ผีมีจริง...ตอนสร้างเมรุเผาศพเสร็จเพราะมีเว็บพลังจิตใช้งบเกือบล้าน(ป่าช้าโบราณ)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร, 7 กรกฎาคม 2011.

  1. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
    เเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
    ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  2. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
    เเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
    ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  3. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
    เเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
    ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  4. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    เจริญพรญาติโยมอาตมาภาพ พระจิรวัฒน์ ญาณวโร ขอบอกบุญ(พิเศษปีละครั้ง)
    จากการที่อาตมาได้มาปฏิบัติธรรม ณ.วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น เเละช่วยงานบุญที่วัดป่าโพธิ์ศรีสว่าง ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด นั้นเป็นช่วงหน้าหนาวพอดี ปีนี้หนาวรุนเเรงมากกว่าทุกปี อากาศหนาวมากๆเปลี่ยนเเปลงผิดปกติจากเมื่อก่อนมาก อาตมาได้เห็นพระหนุ่มเณรน้อย หลวงปู่หลวงตา ท่านห่มเครื่องกันหนาวเก่าๆอังสะกันหนาวเก่าๆ บางรูปก็ไม่มีเลย อาตมาเห็นเเล้วสงสารท่านมาก จึงมีความคิดที่จะขอบอกบุญผ่านทางเว็บพลังจิต ที่เคยเมตตาอาตมาตั้งเเต่โครงการ เเบ่งปันน้ำใจสู้ภัยหนาวครั้งที่1 จนปัจจุบันได้ทำต่อเนื่องเป็นปีที่4เเล้วสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ใน3ปีที่ผ่านมา ในปีนี้(เดือนมกราคม2557)อาตมาจึงขอบอกบุญ ร่วมเป็นเจ้าภาพ ถวายผ้าห่มกันหนาว-อังสะ-หมวกไหมพรมกันหนาว จำนวน9วัด ดังนี้ วัดธาตุอัมพวัน บ้านหนองผักเเว่น วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น วัดป่าบ้านนาสมบูณร์ วัดบ้านหนองฟ้า วัดป่าบ้านหนองฟ้า วัดบ้านนาโพธิ์ (โพธิ์ ศรีทอง) วัดป่าบ้านนาโพธิ์ วัดบ้านหนองกุง วัดป่าบ้านหนองกุง ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด 45120 ขอเชิญคุณโยม ร่วมบุญ ถวายอังสะกันหนาว หรือผ้าห่มกันหนาว ตามกำลังศรัทธา กระทู้นี้ อาตมาบอกบุญ เพียงปีละครั้งเท่านั้น ในโครงการ เเบ่งปันน้ำใจ สู้ภัยหนาว ครั้งที่ 4
    ขอเชิญ คุณโยม ร่วมบุญด้วย ตามกำลังศรัทธา หรือคุณโยม ท่านใดจะ
    ส่งอังสะกันหนาว ผ้าห่มกันหนาว มาได้ที่
    วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ระหัส 45120 โทร 0872365287
     
  5. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
    เเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
    ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  6. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    พุทธทาสภิกขุ
    เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง
    เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
    ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน
    ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา

    ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ
    ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
    เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา
    เปรมปรีดา คืนวัน สุขสันติ์จริง


    ใจสกปรก มือมัว และร้อนเร่า
    ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
    เพราะพูดผด ทำผิด จิตประวิง
    แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย

    คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก
    จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
    ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย
    ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือนเอยฯ
     
  7. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    เจริญพรญาติโยมอาตมาภาพ พระจิรวัฒน์ ญาณวโร ขอบอกบุญ(พิเศษปีละครั้ง)
    จากการที่อาตมาได้มาปฏิบัติธรรม ณ.วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น เเละช่วยงานบุญที่วัดป่าโพธิ์ศรีสว่าง ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด นั้นเป็นช่วงหน้าหนาวพอดี ปีนี้หนาวรุนเเรงมากกว่าทุกปี อากาศหนาวมากๆเปลี่ยนเเปลงผิดปกติจากเมื่อก่อนมาก อาตมาได้เห็นพระหนุ่มเณรน้อย หลวงปู่หลวงตา ท่านห่มเครื่องกันหนาวเก่าๆอังสะกันหนาวเก่าๆ บางรูปก็ไม่มีเลย อาตมาเห็นเเล้วสงสารท่านมาก จึงมีความคิดที่จะขอบอกบุญผ่านทางเว็บพลังจิต ที่เคยเมตตาอาตมาตั้งเเต่โครงการ เเบ่งปันน้ำใจสู้ภัยหนาวครั้งที่1 จนปัจจุบันได้ทำต่อเนื่องเป็นปีที่4เเล้วสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ใน3ปีที่ผ่านมา ในปีนี้(เดือนมกราคม2557)อาตมาจึงขอบอกบุญ ร่วมเป็นเจ้าภาพ ถวายผ้าห่มกันหนาว-อังสะ-หมวกไหมพรมกันหนาว จำนวน9วัด ดังนี้ วัดธาตุอัมพวัน บ้านหนองผักเเว่น วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น วัดป่าบ้านนาสมบูณร์ วัดบ้านหนองฟ้า วัดป่าบ้านหนองฟ้า วัดบ้านนาโพธิ์ (โพธิ์ ศรีทอง) วัดป่าบ้านนาโพธิ์ วัดบ้านหนองกุง วัดป่าบ้านหนองกุง ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด 45120 ขอเชิญคุณโยม ร่วมบุญ ถวายอังสะกันหนาว หรือผ้าห่มกันหนาว ตามกำลังศรัทธา กระทู้นี้ อาตมาบอกบุญ เพียงปีละครั้งเท่านั้น ในโครงการ เเบ่งปันน้ำใจ สู้ภัยหนาว ครั้งที่ 4
    ขอเชิญ คุณโยม ร่วมบุญด้วย ตามกำลังศรัทธา หรือคุณโยม ท่านใดจะ
    ส่งอังสะกันหนาว ผ้าห่มกันหนาว มาได้ที่ วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ระหัส 45120 โทร 0872365287
     
  8. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  9. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ในชีวิตของคนเราเวลาที่มีความสุข ได้โชคลาภ ได้อะไรๆ ที่ต้องการนั้นมาจากที่ผลบุญที่ทำมานั้นได้ส่งผล แต่เวลาพบกับความทุกข์ พบกับอุปสรรคต่างๆ ทำอะไรก็ไม่ขึ้น หยิบจับอะไรเป็นเสียหาย ไร้คนช่วยเหลือมองไปทางไหนก็มืดมน เหมือนที่เรียกกันว่า “มืดแปดด้าน” หรือที่คนทั่วไปชอบเรียกกันว่า “ดวงตก” นั่นแหละ ที่สาเหตุนั้นมาจากรรมอย่างแน่นอน ไม่ได้มาจากการเดินทางของดวงดาวแต่อย่างใดเพราะเรื่องการเคลื่อนย้ายองศาต่างๆ ของดาวนั้นไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่ได้มาส่งผลอะไรโดยตรงกับคนและสัตว์ทั้งหลาย อาจจะมีบ้างในเรื่องของกลางวัน กลางคืน น้ำขึ้นและน้ำลงซึ่งเป็นไปตามกลไกที่ธรรมชาติดำรงไว้เพื่อความสมดุล

    แต้อย่างไรก็ตาม ในความเข้าใจของคนมักจะเรียกกันว่า “ดวงตก” ในบทนี้ก็ขอเรียกแบบนั้นแล้วกันเพื่อจะได้เข้าใจตรงกัน แต่อย่าลืมว่ามาจากกรรมทั้งสิ้น ไม่ได้มาจากดวงดาวที่ไหนเลยคุณโยม...เชื่ออาตมาเถอะ

    สำหรับกรรมที่ว่านี้เป็นทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ฝ่ายไม่ดี ที่มีกำลังและถึงเวลาส่งผล วิธีที่จะแก้ไขนั้นต้องพิจารณาเป็นอย่างแรกก็คือ กรรมปัจจุบัน ต้องย้อนกลับไปพิจารณาจากสิ่งที่เราทำมาไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาชีพการงานใดๆ ก็ตาม ความคิด ความประพฤติของเรานั้นถูกต้อง ถูกธรรมหรือไม่

    ต้องหาสาเหตุให้เจอว่าเป็นเพราะอะไรถึง ต้องยอมรับความจริงถึงจะแก้ได้ ซึ่งร้อยทั้งร้อยไม่เชื่อว่ากรรมมีจริงหรือเพราะความไม่รู้ จึงละเมิดผู้อื่น สิ่งอื่นจนเกิดกรรมไมดีขึ้นมา

    เช่น เคยแอบไปเบียดเบียนใครเขามา เคยไปคดโกง ยืมเงินคนอื่น แอบพรากประโยชน์ผู้อื่น เห็นแก่ได้จนคนอื่นเขาเสียหาย ทำการค้าแบบไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เป็นคนที่ประมาทในชีวิตยังคงเกียจคร้านไม่แสวงหาสิ่งดีๆ สิ่งที่ถูกต้องมาสู่ชีวิต เป็นต้น

    เรื่องเหล่านี้เหมือนกับเราเดินทางชีวิตที่ผิดทางไปจากความสำเร็จ ความร่ำรวยที่เราปรารถนาจะได้ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหนก็ตาม หรือเราเองนั้นเอาก้อนหินขนาดใหญ่ไปปิดทางน้ำด้วยตัวเอง ซึ่งก็คือการไปสร้างบาปปิดทางบุญของตัวเองไว้

    เรื่องเหล่านี้เราต้องหาให้เจอเสียก่อน เพราะเหตุจากกรรมไม่ดีเหล่านี้ เป็นกรรมใหม่ที่เราปรับปรุงแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องเปลี่ยนเพื่อเปลี่ยนทิศทางเดินชีวิตเสียใหม่ เราเองก็รู้ว่าเราทำแบบนั้นเราได้ผลอะไรกลับมา เราเป็นคนที่ทำร้ายตัวเอง ทำตัวเองให้ดวงตกหรือไม่

    เรื่องไม่ดีเหล่านี้มันเหมือนจุดดำๆ หรือคราบสกปรกที่อาจจะเริ่มจากจุดเล็กๆ แต่มันสะสมเรื่อยๆ จนผ้าที่เคยขาวนั้นดำสนิท ชีวิตจึงเหมือนอยู่ในความมืด จนคลำหาทางออกไม่เจอ หลายคนไปพึ่งหมอดู คนทรงเจ้าหรือไสยศาสตร์ที่ไม่ใช่ของจริง จนหมดเนื้อหมดตัวเหมือนอยู่ดีๆ ไปหาขี้โคลนมาใส่ผ้าขาวเข้าไปอีก ซึ่งขออนุญาตบอกถึง การแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาคือ

    ต้องปรับความเชื่อเสียใหม่ จากที่หลงผิดทางหรือเกิดมิจฉาทิฐิ (มิจฉาทิฏฐิ) ขึ้นในใจที่เป็นความมืดให้กลับมาสู่ทางสว่างหรือสัมมาทิฐิ (สัมมาทิฏฐิ) ต้องปรับใจตนเองเสียก่อน ถ้าไม่ปรับใจเสียก่อน ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น

    ดังเช่นอยากจะไปเชียงใหม่แต่ดันขับรถลงไปทางใต้ ต่อให้อีกร้อยชาติ พันชาติก็ไปไม่ถึง ไม่ว่ารถยนต์จะมีกำลังดีแค่ไหนก็ตาม อยากจะให้ชีวิตดี แต่ยังหลงผิดไปว่าการทำกรรมชั่วนั้นจะทำให้ชีวิตดี

    อยากจะมีความสุข มีเงินเยอะๆ รวยๆ แต่คิดไปว่าการไปเบียดเบียนคนอื่น โกงเขา ขโมยเขาเป็นเรื่องถูกต้อง ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้ บาปไม่เคยส่งผลให้เกิดบุญ บุญบริสุทธิ์นั้นก็ไม่เคยทำให้ใครบาป มันคนละทางกัน

    กรรมนั้นเหตุมันเกิดที่ใจ และกรรมทุกกรรมที่เราทำมาว่าจะเป็นกรรมดีกรรมชั่ว จะหนักจะเบา จะถูกบันทึกไว้ในจิตใจทั้งสิ้น

    ไม่ว่าจะเกิดไปอีกร้อยชาติ เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล เปลี่ยนหน้าตา เปลี่ยนภพภูมิไป แต่จิตนั้นยังเป็นดวงเดิมที่ได้มีการบันทึกกรรมนั้นไว้ตลอดเวลา กรรมใดที่เป็นอโหสิกรรมแล้วก็จะไม่ส่งผลอีก ถือว่ากรรมนั้นยุติลงไปแล้ว

    ต้องแก้ที่ใจเป็นอันดับแรก ต้องเชื่ออย่างไม่สั่นคลอนไม่สงสัยใดๆ ว่ากรรมนั้นมีจริง ใครทำดีต้องได้ดี ใครทำชั่วต้องได้ชั่ว ในบางครั้งอาจจะส่งผลช้าเพราะเป็นไปตามลำดับ ตามหน้าที่ ตามเวลา และมีปัจจัยอื่นประกอบด้วย แต่อย่างไรก็ต้องส่งผล กรรมหนักไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี อย่างช้า 30 ปีหรือในชั่วชีวิตคนจะได้เห็นกัน

    หากทำดีแล้วยังดวงตกอีก ทำอะไรก็ติดขัดไม่สำเร็จอีก อาจจะมาจากกรรมเก่าที่กำลังส่งผล โดยมีเจ้ากรรมนายเวรเขาตามรังควาน ตามอาฆาตมาดร้ายอยู่ จะใคร่ขอแนะนำเคล็ดวิชาจากครูบาอาจารย์ในการแก้ดวงตกที่มาจากกรรมเก่าให้ลองไปใช้กันดู (อย่าลืมว่าถ้าไม่เชื่อ ไม่มีความศรัทธาขอร้องว่าอย่าไปทำเลย เพราะไม่ได้ผล จิตมันไม่ถึงจะเสียเงินทองไปเสียเปล่าๆ)

    1. ให้รักษาศีล 5 อย่างมั่นคง เพราะการรักษาศีล 5 จะเป็นเครื่องมือช่วยในการป้องกันไม่ให้เราไปละเมิดกรรมไม่ดีต่อผู้อื่นอีก เป็นการหยุดการทำชั่วอย่างสิ้นเชิง ซึ่งคนดวงตกทั้งหลาย ถ้าหากยังละเมิดศีล 5 อยู่ผลกรรมที่จะได้รับ จนอาจจะทนทานไม่ไหวเลยก็ได้ เพราะแค่กรรมเก่ามาส่งผลยังลำบาก ยังดวงตกดิ่งนรกขนาดนี้ หากยังไปทำกรรมชั่วอีกคงหนักขึ้นหลายเท่า

    การรักษาศีลนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน อย่างน้อยต้องศีล 5 ถ้าดวงตกหนักมากอาจะจะต้องไล่ขึ้นไปอีกเป็นศีล 8 ศีล 10 หรือถึงขั้นต้องบวชเพื่อถือศีล 227 อาศัยร่มกาสาวพักตร์เป็นเกราะป้องกัน ดังที่คนโบราณหรือครูบาอาจารย์ในอดีตกาลท่านทราบทางแก้ไขเรื่องนี้ดี ท่านจึงมักจะให้บวชเสียถ้าหากคนนั้นพบกับวิบากกรรมหนักหรือดวงตกหนักๆ จนดูแล้วจะไปไม่รอด

    2. ใส่บาตรทุกวัน การใส่บาตรทุกวันนั้น เป็นการเสริมบุญให้กับตัวเองแบบง่ายๆ ที่ทำได้ (ให้ย้อนกลับไปอ่านเรื่องอธิษฐานจิตเสียก่อนทำบุญ ในบทแรกจะเข้าใจในการใส่บาตรทั้งหมด

    3. ทำสังฆทานใหญ่ เคล็ดวิชานี้มาจากครูบาอาจารย์ท่านสำคัญ ที่ขออนุญาตปิดชื่อของท่านไว้ก่อน ถ้าถึงเวลาเมื่อใดจะเรียนให้ทราบ ครูบาอาจารย์ท่านสำคัญท่านนี้ได้เมตตาให้กับคนดวงตกมาแล้วมากมายมหาศาลและเกิดผลดีทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีหลายท่าน นักการเมือง ทหารระดับใหญ่ของประเทศ นักธุรกิจการค้า คนทั่วไปที่กำลังรับผลกรรมเก่าจนยากจะรับมือไว้ เมื่อได้ทำครบถ้วนแล้ว ชะตาชีวิตดีขั้นอย่างทันตาเห็น ท่านเมตตาให้ทำดังนี้

    - เตรียมอาหารคาวหวานครบ น้ำสะอาด ดอกไม้ธูปเทียน

    - วัตถุทานที่จัดเป็นปัจจัย 4 คือ เครื่องบวชพระไตรจีวร บาตรพระพร้อมตาลปัตร ยารักษาโรค ของใช้ของสงฆ์ต่างๆ ตามที่สมควร หนังสือธรรมะ 1 เล่ม (ให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ให้ทั้งปวงเด้อคุณโยม)


    ถวายสังฆทานให้ได้บุญมากยิ่งขึ้น

    ให้ไปถวายกับพระสงฆ์(ไม่ต้องเจาะจง) หรือพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญสูงเท่าที่เราจะหาได้ ถ้าหาไม่ได้จริงๆ หรือไม่ทราบให้ถวายกับเจ้าอาวาสวัด หรือถ้าอยากจะให้บุญมากมายมหาศาลให้ตั้งจิตถวายแด่พระพุทธเจ้าหรือ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ เพื่อให้อานิสงส์ของบุญจะได้มากขึ้นทวีคูณ

    เวลาถวายให้เอากิ่งไม้นั้นตั้งขึ้นเหมือนที่เราเห็นในถังผ้าป่าทั้งหลาย เอาผ้าไตรจีวรนั้นพาด พระสงฆ์ท่านจะรับและชักออกไป เมื่อเสร็จสิ้นแล้วให้กรวดน้ำอุทิศบุญแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร

    การที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำให้ถวายอาหารคาวหวานให้ครบนั้น เพราะเจ้ากรรมนายเวรบางท่านนั้นอยู่ในภาวะหิวกระหาย ไม่มีใครทำบุญไปให้ ยิ่งหิวก็ยิ่งโกรธแค้นหลายเท่ากับคนที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้ เครื่องบวชพระไตรจีวร นั้นจะเป็นเครื่องนุ่งห่มทิพย์ในกรณีที่เขาไม่มีเสื้อผ้าจะสวมใส่

    การถวายพระพุทธรูปนั้นจะนำให้เข้าถึงระลึกได้ถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นที่พึ่งของเขาได้จริง หนังสือธรรมะจะทำให้เขาเข้าใจในพระธรรมที่จะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้จริง ลดความอาฆาตมาดร้ายลง ถาดเงิน ถาดทองนั้นเป็นการช่วยให้เขามีภาชนะเก็บกักของทิพย์ที่เขาได้รับและจะนำมาใช้เมื่อใดก็ได้ การทำสังฆทานใหญ่นี้ทำเดือนละ1 ครั้งตรงกับวันเกิดสำหรับท่านที่ดวงตกมากๆ ต้องรีบทำเสียโดนด่วน เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    หลายท่านที่ไม่มีเงินพอที่จะทำสังฆทานใหญ่แบบนี้ที่ต้องใช้เงินพอสมควร ขอแนะนำว่าให้ไปที่วัดใดก็ได้ที่มีการจัดเตรียมเครื่องสังฆทานไว้ให้แบบครบชุดที่เดี๋ยวนี้มีเกือบทุกวัด ให้ใช้วิธีทำผาติกรรมนำเงินใส่ซองจะ 10 บาท 5 บาทหรือเท่าใดก็ได้ ก็ครบถ้วนสมบูรณ์เหมือนกัน หรือถ้าวัดนั้นไม่มีก็ขอเมตตาจากพระสงฆ์ท่าน ส่วนมากทุกวัดจะมีสิ่งของที่บอกไว้ครบ เราออกแรงขอท่านไปรวบรวมเอาสิ่งของดังกล่าวมาร่วมกันเป็นสังฆทาน แล้วขอผาติกรรมจากท่านก็ได้ เสร็จแล้วก็ไปคืนไว้ตามที่เอามา

    หรือท่านใดที่ดวงตกแต่ไม่มีเงินจริงๆ หรือไม่สะดวกอยู่ในที่จำกัดไปไหนมาไหนไม่สะดวก ก็ให้เร่งถือศีล 5 และสวดมนต์ ทำสมาธิ เป็นการสร้างบุญโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว เพียง 3 อย่างเท่านี้ก็แก้ไขได้แล้วเพราะบางเจ้ากรรมนายเวรเขาต้องการเพียงเราสำนึกผิดกลับใจ และส่งบุญให้ เขาก็พอใจพร้อมถอนตัวออกไปจากการจองเวรนี้

    หรือจะเพิ่มทานเข้าไปอีก เอาเงินสัก 1 บาทหรือสลึงหนึ่งก็ได้ใส่กระปุกไว้ก็ได้เพื่อจะให้ครบทั้ง ทาน ศีล ภาวนา ครบถ้วนในแต่ละวัน เมื่อเงินในกระปุกมีพอสมควรแล้วก็เอาไปถวายพระสงฆ์เป็นสังฆทานได้ ใช้วิธีนี้ในทุกเช้าโดยการทำทานหยอดเงินใส่กระปุกก่อนให้เป็นทาน อธิษฐานจิตเป็นสังฆทาน แล้วจึงสวดมนต์สมาทานศีล และทำสมาธิในทุกเช้า อาตมาเชื่อว่า...จากที่เคยลำบากมากเจ้าหนี้คอยตามรังควาน บ้านจะโดนยืด รถยนต์โดนยืด มีแต่เรื่องที่ทำให้เสียหายมากมายก็ทุเลาขึ้น จนดีวันดีคืนอย่างเเน่นอนเด้อคุณดยม...

    หรือแม้แต่ไม่มีเงินก็เอาแรงงานไปเช็ดถู ไปปัดกวาดลานวัด ทำความสะอาดหน้าพระประธาน พระพุทธรูปที่รายล้อมอยู่ตามศาลาวัด ไปช่วยเขาขนทรายขนปูนที่มีการก่อสร้างอะไรในวัดก็ตาม ไปช่วยกิจของสงฆ์ ทั้งไปช่วยโรงครัว โรงทานทำอาหารถวาย ช่วยล้างผลไม้ปอกผลไม้ ล้างจาน กวาดวัด ล้างห้องน้ำ หรืออะไรก็ได้ที่เป็นของส่วนรวม แล้วอุทิศบุญที่ทำนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเขา และอธิษฐานขอให้เป็นสังฆทานได้ทั้งนั้น อย่าไปคิดแต่เพียงว่าต้องใช้เงินอย่างเดียวเท่านั้น

    สำหรับการกรวดน้ำ ควรทำทุกครั้งหลังจากสร้างบุญเสร็จเพื่อที่จะได้ไม่ตกหล่น ถ้าลืมหรือติดธุระอะไรไม่ได้ทำ ถ้าเรานึกได้เมื่อใดให้กรวดน้ำใหม่ทันทีไม่ว่าเวลาไหนก็ตาม บุญที่เราทำนั้นไม่ได้หายไปไหน ซึ่งเห็นได้จากบุญเก่าและบาปเก่าในอดีตชาติที่กำลังส่งผลให้เราอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ได้หายไปไหนเช่นกัน

    น้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำสะอาดเพื่อสื่อได้ง่ายและเร็วเสร็จแล้วให้เอาน้ำนั้นไปเทราดใต้ต้นไม้กลางแจ้ง ในเวลาที่เทให้ตั้งจิตอีกครั้ง กล่าวขอให้พระแม่ธรณี ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ท้าวยมราช มาเป็นสักขีพยานในการสร้างบุญ ให้ท่านทั้งหลายที่เราอุทิศบุญให้มารับบุญไป ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้นครบทุกประการตามหลักครูบาอาจารย์ตั้งแต่ครั้งโบราณ

    แต่ถ้าไม่แน่ใจว่า ดวงจิตวิญญาณที่เราตั้งใจอุทิศบุญไปให้นั้น ท่านจะมารับได้หรือไม่ เพราะบางดวงจิตวิญญาณถ้าไม่อยู่ในสภาวะที่รับได้เขาก็รับไม่ได้ เช่น ถูกลงโทษในนรกชั้นลึกที่สุดเพราะกรรมหนักเขาก็มาไม่ได้ เหมือนนักโทษประหารหรือนักโทษขั้นเด็ดขาดที่ห้ามเยี่ยม ห้ามทุกอย่างไว้เพราะทำกรรมหนักไว้ แต่มีวิธีแก้ไขให้ขอเมตตาฝากบุญไว้กับพระแม่ธรณี ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ท้าวยมราชไว้ เมื่อใดก็ตามที่เขาพร้อมจะรับบุญได้ ท่านจะเมตตาส่งเคราะห์ส่งบุญให้ได้

    สังฆทานนั้นยิ่งทำบ่อย ยิ่งดีทั้งสองทางทั้งสร้างบุญใหญ่และลดกรรมไม่ดีได้เร็วมากยิ่งขึ้น

    4. ต้องสวดมนต์และทำสมาธิทุกวัน สองสิ่งนี้ขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด การสวดมนต์เพื่อปรับฐานบุญและทำให้ตนเองเกิดมงคล และการทำกรรมฐานแก้กรรมหรือที่เรียกกันว่า “สมาธิแก้กรรม” นั้นเป็นของจริงที่พิสูจน์กันมาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้ว

    การสวดมนต์นั้นควรทำในตอนเช้าและก่อนนอน อย่าลืมว่าต้องมีบทพื้นฐานดังที่กล่าวไปแล้วในบทปลุกเสกตัวเองให้ศักดิ์สิทธิ์บทก่อน และอยากแนะนำให้สวดบทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกทุกครั้ง ถ้าอยากเอาให้ได้ผลแบบเร็วทันใจให้สวดเลยอายุตนเอง 1 บท เช่น อายุ 30 ปีให้สวด 31 จบ ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 15 วันอย่าขาด

    เมื่อสวดมนต์แล้วให้นั่งสมาธิและวิปัสสนาต่ออย่างน้อยวันละ 30 นาที เมื่อออกจากสมาธิเจริญภาวนาแล้วให้แผ่เมตตาอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวนทันที แบบเจาะจงด้วยว่า โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังตามมารังควานให้เกิดอุปสรรคอยู่ในขณะนี้ให้มารับบุญที่เกิดขึ้นนี้ แม้ว่าดวงจะดีแล้ว ก็อย่าหยุดทำให้ทำต่อไป ดวงจะดียิ่งขึ้นร้อยเท่าพันเท่า

    5. สงเคราะห์ปล่อยสัตว์ ให้ไปปล่อยปลาหมอหรือปลาไหลวันละ 8 ตัวทุกวันติดต่อกัน 7 วัน หรือให้ครบ 7 ครั้งใน 1 เดือน การปล่อยสัตว์ก็ให้ไปดูเรื่องการสงเคราะห์ปล่อยสัตว์แบบได้บุญมาก ถ้าหาปลาหมอหรือปลาไหลไม่ได้ใช้ปลาอะไรก็ได้ที่คนเอามาทำเป็นอาหารแบบว่าเขาต้องตายแน่ๆ ถ้าเราไม่ไปช่วยเขาไว้ ไปที่ตลาดแล้วบอกแม่ค้าว่า ให้เลือกปลาที่คิดว่ากำลังจะฆ่าให้หน่อย ในสมัยพุทธกาล เณรน้อยที่แม้ถึงฆาตได้ช่วยปลาจากปลักให้ไปอยู่ในแหล่งน้ำสมบูรณ์ ยังรอดตายได้ แค่ดวงตกแค่นี้ยิ่งได้ผลหลายเท่า

    6. ร่วมสร้างถาวรวัตถุใหญ่ๆ ทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป โบสถ์ วิหาร หรืออะไรก็ตามที่เป็นของใหญ่ๆ และเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก จะเป็นทานใหญ่ที่ก่อให้เกิดโชคลาภ สำหรับการร่วมบริจาคนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเงินมาก เท่าใดก็ได้ แต่ต้องให้ตรงกับจำนวนหรือมากกว่าที่ตั้งใจไว้ เช่น ตั้งใจทำ 1 บาทก็ต้อง 1 บาทอย่าไปลดบุญตัวเองด้วยการทำเพียง 50 สตางค์เพราะเสียดาย ให้ทำตามที่เราตั้งใจจริงๆ เท่าไหร่ก็เท่านั้น...ลองทำดูสัก1เดือนเด้อคุณโยม
     
  10. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อยากเห็นการปฎิรูป ของคณะสงฆ์ไทย วัดรวยช่วยเหลือวัดจน ทราบว่าบางวัดเช่นเเถวปทุมธานี มีเงินเป็นหมื่นล้านเเต่บางวัดในต่างจังหวัด เงินจะจ่ายค่าไฟเเต่ละเดือนยังเเทบจะไม่มี มีคนตายวัดจึงพอจะมีปัจจัยไว้คอยบำรุงวัด พระศาสนา เชื่อไหมบางวัด ซื้อกาเเฟไปฉันยังต้องติดร้านค้าไว้ก่อน นี้คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย....
     
  11. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  12. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  13. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    เปรต : ญาติพระเจ้าพิมพิสาร
    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร ณ กรุงราชคฤห์

    ทรงปรารถถึงบุตรเศรษฐีผู้ตายไปเป็นเปรต ให้เป็นต้นเหตุ มีความว่า ณ กรุงราชคฤห์ มีเศรษฐีผู้หนึ่งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีบริวารมากจนได้นามว่า มหาธนเศรษฐี เหตุเพราะเป็นผู้มีทรัพย์มาก

    มหาธนเศรษฐี มีบุตรชายอยู่คนเดียว จึงเป็นที่รักใคร่ของเศรษฐีและภรรยาเป็นอันมาก ทั้งสองเฝ้าถนอมเกลาเกลี้ยงเลี้ยงดูบุตรชายชนิดที่ยุงมิให้แตะ ริ้นมิให้ไต่ ไรมิให้ตอม เท้ามิให้แตะพื้น ธุลีมิให้เปรอะเปื้อน มลทินใดๆ มิให้มากล้ำกรายแตะต้อง ให้บุตรต้องมามัวหมอง

    ครั้นบุตรชายเศรษฐีนั้นเจริญวัย บิดามารดา ก็มาคิดว่า เราทั้งสองมีทรัพย์สินมากมายมหาศาล ถึงลูกเราจะหยิบฉวยเอาไปใช้สักวันละพันกหาปณะ (๑ กหาปณะเท่ากับ ๔ บาท) สิ้นเวลาไปสักร้อยปี ทรัพย์ของเราก็ยังไม่รู้จักหมด แล้วประโยชน์อันใดเล่าที่เราจะเสือกไสให้บุตรของเราต้องไปศึกษาเล่าเรียน ให้ได้รับความยากลำบาก

    สองสามีภรรยาผู้เป็นเศรษฐี คิดดังนี้แล้ว ก็มิได้ส่งบุตรชายตนไปศึกษาหาความรู้ ด้วยคิดว่าไปศึกษาวิชาก็เพื่อจะนำมาแสวงหาทรัพย์ แต่เวลานี้ทรัพย์เรามีมากมายจนใช้ไม่หมด แล้วจะยังไปแสวงหาอีกทำไม สุดท้ายก็มิได้ส่งบุตรชายไปเรียนวิชาความรู้ใด ได้แต่ปล่อยให้บุตรชายตนเที่ยวเล่นซุกซนไปตามประสาเด็ก

    ครั้งเมื่อบุตรของผู้เป็นเศรษฐีเติบโตเป็นหนุ่ม บิดามารดาก็ไปขอกุมารี ผู้เป็นบุตรสาวของพราหมณ์มหาศาล ผู้เจริญด้วยชาติตระกูล มีรูปโฉมสะคราญตา เพียบพร้อมไปด้วยจริตกิริยามารยาท แต่ขาดธรรม

    บุตรชายเศรษฐีนั้น ได้อยู่กินร่วมกับกุมารีนั้น ต่างฝ่ายต่างก็พากันมัวเมาต่อกามคุณทั้ง ๕ มี รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสเป็นต้น

    ทั้งสองมิเคยรักษาศีลบริจาคทานบำเพ็ญภาวนาเลย อีกทั้งยังตั้งข้อรังเกียจต่อสมณะชีพราหมณ์ทั้งปวง ต่างพากันใช้จ่ายทรัพย์ที่มีเพื่อบำรุง บำเรอ ตนแต่ถ่ายเดียว มิเคยเหลียวดูความทุกข์ยากของเพื่อมนุษย์ แถมยังดูถูกเหยียดหยามต่างๆ นาๆ

    กาลต่อมา บิดามารดาก็ถึงกาลกิริยาตายลง บุตรเศรษฐีพร้อมภรรยาแทนที่จะบังเกิดธรรมสังเวช กลับยิ่งมัวเมาประมาทใช้จ่ายทรัพย์ที่มีอยู่อย่างฟุ่มเฟือย จนในที่สุดทรัพย์สมบัติมหาศาลที่บิดามารดาทิ้งไว้ให้ก็ต้องหมดไป ต้องไปกู้หนี้ยืมสิของผู้อื่นมาเลี้ยงชีวิต ไอ้ครั้นจะคิดทำมาหากินก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรเพราะไร้วิชา กู้มามากๆ เข้าเจ้าหนี้เขาก็เข้ามาทวง เมื่อไม่มีทรัพย์จะใช้หนี้ บุตรเศรษฐีและภรรยาจึงต้องยกบ้านและสมบัติที่มีให้แก่เจ้าหนี้ทั้งปวงที่มาทวง แล้วตนกับภรรยาจึงชวนกันไปอาศัยนอนตามโรงทานหรือศาลาพักร้อนริมทาง ทั้งสองต้องซัดเซพเนจรรอนแรมเที่ยวขอทานเพื่อเลี้ยงชีวิตไปวันๆ ต้องรับความลำบาก ทุกยากเหลือแสน เหตุเพราะขออาหารจากใครๆ ก็มิอยากจะให้ ด้วยเป็นเพราะตอนที่ร่ำรวยก็ชอบที่จะดูถูกเหยียดหยามแก่คนที่ต่ำกว่า ครั้งเมื่อถึงเวลาตนตกต่ำแร้นแค้น เลยมีแต่คนจ้องดูแคลนมิให้อาหาร

    ขณะนั้นมีโจรกลุ่มหนึ่ง เดินทางผ่านมาเห็นเข้า จึงกล่าวแก่บุตรเศรษฐีขึ้นว่า เจ้ายังหนุ่มยังมีกำลังแข็งแรง เหตุใดจึงทำตัวเหมือนคนพิการขาดมือ ขาดเท้า เที่ยวขอทาน มาเถิดสหาย จงมาร่วมกับพวกเราเที่ยวลักขโมย ปล้นสดมภ์ ฉกชิงทรัพย์ของผู้คนทั้งหลายกันเถิด จะได้ทรัพย์มาพอเลี้ยงชีพได้ เจ้ามัวแต่เที่ยวขอทานอยู่เช่นนี้ คงมิอาจได้อาหารพอเลี้ยงชีพหรอก

    บุตรเศรษฐี จึงกล่าวว่า พี่ชายข้าพเจ้าไม่รู้จักวิธีลักขดมย ข้าพเจ้าคงจะทำมิได้

    พวกโจรจึงกล่าวว่า สหายไม่เป็นไรหรอก เรื่องวิธีลักขโมยปล้นสดมภ์น่ะ เดี๋ยวพวกเราจะช่วยสอนให้ ขอให้สหายและภรรยาจงตามไปอยู่กับเรา แล้วทำตามเราสอนก็แล้วกัน

    เมื่อบุตรเศรษฐีและภรรยา ตามพวกโจรไปแล้ว ต่อมาโจรก็พากันออกชิงทรัพย์ในบ้านหลังหนึ่ง พร้อมทั้งมอบไม้กระบอง ให้แก่บุตรเศรษฐีแล้วกล่าวว่า

    สหาย เมื่อพวกเราเจาะฝาเรือนเข้าไปในบ้าน เจ้าจงยืนดักรออยู่ ณ ประตูเรือน ถ้ามีเจ้าของเรือนวิ่งออกมาทางประตู เจ้าจงตีด้วยไม้ตะบองนี้ให้ตาย จะได้ไม่ไปแจ้งแก่พระราชาว่าพวกเรามาปล้นเอาทรัพย์ไป บุตรเศรษฐีผู้นี้เป็นคนขาดปัญญา ไม่รู้ว่าทำสิ่งใดมีสาระ หรือไม่มีสาระ จึงทำตามคำสอนของพวกโจร ยืนถือไม้ตะบองคุมเชิงอยู่ที่ปากประตูเรือนเช่นนั้น

    พวกโจรเมื่อเข้าไปในเรือนได้แล้ว จึงเก็บขนข้าวของทรัพย์สมบัติ ใส่ถุงแบกหนีออกไปทางช่องฝาเรือน

    ขณะนั้นเจ้าของเรือน พอทราบว่าโจรเข้ามาขโมยทรัพย์ ก็พากันตื่นกลัว เอะอะโวยวาย หนีออกมาทางประตูบ้าน

    บุตรชายเศรษฐีผู้ริเป็นโจร ก็ใช้ไม้ทุบตีเจ้าของบ้าน แต่เนื่องจากเจ้าของทรัพย์ภายในเรือนมีหลายคน โจรมือใหม่จึงสู้แรงไม่ได้ จึงถูกจับประชาทัณฑ์พร้อมกับนำตัวไปถวายพระราชา ฟ้องว่าเป็นโจรมาปล้นทรัพย์ในเรือน

    พระราชาครั้นเมื่อไต่สวนเป็นที่ทราบแน่ชัดแล้ว จึงทรงลงพระอาญา ด้วยการมีรับสั่งให้อำมาตย์ นำบุตรเศรษฐีผูกเครื่องจองจำ แล้วให้สวมคอด้วยพวกมาลัยดอกไม้แดง ทาศรีษะด้วยขี้อูฐ พร้อมทั้งนำตระเวนตีกลองร้องป่าวประจานไปทั่วเขตพระนคร เมื่อถึงเขตประหารที่นอกเมืองให้ตัดหัวเสียบประจาน

    ขณะที่ขุนทหาร นำลูกเศรษฐีผู้บัดนี้กลายเป็นโจร ถูกเครื่องพันธนาการร้อยรัดกาย ถูกบรรดาทหารเฆี่ยนตีด้วยแส้และหวาย ผ่านมากลางเขตบ้าน ผู้คนชนทั้งปวงก็พากันออกมามุงดู ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่อึงมี่

    ครานั้นมีหญิงงามเมือง (โสเภณี) ผู้หนึ่ง มีนามว่า สุลสา นางได้ยินเสียงหมู่ชนก่นด่าวิพากษ์วิจารณ์อยู่เซ็งแซ่ นางจึงชโงกหน้าออกมาดูจากบานหน้าต่างของปราสาทที่นางและมารดาพร้อมบริวารอาศัยอยู่ นางได้แลเห็นบุตรเศรษฐีถูกเฆี่ยนตีประชาทัณฑ์เช่นนั้น ก็เกิดใจเมตตาการุญ ด้วยเหตุว่าเคยรู้จักคุ้นเคยกันมาแต่กาลก่อน

    นางจึงได้นำขนมสด ๔ ก้อน พร้อมกับน้ำดื่มไปให้แก่บุตรเศรษฐี พร้อมทั้งยังช่วยขอร้องต่อขุนทหารผู้ควบคุมว่า

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอได้โปรดกรุณาให้เวลาบุรุษผู้ควรรับโทษานุโทษนี้ ได้มีโอกาสหยุดพัก ได้กินขนมสดและดื่มน้ำเสียก่อนเถิด ไหนๆ เขาก็จะมิได้มีโอกาสได้ดื่มกินอีกต่อไปแล้ว ผู้คุมจึงอนุญาต

    เวลานั้น พระโมคคัลลานะเถระเจ้า แลเห็นด้วยทิพยจักษุว่า บุตรเศรษฐีผู้นี้จักมาตายเสียวันนี้ เขายังมิได้เคยทำบุญบำเพ็ญกุศลสิ่งใดมาเลยตั้งแต่เกิด มีแต่ทำบาปอกุศล เมื่อตายไปจักไปบังเกิดในนรก ตกอบายภูมิ พระมหาเถระจึงมีใจกรุณา คิดว่าถ้าเราไปอยู่ ณ ที่ตรงนั้นบุตรเศรษฐีผู้นี้ จะได้ถวายขนมสดและน้ำดื่มแก่เรา เมื่อเรารับทานของเขาแล้ว เมื่อถึงคราวที่เขาตายจักได้ไปบังเกิดเป็นรุกขเทวดา ดีหละ...เราจะไปเป็นที่พึ่งแก่เขา

    ขณะที่นางสุลสา นำเอาขนมสดและน้ำ มอบให้แก่นักโทษ ผู้กำลังจะโดนประหาร พระมหาโมคคัลลานะจึงเนรมิตกายให้ปรากฏเฉพาะหน้าของนักโทษนั้น

    บุตรเศรษฐีผู้เป็นนักโทษประหาร เมื่อได้เห็นพระมหาเถระซึ่งเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ ก็มีจิตเลื่อมใสยินดี จึงอังคาส (ถวายพระ) ขนมสดและน้ำดื่มแก่พระเถระ ด้วยจิตคิดว่าชีวิตเรากำลังจะมอดม้วย เราจะยังมาต้องการประโยชน์อันใดกับอาหารมื้อนี้ เราจะทำให้ขนมสดและน้ำดื่มนี้มีกินไปจนถึงโลกหน้าจะดีกว่า คิดดังนั้นแล้วบุตรเศรษฐีผู้เป็นนักโทษประหาร ก็ถวายขนมและน้ำนั้นแก่พระเถระ

    พระมหาเถระเมื่อได้รับขนมและน้ำนั้นแล้ว จึงลงนั้นในที่นั้นเพื่อดื่มและฉันให้บุตรเศรษฐีได้เห็น

    บุตรเศรษฐี ได้เห็นเช่นนั้น ยิ่งบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้น ผู้คุมจึงพาเดินทางไปสู่ที่ประหาร ขณะที่บุตรเศรษฐีบังเกิดปีติอิ่มเอิบในผลบุญของตนที่ได้กระทำมา จวบจนกระทั่งผู้คุมพาตัวมายังที่ประหาร และลงดาบตัดคอเขา จิตของเขาก็ยังดื่มด่ำเอิบอาบอยู่ในผลบุญที่ตนได้กระทำ

    ด้วยเดชแห่งบุญที่บุตรเศรษฐีได้กระทำก่อนตาย หลังจากตายลงแล้ว พลันได้อุบัติเป็นรุกขเทวดา สถิตอยู่ ณ ต้นไทรใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ระหว่างซองเขาแห่งหนึ่งนอกกรุงราชคฤห์

    ที่จริงบุตรเศรษฐี ควรจะมีวาสนาบังเกิดเป็นเทพยดาชั้นสูง เหตุเพราะได้มีโอกาสทำบุญแก่พระมหาโมคคัลลานะเถระ ผู้รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ แต่ด้วยจิตก่อนตายได้หวนระลึกนึกรัก นางสุลสา ว่าของที่เราได้มาแล้วมีโอกาสทำบุญถวายทานแก่พระเถระ เพราะจิตใจที่มากด้วยเมตตาของนาง นางช่างมีจิตใจที่ดีงามเสียเหลือเกิน ตัวเราช่างมีวาสนาน้อย มิได้มีโอกาสอยู่ทำการอุปการะตอบแทนบุญคุณต่อนาง ด้วยความคิดเหล่านี้จึงทำให้จิตของบุตรเศรษฐีนั้น เศร้าหมองลง จึงได้ไปบังเกิดเป็นแค่รุกขเทวดา ถือว่าเป็นภุมเทวดาชั้นต่ำ

    ถ้าบุตรเศรษฐีนั้น จักขวนขวายดำรงวงศ์ตระกูลในเวลาเจริญวัย ก็จะได้เป็นเศรษฐีปานกลางดำรงวงศ์ตระกูลในเวลาเจริญวัย ก็จะได้เป็นเศรษฐีปานกลาง ถ้าขยันประกอบการงานในปัจฉิมวัย ก็จะได้มีโอกาสเป็นเศรษฐีน้อย แต่ถ้าบวชในปฐมวัย ก็จักได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าบวชในมัชฉิมวัยจักได้บรรลุพระสกทาคามี หรือไม่ก็เป็นพระอนาคมี แต่ถ้าบวชในปัจฉิมวัยจักได้บรรลุพระโสดาบัน แต่เพราะเขาคบคนพาล จึงกลายเป็นนักเลงผู้หญิง นักเลงสุรา นักเลงการพนัน ชอบประพฤติทุจริตผิดศีลเสมอ ไม่เคารพผู้ใหญ่จนเป็นเหตุให้ทรัพย์ทั้งหลายพินาศเสียหายจนสิ้น แม้แต่ชีวิตก็ไม่เหลือ
    กาลต่อมา นางสุลสา ได้มีโอกาสไปเที่ยวเล่นนอกเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งภูเขา อันต้นไทรใหญ่ขึ้นอยู่ และ ณ ต้นไทรนั้น ยังเป็นที่สถิตของรุกขเทวดาบุตรเศรษฐี รุกขเทวดานั้นเมื่อได้เห็นนางสุลสาจึงจำได้บังเกิดความพึงพอใจต่อนาง จึงบันดาลให้มืดไปทั้งบริเวณรอบภูเขาทั่วภาคพื้น แล้วรุกขเทวดานั้นได้นำนางสุลสาไปสู่ยังวิมานอันเป็นที่อยู่ของตนบนต้นไทรใหญ่นั้น แล้วเล่าเรื่องแต่หนหลังให้นางสุลสาได้ทราบ มนุษย์และเทวดาทั้งสองนั้นจึงอยู่ร่วมกันสิ้นเวลาตลอด ๗ วัน

    กล่าวฝ่ายมารดาของนางสุลสา เมื่อเห็นว่าบุตรีของตนหายไปจึงออกตามหาไปในที่ต่างๆ ด้วยความอาลัยรักในบุตรีของตนจนสิ้นเวลาไป ๗ วัน ก็ยังมิอาจได้พบบุตรีของตนได้ จึงนั่งลงร้องไห้อยู่ข้างทางที่ผู้คนสัญจรไปมา

    คนทั้งหลายจึงพากันเข้าไปสอบถาม พอรู้ความก็บังเกิดความสงสาร แต่ก็สุดปัญญาที่จะช่วยนางผู้เฒ่านั้นได้ จวบจนเวลาล่วงเลยไปมีชายผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาเห็นเข้า จึงชักชวนยายผู้เฒ่าให้เข้าไปเฝ้าถวายอภิวาท พระมหาโมคคัลลานะเถระ ณ เวฬุวนาราม เพื่อขอให้พระเถระผู้มากไปด้วยฤทธิ์พิจารณาช่วยเหลือ

    ครั้นพระมหาเถระโมคคัลลานะ ได้ทราบจึงกล่าวแก่มารดาของนางสุลสาว่า นับแต่นี้ไปอีก ๗ วัน พระบรมสุคตเจ้า จักทรงแสดงธรรมที่เวฬุวันมหาวิหาร ขออุบาสิกาจงเดินทางมาสดับพระสัทธรรมนั้น แล้วอุบาสิกาจะได้เห็นนางสุลสาบุตรีปรากฏตัวอยู่นอกที่ประชุมนั้น

    กาลต่อมานางสุลสา จึงได้กล่าวแก่รุกขเทวดานั้นว่า นับแต่ข้าพเจ้ามาอยู่ในวิมานของท่าน ก็สิ้นเวลาไป ๗ วันแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นห่วงมารดาของข้าพเจ้า ถ้ามารดาออกตามหา คงจะต้องได้รับความยากลำบากทุกข์มากเป็นแน่ ขอท่านจงนำข้าพเจ้ากลับไปส่งแก่มารดาเถิด

    รุกขเทวดานั้นจึงได้นำนางสุลสาไปส่งให้แก่มารดา ในขณะที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ให้นางสุลสายืนอยู่นอกที่ประชุมพร้อมรุกขเทวดา แต่มิมีใครมองเห็นรุกขเทวดา เห็นแต่นางสุลสา

    ชนทั้งหลาย เมื่อเห็นนางสุลสามาปรากฎยืนอยู่ จึงพากันซักถามนางว่าเจ้าไปไหนมา มารดาของเจ้ากำลังเศร้าโศกทุกข์ร้อน ดูคล้ายจะเป็นบ้า ทำไมเจ้าถึงทำเหตุฉิบหายให้เกิดแก่ตนเช่นนี้

    นางสุลสา จึงเล่าให้แก่ชนทั้งหลายได้ฟังว่า ไปอยู่กับรุกขเทวดาบุตรเศรษฐี

    ชนทั้งหลายพอได้ฟัง ต่างก็พากันส่ายหน้า แสดงอาการกิริยาไม่เชื่อแล้วกล่าวว่าไม่จริงหรอก เจ้ากำลังพูดโกหก บุตรเศรษฐีนั้นเป็นผู้มีความประพฤติเลวร้าย ชั่วช้าลามก มีบุญอันใดที่จะทำให้ไปบังเกิดเป็นรุกขเทวดา

    นางสุลสา จึงได้กล่าวขึ้นว่า บุตรชายเศรษฐีแม้จะทำทุจริตทั้งทางกาย วาจา ใจ แต่ก่อนตาย เมื่อข้าพเจ้านำขนมสดและน้ำดื่มไปให้เขากินก่อนตาย เขากลับไม่กิน แต่มีศรัทธาบริจาคขนมสดและน้ำดื่มนั้นถวายแก่พระเป็นเจ้ามหาโมคคัลลานะผู้เรืองฤทธิ์ ด้วยกุศลกรรมดังกล่าวจึงทำให้เขาไปบังเกิดเป็นรุกขเทวดา

    ชนทั้งหลาย พอได้ฟังนางสุลสาเล่า ต่างก็พากันเปล่งสาธุพร้อมกับเกิดความเลื่อมใส อัศจรรย์ใจ ปีติโสมนัสเป็นที่ยิ่งนัก แล้วพากันกล่าวจนเกิดโกลาหลว่า โอ้! ช่างอัศจรรย์จริงหนอ... พระสมณะศากยบุตรช่างมีคุณอันวิเศษจริงหนอ... พระอรหันต์ของพระผู้มีพระภาค ช่างเป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลกจริงหนอ แม้แต่คนทุจริตเข็ญใจ น้อมถวายเครื่องสักการบูชาเพียงเล็กน้อย ก็ยังเป็นผลส่งให้ไปบังเกิดเป็นเทวดา ประเสริฐจริงหนอๆ... สาธุ... สาธุ...

    ภิกษุทั้งหลาย ครั้นได้สดับเสียงของมหาชนเป็นโกลาหลอยู่นอกที่ประชุมเช่นนั้น จึงนำความที่ได้สดับเอาไปกราบทูลถามแต่พระบรมสุคตเจ้า

    องค์สมเด็จพระบรมสุคตเจ้า จึงได้มีพุทธฏีกาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่บุคคลมาถวายทานแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย ถือว่าประเสริฐแล้ว พระอรหันต์เปรียบประดุจดังเนื้อนา ผู้ถวายทานทั้งหลายประดุจดังชาวนา สิ่งของที่ควรถวายทั้งปวงเปรียบประดุจดังพันธุ์พืชที่จะปลูกลงบนเนื้อนา

    เมื่อชาวนา ปลูกพืชพันธุ์ดีลงบนเนื้อนาที่ดี พร้อมทั้งดูแลรักษาอย่างดี (หมายถึงมีศรัทธา) ย่อมเป็นที่มุ่งหวังได้ว่า พันธุ์พืชนั้นๆ ย่อมเจริญเติบโตดี ผลก็ย่อมออกมาดี

    ผลของพืชนั้น (หมายถึงบุญที่ได้) ย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้ให้ ผู้ถวาย ผู้บริจาค ผู้อุทิศ (ผู้ปลูกหรือชาวนา) และยังเป็นประโยชน์แก่เปรตทั้งหลาย แก่หมู่ญาติทั้งหลายผู้ล่วงลับไปแล้ว เมื่อผู้ให้ทาน ผู้ถวาย หรือชาวนาผู้ปลูกพืชนั้น ทำการอุทิศ บุญจึงมีแก่ผู้ให้ ผู้ถวาย ผู้อุทิศ หรือชาวนาผู้ปลูกพืชแล้วแบ่งปันแก่เปรตและญาติทั้งหลาย ผู้ให้ ผู้ถวายนั้นย่อมรุ่งเรืองเจริญ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ส่วนเปรตผู้ได้รับผลบุญนั้นแล้ว ย่อมพ้นจากสภาพความเป็นเปรตด้วย การยินดีในบุญที่ญาติอุทิศให้ ตัวอย่างเช่น เปรตผู้เป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นต้น ดังเรื่องที่มีมาแล้วความว่า

    ครั้งเมื่อพระราชาพิมพิสาร และบริวารได้ทรงสดับพระสัทธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโปรดจนบรรลุเป็นพระโสดาปัตติผลพร้อมหมู่ชนและบริวารเป็นอันมาก

    องค์ราชาพิมพิสาร ทรงมีจิตศรัทธา ทรงถวายอุทยานเวฬุวันพร้อมสร้างเป็นวัด เพื่อให้พระผู้มีพระภาค และภิกษุสงฆ์สาวก ได้อาศัยเจริญสมณะธรรม กาลต่อมา คืนวันหนึ่ง องค์ราชาพิมพิสารขณะที่ทรงกำลังบรรทม พลันทรงได้ยินเสียงร้องโหยหวนอันน่ากลัวปรากฎขึ้นภายในพระราชวัง

    เช้าขึ้นพระราชาพิมพิสาร จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วทรงกราบทูลถามถึงที่มาของเสียง ว่าเป็นเสียงอะไร ทำไมถึงได้โหยหวนน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้น

    องค์สมเด็จพระบรมสุคตเจ้า จึงทรงมีพุทธฏีกาตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตรทรงอย่าได้หวาดกลัวไปเลย เสียงที่ทรงได้ยินนั้นจะไม่เป็นผลร้ายอันใดแก่พระองค์เลย แล้วทรงเล่าเหตุที่มาของเสียงเหล่านั้นให้แก่พระราชาพิมพิสารได้ทรงสดับ ความว่า

    อดีตกาลนั้นย้อนหลังจากนี้ไป ๙๒ กัป พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้รับทูลอาราธนาจากพระราชาผู้ครองนครราชคฤห์ในอดีต ให้เสด็จประทับอยู่ในพระราชอุทยานพร้อมภิกษุสงฆ์บริวารอีก ๕๐๐ รูป เพื่อที่จะถวายภัตตาหาร เหตุการณ์ได้ดำเนินอยู่เช่นนี้เป็นเวลาหลายวัน จวบจนพระราชบุตรทั้ง ๓ ขององค์ราชา ได้ทูลขออนุญาตแก่พระบิดา เพื่อที่จะมีโอกาสถวายทานแก่พระปุสสะพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ ด้วยพระองค์เองบ้าง

    ราชาราชคฤห์ จึงทรงอนุญาตให้พระราชบุตรทั้ง ๓ ทำการถวายทานแก่พระปุสสะพระพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ทั้งหลายได้

    พระราชบุตรทั้ง ๓ จึงได้ไปชวนขุนคลัง (ซึ่งก็คือพระราชาพิมพิสารในชาติปัจจุบัน) ให้มารวมจัดหาอาหารทั้งคาวและหวาน ขุนคลังพอได้รับหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าจัดหาอาหารเลี้ยงพระ จึงชักชวนบรรดาญาติๆ ของตน ให้มาช่วยทำอาหารเลี้ยงพระ ต่างฝ่ายต่างก็ช่วยกันเป็นที่โกลาหล ขยันขันแข็ง ใหม่ๆ ตอนช่วงแรกๆ บรรดาญาติ ของขุนคลัง ก็ยังปฏิบัติตนดีอยู่ แต่พอเวลาล่วงเลยไป ชักเกิดความประมาท แอบบริโภคอาหารก่อนพระภิกษุสงฆ์เสียบ้าง แอบขโมยอาหารที่เขาทำไว้เพื่อถวายแก่พระพุทธเจ้า และหมู่สงฆ์ไปเลี้ยงลูกเมียและญาติของตนเสียบ้าง บรรดาญาติๆ ของขุนคลังแอบทำผิดอยู่เช่นนี้เป็นนิตย์ ด้วยความละโมบ
    กาลต่อมา พระราชบุตรทั้ง ๓ และขุนคลัง กับบรรดาญาติบริวารตายลง

    พระราชบุตรทั้ง ๓ และขุนคลัง ตายแล้วได้ไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ มีวิมานอันเรืองรองและโภคทรัพย์อันประณีตเลิศรสมากมายเป็นเครื่องอยู่ ส่วนบรรดาญาติๆ และบริวารของขุนคลัง ที่แอบขโมยอาหารของพระภิกษุสงฆ์ ต้องไปบังเกิดในขุมนรกสิ้นกาลช้างนาน ครั้นพ้นจากนรกนั้นแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดเป็นเปรต จำพวก ปรทัตตูปชีวี คือเปรตจำพวกมีผลบุญของญาติเป็นอาหาร

    ปรทัตตูปชีวีเปรต เป็นเปรตที่มีเศษอกุศลอันเบาบาง จึงมีจิตอันระงับทุกข์โศกได้บางขณะ จึงมีโอกาสรับรู้บุญที่หมู่ญาติอุทิศให้ เมื่อรับรู้แล้วอนุโมทนาผลบุญนั้นๆ ความอดอยาก ยากแค้น ก็จะบรรเทาเบาบาง หรือหายไปสิ้น ด้วยเดชบุญของญาติ

    แต่ถ้ายังมิได้มีญาติระลึกถึง ไม่อุทิศผลบุญให้ เปรตจำพวกนี้ ก็จะซัดเซพเนจร เร่ร่อน แสวงหาผลบุญจากหมู่ญาติคนต่อๆ ไป ถ้ายังมิได้ก็จะเวียนกลับมา รอใหม่ วนเวียนอยู่ใกล้ๆ หมู่ญาติ ด้วยความหวังว่า

    “เมื่อใด ญาติของเรา ทำบุญกุศลแล้ว เขาคงอุทิศให้แก่เราบ้าง” แต่เมื่อญาติทำบุญแล้วมิได้อุทิศผลบุญให้ หมู่เปรตพวกนี้ ก็จะเดินวนเวียนไปมา ด้วยความผิดหวัง หิวกระหาย ทุรนทุราย บางทีถึงกับเป็นลมล้มลงหมดสติไป ครั้นพอมีลมพัดมากระทบกาย ก็ฟื้นคืนสติมาได้แล้วคิดปลอบใจตนเองว่า

    “วันนี้ญาติเราระลึกไม่ได้ว่ามีเรา คราวต่อไปเขาคงจะระลึกได้”

    เมื่อทำบุญกุศล เขาคงจะอุทิศผลบุญให้เรา ในคราวหน้า และแล้วเปรตนั้น ก็ทนอดอยาก หิวกระหายต่อไป ด้วยความหวังว่า สักวันเราจะได้อาหารจากหมู่ญาติที่ระลึกถึง

    ปรทัตตูปชีวีเปรต ผู้เป็นญาติของพระราชาพิมพิสาร ได้รอคอยผลบุญของพระราชาพิมพิสาร ด้วยความอดอยาก หิวกระหาย จนกาลเวลาล่วงเลยมาจนถึง พระพุทธเจ้ากกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า หมู่ชนผู้คนทั้งหลายพอได้ฟังพระสัทธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ก็บังเกิดปีติโสมนัสยินดี มีศรัทธาที่จะบริจาคทานถวายปัจจัย ๔ แก่หมู่สงฆ์ ซึ่งมีพระกกุสันโธพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วแบ่งผลบุญอุทิศให้แก่หมู่ญาติของตนที่ล่วงลับไปแล้ว

    ฝูงเปรตปรทัตตูปชีวี บางพวกที่ได้รับผลบุญของญาติ ก็แสดงความชื่นชมโสมนัสยินดี ดุจดังบุรุษสตรีผู้เดินทางมากลางทะเลทราย อดอยากและกระหายน้ำเป็นกำลัง ครั้นเดินมาเจอแหล่งน้ำและอาหารก็ลิงโลดยินดีเปล่งสาธุการ ฝูงเปรตเหล่านั้นก็ยกมือประนมเหนือเศียรเกล้า กล่าวสาธุรับผลบุญของญาติที่อุทิศส่งให้ แล้วได้พ้นจากอัตภาพของเปรตชนิดนั้นไปบังเกิดตามแต่บุพกรรมของตนๆ แสนสาหัสจึงชวนกันไปเฝ้า พระพุทธเจ้ากกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทูลถามขึ้นว่า

    “หมู่ญาติ ของพวกข้าพระบาท จักระลึกถึงและอุทิศผลบุญให้พวกข้าพระบาทพ้นจากอัตภาพเปรตนี้เมื่อใดพระเจ้าข้า”

    สมเด็จพระบรมศาสดา กกุสันโธพุทธเจ้า จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

    ดูก่อนผู้จมทุกข์ แม้สิ้นกาลในศาสนาของเรา ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นอัตภาพของเปรต จวบจนเราตถาคตนิพพานไปแล้วสิ้นเวลานานจนแผ่นดินสูงขึ้นได้ ๑ โยชน์ ปรากฏพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โกนาคมนะพุทธเจ้า พวกท่านทั้งหลายจงไปถามพระพุทธโกนาคมนะ พระองค์นั้นเถิด

    จำเนียรกาลหลังจากสูญสิ้นศาสนา ของพระกกุสันโธพุทธเจ้าแล้ว กาลล่วงเลยมานับเป็นเวลาพุทธันดรหนึ่ง (เวลาระหว่างพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งกับอีกพระองค์หนึ่งบังเกิดขึ้น) ลุถึงศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกนาคมนะ หมู่เปรตเหล่านั้นก็เข้าไปทูลถาม องค์สมเด็จพระโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงมีพุทธฎีกาตรัสว่า

    “แม้สิ้นศาสนาของเรา ท่านทั้งหลาย ก็ยังมิได้พ้นจากอัตภาพเปรตจวบจนแผ่นดินสูงขึ้นอีก ๑ โยชน์ จักปรากฏพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปพุทธเจ้า ขอท่านทั้งหลายจงรอทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเทอญ”

    หมู่เปรตญาติพระราชาพิมพิสาร ก็อดทนอดกลั้นความหิวกระหาย ทุกข์ทรมานต่อไปจนลุถึงสมัยที่พระมหามุนีศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่ากัสสปพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น หมู่เปรตเหล่านั้นก็พากันเข้าไปทูลถามพระพุทธองค์ จึงทรงมีพระดำรัสตรัสว่า

    “แม้ในศาสนาของเรานี้ ท่านทั้งหลายก็ยังจะไม่พ้นอัตภาพของเปรต จนกว่าเราตถาคตนิพพานไปแล้ว รอเวลาจนแผ่นดินสูงขึ้นมีประมาณ ๑ โยชน์ จักมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดมมาตรัสรู้ ในกาลนั้นจะมีขัตติยราช ทรงนามว่าพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นญาติของพวกท่านทั้งหลาย ได้สดับพระสัทธรรมจนมีดวงตาเห็นธรรมมีจิตโสมนัสเลื่อมใส สร้างวัดเวฬุวันถวาย รุ่งขึ้นจะถวายทานอันมีปัจจัย ๔ เป็นต้น

    “องค์สมเด็จพระบรมศาสดาศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า จักนำพาญาติของเธออุทิศผลบุญให้แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายเมื่อได้รับผลแห่งทานครั้งนั้นแล้ว ก็จักพ้นจากความทุกข์เดือดร้อน เปรตวิสัยก็จะอันตรธานหายไปจากตัวเธอทั้งหลายในกาลนั้น”

    เมื่อองค์สมเด็จพระจอมมุนีกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระดำรัสตรัสดังนี้แล้ว หมู่เปรตทั้งหลายนั้นก็พากันยินดี ต่างฝ่ายต่างละล่ำละลัก กล่าวว่า ข่าวดีแล้ว ข่าวมงคลแล้ว ชาวเราเอย อัตภาพนี้จักสิ้นสุดแก่พวกเราอีกไม่ช้าแล้ว ความหิวกระหายทุกข์ยากเดือดร้อนจักได้รับการผ่อนคลาย ชำระให้หายด้วยผลบุญของพระราชาพิมพิสารผู้เป็นญาติของเรา แม้จะต้องทนรอไปอีกจนสิ้นเวลาพุทธันดร ก็ยังดีกว่าที่ชาวเราจะรอโดยไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด ความหวังเรามีแล้ว แสงสว่างจะปรากฏแล้ว ข่าวนี้ช่างเป็นมงคลนัก ข่าวนี้ช่างเป็นมงคลนัก

    หมู่เปรตเหล่านั้นต่างพากันแสดงกิริยาลิงโลดยินดี ในข่าวที่ได้รับรู้ด้วยเดชแห่งข่าวดีมีหวังนี้ สามารถทำให้ความหิวกระหาย ความทุกข์เดือดร้อนที่ปรากฏอยู่อย่างมิรู้เวลาจบสิ้น พอได้ฟังข่าวดีความทุกข์เดือดร้อนเหล่านั้น พลันได้ผ่อนคลายลงไป ช่างเป็นเวลาที่น่ายินดีของหมู่เปรต

    ครั้นกาลเวลาเนิ่นนานมา จนสิ้นสุดศาสนาของพระมหามุนีกัสสปะพุทธเจ้า วันคืนผันผ่านไปนานแสนนาน จนแผ่นดินสูงขึ้นอีก ๑ โยชน์ จนมาถึงกาลศาสนาของเราสมณโคดม ญาติของหมู่เปรตเหล่านั้นก็ได้บังเกิดมาเป็น องค์มหาบพิตรพิมพิสารราชา เมื่อพระองค์ทรงถวายอุทยานแล้วสร้างอารามเวฬุวันถวายแก่ตถาคตและหมู่สงฆ์ แต่มิได้อุทิศผลบุญนั้นให้แก่หมู่ญาติเปรตผู้ได้รับความทุกข์ยากลำบากมาช้านาน เปรตเหล่านั้นจึงมาส่งเสียงร้องเพื่อขอส่วนบุญ

    เมื่อองค์ราชาพิมพิสาร ทรงสดับพุทธฎีกาดังนั้น จึงทรงทูลถามว่าข้าพระองค์จักถวายทานในวันรุ่งขึ้น แล้วแบ่งบุญให้แก่หมู่เปรตเหล่านั้นจักได้รับส่วนบุญหรือไม่พระเจ้าข้า

    พระบรมศาสดาทรงตรัสตอบว่า “ได้ซิมหาบพิตร”

    พระราชาพิมพิสาร จึงทูลอาราธนาพระบรมศาสดาให้เสด็จพร้อมหมู่สงฆ์ เข้าไปรับทานในพระราชวังในวันรุ่งขึ้นแล้วจึงเสด็จกลับ

    พอถึงเวลารุ่งเช้า องค์สมเด็จพระบรมสุคตเจ้าพร้อมหมู่สงฆ์ จึงเสด็จไปยังพระราชฐาน ของพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อรับมหาทาน

    องค์ราชาพิมพิสาร พร้อมบริวาร ได้ทรงให้การถวายสักการะต้อนรับพระผู้มีพระภาคและสงฆ์บริษัทเป็นอย่างดียิ่ง ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาทรงถวายฐานียะโภชนาหารอันประณีต แต่ละอย่างล้วนเลิศรส ทั้งคาวและหวาน

    เมื่อพระผู้มีพระภาคและหมู่สงฆ์ ทรงทำภัตรกิจเสร็จแล้ว ทรงแนะให้พระราชาพิมพิสาร ทรงหลั่งน้ำอุทิศผลบุญแก่หมู่เปรตด้วยคำว่า

    “อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหตุ ญาตะโย”
    ขอผลบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า
    ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงเป็นสุข เป็นสุข เถิด

    ครานั้นพระบรมสุคตเจ้า ได้ทรงเนรมิต ให้องค์ราชาพิมพิสารและบริวารได้เห็นเปรตทั้งหลาย ว่าเมื่อได้รับผลบุญจากญาติอุทิศให้แล้ว มีสภาพเช่นไร

    เมื่อพระราชาพิมพิสาร ทรงหลั่งน้ำ ขณะนั้นสระโบกขรณีอันประกอบด้วยดอกปทุม ก็บังเกิดแก่บรรดาเปรตเหล่านั้น ให้ได้ดื่มกิน อาบชำระล้างร่างกาย บรรเทาความกระหาย หมดความกระวนกระวายลงไปด้วยพลัน อีกทั้งยังมีผิวพรรณเหลืองอร่ามดุจทองเนื้องามดูแล้วเจริญตา ร่างกายที่พิกลพิการก็กลับคืนดังคนปกติที่งามสง่า
    อีกทั้งยังได้รับความซึมซาบ จากอาหารทั้งคาวและหวานที่เป็นทิพย์ทำให้ร่างกายที่ผอมแคระแกร็น ก็กลับกลายมีน้ำมีนวลอ้วนพี มีความสุข อิ่มเอิบ ที่ได้รับซึมซาบจากรส
    ฝูงเปรตเหล่านั้น แม้จะมีสภาพร่างกายที่ผ่องใสเป็นสุข แต่ก็ยังมิได้มีผ้านุ่งผ้าห่ม องค์ราชาพิมพิสาร จึงได้ทูลถามพระบรมสุคตเจ้าว่าจะทำประการใด

    องค์สมเด็จพระบรมสุคตเจ้า จึงทรงมีพุทธฎีกาตรัสว่า ให้ถวายผ้าสบงจีวร และผ้านิสีทนะ แก่พระภิกษุสงฆ์

    พระราชาพิมพิสาร มีรับสั่งให้บริวาร จัดหาผ้านุ่ง ผ้าห่ม ผ้ารองนั่งนำมาถวายแก่ภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วทรงอุทิศผลบุญนั้นให้แก่บรรดาหมู่เปรตทั้งหลาย

    ผลบุญอันนั้น ทำให้บังเกิดเครื่องนุ่งห่ม ที่นอน ที่นั่งอันเป็นทิพย์พร้อมวิมานที่ปรากฎบนอากาศแก่เปรตเหล่านั้น

    เปรตเหล่านั้น เมื่อได้รับผลบุญของญาติ แล้วจึงเปล่งสาธุการ พากันเข้าไปอยู่ยังวิมานที่ปรากฏอยู่บนอากาศ

    พระราชาพิมพิสาร ครั้นได้เห็นอานิสงส์ในการให้ทาน และอุทิศผลบุญแก่บรรดาหมู่เปรตที่เป็นญาติ ทำให้ผู้จมทุกข์มีความสุขเห็นปานนี้ทรงมีความรื่นเริงยินดี เลื่อมใสศรัทธาในการทำทานมากยิ่งขึ้น จึงทรงทูลอาราธนาพระบรมศาสดาและภิกษุสงฆ์ มารับทานต่ออีก ๗ วัน

    พระบรมศาสดาพร้อมหมู่สงฆ์ เมื่อได้ทรงฉลองศรัทธา แก่องค์ราชาพิมพิสารสิ้นเวลา ๗ วันแล้ว จึงทรงกล่าวอนุโมทนาคาถาว่า

    “การทำบุญ เพื่ออุทิศผลบุญแก่เปรตนั้น ชื่อว่าเป็นการบูชาญาติอย่างยิ่ง”

    พวกเปรตเมื่อได้รับผลบุญแล้ว ย่อมพ้นจากอัตภาพของเปรตในทันที

    สรุป

    มหาธนะศาลและภรรยา แม้จะมีทรัพย์มาก แต่ขาดปัญญา เลี้ยงบุตรด้วยความหลง มิได้ให้แม้การศึกษาปัญญาแก่บุตร และในที่สุดบุตรก็มิอาจดำรงวงศ์สกุลเอาไว้ได้ แม้แต่บ้านก็รักษาเอาไว้มิได้ เหตุเพราะพ่อแม่รังแกบุตร

    บุตรเศรษฐี เป็นผู้มัวเมาประมาทขาดสติ หลงระเริงอยู่ในกามคุณ มัวเมาอยู่ในวัย จมปรักอยู่ในทจริตทั้งกาย วาจา ใจ จนต้องทำร้ายตนและคนรอบข้าง แม้แต่ภรรยาสุดที่รัก ก็ต้องตกไปเป็นทาสของโจร ถึงแม้จะยังพอมีวาสนาให้ได้ถวายทานแก่พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าก่อนตาย แต่ด้วยใจที่หมกมุ่นจมปรัก จึงไปหลงรักนางสุลสา ด้วยจิตครุ่นคิดแก่อกุศล จึงพาตนอับจนต้องมาเกิดเป็นรุกขเทวดาชั้นต่ำ แทนที่จะไปบังเกิดในที่ที่ดีกว่า ทั้งที่วาสนาพอจะนำพาไปได้ มาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มหาศาลก็นับว่ามีวาสนาดีกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว ซึ่งก่อนตายยังได้รับการโปรดด้วยเมตตาจากพระโมคคัลลานะผู้เรืองฤทธิ์ แทนที่ชีวิตจะไปดีกว่าที่เป็นอยู่ สุดท้ายก็ต้องไปทนคุดคู้อยู่ในวิมานแคบๆ บนต้นไทร เช่นนี้ก็ต้องเรียกว่า เกิดมาด้วยบุญ แต่ไม่ยอมสร้างบุญ เลยต้องมาขาดทุน เพราะไม่ทำบุญเพิ่ม

    นางสุลสา เป็นผู้มีวาสนาผูกพันกันมากับบุตรเศรษฐี ถึงได้อนุเคราะห์กันข้ามภพข้ามชาติ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ผู้คนที่เกิดมาแล้วจะรักใคร่ศรัทธา คบหากันได้นั้น ต้องอาศัยเหตุปัจจัยคือ บุญวาสนาและบุพกรรมในปัจจุบัน เป็นเครื่องนำพา

    บุญวาสนา คือ สิ่งที่สร้างสมกันมาแต่อดีตชาติ
    บุพกรรม คือ สิ่งที่ร่วมกระทำในปัจจุบันอันเป็นการกระทำที่น่ายินดีต่อกัน

    มารดาของนางสุลสา ทำให้เราท่านทั้งหลายได้เห็นว่า ความหมายของความเป็นแม่ไม่มีคำว่าแก่เกินกาล จะอายุมากหรือน้อย ผู้เป็นแม่ก็ยังคอยที่จะอนุเคราะห์ ดูแลลูกหลานด้วยหัวใจที่รักและห่วงใย ใส่ใจในทุกกาล ถึงลูกจะทอดทิ้ง ทำสิ่งที่เลวร้ายต่อมารดาสักปานใด แต่หัวใจของแม่ก็ให้อภัยแก่บุตรได้เสมอ

    พระมหาโมคคัลลานะ พระเถระผู้รุ่งเรืองฤทธิ์ คงจะเป็นเพราะบุพกรรมที่เคยร่วมกระทำกับบุตรเศรษฐี จึงทำให้ท่านได้เห็นบุรุษนี้ปรากฏอยู่ในข่ายญาณ ท่านจึงมาโปรดให้บุรุษนั้นพ้นจากการตกนรก เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ทำบุญมาดีแล้วแต่ชาติปางก่อน ย่อมได้รับผลในปัจจุบัน

    พระราชบุตรทั้ง ๓ ของราชานครราชคฤห์ เห็นประโยชน์ของการถวายทานแก่พระบรมศาสดาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมหมู่ภิกษุสงฆ์ ว่ามีผลส่งให้ตนได้รับผลอันเป็นสุขจึงชวนขุนคลังผู้เป็นสหายพร้อมบริวาร จัดอาหารถวายทานตลอด ๓ เดือน ครั้นถึงกาลกิริยา พระราชบุตรทั้ง ๓ และขุนคลังก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์เจริญสุขอยู่ในทิพย์วิมาน เหตุเพราะทำทานประพฤติธรรมอันสุจริต

    บริวารและหมู่ญาติของขุนคลัง เมื่อขุนคลังมาชักชวนให้รวมทำบุญแทนที่จะเห็นประโยชน์ด้วยจิตที่กอปรด้วยศรัทธามีปัญญา กลับมีแต่ความละโมบ โลภในอาหาร แอบลักขโมยอาหารไปเลี้ยงตนและหมู่ญาติ เรียกว่า ปฏิบัติธรรม ทำทานด้วยอาการทุจริต ผลที่ได้เมื่อตายจึงต้องตกนรก พอพ้นจากขุมนรกนั้นๆ แล้ว จึงต้องมารับเศษกรรมอันหนัก เป็นเปรตมีความอดยากมีชีวิตด้วยความลำบาก ทนทุกข์ยากอยู่เป็นแสนมหากัป จึงพ้นทุกข์ได้ด้วยรับบุญของหมู่ญาติ

    พระราชาพิมพิสาร ที่อดีตชาติเกิดเป็นขุนคลัง ได้ร่วมกับพระราชบุตรทั้ง ๓ ของราชาผู้ครองกรุงราชคฤห์ ถวายทานแก่พระปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมหมู่สงฆ์ กุศลผลแห่งกรรมดีที่ได้กระทำส่งให้ไปบังเกิดในสวรรค์ จนสิ้นเวลาไปถึ ๕ แสนกัป ทำให้หมู่ญาติที่เป็นเปรตตามหาไม่พบ พอหมดบุญจึงจุติมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร พอได้ทำทานหมู่ญาติที่เปรตจึงได้มาร้องขอส่วนบุญ

    เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมจริงๆ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ ให้ดี ชั่ว เลว หยาบ ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ไม่มีใคร ผู้ใดหนีพ้นจากบ่วงกรรมไปได้เลย สาธุ สาธุ
    (ที่มาของข้อมูล ขอขอบคุณ ศิล ๕ ดอทเน็ต ที่ให้ข้อมูล)
     
  14. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  15. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  16. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น ม.9 (บ้านหนองผักเเว่น)
    ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ
    จ.ร้อยเอ็ด 45120

    เรื่อง ร่วมถวายปัจจัยเพื่อซื้อดินถมบริเวณสร้างวิหาร จำนวน500 รถ รถละ290บาท(พร้อมไถเเปร) เเละพื้นโดยรอบวัด
    ด้วยทาง วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เดิมทีเป็น ป่าช้าเเละที่ลุ่ม ปัจจุบัน อาตมาภาพพระจิรวัฒน์ ญาณวโร ได้บอกบุญผ่านทางเว็บพลังจิต ได้ซื้อที่ดินขยายพื้นที่ของวัดป่าเพิ่มอีก36ไร่ เป็นจำนวนเงินเก้าเเสนบาท ขณะนี้ทางวัดกำลังก่อสร้างวิหาร ครอบสมเด็จองค์ปฐม ตามที่ท่านทั้งหลายได้รับทราบเเละร่วมทำบุญกับทางวัดป่าบ้านหนองผักเเว่นเเห่งนี้ ขณะนี้ทางวัดป่า กำลังเร่งสร้างวิหาร ครอบสมเด็จองค์ปฐม เเละพัฒนาบุกเบิกวัดในทุกรูปแบบ เช่น เตรียมปลูกต้นไม้ บนเนื่อที่36ไร่ เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเผยแผ่พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบไป จุดประสงค์เพื่อปรับพื้นที่ทั้งหมดของทางวัด และใช้สำหรับเพื่อรองรับการก่อสร้างเสนาสนะต่างๆๆในอนาคต ซึ่งเดิมพื้นที่ในบริเวณภายในวัด จะเป็นที่ลุ่มและต่ำกว่าถนนมาก จะมีปัญหาเรื่องของน้ำท่วมน้ำขังในช่วงฤดูฝน น้ำท้วมเกือบทุกปี
    ทางวัดป่าบ้านหนองผักเเว่น พร้อมด้วยบรรดาชาวบ้านทุกท่าน ต่างเล็งเห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ภายหน้าสืบต่อจากนี้ จึงขออนุโมทนาบอกบุญมายังคณะศรัทธาทุกท่าน ร่วมบริจาคปัจจัยเพื่อซื้อดินถวายวัดในครั้งนี้
    โดยการสั่งซื้อดิน มาถมภายในบริเวณวัดป่าบ้านหนองผักเเว่น
    จำนวน 500 คันรถ ราคารถละ 290 บาท (พร้อมไถแปร)
    ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ประธาน ขอจงช่วยดลบันดาลให้คณะศรัทธาทุกๆๆท่านที่มีส่วนร่วมซื้อดินถวายวัดในครั้งนี้ จงมีแต่อายุ วรรณะ สุขะ พละ รวมทั้งโภคทรัพย์ อริยทรัพย์ ธนสารสมบัติ จงปรากฏมีแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง จงส่งผลให้ผู้ใจบุญทุกท่านได้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ ขออนุโมทนาเจริญพรขอบคุณล่วงหน้ามา ณ.โอกาสนี้ สาธุๆๆ

    โดยสามารถร่วมบุญบริจาคซื้อดินถวายวัดได้ที่
    ธนาคารกรุงไทย (สาขาอ่อนนุช)
    ชื่อบัญชี พระจิรวัฒน์ ญาณวโร
    เลขที่บัญชี 258-0-07503-8
    ต่างประเทศ
    Swift:KRTHTHBK
    Beneficiary Phra Jirawat yanavaro
    Account No.258-0-07503-8
    Beneficiary'Bank name
    Krung Thai Bank Public Company Ltd.
    Wattonchai sukumvit77 Bangkok THAILAND 10250
    ติดต่อสอบถามโทร 0872365287อีเมลล์ PHRAJIRAWAT.hotmail.com
    หรือคุณโยมจะร่วมบริจาคสมทบ ตามกำลังทรัพย์ อาตมาภาพ ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้า
    โทร 0872365287
     
  17. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    พระอาจารย์จิรวัฒน์ ญาณวโร
    วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด

    โทรศัพท์ 0872365287 อีเมล์ phrajirawat@hotmail.com

    ขอเชิญบุญ(พิเศษ)ร่วมทำบุญ"มอบชีวิตใหม่ ไถ่ชีวิตโคท้องจำนวน9ตัว กระบือ ท้อง" จำนวน 9 ตัว รวม18ชีวิต เนื่องในงานวันคล้ายวัดเกิดหลวงปู่ดี คัมภีโร เเละบุญมหากฐิน12ตุลาคม2557"วันทอดกฐินสามัคคีเเละไถ่ชีวิตโค-กระบือท้อง" ได้ที่
    ธนาคารกรุงไทย สาขาอ่อนนุช
    ชื่อบัญชี
    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร (มอบชีวิตใหม่ ไถ่ชีวิตโค กระบือ)
    เลขที่บัญชี 2580075038
    ขอให้คณะศรัทธาสาธุชนทั้งหลาย ได้พิจารณาร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพ "มอบชีวิตใหม่ ไถ่ชีวิตโค กระบือท้อง" ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
    1. โคท้อง (ช่วยเฉพาะท้องจริงๆ) ตัวละประมาณ 19,000 บาท
    2. โคไม่ท้อง ตัวละประมาณ 15000,บาท
    2. กระบือท้อง (ช่วยเฉพาะท้องจริงๆ) ตัวละประมาณ 28,000-3,0000 บาท
    4. กระบือไม่ท้อง ตัวละประมาณ 25,000-27,000บาท

    ขอให้คณะศรัทธาสาธุชนทั้งหลาย ได้ร่วมทำบุญตามกำลังศรัทธาของท่านทั้งหลาย ขอให้อานิสงค์ผลบุญ ในการช่วยเหลือให้โคกระบือท้อง รอดพ้นจากความตายในครั้งนี้ จงเป็นมหากุศลผลบุญ ส่งผลให้คณะศรัทธาสาธุชนทั้งหลาย นิราศทุกข์ นิราศโศก นิราศโรค นิราศภัย ประสบแต่ความสุข ความเจริญ ยิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยกัน ทุกคน ทุกท่าน เทอญ. อายุ วรรณโณ สุขัง พะลัง.
    จึงเจริญพรมาเพื่อโปรดพิจารณาร่วมทำบุญ ตามกำลังศรัทธา
     
  18. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขอเชิญคณะศรัทธาอุบาสก อุบาสิกา ทุกๆท่าน ่ร่วมบุญสร้างเป็นเจ้าภาพสร้างหอระฆังเเละเจ้าภาพซื้อระฆังเเละกลองเพล ถวายวัดป่าบ้านหนองผักเเว่น ต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด อาตมาภาพ พระจิรวัฒน์ ญาณวโร ขอบอกบุญ ร่วมบุญสร้างหอระฆัง (เเละเจ้าภาพ ระฆัง-กองเพล) ตั้งเเต่โบราณพ่อเเม่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ผู้ใด ได้มีโอกาส สร้างหอระฆังเเละกลองเพล ถวายไว้ในพระพุทธศาสนาผู้นั้นจะได้บุญเเละอานิสงส์มาก เนื่องจากพระสงฆื ท่านต้องใช้ตีทุกเช้า ดังนั้นท่านที่เป็นเจ้าภาพจึงได้บุญมาก อานิสงส์จะเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เสียงไพเราะเเละร่ำรวยเงินทอง ทำมาค้าขึ้นค้าขายเจริญ กิจการงานต่างเจริญรุ่งเรือง จะทำกิจการงานอะไรย่อมมีเเต่กำไรเเละผลสำเร็จ...ด้วยเหตุดังกล่าวทางวัดป่าบ้านหนองผักเเว่น จึงขอบอกบุญควบคู่ไปกับบุญอื่นๆของทางวัดป่า ตามที่ได้บอกบุญผ่านทาง เว็บพลังจิต อาตมาภาพสร้างวัดป่าบ้านหนองผักเเว่น โดยร่วมบอกบุญผ่านไปยังคณะศรัทธา ผู้ใจบุญทั้งหลาย ได้ทำประโยชน์ไว้ในพระพุทธศาสนามากมาย เช่นได้ซื้อที่ดินขยายพื้นที่วัดเพิ่มเติม อีก36ไร่ ได้สร้างเมรุเผาศพ ราคาเจ็ดเเสนห้าหมื่นบาท เเละสร้างพระสมเด็จองค์ปฐม ห้องน้ำ กำเเพงวัดเเละงานบุญอื่นๆ ล้วนเเต่ได้รับความเมตตา เเละศรัทธาจากคณะผู้ใจบุญที่เข้ามาบริจาคผ่่านทางเว็บพลังจิต ทั้งสิ้นทุกงานบุญกำลังทำอย่างต่อเนื่อง...บางงานบุญสำเร็จไปเเล้ว อาตมาหวังในใจว่าเเละเชื่อมั่นว่า จะได้รับความเมตตาจากท่านผู้ใจบุญ ร่วมบริจาคสร้าง หอระฆัง เจ้าภาพระฆัง เเละเจ้าภาพกลองเพล(ตามกำลังศรัทธา) เหมือนที่ผ่านๆมา อาตมาภาพขออนุโมทนาบุญ ไปยังทุกๆท่านที่เคยร่วมบุญเเละอุปถัมภ์ค้ำชูวัดป่าบ้านหนองผักเเว่น มาด้วยดีตลอดระยะเวลา5ปีที่ผ่านมา ขออานิสงส์ผลบุญจงหนุนนำ หนุนส่ง ให้คณะศรัทธาทุกๆท่านจง พบเเต่ความสุข ความเจริญทั้งทางโลกเเละทางธรรม ยิ่งๆขึ้นๆไป ด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละตลอดกาลนานเทอญ


    พระอาจารย์จิรวัฒน์ ญาณวโร โทร 0872365287ขอเชิญบริจาค ร่วมบุญได้ที่ ธนาคาร กรุงไทย สาขาอ่อนนุช
    ชื่อบัญชี พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เลขที่บัญชี 258 0075 038
    (บัญชีออมทรัพย์)
     
  19. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    สัพพีติโย วิวัชชันตุ ความจัญไรทั้งปวง จงบำราศไป
    สัพพะโรโค วินัสสะตุ โรคทั้งปวง (ของท่าน) จงหาย
    มา เต ภะวัตวันตะราโย อันตรายอย่ามีแก่ท่าน
    สุขี ทีฆายุโก ภะวะ ท่านจงเป็นผู้มีความสุข มีอายุยืน
    อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
    จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ
    อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง
     
  20. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ผี....มีจริงหรือ ?

    ผี...มี จริงหรือ?....เป็นคำถามที่ไม่สามารถอธิบายโดยมีพยานอ้างอิงได้เต็มปากเต็มคำ เรื่อง..ผี..เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานมนาน ไม่มีที่สิ้นสุด หากแต่คนที่ยังไม่เคยเจอผีก็มักมีเหตุผลมาอ้างอิงเสมอ เช่น ตาฝาดหรือเปล่า เมาหรือเปล่า โกหกหรือเปล่าและอีกหลาย ๆ เหตุผลมาเปรียบเทียบแต่...คนที่เคยเจอ..ผี.. จึงรู้ว่า..ผี..มีอยู่จริง ไม่ได้เมา ตาไม่ฝาดและไม่ได้โกหก คนที่เคยเจอมักจะพูดได้ประโยคเดียว....คุณไม่เคยเจอ คุณไม่รู้หรอก....ก่อน ที่จะบอกได้ว่า..ผี..มีจริงหรือไม่?..เรามาดูกันก่อนสิว่าไอ้เจ้า..ผี..มัน คืออะไร....จากหนังสือ..ผีในวรรณคดี..ครับ เขียนโดยคุณวิชาภรณ์ แสงมณี ข้าพเจ้าขอนุญาตคัดมาเป็นบางส่วนซึ่งเป็นข้อมูลทางวิชาการอาจมีประโยชน์ต่อ ท่านผู้อ่านหรือไม่ก็เอาแค่พอคลายเครียดจากการทำงานในชีวิตประจำวัน ครับ...เราเริ่มกันเลยนะครับ
    ผี....คืออะไร ?
    ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้คำจำกัดความไว้ว่า..ผี น. สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีหรือร้าย เช่น ผีปู่ย่าตายาย ผีเรือน ผีห่า ; เรียกคนที่ตายแล้วว่า ..ผี..
    นี่คือคำอธิบายเรื่อง..ผี..ตามพจนานุกรม
    พลตรี หลงวิจิตรวาทการ ท่านปราชญ์คนหนึ่งของเมืองไทยได้อธิบายเรื่องผีไว้ในหนังสือ...วิชชาแปดประการ...ของท่านว่า
    ลัทธิโยคีนั้น เขาถือว่าในมนุษย์เรามีส่วนใหญ่ที่แบ่งออกได้เป็น ๗ ส่วนคือ
    ๑. กาย
    ๒. เจตภูต
    ๓. ปราณ
    ๔. สัญญา
    ๕. ปัญญา
    ๖. ดวงจิต
    ๗ . วิญญาณ

    คือท่านเรียงลำดับจากละเอียดมาหาของหยาบที่สุดคือ..กาย..และท่านอธิบายเรื่องเจตภูตไว้ว่า
    เจตภูต..เป็นกายอีกกายหนึ่งซึ่งมีลักษณะละเอียดกว่ากายธรรมดา เพราะปกติเราเห็นด้วยตาไม่ได้ แต่ก็ยังหยาบกว่าธรรมชาติอีก ๕ ประการเพราะเจตภูตนี้ยังอาจเห็นได้ด้วยตาในบางครั้งเจตภูตเป็นสิ่งซึ่งคนในสมัยโบราณรู้จักดีที่สุด และเป็นบ่อเกิดของการ..ถือลาง..หรือ..ผีสาง.. หรือสิ่งลึกลับอะไรต่าง ๆ แต่ตามลัทธิของ..โยคี..นั้น..เจตภูต..เป็น ส่วนหนึ่งของกาย แยกออกจากกายได้เป็นบางครั้ง เช่นเวลาหลับนอน การที่แยกออกไปนั้นก็ยังมีความเกี่ยวพันกับกายอยู่ คล้ายมีสายใยผูกติดกันไว้ สามารถดึงเอากลับกายได้เมื่อต้องการ ในบางครั้งถูกดึงเข้ามาแรงหรือเร็วเกินไป เจตภูตก็กระทบกายอย่างแรงจนคนเรารู้สึกตัว ตัวอย่างเช่น เรานอนหลับอย่างสบาย...เจตภูตกำลังออกจากร่างกายไปท่องเที่ยวอย่างเพลิด เพลิน พอเกิดมีเสียงโครมครามขึ้นข้าง ๆ ตัวเราตกใจตื่น สายใยดึงเอาเจตภูตเข้ามาสู่กายทันทีและกระทบกายอย่างแรง จนเมื่อเราตื่นขึ้นมารู้สึกใจเต้นหรือตัวสั่นอยู่นาน
    พลตรี หลวงวิจิตรวาทการกล่าวต่อไปว่า
    .....เมื่อกายแตกหรือถูกทำลายลง ที่เราเรียกว่า..ตาย..เจตภูต จึงไม่มีกายอยู่และออกท่องเที่ยวไป จนบางครั้งทำให้คนอื่นเห็นประจักษ์ตาอย่างที่เราเรียกว่า..ปีศาจ..ในเรื่อง กายกับเจตภูตนี้อาจเปรียบเทียบได้อย่างดีกับตัวเราและบ้านของเรา สมมุติว่าเรามีบ้านซึ่งอยู่มานานจนจวนพังแล้ว เรารู้ว่าบ้านนั้นจะพังลงในวันหนึ่งจึงเตรียมแสวงหาที่อยู่ไว้ใหม่ เมื่อบ้านนั้นพังทลายลงจริง ๆ เราก็ไปอยู่บ้านใหม่ทีเดียว โดยมิต้องมาวนเวียนอยู่ที่เก่าหรือต้องไปอาศัยญาติพี่น้องอยู่ แต่ถ้าบ้านของเรายังดีอยู่แท้ ๆ เราไม่เคยนึกว่าบ้านของเราจะพังทลาย บังเอิญเกิดภัยพิบัติเช่นอัคคีภัยมาทำลายบ้านของเรา โดยที่เราไม่รู้ตัวหรือเตรียมแสวงหาที่อื่นไว้ เช่นนี้ เราก็มีอยู่สองทาง ทางหนึ่งวิ่งไปอาศัยญาติพี่น้องอยู่ อีกทางหนึ่งเราไม่รู้จะไปอาศัยใครเราก้ต้องวนเวียนอยู่ในบริเวณบ้านเก่าที่ ถูกทำลายลง ตากแดดตากฝนอยู่ในที่นั้น จนกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ได้ดังนี้ฉันใด เจตภูตก็ฉันนั้น เมื่อกายเจ็บปวดทนทุกขเวทนาอยู่นาน เช่นเป็นโรคเรื้อรังแรมปี เจตภูตรู้ตัวแล้วว่ากายอันนี้จะทนทานอยู่ไม่ได้นาน ก้เริ่มท่องเที่ยวออกมองหาที่ไปอยู่ไว้ก่อน พอกายอันนี้ถูกทำลายลงเจตภูตก็ออกจากกายโดยเรียบร้อย ไม่ต้องวนเวียนไปมาอยู่ใกล้ ๆ แต่ถ้าร่างกายถูกทำลายลงเพราะอุบัติเหตุ เช่นถูกรถทับตาย ถูกฆ่าตาย หรือตายด้วยโรคปัจจุบันอย่างใดอย่างหนึ่งเจตภูตต้องออกจากกายโดยมิทันเตรียม ตัวจึงไม่รู้จะไปทางไหน จึงต้องวนเวียนอยู่ตรงนั้นเองหรือวิ่งไปหาพี่น้องที่ตนรักใคร่ จนบางครั้งไปปรากฏแก่ตาของใครคนหนึ่งเข้า จึงถูกเรียกว่า..ปีศาจ..และเพราะเหตุนี้เองคนที่ตายด้วยโรคเรื้อรังทน ทุกขเวทนามาตลอดกาลนานนั้น ไม่ค่อยมีใครจะเห็น..ปีศาจ..แต่คนที่ตายโดยปัจจุบันทันด่วนมักจะมีคน เห็น..ปีศาจ..บ่อย ๆ จรเราถือกันว่าคนที่ตายโหงมักจะ..เป็นผีดุ.. แต่ถ้าเราเชื่อตามลัทธิโยคีที่อธิบายมานี่แล้ว เราจะไม่กลัวผีเลย เพราะสิ่งที่เราเรียกว่า..ผี..หรือ..ปีศาจ..ซึ่งเราหมายความถึงธรรมชาติที่ ดุร้ายอะไรต่าง ๆ นั้นที่จริงก็เป็นส่วนหนึ่งของกายนี้เอง และมีอยู่ตั้งแต่เรามีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีขึ้นหลังจากเราตายไปแล้ว....
    ครับ...นี่เป็นคำอธิบายเรื่อง..ผี...ของพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ คราวนี้ลองไปศึกษาท่านเสถียรโกเศศหรือท่านพระยาอนุมานราชธนกันบ้าง...ท่านกล่าวไว้ในหนังสือ..ผีสางเทวดา..ไว้ว่าอย่างนี้ครับ
    .....สิ่ง ใดตามปกติไม่สามารถมองเห็นตัวได้ แต่เราถือหรือเข้าใจเอาว่ามีฤทธิ์อำนาจอยู่เหนือมนุษย์ อาจให้ดีหรือให้ร้าย คือให้คุณหรือให้โทษแก่เราได้ สิ่งเหล่านี้เรากลัวเกรงและบางทีก็ต้องนับถือด้วย เราจึงเรียกสิ่งที่ว่านี้ว่า..ผี.. จริงอยู่ บางคนเคยเห็นผี แต่ที่ว่าเห็นนั้นไม่ใช่เห็นตัวตนจริง ๆ ของผี ..ผี ..นั้น ตัวจริงจะมีอย่างไรแน่ไม่มีใครทราบ ทราบแต่ว่าถ้าผีต้องการจะให้เห็นตัวตนก็จะสำแดงเป็นรูปร่างราง ๆ ไม่ชัดเจน หรือไม่ก็เป็นรูปต่าง ๆ ตามแต่ผีจะต้องการจะให้เห็น หรือตามที่เราจะเห็นไปเอง และว่านั่นแหละคือ..ผี.. หรือถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งใดที่ปรากฏขึ้นแก่เราและเราไม่สามารถอธิบายด้วยปัญญาและเหตุผลหรือคิด ว่าเป็นสิ่งประหลาดน่าอัศจรรย์ผิดธรรมดาสามัญที่ควรจะเป็น สิ่งนั้นเราก้เรียกว่า..ผี..และเรียกอาการที่ปรากฏขึ้นในธรรมชาติที่ประหลาด อัศจรรย์หรือรุนแรงน่าสะพรึงกลัวว่า ..ผี..เป็นผู้บันดาลให้ปรากฏขึ้น ผีนั้นจะต้องมีอยู่ตลอดไป ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์มาจนทุกวันนี้.....
    ท่านเสถียรโกเศศได้กล่าวไว้อีกว่า
    .....คน โดยมากถือว่าเมื่อตายแล้วก็ไปเป็นผี...อะไรตาย..ตอบอย่างกำปั้นทุบดินว่า สิ้นลมหายใจ ร่างกายไม่เคลื่อนไหวกระดุกกระดิกได้อีกต่อไป แล้วก้เน่าเปื่อยสูญสิ้น เพราะฉะนั้นที่ว่าตายคือตายแต่ร่างกาย แต่เราซึ่งเป็นลม ๆ มองไม่เห็นตัวนั้นถือว่าไม่ตาย สิ่งที่เป็นลม ๆ นี้เดิมเราเรียกว่า..ขวัญ..แต่เดี๋ยวนี้เราเรียกว่า..วิญญาณ..และวิญญาณนี้แหละถ้ายังไม่มาเกิดเป็นคนอีกก็ไปเกิดเป็นผีวิญญาณนั้นมีรูปร่างเป็นอย่างไรก้ไม่มีใครเคยเห็น ถ้าจะนึกเอาก็เห็นจะมีรูปร่างกลม ๆ อย่างดวงไฟ เราจึงเรียกว่า..ดวงวิญญาณ..และ คงจะมีลักษณะแบน ๆ ด้วยเราจึงพูดว่า..ขวัญบิน..คือขวัญหนีออกจากร่างกายไปเมื่อคนยังมีชีวิต หรือยังมีลมหายใจอยู่ก็เรียกว่ายังเป็นอยู่หรือยังไม่ตายเพราะวิญญาณสิงอยู่ ครั้นเมื่อตายแล้ววิญญาณจะได้อะไรอาศัยเป็นร่างกายตัวจนเล่าและจะรู้ได้ อย่างไรว่าเป็นใคร ตอบง่ายนิดเดียวว่ามีร่างเหมือนอย่างเดิมและแบบบางแต่โปร่งมาก เห็นได้แต่เงา ๆ เป็นลม ๆ เท่านั้น เรียกในภาษสันสกฤตว่า..อาตมัน..เดิม แปลว่า..ลมหายใจ..แต่เราเรียกว่า..วิญญาณ..เดิมแปลว่าความรู้สึก เพราะฉะนั้นเมื่อวิญญาณยังไม่มีโอกาส มาเกิดมีรูปร่างเป็นคนอีกก็เป็นผีไปก่อน เหตุนี้ผีจึงไม่มีรูปร่างเป็นแต่ลม ๆ ถ้าจะมีรูปร่างเมื่อเป็นผีก็เป็นรูปหากบันดาลให้เราเห็นไปเอง .....
    ท่าน ผู้อ่านครับ...พอจะมองเห็นความหมายหรือตัวตนของคำว่า..ผี..กันหรือยัง...ไม่ น่ากลัวอย่างที่คิดกันใช่ไหมครับ คงจะลดหรือเลิกกลัวกันไปได้บ้าง...ผมผู้เขียนก็เคยโดนสอง-สามครั้งครับ เขียนลงในเรื่องสั้นเรื่อง..อุปาทาน..นั่นก็ใช่ ท่านที่ยังไม่ได้อ่านลองย้อนกลับไปอ่านสิครับ....ผมก็ยังชี้ชัดไม่ได้ว่า ..ผี..มีตัวตนเป็นอย่างไร..แค่..มาเป็นลม ๆ วูบ ๆ วาบ ๆ อย่างที่ท่านเสถียรโกเศศกล่าวไว้ไม่ผิดเลย
    หาก ใครที่ไม่เชื่อหรือยังไม่เคยเจออยากลองพิสูจน์ก็ย่อมได้....ตอนดึก ๆ หลังเที่ยงคืนไปแล้ว เชิญไปนั่งตามสี่แยกที่มีอุบัติเหตุตายกันบ่อย ๆ( ไปคนเดียวนะโยม ) อาจพบเห็นเจตภูตก็ได้หรือไปที่ป่าช้าเก่า ๆ ตามบ้านนอก ( ป่าช้าฝังแบบโบราณนะครับ หรือซองเก็บศพก็ได้ ..อย่าลืม!..ไปคนเดียวนะโยม )
     

แชร์หน้านี้

Loading...