เฝ้าวัดเก่าๆ กุฏิผุๆ
    ภิกษุผู้มีความปรารถนาลามกชั่วช้านั้น เฝ้าครุ่นคิดอยู่เช่นนั้นจนถึงกับเกิดอาการเศร้าซึมล้มป่วยลง อีกทั้งมิมีผู้ใดคอยดูแล ก็ยิ่งคิดเสียใจว่า เมื่อครั้งที่พระเถระทั้งสองยังอยู่ เราป่วยไข้ไม่สบาย ท่านทั้งสองยังจะคอยช่วยปรนนิบัติ ดูแลช่วยเหลือ บัดนี้เราต้องมานอนป่วยอยู่แต่ผู้เดียว โดยมิมีใครช่วยเหลือเอาใจใส่
    ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ จนบังเกิดลมกำเริบขึ้นภายใน ดันหัวใจให้หยุดเต้น ตายลงในที่สุด
    ภิกษุนั้นเมื่อตายลงแล้ว ด้วยอำนาจผลกรรมชั่วที่ตนทำ ส่งให้ไปบังเกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี หมกไหม้เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในนรกขุมนั้นเป็นเวลานานแสนนาน
    กล่าวฝ่ายพระเถระทั้งสอง ต่างองค์ต่างออกเดินทางรอนแรมไปทั่วครามนิคมชนบท ในที่สุดก็มาพบกัน ณ อาวาสแห่งหนึ่ง และก็พากันทักทายปราศรัย เล่าเหตุทั้งหลาย ที่ได้ฟังมาจากปากของภิกษุ อาคันตุกะผู้ปรารถนาชั่วนั้น ทั้งสองรูป
    ครั้นพระเถระทั้งสองได้ทราบความจริงของกันและกันแล้ว ก็ชักชวนกันกลับไปยังอาวาสเดิมของตน
    หมู่คนชนชาวบ้านทั้งหลาย เมื่อได้เห็นพระเถระทั้งสองกลับมาสู่อาวาส ก็พากันยินดี ออกจากบ้านนำเอาเครื่องใช้ น้ำฉัน มาถวายแด่พระเถระที่ตนเคารพเลื่อมใส แล้วก็กล่าวว่า บัดนี้ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะนั้นได้ป่วยตายเสียแล้ว
    พระเถระทั้งสอง พอได้สดับข่าวอวมงคลเช่นนั้น ก็บังเกิดธรรมสังเวช เมื่อชาวบ้านพากันกลับไปยังเรือนของตนหมดแล้ว พระเถระทั้งสองก็ชักชวนกันเจริญสติทำสมาธิภาวนา ยังญาณปัญญาให้เกิดเห็นธรรมชาติแท้ของชีวิตและสรรพสิ่งว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป ไม่มีใคร สิ่งใดดำรงอยู่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย จิตก็คลายจากความยึดมั่นถือมั่น บรรลุอรหันตผลพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
    ข้างฝ่ายภิกษุผู้ปรารถนาชั่วช้านั้น เมื่อตายแล้วไปตกอยู่ในอเวจีมหานรกสิ้นเวลาไปตลอด ๑ พุทธันดร จึงได้พ้นจากขุมนรกนั้น แล้วมาบังเกิดเป็นเปรต
    ผู้มีรูปกายสีทองเหลืองอร่าม แต่มีปากอันเน่า มีหมู่หนอนชอนไชกัดกินลิ้นและปากร่วงหล่นออกมาจากปากอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปากนั้นมีกลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวนไปทั่วกายของเปรตนั้น
    ขณะนั้นพระนารทะเถระเจ้า เดินลงมาจากยอดเขาคิชฌกูฏถิ่นที่พำนัก ระหว่างทางได้มาพบเปรตผู้มีกายเรืองรองดุจทอง เดินวนเวียนไปมา มีหมู่หนอนชอนไชล่วงหล่นลงมาจากปากดุจดังลำธารที่ไหลจากหินผา มีกลิ่นดังเนื้อเน่า พระเถระเจ้าจึงกล่าวถามว่า ?ดูก่อนผู้จมทุกข์ เหตุไฉนรูปกายและปากเจ้าจึงมีสภาพดังนี้?
    เปรตภิกษุอาคันตุกะนั่น จึงกล่าวตอบว่า ?อดีตสมัยพระศาสนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่าพระกัสสปะ ข้าพเจ้ามีจิตศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา ออกบวชปฏิบัติในพระธรรมคำสอนพระบรมศาสดา เหตุนี้จึงทำให้กายของข้าพเจ้ามีสีเรืองรองดังทอง ครั้นต่อมาเกิดความประมาทมัวเมา หลงอยู่ในลาภสักการะและเกียรติภูมิ จึงได้กระทำกรรมชั่วด้วยการกล่าววาจายุแหย่ พระเถระผู้ทรงศีล ทรงธรรม ๒ รูป ผู้เป็นสหายกัน ให้แตกแยก แล้วหนีออกจากอาวาสที่ข้าพเจ้าต้องการจะครอบครอง ด้วยเห็นแก่ลาภที่จะบังเกิดแก่ข้าพเจ้าคนเดียว
    เมื่อพรเถระทั้งสองไปแล้ว ลาภมิได้เกิดดังปรารถนา เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าเสียใจจนล้มป่วยแล้วตายลงในที่สุด
    กรรมอันนั้น นำพาข้าพเจ้าไปตกนรกหมกไหม้อยู่ในอเวจีสิ้นเวลา ๑ พุทธันดร ครั้นพ้นจากนรกขุมนั้นแล้ว เศษกรรมอันนั้นยังส่งผลให้ข้าพเจ้าเป็นเปรตผู้มีรูปกายและปากดังที่ท่านผู้เจริญได้เห็นในเวลานี้นี่แหล่ะ
    เปรตนั้นจึงกล่าววาจาสุภาษิตแก่พระมหาเถระนารทะ ต่อไปว่าท่านผู้เจริญได้รู้เห็นรูปกายและปากของข้าพเจ้าดังนี้แล้ว โปรดจงจำนำเอาไปอบรมสั่งสอน มหาชนคนทั้งหลายว่าอย่าทำกรรมชั่วด้วยปาก อย่างใช้ปากเป็นเหตุให้พาตนไปบังเกิดในนรก อย่างสร้างความทุกข์ทรมานด้วยปากของตนเลย มิเช่นนั้นจะมีสภาพเดียวกันกับข้าพเจ้า
    พระนารทะเถระเจ้า พอได้ฟังคำของเปรตปากเน่าดังนั้นแล้ว จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมสุคตเจ้า แล้วเล่าเรื่องทั้งปวงที่ตนได้เห็นได้ฟัง ถวายแด่พระพุทธองค์ให้ทรงทราบ
    พระพุทธองค์ จึงทรงยกเรื่องเปรตปากเน่านั้นให้เป็นเหตุ แล้วทรงโปรดแสดงธรรมสั่งสอนพระภิกษุและประชุมชนทั้งปวงให้ละวจีทุจริต ตั้งมั่นอยู่ในวจีสุจริต คือ งดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ งดเว้นจากการพูดคำหยาบ แล้วปฏิบัติวจีสุจริตจะได้รับผลเป็นสุข ไม่ต้องตกนรกเพราะคำพูดของตน
     
  2. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    กำเนิดเป็นหนอน
    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีจิตใจสกปรก เต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ แล้วมักประกอบอกุศลกรรม เช่น ทุจริตประพฤติมิชอบต่างๆ อันผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ทุจริตในกิจการป่าช้าเผาผี ทุจริตในวงการศาสนา ทุจริตในวงราชการ ประกอบมิจฉาชีพ ค้าหญิงบริการ ฯลฯ ซึ่งได้ปัจจัยมาบริโภคด้วยความสกปรกเน่าเหม็น จึงเป็นเหตุบันดาลให้ต้องมาถือกำเนิดเป็นหนอนจมอยู่ในคูถ กินของสกปรกเน่าเหม็นตามจริตสันดานของตนในอดีตที่ทำไว้
     
  3. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    กรรม คือการกระทำ ทำความดีเรียกกุศลกรรม ทำความชั่วเรียกอกุศลกรรมกำเนิดเป็นกวาง เก้ง

    ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบหลงมัวเมาในเรือนร่างสัดส่วน อันน่ารัก น่าใคร่ น่าหลงใหลติดใจ พึงพอใจในการขายเนื้อขายตัว มักมากในกามารมณ์ มั่วกามเคล้าโลกีย์อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน หาเงินมาโดยมิชอบ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นพวกเนื้อ เก้ง กวาง ละมั่ง อาศัยอยู่ในป่าลึก ถูกมนุษย์ตามล่ามาบริโภค ชดใช้หนี้กรรมตามจริงนิสัยเดิมที่ตนได้ก่อไว้แต่ชาติปางก่อน

    ยังมีสัตว์อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เพื่อให้เรื่องสั้นกระชับ จึงให้ข้อสังเกตว่าสัตว์เดรัจฉานส่วนมากพ้นออกมาจากนรก เปรต อสุรกาย แล้วมาชดใช้เศษกรรมเล็กๆ น้อยๆ จนกว่าจะหมดกรรมเก่า มีสัตว์หลายชนิดเมื่อเสวยกรรมเก่าหมดแล้วก็อาจไปเกิดในสวรรค์ หรือเป็นมนุษย์ต่อไปได้ เช่น สุนัข ลิง แมว ปลา นก เป็นต้น แต่ขึ้นชื่อว่ากุศลธรรมและอกุศลธรรมแล้ว ทำไว้อย่างไรก็ย่อมได้รับอย่างนั้น เพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้นแต่หากท่านบำเพ็ญจิตจนทำลายอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทิฐิ สังโยชน์ ได้หมดสิ้นแล้ว กุศลและอกุศลก็ติดตามส่งผลให้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะกรรมใดๆ ที่ยังไม่ได้เสวยก็จะเป็นอโหสิกรรมไปทันที
     
  4. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    พุทธวิธีในการสอนหมายถึง วิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพุทธบริษัททั้ง 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบสก อุบาสิกา หรือบุคคลทั่วไปทั้งเทวดาหรือมนุษย์ ตามพระนามที่ได้รับยกย่องว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    1. จุดมุ่งหมายในการที่ทรงสอน 3 อย่าง

    วศิน อินทสระ (2538, หน้า 8-37) กล่าวถึง จุดมุ่งหมายในการที่ทรงสอนของพระพุทธองค์นั้นประกอบไปด้วยลักษณะดังต่อไปนี้

    1) อภิญญายธรรมเทศนา ทรงสอนเพื่อให้ผู้ฟังรู้จริงเห็นแจ้งในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น หมายความว่า สิ่งที่ทรงรู้แล้ว เห็นแล้ว แต่เมื่อทรงว่าไม่จำเป็นสำหรับสาวกนั้น ๆ เหมือนครูที่มีความรู้สูงมาก แต่ถึงกระนั้นก็ย่อมนำเอาเฉพาะความรู้เท่าที่จำเป็นแก่ศิษย์ในขั้นนั้น ๆ มาสอนเท่าที่ศิษย์จะรับได้เพื่อประโยชน์แก่ศิษย์ อนึ่งเหมือนบิดา/มารดา แม้มีทรัพย์มากปานใดก็ย่อมให้ทรัพย์แก่บุตรตามควรแก่วัย และความจำเป็นของบุตรนั้น

    2) สนิธรรมเทศนา จุดมุ่งหมายในการสอน คือ เพื่อให้ผู้ฟังตรองตามแล้วเห็นจริงได้ ทรงแสดงธรรมอย่างมีเหตุผลที่ผู้ฟังพอตรองตามให้เห็นด้วยตนเอง เพราะพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ไม่ยากเกินไปจนถึงกับตรองตามแล้วก็ไม่เห็นและไม่ง่ายเกินไปจนไม่ต้องตรองขบคิดก็เห็นได้ พุทธวิธีในการสอนจึงอยู่ท่ามกลางระหว่างความยากเกินไปกับความง่ายเกินไป ส่วนใหญ่ทรงสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยตนเอง เป็นต้น

    3) ปาฏิหาริยธรรมเทศนา เพื่อให้ผู้ฟังได้รับผลแห่งการปฏิบัติ ตามสมควร ทรงแสดงธรรมมีคุณเป็นอัศจรรย์ สามารถยังผู้ปฏิบัติตามให้ได้รับผลตามสมควรแก่กำลังแห่งการปฏิบัติของตนๆ ในบรรดาปาฏิหาริย์ทั้ง 3 นั้น พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ อนุศาสนียปาฏิหาริย์ ว่าดีที่สุด ประณีตที่สุดและเป็นประโยชน์ที่สุด ข้อนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง พระพุทธศาสนาที่ดำรงเป็นประโยชน์แก่มหาชนมาจนกระทั้งบัดนี้ก็ด้วยอานุภาพของ อนุศาสนีปาฏิหาริย์ นั่นเอง ทรงเน้นการปฏิบัติตาม คำสั่งสอนของพระพุทธองค์เพื่อประโยชน์ของผู้ปฏิบัติว่าเป็นการบูชาพระองค์อย่างยิ่ง มีเรื่องราวที่เป็นหลักฐานในสมัยพุทธกาลนั้น
     
  5. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    วิธีที่ทรงสอน
    วศิน อินทสระ (2538, หน้า 8-37) กล่าวไว้ว่า วิธีที่ทรงสอนนั้นมีเป็นจำนวนมาก แต่..ในที่นี้ขอยกมาเพียง 5 วิธี คือ

    1) ทรงสอนโดยวิธีเอกังสลักษณะ คือ ทรงสอนยืนยันไปข้างเดียว เช่น ความดีมีผลเป็นสุข ความชั่วมีผลเป็นทุกข์ หรือกุศลเป็นสิ่งที่ควรบำเพ็ญ อกุศลเป็นสิ่งที่ควรละ

    2) ทรงสอนโดยวิธีภัชชลักษณะ คือ ทรงแยกประเด็นให้เห็นชัดเจน เป็นปัญหาที่ไม่สามารถตอบโดยประเด็นเดียว แต่ต้องแยกตอบให้เห็นอย่างชัดเจน

    3) ทรงสอนด้วยปฏิปุจฉาลักษณะ คือ ปัญหาที่ควรตอบโดยย้อนถามเสียก่อน เช่น จักษุฉันใด โสตะฉันนั้น โสตะฉันใด จักษุก็ฉันนั้น ใช้ไหม..? พึงย้อนถามว่า มุ่งความหมายในแง่ใด ถ้าถามโดยหมายถึงแง่ให้ดูหรือเห็น ก็ไม่ใช่ แต่ถ้ามุ่งหมายแง่ว่าไม่เที่ยงก็ใช่

    4) ทรงสอนด้วยฐปนลักษณะ คือ พักปัญหาไว้ไม่พึงพยากรณ์ คือปัญหาที่พึงยับยั้ง หรือพับเสีย ไม่ควรตอบเรื่องนั้น เช่น ถามว่า ชีวะกับสรีระ คือสิ่งเดียวกัน ใช่ไหม..?

    5) ทรงสอนด้วยอุปมาลักษณะ คือ ทรงสอนแบบเปรียบเทียบ เช่นทรงเปรียบเทียบภิกษุด้วยผ้าเปลือกไม่และผ้ากาสี ทรงเปรียบเทียบมักขลิโคศาลว่าเหมือนผ้าที่ทำด้วยผมคน ซึ่งเป็นวิธีการที่ทรงใช้บ่อยมากที่สุด เพราะทำให้ผู้ฟังมองเห็นภาพและเข้าใจง่าย โดยไม่ต้องใช้เวลามากและยาวนาน คำอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยากปรากฏหมายความเด่นชัดเจนออกมา
     
  6. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    พระบรมราโชวาท

    “...การทำงานด้วยน้ำใจรักต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้จะไม่มีใครรู้ ใครเห็น ก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้นจะเป็นประจักษ์พยานที่มั่นคง ที่พูดเช่นนี้ เหมือนกับสอนให้ปิดทองหลังพระ การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็น ก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่า ไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้....”

    ทรงเตือนสติทุกคนให้ทำงานด้วยความตั้งใจ ด้วยความรู้ ความสามารถ และความสุจริต แม้งานที่ทำนั้นอาจไม่มีผู้ใดทราบ แต่เมื่อเป็นงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติแล้ว ควรที่จะทำแม้จะเป็นการทำในลักษณะ ปิดทองหลังพระก็ตาม เพราะถ้าทุกคนคิดแต่จะปิดทองหน้าพระ ทำงานเอาหน้า ทำอะไรต้องให้มีผู้รู้ผู้เห็น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ แก่ประเทศชาติได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน
    พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของจุฬาลงกรณ์ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 กรกฎาคม 250
    จากพระบรมราโชวาทที่ยกขึ้นกล่าวไว้เบื้องต้นนั้น ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย “ปิดทองหลังพระ” เป็นคำพังเพยที่ท่านทั้งหลายคงจะเคยได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แต่...
    ท่านทั้งหลายทราบกันไหมว่า มันหลายถึงอะไร..?
     
  7. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ปิดทองหลังพระ หมายถึง การที่บุคคลทำคุณงามความดีแล้วไม่มีคนเห็น แถมกลับได้รับคำตำหนิเสียอีก ท่านจึงเปรียบเทียบกับการปิดทองหลังพระ เพราะพระท่านมองไม่เห็น อย่างนี้...เป็นความคิดของคน ทำให้น้อยอกน้อยใจในการกระทำของตน การคิดอย่างนี้ออกจะเป็นการขาดเหตุผลสักหน่อย เพราะถ้าเราคิดกันเพียงตื้นๆ ก็จะเป็นได้ว่า เราไปปิดทองด้านหลังของพระ พระท่านจะมองเห็นได้อย่างไร อย่างนี้ถูกในรูปของว���ตถุ เพราะพระท่านไม่มีตาทางด้านหลังจะมองและจะเห็นได้อย่างไรว่าใครมาทำอะไรข้างหลังของท่าน เพราะท่านเป็นแต่เพียงรูปปั้นที่ช่างเขาจินตนาการขึ้นมา ท่านไม่มีจิตวิญญาณ เพราะท่านเป็นพระในรูปของวัตถุมีพระที่เป็นนามธรรม ที่คอยรับรู้การกระทำของคนทั่วไป พระอย่างนี้เรียกว่า พระธรรม ธรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ ให้เป็นไปต่างๆ นาๆ ถ้าใครทำดี พระธรรมก็จะรักษาบุคคลผู้ทำกรรมดี ไปสู่ที่ที่มีแต่ความเจริญ บุคคลที่ทำกรรมชั่ว ก็ย่อมตกไปสู่ที่ชั่ว เพราะทางพระธรรมจะคอยรับรู้อยู่ตลอดเวลา ว่าใครทำอย่างไร และคอยให้ผลแก่บุคคลเหล่านั้นโดยอัตโนมัติ แต่การที่เราคิดว่าการทำดีแต่ไม่ได้ดีไม่ได้ผลตอบแทนแล้วก็ตีโพยตีพายว่า “ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” ทางพระพุทธศาสนาท่านสอนให้คนรู้จัก เหตุผล ว่าอะไรถูกอะไรผิด ท่านสอนให้พวกเราทุกคนที่เป็นชาวพุทธนั้น มามองดูที่ตัวของเราเองเสียก่อน อย่าเข้าข้างตัวเอง เราต้องดูว่าการกระทำอย่างนี้มันถูกต้องหรือเปล่าต้องตรวจดูที่ต้นเหตุเสียก่อนแล้วจึงค่อยปักใจปลง ถ้าเราไม่ตรวจดูให้แน่นอนลงไปแล้ว จะทำให้เราขาดเหตุผล และเป็นผลร้ายแก่ตัวของเราทีหลัง ถ้าเราทำถูกต้องแล้ว แต่มันยังกลับได้รับแต่ความเดือดร้อนอีก เราก็ต้องหลีกเลี่ยง และอย่ายึดถือให้มากนัก เพราะในทางพระพุทธศาสนาท่านกล่าวไว้ว่า การที่คนทำดีไม่ได้ดีนั้น อาจจะทำดีไม่ถูกดีก็ได้ การที่คนชั่วทำกรรมชั่วย่อมจะได้รับกรรมชั่ว แต่การที่คนทำชั่วได้ดีก็เพราะความดีที่เขาทำไว้ในปางก่อนมันยังอำนวยผลอยู่ สิ่งที่แน่นอนแล้วบุคคลที่ทำกรรมดีแล้วต้องได้ดีอย่างแน่นอนที่สุด บุคคลที่ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่วตอบแทนอย่างแน่นอนไม่เป็นสอง การที่คนทำดีไม่ได้ดีนั้นมีสาเหตุอยู่ ๒ ประการ ได้แก่
     
  8. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    คนดีมีอยู่ใช่น้อย ค่อยค่อยปูทางสร้างสรรค์

    สืบสานหว่านโปรยพืชพันธุ์ อย่าท้อรอวันผลคืน

    อย่าทวงอย่าถามความดี วันไหนวันที่ชมชื่น

    เคียดแค้นหวานอมขมกลืน ใครอื่นไหนจักปลื้มปรีดิ์

    เป็นสุขกับงานที่ทำ เลิศล้ำดาลดลล้นปรี่

    ไม่จดจ่อหวังคลั่งดี แต่สุขเกิดที่ในใจ

    ปิดทองหลังพระละชั่ว เกรงกลัวบาปชักผลักไส

    ดีชั่วอยู่ที่หทัย ไม่ต้องรอใครยกยอ

    ผลกรรมทำดีมีแน่ เพียงแต่รอวันสานก่อ

    สร้างสมบ่มดีมากพอ ทำใจไม่ท้อในทาง

    คนอื่นไม่เห็นตนเห็น ระกำลำเค็ญเข็ญสร้าง

    รอขอบฟ้าขาวรางชาง สว่างพร่างพราวภายใน...ฯ
     
  9. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขอปิดทองหลังพระละทิฏฐิ ไม่ตำหนิผู้ใดให้เสียหาย

    ยังขอปิดหลังพระตลอดไป ไม่อยากได้หน้าตาว่าข้าดี

    มีหลังพระว่างว่างบ้างหรือเปล่า ฉันอยากเข้าไปปิดเสริมราศี

    ให้เหลืองบ้างอย่างข้างหน้าราคามี แม้ผิดที่ไม่เป็นไรขอได้ทำ

    ให้องค์พระได้เหลืองเป็นสีทอง ไม่เศร้าหมองใครมองไม่น่าขำ

    ด้านหน้าเหลืองแต่ด้านหลังเป็นสีดำ มองแล้วขำทำไปช่างไม่อาย

    ไม่มีใครได้รู้ใครได้เห็น ว่าฉันเป็นคนปิดไม่เสียหาย

    ช่วยปิดทองหลังพระไม่น่าอาย พระจะหายความหม่นหมองมีทองทา

    ได้ทำดีไร้คนเห็นเช่นหลังพระ จงมานะมุ่งมั่นต้องสรรหา

    จงอดทนเพื่อความดีจะกลับมา เป็นคุณค่าในใจได้ปิดทอง

    เมื่อทำดีก็ต้องทำให้มันบ่อย ไม่ต้องคอยความดีให้สนอง

    ให้ทำดีเพื่อดีเหมือนดั่งทอง ไม่หม่นหมองอยู่ในตมงมขึ้นมา

    ขอปิดทองหลังพระก่อนละโลก จะไม่โศกไม่มีใครให้คุณค่า

    คนไม่เห็นก็ยังมีเหล่าเทวา เห็นคุณค่าฉันบ้างก่อนวางวาย

    เชิญเถิดท่านจะรายงานว่าท่านปิด ขอสักนิดทองของฉันอย่าให้หาย

    ทองของฉันที่ปิดนั้นคือกำไร ขอฝากไว้กับตรงนั้นฉันยินดี...ฯ
     
  10. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    Rich blessing for health and abundant happiness in my wish for you in the coming year, season's greetings and best wishes for the New Year.

    ขอให้พรจากเราอำนวยให้ท่านรุ่มรวยไปด้วยสุขภาพที่แข็งแรง และมีความสุขอย่างล้นเหลือในปีที่กำลังมาถึงนี้ ด้วยความปรารถนาดีในเทศกาลแห่งความสุขและวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง สวัสดีปีใหม่ !
     
  11. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    เจริญพร คุณโยม โลโบ ไม่เข้าใจว่า คุณโยม มีเจตนาอะไร เเต่รู้ทันทีว่า(ชื่อที่ตั้งขึ้นมาใหม่ โลโบ)
    เพื่ออะไรบางอย่างที่ในใจคุณโยม กำลังคิด...อาตมา ดีใจที่คุณโยม สนใจกระทู้ มีอะไรก็โ
    โทรมา นะ โทร 0872365287 ขอขอบพระคุณ คุณโยมเป็นอย่างยิ่ง..ว่างๆก็โทรมา ยินดีคุยด้วยทุกเรื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2014
  12. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ประธาน ขอจงช่วยดลบันดาลให้คณะศรัทธาทุกท่านทุกคน จงมีแต่ความสุขความเจริญ เเละเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ รวมทั้งโภคทรัพย์ อริยทรัพย์ ธนสารสมบัติ จงปรากฏมีแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง จงส่งผลให้ผู้ใจบุญทุกท่านได้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ ขออนุโมทนาเจริญพร
     
  13. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อาตมา พระจิรวัฒน์ ญาณวโร ขอรับบริจาคเสื้อหนาวหมวก ผ้าห่มกันหนาวด่วน
    ขอเชิญร่วมทำบุญแบ่งปันน้ำใจสู้ภัยหนาวแก่เด็กและผู้ยากไร้
    เนื่องด้วยพระจิรวัฒน์ ญาณวโร(หลวงพี่สี วัดต้นไทรย์) จะเดินทางไปมอบเสื่อและผ้าห่มกันหนาวแก่เด็กนักเรียนบ้านหนองผักแว่น ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
    ปัจจุปันมีนักเรียนทั้งหมด399 คน มีฐานะยากจนและขาดแคลนเสื่อและผ้าห่มกันหนาวเป็นอย่างมาก
    ด้วยเหตุดังกล่าว หลวงพี่สีจึงขอบอกบุญมายังญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาและเมตตาธรรม ร่วมบริจาคทรัพย์หรือเสื่อผ้าห่มกันหนาวเพื่อจะนำไปแจกแก่เด็กนักเรียนและผู้ยากไร้
    จึงขอบอกบุญมายังญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาโดยถ้วนหน้ากัน
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้ ท่านและครอบครัวจงประสพแต่ความสุขความเจริญ ด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดกาลเทอญ.

    พระจิรวัฒน์ ญานวโร(หลวงพี่สี) วัดต้นไทรย์ ซ.อ่อนนุช29 แขวง/เขต สวนหลวง กทม
    โทร 0872365287
    สามารถส่งของโดยตรงไปที่วัดได้ที่
    หลวงปู่ดี คมภีโร
    วัดป่าบ้านหนองผักแว่น ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมฺ จ.ร้อยเอ็ด 45120
    หากไม่สะดวก แต่จะบริจาคทรัพย์ก็สามารถ
    โอนร่วมบุญโดยการโอนเงิน เข้าบัญชีออมทรัพย์
    พระอาจารย์จิรวัฒน์ ญาณวโร ได้โดยตรงที่
    ธนาคารทหารไทย สาขา อ่อนนุช
    ชื่อบัญชี พระจิรวัฒน์ ญานวโร
    เลขที่บัญชี 127-2100-270
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 03222.jpg
      03222.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.4 KB
      เปิดดู:
      28
    • Copy (2) of 22.jpg
      Copy (2) of 22.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.7 KB
      เปิดดู:
      34
    • 05534.jpg
      05534.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.1 KB
      เปิดดู:
      33
    • Copy of Copy of P2263999_resize.JPG
      Copy of Copy of P2263999_resize.JPG
      ขนาดไฟล์:
      313.9 KB
      เปิดดู:
      26
    • 102_0882.jpg
      102_0882.jpg
      ขนาดไฟล์:
      909.5 KB
      เปิดดู:
      29
    • 102_0885.jpg
      102_0885.jpg
      ขนาดไฟล์:
      950 KB
      เปิดดู:
      34
    • 102_0943.jpg
      102_0943.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      30
    • 102_0969.jpg
      102_0969.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      26
    • 102_0900.jpg
      102_0900.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1,017.2 KB
      เปิดดู:
      43
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2014
  14. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อนุโมทนาสาธุ ขอขอบคุณผู้ดูเเลเว็บพลังจิต ทุกท่าน ที่ได้ให้โอกาส ผู้ที่ยากไร้ ลำบากยากจน ในถิ่นห่างไกล
    ได้มีเสื้อกันหนาว
    ผ้าห่มกันหนาว งานบุญนี้ อาตมาได้ทำติดต่อกันปีนี้เป็นปีที่4เเล้ว อาตมาได้บอกบุญผ่านทางเว็บพลังจิต เพียงเเห่งเดียวเท่านั้น
    ส่วนคุณโยม ท่านใดจะเมตตา นำกระทู้บอกบุญนี้ ไปประชาสัมพันธ์ต่อบอกต่อ อาตมาขอขอบคุณเเละอนุโมทนาบุญเป็นอย่างยิ่ง
    บางท่านมีเพื่อนเยอะในเฟสบุ๊ค อยากนำกระทู้นี้ไปบอกบุยอาตมา ขอเรียนให้ทราบว่ายินดีอย่าง นักเรียนโรงเรียน บ้านหนองผักเเว่น มีจำนวน399 คน คุณโยมท่านใดจะร่วมบริจาคซื้อเสื้อกันหนาว ร่วมบุญได้เสื้อกันหนาว1ตัว200บาท ผ้าห่มผืนละ190บาท อาตมาจะได้รวบรวมปัจจัย นำไปซื้อเสื้อกันหนาวเเละผ้าห่มต่อไป ส่วนความคืบหน้า
    ของงานบุญนี้จะนำภาพ มาฝากคุณโยมให้ร่วมอนุโมทนาบุญ
    อย่างเเน่นอน ขอเจริญพร
    พระอาจารย์ จิรวัฒน์ ญาณวโร
    โทร0872365287
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2014
  15. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    บุญคืออะไร ?

    ...บุญ คือ สิ่งซึ่งเกิดขึ้นในจิตใจแล้วทำให้จิตใจใสสะอาด ปารศจากความเศร้าหมอง
    ขุ่นมัว ก้าวขึ้นสู่ภูมิที่ดี เกิดขึ้นจากการที่ใจได้เพื่อนคิดที่ดี คือ พระธรรม ทำให้เลือก
    คิดเฉพาะสิ่งที่ดี ที่ถูก ที่ควร ที่เป็นประโยชน์แล้ว พูดดี ทำ...ดี ตามที่คิดนั้น

    ...บุญ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมส่งผลปรุงแต่งใจของเราให้มีคุณภาพดีขึ้น คือ ตั้งมั่นไม่
    หวั่นไหว บริสุทธิ์ผุดผ่องสว่างไสว โปร่งโล่งไม่อึดอัด อิ่มเอิบ ไม่กระสับกระส่าย ชุ่มชื่น
    เบาสบาย ผ่อนคลายมไม่ตึงเครียด นุ่มนวลควรแก่การใช้งาน และบุญที่เกิดขึ้นนี้ยัง
    สามารถสะสมเก็บไว้ในใจได้อีกด้วย

    ...คนเราแม้จะมองไม่เห็น "บุญ" แต่ก็สามารถรู้อาการของ บุญ หรือ ผลของบุญได้
    คือเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ทำให้จิตใจชุ่มชื่น เป็นสุข เปรียบได้กับ "ไฟฟ้า" ซึ่งเรามองไม่เห็น
    ตัวไฟฟ้าโดยตรง แต่เราสามารถสัมผัสกับอาการของไฟฟ้าได้ เช่น มองเห็นแสงสว่าง
    จากหลอดไฟ ได้รับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

    .......คุณสมบัติของบุญ.......

    ๑. ชำระกาย วาจา ใจ ให้สะอาดได้
    ๒. นำความสุขความเจริญก้าวหน้ามาให้
    ๓. ติดตามตนไปทุกฝีก้าว แม้ไปเกิดข้ามภพข้ามชาติ
    ๔. เป็นของเฉพาะตน ใครทำใครได้ โจรลักขโมยไม่ได้
    ๕. เป็นที่มาของโภคทรัพย์สมบัติทั้งหลาย
    ๖. ให้มนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ นิพพานสมบัติ แก่เราได้
    ๗. เป็นปัจจัยให้บรรลุมรรคผลนิพพาน
    ๘. เป็นเกราะป้องกันภัยในวัฎสงสาร

    .......ผลของบุญ......

    บุญเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มีผลกับตัวเรา ๔ ระดับ คือ

    ๑. ระดับจิตใจ เป็นบุญที่เกิดผลทันที คือ ทำความดีปุ๊บก็เกิดปั๊บไม่ต้องรอชาติหน้า
    เกิดขึ้นเองในใจของเราทำให้

    - สุขภาพทางใจดีขึ้น คือ มีใจเยือกเย็น ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวต่อคำยกยอ หรือ
    ตำหนิติเตียน

    - สมรรถภาพของใจดีขึ้น คือ เป็นใจที่สะอาด ผ่องใส ใช้คิดเรื่องราวต่างๆได้
    รวดเร็ว ว่องไว ลึกซึ้ง กว้างไกล รอบครอบ เป็นระเบียบ และตัดสินใจได้ฉับพลันถูก
    ต้องไม่ลังเล

    ๒. ระดับบุคคลิกภาพ คนที่ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้
    มีใจที่สงบ แช่มชื่น เบิกบาน ชุ่มเย็น นอนหลับสบาย ไม่มีความกังวลหม่นหมอง หน้า
    ตาผิวพรรณจึงผ่องใส ใจเปี่ยมไปด้วยบุญไม่คิดโลภอยากได้ของใคร ไม่คิดสร้างความ
    เดือดร้อนให้ใคร มีแต่ช่วยเหลือเขา จึงมีความมั่นใจในตัวเอง มีความองอาจสง่างาม
    อยู่ในตัว ไปถึงไหนก็สามารถวางตัวได้พอเหมาะพอดี บุคลิกภาพย่อมดีขึ้นเป็นลำดับ

    ๓. ระดับวิถีชีวิต วิถีชีวิตของคนเรา เกิดจากการสรุปผลบุญและผลบาป ที่เราได้ทำ
    มาตั้งแต่ภพชาติก่อนๆ จนถึงภพชาติปัจจุบัน เป็นผลของบุญระดับจิตใจ และระดับ
    บุคลิกภาพ รวมกันชักนำให้เราได้รับสิ่งที่น่าปรารถนา ตอบสนองมาจากภายนอก เช่น
    ได้รับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข การที่เราทำดี แล้ววิถีชีวิตของเราจะดีเต็มที่หรือไม่นั้น
    ขึ้นกับบุญเก่า หรือบาปในอดีต ที่เราเคยทำไว้ด้วย จึงเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน ทำให้
    บางคนเข้าใจผิด คิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี เพราะบางครั้งขณะที่เราตั้งใจทำความดีอยู่
    กลับถูกใส่ร้ายป้ายสี หรือ ประสบเคราะห์กรรม ทำให้หมดกำลังใจในการทำความดี

    ..........แท้จริงแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในขณะนั้น ผลบาปที่เราเคยทำในอดีตกำลัง
    ส่งผลอยู่ แต่บุญที่กำลัง ทำอยู่ปัจจุบันย่อมไม่ไร้ผล เมื่อเราตั้งใจทำบุญไปโดยไม่ย่อ
    ท้อ บุญย่อมจะส่งผลให้ในเวลาที่สมควรต่อไป

    ๔. ระดับสังคม เมื่อเราทำความดีมาแล้วอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะไปอยู่สังคมใด บุญก็จะ
    ส่งผลให้เป็นบุคคลที่สังคมยอมรับนับถือ ได้เป็นผู้นำของสังคมนั้น และจะเป็นผู้ชัก
    นำสมาชิกในสังคมให้ทำความดีตามอย่าง ทำให้เกิดความสงบร่มเย็น ความเจริญ
    ก้าวหน้าขึ้นในสังคมนั้นๆ โดยลำดับ..

    ตัวอย่างผลของบุญ

    ผู้ที่มีอายุยืน.........................เพราะในอดีตไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้อื่นล
    ผู้ที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ..............เพราะในอดีตไม่รังแกหรือทรมานสัตว์
    ผู้ที่มีพลานามัยสมบูรณ์.........เพราะในอดีตให้ทานด้วยข้าวปลาอาหารมามาก
    ผู้ที่มีผิวพรรณงาม.................เพราะในอดีตรักษาศีล และ ให้ทานด้วยเสื้อผ้า เครื่อง
    นุ่งห่มมามาก
    ผู้ที่มีอำนาจมีคนเกรงใจ..........เพราะในอดีตมีมุทิตาจิต ใครทำความดีก็อนุโมทนา
    ไม่อิจฉาริษยาใคร
    ผู้ที่ร่ำรวยมีโภคทรัพย์มาก.......เพราะในอดีตให้ทานมามาก
    ผู้ที่เกิดในตระกูลสูง...............เพราะในอดีตบูชาบุคคลที่ควรบูชามามาก
    ผู้ที่ฉลาดมีสติปัญญาดี..........เพราะในอดีตคบบัณฑิต ฝึกสมาธิ เจริญภาวนามา
    มากและไม่ดื่มสุรายาเมา

    วิธีทำบุญ.........

    การทำความดีทุกอย่างล้วนได้ผลออกมาเป็นบุญทั้งสิ้น แต่เพื่อให้ง่ายต่อ
    การเข้าใจ และนำไปปฎิบัติเราสามารถแบ่งวิธีทำบุญออกได้ ๑๐ วิธีเรียกว่า

    บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ได้แก่

    ๑. ทานมัย ...............................คือ ทำบุญด้วยการให้ทาน
    ๒. สีลมัย..................................คือ ทำบุญด้วยการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย.............................คือ ทำบุญด้วยการอบรมจิตใจ ทำสมาธิ
    ๔. อปจายนมัย...........................คือ บุญที่เกิดจากการอ่อนน้อมถ่อมตน
    ๕. เวยยาวัจมัย...........................คือ บุญที่เกิดจากการช่วยเหลือผู้อื่น
    ๖. ปัตติทานมัย..........................คือ บุญที่เกิดจากการแผ่ส่วนบุญ
    ๗. ปัตตานุโมทนามัย..................คือ บุญที่เกิดจากการอนุโมทนาบุญ
    ๘. ธัมมัสสวนมัย........................คือ บุญที่เกิดจากการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทสนามัย.......................คือ บุญที่เกิดจากการแสดงธรรม
    ๑๐. ทิฎฐุชุกรรม ........................คือ บุญที่เกิดจากการทำความเห็นให้ถูกต้อง
    ..................................................................................................................

    "แข่งบุญแข่งวาสนาใช่ว่าแข่งไม่ได้
    แต่ถ้าแข่งแล้วไซร้ ต้องแข่งด้วยการทำความดี"

    สมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ์ อนันตพุทธะปัจฉิมกาล สัมมาสัมพุทธเจ้าดูเพิ่มเติม
     
  16. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ประธาน ขอจงช่วยดลบันดาลให้คณะศรัทธาทุกท่านทุกคน จงมีแต่ความสุขความเจริญ เเละเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ รวมทั้งโภคทรัพย์ อริยทรัพย์ ธนสารสมบัติ จงปรากฏมีแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง จงส่งผลให้ผู้ใจบุญทุกท่านได้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ ขออนุโมทนาเจริญพร
     
  17. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อาตมา เขียนเรื่องผีมีจริง สร้างเมรุได้1หลัง เกือบล้านบาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • dsc00645.jpg
      dsc00645.jpg
      ขนาดไฟล์:
      154.9 KB
      เปิดดู:
      34
    • 0dsc00699.jpg
      0dsc00699.jpg
      ขนาดไฟล์:
      155.7 KB
      เปิดดู:
      34
    • dsc00702.jpg
      dsc00702.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.7 KB
      เปิดดู:
      26
    • dsc00659.jpg
      dsc00659.jpg
      ขนาดไฟล์:
      154.6 KB
      เปิดดู:
      27
    • dsc006231.jpg
      dsc006231.jpg
      ขนาดไฟล์:
      139.2 KB
      เปิดดู:
      25
    • dsc006219.jpg
      dsc006219.jpg
      ขนาดไฟล์:
      135.2 KB
      เปิดดู:
      32
    • dsc00695.jpg
      dsc00695.jpg
      ขนาดไฟล์:
      137.9 KB
      เปิดดู:
      42
    • dsc00666.jpg
      dsc00666.jpg
      ขนาดไฟล์:
      153.3 KB
      เปิดดู:
      22
    • Copy of IMG_0065.jpg
      Copy of IMG_0065.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.5 KB
      เปิดดู:
      27
    • Copy of P2263999_resize.JPG
      Copy of P2263999_resize.JPG
      ขนาดไฟล์:
      313.9 KB
      เปิดดู:
      34
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2014
  18. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ถ้าไม่มีเว็บพลังจิต ไม่มีเมรุไว้เผาศพ อาตมารวบรวมเงินที่ได้ จากเขียนเรื่องผีมีจริงสร้าง..โดยการ เปิดรับบริจาค ผ่านทางเว็บพลังจิต ใช้เวลารวบรวมปัจจัยทั้งสิ้น11เดือน28วันครบ พอค่าสร้างเมรุ วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น จ.ร้อยเอ็ด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2014
  19. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ประธาน ขอจงช่วยดลบันดาลให้คณะศรัทธาทุกท่านทุกคน จงมีแต่ความสุขความเจริญ เเละเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ รวมทั้งโภคทรัพย์ อริยทรัพย์ ธนสารสมบัติ จงปรากฏมีแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง จงส่งผลให้ผู้ใจบุญทุกท่านได้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ ขออนุโมทนาเจริญพร
     
  20. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อนุโมทนาสาธุ โยมเอื้อยจากเเดนไกล..สหรัฐอเมริกา มีจิตศรัทธา ร่วมบุญซื้อที่ดินถวายวัดป่าบ้านหนองผักเเว่น เป็นจำนวน 1ไร่ กับอีก85 ตารางวา รวมเป็นเงิน มอบถวายวัดทั้งสิน 33,500 บาท
    ดังมีรายนามผู้ร่วมบุญสมทบทุนซื้อที่ดินดังนี้

    1.คุณโยมเอื้อย TIEMSIRY PHONGSA เเละครอบครัว ร่วมบริจาคซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดป่าเป็นเงิน 400 U.S
    2.คุณสาง คุณyin phonsa ร่วมบริจาคสมทบซื้อที่ดินเป็นเงิน 100 U.S
    3.คุณคำพั้ว Phongsa ร่วมบริจาคซื้อที่ดินเป็นเงิน 100 U.S.
    4.คุณนิกร คุณเวียงชัย สินพาลี ร่วมบริจาคซื้อที่ดินถวายวัด 100 U.S.
    5.MR. TIM คุณ คำเพชร ร่วมบริจาคซื้อที่ดิน ถวายวัด เป็นเงิน 100 U.S.
    6.คุณ ELANOR คูณอุทัย เเละครอบครัว ร่วมบริจาคซื้อที่ดิน 100 U.S.
    7.คุณ คำสิงห์ พงสา พร้อมครอบครัว ร่วมบริจาคซื้อที่ดิน 50 U.S.
    8.MR. TONY AND MANIVAN ร่วมบริจาค ซื้อที่ดิน 50 U.S.
    9.คุณนิกร คุณ KIN PHONGSA ร่วมบริจาคซื้อที่ดินถวายวัด เป็นจำนวนเงิน100 U.S
    รวมเป็นเงิน มอบถวายวัดบ้านหนองผักเเว่น ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด รวมเป็นเงินทั้งสิน 33,500 บาท
    ขอขอบใจ ขอให้โยมเอื้อยเเละญาติพี่น้องเเละครอบครอบ PHONGA สุขกาย สุขใจโชคดีมีชัย
    ขอให้
    คุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า จงปกปักฮักษา คุ้มครอง
    อยู่ดี มีความสุขใจ ตลอดปี2012 เเละตลอดไปสาธุ
    ทางวัดจะสวดมนต์ อธิฐานจิต ให้ได้รับบุญกุศล ที่ท่านทั้งหลายมีจิตศรัทธา ฮ่วมบุญซื้อที่ดินศร้างถวายวัดป่าบ้านหนองผักเเว่น
    ขอให้โยมเอื้อย TIEMSIRI PHONGSA
    อยู่ดีมีเเฮง ควมเจ็บอย่าให้ได้ ควมไข่อย่าให้มี สุขกาย สะบายใจ ตลอดไปเทอญสาธุๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...