ผีอำ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ทองชมพู, 19 เมษายน 2015.

  1. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    สาธุค่ะ นั่นแหละที่จะเล่าต่อ เพราะเราเคยคิดว่าเราดี เราเก่ง พอมาเจอที่วัดท่าซุง เขาขึ้นพระนิพพานเป็นว่าเล่น แค่นั้นแหละค่า ข้าน้อยขอกราบงาม ๆ หลาย ๆ ที ขอท่านพี่ติดตามต่อไป ถ้าน้องผิดสิ่งใดวานท่านพี่เขกกบาลที และด้วยความที่มโนมยิทธิขึ้นง่าย ๆ นี้แหละค่ะ ข้าน้อยเลยขี้เกียจเพราะเหนื่อยมานานเต็มที เลยเป็นที่มาของท่านพ่อต้องพาไปหาหลวงปู่เทวดา
     
  2. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เงิน ๑ บาท อานิสงส์หลายเด้ง

    เนื่องจากมีสมาชิกหลายท่านสงสัยเรื่องการใส่บาตร สำหรับหลายท่านที่ต้องเร่งรีบไปทำงาน ไม่มีเวลาเตรียมของใส่บาตร ไม่สามารถใส่บาตรทุกวันได้ ขอท่านไม่ต้องวิตกแต่อย่างใด ใช้วิธีนี้ค่ะ

    ให้หยอดกระปุกทุกวันห้ามเว้นแม้แต่วันเดียว วันละ ๑ บาทขึ้นไป หรือมากกว่าตามกำลังที่ใส่ได้เท่านั้น อย่าได้เบียดเบียนตัวเองนะคะ ก่อนหยอดกระปุกให้จบเงินอธิฐานดังนี้

    นะโม (๓ จบ) ตามด้วย ไตรสรณคมน์

    ข้าพเจ้าขอถวายเงินนี้แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทุก ๆ พระองค์ พระโพธิสัตว์ทุก ๆ พระองค์ โดยมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธานรับ

    เมื่อครบ ๑ เดือน หรือ ครบ ๓ เดือน ก็แล้วแต่ท่าน ให้นำเงินนี้ไปซื้ออาหาร หรือถวายสังฆทาน วิหารทาน ร่วมสร้างพระพุทธรูป หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ทีนี้เรามาดูว่า อานิสงส์ที่ท่านทำนี้จะได้อะไรบ้าง

    ๑ ท่านจะได้อานิสงส์ของทาน

    ๒ ท่านจะได้ฌานในหมวดพุทธานุสติกรรมฐาน เนื่องจากตอนจบทานท่านได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ( ฌานแปลว่า ชิน คือทำจนชินเป็นนิสัย เรียกว่า ฌาน )

    ๓ ท่านจะได้ ฌานในหมวดธรรมานุสติกรรมฐาน เนื่องจากตอนจบทานท่านได้ระลึกถึงพระธรรม
    ๔ ท่านจะได้ ฌานในหมวดสังฆานุสติกรรมฐาน เนื่องจากตอนจบทานท่านได้ระลึกถึงพระสงฆ์


    [​IMG]

    ถวายเสร็จแล้วอย่าลืม อุทิศส่วนกุศล ขณะอุทิศส่วนกุศลให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ที่เราชอบมากที่สุด ขอบารมีท่านให้แผ่ฉัพพรรณรังสีออกไปให้ไกลไปทั้งจักรวาล ให้เรานึกอุทิศส่วนกุศลนั้นไปพร้อมกับฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์ จะทำให้การอุทิศส่วนกุศลของเรานั้นทรงพลังมหาศาลจนหาประมาณมิได้ เพราะเราอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้าอุทิศส่วนกุศลนั่นเอง (ให้คิดในใจและทรงสมาธิเท่าที่เราทำได้ในขณะนั้นไม่ต้องกรวดน้ำ เพราะอาจจะทำให้พะวงกับน้ำจนจิตไม่เป็นสมาธิ)

    อุทิศส่วนกุศล

    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้า
    ทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วันนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

    และข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด

    และขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญมาแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2015
  3. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    [​IMG]



    สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง

    เนื่องจากมีหลายท่านที่สนใจอยากฝึกวิชามโนมยิทธิ และเนื่องจากการฝึกในครั้งแรกควรจะมีผู้นำฝึกก่อน และด้วยความที่ไม่สะดวกในการฝึกให้สมาชิกผ่านกระทู้ จึงได้แนะนำให้สมาชิก ไปฝึกที่วัดท่าซุง สามารถลงทะเบียนพักที่วัดได้ไม่เกิน ๗ วัน มีฝึกทุกวันที่วิหารแก้วร้อยเมตร เวลา ๑๒ - ๑๔.๓๐ น. มีสอนตั้งแต่เริ่มต้น ฝึกท่องเที่ยวภพภูมิต่าง ๆ และจุดสำคัญ คือ พระจุฬามณี และพระนิพพาน

    แต่มีอยู่หลายท่านที่ยังไม่สะดวกไป ก็ขอให้ท่าน มองภาพ สมเด็จองค์ปฐม หรือพระพุทธรูปองค์ที่ท่านชอบ ให้นึกถึงแค่รูปเดียวเท่านั้น และจำให้ติดตาและติดใจไว้ นึกอยากเห็นเมื่อไหร่ก็ให้เห็นได้ทุกเวลา พยายามนึกบ่อย ๆ ทำงานอยู่ ทานข้าว อาบน้ำ นั่งเล่น ก็นึกถึงท่านได้ ตลอดเวลา ยิ่งบ่อยเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลดีต่อการฝึกมโนมยิทธิได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้นค่ะ ( วิธีคือมองภาพแล้วจำ อย่าจ้องภาพนานจะเสียสายตา ให้จำภาพเอาค่ะ )

    ขณะท่านนั่งสมาธิก็ให้นึกภาพท่านไว้ในใจด้วย พร้อมกับภาวนา หายใจเข้า นะมะ หายใจออก พะธะ ให้ชินไว้เพื่อเตรียมตัวก่อนไปฝึกจริงที่วัด จะทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสด็จสงเคราะห์ท่านได้ง่ายนั่นเองค่ะ


    ปล. ท่านจะได้กรรมฐาน ๒ อย่าง คือ พุทธานุสติกรรมฐาน และ กสินสีเหลือง เนื่องจากมโนมยิทธิต้องอาศัยทิพจักขุญาณจากกสิน

    ไปฝึกที่วัดไม่จำเป็นต้องชุดขาวนะคะ ชุดอะไรก็ได้ขอให้สุภาพ ท่านที่เป็นหญิงไม่ใส่ขาสั้นนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2015
  4. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    สำหรับท่านที่ฝึกมโนมยิทธิเองที่บ้าน สิ่งที่ต้องเตรียมมีดังนี้ค่ะ

    ดอกไม้ ๓ สี ๓ ดอกขึ้นไป

    ธูป ๓ ดอก

    เทียนหนัก ๑ บาท ๑ คู่

    เงินบูชาครู ๑ บาทขึ้นไป ( ใส่ทุกครั้งที่ฝึกในแต่ละครั้ง )

    ทั้งหมดนี้ใส่พานบูชาหน้าพระค่ะ



    ปล. ธูปกับเทียนเก็บไว้ใช้ครั้งต่อไปได้ ส่วนเงินบูชาครูนำไปร่วมสร้างพระพุทธรูป หรือถวายสังฆทาน ส่วนดอกไม้เปลี่ยนใหม่ทุกครั้ง เหี่ยวแล้วอย่าทิ้งขยะเด็ดขาด (เป็นการไม่เคารพ) ให้วางใส่กระถางต้นไม้หน้าบ้านค่ะ หรือโรยเป็นปุ๋ยดอกไม้ หรือสวนไร่นาเพื่อเป็นสิริมงคล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2015
  5. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    น้ำใจจากคุณลุงผู้เอื้ออารีย์

    ขณะอยู่ในระหว่างปฏิบัติธุดงควัตร ณ วัดท่าซุงนั้น ประมาณช่วงท้าย ๆ ใกล้จะครบกำหนดวันแล้ว ในช่วงเวลาว่างจากกิจประจำวันในช่วงสาย ก็ได้นำโทรศัพท์เพื่อไปชาร์ตแบตที่บริเวณศาลา ๔ ไร่ ในขณะที่รอโทรศัพท์นั่นเองก็ได้พูดคุยสนทนากับคุณลุงท่านหนึ่ง อายุประมาณสัก ๖๐ ปีได้ ท่านก็นั่งรอชาร์ตแบตโทรศัพท์เหมือนกัน ท่านเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยหลวงพ่อท่านมีชีวิตอยู่ให้ฟัง เราก็นั่งฟังด้วยความสนอกสนใจ เนื่องจากคนรุ่นหลานอย่างเราไม่เคยเห็นหลวงพ่อขณะมีชีวิตอยู่ ท่านก็เล่าโน่นนี่นั่นตั้งแต่เริ่มมาทำบุญกับหลวงพ่ออย่างไรบ้าง

    และข้าพเจ้าได้บ่นให้ท่านฟังว่า เอทีเอ็มของเราเป็นบัตรบีเฟิร์ท กดเงินได้เฉพาะตู้บัวหลวงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ตู้เอทีเอ็มในวัดไม่มีตู้บัวหลวง ไม่รู้จะกดเงินได้ที่ไหน เราในขณะนั้นพกเงินประมาณ ๕,๐๐๐ บาท กะว่าเพียงพอในการใช้ทำบุญใน ๑๐ วัน ปรากฏว่าเราทำบุญเพลินจนเงินหมด และไม่มีเงินซื้ออาหารใส่บาตรในวันพรุ่งนี้ และไม่มีที่กดเงินด้วย

    เพียงเท่านี้คุณลุงท่านแสนจะใจดี ท่านทราบว่าเราไม่มีเงินติดตัวเลย ท่านจึงควักเงิน ๕๐๐ บาท ส่งให้เราทันที พร้อมกับพูดว่า นี่ลุงให้หนูเอาไปใช้ได้ทุกอย่างนะ ใช้ส่วนตัวก็ได้ ไม่ต้องทำบุญทั้งหมดก็ได้ และไม่ต้องนำเงินมาคืนลุงนะ นี่ลุงให้เลย ถ้าเจอลุงที่ไหนก็ทักลุงนะ

    เพียงเท่านี้เรานั้นแสนจะซาบซึ้งในน้ำใจของคุณลุงผู้เอื้ออารีย์ พนมมือไหว้ขอบคุณท่านและรับเงินมา เรานั้นนำเงินทั้งหมดทำบุญหมดเลย เพื่อคุณลุงจะได้อานิสงส์ในบุญนั้นทั้งหมดด้วยเหมือนกัน ตั้งแต่วันนั้นจนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่เคยเห็นคุณลุงอีกเลย ได้แต่ระลึกถึงคุณงามความดีที่ท่านเมตตาเราเมื่อครานั้น

    ขอผลบุญทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแต่ต้นจนบัดนี้ ประกอบด้วยทาน ศีล และภาวนา ขอผลบุญทั้งหมดพึงจะเกิดประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าเพียงใด ขอให้คุณลุงจงได้รับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับทุกประการด้วยเถิด สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2015
  6. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    พระนิพพาน

    วันหนึ่งได้มากราบสมเด็จองค์ปฐมที่วิหาร เมื่อได้ทำบุญกับสมเด็จท่านเรียบร้อยหมดแล้ว เราก็มานั่งมองสมเด็จองค์ปฐมท่าน ซึ่งเราชอบมองท่านมาก เนื่องจากท่านงดงามวิจิตรระยิบระยับตระการตามาก มองทีไรมีแต่ความสุขลืมทุกข์ใด ๆ จนหมดสิ้นทุกคราว และแล้วจู่ ๆ นึกอยากจะรู้ขึ้นมาว่าเรานั้นเคยเกิดเป็นลูกเป็นหลานท่านมาก่อนหรือไม่ จึงได้ถามท่านออกไปว่า หนูนั้นเคยเคยเกิดเป็นลูกเป็นหลานท่านมาก่อนหรือไม่เจ้าคะ ทันใดนั้นเองก็ปรากฏว่าตัวเรานั้นเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อายุไม่เกิน ๑ ขวบ นั่งอยู่บนตักท่าน แต่องค์ท่านนั้นเป็นพระพุทธเจ้าปางนิพพาน ทั้ง ๆ ที่สมเด็จองค์ปฐมที่วิหารซึ่งอยู่ตรงหน้าเรานี้ท่านเป็นปางมารวิชัย

    ทีนี้เราก็งง และสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เอ๊ะนี่มันอะไรกัน เรากลายเป็นเด็กเล็ก ๆ ยังไม่พอและแถมยังไปนั่งอยู่บนตักท่านที่เป็นปางพระนิพพานอีกด้วย ????

    ทีนี้ก็ถึงเวลาฝึกมโนมยิทธิ ซึ่งมีฝึกหลายจุดด้วยกัน ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นอีกจุดหนึ่ง และฝึกญาณแปดอีกจุดหนึ่ง และฝึกท่องเที่ยวภพภูมิต่าง ๆ อีกจุดหนึ่ง แต่เรานั้นมาอยู่ฝึกกับหลวงพ่ออาจินต์ที่ศาลา ๑๒ ไร่ ก็เริ่มจากมาพระจุฬามณีก่อน นมัสการพระพุทธเจ้า พระเขี้ยวแก้ว พระเกศเมาลี แวะกราบท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ทุกภพทุกชาติ ก็ขึ้นมาบนพระนิพพาน

    ทันใดนั้น นั่นแน่ทำไมเรามานั่งบนชิงช้าที่มีการไกวเองแบบอัตโนมัติด้วยแนะ มาถึงก็มองดูสภาพโดยรวมของเมืองนิพพาน ทันทีที่เราเห็นปุ๊บ ก็นึกถึงคำอธิฐานจบอาหารก่อนถวายพระที่บรรดาเหล่ามัคทายกตามวัดต่าง ๆ มักจะพากล่าวนำอธิฐาน ซึ่งจะมีคำว่า ขอให้ถึงเมืองแก้ว ขอให้แคล้วบ่วงมาร ขอให้ถึงพระนิพพานในอนาคตกาลโน้นด้วยเทอญ

    ซึ่งสภาพพระนิพพานที่เรากำลังยืนอยู่นี้ ก็คือเมืองแก้วเมืองเดียวกันกับที่วัดต่าง ๆ นิยมอธิฐานนั่นเอง ทำให้เราทราบว่าคนโบราณนั้นท่านฉลาดเพียงใด และก็คงจะมีผู้ไปเห็นเมืองแก้วกันเป็นปกติแน่ ๆ ถึงได้คิดคำอธิฐานแบบนี้มาได้ คนรุ่นต่อ ๆ มาจึงได้อธิฐานต่อมาเรื่อย ๆ

    จนถึงยุคปัจจุบันไม่รู้เหมือนกันท่านมัคทายกเหล่านั้นท่านรู้เรื่องเมืองแก้วจริงเหมือนดั่งคำอธิฐานของท่านหรือไม่ ก่อนนั้นเราก็เพียงแต่ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองไปซะอย่างนั้นเอง และทำไมถึงไม่สงสัยและพากันหาทางพิสูจน์กันบ้างว่าเมืองแก้วนั้นเป็นอย่างไร

    ตอนนี้เราประจักษ์แล้วเมืองแก้วนี้ เป็นแก้วกันทั้งเมืองจริง ๆ บ้านช่อง ถนนหนทาง ต้นไม้ ดอกไม้ แม้กระทั่งสระน้ำ ก็ยังเป็นแก้วระยิบระยับงดงามดั่งต้องมนต์ งามกว่าสวรรค์ พรหมโลกทุกชั้น งามหมดจด ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย เมืองสวรรค์ยามเราต้องการยังต้องนึก แต่เมืองนี้ไม่ต้องนึก แค่จะนั่งก็มีเตียงตั่งมารองรับเป็นอัตโนมัติ แค่จะนอนก็มีเตียงพร้อมหมอนมารอก่อนเลย

    อ้อก่อนขึ้นมานั้นลืมบอกไปว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปรับ หลวงพ่อฤาษี หลวงปู่ปาน ท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่จากดาวดึงส์ก็ตามานิพพานกันด้วย ท่านคงสงสัยว่าทำไมเทวดาถึงขึ้นนิพพานกันได้ จะบอกว่าท่านขึ้นของท่านเป็นปกติ คือมาเที่ยว มากราบพระ นั้นได้ แต่จะอยู่ที่นิพพานยังไม่เนื่องจากบารมียังไม่พอ แต่มาได้เฉพาะพรหมเทวดาที่เป็นพระอริยะเจ้าเท่านั้นนะ พรหมเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิขึ้นไม่ได้

    และเรานั้นก็เช่นกัน ต้องทำตามหลักสูตรอย่างเคร่งครัด คือทำตัวเราก่อนขึ้นให้เป็นโคตรภูวญาณ ตัวเรายืนอยู่ระหว่างแดนโลกีย์กับแดนอริยะ ขาข้างหนึ่งอยู่แดนโลกีย์และขาอีกข้างอยู่แดนอริยะเจ้า จึงจะขึ้นถึงพระนิพพานได้ ถ้ามนุษย์ พรหม เทวดาที่ยังไม่เป็นพระอริยะเจ้าฉันท์ใด อย่าว่าแต่แดนนิพพานเลย แม้แต่เงาพระนิพพานท่านก็ไม่สามารถจะมองเห็นได้ ฉะนั้นท่านอย่าได้มีปฏิปทานิพพานสูญ มิฉะนั้นท่านจะสูญไปจากเมืองนิพพาน


    โปรดรอนิพพานตอนต่อไป (ยังไม่ได้พาเที่ยวเลย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2015
  7. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ระหว่างรอพระนิพพานตอนต่อไป ขอขั้นเรื่องเด็กอภิญญา ไปพลาง ๆ ก่อนนะคะ ( อ่านแล้วให้รู้สึกอายเด็กยิ่งนัก )

    คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ

    เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระเดชพระคุณพระอริยสงฆ์ ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเรียกว่า พระสุปฏิปันโน มาหลายองค์แล้ว ชักจะเบื่อ ๆ ลองมาเปลี่ยนบรรยากาศติดตามเรื่องของฆราวาส ๒ ท่านดูบ้าง คือ เรื่องของ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ เดี๋ยวพอให้คลายหายง่วงหายเหงา แล้วค่อยกลับเรื่องไปคุยถึงหลวงพ่อ ฯ หลวงปู่องค์อื่น ๆ กันอีกก็แล้วกันนะครับ

    ในสมัยที่ผมได้มาพบกับหลวงพ่อ ฯ ของเรานั้น ผมมียศเป็นร้อยตำรวจเอก แต่ได้รับเกียรติยศเป็นอย่างสูง ให้ไปช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า (ปัจจุบันเรียกชื่อใหม่ว่า “ศูนย์อำนวยการร่วม กองบัญชาการทหารสูงสุด”)

    ทั้งนี้ เป็นความกรุณาอย่างยิ่งของท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งในขณะนั้นมียศเป็น พ.อ. ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองยุทธการ ท่าน พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นมียศ พล.ท. ดำรงตำแหน่งรองเสนาธิการกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ท่าน พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหาร และท่าน พล.อ. ทำเนียบ ทับมณี รองประธานคณะเสนาธิการ กองอำนวยการกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ขณะนั้นยศ พ.ท. ดำรงตำแหน่งประจำกองยุทธการ

    ความจริงนอกจากผู้หลักผู้ใหญ่ทางฝ่ายทหารจะได้กรุณาผมดังกล่าวแล้ว ท่านผู้ใหญ่ทางตำรวจที่ให้ความกรุณาเป็นอย่างยิ่งกับผมในครั้งนั้นก็มี คือ ท่าน พล.ต.ท. ประเนตร ฤทธิ์ฤาชัย อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน และท่าน พล.ต.อ. วสิฏฐ์ เดชกุญชร ณ อยุธยา อดีต รมช. กระทรวงมหาดไทย ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ได้ช่วยเหลือและชักชวนให้ผมไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดนเช่นเดียวกัน

    ผมจำได้ดีว่า ทั้งสองท่านยังได้กรุณาพาผมไปเลี้ยงอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งแถวถนนพหลโยธิน แต่แล้วในที่สุด ด้วยความจำเป็นและความสะดวกสบายที่ได้รับมากกว่าจากทางกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ผมจึงจำเป็นต้องเลือกการไปช่วยราชการอยู่กับฝ่ายทหาร ทั้งๆ ที่ความผูกพันทางใจที่ลึกซึ้งนั้นอยู่กับตำรวจตระเวณชายแดนมากกว่า

    แต่ถ้าท่านเป็นผม ก็คงจะต้องเลือกเช่นเดียวกับที่ผมเลือกไปแล้ว ก็ลองคิดดูว่าจะให้ผมเลือกทางไหน ในเมื่อขณะนั้นผมยังเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เหน็บรักแร้ค้ำยันเวลาเดิน และต้องไปรักษาพยาบาลที่ ร.พ. พระมงกุฎทุกวัน ผมและภรรยาเช่าบ้านอยู่ที่ท่าดินแดงฝั่งธนบุรี ผมจะไปทำงานที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ซึ่งอยู่ตรงข้ามซอยสายลม พหลโยธินได้อย่างไร จะเบียดขึ้นรถประจำทางรึ ก็คงจะไปไม่รอด ครั้นจะขึ้นรถแท็กซี่อีกรึ ก็คงจะไม่มีปัญญา

    สำหรับทางฝ่ายทหารนั้นมีขีดความสามารถในการสนับสนุนและช่วยเหลือผมได้ดีกว่ามาก กล่าวคือ ได้จัดรถยนต์รับ-ส่ง พร้อมพลขับให้ อันเป็นการดูแลและอำนวยความสะดวกตลอดจนบรรเทาความเดือดร้อนในการเดินทาง ทั้งการไปทำงานและการไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ

    ดังนั้น ผมจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางที่จะสามารถดำรงชีวิตได้เอาไว้ก่อน และในระหว่างที่ผมช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้านี้นั่นเอง ผมก็ได้รับความกรุณาจากท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต เป็นอย่างยิ่ง โดยท่านได้กรุณาสนใจและเอาใจใส่ ให้ความสนิทสนม ให้ความคุ้นเคยประดุจบิดาซึ่งกระทำต่อบุตร

    ท่านมักเข้ามาที่ห้องทำงานของผมบ่อย ๆ นอกจากจะเข้ามาคุยเฮฮาสัพเพเหระ หรือเข้ามาสอนเรื่องหน้าที่การงานต่าง ๆ แล้ว ยังสอบถามเกี่ยวกับสาระทุกข์สุขดิบไม่เคยขาด เพราะความดีมีน้ำใจอันสม่ำเสมอของท่านนี่เอง ทำให้ท่านได้เห็นหนังสือที่เกี่ยวกับหลวงพ่อของเรา (ประวัติหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางนมโค) ที่ผมได้พยายามซ่อนเร้นแล้วบนโต๊ะทำงานของผม

    (ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจซ่อนให้จริงจังอะไร เพราะไม่ได้เป็นความผิดอะไร เพียงแต่อายนิดหน่อย กลัวท่านจะหาว่าบาดเจ็บแค่นี้ถึงกับเสียอกเสียใจจนต้องเข้าหาพระหาเจ้า จึงเอาหนังสือเล่มอื่นวางทับไว้ และด้วยเกรงว่าท่านจะหาว่าเอาเวลาราชการมาอ่านหนังสืออย่างหนึ่ง และงมงายอีกอย่างหนึ่ง)

    ต่อมาท่านก็คงจะสังเกตว่า เมื่อมีเวลาว่างคราใด ผมจะต้องหยิบหนังสือของหลวงพ่อ ฯ ขึ้นมาอ่านทุกที (ส่วนใหญ่เป็นเวลาหลังอาหารเที่ยง) ท่านจึงหยิบไปเปิดอ่านดูบ้าง พลิกไปพลิกมาแล้วก็คืน ผมเดาว่าท่านคงจะมีความสนใจ ดังนั้น ถ้าผมมีหนังสือเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ ผมจะหามาเผื่อให้ท่านด้วยอีก ๑ ชุดเสมอ หลังจากนั้นเมื่อท่านพบผม ท่านถามทำนองหยั่งเชิงผมทันทีว่า

    “คุณว่าจริงเร๊อะ” (ท่านคงจะหมายถึง เรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนเล่าเอาไว้)

    ผมก็ได้แต่มองหน้าท่านแบบยิ้ม ๆ ไม่ตอบท่านตรง ๆ ในทันที (เพราะผมก็ยังไม่แน่ใจนั่นเอง) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมได้มีโอกาสศึกษาธรรมจากหลวงพ่อ ฯ และยังได้พบเห็นสิ่งแปลก ๆ ที่น่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ ฯ และเมื่อสังเกตว่าท่านมีเวลาว่างพอ ผมจึงได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ ที่ผมได้ประสบพบมาให้ท่านฟัง ซึ่งท่านก็ฟังเรื่องที่ผมเล่าอย่างสนใจ แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปจากผมว่า จริงหรือไม่จริง

    ส่วนผมเองนั้นก็ไม่ทราบว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ (บุคคลในระดับนี้นั้น เด็กระดับผมชักจูงท่านไม่ได้หรอกครับ) เพราะภูมิปัญญาและความรู้ตลอดจนประสบการณ์ของท่าน สูงกว่าผมมากมายนัก

    เวลาล่วงเลยไปอีกระยะหนึ่ง ผมจึงได้ทราบว่า ท่านนั้นมีความเคารพเชื่อถือใน “หลวงปู่พล” เป็นอย่างยิ่ง สาเหตุนั้นมีอยู่ กล่าวคือ ท่าน พล.อ.ท. ลิขิต สุวรรณทัต (ยศ น.ท. สมัยนั้น) ญาติของท่านและภรรยา ได้ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับ “หลวงปู่พล” อยู่เสมอ ๆ

    สมัยนั้นทราบว่า หลวงปู่พล ฯ ท่านมักจะมาสอนกรรมฐานอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งแถว ๆ บางแค ท่านลิขิต ฯ กับภริยาก็มักจะหาโอกาสไปฝึกเสมอ และได้นำบุตรชายของท่าน ๒ คนติดตามไปด้วย คือ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ซึ่งเมื่อท่านบิดามารดากำลังฝึกกรรมฐาน คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็เล่นกันอยู่ข้างนอกตามประสาเด็ก

    ครั้นเล่นจนเหนื่อยอ่อนจึงมานั่งคอยบิดามารดา และได้ยินการสอนของ หลวงปู่พล ฯ ไปด้วยโดยบังเอิญ และก็ตามประสาเด็กอีกนั่นแหละ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็ชวนกันเล่นนั่งสมาธิเลียนแบบผู้ใหญ่ตามที่ได้ยินคำสอนของ หลวงปู่พล ฯ นั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2015
  8. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ปรากฏว่า ทั้ง คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ นั้น พอจิตเป็นสมาธิก็ได้ทิพจักขุญาณทันที สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระ และไม่ใช่เพียงแต่เห็นอย่างเดียว ยังสามารถติดต่อพูดคุยด้วยได้อีก สิ่งของต่าง ๆ ที่บ้านใคร คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ บอกได้หมดว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปที่บ้านนั้นมาก่อน

    แม้สิ่งของบางอย่างที่เจ้าของลืมไปแล้วว่าสิ่งของในกล่องที่เก็บเอาไว้นั้นเป็นอะไร ก็สามารถบอกได้เลยว่าสิ่งของนั้นเป็นอะไร ทีนี้ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณตาท่านก็สนุกใหญ่ ท่านพา คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปที่บ้านของท่าน พาไปที่ห้องเก็บของ แม่จ้าวโวย...สัพเพเหระ สิ่งของกองเป็นพะเนินอยู่ในห้อง อยู่ในกล่องก็มี ห่อเอาไว้ก็มี ขี้ฝุ่นหนาปึ้ก

    ท่านเจ้าของเองก็ลืมไปหมดแล้วว่า ภายในมีอะไรบ้าง แล้วคุณตาก็ถามคุณหลานว่าห่อนั้นห่อนี้มีอะไร คุณหลานก็บอก ซึ่งเมื่อแก้กล่องหรือห่อออกมาพิสูจน์ดู ก็ตรงตามที่คุณหลานบอกเอาไว้ไม่มีผิดพลาด คุณตากับคุณหลานก็มักจะเล่นทายสิ่งของที่หมกเอาไว้จนคุณตาลืมอยู่เป็นประจำ จนคุณหลานสุดแสนจะเบื่อหน่าย แต่คุณตาไม่เบื่อเลย (สมัยนั้น คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ อายุราว ๆ ๔-๕ ขวบ)

    คุณตาอยากเล่นแบบนี้ด้วยทุกวัน เพราะการทายสิ่งของดังกล่าวนี้ คุณตาสามารถท้าพิสูจน์กับใครก็ได้ว่าคุณหลานเห็นจริง ๆ นอกจากนั้น เรื่องที่ตลกและขำขันก็คือ คราวหนึ่ง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นึกสนุกอยากจะรู้ใจเจ้าสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้ขึ้นมา จึงได้ผลัดกันหลอกถามเจ้าสุนัขน้อยนั้นว่า ระหว่าง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น เจ้าหมาน้อยรักใครมากกว่า

    คำตอบของเจ้าหมาน้อยทำให้ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ หัวเราะลั่นจนงอหาย ชอบอกชอบใจว่าสุนัขนั้นตอบถูกใจ แต่ก็ทำเอาคุณพ่อคุณแม่ตกอกตกใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้มาสอบถาม และจึงพลอยได้รู้เรื่องนี้ไปด้วย

    ทั้งนี้ไม่ว่าใคร พอได้ทราบว่าเจ้าหมาน้อยตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไรแล้ว ต่างก็หัวร่อกันงอหายเช่นเดียวกับ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปตาม ๆ กัน เพราะสำหรับสุนัขแล้ว คำตอบนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าสุนัขน้อยตัวนี้ นอกจากจะฉลาดแล้วยังมีปฎิภาณไหวพริบและ IQ ไม่เบา

    อยากรู้ไหมว่าเจ้าสุนัขตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไร มันตอบว่า “รักเท่ากัน”

    ผมยังจำได้ดีในขณะที่ได้ฟังเรื่องนี้จากท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ท่านจะเล่าไปหัวเราะไปขบขันขนาดน้ำหูน้ำตาไหล ท่านว่า “แหม...ไอ้หมาตัวนี้มันฉะหลาด (ฉลาด)” แล้วก็หัวร่อต่อจนงอหงาย..!

    ทิพจักขุญาณ

    …….เรื่องที่ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ สามารถทายสิ่งของที่อยู่ภายในโดยมีสิ่งภายนอกปกปิดอยู่ เป็นเรื่องที่คุณตาสามารถท้าใครต่อใครให้มาพิสูจน์ได้ทุกเวลาทุกโอกาส เรียกว่าถามปุ๊บก็จะตอบปั๊บ ไม่มีการรีรอหรือลังเลใจ ไม่ต้องหลับตา เพียงแต่ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ออกจะรำคาญ เพราะยังเด็กมาก และก็คงจะเบื่อละครับ และมีคนมาขอให้ทาย ขอให้พิสูจน์แบบนี้อยู่บ่อย ๆ จึงไม่รู้สึกสนุกเพราะถูกชวนเล่นซ้ำ ๆ กันอยู่อย่างนั้น

    แต่พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่เห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ และรู้สึกสนุกกันจัง โดยเฉพาะคุณตา ไม่รู้จักเบื่อเลยที่จะชวนคุณหลานทั้งสองเล่นทายของในห่อ หรือทายว่าที่ห้องโน้นที่ห้องนี้มีอะไร ต้นไม้นี้มีผู้ใดสถิตย์อยู่

    บ้านหลังนี้บ้านหลังโน้นมีใครปกปักรักษาอยู่ ท่านชื่ออะไร ถ้าคุณหลานไม่รู้จักชื่อคุณตาก็สอนให้ถาม ซึ่งคุณหลานก็ตอบและทำตามอย่างเสียไม่ได้ เพราะตอนแรกก็ดีอยู่ แต่ตอนหลังเบื่อแล้วไม่เห็นสนุกตรงไหน แต่ก็ตอบถูกทุกครั้ง (เป็นร้อย ๆ พัน ๆ ครั้ง) โดยไม่เคยผิดพลาด

    เท่าที่ผมสังเกต ผมรู้สึกว่าเวลามีผู้ใหญ่ไปพูดคุยกับ คุณจักร ฯ หรือคุณศาสน์ ฯ อากัปกิริยาของทั้งสองจะสำรวมและเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที คำพูดคำจานั้นเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เกินเด็ก และด้วยท่าทางที่สุภาพอ่อนน้อมที่แฝงไปด้วยอำนาจในตัว ทำให้ผู้ใหญ่กว่าที่เข้าไปพูดจาด้วยดูเหมือนจะกลายเป็นเด็กไปเสียเอง

    แต่เมื่อปล่อยเขาเอาไว้ตามลำพัง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ก็เล่นกันซุกซนกันเหมือนกับเด็กธรรมดา ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกันนั้นนั่นเอง แต่มักจะชอบเล่นด้วยกันเพียง ๒ คนมากเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะเขาทั้งสองสามารถพูดจากันรู้เรื่องได้ดีกว่ากับเด็กอื่น ๆ (ผู้ใหญ่ด้วยครับ แฮ่ม…)

    เนื่องจากสามารถเห็นในสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาคนอื่น ๆ ไม่เห็น สามารถพูดคุยกับสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาคนอื่น ๆ ไม่สามารถพูดคุยด้วยได้ด้วยกันพร้อม ๆ กัน เขารู้เขาเห็นด้วยตนเองทั้งสองคน เขาจึงไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย

    ผมจะเปรียบเทียบกับอะไรดีหนอ เหมือนนายแพทย์คุยกับนายแพทย์ ทหารคุยกับทหาร หรือตำรวจคุยกับตำรวจด้วยกันนั่นแหละ รู้และเข้าใจกันได้ในเวลาอันสั้น เขาจึงสนิทสนมกันเป็นพิเศษ เขาจะหารือสอบถามกันเมื่อคนใดคนหนึ่งไม่เข้าใจ เมื่อได้รับการเตือนหรือการสั่งสอนจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น (ซึ่งเขาทั้งสองติดต่อได้) ถ้ายังไม่เข้าใจอีก บางครั้งเขาจึงจะมาถามกับคุณพ่อคุณแม่ ส่วนใหญ่เป็นคำศัพท์สูง ๆ ที่เด็กในวัยเขาไม่เข้าใจ

    ในระยะแรก ๆ คุณพ่อคุณแม่ก็รู้สึกวิตกกังวลใจมากที่บุตรชายทั้งสองคนรู้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น จึงกลัวว่าจะไม่ปกติธรรมดาเหมือนผู้อื่น และไม่ทราบว่าจะเป็นอันตรายกับบุตรหรือไม่ ในที่สุดก็สบายใจว่า ก็แค่ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เท่านั้นเอง

    ครั้งหนึ่งคุณตา (พล.อ. ทวนทอง ฯ) มาเล่าให้ผมฟังว่า คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ เคยต่อว่าต่อขานกันเล็กน้อยด้วยเรื่องการเล่นซ่อนหา เนื่องจากต่างคนต่างก็มีทิพจักขุญาณ ดังนั้น เมื่อใครไปซ่อนอยู่ที่ไหน อีกฝ่ายหนึ่งก็จะรู้ได้โดยไม่ต้องไปเดินหา ทำให้การเล่นซ่อนหาระหว่าง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ จะต้องมีสัญญาต่อกันเป็นพิเศษมากกว่าเด็กอื่น ๆ

    คือต้องสัญญากันว่าจะต้องเล่นกันแบบธรรมดา ๆ ที่ชาวบ้านเขาเล่นกัน ห้ามใช้ทิพจักขุญาณไม่งั้นหมดสนุกแน่ แต่แล้วไม่ทราบว่าใครผิดข้อตกลง อีกคนหนึ่งจึงหัวเสียบ่นพึมพำไปทั้งวันเลยว่าเล่นแบบนั้น (แบบใช้ทิพจักขุญาณ) ไม่เห็นสนุกเลย

    ส่วนอีกคนก็ทำหน้าเจื่อน ๆ (เหมือนเด็กที่เล่นโกงแล้วถูกจับได้แถมโดนฟ้องแม่นั่นแหละ) ท่านผู้อ่านลองนึกวาดภาพดูเด็กชายตัวเล็ก ๆ ๒ คน พูดจาต่อว่าต่อขานกันในเรื่องนี้อย่างหัวเสียจริง ๆ ซิครับ ว่าเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูและน่าทึ่งปานใด

    ความสามารถพิเศษของ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นี้ ทำให้ผมยิ่งบังเกิดความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อ ฯ นำมาถ่ายทอดว่า วิชาต่าง ๆ ในกรรมฐาน ๔๐ นั้น สามารถทำได้ ปฏิบัติได้ ฝึกฝนได้และพิสูจน์ได้จริง

    สำหรับท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ก็คงจะเช่นเดียวกัน เมื่อท่านเห็นหลานของท่านมีความสามารถเช่นนี้ ท่านจึงเชื่อว่าครูบาอาจารย์ของทั้งสอง คือ หลวงปู่พล ฯ ต้องเป็นพระสุปฏิปันโนแน่ ๆ เพราะ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ เพียงแต่จำคำสอนของ หลวงปู่พล ฯ แล้วนำมาปฏิบัติแบบเล่น ๆ กัน ก็ได้ทิพจักขุญาณและยังสามารถพูดคุยกับพระกับพรหมกับเทพ หรือกับสัตว์ก็ได้

    แต่สำหรับหลวงพ่อ ฯ ของเรานั้น ผมคิดว่าในขณะนั้น ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าใด เรียกว่ายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่างั้นเถิด แต่ท่านก็ไม่เคยปรามาสหรือดูถูกดูแคลน ได้สนับสนุนและกรุณาให้ผมกับทหารไปดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับหลวงพ่อ ฯ เสมอต้นเสมอปลายมาโดยตลอด

    และแล้วในวันสำคัญที่ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ จะเชื่อถือและหมดความสงสัยข้องใจในหลวงพ่อ ฯ ของพวกเราอย่างสนิทใจก็มาถึง

    วันนั้นท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ นิมนต์หลวงพ่อ ฯ ไปฉันเพลที่บ้านของท่านที่ลาดพร้าว หลวงพ่อ ฯ ได้กรุณาไปบวงสรวงให้ด้วย มีแขกไปร่วมงานไม่มากนักไม่ถึง ๒๐ คน ส่วนใหญ่ใกล้ชิดกับท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ รวมทั้ง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ด้วย ซึ่งก็ไปคอยต้อนรับ แล้วก็แว่บไปเล่นซุกซนกันไปตามประสาเด็ก

    หลังจากพิธีบวงสรวงเสร็จแล้ว จังหวะที่หลวงพ่อ ฯ กำลังสนทนากับผู้ใหญ่หลาย ๆ คนอยู่ที่ห้องรับแขก (โดยผมเองนั้นหลบมานั่งอยู่ที่ห้องรับประทานอาหารซึ่งอยู่ถัดออกมา มีห้องโถงคั่นกลางระหว่างห้องรับแขกกับห้องรับประทานอาหาร) ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ได้ปลีกตัวออกมาจากห้องรับแขก และเข้ามาที่ห้องรับประทานอาหาร นัยว่าเพื่อมาดูความเรียบร้อยในการจัดภัตตาหารสำหรับถวายหลวงพ่อ ฯ

    แต่ปรากฎว่า ท่านได้แอบทดสอบหลวงพ่อ ฯ โดยได้ให้คนไปเรียก คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ เข้ามาพบท่านทีละคน แล้วท่านก็ซักถามแต่ละคนว่า ทั้งสองเห็นอะไรบ้างในตอนที่หลวงพ่อ ฯ ทำพิธีบวงสรวง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ตอบตรงกันว่า เห็นแสงเต็มไปหมด เห็นเทวดา เห็นพรหม และเห็นพระหลายองค์

    และมีพระอยู่องค์หนึ่งซึ่งทั้งสองติดใจเป็นพิเศษเพราะเกล้าผมมวย ซึ่งทั้งสองไม่เคยเห็นพระเกล้าผมมวยมาก่อน จึงรู้สึกแปลกตาไปกว่าองค์อื่น ๆ (ซึ่งต่อมาทราบว่าหลวงพ่อ ฯ ได้อาราธนาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ รวมทั้งสมเด็จองค์ปฐมด้วย และท่านก็มา)

    เวลาที่ซักถาม คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น เป็นเวลาที่หลวงพ่อ ฯ บวงสรวงเสร็จแล้ว คุณตาเซ้าซี้ให้คุณหลานถามกับทุกองค์ที่มาว่าท่านชื่ออะไร เพราะคุณหลานยังเด็กไม่รู้จักชื่อพระและท่านที่มา คุณหลานก็ตอบว่าท่านกลับไปหมดแล้ว คุณตาก็เซ้าซี้อีกว่าลองดูอีกทีซิ ยังเหลือใครอยู่กับหลวงพ่อ ฯ บ้าง

    คุณหลานก็ชะเง้อมองไปที่ห้องรับแขก บอกว่ายังเหลือมีพระอยู่อีก ๑ องค์ ยืนอยู่ข้างหลังของหลวงพ่อ ฯ แต่คุณหลานไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร แต่ได้อธิบายรูปร่างหน้าตาให้ทราบ ผมกระซิบบอกคุณตาว่า เห็นทีจะเป็นหลวงปู่ปาน ฯ แน่ ๆ คุณตายังไม่เชื่อผม จึงให้คุณหลานถามให้ที คุณหลานก็ถามให้แล้วตอบคุณตาว่า “ท่านว่าท่านชื่อหลวงพ่อปาน อยู่วัดบางนมโค”

    คุณหลานขยายความอีกว่า พระองค์ที่ชื่อปาน ฯ นี้มาพร้อมกับหลวงพ่อ ฯ ตั้งแต่ต้น ผมเห็นคุณตายังทำท่าสงสัยอยู่อีก จึงได้ไปเอารูปพระเกจิอาจารย์หลายองค์ที่ผมมีอยู่ในรถมาให้คุณหลานดู คุณหลานชี้มั๊บไปที่รูปหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางนมโค แล้วบอกว่าพระองค์นี้แหละ และยังอยู่กับหลวงพ่อ ฯ ที่ห้องรับแขก

    เมื่อซักถามคุณหลานจนสิ้นสงสัยแล้ว คุณตานั่งเงียบไปเลย และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คุณตาก็สิ้นสงสัยในหลวงพ่อ ฯ และสนใจอยากฝึกให้ได้ทิพจักขุญาณตามคำสอนของหลวงพ่อ ฯ เพราะเกรงใจที่จะต้องไปคอยถามอะไร ๆ จากคุณหลาน และท่านก็สามารถฝึกได้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็วมากจนน่าอิจฉา และนอกจากจะฝึกเองได้แล้ว ท่านยังได้กรุณาเผื่อแผ่และสอนให้ผู้อื่นฝึกเช่นเดียวกัน โดยอุทิศบ้านของท่านให้เป็นสำนักสาขาหนึ่งของหลวงพ่อ ฯ เลยทีเดียว

    สำหรับ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น หลวงพ่อ ฯ ได้กรุณาอธิบายภายหลังว่า เป็นของเดิมที่ทั้งสองเคยฝึกมาก่อนแล้วในอดีตชาติ พอได้มาทบทวนเพียงเล็กน้อยก็สามารถจะระลึกได้ แต่เมื่อเจริญวัยขึ้นก็จะเสื่อมถอยไปบ้าง แต่เขาทั้งสองจะอยู่ในศีลในธรรมตลอด คุณพ่อคุณแม่และคุณตาไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อถึงวัยกลางคนก็จะกลับมาคล่องเหมือนเดิมอีก

    เรื่องราวที่ผมเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๘ – ๒๕๑๙ เกือบจะ ๒๐ ปีแล้ว และผมไม่ได้พบกับ คุณจักร ฯ คุณศาสน์ ฯ อีกเลย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของผม เหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ยังจำได้ถึงท่าทางฉุน ๆ นิด ๆ ของคุณตา เมื่อถามคุณหลานว่าชาติก่อนตาเป็นอะไร แล้วคุณหลานตอบว่า ชาติก่อนคุณตาเป็นรุกขเทวดา ทำเอาคุณตาย้ำเสียงหลงว่า ห๊า…รุกขเทวดาที่อยู่ตามต้นไม้น่ะเหรอ คุณหลานก็ยืนยันว่าใช่

    คุณตาก็พาลหันรีหันขวาง พาลหันมาชี้มั๊บมาที่ผม แล้วถามว่า แล้วชาติก่อนคุณอาเป็นอะไร คุณหลานก็ได้ตอบให้คุณตาทราบ (ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับใครที่จะต้องรู้ รู้ไปก็ไลท์บอยว่างั้นเถิด แต่เป็นประโยชน์สำหรับผมเองที่จะต้องระมัดระวังมิให้ตกต่ำกว่าปัจจุบันและอดีตเป็นอันขาด)

    อนึ่ง ผมต้องกราบขออภัยเป็นอย่างสูง สำหรับท่านที่ผมได้กล่าวอ้างถึงมาแล้วหลายคน โดยที่ผมไม่ได้ไปกราบขออนุญาตก่อน และทุกท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ สามารถอ้างอิงได้ และถ้าเรื่องที่ผมเขียนไม่น่าเชื่อถือหรือคิดว่าไม่เป็นความจริง ท่านที่อ่านและรู้จักกับท่านที่ผมเอ่ยนามมาแล้ว กรุณาไปสอบถามได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ งานนี้ผมเอาชื่อเสียงและชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นความจริงเป็นความอาญาครับ (ก็ติดตารางน่ะซีครับ ถามได้)

    สำหรับบางท่าน ผมก็จำชื่อเต็มของท่านไม่ได้ เช่น คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ก็ต้องกราบขออภัยเป็นพิเศษ เพราะในครั้งกระนั้นคุณทั้งสองได้กรุณามาบอกชื่อกับผม และยังกรุณาบอกด้วยว่าท่าน (ผมไม่บอกว่าท่านไหน) ให้จดเอาไว้ด้วยนะคุณอา (โดยผมก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องจด แต่ก็จดให้ตามใจท่าน แต่บัดนี้พอจะเข้าใจแล้วครับ)

    ผมไม่อยากจะแก้ตัว แต่ด้วยความจำเป็นที่ต้องย้ายไปรับราชการที่แห่งใหม่อยู่เรื่อยไป ชนิดที่ต้องเรียกว่า ชีพจรเทอร์โบ (ไวเสียยิ่งกว่าลงเท้าอีกครับ) เพราะบางแห่งอยู่ได้เพียง ๔ เดือนกับ ๘ วันก็ยังเคย (แต่ให้ย้ายไปที่ดีกว่าชนิดที่เทียบกันไม่ได้) หลักฐานเอกสารต่าง ๆ ที่บันทึกเอาไว้ เชื่อว่ายังอยู่ แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนเพราะฝากเอาไว้หลายแห่งด้วยกัน บัดนี้ จึงจำเป็นต้องเขียนเอาด้วยความทรงจำเท่านั้น แต่ก็ยังดีและมีไฟอยู่

    หมายเหตุ - โดย..คณะผู้จัดทำ "เว็บวัดท่าซุง"


    หลวงปู่พล ธมมปาโล คือ อดีตเจ้าอาวาส วัดหนองคณฑี ต.พุกร่าง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ต่อมาได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสังวรธรรมานุวัตร เป็นพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่ พล.อ.ทวนทอง สุวรรณทัต ให้ความเคารพนับถือ ท่านได้ถึงกาลมรณภาพเมื่อ วันที่ ๒๒ พ.ย. ๒๕๓๔

    คัดลอกมาจาก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=984
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2015
  9. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เด็กหญิงจารุณี มณี


    ....วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๕.๑๒ น. เป็นวันแรกที่หนูเรียนสมาธิ ได้เห็นอะไรได้หมดทุกอย่าง วันนั้นครูนฤมลพานักเรียนชั้น ป.๖ ชั้นเดียวเท่านั้น ตอนแรกครูนฤมลพาไปที่จุฬามณี แล้วก็ไปสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ ไปที่ชั้นไหนมีแต่เทวดานางฟ้ามาต้อนรับกัน

    ...พอไปสวรรค์เสร็จก็ลงมาที่พระจุฬามณี ลงมากราบพระพุทธเจ้า พูดอะไรกันนิดหน่อย เพราะไม่มีเวลามาก จึงขอลากลับมา ครูนฤมลถามว่าไปกันได้ไหม นักเรียนชั้น ป.๖ ตอบว่าไปกันได้ มีความสุขดีค่ะ

    ...วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๕.๔๕ น. วันนั้นหลวงปู่ปานท่านมาที่ห้องเรียน มาบอกให้ไปเรียนวิชากับปู่ หนูก็ขึ้นไป ท่านสอนวิชาฌาน หนูเรียนกับท่านสนุกมาก ท่านบอกอะไรหนูก็ทำทุกอย่าง หนูได้ฌาน ๑ หนูดีใจมาก ท่านบอกว่าพรุ่งนี้ปู่จะไปรับนะ หนูจึงขอลาท่าน

    หลวงปู่สอนเหาะ

    วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๕.๐๐ น. ตอนที่หนูขึ้นไปที่พระจุฬามณีไปหาหลวงปู่ปาน ท่านถามว่า วันนี้จะเรียนวิชาอะไรหนูบอกว่าเรียนวิชาเหาะดีกว่า เพราะจะได้เหาะไปไหนมาไหนได้ พอพูดจบหลวงปู่พาหนูเหาะไปที่ป่าหิมพานต์ ท่านเริ่มสอน หลวงปู่ท่านเดินขึ้นไปข้างบน ไม่ไกลเท่าไร

    ลงแล้วท่านก็บอกว่า เจ้าเรียนถึงขั้นที่ ๑ แล้ว ท่านก็พูดว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อน เพราะปู่จะต้องไป เจ้าก็ต้องไปด้วย ท่านก็พาหนูเหาะไปที่วิมานของท่าน แล้วก็ไปที่เจ้าแม่กวนอิมนะ หนูก็ไปที่ท่าน ท่านมอบพลังให้แก่หนู พอท่านให้เสร็จท่านก็พูดกันนิดหน่อย แล้วจึงขอลาท่าน

    เรียนวิชาตาทิพย์

    วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ หนูขึ้นไปเรียนวิชาเหมือนเดิม แต่วันนี้หลวงปู่กำหนดให้เรียนวิชาตาทิพย์ หนูดีใจมากที่ฉันจะได้เห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ พอเริ่มเรียนจริงๆ ก็รู้สึกว่ามีขั้นตอนมาก ไม่ใช่ของง่ายๆ เลย คือหลวงปู่ให้ “เพ่งแสงสว่าง” ที่อยู่ข้างนอก แล้วกำหนดให้แสงนั้นเข้าไปอยู่ในตา นึกอยากจะเห็นอะไรก็มองเห็นได้เลย ตอนนี้หนูกำลังเรียนถึงขั้นที่ ๓ แล้ว ยังต้องเรียนอีกหลายขั้นตอน

    วันที่ได้แหวนจากหลวงปู่ปาน

    ตามปกติหนูจะต้องขึ้นไปเรียนวิชาต่างๆ กับหลวงปู่ปานทุกวัน วันนั้นตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๕ หนูก็ขึ้นไปเรียน “วิชาดำดิน” เหมือนเดิม พอเรียนวิชาเสร็จหนูก็นึกสนุกจึงเล่นกลและเล่นแสดงตลกให้หลวงปู่ดู ท่านชอบใจหัวเราะจนท้องแข็ง

    แล้วท่านก็หันไปเอากล่องเล็กๆ กล่องหนึ่ง ท่านเปิดกล่องก็มีแหวนอยู่ ท่านหยิบแหวนขึ้นมาแล้ว
    ท่านก็พูดว่า “ปู่ขอมอบแหวนให้แก แกมันเก่งจริงๆ ปู่ขอชม หลานของข้าใครอย่าแหยม... นะ จะบอกให้”
    หลวงปู่บอกอีกว่า “วันนี้ปู่จะไปส่งแกที่บ้านนะ”

    แล้วท่านก็ลงมาส่งหนูที่บ้าน พอกลับถึงบ้านหลวงปู่บอกว่า “ปู่ส่งแกแค่นี้นะ”
    พอท่านพูดจบ หนูจึงกราบขอบพระคุณและกราบลาท่าน แล้วท่านก็หายแว้บไป แหวนที่หนูได้เป็นแหวนจริง โดยตัวแหวนมาสวมอยู่ที่นิ้วของหนู เป็นแหวนทองเหลือง มีพระพุทธรูปอยู่รอบตัวแหวน และมีอักขระอยู่ด้านในตัวแหวนด้วยค่ะ

    เรียนวิชาล้างจานและดำน้ำ

    วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๕ คืนนี้หลวงปู่ให้เรียน ๒ วิชา คือ ๑.วิชาล้างจาน ๒. วิชาดำน้ำ
    เรียนวิชาล้างจานทำได้ง่าย โดยใช้มือชี้ที่จานที่ยังไม่ได้ล้าง น้ำจะพุ่งออกจากมือเหมือนมือไปล้างจานแทนมือเรา

    แล้วเรียนวิชาดำน้ำ หลวงปู่พาไปเรียนที่สระโบกขรณี โดยหลวงปู่บอกให้ลงไปใต้น้ำ ตอนแรกก็กลัวเหมือนกัน แต่ตอนหลังดำลงไปใต้น้ำ มี ปลา กุ้ง หอย ปู พอลงไปสักพัก (๒ ชั่วโมง) ก็ขึ้นมา
    หลวงปู่ก็บอกว่า “วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ”
    หนูกราบขอบพระคุณท่านแล้วก็ลงมา


    คัดลอกจาก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1324
     
  10. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เด็กชายบัญชา กันทะวงศ์ ฝึกอภิญญา

    วันที่ฝึกมโนมยิทธิวันแรก

    ...วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๕.๐๐ น. วันนี้คือวันแรกที่คุณครูนฤมล ได้สอนมโนมยิทธิให้แก่นักเรียนชั้น ป.๖ ชั้นเดียว เพราะชั่วโมงนี้ว่าง ครูนฤมลจึงบอกให้นักเรียนชั้น ป.๖ นั่งสมาธิ พวกนักเรียนชั้น ป.๖ ก็นั่งสมาธิอย่างที่ครูนฤมลบอก

    ...พอได้สักครู่ครูนฤมลจึงให้เปลี่ยนคำพูดจาก “พุทโธ” เป็น “นะมะพะธะ” ไปสักครู่
    ...แล้วก็ถามว่า “ตอนนี้มีใครอยู่ข้างหน้านักเรียนบ้าง”
    ...นักเรียนชั้น ป.๖ บอกว่า “มีแล้ว”

    ครูนฤมลจึงบอกว่า “พระองค์คือพระพุทธเจ้า”
    แล้วครูนฤมลก็พาไปที่พระจุฬามณี ไปกราบพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงปู่ฤาษี แล้วก็พาไปที่สวนจิตรลดา แล้วก็ไปที่สวนนันทวัน ไปสระโบกขรณี แล้วไปสวรรค์ชั้น ๑ – ๖ แล้วก็กลับมาที่พระจุฬามณี มากราบลาพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงปู่ฤาษี แล้วก็กลับ

    หลวงปู่สอนให้เข้าฌาน

    วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๕.๑๕ น. วันนั้นตอนนั่งสมาธิอยู่กับครูนฤมล ตอนที่ไปกราบพระจุฬามณี หลวงปู่ปานท่านเรียกผมไปหาท่าน แล้วท่านก็บอกว่า ให้ผมตามท่านไปที่ป่าหิมพานต์ พอไปถึงที่ป่าหิมพานต์ ท่านก็ไปนั่งที่แท่นหิน ท่านบอกให้ผมนั่งสมาธิสงบจิตใจสักพัก

    พอได้สักครู่ท่านก็ถามผมว่า “อยากได้ฌานไหม?”
    ผมก็ตอบว่า “อยากได้ครับผม”
    แล้วท่านก็สอนเข้าฌาน พอผมเข้าฌานก็พูดธรรมะให้ฟังหลายอย่าง พอได้สักประมาณ ๒๐ นาที ท่านก็บอกให้ออกจากฌาน หลวงปู่ปานบอกว่า ยังไม่ถึงฌาน ๑ เลย แล้วผมก็กราบลาท่าน

    วันที่หลวงปู่ปานพาไปสอนเข้าฌาน ๑

    วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๗.๔๐ น. หลวงปู่ได้เรียกให้ไปหาท่านที่วิมานก่อน แล้วท่านจะพาไปที่แห่งหนึ่ง แล้วพอไปถึงวิมานของท่าน หลวงปู่ก็พาไปที่ถ้ำมรกต พอไปถึงถ้ำมรกต ท่านบอกว่า ให้นั่งสมาธิสงบจิตใจสักพักก่อน... หลวงปู่บอก

    พอได้สักครูท่านก็บอกให้เข้าฌาน ๑ พอผมเข้าฌานหลวงปู่ปานท่านให้คติเตือนใจหลายอย่าง พอได้เน ๑ หลวงปู่ปานท่านจึงให้ออกจากฌาน หลังจากนี้ไปหลวงปู่ปานท่านบอกว่า “ทุกวันเจ้าจะได้วันละครึ่งของฌานนะ จะบอกให้รู้เสียก่อนนะ แกรู้ไหม...”

    เรียนวิชาดำดิน

    วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๕ ผมได้ไปเรียนกับหลวงปู่ปานอย่างเดิม
    แต่วันนี้หลวงปู่ปานท่านบอกว่า “วิชาที่เรียนพวกนั้นให้หยุดไปสักพักนะ ปู่จะสอนวิชาใหม่ให้ คือ วิชาดำดิน เจ้าจะเรียนไหม?”
    ผมก็ตอบว่า “อยากเรียนขอรับ”

    หลวงปู่ปานบอกว่า “ไม่ต้องมาพูดขอรับ ทุกวันทำไมไม่พูดอย่างนี้ เอ้า! แกจะเรียนหรือไม่เรียน”
    ผมก็บอกว่า “เรียนครับ”
    เรียนแล้วหลวงปู่ก็พาผมไปที่แดนสนธยา

    แดนสนธยาสวยมากเลยครับ ผมชอบแดนสนธยามากเลยครับ ผมแอบไปเที่ยวนิดหน่อยแล้วกลับมาเรียน พอมาถึงหลวงปู่ปานเตรียมไม้ตะพด เขกหัวผมเรียบร้อยเลยครับ หลวงปู่เขกหัวผมตั้ง ๕ ที ผมหัวปูด ๕ ลูก แล้วก็ไปเรียนต่อ

    คือหลวงปู่ให้ทำจิตให้นิ่ง และท่องคาถาแล้วดำดินไปในดิน บางทีก็ดำไปชนเอารากไม้ หลวงปู่ให้ดำขึ้นดำลง ไปทางซ้ายทางขวา พอเรียนเสร็จผมก็กลับลงมา

    เรียนวิชาทำให้ของลอยได้

    วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๕ ผมก็ขึ้นไปเรียนกับหลวงปู่ปานอย่างเดิม พอไปถึงท่านก็พาผมไปที่แห่งหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน ผมคิดว่าหลวงปู่จะสอนวิชาดำดิน
    แต่หลวงปู่บอกว่า “วันนี้ข้าจะสอนวิชาใหม่ให้เจ้า”
    ท่านบอกว่า “เอ้า! เรียนกันได้แล้ว”

    พอเรียนเสร็จก็จะบอกว่า วิชานี้ชื่ออะไร ที่เขาเรียกว่า “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน”
    แล้วหลวงปู่ก็เริ่มสอน โดยหลวงปู่ให้เอามือชี้ไปที่ก้อนหินก้อนที่ไม่ใหญ่ (หรือจะใช้จิตเพ่งก็ได้) ก้อนหินก็ลอยตามนิ้วมือ ลอยสูงได้ประมาณ ๑ ศอก ก็หล่นลงที่เดิม พอเรียนเสร็จ หลวงปู่ก็พาผมไปที่วิมานของพระพุทธเจ้า แล้วไปหาท่านแม่ศรี

    ไปหาท่านปู่ท่านย่า แล้วไปที่วิมานของหลวงปู่ ท่านบอกว่า “ที่แกเรียนไปเมื่อกี้ ปู่จะบอกให้ว่า เขาเรียกว่า วิชาทำให้ของลอยได้” ผมไปเรียนอีกหลายครั้ง พอคนไม่อยู่บ้านผมก็ทดลองทำดู โดยทำให้เครื่องครัวให้ลอยขึ้น เช่น เตาแก๊ส จาน ชาม ต่างๆ แล้วก็ทำให้กลับที่เดิม

    เมื่อเหาะมาวัดท่าซุง

    เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๕ หลังจากผมอาบน้ำ รับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว เวลาประมาณ ๑ ทุ่ม ผมไหว้พระและนั่งสมาธิ โดยนัดหมายกับ “จารุณี” และ “ไพลิน” นั่งสมาธิในเวลาใกล้เคียงกัน ผมได้เหาะไปวัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ซึ่ง “วิชาเหาะ” นี้ หลวงปู่ปานท่านเป็นผู้สอนให้ผมกับจารุณีและไพลินด้วย

    พวกผมทั้ง ๓ คน ได้ไปเล่นบนหลังคาวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร ไปเล่นเป็นพระเอกขี่ม้าขาว มีไพลินเล่นเป็นปีศาจ จารุณีเล่นเป็นเจ้าหญิง ซึ่งถูกกักขังอยู่ในคุก ส่วนตัวผมเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเจ้าหญิง ให้พ้นจากนางปีศาจ พอไปช่วยเจ้าหญิง ตอนนั้นพอดีท่านท้าวจาตุมหาราชมาพบเข้าจึงสั่งห้ามไม่ให้เล่น

    พวกผมไม่เชื่อ ท่านจึงเอาก้อนหินปามาที่พวกผมเป็นการสั่งสอน เพราะความซนของพวกผม ผมจึงเลิกเล่นและกลับบ้าน พอกลับมาถึงบ้าน ปรากฏว่าแต่ละคนหัวโนขึ้นมาคนละลูกสองลูก ผมคิดว่า ท่านท้าวจาตุมหาราชคงไม่อยากให้พวกผมเล่นซนแบบนั้นอีก ผมจึงกราบขอพระคุณท่าน ท่านเมตตาต่อพวกผม

    (ในคืนนั้นผมกำลังนอนหลับสนิทอยู่ ท่านท้าวจาตุมหาราชไปปลุกถึงที่บ้าน
    บอกว่า “ตื่น... ลุกขึ้นๆ ไปวัดท่าซุงกัน”
    ผมเลยรีบลุกขึ้นมาที่วัดทันทีครับ ใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาที ก็มาถึงวัดท่าซุง)

    หลวงปู่ปานสอนดำน้ำในทะเล

    วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๐.๔๕ น. ผมไหว้พระสวดมนต์และนั่งสมาธิ โดยนัดหมายกับจารุณีและไพลิน นั่งสมาธิเวลาใกล้เคียงกัน ผมได้ไปเรียนวิชากับหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานท่านบอกว่า “ข้าจะสอนให้เจ้าดำน้ำ แกจะได้ดำน้ำเก่งๆ”

    แล้วหลวงปู่ปานท่านก็พาพวกผมเหาะไปที่ทะเลที่ภูเก็ตตรงกลางทะเลพอดี ก่อนที่หลวงปู่ปานสอนดำน้ำ ท่านบอกว่า ใครดำลงไปถึงพื้นทะเลใต้ จึงจะเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ได้ วันแรกผมดำลงไปได้นิดเดียว ก็ต้องขึ้นมา ปรากฏว่าจารุณีดำขึ้นมา จึงถูกหลวงปู่เอาไม้เท้ายันกลับลงไปอีก

    แล้ววันต่อมาก็ดำลงไปอีก แต่ก็ยังไม่ถึง และวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๕ พวกผมก็ดำน้ำถึงใต้พื้นทะเลภูเก็ต พอเรียนเสร็จหลวงปู่ปานบอกว่า ไปเรียนต่ออีกเร็วเข้า ชักช้าไม่ได้ จะเสียเวลาเรียน เร็วตามมา หลวงปู่ปานท่านบอก พวกผมตามหลวงปู่ไปเรียนต่อจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น

    เมื่อผมขึ้นไปดูบรรยากาศชั้นโอโซน

    วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ผมขึ้นไปหาหลวงปู่ปาน
    ผมบอกหลวงปู่ปานว่า “ผมอยากไปดูโอโซนครับ ผมดูทีวีเขาบอกว่า โอโซนในโลกเราเริ่มน้อยลง ผมก็เลยนึกอยากไปดูว่า โอโซนจริงๆ เป็นอย่างไร”

    หลวงปู่ท่านบอกว่า “โอโซนเดี๋ยวนี้บางลงมา เพราะพวกคนเดี๋ยวนี้ ทิ้งขยะเผาขยะ และส่งกลิ่นเหม็นควันดำต่างๆ แล้วขึ้นไปทำลายก๊าซโอโซน ทำให้โอโซนบางลง เพราะโอโซนบังแสดแดดที่ส่งมายังโลกไม่ให้ร้อน แต่นี่โลกของพวกเธอร้อนขึ้นเรื่อยๆ ฉันเสียใจที่พวกมนุษย์ทำอย่างนี้”

    ท่านแม่ศรีให้หอยสังข์

    วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๘.๔๕ น. ตอนนั้นยังไม่ถึงเวลาที่จะไปเรียนวิชากับหลวงปู่ปาน ขณะนั้นผมกำลังอ่านหนังสือเรียนอยู่
    ท่านแม่ศรีก็เรียกผมว่า “ขึ้นมาข้างบนเดี๋ยวนี้ แม่จะเอาของให้เจ้า ให้รีบขึ้นมาเลย เพราะเดี๋ยวเจ้าจะต้องไปเรียนกับหลวงปู่ปาน”

    ผมก็ขึ้นไป พอไปถึงวิมานของท่านแม่ศรี ท่านแม่รีบไปเอาตลับ ในตลับมีหอยสังข์ ลักษณะของหอยสังข์สวยมาก
    ท่านหยิบมาให้ผมแล้วท่านก็บอกผมว่า “จงรักษาไว้ให้ดี เพราะสิ่งของสิ่งนี้เปรียบเสมือนตัวแทนแม่ และเจ้าจงรีบกลับลงไปเร็วๆ พ่อของเจ้ากำลังจะเรียกกินข้าว”

    ผมกราบขอบพระคุณท่าน แล้วกราบลงท่านแม่ศรีออกจากสมาธิ ผมก็รีบไปกินข้าวทันที เพราะคุณพ่อผมเรียกกินข้าวพอดี (หมายเหตุ เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๕ เด็กชายบัญชาได้นำหอยสังข์นี้มาให้หลวงพ่อและทุกคนได้ชมไปแล้วด้วย)

    วันที่ร่างเป็นพรหม

    วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๕ หลังจากอาบน้ำและรับประทานข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับขึ้นไปที่พระจุฬามณีอีก ไปกราบพระพุทธเจ้า หลวงปู่ฤาษี หลวงปู่ปาน แล้วก็ไปสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ ไปชั้นพรหม พอไปถึงชั้นพรหม ร่างผมก็เปลี่ยนเป็นพรหม

    แต่วันนี้ร่างพรหมผมมีสี่หน้า มีแขนสี่แขน มีอาวุธสี่อย่าง คือ สังข์ จักร กระบอง และดาบ ร่างพรหมของผมเป็นอย่างนี้ ไปจนถึงชั้นพรหมที่ ๑๖ แล้วผมก็ไปป่าหิมพานต์ แล้วก็ไปพระนิพพาน พอเที่ยวเสร็จก็กลับมาที่พระจุฬามณี หลังจากกราบพระพุทธเจ้าและหลวงปู่ปานแล้วผมก็กลับ

    คืนที่พญานาคมานอนกับผม

    วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ผมเข้านอน ขณะที่ผมกำลังหลับอยู่นั้น ผมรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างมามัดตัวผม ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาดูว่าอะไรมามัดตัวผม พอผมลุกจากที่นอน ผมก็ตกใจ เมื่อเห็นเป็นงูตัวอ้วนขนาดแขนของผมนอนอยู่ในเตียง ผมจึงตั้งสมาธิแล้วใช้จิตถามท่าน

    พอรู้ว่าเป็น “พญานาค” ผมจึงเข้าไปกราบท่าน ท่านบอกว่า “ไม่ต้องกลัวฉัน ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก”
    ผมจึงกลับเข้าไปนอนใหม่ ท่านก็นอนอยู่ข้างผมตลอดทั้งคืน พอประมาณตี ๔ ท่านบอกว่าท่านจะกลับแล้ว ท่านก็กลับไปที่วิมานของท่าน พอท่านกลับไปแล้ว

    ผมก็ใช้จิตตามท่านไปจนถึงวิมานของท่าน แล้วผมก็กลับมาสวดมนต์ แล้วผมก็ลุกไปแปรงฟันอาบน้ำ แต่งตัว และรับประทานอาหารเช้า แล้วก็เตรียมตัวไปโรงเรียนครับ


    คัดลอกจาก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1324
     
  11. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เมื่อฉันฝึกมโนมยิทธิกับคุณครู

    เด็กหญิงพัชราภรณ์ ขอดแก้ว

    หลวงปู่ปานและหลวงปู่ฤาษีให้เงิน

    ...หลังจากที่ฝึกสมาธิกับคุณครูแล้ว ฉันก็ไปเที่ยวดูบนสวรรค์ทุกวันเพราะสนุกดี ฉันไม่ชอบนรก เพราะมันอึดอัดและน่ากลัว ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสวรรค์และนรกจะมีจริง นึกว่าครูเล่าเป็นนิทานเท่านั้น แต่พอฉันฝึกสมาธิแล้วฉันเห็นจริงๆ เหมือนฉันอยู่บนโลกเรานี่แหละ

    ...พี่นางฟ้าพี่เทวดาก็รู้จักคุ้นเคยกับฉัน วันที่ฉันได้เงินครั้งแรก พี่นางฟ้าชั้นที่ ๑ ชื่อว่า กุมารี ให้เงินฉัน ๑ บาท วันต่อมาพี่เทวดาชั้นที่ ๕ ชื่อว่า เทพสุทธิทอง ให้เงินหลายบาท วันต่อมาหลวงปู่ปานให้ใบสิบบาท ๑ ใบ และหลวงปู่ฤาษีให้อีก ๑๐ บาท รวมแล้ว ฉันได้เงินตั้งแต่ฝึกมโนมยิทธิ

    เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๓๕ จนถึงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ ได้ ๓๐๐ กว่าบาทแล้ว และฉันยังได้ของเล่นอื่นๆ อีก ฉันนึกอยากได้อะไร พอฉันไหว้พระแป๊บเดียว ฉันก็ได้แล้ว เพราะเทวดานำมาให้ฉัน ทุกวันนี้ฉันมีความสุข อยากรู้อะไรนั่งสมาธิเดี๋ยวเดียวก็ทราบ บางทีไม่ต้องหลับตาฉันก็รู้ฉันก็เห็น

    เมื่อฉันไปวัดท่าซุง

    วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๕ ฉันได้ฝึกสมาธิกับคุณครูอำไพ ฉันเห็นสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ หลายอย่าง น้ำตาฉันไหลออกมามากมาย แต่ฉันไม่ได้ร้องไห้นะ มันไหลเอง คุณครูว่าไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร ปล่อยให้ไหล และฉันก็เห็นเทวดา นางฟ้ามากมาย

    ฉันเห็นพระพุทธเจ้า เห็นหลวงปู่ปาน หลวงปู่ฤาษี ท่านปู่ท่านย่า และแม่ศรี ทุกท่านดีใจหมดเลย คุณครูว่าหลวงปู่ฤาษียังมีชีวิตอยู่ที่วัดท่าซุง ฉันอยากเห็นตัวท่านจริงๆ แล้วฉันก็ได้ไปวัดท่าซุง เมื่อวันที่ ๑๔ – ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ฉันเห็นคนมากมาย เทวดา นางฟ้า ก็มากเหมือนกัน

    ท่านทักว่า สวัสดี ทุกๆ คน ดีใจที่พบกันอีก คุณครูพาฉันไปกราบหลวงปู่ใหญ่ มีผู้ใหญ่บางคนบอกว่าเป็นรูปปั้น ฉันเถียงเบาๆ ว่า “ใช่รูปปั้นที่ไหน ดูซิหลวงปู่ขยับตัวไปมายิ้มให้ฉัน ยื่นมือมาลูบหัวและพูดว่า ดีใจที่ลูกหลานมากันเยอะแยะ”

    แล้วจึงไปกราบหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานใจดีมาก ทักทายฉันกับเพื่อนๆ และพูดอะไรหลายอย่าง แล้วไปกราบหลวงปู่สีวลี ท่านก็ทักทายเหมือนหลวงปู่ปาน แล้วจึงไปกราบหลวงปู่ขนมจีน ท่านใจดีมาก ให้เงินฉันหนึ่งบาท แต่ก็มีคนขอไป คุณครูขอน้ำมนต์ของหลวงปู่ด้วย

    ฉันก็เห็นหลวงปู่พรมน้ำมนต์ให้พวกเราทุกตน จากนั้นก็พากันเดินไปเรื่อยๆ พบพระพุทธรูปในวัดก็เคลื่อนไหวได้ทุกองค์ ทักทายฉันทุกองค์ ฉันยกมือไหว้หมด ฉันไปที่ท้าวมหาราช ท่านก็ทักทายฉัน และให้เงินฉันอีก ๑ บาท

    ท่านว่าตัวท่านจะไปไหนท่านเดินเสียงดัง เพราะท่านตัวใหญ่ ใครทำอะไรให้ลูกหลานเป็นอะไรได้เห็นดีแน่ๆ ฉันจึงขอบคุณท่าน ต่อมาหลวงปู่ฤาษีลงมารับแขก ฉันได้อยู่ใกล้ๆ หลวงปู่ฤาษี

    ฉันเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ด้านซ้ายหลวงปู่ฤาษี แม่ศรีนั่งอยู่ด้านขวา หลวงปู่ปานคอยดูแลหลวงปู่ฤาษี ตอนที่หลวงปู่ปานให้เงินฉันนั้น ฉันนั่งสมาธิอยู่ หลวงปู่ปานใช้เทวดานำเงินมาให้ฉันครั้งแรก ๑ บาท ครั้งที่ ๒ ได้อีก ๒ บาท

    บางคนว่าฉันเสกเงินได้ แต่ฉันว่าไม่ใช่ ฉันนั่งเฉยๆ หลวงปู่ใช้คนมาให้ ฉันขอของอื่นๆ ก็เหมือนกัน มีคนมาให้ฉันเอง ท่านแต่งชุดเทวดา เรื่องราวของวัดท่าซุงยังมีอีกเยอะแยะ แต่ฉันเล่าไม่หมด ตอนนี้ฉันเมื่อยมือแล้ว ฉันขอจบเพียงเท่านี้ค่ะ

    เมื่อฉันลอยได้

    ตั้งแต่ฉันไปกราบหลวงปู่ฤาษีที่วัดท่าซุงมา ฉันทำสมาธิทุกวันและขึ้นไปฟังเทศน์ข้างบนด้วย พอฟังเทศน์จบก็มีหลวงปู่หลายองค์มาสอนวิชาความรู้ให้ สอนหนังสือที่พระพุทธเจ้าองค์ปฐมให้ ท่านสั่งว่าให้เรียนตั้งแต่หน้า ๑๒ ไปถึงหน้าหนึ่ง วิชาแรกที่ฉันเรียนจบคือการเรียกเงิน

    สอนโดยหลวงปู่ปาน วิชาที่สองคือการเรียกของต่างๆ สอนโดยหลวงปู่สด และวิชาที่สามกำลังเรียนอยู่คือการลอยไปในที่ต่างๆ สอนโดยแม่ศรีกับหลวงปู่ฤาษี วิชาลอยตัวนี้ ตอนแรกเรียนกันหลายคน ต่อมาเหลือ ๓ คน คือ ฉัน ด.ญ.พัชรภรณ์ ขอดแก้ว, ด.ญ.สุมาลี, ด.ญ.อำพร

    ขณะที่กำลังเรียนอยู่ฉันลอยได้เป็นคนที่หนึ่ง ครั้งแรกที่ฉันลอยได้สูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตร ลอยขึ้นต้นไม้ที่โรงเรียน เพื่อนๆ ของฉันตกใจหมด ต่อมาครั้งที่ ๒ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ประมาณ ๘ โมงเช้า ฉันกำลังเล่นอยู่ในบ้าน ไม่มีใครเห็น

    แต่ฉันเห็นแม่ศรีมาชวนฉันไปและจับมือฉันพาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มองเห็นหมู่บ้านของฉันเป็นหลังเล็กๆ สักครู่แม่ศรีก็พาฉันลงมาที่บ้าน พอดีกับแม่ฉันเรียกกินข้าว ครั้งที่ ๓ เมื่อเช้าวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๕ ประมาณ ๖ โมงเช้า ฉันกำลังจะลุกจากที่นอนอยู่แล้ว

    แม่ศรีก็มาหาและพูดว่าไปเถอะ ท่านจับมือฉันแล้วก็พาลอยลิ่วๆ อย่างรวดเร็วขึ้นไปบนท้องฟ้า คราวนี้ลอยสูงมากจนเห็นตกในเชียงใหม่หลังเล็กนิดเดียว และลอยไปเรื่อยๆ จนถึงวัดท่าซุง ลอยอยู่เหนือวัดท่าซุงสักครู่ แม่ศรีก็พากลับบ้าน พอดีถึงบ้านฉัน

    มีเพื่อนชื่อว่า ยุ้ย ยืนมองฉันอยู่ เขาบอกว่าตอนไปซื้อของเดินผ่านมาเห็นลอยขึ้นหายไปเลย พอซื้อของเสร็จเดินกลับมาก็เห็นฉันลอยลงมาจากฟ้าแว้บเดียวยืนอยู่บนดินแล้ว เขาก็ไปเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง มีผู้ใหญ่คนหนึ่งขอถ่ายรูปและให้ฉันลอยให้ดู แม่ศรีไม่อนุญาต

    ถึงแม้จะถ่ายไว้ก็จะไม่มีภาพออกมาให้เห็น และฉันก็ไม่กล้าลอยไปเองไกลๆ เพราะฉันกลัวและยังเรียนไม่จบบทเรียน แต่ถ้าลอยในระยะใกล้ๆ ก็ได้ เช่น ฉันลองจับมือของ ด.ญ.อำพร ลอยขึ้นจากพื้นสูง ๑ เมตร แล้วข้ามสระปลาที่บ้านของ ด.ญ.อำพร ไปมา ๒ – ๓ รอบ มีเพื่อนๆ ของฉันยืนดู

    ความจริงแล้ว ฉันเห็นคนหลายคนไปฝึกวิชากับหลวงปู่เหมือนกัน แต่ก็เรียนไม่จบเพราะอ่านตำราไม่จำ บางคนก็อ่านผิดๆ ถูกๆ เลยเรียนไม่จบ อย่างเช่น ด.ช.วัชชิรพล เขาเรียนได้แต่การเรียกเงิน เพราะเรียนง่ายกว่าวิชาอื่น มีคาถาอยู่ไม่กี่คำ

    พอเขาไปเรียนวิชาอื่น อ่านตะกุกตะกักอยู่นั่นแหละ เขาจึงเลิกเรียนไปเลย วิชาที่เรียนทั้งหมดจะเขียนด้วยภาษาบาลีหรือภาษาพระตัวงอๆ คดไปคดมา ก็ไม่รู้ว่าฉันอ่านได้อย่างไร ฉันรู้แต่เพียงว่า พอฉันขึ้นไปข้างบน ตำราอะไรฉันก็อ่านออกหมด บางทีฉันอยากอ่านหนังสือที่พระพุทธเจ้าให้หมดทั้งเล่ม

    เรื่องราวของบนสวรรค์นั้นมีมากมาย ที่ฉันเขียนขึ้นนี้เพียงนิดเดียว บางเรื่องก็ไม่สมควรบอกให้ทราบ เพราะหลวงปู่บอกว่าคนยังมีกิเลสมากเดี๋ยวเขาจะบาปมากขึ้น ฉันจึงขอจบไว้เพียงเท่านี้ก่อนคะ



    คัดลอกจาก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1324
     
  12. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    หลวงปู่ฤาษีของฉัน

    เด็กหญิงสุมาลี ปัญโญ

    ....วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๕ คุณครูอำไพบอกว่าใครอยากไปเที่ยวสวรรค์บ้าง ฉันยกมือทันที เพื่อนอีกหลายคนก็ยกมือ คุณครูบอกว่า สวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้วบอกให้ทุกคนอย่ารังแกคนอื่น ไม่ลักขโมยใคร ไม่แย่งของรักของชอบคนอื่น ไม่พูดโกหก ไม่กินของที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แล้วคุณครูก็ถามว่า “เห็นใครบ้าง?” ฉันเห็นหลายๆ คนแต่งตัวแปลกๆ แต่ไม่รู้จัก

    ...ครูจึงแนะนำว่าองค์ใหญ่คือพระพุทธเจ้า มีหลวงปู่ปาน หลวงปู่สด หลวงปู่ฤาษี ท่านปู่ ท่านย่า แม่ศรี ทุกท่านมีร่างกายเป็นแก้วหมด ท่านพาเหาะไปตามสวรรค์ชั้นต่างๆ พาไปดูสถานที่ท่องเที่ยวบนสวรรค์ สิ่งที่ไม่ได้พบก็ได้พบได้เห็น บางวันบนสวรรค์ก็จัดงานสนุกๆ มีของเล่นมากมายเยอะแยะไปหมด ฉันไปเที่ยวทุกวัน บางวันหลวงปู่ฤาษีก็เล่านิทานตลกให้ฟัง หลวงปู่ใจดีมาก

    ...บางวันหลวงปู่สดก็เล่านิทานให้ฉันฟัง และเสกยาให้ฉันด้วยเวลาไม่สบาย หลวงปู่ฤาษีสอนฉันหลายอย่าง เช่นไม่ให้ทำความชั่วทุกอย่าง เพราะจะทำให้เสียสมาธิ หลวงปู่พาฉันไปเที่ยวแดนเนรมิตด้วย พอกลับหลวงปู่ก็ยังให้รางวัลเป็นเงินเป็นของบ้าง ฉันดีใจมากที่สุดที่หลวงปู่สอนฉันและช่วยเหลือฉันมาตลอดเวลา จะทำอะไรนึกถึงหลวงปู่ก็มาหาทุกครั้ง ฉันรักหลวงปู่มากและจะทำแต่ความดีตลอดไป

    หลวงปู่ปานสอนวิชาเรียกเงิน

    ฉันได้ฝึกมโนมยิทธิกับคุณครู ไปเที่ยวภพต่างๆ ตลอดจนดวงดาวต่างๆ ที่อยู่ตามท้องฟ้าจนเบื่อแล้ว หลวงปู่ปานก็บอกฉันกับเพื่อนๆ ว่า “พวกเธอต้องไปเรียนวิชาความรู้กับฉัน”
    แล้วพาไปที่เขาไกรลาส ซึ่งอยู่ห่างจากเขาพระสุเมรุมาก เขาไกรลาสสูงไม่เท่าเขาพระสุเมรุ แต่เขาไกรลาสมีความสวยงามกว่า มีดอกไม้ มีที่เล่นมากมาย เทวดานางฟ้าเต็มไปหมด

    หลวงปู่ปานพาฉันเข้าไปในวิหารแก้ว เห็นคนนั่งรออยู่เต็มวิหาร หลวงปู่นำกราบพระ ๓ ครั้ง แล้วให้ทุกคนสวดมนต์ แบบที่พระสวดกันยาวๆ น่าแปลกมาก ฉันและเพื่อนๆ สวดได้เต็ม และพร้อมเพรียงกันกับคนอื่นๆ ด้วย พอสวดจบหลวงปู่ปานก็แนะนำให้รู้จักคุณครูทั้งหมด

    มีมากมาย เช่น หลวงปู่ครูบาศรีวิชัย หลวงปู่ฤาษีของเรา หลวงปู่สด หลวงปู่แหวน หลวงปู่วัดพระบาทตากผ้า หลวงปู่ฤาษีขาว แม่ศรี ทุกๆ ท่าน และอีกหลายท่านบอกไม่หมด ทุกๆ ท่านเก่งๆ ทั้งนั้นเลย แล้วนักเรียนที่มาเรียน ก็ไม่ได้เป็นเด็ก กลับเป็นผู้ใหญ่ตัวเท่าๆ กันหมด

    แยกไม่ออกว่าใครเด็กใครผู้ใหญ่ เป็นพระ เป็นคนธรรมดา หรือเทวดาที่มีกายทิพย์ รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายเท่านั้น ตัวฉันเป็นเด็กในโลกมนุษย์ แต่พอขึ้นไปอยู่ข้างบนก็เป็นผู้ใหญ่หมด ต่อจากนั้นหลวงปู่ปานก็สั่งให้ทุกคนที่มาเรียนทำสมาธิ ภาวนาว่า “นะมะพะธะ” หรือ “พุทโธ” ก็ได้

    ด.ญ.พัชราภรณ์ใช้ “พุทโธ” แต่ฉันใช้ “นะมะพะธะ” ภาวนะไปจนใจสงบ หลวงปู่ปานจึงให้อ่านหนังสือวิชาที่จะเรียน เริ่มจากวิชาที่ฝึกง่ายๆ เช่น วิชาเรียกเงินและสิ่งของต่างๆ จากครูบาอาจารย์ พอเริ่มอ่านฉันก็อ่านไม่ออกเสียแล้ว หลวงปู่สดจึงมาสอนอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ

    พออ่านใหม่บางคำก็ยังติดอยู่ อ่านยาก หลวงพ่อองค์หนึ่งก็มาช่วยสอนอ่านอีก ท่านว่าให้มีสติ มีสมาธิ จึงจะจำได้แม่นยำ ภาษาที่เรียนเป็นตัวหนังสือโบราณเก่าแก่มาก ดูคล้ายๆ ภาษาจีน ต้องอ่านจากข้างหลังมาหาข้างหน้า หลวงปู่ปานสั่งให้ท่องจนขึ้นใจ

    ใครดื้อมากๆ หลวงปู่ก็ใช้ไม้เท้าเคาะหัว ฉันเห็นหลวงปู่ที่เป็นครูสอน เข้าไปประกบนักเรียนคนอื่นอีก บางคนไม่มีความอดทน ก็แอบหนีไปเที่ยวตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะพวกเด็กผู้ชาย พอกลับมาหลวงปู่ก็จะลงโทษ จนบางคนหนีไปเลยเรียนไม่จบ ตามปกติหลวงปู่เป็นคนใจดีมาก แต่ในเวลาเรียนท่านจะดุมาก

    หัดทดลองวิชา

    เมื่อทุกคนท่องพระคาถาได้แล้ว หลวงปู่ก็ให้ฝึกทดลองวิชา ตอนทดลองวิชานี่นะคะ คุณครูทุกท่านมาช่วยกันลุ้นให้กำลังใจ พอไม่สำเร็จท่านก็บอกให้เริ่มต้นใหม่ ให้ตั้งใจ มีสติ ทำใจให้มีสมาธิ อย่าหวั่นไหว อย่ากลัว

    ฉันเห็นทุกท่านมีเมตตา คอยเอาใจช่วยอยู่ใกล้ๆ ก็มีกำลังใจอีก ทั้งมีเพื่อนๆ มาช่วยปรบมือเชียร์อยู่ข้างๆ ฉันจึงตั้งใจมากขึ้น และขึ้นไปฝึกอยู่ ๓ วันจึงสำเร็จวิชานี้ ท่องพระคาถายาวตั้ง ๓ หน้า เวลาหลวงปู่นัดให้ไปเรียนต้องให้ตรงเวลา ถ้าผิดเวลาไป ๕ – ๖ นาที ต้องถูกลงโทษไม่มียกเว้น

    ไม่ว่าคนหรือเทวดา บางวันฉันเผลอลืมขึ้นไป หลวงปู่ยังมาตามถึงบ้านเลย ต่อมาหลวงปู่ให้ทดลองวิชาในโลกมนุษย์ ฉันทำได้ทุกครั้งที่มีสมาธิดี วันไหนสมาธิไม่ดีก็ไม่ได้ ฉันลองดูแล้วถ้าไม่มีสมาธิ ลองขอเงินหลวงปู่ใช้ หลวงปู่มาเหมือนกัน ก็ขอท่าน พอท่านหย่อนเงินลงมาที่มือฉัน เงินก็เด้งกลับ ท่านให้อีกเด้งกลับอีกอยู่ ๒ – ๓ ครั้ง

    หลวงปู่ว่า “อย่าเอาเลย โง่อย่างนี้ ปล่อยให้อดตายไปเลย นี่แนะ... เอาไม้ตะพดไป๊!” แทนที่จะได้เงิน ฉันกลับได้มะกรูดลูกเบ้อเร่อ... ในตอนต่อไปฉันจะเล่าเรื่องเรียนวิชาที่ ๒ วิชาตัวเบา สามารถลอยไปที่ไหนก็ได้ ด้วยตัวดิบๆ ของเรานี่แหละค่ะ

    ฝึกเหาะกับหลวงปู่ปาน

    เมื่อเรียนวิชาเรียกเงินเรียกของจบแล้ว หลวงปู่ปานบอกว่า “ยังมีวิชาต่างๆ อีกมากมาย พวกเธอจะเรียนไหม?”
    ฉันกับเพื่อนๆ รีบยกมือขึ้นตอบว่า “เรียนค่ะ”
    หลวงปู่ว่า “งั้นไปกันเลย จะได้ไม่เสียเวลา”

    หลวงปู่พาไปที่ภูเขาหิมาลัย เป็นสถานที่ไกลมากที่สุดที่ฉันเคยไป และอยู่ห่างไกลจากเขาพระสุเมรุกับเขาไกรลาสมาก เป็นภูเขาแก้วพื้นผิวเรียบ สูงมาก มีสวนดอกไม้เป็นหย่อมๆ สงบเงียบ ไม่มีคนพลุกพล่านเหมือนเขาไกรลาส พอไปถึงหลวงปู่ก็ให้ทุกคนนั่งลงกราบพระ กราบครูบาอาจารย์ชุดเดิม

    แล้วสวดมนต์ นั่งสมาธิ ท่องพระคาถา จนจำได้อย่างแม่นยำ ยาวประมาณ ๔ – ๕ หน้า เมื่อท่องพระคาถาจนจำได้หมดแล้ว จึงเริ่มฝึกกระโดดจากขั้นบันได มีทั้งหมด ๒๕ ขั้น
    เริ่มกระโดดตั้งแต่ขั้นที่ ๑ ก่อน ต่อไปก็ขั้น ๒ – ๓ – ๔ – ๕ จากขั้น ๑ – ๕ นี้รู้สึกว่าง่ายมาก กระโดดได้ ๑ ครั้งก็ผ่าน พอขั้นที่ ๖ – ๙ ต้องซ้ำหลายครั้งจึงจะผ่าน

    พอขั้นที่ ๑๐ ขึ้นไปเริ่มยากขึ้น ต้องใช้ความอดทนและใช้สมาธิมากขึ้น จนกว่าจะไปถึงขั้นที่ ๒๐ ใครที่ผ่านมาถึงขั้นที่ ๒๐ นี้ได้นับว่าเก่งมาก เพราะจากจำนวนผู้ที่ไปฝึก ๑๐๐ คน จะผ่านขั้นนี้ได้อย่างมากประมาณ ๑๕ คน ส่วนมากพอถึงขั้นที่ ๒๐ ก็จะถอยกลับกันหมด เพราะฝึกหนักมาก ต้องยอมตายกันเลย

    ฉันว่า “เอ้า... ตายเป็นตาย”
    หลวงปู่ก็บอกว่า “ต้องควบคุมกำลังใจให้มีสติอยู่ตลอดเวลา”
    จึงไม่มีเวลาคิดถึงอย่างอื่นเลย ไม่สนใจใครทั้งนั้น เหมือนกับว่าเราอยู่คนเดียวอย่างนั้นแหละ ทั้งๆ ที่ผู้คนอยู่รอบๆ ตัวเรามีมากมาย

    ถึงเวลาฝึกนี่มันมองไม่เห็นใครเลย ตั้งหน้าตั้งตาฝึกอย่างเดียว พอกลับจากการฝึกทุกครั้ง ฉันจึงนอนหลับปุ๋ย... ไปเลย ด้วยความอ่อนเพลีย การไปฝึกกับหลวงปู่ในวันธรรมดา ฉันกลับจากโรงเรียนรีบทำการบ้าน รับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ประมาณ ๑ ทุ่ม หลวงปู่มารับ

    พอ ๒ ทุ่มหลวงปู่มาส่ง ถ้าเป็นวันเสาร์ – อาทิตย์ ฝึกเกือบตลอดวัน คือตั้งแต่ ๘.๐๐ น. ถึง ๑๖.๐๐ น. แต่พอถึงพักเที่ยง หลวงปู่ก็ให้มารับประทานอาหาร
    แม่ฉันยังบอกว่า “ระยะนี้ทำไมกินจุจังเลย”
    ฉันบอกว่า “ทำงานหนักจ้ะแม่”

    แม่ฉันว่า “เอ๊ะ! วันๆ หนึ่งก็ไม่เห็นทำอะไรนี่นา”
    ฉันก็ได้แต่ยิ้มลูกเดียว

    ทดลองวิชาเหาะ

    ฉันเรียนอยู่ได้ ๑๕ วันก็ผ่านวิชานี้ ฉันภูมิใจมาก นึกไม่ถึงว่าฉันผ่านมาได้อย่างไร ตัวเบามาก วันต่อมาหลวงปู่ให้เหาะ ระหว่างเขาหิมาลัยกับเขาไกรลาส ได้ ๒ เที่ยว แล้วฉันก็มาทดลองฝึกด้วยตัวดิบๆ ของฉันบนโลกมนุษย์

    ฉันฝึกเหาะที่บ่อเลี้ยงปลาของชาวบ้าน เพราะเงียบดีและไม่มีคนเห็น ปรากฏว่าข้ามได้สบายมาก ต่อมาลองนึกดูว่า ถ้าฉันขึ้นบ้านชั้นบนโดยไม่เดินขึ้นบันไดจะได้ไหม ฉันก็ยืนอยู่สักครู่ กำลังยกขาขึ้นหนึ่งก้าว แว้บเดียว... ฉันก็ยืนอยู่ชั้นบน ฉันนึกจะลงไปชั้นล่าง พอก้าวขาปั๊บ! ก็ลงมาอยู่ชั้นล่างอีก

    วันต่อมาเป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ประมาณ ๖ โมงเช้า ฉันตื่นนอนแล้วมานั่งตัดกระดาษเล่น หลวงปู่ปานมาชวนไปเที่ยว ฉันบอกว่า “ไปค่ะ”
    ตัวฉันก็ลอยขึ้นในท่านั่งทะลุหลังคาบ้าน ขึ้นไปสูงมาก จนเห็นบ้านหลังนิดเดียว และเห็นเมืองเชียงใหม่หมดเลย

    ลอยไปพบกับ ด.ญ.พัชราภรณ์ กับแม่ศรี จับมือกันอยู่บนอากาศ หลวงปู่ปานบอกว่า จะพาไปดูวัดท่าซุง แว้บเดียว... ก็มาถึงเหนือวัดท่าซุง มองลงมาเห็นยอดวิหารลิบๆ ส่องแสงว้อบแว้บๆ เต็มไปหมด แล้วหลวงปู่ก็พากลับ เกือบจะถึงบ้านอยู่แล้ว หลวงปู่พาฉันลงหลังคาบ้านใครไม่รู้

    ฉันบอกหลวงปู่ว่า “นี่ไม่ใช่บ้านหนูค่ะ”
    หลวงปู่ว่า “อ้อ... ลืมไป”
    แล้วก็พาฉันลงมาที่บ้านตามเดิม ไปกลับประมาณ ๕ – ๖ นาที

    แม่ฉันถามว่า “ตะกี้แม่เรียกทำไมไม่ตอบ”
    ฉันเงียบเพราะฉันไม่อยู่ จะตอบได้ยังไง แม่จึงว่า “ต่อไปให้ตอบดังๆ จะได้รู้ว่าอยู่ที่ไหน”
    วันต่อมาหลวงปู่บอกฉันว่าให้ไปตรงโน้นนะ และเหาะนำไปเห็นหลังไวๆ

    ระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ฉันก็เหาะตามไป เห็นหลวงปู่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้กวักมือให้ลง พอฉันลงปั๊บ! หลวงปู่ว่า “ไปละนะ ขอให้โชคดี”
    ฉันตกใจหมด ตายล่ะ... ทิ้งเราอยู่คนเดียวหรือนี่ ไม่เห็นคนสักคน แล้วเราจะกลับบ้านยังไง

    ฉันจะร้องไห้อยู่แล้ว ก็ได้ยินเสียงแม่ศรี แว่วๆ มาว่า “ใช้สมาธิสิลูก”
    ฉันได้สติก็นั่งลงหลับตา ทำสมาธิจนนิ่งแล้วนึกถึงบ้าน แป๊บเดียว... ฉันก็ลอยกลับมาลงที่บ้านของฉันได้อย่างปลอดภัยค่ะ



    คัดลอกจาก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid
     
  13. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เรียนวิชาแพทย์

    เด็กชายดนตรี บุญเพิ่มพูน

    ....ผมชื่อเด็กชายดนตรี บุญเพิ่มพูน เป็นนักเรียนชั้น ป.๔ ของโรงเรียนบ้านบวกเปา อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ครูใหญ่ชื่อนายเกตุ เขื่อนจินดาวงศ์ ผมได้ไปฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกโดยคุณครูวิไลพรพาไปฝึกกับคุณครูอำไพ สุจนิล ที่โรงเรียนบ้านแม่โจ้ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนของผมประมาณ ๑๐ กิโลเมตร

    ...ครั้งแรกที่ไปฝึก เพื่อนและพี่ๆ ตั้งแต่ชั้น ป.๒ ถึง ป.๖ เขาได้กันเยอะ แต่ผมก็ไม่เห็นอะไรเลย แต่ผมก็ไม่ย่อท้อ พยายามฝึกอีกโดยนั่งสมาธิเองที่บ้าน และที่โรงเรียนในตอนเช้าและกลางวันที่ห้องพระของโรงเรียน และในวันศุกร์ชั่วโมงจริยะ ส่วนในวันเสาร์วันอาทิตย์คุณครูพานักเรียนที่ฝึกได้ ไปฝึกทบทวนที่วัดโขงขาว

    ...ผมก็ไปด้วย เวลาผมเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เขาฝึกได้ เขาคุยกันอย่างสนุกสนาน ถึงสิ่งที่เขาได้ไปพบไปเห็น และเขานำเพชร พลอย เงินเหรียญบาท ล้อคเก็ตกระดิ่งที่เขาเสกได้ เขาก็นำมาให้คุณครูและเพื่อนๆ ดู ยิ่งทำให้ผมตั้งใจฝึกมากยิ่งขึ้น รวมเวลาที่ผมใช้ความพยายามตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม เกือบสี่เดือนเต็ม

    ผมก็สามารถฝึกวิชามโนมยิทธิได้ คุณครูชมผมว่าเป็นตัวอย่างของความมานะพยายาม ทำให้เพื่อนผมที่ท้อเพราะยังฝึกไม่ได้ ก็พยายามฝึกใหม่จนได้อีกหลายคน โดยดูผมเป็นตัวอย่าง เมื่อผมฝึกได้ประมาณ ๑ อาทิตย์ ผมกำลังขายขนมในห้องสหกรณ์ของโรงเรียน ผมกำลังยืนพิงหน้าต่าง แบมือออกไป พอผมหุบมือเข้ามา ปรากฏว่า เป็นเงินใบละสิบบาท ๑ ใบ

    เพื่อนๆ และผมนั่งสมาธิตรวจดู ปรากฏว่าหลวงปู่ปานท่านให้ผม ผมดีใจมาก วันที่ ๒๕ สิงหาคม คุณครูจะพาพี่ ป.๔ ป.๖ ไปกราบหลวงปู่ฤาษีที่วัดท่าซุง ผมก็อยากไป พอดีพี่บางคนเขาไม่ได้ไป คุณครูเลยให้ผมไปแทน ตอนนั้นผมฝึกได้อาทิตย์กว่าๆ จิตใจยังส่ายสมาธิยังไม่ค่อยดี ผมก็ได้มากราบหลวงปู่ที่วัด

    ตอนลงรถคุณครูพาผมไปกราบพระรูปครูบาอาจารย์หลายองค์ พอผมกราบหลวงพ่อขนมจีน หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ให้ผมจนหยดน้ำติดเสื้อผ้าเป็นจุดๆ ๒ คนกับพี่เอ็ด แต่คนอื่นไม่เป็น ภาพซ้อนของครูบาอาจารย์ทุกๆ องค์ท่านยิ้ม และทักทายผมและทุกคนที่มา ผมดีใจมาก ไปกราบพระ ๔ พระองค์ด้วย เมื่อผมได้กราบตัวจริงของหลวงปู่ฤาษี ผมดีใจมากที่สุดในชีวิต

    ผมได้ถวายสังฆทานกับท่าน และที่นี่ผมได้พบกับท่านแม่ศรี ซึ่งผมนั่งสมาธิดูทราบว่าท่านเป็นแม่ของผมในสมัยพุทธกาล และผมยังได้พบกับเพื่อนในสมัยพุทธกาลอีกท่านหนึ่ง ท่านทั้งสองได้ให้เงินผมคนละ ๑๐๐ บาท และผู้ใจบุญให้เงินผมอีก ๒ ท่านๆ ละ ๑๐๐ บาท รวมทั้งหมดเป็นเงิน ๔๐๐ บาท ผมได้นำเงินนี้ไปให้แม่และพ่อที่บ้าน

    พ่อและแม่ผมดีใจมาก ส่วนเงิน ๑๐ บาทที่หลวงปู่ปานท่านให้ แม่ผมก็นำไปใส่กรอบเก็บไว้บูชาที่บ้าน ตอนที่ผมนั่งรถมาวัดท่าซุงขามาคุณครูอำไพนั่งข้างหน้า ผมเห็นเทวดามากันเต็มรถ และเห็นสัมภเวสีเกาะอยู่ข้างๆ หน้าต่างประตู และตามถนนก็มีแต่สัมภเวสี ผมก็แผ่เมตตาให้ สัมภเวสีไม่กล้าทำอะไร ขากลับคุณครูอำไพไม่ได้กลับด้วย

    แต่ผมเห็นกายทิพย์ของหลวงปู่ฤาษีนั่งขัดสมาธิลอยอยู่ในรถ ตั้งแต่วัดท่าซุงจนถึงเชียงใหม่ พอถึงประตูบ้านคุณครู หลวงพ่อก็หายไปเลยครับ ทีแรกผมไม่ทราบว่าเป็นใคร เพราะแสงสว่างจากท่านจ้ามากจนผมแสบตา ไม่สามารถมองดูด้วยตาเนื้อได้ และผมก็หลับๆ ตื่นๆ มาตลอดทาง จนกระทั่งคราวหลังผมกลับไปเที่ยววัดท่าซุงอีกด้วยกายทิพย์ ไปกราบท่าน

    ท่านว่าทำไมไม่ทักทายกันบ้างในวันนั้น หลวงปู่คงเป็นห่วงพวกผมที่เป็นนักเรียนและคุณครูทั้ง ๒ ท่านที่กลับด้วยกันก็ยังไม่ได้มโนมยิทธิเลย ท่านเลยมาส่งจนถึงบ้าน ผมกราบขอบพระคุณมากครับ เมื่อผมมาถึงบ้านผมก็ฝึกมโนมยิทธิทุกวัน ผมได้ขึ้นไปฝึกวิชากับครูบาอาจารย์บนสวรรค์ ผมขึ้นไปฝึก ๔ แห่ง คือที่หลวงปู่ปาน พระอุปคุต แม่ศรี และพระปัจเจกพุทธเจ้า

    ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านเคยเป็นพ่อของผม ผมได้ลูกแก้วจากท่านแม่ศรี แหวนจากพระพุทธเจ้า ลูกปัด ดาบพรหมเพชร พรหมพลอย หลวงปู่ปานบอกว่า ถ้าผมเรียนจบแล้วให้ไปฝึกวิชากับพระพุทธเจ้าต่อ ตอนเช้าของวันที่ ๗ กันยายน คุณครูให้นั่งสมาธิก่อนเรียนหนังสือ พอแผ่เมตตาเสร็จ

    ผมขอให้คุณครูให้เพื่อนๆ นั่งสมาธิต่ออีก เพื่อไปรับของวิเศษจากครูบาอาจารย์บนสวรรค์ เพราะแม่ศรีท่านสั่งผมมาบอก เพื่อๆ ผมก็ได้ของวิเศษกันทุกๆ คน มีแตกต่างกันไป เช่น ลูกแก้ว ๑ สี ๒ สี ๓ สี ถ้ามีหลายสีก็หลายประโยชน์ มีอาวุธต่างๆ เช่น ดาบ หอก กระบอง คทา กริช ดาบคู่ จักรเงิน จักรทอง พัดทอง ดอกบัววิเศษ ฯลฯ บางคนได้ของวิเศษไว้ทีท้องตั้ง ๕ อย่าง บางคนก็เอาไว้ที่หน้าผาก

    ครูบาอาจารย์ท่านให้ไว้เพื่อปราบมาร แต่เพื่อนผมในห้องทุกคนรวมทั้งผมที่ได้เหมือนกันหมดคือ ผ้าสบงจีวรจากพระพุทธเจ้า จากการที่ฝึกมโนมยิทธิได้ทำให้ผมสามารถเห็นได้ว่า คุณครูประจำชั้นของผมป่วยมีหลายโรค ผมเลยขอพระ ๔ พระองค์ท่านช่วยรักษา คือที่ปอดมีตัวสีขาวๆ ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะเป็นมะเร็ง พระท่านก็ผ่ากายทิพย์ของคุณครูและใช้มีดอันเล็กๆ ค่อยๆ ขูดตัวสีขาวๆ ออกจากปอด

    และลำไส้ที่ใกล้จะเน่าเป็นสีดำ ท่านก็ตัดออกและต่อกันในกายทิพย์ แต่กายเนื้อของคุณครูไม่เป็นอะไร เมื่อผมบอกคุณครู คุณครูก็บอกว่า ความจริงที่ปอดของคุณครูมีจุดสีดำๆ เคยฉายเอ็กซเรย์ และเคยรักษาดูแล้ว แต่แพ้ยาก็เลยเลิกรักษา ผมก็เลยบอกว่าคืนนี้ ๓ ทุ่ม ให้คุณครูนั่งสมาธิ ผมจะขอแพทย์สวรรค์ไปรักษาให้

    พอ ๓ ทุ่ม แพทย์ท่านก็ผ่ากายทิพย์คุณครู แหวะเอาปอดไปจุ่มน้ำสีเหลืองๆ ที่นำมาจากนรก และนำปอดของคุณครูไปย่างไฟ แล้วนำกลับไว้ที่เดิม ผลปรากฏว่าคุณครูอ่อนเพลียและอยากจะอาเจียน หลังจากนั้นคุณครูก็สบายดี คุณครูก็ขอให้ผมช่วยลูกสาวคุณครูที่ผ่าไส้ติ่ง แต่เจ็บแผลไม่รู้จักหายสักที

    ผมนั่งสมาธิตรวจดูปรากฏว่ามีสัมภเวสีใช้เล็บยาวๆ ทิ่มแทงเกือบ ๑๐ ตัว ผมเลยของหลวงปู่ปานช่วย หลวงปู่ท่านส่งเทวดาชั้น ๕ มา ๕ องค์ มาคอยช่วยเหลือจนกว่าเหตุการณ์จะปกติ ปรากฏว่าเทวดาทั้ง ๕ องค์ท่านไม่ยอมเข้าไปในโรงเรียนของพี่ อยู่นอกโรงเรียนรอ เพราะที่โรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนของคริสตัง ไม่มีเทพอยู่เลย

    มีแต่เจ้าที่และสัมภเวสี ตอนนี้เทวดาทั้ง ๕ องค์ท่านกลับไปแล้ว แต่ผมเห็นพี่เขาตับอ่อนเริ่มแข็ง มีอาการเจ็บชายโครงเวลาวิ่ง ผมเห็นในสมาธิ ผมเลยขอแพทย์สวรรค์ไปช่วยรักษาให้ตอนเย็น แล้วตอนนี้พี่เขาก็แข็งแรงและสบายดี

    ต่อมาคุณครูเทียมตามีอาการปวดทั่วตัว ให้ผมตรวจดู ผมมองเห็นเส้นเอ็นของคุณครูเป็นสีเขียวหมดทั้งตัว คืนนั้นผมก็เลยขอพระ ๔ พระองค์ ไปช่วยรักษา ผมก็พาท่านไปที่บ้านคุณครูแต่ไม่พบ เจ้าที่บอกว่าคุณครูไปนอนเฝ้าคุณแม่ที่ป่วยปวดท้องเป็นก้อนๆ ที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค ผมก็พาท่านไป

    พอไปถึงพระ ๔ พระองค์ท่านก็รักษาคุณแม่ก่อน ท่านผ่ากายทิพย์เอาก้อนเนื้อและนิ่วในถุงน้ำดีออก แล้วรักษาคุณครูทีหลัง ตอนนี้คุณแม่และคุณครูก็หายดี และกลับมาอยู่บ้าน โดยคุณแม่ไม่ต้องผ่าตัดแล้วครับ คุณครูเทียมตาท่านถามว่า แม่ของคุณครูป่วยบ่อยจะมีอายุยืนยาวไหม

    ผมบอกว่าสบายมากครับ เพราะเทียนชีวิตของคุณแม่ยังเหลืออีกตั้งครึ่งกิโลกรัม อยู่ได้อีกเป็นสิบปีเลยครับ ตอนนี้คุณแม่อายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว
    พอตอนเช้าคุณครูให้นั่งสมาธิผมได้ชวนเพื่อนๆ หลายคนพากันไปดูที่เก็บเทียนชีวิตของแต่ละคน ซึ่งอยู่สุดแดนสวรรค์ต่อเขตกับนรก ผมและเพื่อนๆ จะเข้าไปดูทำยังไงก็เข้าไม่ได้ เด้งกลับมาทุกที

    แถมยังถูกแสงเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด แม้จะใช้อาวุธที่ครูบาอาจารย์ให้มาก็ยังเข้าไม่ได้ เพื่อผมใช้ลูกแก้วจากแม่ศรีจนร้าวไปหมด พลังก็ไม่มีเหลือ จากที่เหาะได้ก็เลยต้องคลานกลับมาเข้าร่างตัวเอง ต้องใช้เวลาอยู่หลายวันพลังจึงจะกลับคืน และร่างกายแข็งแรงเหมือนเดิม ผมเลยไปกราบเรียนถามท่านย่ามาว่า ทำไมผมเข้าไปดูที่เก็บเทียนชีวิตใกล้ๆ ไม่ได้ แม้ผมจะใช้อาวุธทุกอย่างที่มีอยู่

    จนกระทั่งแหวนที่พระพุทธเจ้าให้ก็เข้าไปไม่ได้ ท่านบอกว่าที่นั่นเป็นเขตหวงห้ามใครๆ จะเข้าไปไม่ได้ แต่ท่านให้ผมยืมอาวุธ คือโล่ห์เงินโล่ห์ทอง จึงจะสามารถเข้าไปได้ แต่ผมไม่ได้ใช้หรอกครับ จึงนำไปคืนท่าน ท่านบอกว่ายังไม่เอาคืนฝากผมไว้ก่อน คุณครูเคยถามผมว่า ผมเข้านอนแต่หัวค่ำทุกวัน

    แล้วพาครูบาอาจารย์และแพทย์สวรรค์ไปช่วยรักษาคุณครูและคุณแม่ได้อย่างไรในตอนดึกๆ ความจริงแล้วผมสามารถบังคับจิตของผมด้วยญาณแปด ถึงแม้ผมจะหลับแล้ว แต่จิตก็สามารถทำตามที่กำหนดไว้ได้ และผมสามารถเข้าฝันเพื่อนๆ ที่ยังฝึกมโนมยิทธิไม่ได้ เพื่อฝึกสอนเขาในฝันพาเพื่อนไปเที่ยวสวรรค์ เที่ยวนรกได้ ทั้งๆ ที่ผมก็หลับ เพื่อนก็หลับ

    จากการที่ผมสามารถช่วยเหลือเพื่อนๆ และคุณครูได้ ก็เพราะผมมีครูบาอาจารย์ที่ประเสริฐเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด คือ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ หลวงปู่ปาน หลวงปู่ฤาษี หมอชีวก ครูบาอาจารย์ทั้งหลายคอยช่วยเหลือ และอบรมสั่งสอน ตัวผมเองไม่มีอะไรดีหรอกครับ นอกจากความดื้อและซน

    ผมทำหน้าที่เพียงแต่ว่าคล้ายๆ รถยนต์บรรทุกพาครูบาอาจารย์ทั้งหลายไปรักษาคนป่วยเท่านั้นเองครับ แต่ผมก็แอบจดจำตัวยา และวิธีรักษาไว้ด้วยทุกครั้ง ผู้ที่ผมจะช่วยเหลือได้นั้นต้องเป็นคนดีนะครับ ถ้าเป็นคนไม่ดี พระท่านก็ไม่ช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นคนชั่วทำแต่ความไม่ดีแล้วยังขี้ขออีก ท่านแม่ศรีไม่ชอบ

    ถ้าเป็นกฎแห่งกรรม ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านก็ช่วยไม่ได้ครับ จากการที่ผมฝึกมโนมยิทธิได้ ทำให้ผมสามารทำความดีได้แผ่นทองคำเพิ่มมากขึ้น วิมานของผมก็หลังใหญ่เพิ่มขึ้น หลวงปู่ปานท่านก็ชมผมว่าได้ช่วยชีวิตคนที่เกือบตาย คือครูเทียมตา เพราะว่าวันที่ ๑๔ กันยายน หลังวันเลือกตั้ง คุณครูมาโรงเรียนและบอกผมว่าไม่สบาย หายใจไม่ออก ปวดไปหมดทั้งตัว หน้าตาดำคล้ำ

    หัวใจเหมือนถูกบีบใจจะขาดอยู่แล้ว ขอให้ผมช่วย ผมเห็นวิญญาณปอบหลายตัวดุร้ายมาก กำลังรุมกระหน่ำคุณครูด้วยเหล็กแหลมและอาวุธต่างๆ บางตัวไม่มีหัวหิ้วหัวที่ขาด บางตัวควักไส้ออกมา บ้างทำหน้าตาน่ากลัวหลอกหลอน จนน้อง ป.๒ ห้องของคุณครู ซึ่งมีตาทิพย์เหมือนผมวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง

    ผมเจรจาขอให้พวกมันออกไปก็ไม่ยอม ตัวหัวหน้าไปพาพวกมันมาอีกเกือบ ๒๐ คน เพราะมันถือว่ามันก็มีวิชาอาคมเหมือนกัน ผมก็เลยขอเพื่อนๆ และพี่ๆ ที่มีอาวุธประจำตัวมาช่วยกัน และผมก็จุดเทียนขอครูบาอาจารย์มาช่วย หลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีก็มาช่วยไล่มันก็ไม่ไป จะเอามีดมาฟันผมและเพื่อนๆ

    หลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีเลยจับมัดไว้ บางตัวก็จะเอามีดมาฟันผมและเพื่อน ผมเลยเอาสมเด็จโต้ ...แช่ทำน้ำมนต์ให้คุณครูดื่มและใช้สมเด็จโต้สู้จนพวกมันตายไป ๔ คน ที่เหลือมันก็วิ่งหนีไป ผมก็ส่งวิญญาณโดยแผ่เมตตาให้ บางคนก็มาขอบคุณที่พ้นจากสภาพปอบได้ไปเป็นเทวดา บางคนก็ต้องส่งไปนรก จากการที่คุณครูเทียมตาหายป่วย หายจากถูกปอบทำร้าย

    คุณแม่สบายดีไม่ต้องผ่าตัด และคุณครูยังมีโชคจากการขายที่ดิน คุณครูเลยซื้อจักรยาน BMX ให้ผมหนึ่งคันครับ จากการที่ผมฝึกมโนมยิทธิได้ ทำให้ผมระลึกชาติได้หลายสิบชาติ เคยตกนรก เคยอยู่บนสวรรค์ ชาติสุดท้ายก่อนที่จะมาเกิด ผมเคยอยู่บนสวรรค์ชั้นที่ ๓ ชั้นยามา วิมานของผมบนชั้น ๓ ก็ยังมีครับ และมีอยู่ที่ชั้นพระนิพพานอีก

    เมื่อผมไปพบท่านยามา ท่านบอกว่าให้ไปทำความดีมาใหม่ แล้วท่านจะให้ผมขึ้นมาอยู่สวรรค์เหมือนเดิม แต่ผมคงไม่เอาแล้วครับ ชาตินี้ผมขอเป็นชาติสุดท้าย และจะไปพระนิพพานแล้วครับ เพราะชั้นพระนิพพาน วิมานของผมใหญ่โตสวยงามสว่างกว่าของชั้นที่ ๓ ครับ

    จะเห็นได้ว่าผมไม่ได้ไปเรียนวิชาเหาะเหิน ล่องหน หายตัว ดำดิน เสกของ ฯลฯ อะไรต่างๆ เพราะผมไม่มีเวลา ส่วนใหญ่ผมเอาเวลาไปเรียนวิชาแพทย์แขนงต่างๆ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ได้วิชาเหล่านั้นนะครับ ผมได้หมดทุกวิชา เพียงแต่ผมไม่มีเวลาฝึกซ้อมเท่านั้นเอง

    หลังจากที่ผมรับอาสาพาครูบาอาจารย์ของผมไปช่วยรักษาคนเจ็บป่วยหลายราย ทำให้ผมได้เลื่อนตำแหน่งจากเทวดาธรรมดาไปเป็นเทพวารุต ที่แปลว่าไวปานลมกรด มีอยู่คืนหนึ่งผมไปตามหาพระอาจารย์ปู่โกมารภัจจ์ เพื่อช่วยรักษาคนไข้ ท่านไม่อยู่ท่านไปที่วัดท่าซุง เพื่อรักษาดูแลหลวงปู่ฤาษีผมก็ตามไป

    พอเข้าเขตวัดก็มีจักรขว้างมาเกือบถูกตัวผม หลบเกือบไม่ทันปรากฏว่าเป็นท้าวมหาราช ผมรีบกราบขออนุญาตเข้าเขตวัด พอจะเข้าไปห้องหลวงปู่ก็เหมือนถูกไฟดูดอย่างแรง ผมก็ขออนุญาตอีกถึงเข้าไปได้ ผมรอจนพระอาจารย์ปู่เสร็จธุระ ผมพาท่านไปเชียงใหม่ ท่านว่าเดี๋ยวคนโน้นเรียก เดี๋ยวคนนี้เรียก คนในโลกมนุษย์เจ็บป่วยกันมาก เพราะในอดีตทำบาปกรรมไว้ โดยเฉพาะผิดศีลข้อที่ ๑

    พระอาจารย์ถ่ายทอดวิชาแพทย์ทุกอย่างให้ผมจนหมด อ้อ! มีคนอื่นๆ ไปเรียนกับผมด้วย พอเรียนจบผมก็เริ่มรักษาคนที่อยู่ใกล้ตัวก่อน เช่น คุณแม่เจ็บเข่าก็หาย คุณยายก็หาย และผมก็ไปที่วัดโขงขาวก็มีคนเขียนชื่อที่อยู่ พร้อมกับบอกโรคให้ ผมไปรักษาให้ในสมาธิ ส่วนมากจะหายเว้นแต่โรคบางโรครักษาไม่หาย

    วันหนึ่งกลับจากวัดก็ไปแวะบ้านคุณครูประจำชั้นของผม พบหลานชายครูถูกตะกรุดสลักชื่อผู้หญิงฝังอยู่ในสมองและมีวิญญาณกำกับอยู่ ผมถามคุณครูว่าจะเอาออกไหม คุณครูว่าเอาออกเถอะ ผมจึงใช้แสงที่มีอยู่ในตัวทำลายลง วิญญาณที่สิงอยู่ก็ออกไปบอกหมอที่ทำ คนทำเขาโกรธมากที่เอาคนมาทำลายอาคมของเขา เขาจึงคิดแก้แค้น

    กลางคืนเขาจะมาที่บ้านอีก ผมบอกให้ทุกคนในบ้านคุณครูสวดมนต์ พอถึงเวลาหมอผีมาพร้อมกับอสุรกาย ๘ ตัว จะเข้ามาในบ้าน ผมกับลูกชายครูดันไว้อสุรกายมีแรงมาก กระแทกประตูหลายครั้งก็เข้าไม่ได้ สู้กันประมาณ ๑๐ นาทีก็กลับไป

    คืนที่ ๒ หมอร้ายส่งควายธนูมาอีก ตัวโตเท่ารถบรรทุก ตาแดง มีแรงมาก วิ่งมากระแทกประตู แต่กระดอนกลับ เพราะคุณครูเอายันต์เกราะเพชรมาปิดไว้ตรงประตู พอเข้าประตูบ้านไม่ได้มันก็หันมาจะเข้าประตูข้างๆ ผมคอยทีอยู่แล้วก็ใช้ดาบที่ได้มาฟันคอขาดเลย วิญญาณที่เป็นควายเขาก็เป็นอิสระ

    เขาขอบคุณผมที่ช่วยให้เขาพ้นจากอำนาจของหมอผี วิญญาณเขาบอกว่าเขาไม่อยากทำ แต่ถ้าไม่ทำก็ร้อนไปทั้งตัวจึงต้องทำ
    คืนที่ ๓ หมอร้ายมาเองเลย พร้อมกับกุมารแดง รูปร่างคล้ายกุมารทอง แต่เครื่องทรงเป็นสีแดง แรงมากกว่าควายธนู กระแทกประตูหลายครั้ง

    ผมจึงใช้วิชาที่เรียนมาจากพระสุริยเทพ ใช้นิ้วชี้ไปที่กุมารแดงซึ่งทำมาจากหุ่นฟาง ไหม้หมดเลย เจ้าหมอร้ายแพ้กลับไป แต่คุณครูประจำชั้นจิตใจแย่ลงมาก ผมจึงไปกราบขอหลวงปู่ปานช่วยเจรจาสงบศึก หลวงปู่ก็ไปตอนกลางคืน เจรจาอยู่นาน หมอร้ายไม่ยอม เ

    ขาบอกว่าเขาไม่เคยแพ้ใครมาก่อน และไม่เชื่อว่าคนอย่างผมจะทำลายอาคมของเขาได้
    คืนที่ ๔ มาอีก ผมก็ไปขอท่านท้าวมหาราชมาช่วย ท่านก็มาแต่ท่านยืนดูเฉยๆ ปล่อยให้ผมรบกับหมอร้ายคนเดียว จนเกือบจะเสียท่าแล้ว ผมฮึดสู้จนมันแพ้กลับไป

    คืนที่ ๕ ผมมีความรู้สึกว่าพลังของผมเกือบหมดแล้ว ผมก็ไปขอความช่วยเหลือจากคุณครูที่ฝึกสมาธิให้ผม ท่านให้ของที่มีพุทธานุภาพมาก ผมจึงปราบบริวารของหมอร้ายตายหมด และผมก็เห็นคุณครูที่ฝึกสมาธิให้ผมมาช่วยด้วย จนหมอผีร้ายแพ้กลับไป

    คืนที่ ๖ ผมรอจนดึก ประมาณตี ๒ ทุกคนหลับหมด หมอผีก็มา มันใช้อาคมสะกดเพื่อนผมและเทวดาที่บ้าน ปล่อยให้ผมสู้คนเดียว ผมแพ้ครับ ถูกตีที่หัว หมอผีเกือบจะเข้าบ้านอยู่แล้ว พอดีดาวเหนือขึ้นเสียก่อน หมอผีจึงกลับไป ผมเสียท่าคลานไปที่วิทยาลัยพละเชียงใหม่ ไปขอพลังจากท่านพระวิษณุเทพ

    ซึ่งท่านแบ่งภาคมาที่นั่น ผมจึงมีแรงกลับถึงบ้าน ตื่นขึ้นมาหัวผมบวมปูดเป็นลูกมะกรูดและเป็นไข้ตลอดวัน
    คืนที่ ๗ ผมให้ครูประจำชั้นของผมจุดเทียนเป็นค่ายกล ที่ผมไปกราบเรียนถามพระอุปคุตมา และผมก็ไปตามเพื่อนผมเป็นเทพ ลูกศิษย์พระสุริยเทพมาช่วยกันหลายท่าน คราวนี้หมอผียกมาเป็นกองทัพเลย

    มีหมดทั้งกุมารแดง อสุรกาย วิญญาณต่างๆ ผมรีบไปเพิ่มพลังจากท่านเอราวัณข้างบน กำลังผมดีขึ้นมากจึงได้ต่อสู้กับพวกนั้นอย่างดุเดือด เทวดานางฟ้าก็มาดูกันเยอะแยะ ผมคิดว่าท่านคงมาให้กำลังใจผม ที่ไหนได้จะมาดูว่าถ้าผมแพ้จะมาเอาเครื่องบรรณาการคืน ผมเสียดายของมีค่าเหล่านั้น

    เลยฮึดสู้จนหมอนั่นแพ้ แต่ผมไม่ฆ่าเขา ปล่อยกลับไป และได้ส่งวิญญาณอสุรกาย ภูตผีต่างๆ ไปตามทาง บางคนก็ไปสวรรค์ บางคนก็ไปผุดไปเกิด บางคนก็ไปรับกรรมในนรก ทุกคนมาขอบคุณที่ผมช่วยให้พวกเขาให้เป็นอิสระจากหมอร้ายตัวนั้น การที่ผมไปสู้รบกับพวกเหล่าร้ายนั้นมันเหนื่อยมากครับ ผมเพิ่งทราบว่ามีวิธีที่ง่ายกว่านั้น

    คือให้คนป่วยที่ถูกคุณไสยไปรดน้ำมนต์กับพระที่มีคุณธรรมสูงก็ได้ อาคมต่างๆ ก็จะถูกทำลาย คนป่วยก็จะหาย การที่ผมรักษาคนและรบชนะ บนสวรรค์ก็เลื่อนตำแหน่งให้ผม จากเทพวารุตเป็นเทพเจ้าอัตตารุต เมื่อวันที่ ๑๗ – ๑๘ ตุลาคม ผมได้ไปร่วมทำบุญทอดกฐินที่วัดท่าซุง

    ผมเห็นพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ เทพเจ้าทั้งหลาย พากันมาร่วมทำบุญในงานกฐินมากมาย ผมได้พบกับเพื่อนๆ ที่เป็นเทวดาชั้นต่างๆ และเล่นด้วยกันสนุกสนานมาก มีผู้ใจบุญมอบเงินให้เป็นทุนการศึกษาของผมกับเพื่อน มีหลวงลุงที่วัดให้พระแก้วไว้บูชา ได้น้ำมันชาตรี ได้มีดหมอชาตรีไว้รักษาคนด้วย รายชื่อผู้ป่วยที่ผมได้รับ ผมก็ไปรักษาให้ในสมาธิ

    ระยะแรกในต่างจังหวัดนี่ยังหลงทางหลงซอยอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้ชำนาญเส้นทางแล้วครับ ตอนที่ผมมาวัดท่าซุง ผมรู้จักกับพี่บัญชา นักเรียนบ้านแม่เตาไหชั้น ป.๖ ขอให้ผมช่วยรักษาให้แม่ที่เป็นโรคปวดหัว ผมก็ไป พอตอนกลางคืนผมไปด้วยกายทิพย์ ตอนเป็นกายทิพย์นี่เป็นร่างของเทพผู้ใหญ่

    พี่บัญชาก็เป็นร่างเทพผู้ใหญ่ ต่างคนก็ต่างจำกันไม่ได้ เลยสู้กันใหญ่ เข้าบ้านพี่บัญชาไม่ได้ พี่บัญชาไม่ให้ผมเข้า เจ้าที่ก็มาห้ามบอกว่าคุณสองคนจำกันไม่ได้หรือ คนนี้ชื่อดนตรี คนนี้ชื่อบัญชา แล้วเราสองคนก็หัวเราะกัน แต่แหมพี่บัญชานี่มีกำลังมาก ทำเอาผมเกือบแย่...

    เวลาผมมีปัญหาอะไรผมก็ไปกราบเรียนถามพระอาจารย์ของผมบนสวรรค์ ท่านก็จะแนะนำให้คำตอบหมด มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมรักษาคนไข้ที่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรบนสวรรค์ ซึ่งผมไม่มี ผมเห็นของพระอาจารย์ปู่โกมารภัจจ์มีมาก ท่านกำลังคิดค้นยารักษาโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งอยู่ ผมไปที่ไว้สมุนไพรของท่านและไม่มีใครอยู่

    ผมจึงถือโอกาสหยิบเอามารักษาคนไข้ของผม วันต่อมาท่านเรียกผมไปพบ และจับตัวผมส่งไปให้หลวงปู่ปาน หลวงปู่เทศนาอบรมผมเรื่องการหยิบยืมของโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของตั้ง ๒ วัน ๒ คืน จนผมเข็ด หลังจากที่ผมได้ตำแหน่งเทพเจ้าอัตตารุตแล้ว ผมก็ทำหน้าที่ของผม

    อีกไม่นานก็จะได้เลื่อนเป็นตำแหน่งเทพเจ้าสิงหรุต เดี๋ยวนี้ผมทราบแล้วว่า เทพเจ้าทั้งหลายจะได้เข้าชั้นพระนิพพานนั้นยากเท่าๆ กับเทพธรรมดา เพราะเทพเจ้ามีภาระหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์และมีภาระอื่นๆ อีกหลายอย่างตามตำแหน่งหน้าที่ของแต่ละท่าน ถ้าผมรับตำแหน่งใหม่ก็ต้องเลิกรักษาคน เพราะตำแหน่งใหม่งานหนักขึ้น คงไม่มีเวลารักษาคน

    ผมก็ไปกราบขอคำปรึกษาจากหลวงปู่ปาน หลวงปู่บอกว่าเป็นถึงเทพเจ้าแล้วจะต้องคิดและตัดสินใจเอาเอง ผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อนเพราะโรคภัยไข้เจ็บก็ยังมีมากอยู่ ผมจึงได้ความคิดขึ้นมาแล้วว่าจะทำอย่างไรดี ต่อมาผมทราบข่าวที่ทำให้เสียใจมากๆ จนแทบตกจากเก้าอี้

    คือการมรณภาพของหลวงปู่ฤาษีของผม ผมรีบไปกาบร่างหลวงปู่ที่วัดท่าซุงทันที เห็นทั้งคนทั้งเทวดากำลังร้องไห้ ผมเองก็กลั้นไว้เกือบไม่อยู่ ในงานบำเพ็ญกุสลทุกๆ คืนที่ผ่านมาผมก็ไปทุกวัน มีพระพุทธเจ้าองค์ปฐมเสด็จมาเป็นประธานทุกๆ วัน บนสวรรค์ไม่ค่อยมีใครอยู่ เงียบเหงาผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังพบหลวงปู่ทุกวันบนพระนิพพาน

    ระยะนี้พวกผมก็โดนพวกผีปีศาจร้ายเล่นงานหนัก มาท้าตีท้าต่อย ต่อสู้กันอยู่ทุกวัน เขาต้องการทำลายคนดี และไม่ต้องการให้ใครทำความดี อยากให้ไปเป็นพวกเขา คอยกลั่นแกล้งทำร้ายผู้คน พวกบริวารของหัวหน้าปีศาจมีฤทธิ์มากเหมือนกัน ผมก็สู้ได้โดยไม่ต้องออกแรงมาก แต่ตัวหัวหน้าผมยังสู้ไม่ได้ รอให้ผมได้ตำแหน่งเทพเจ้าสิงหรุตก่อน ฝีมือจึงจะเท่ากัน

    ถ้าผมรับตำแหน่งใหม่เมื่อใด ผมต้องเลิกรักษาคน เพราะผมจะต้องทำหน้าที่อื่น เพื่อป้องกันพระพุทธศาสนา ตามหน้าที่ของบนสวรรค์ท่านจะกำหนดให้ ครูบาอาจารย์ของผมมีหลายท่านคือ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย และเทพเจ้าอีกหลายท่าน

    ทีแรกผมคิดว่าจะไม่รับตำแหน่งใดๆ อีก ผมจะสร้างบารมีเพื่อไปรออยู่ที่ชั้นดุสิต แต่เหตุการณ์ต่างๆ เปลี่ยนไป ตัวผมเองก็คงจะต้องเปลี่ยนไปด้วยครับผม


    คัดลอกจาก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid
     
  14. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    สภาพเมืองพระนิพพานคร่าว ๆ ในมุมสูง ทุกอย่างที่นี่เป็นแก้วทั้งหมด แก้วแพรวพราวมีรัศมีระยิบระยับเปล่งประกายมากน้อยตามบุญบารมี ท่านที่มีศักดานุภาพบารมีมากที่สุดในเมืองพระนิพพานแห่งนี้ คือสมเด็จองค์ปฐมบรมครู ทรงพระนามว่า “ สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลที่ ๑ ”

    เนื่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีหลายพระองค์ มีเป็นแสน ๆ พระองค์ พระนามจึงมีซ้ำ ๆ อยู่หลายพระองค์ และด้วยที่พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรก ใช้เวลาในการเรียนรู้ผิดรู้ถูกด้วยพระองค์เอง เพราะตอนนั้นยังไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นเลย จึงใช้เวลาบำเพ็ญบารมียาวนานที่สุดถึง ๘๐ อสงไขย จึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรก และเป็นบรมครูให้กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ มา

    จนปัจจุบันในยุคนี้เป็นยุคของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า “ สมเด็จพระสมณโคดม ” วิมานแถวหน้าสุดจึงเป็นวิมานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของแต่ละพระองค์เรียงกันไปตามลำดับ อันอาณาเขตของแดนพระนิพพานนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมากถึงขนาดว่า ต่อให้มนุษย์ทั้งหมดทุกคนรวมถึงมนุษย์ในดาวอื่นและแกแลคซี่อื่น ๆ ทั้งหมดด้วย สัตว์ทุกตัว รวมทั้งสัตว์นรกทุกผู้ทุกนาม สามารถขึ้นไปอยู่บนพระนิพพานได้อย่างสบาย ๆ แล้วก็ยังเหลือพื้นที่อีกมากอยู่เลย

    พระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้นไม่เท่ากัน ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ประเภทดังนี้

    ประเภทปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป บริวารของท่านตอนเป็นมนุษย์มีทั้งจน ปานกลาง รวย รูปร่างหน้าตาก็คละเคล้ากันไปตามแต่บุญของแต่ละคน

    ประเภทศัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป บริวารของท่านตอนเป็นมนุษย์ มีทั้งรูปร่างหน้าตาและความเป็นอยู่มีตั้งแต่ระดับปานกลางไปจนถึงรวยและสวย

    ประเภทวิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป บริวารของท่านตอนเป็นมนุษย์นั้นมีแต่คนรวยและรูปสวยเหมือนกันหมดทุกคน

    ส่วนวิมานที่ถัดไปข้างหลังของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น เป็นของพระอัครสาวกของแต่ละพระองค์นั่นเอง และถัดไปแบ่งเป็นสาย ๆ ในแต่ละสายก็มีวิมานของหัวหน้าของแต่ละสายนั้นตามลำดับไป

    วิมานที่สวยและใหญ่ที่สุดของเมืองนิพพานคือวิมานของสมเด็จองค์ปฐม และรองลงมาก็เป็นวิมานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละองค์แตกต่างกันตามบารมีในการบำเพ็ญ แต่ก็สวยงามหมดทุกหลัง และวิมานที่ใหญ่และสวยรองลงมาจากพระพุทธเจ้าคือวิมานของพระปัจเจกะพุทธเจ้าซึ่งมีเป็นจำนวนมานับเป็นล้านล้านพระองค์ ซึ่งอยู่ในโซนแยกออกมาต่างหาก เนื่องจากท่านบำเพ็ญมาเพื่อตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เองเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า แต่ไม่สอนบริวารเหมือนพระพุทธเจ้า สอนเหมือนกันแต่สอนถึงแค่ไตรสรณคมน์ไม่สอนจนกระทั่งถึงอรหันต์เหมือนพระพุทธเจ้า และท่านเกิดขึ้นเฉพาะยุคที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

    ความงามถัดมาก็เป็นวิมานของพระอัครสาวกซ้ายขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์นั่นเอง และเรียงลำดับความงามเช่นนี้ไปทุกลำดับ
    ความเป็นอยู่ของทุกพระองค์ที่นี่เป็นอิสระ หากวิมานใดที่เจ้าของตายจากโลกมนุษย์แล้วมาอยู่ที่นี่ก็จะสุกสกาวแพรวพราวงดงามเต็มอัตราพระนิพพาน

    ส่วนวิมานใดที่เจ้าของยังไม่ตายจากโลกมนุษย์นั้น จะมีความผ่องใสไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับระดับจิตใจของเจ้าของวิมานที่เป็นมนุษย์นั่นเอง ฉะนั้นหากถ้าใครปฏิบัติตามกฏที่ตั้งไว้อย่างเคร่งครัดและมีปฏิปทาว่าหากตายเมื่อใดจะมาอยู่พระนิพพานเมื่อนั้น อย่างไม่ลังเลและไม่มีเยื่อใยใด ๆ กับสวรรค์และพรหม ท่านนั้นจะมีวิมานเกิดขึ้นที่พระนิพพานเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ส่วนจะผ่องใสระดับใดก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตของแต่ละท่านนั้นเอง

    หากท่านใดที่ยังมีความลังเลอยู่ประเภทสวรรค์ก็อยากได้ พรหมก็น่าอยู่ พระนิพพานก็อยากมา ท่านนั้นจะมีวิมานเกิดขึ้นทั้ง ๓ แห่ง และหากตายจากมนุษย์เมื่อใด หากกำลังใจขณะนั้นอยู่ในระดับใดก็จะมาที่วิมานนั้นในทันที ฉะนั้นท่านก็เลือกเอานะคะว่าอยากอยู่ที่ใด


    ปล. ในการเห็นสภาพของพระนิพพานนั้นขอบารมีพระสัมมาพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ และบารมีของครูบาอาจารย์ทุกพระองค์ เพราะด้วยกำลังของเราไม่สามารถเห็นได้


    รอติดตามพระนิพพานตอนต่อไปค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2015
  15. Yammies

    Yammies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +320
    สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะพี่ทองชมพู แยมคิดว่า ไม่เคยใส่บาตรเลย จะเอาบุญที่ไหน
    เพราะด้วยการทำงาน ต้องนอนดึกตื่นสาย พระท่านคงไม่รอ จะทำยังดี
    ไม่ได้ใส่บาตร ตายไปคงจะไม่ได้กินอะไร...
    ทำบุญก็ไปทำสังฆทาน นาน ๆ ก็ครั้ง แต่ปราณีตที่สุดเท่าที่จะทำได้ หาซื้อเอง
    จัดเอง ชวนคนอื่นด้วย จะได้กุศลในการชวนคนอื่นมาทำบุญด้วยกัน..
    วิธีนี้แยมสามารถทำบุญได้ทุกวัน เป็นไอเดียที่ดีมาก ๆ เลย
    แยมขอน้อมรับไปปฎิบัติตาม ณ บัดเด๋วนี้เลยเจ้าค่ะ
    ขออนุญาตินำเอาไปแนะนำเพื่อน ๆ พี่ ๆ ญาติ ๆ นะคะ
     
  16. Yammies

    Yammies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +320
    หายไปสองวัน กลับมาพี่ทองชมพูทำหนูปวดตาไป เลย 555
    ทำไม่เขาเก่งกันแบบนี้ง่าา
     
  17. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เด็ก ๆ ทั้งนั้นนะนั่น วิชาเสกเงินนี้น่าเรียนสุด ๆ เลยเนอะน้องแยม
     
  18. Yammies

    Yammies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +320

    น่าเรียนจริง ๆ ค่ะพี่ทอง ยังเผลอคิดจะเรียกได้ครั้งละมากน้อยเท่าไหร่ อิอิ
    แต่พอมีเงิน หนูไม่แน่ใจว่าหนูจะยังสนใจธรรมะอยู่อีกหรือเปล่า..
    ถ้าเรียกเงินได้ สงสัยที่ตั้งใจจะเก็บวันลาไปวัดท่าซุง
    คงจะได้ไปพารากอนแทนซะละมั้งคะ

    วันนี้จะไปซื้อ กล่องใส่เงินทำบุญ แล้วจะไปศึกษาเรื่องพระพุทธรูปค่ะว่าตัวเอง
    ชอบแบบไหน...ได้เวลาเลิกงานพอดี..กลับบ้านก่อนค่า
    ดึก ๆ เข้ามาใหม่ เขียนทิ้งไว้สักเรื่องสองเรื่องให้แยมได้อ่านก่อนนอนนะค้า

    ขอบคุณค่า
     
  19. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ดีมากค่าน้องแยมมี่ ถ้าไปวันธรรมดาได้จะดีเพราะคนน้อยครูฝึกดูแลได้ใกล้ชิด ได้ยินน้องบอกจะหยอดกระปุกถวายพระทุกวัน แหมชื่นใจ

    ส่วนใครได้เข้ามาในกระทู้นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกค่ะคุณขวัญเรือน และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็นประโยชน์กับคุณ ไม่ว่าหลักสูตรไหนก็ต้องสละด้วยชีวิตเหมือน ๆ กันนะคะ สายสุขวิปัสโก เห็นเรียบ ๆ อย่างนั้น ก็ต้องสละทิ้งซึ่งร่างกายในตอนท้าย มิเช่นนั้นก็ไปไม่ได้อยู่ดี แต่สายมโนมยิทธินี้ได้เปรียบตรงที่ ต้องสละร่างกายทุกกครั้งที่เอาจิตขึ้นมิเช่นนั้นจะขึ้นไม่ได้ ทำให้ได้ซ้อมทิ้งร่างกายบ่อย ๆ พอตายจริงจะได้ชินนั่นเอง

    และเป็นกำลังใจให้คุณหนูนาเดินหน้าในการสร้างความดียามท้อก็ขอให้สู้ สู้เพื่อพระนิพพานชาตินี้นะคะ

    และน้องรินรินก็สู้ สู้ เช่นกันนะ

    คุณสโนว์ก็เหมือนกัน เป็นกำลังใจให้ค่ะ

    และอีกท่านคุณวันวิสาขอให้ถึงจุดหมายปลายทางนะคะเป็นกำลังใจให้

    อ้อเกือบลืมทั้งคุณดาว คุณมิสบราวน์ คุณไฮแมกซ์ คุณราคุเรียวซาย คุณไทยแลนด์๘ คุณไฮแลนเดอร์ คุณกิ่งสน คุณเจ้าคุณ คุณครึ่งชีวิต คุณมันไม่แน่ คุณวิชญ์24 เราทั้งหลายล้วนต่างดิ้นรนหาทางหลุดพ้น ขอให้ไปถึงจุดหมายในชาตินี้กัน

    ส่วนท่านพี่นพนั้นเอาตัวรอดเป็นยอดดีช่วยเสริมช่วยแจม น้องนั้นขอบพระคุณ เจอกันข้างบนนะพี่ หากไปก่อนก็อย่าลืมน้องเดือดร้อนเรื่องการยังชีพอยู่นะ เพชรพลอยข้างบนมีเยอะโยนลงมาสักกระสอบ สองกระสอบ อย่าลืมนะพี่

    และอีกหลายท่านที่ชื่อตกหล่นต้องขออภัย ทุก ๆ ท่านที่ตามอ่านกระทู้ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้านี้ ให้ท่านทราบไว้เถิดว่าหากท่านไม่มีวิสัยอภิญญามาแต่อดีต มีหรือท่านจะติดตามอ่านมาจนบัดนี้ และสังเกตดูสิว่ามีคนเข้ามาน้อย และมีแต่หน้าเดิม ๆ หากเราไม่เคยทำบุญร่วมกันมีหรือจะได้รู้จักและพูดคุย และขอท่านทราบไว้ว่า หากท่านทำตามอย่างที่หลวงพ่อท่านแนะนำอย่างเคร่งครัดและตัดสินใจไม่ลังเล ท่านนั้นมีบารมีเป็นปรมัตอย่างแน่แท้ไม่ต้องสงสัย

    ทั้งนี้ทั้งนั้น จุดประสงค์สำคัญไม่ได้อยู่ที่เห็นหรือไม่เห็น จะขึ้นได้หรือไม่ได้ แต่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดนั้นคือ ท่านได้ปิดอบายภูมิ

    ตัวอย่างเรื่องเด็กอภิญญาที่โพสนั้น สังเกตได้ว่าพวกเขามีความคิดความอ่านและมีปัญญาการตัดสินใจเหมือนผู้ใหญ่เลย และชัดมากจากเด็กคนสุดท้าย ซึ่งอายุเพียง ๑๐ ขวบเท่านั้นเอง ขนาดท่านท้าวยามาผู้มีศักดานุภาพใหญ่ปกครองสวรรค์ชั้นที่ ๓ ชวนให้อยู่ที่วิมานแห่งนี้เมื่อตาย แต่เนื่องจากเด็กได้เห็นว่าวิมานบนพระนิพพานนั้นใหญ่สวยและดีกว่ามาก เด็กนั้นมีความคิดความอ่านและฉลาดที่จะเลือกบ้านที่พระนิพพาน จากตัวอย่างเรื่องนี้ทำให้ดิฉันนึกถึงที่ท่านกล่าวถึงสมัยพุทธกาล เด็กสมัยนั้นอายุเพียง ๗ ขวบ บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก

    ฉะนั้นเราเองเป็นผู้ใหญ่มีสติปัญญา และวิสัยทัศน์ย่อมดีกว่าเด็ก หวังว่าทุกท่านคงตัดสินใจแน่วแน่เลือกพระนิพพานเป็นที่อยู่สุดท้ายเพียงแห่งเดียวกันนะคะ


    ปล. ครั้งแรกเจตนาเพียงเล่าเรื่องผีเท่านั้นจริง ๆ แต่พอถามหลวงพ่อว่าเล่าเรื่องอะไรจะเป็นประโยชน์ใหญ่แก่ท่านผู้อ่าน จึงเป็นที่มาของเรื่องแสงออร่าจากบาตรพระสงฆ์ จนถึงวันนี้มีหลายท่าน pm สอบถาม และพร้อมทำตามกันหลายคน จึงถึงบางอ้อ ณ บัดดล และต้องขอบคุณผีขี้แกล้ง และทุก ๆ ผีกันนะคะ ที่เป็นผู้จุดประกายและเป็นกำลังใจให้หลาย ๆ ท่านเพื่อสร้างความดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2015
  20. DEEJAI243

    DEEJAI243 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2015
    โพสต์:
    427
    ค่าพลัง:
    +1,449
    ขอบคุณมากค่ะคุณทองชมพู
    ที่คอยให้กำลังใจและคอยเป็นผู้ให้คำชี้แนะ
    ฉันเชื่อมั่นค่ะว่า "ไม่มีคำว่าล้มเหลว หากเราไม่ล้มเลิก"

    ข้าพเจ้าจักเจริญกรรมฐานภาวนา
    บูชาพระรัตนตรัยอุดม สั่งสมทศบารมีธรรม

    บำเพ็ญอิทธิบาททั้งสี่ บ่มอินทรีย์ให้แก่โดยกาล
    สังหารนิวรณ์ห้าให้หาย สืบสายวิตก วิจารณ์ ปิติ

    สิริร่วมสุขเอกกัคคตา ต่อมาให้ถึงฌาณสี่
    พร้อมด้วยวสีทั้งห้า เจริญมรรคาพระอริยะสมังคี

    ล้างธุลีกิเลสให้สูญ ตัดมูลอาสวะอนุสัย
    ห่างไกลสังโยชน์ทั้งปวง ล่วงถึงประโยชน์ยิ่งใหญ่

    ขอคุณพระรัตนตรัย คุณไท้ธิราชเทวา
    คุณมารดาบิดาครูอาจารย์ คุณความดีทุกประการ

    จงมาเป็นที่พึ่งแก่ฃ้าพเจ้า บรรเทาทุกข์ร้อนให้เหือดหาย
    ทำลายมารห้าให้พินาศ ปราศจากภยันอันตรายนิรันทร์

    เกษมสันต์ประสบสิ่งเสมอใจ สมดั่งมุ่งหมาย
    ณกาลบัดนี้เทอญ

    จาก :
     

แชร์หน้านี้

Loading...