ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ คำตอบตรง ๆ ตามสัจจะธรรมเลยคือ "ตัวสติ (สภาวะรู้) ไม่ใช่อาการที่เกิดจากการกระทำทางจิต"
    +++ เพียงแต่ "การฝึกการกระทำทางจิต ที่กระทำได้ถูกต้อง (อริยะมรรค) จะส่งผลให้เข้าถึง สภาวะแห่ง สติ (สภาวะรู้) ได้"

    +++ ให้อ่าน "สติ ตามระดับของผู้ฝึก" ในโพสท์ที่ 5 หน้าแรก ของกระทู้นี้ประกอบไปด้วย ก็จะพอเข้าใจได้อย่างคร่าว ๆ ได้ว่า ขั้นตอนของคำว่า "สติ" นั้นย่อมแตกต่างกันไปเป็น "ปัจจัตตัง" ส่วนตัวของผู้ฝึก แต่สามารถแยกอย่างหยาบ ๆ ได้เป็น 5 ระดับคือ

    1. ระดับผู้หาความหมายของ "คำว่าสติ" วงจรในระดับนี้คือ "การถกเถียงว่า สติคืออะไร"
    2. ระดับของผู้ "พยายามทำสติ" วงจรในระดับนี้คือ "การแสวงหา วิธีฝึกกรรมฐาน"
    3. ระดับของผู้ที่ "ได้รับประสพการณ์จากสติ" วงจรในระดับนี้คือ "เล่าสู่กันฟังจาก ประสพการณ์ในการฝึก" เรียกสั้น ๆ ว่า "อภิญญา XP" ก็แล้วกัน
    4. ระดับของผู้ที่ "มีสติเป็นฐาน" วงจรในระดับนี้คือ "รู้ตรง ๆ ที่สภาวะของจิต"
    5. ระดับของผู้ที่ "ได้สติบริสุทธิ์" คือผู้ที่ "พ้นแล้วจากความเป็นจิต"

    +++ ระดับ 1-4 ต้องฝึก "การเดินจิต" เพื่อให้เข้าถึง "สติ" ส่วนระดับที่ 5 จะเป็น "สติอยู่ส่วนสติ และ จิตอยู่ส่วนจิต"

    +++ สรุปคำตอบแบบตรง ๆ คือ "สติไม่ใช่จิต แต่ต้อง ใช้จิตเพื่อเข้าถึงสติ" (จิตในที่นี้ ใช้ภาษาของหมวด มหาสติปัฏฐาน 4 อย่านำไปปนกับภาษาในหมวดอื่น) นะครับ
     
  2. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,862
    ค่าพลัง:
    +1,818
    คุณเจ้าของกระทู้ขอรับ ข้าพเจ้ามีข้อแนะนำให้คุณเกิดความรู้ความเข้าใจในบางเรื่อง บางอย่าง ที่คุณกล่าวว่า
    "สักพักก็เหมือนชาๆตามตัว เหมือนขนลุก สักพักจะสบาย
    นั่งไป ไม่เมื่อยไม่ปวด มันสบายๆมาก ไม่อยากเลิกเลยค่ะ
    รู้สึกว่ามันมืด มันเงียบมากๆ แต่ก็ได้ยินเสียงรอบๆตัวอยู่
    (หมายถึงเสียงแฟน กรนหรือเวลาพลิกตัว)"
    อาการ ที่คุณรู้สึกเหมือนชาๆตามตัว นั้น คืออาการของ หัวใจและปอดไม่แลกเปลี่ยนก๊าซ หรือแลกเปลี่ยนก๊าซน้อย ทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายน้อย จึงทำให้เกิดรู้สึกเหมือนตัวชา อย่างนั้น ถ้าปฏิบัติครั้งต่อไป ให้สูดลมหายใจให้หนักพอประมาณ เอาแบบเพียงต่อความต้องการออกซิเจนของร่างกายนะขอรับ อย่างอื่น ไม่แนะนำขอรับ
     
  3. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,862
    ค่าพลัง:
    +1,818
    ขออภัยขอรับ ไม่ทราบว่า คุณไปเรียน หรือไปรู้ อย่างที่คุณสาธยาย มาจากไหนขอรับ ความรู้ทางศาสนา ถ้ารู้ผิด เข้าใจผิด ก็จะปฎิบัติผิดไปด้วย หากรู้ผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด ย่อมทำให้ระบบการทำงานของร่างกายทุกระบบผิดปกตินะขอรับ

    สติ คือ ความระลึกได้ หรือการนึกถึง ถ้าเป็นระบบการทำงานของร่างกาย นั่นหมายการที่เมื่อบุคคลได้รับการสัมผัส ก็จะเกิดกระแสประสาทไปสู่สมอง นำเอาข้อมูลความจำ ประสบการณ์ ต่างๆ ออกมาใช้ได้อย่างทันท่วงที อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่า "สติ"
    แต่ผู้มี "สติ" ต้องมี "สัมปชัญญะ" คือ "ความรู้สึกตัวฯลฯ" ซึ่ง ความรู้สึกตัวฯลฯ หรือ สัมปชัญญะ นั้น ก็คือ ความมีสมาธินั่นเอง
    สติ ความระลึกได้ ก็คือ จิต เป็น ชวนะ จิต และ สติ ก็เป็น เจตสิก คือ ธรรมที่ประกอบอยู่ในจิตอีกด้วย
     
  4. itemnoi

    itemnoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +323
  5. itempat

    itempat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +159
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ คุณ telwada นี่คงจะไม่ค่อยเต็มสักเท่าไร หรือไม่ก็เป็นพวกที่อ่านอะไรแล้วก็ ชอบเพ้อเจ้อไปเรื่อย ๆ
    +++ กระทู้นี้เป็นกระทู้ "ฝึก-กรรม-ฐาน-ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย" ไม่ใช่พวกกระทู้ "อธิบายก๊าซ" เรื่อยเปื่อยแบบของคุณ
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สติของคุณ telwada คือ "ความจำ" ไม่ใช่อาการจริง ๆ ของสติ พยายามอย่ายัดเยียดความมั่วในหัวคุณเข้ามาในกระทู้นี้จะดีกว่า
    +++หากคุณ telwada อยากจะพูดเรื่องเกี่ยวกับ "สติ" จริง ๆ แล้ว ก็ควรไปเปิดกระทู้ของคุณเอาเอง อย่าเข้ามาขัดขวางการปฏิบัติธรรมของผู้อื่นเลย มันจะเป็น วิบากกรรม ย้อนเข้าหาตัวคุณเองภายหลัง
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ถ้ามีปัญหาหรือติดขัดตรงไหนก็โพสท์เข้ามาได้เลย นะครับ
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ไม่นานครับ หากทำความรู้สึกทั้งตัวได้เมื่อไร ก็พร้อมที่จะ "ทำสติให้เป็นสมาธิ" ได้ทันที
     
  10. torelax9

    torelax9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +527
    ผมหายจากกระทู้ไปนาน ผมได้ไปฝึกอย่างต่อเนื่อง จนตอนนี้รู้สึกว่าจับทางได้แล้ว
    สามารถทำความรู้สึกตัวได้เกือบทั้งกาย
    ชัดขึ้นๆเรื่อยๆ ชุ่มช่ำจริงๆ รู้สึกฝึกวิธีนี้ได้แล้วไม่มีเสื่อม เหมือนเจริญขึ้นเรื่อยๆ แต่บางช่วงของการฝึกอาจเห็นความก้าวหน้าไม่ชัด แต่พยายามขยันฝึกไปเรื่อยๆผ่านระยะเวลาไปช่วงนึง จะเห็นความก้าวหน้าได้ชัด วิธีมีสติอยู่กับกายนี้ ได้แล้วไม่มีการเสื่อมคล้ายกับแบบวิธีสติที่หลวงพ่อจรัญวัดหลวงขุนวินสอนรึป่าวครับ ตามลิ้งนี้

    https://sites.google.com/site/watluangkhunwin/34
    เพราะผมฟังประสบการณ์คนฝึกแบบหลวงพ่อจรัญ วัดหลวงขุนวินมาหลายคนมากๆๆ ได้แล้วไม่มีการเสื่อมได้แล้วได้เลย ผมยังเคยคิดหากฝึกแบบวิธีอาจารย์ไม่ก้าวหน้าผมจะฝึกแบบวิธีหลวงพ่อจรัญ วัดหลวงขุนวิน แต่ตอนนี้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมมีกำลังใจขยันฝึกมาก

    วิธีแบบหลวงพ่อจรัญ วัดหลวงขุนวินใช่วิธีแบบที่อาจารย์ธรรมชาติเคยสอนเคยกล่าวถึงไว้ในกระทู้นึง (ว่างๆจะลิ้งให้ครับ) ว่าสองวิธีนี้อย่าเอามาผสมกัน ใช่หรือป่าวครับ
    ผมสังเกตุว่าน่าจะใช่ แต่วิธีนั้นเท่าที่ผมฟังหลวงพ่อจรัญ วัดหลวงขุนวิน และคนฝึกแนวนั้น เน้น ตัวเห็น คือเห็นรูป แต่วิธีแบบอาจารย์ธรรมชาติ เน้นตัวรู้ ผมคิดว่าต่อไปหากผมฝึกวิธีนี้คล่องแล้ว จะลองไปฝึกแบบนั้นด้วย
    กราบนมัสการอาจารย์ครับ _/\_ _/\_ _/\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2013
  11. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ไม่รู้เป็นงัยเมื่อเข้ามาส่งอารมณ์แล้วสภาวะมักจะเปลี่ยนไปเสมอทั้งสองครั้งเลยหรือความรูู้สึกภายในแค่ต้องการให้รู้เท่านั้นว่ามันคืออะไร ตอนนี้เวลาเข้าสมาธิมีความรู้สึกว่ามันแย้ง ๆ กันอยู่ระหว่างสองสภาวะ(กายเวทนา จิตเคลื่อนร่าง) เหมือนมันจะออกก็ออกไม่ได้จะเคลื่อนร่างก็เคลื่อนไม่ได้ บางครั้งก็รับรู้ถึงการเคลื่อนขยับของมือหรือแรงสะดุ้งออกทางด้านข้างลำตัว ในความรู้สึกเหมือนมันจะต้านกันอยู่ของทั้งสองสภาวะเหมือนจะเป็นการบีบให้ไปดูตรงความรู้สึกอย่างเดิมมากกว่า จึงเริ่มมาดูความรู้สึกผ่านลมหายใจอีกครั้ง เริ่มจากความอยากในลมหายใจ ต่อมาก็ตามมาด้วยความสบายและความเฉย โดยในการดูแต่ละครั้งจะมุ่งไปยังจุดที่รู้สึกมากที่สุดหากตรงเป้าความรู้สึกนั้นก็จะหายไปแต่จะรู้สึกถึงพลังที่ถูกสะสมเอาไว้จากการดูแต่ละครั้ง พลังนี้จะมีลักษณะขมวด ตึง แน่น อย่างนี้หรือเปล่าค่ะที่เค้าเรียกว่าสมาธิแบบรวมเข้า หากในการดูแต่ละครั้งจะใช้ความรู้สึกเข้าไปเคลียร์หรือปล่อยออกก็จะออกมาในรูปแบบโปร่งโล่งแบบนี้หรือเปล่าที่เค้าเรียกว่าสมาธิแบบคลายตัว มันจะคลายตัวมีอยู่แค่ความรู้สึกเฉยไม่รู้สึกถึงร่างกาย บางครั้งก็อยากจะดับความรู้สึกเหมือนกันไม่อยากจะรู้สึกรับรู้อะไรมีวิธีการที่จะดับความรู้สึกหรือเปล่าค่ะ
    การนั่งจะไม่มีอะไรโลดโผนแต่เหมือนมันจะออกมาตรงความฝันมากกว่า ที่เรียกว่าความฝันเพราะมันไม่เห็นกริยาเริ่มต้นและไม่ต้องมีความพยายามหรือเจตนาที่จะเข้าแต่จะมีสติระดับหนึ่งเข้าไปควบคุมความฝันได้ โดยเริ่มแรกก็จะมีสติระลึกได้ว่าท่านธรรม-ชาติให้ลองเหาะดู ก็พยายามลองดู แต่ต่อมาความฝันส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปในลักษณะการใช้การเหาะเป็นหลัก และฝันว่ามีการฝึกทักษะการเสกหรือเนรมิตของได้ด้วยแปลกดีเหมือนกัน ช่วงนี้มีการฝันในแนวโลดโผนเกือบจะทุกคืนเลยค่ะ
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ผมหายจากกระทู้ไปนาน ผมได้ไปฝึกอย่างต่อเนื่อง จนตอนนี้รู้สึกว่าจับทางได้แล้ว
    สามารถทำความรู้สึกตัวได้เกือบทั้งกาย
    ชัดขึ้นๆเรื่อยๆ ชุ่มช่ำจริงๆ รู้สึกฝึกวิธีนี้ได้แล้วไม่มีเสื่อม เหมือนเจริญขึ้นเรื่อยๆ แต่บางช่วงของการฝึกอาจเห็นความก้าวหน้าไม่ชัด แต่พยายามขยันฝึกไปเรื่อยๆผ่านระยะเวลาไปช่วงนึง จะเห็นความก้าวหน้าได้ชัด วิธีมีสติอยู่กับกายนี้ ได้แล้วไม่มีการเสื่อมคล้ายกับแบบวิธีสติที่หลวงพ่อจรัญวัดหลวงขุนวินสอนรึป่าวครับ ตามลิ้งนี้

    https://sites.google.com/site/watluangkhunwin/34

    +++ ผมใช้ Pale Moon X64 กับ Firefox X64 เป็น Browser ไม่ใช้ Internet Explorer ดังนั้น ลิ้งค์ที่ให้มาไม่ compatible กับ Browser ของผม ก็เลยไม่ทราบว่า หลวงพ่อจรัญวัดหลวงขุนวิน ท่านสอนอย่างไร (ผมเคยทำงานด้าน Internet securities มาหลายปีเลยทำให้ผม เลิกใช้ Internet Explorer มานานแล้ว)

    เพราะผมฟังประสบการณ์คนฝึกแบบหลวงพ่อจรัญ วัดหลวงขุนวินมาหลายคนมากๆๆ ได้แล้วไม่มีการเสื่อมได้แล้วได้เลย ผมยังเคยคิดหากฝึกแบบวิธีอาจารย์ไม่ก้าวหน้าผมจะฝึกแบบวิธีหลวงพ่อจรัญ วัดหลวงขุนวิน แต่ตอนนี้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมมีกำลังใจขยันฝึกมาก

    +++ ความก้าวหน้า หรือ ความเสื่อม มีความสัมพันธ์กับ การเดินจิตถูกต้อง หรือ ผิดพลาด "โดยตรง" เหตุอยู่ที่การใช้ภาษาของผู้บรรยายเป็นหลัก ว่า ตรงกับจริตของผู้ฝึกด้วยหรือไม่ ดังนั้น อันไหนตรงกับจริต ก็ควรฝึกอันนั้นเพื่อความก้าวหน้าของตัวผู้ฝึกเอง

    วิธีแบบหลวงพ่อจรัญ วัดหลวงขุนวินใช่วิธีแบบที่อาจารย์ธรรมชาติเคยสอนเคยกล่าวถึงไว้ในกระทู้นึง (ว่างๆจะลิ้งให้ครับ) ว่าสองวิธีนี้อย่าเอามาผสมกัน ใช่หรือป่าวครับ
    ผมสังเกตุว่าน่าจะใช่ แต่วิธีนั้นเท่าที่ผมฟังหลวงพ่อจรัญ วัดหลวงขุนวิน และคนฝึกแนวนั้น เน้น ตัวเห็น คือเห็นรูป แต่วิธีแบบอาจารย์ธรรมชาติ เน้นตัวรู้ ผมคิดว่าต่อไปหากผมฝึกวิธีนี้คล่องแล้ว จะลองไปฝึกแบบนั้นด้วย

    +++ กรรมฐาน ฝ่ายรูป เป็นเรื่องของ "จิตเห็น" (เห็นการแสดงของ ความจำ + ความคิด) ดังนั้น "นึกคิดอย่างไร ก็ย่อมเห็นอย่างนั้น" เรียกว่า "คิดเอง เออเอง" ทั้งหมดอยู่ที่ความสามารถของ "ครูบาอาจารย์ ว่าจะมีขีดความสามารถเพียงพอหรือไม่ที่จะนำพาให้ผู้ฝึกไปให้ถึง วิญญานขันธ์ (ตัวดูรูป แต่ตัวมันเอง เป็นนาม)" หากไปถึงได้ ก็ยังต้องฝึก กรรมฐานฝ่ายนาม ต่อไปอีกจนจบ ตามปฏิจจะสมุปบาท อวิชชา (นาม) ปัจจยาสังขารา (นาม) สังขาราปัจจยาวิญญานัง (นาม) วิญญานะปัจจยา นามะรูปัง (นาม-รูป) ดังนั้น กรรมฐานฝ่ายรูป ไปได้สูงสุดที่ "วิญญานะปัจจยา นามะรูปัง" เท่านั้น ต่อจากนั้นจึงฝึกเข้าไปสู่ "ต้นกำเหนิดของจิต" ซึ่งเป็นเรื่องที่นับตั้งแต่ "กิริยาจิต" (นาม) ขึ้นไป

    +++ กรรมฐาน ฝ่ายนาม เป็นเรื่องของ "รู้เห็น" (เห็นปรากฏการณ์ทางจิต โดยไม่มี ความจำ + ความคิด เข้ามาเกี่ยวข้อง) ดังนั้นการเห็นทั้งหมดจึงไม่ใช่ "จิตเห็น" แต่การเห็นนี้เป็น "สภาวะรู้ เห็น" หรือ "เป็นการเห็นของ สติ" ซึ่งตามภาษาพระป่าเรียกว่า "ตาสติ ตาปัญญา" และภาษาบาลีเรียกว่า "ญานทัศนะ" และตรงกับคำกล่าวของพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า "ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า"

    +++ "ญานทัศนะ" จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมี "สติที่สามารถ ครองฐานใดฐานหนึ่งในมหาสติปัฏฐาน 4 ได้มั่นคงแล้ว" สำหรับผม เลือกที่จะใช้ "ความรู้สึกตัว เป็นฐานของวิหารธรรม เบื้องต้น" เพราะสามารถตัดปัญหาเรื่อง "การหลงรูป" ได้โดยเด็ดขาดในขณะฝึก จึงเป็นการฝ่าด่านความ "ชอบ ไม่ชอบ ฟุ้งซ่าน ลังเล" โดยตรงจึงเหลือเพียงนิวรณ์แค่ตัวเดียวคือ "ความง่วงซึม" เท่านั้น และหากผู้ใดฝึกจน สติฝ่าด่านความง่วง ตัวเดียวนี้ได้แล้ว ก็จะเข้าถึง "อัปปนาสมาธิ" ได้โดยตรง แล้วจึงเข้าสู่เรื่อง "กายเวทนา" หรือ "กายแห่งความรู้สึก" ที่สามารถลุกออกมาจาก กายเนื้อ หรือ กายมนุษย์ ได้ตามธรรมชาติของมัน จากนั้นจึงเกี่ยวพันกับ "ภพภูมิ" โดยมี "สติ เป็นวิหารธรรม ในระดับ อัปปนาสมาธิ เป็นเกราะป้องกัน"

    +++ ดังนั้น "กรรมฐานฝ่ายนาม" จึงไม่มีเรื่องเกี่ยวพันกันกับ การคิดเอาเอง เออเอาเอง มาตั้งแต่ต้น เมื่อฝ่าด่านความง่วงมาได้แล้ว ทุกอย่างจะเป็นเรื่องของ "ประสพการณ์ของ สติในฌานสมาบัติ ทั้งสิ้น" จนเข้าถึง "ตัวฌานที่มีสภาพ รวมทั้งกำเหนิดของ สภาพฌาน" ว่าเป็นมาอย่างไร

    +++ ฌาน เป็น "สภาวะที่เป็น สภาพ" ชนิดหนึ่ง หรือเรียกได้ว่า "มีความเป็น ธาตุ" ก็ได้ ดังนั้นผู้ใดฝึกได้ถึง "ต้นกำเหนิดฌาน" ก็จะรู้ได้เองว่า "อวิชชา คืออะไร"

    +++ ผมผ่านการฝึกทางฝ่ายรูปมาก่อน แต่จุดสิ้นสุดอยู่ที่ ฝ่ายนามเท่านั้น ดังนั้นใครจะเลือกเดินทางไหนก่อน ก็แล้วแต่จริตส่วนบุคคลก็แล้วกัน นะครับ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ไม่รู้เป็นงัยเมื่อเข้ามาส่งอารมณ์แล้วสภาวะมักจะเปลี่ยนไปเสมอทั้งสองครั้งเลย

    +++ ปรากฏการณ์ทั้งหลาย ย่อมมีความไม่แน่นอน (ตรงนี้คือ สัพเพธรรมา อนิจจา) ยามใดที่ฝึกจนถึงชั้น ตัวดู แล้ว จะทราบเหตุได้เอง ในปัจจุบันขณะ ให้รู้ไว้แต่เพียงว่า "เรา อยู่ กับความแปรเปลี่ยนนั้น" ตรงนี้จะมีประโยชน์ในภายหลังเมื่อถึงเวลาฝึกในการ "อยู่ และ ย้าย" ในระดับ อารมณ์เด่นอารมณ์เดียว (ระดับฌาน 4)

    หรือความรูู้สึกภายในแค่ต้องการให้รู้เท่านั้นว่ามันคืออะไร

    +++ ตอนนี้ ใช่ แต่ตอนต่อไปก็จะเริ่มรู้ในสิ่งที่เรียกว่า "รอยต่อ" ระหว่าง สภาวะต่อสภาวะ เมื่อถึงตรงนี้เมื่อไรก็จะสามารถ "เดินจิตในระดับ อารมณ์เด่นอารมณ์เดียว ทั้ง เข้าและออก" ที่เรียกว่า เอกัคตาสู่เอกัคตา ได้เอง (การเดินจิตในระดับ ฌาน 4)

    ตอนนี้เวลาเข้าสมาธิมีความรู้สึกว่ามันแย้ง ๆ กันอยู่ระหว่างสองสภาวะ(กายเวทนา จิตเคลื่อนร่าง) เหมือนมันจะออกก็ออกไม่ได้จะเคลื่อนร่างก็เคลื่อนไม่ได้ บางครั้งก็รับรู้ถึงการเคลื่อนขยับของมือหรือแรงสะดุ้งออกทางด้านข้างลำตัว

    +++ "จิตเคลื่อนร่าง" คือ เจตนา ในการเคลื่อน กายเวทนาเท่านั้น ในชั้นหยาบ "กายเวทนา จะเคลื่อนกายเนื้อ" ในชั้นกลางจะเป็น "การถอด กายเวทนา" ในชั้นละเอียด จะเป็นการ "ล่วงรู้ตรง ๆ ไปที่ตัวเจตนา" ที่เรียกว่า "เจตนา + ยึด (สิกขา) = เจตสิก" ซึ่งแรก ๆ จะทำให้ล่วงรู้ "วาระจิตของตนเอง" ก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ รู้ว่า "วาระจิตใดที่เป็นของตน และไม่ใช่ของตน" จากนั้นจึงสามารถรู้ได้ว่า "เจโตปริยะญาณ" คืออะไรกันแน่

    +++ ตรง "แรงสะดุ้ง" นี้สำคัญมาก หากสามารถ "เรียนรู้ได้ ถึงกระบวนการ เกิดขึ้น ควบคุม จนถึง วางออก ได้" ก็จะสิ้นสงสัยได้เองว่า "กำลังภายใน มีอยู่จริงหรือไม่"

    ในความรู้สึกเหมือนมันจะต้านกันอยู่ของทั้งสองสภาวะเหมือนจะเป็นการบีบให้ไปดูตรงความรู้สึกอย่างเดิมมากกว่า

    +++ ตรงนี้เป็นความเคยชินที่เรียกว่า "อุปนิสัย" ให้ฝึกทั้ง "อยู่ ใน อาการ สะดุ้ง (ทำสภาวะข้างในสะดุ้ง ให้เป็นฐาน)" และ "ย้ายกลับมา อยู่ ในฐานเดิม" ด้วย หากต้องการศึกษาในเรื่องของกำลังภายใน

    จึงเริ่มมาดูความรู้สึกผ่านลมหายใจอีกครั้ง เริ่มจากความอยากในลมหายใจ

    +++ ตรงนี้เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า "ถอยฌาน" มาสู่ อุปจาระสมาธิ แต่เรียกตามภาษาของ มหาสติปัฏฐานว่า "ย้ายฐาน" มาที่ ฐานกาย

    ต่อมาก็ตามมาด้วยความสบายและความเฉย โดยในการดูแต่ละครั้งจะมุ่งไปยังจุดที่รู้สึกมากที่สุดหากตรงเป้าความรู้สึกนั้นก็จะหายไปแต่จะรู้สึกถึงพลังที่ถูกสะสมเอาไว้จากการดูแต่ละครั้ง

    +++ นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่า "กระแสพลังจาก การดู" หรือเรียกตามภาษาสามัญว่า "กระแสพลังจิต" แต่จริง ๆ แล้ว อยู่ที่ "การควบคุม การดู" เท่านั้นเอง

    พลังนี้จะมีลักษณะขมวด ตึง แน่น อย่างนี้หรือเปล่าค่ะที่เค้าเรียกว่าสมาธิแบบรวมเข้า

    +++ ถูกต้อง และตรงนี้คือ "พลังกสิณ" และเรียกตรง ๆ ไปที่จุดที่ถูกดูว่า "อารมณ์กสิณ" แต่ตัวสร้างต้นพลังตัวจริงคือ "ตัวดู" นั่นเอง

    หากในการดูแต่ละครั้งจะใช้ความรู้สึกเข้าไปเคลียร์หรือปล่อยออกก็จะออกมาในรูปแบบโปร่งโล่งแบบนี้หรือเปล่าที่เค้าเรียกว่าสมาธิแบบคลายตัว

    +++ ยังไม่ใช่ ตรงนี้จริง ๆ เรียกว่าการ "เปลี่ยนอารมณ์กสิณ" หรือเรียกว่า "เดินพลังกสิณ" ก็ได้

    มันจะคลายตัวมีอยู่แค่ความรู้สึกเฉยไม่รู้สึกถึงร่างกาย

    +++ ตรงนี้คือการ "เข้าไปอยู่ข้างในกสิณ" แล้วแปรเปลี่ยนไปเป็น "อรูปฌาน"

    บางครั้งก็อยากจะดับความรู้สึกเหมือนกันไม่อยากจะรู้สึกรับรู้อะไรมีวิธีการที่จะดับความรู้สึกหรือเปล่าค่ะ

    +++ การดับความรู้สึก "ต้องดับที่เหตุ คือตัวดู" เท่านั้น (นิโรธสมาบัติ) จะไปดับที่ ผล ที่ถูกดูไม่ได้ (อรูปฌาน)

    การนั่งจะไม่มีอะไรโลดโผนแต่เหมือนมันจะออกมาตรงความฝันมากกว่า ที่เรียกว่าความฝันเพราะมันไม่เห็นกริยาเริ่มต้นและไม่ต้องมีความพยายามหรือเจตนาที่จะเข้าแต่จะมีสติระดับหนึ่งเข้าไปควบคุมความฝันได้

    +++ ตรงนี้คือ "สติ เข้าไปเอาจิต มาเป็นฐาน" โดยอัตโนมัติ สาเหตุเกิดมาจาก อรูปฌาน ที่เป็นไปเอง จากการเพ่งของตัวดู

    โดยเริ่มแรกก็จะมีสติระลึกได้ว่าท่านธรรม-ชาติให้ลองเหาะดู ก็พยายามลองดู แต่ต่อมาความฝันส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปในลักษณะการใช้การเหาะเป็นหลัก และฝันว่ามีการฝึกทักษะการเสกหรือเนรมิตของได้ด้วยแปลกดีเหมือนกัน ช่วงนี้มีการฝันในแนวโลดโผนเกือบจะทุกคืนเลยค่ะ

    +++ ตรงนี้คุณเริ่มเหมือนคุณ mobilelizard แล้ว ให้ฝึก "อยู่กับความรู้สึกทั้งตัว" ตอนนอน หากจะหลับก็ปล่อยให้หลับไป หากไม่หลับ ก็จะรู้ถึงขั้นตอนของ "การถอดกายเวทนา" ได้เอง นะครับ
     
  14. degba4567

    degba4567 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +348
    "ความรู้สึกตัว ที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง" ผมไม่เข้าใจคำนี้ครับ อธิบายที ผมโง่ครับ
     
  15. Broccocat

    Broccocat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    954
    ค่าพลัง:
    +4,094
    ชอบกระทู้แบบนี้จังเลย ขอฝึกด้วยคนนะคะ

    จากที่ได้อ่านข้อความนี้จบปุ๊บ ก็ลองทำปั๊บเลย แฮ่ะๆ ผลปรากฎว่า ไม่ได้มีความรู้สึกอย่างที่ว่ามาเลยค่ะ แต่จะรู้สึกมีอาการแบบๆ ไงดี คล้ายๆ จุดชีพจรมันเต้นตุ๊บๆๆ ตามหน้า, แขน, ขา, ท้อง พอผ่อนลมหายใจออก มันก็ยังเต้นกันอยู่ค่ะ

    เอาไว้ฝึกหลายๆ วัน จะมาอัพเดทผลการฝึกใหม่นะคะ
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ของคุณ degba4567

    "ความรู้สึกตัว ที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง" ผมไม่เข้าใจคำนี้ครับ

    +++ จริง ๆ แล้ว ประโยคข้างบนนี้ เป็นคำรายงาน (report) ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจาก

    *** วิธีที่ง่ายที่สุดคือ

    *** 1. หายใจเอาลมเข้าปอด ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว
    *** 2. กลั้นลมหายใจไว้เล็กน้อย สิ่งที่จะเกิดในขณะนี้คือ "ความรู้สึกตัว ที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง"

    +++ การโพสท์ในกระทู้นี้ของผม จะเป็นลักษณะของ "คู่มือการปฏิบัติ" (manual หรือ handbook) แบบเดียวกันกับ คู่มือการทำอาหาร (Recipe) ซึ่งจะต้อง "ลงมือทำตามไปด้วย" จึงจะเกิดผลลัพธ์ที่สอดคล้องต้องกันน และจะแตกต่างกันอย่างมากกับ ตำราอธิบายคุณค่าทางอาหาร (Textbook) แต่ไม่บอกวิธีทำ จึงมีแต่ผู้ที่ "คิดว่ารู้ เพราะจำได้ แต่ทำไม่ได้" ซึ่งเป็นลักษณะของ "ระบบการศึกษาในโลกปัจจุบัน" ดังนั้น ให้ทำดังนี้

    1. ในขณะที่อ่านอยู่นี้ "หายใจเอาลมเข้าปอด ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้" (ทำตอนนี้เลย)
    2. จากนั้น "กลั้นลมหายใจไว้เล็กน้อย"

    *** อธิบายข้อ 2 คือ ในขณะที่ ลมหายใจเข้าเต็มที่แล้ว ให้รอเวลานิดหน่อย ก่อนที่จะปล่อยลมหายใจออก ตรงนี้เรียกว่า "กลั้นลมหายใจไว้เล็กน้อย"

    3. ให้สังเกตุว่า "มีความรู้สึก" เกิดขึ้น ในบริเวณทรวงอก และ ตามลำตัว หรือไม่ (ให้ทบทวนข้อ 1-2 ซ้ำ ๆ สัก 2-3 ครั้ง)

    *** หมายเหตุ หากพยายามแล้วหลายครั้ง แต่ไม่สามารถเกิดความรู้สึก หรือ หาความรู้สึกไม่เจอ ก็ขอให้เปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ เพราะแนวทางนี้ "ไม่ถูกกับจริต" ของคุณ และเท่าที่ผมให้การอบรมทาง กรรม-ฐาน มากกว่า 20 ปีนั้น บุคคลที่ "ไม่สามารถ หาความรู้สึกตัวได้" มีอยู่จริง ประมาณ 2% ของผู้ปฏิบัติทั้งหมด และบุคคลที่สามารถหาความรู้สึกตัวได้นั้น ก็ใช้เวลาแตกต่างกัน บางคนได้ในทันที บางคนก็ 2-3 วันถึง 10 กว่าวันขึ้นไป แต่ผู้ที่ใช้เวลา หลายเดือน ก็มีอยู่เช่นกัน ถ้าไม่ละความพยายามเสียก่อน

    4. หาก "มีความรู้สึก" เกิดขึ้น ก็ให้ "อยู่" กับความรู้สึกนั้น
    5. หลังจาก "อยู่กับความรู้สึก" ได้แล้ว
    6. ก็จะรู้ได้ว่า "มันอยู่ภายใต้ผิวหนัง"

    +++ ลอง "ทำ" ดูนะครับ
    ======================================================================

    ของคุณ Broccocat

    จากที่ได้อ่านข้อความนี้จบปุ๊บ ก็ลองทำปั๊บเลย แฮ่ะๆ ผลปรากฎว่า ไม่ได้มีความรู้สึกอย่างที่ว่ามาเลยค่ะ แต่จะรู้สึกมีอาการแบบๆ ไงดี คล้ายๆ จุดชีพจรมันเต้นตุ๊บๆๆ ตามหน้า, แขน, ขา, ท้อง พอผ่อนลมหายใจออก มันก็ยังเต้นกันอยู่ค่ะ

    +++ ตรงนี้ก็ได้เหมือนกัน "อยู่กับชีพจรเต้น" หากได้ท่านั่งที่ถูกต้อง "ร่างทั้งร่าง จะโยกตามการเต้นของชีพจร ประดุจ การนั่งชิงช้าหรือ ไกวเปล" ก็ได้ จากนั้นให้อยู่กับ "ความเพลิน" ตรงนี้ไปเลย พอความเพลินเปลี่ยนเป็น "ความสบาย" เมื่อไร ก็ให้สังเกตุดูว่ามีอาการ "โล่ง โปร่ง ใสเป็นแก้ว" ประกอบอยู่ด้วยหรือไม่ และในขณะนั้น ใบหน้ามีลักษณะ "ยิ้ม ๆ คล้าย ๆ พระพุทธรูป" ประกอบอยู่ด้วยหรือไม่ นะครับ
     
  17. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    ดีจังจะได้มีเพื่อนร่วมฝึกด้วย
     
  18. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ฝึกการสร้างความรู้สึกทั่วตัวเลยค่ะ มั่วแต่สนใจพลังที่เกิดจากการดูอยู่ค่ะ มันมีแรงดึงตรงศีรษะ รับรู้เกือบจะตลอดเวลา เหมือนการดูมีสองจุดคือ จุดที่ดู และจุดที่ถูกดู ถามว่าจุดที่ดูมาจากตรงไหนก็น่าจะมาจากส่วนของศีรษะ มันไปดูจุดอื่น ๆ ที่มีสภาวะต่าง ๆ จุดที่ถูกดูก็มีพลังงานสะสม และตัวของมันเองก็เกิดพลังงานสะสมเหมือนกัน จึงลองเจาะลึกเข้าไปดูว่าสภาวะต่างๆ มันจะมีอยู่ตลอดไปหรือเปล่า เหมือนการซูมเขาซูมออก มันก็ไม่มีอยู่ตลอด แต่จุดที่ดู(ศีรษะ)ก็มีพลังงานสะสมอยู่เหมือนกันไม่สามารถคลายออกได้ ส่วนอารมณ์ช่วงนี้มีความรู้สึกว่าไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร เหมือนมีได้ก็เสื่อมได้ เมื่อได้ก็ต้องเสีย เหมือนมันไม่มีเพิ่ม เหมือนออกไปเท่าใดก็ได้กลับมาเท่านั้น มันมีเท่าเดิม แล้วจะทำไปเพื่ออะไร เหนื่อยไปเพื่ออะไร หยุดดีกว่า เหมือนมันให้นิยามสิ่งต่างๆ ว่ามันไร้สาระ เอาแค่สิ่งที่จำเป็นก็พอ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ระดับที่ 6 สู่ระดับที่ 7 ใน "สติ ตามระดับของผู้ฝึก"

    +++ ยินดีกับคุณ naris520 ด้วยครับที่ไปได้เร็วมาก ผมจะตอบแทรกลงไปนะครับ

    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ฝึกการสร้างความรู้สึกทั่วตัวเลยค่ะ มั่วแต่สนใจพลังที่เกิดจากการดูอยู่ค่ะ

    +++ ถูกแล้วครับ การสร้างความรู้สึกทั้งตัว เกิดจาก "การขยายตัวดูให้เต็มทั้งตัว" นั่นเอง แต่ความสำคัญทั้งหมดอยู่ที่ "ตัวดู" ตัวเดียวเท่านั้น

    มันมีแรงดึงตรงศีรษะ รับรู้เกือบจะตลอดเวลา เหมือนการดูมีสองจุดคือ จุดที่ดู และจุดที่ถูกดู

    +++ ถูกต้องครับ "ตัวดู คือ ตัวสร้างพลังจิต" (เหตุ) ส่วนจุดที่ถูกดูคือ "พลังจิตที่ส่งออกไป" (ผล) และ "ส่วนที่ถูกดู จะแปรสภาพไปตามการควบคุมของ ตัวดู"

    ถามว่าจุดที่ดูมาจากตรงไหนก็น่าจะมาจากส่วนของศีรษะ

    +++ ถูกต้อง

    มันไปดูจุดอื่น ๆ ที่มีสภาวะต่าง ๆ จุดที่ถูกดูก็มีพลังงานสะสม และตัวของมันเองก็เกิดพลังงานสะสมเหมือนกัน

    +++ ใช่ทั้งคู่ มันคือ "ตัวส่งพลัง และ ภาชนะที่รองรับพลัง"

    จึงลองเจาะลึกเข้าไปดูว่าสภาวะต่างๆ มันจะมีอยู่ตลอดไปหรือเปล่า เหมือนการซูมเขาซูมออก มันก็ไม่มีอยู่ตลอด

    +++ การซูมเข้าซูมออก ก็คือ "การปรับตัวดู หรือการปรับพลัง" นั่นเอง ตรงนี้ "ต้องรู้สภาวะทั้ง 2 ด้านพร้อม ๆ กัน" คือ "อยู่กับรู้" ซึ่งเริ่มเป็นอยู่ในขณะนี้

    แต่จุดที่ดู(ศีรษะ)ก็มีพลังงานสะสมอยู่เหมือนกันไม่สามารถคลายออกได้

    +++ ในขั้นตอนนี้ ยังเป็น ระดับที่ 6 ใน "สติ ตามระดับของผู้ฝึก" ในหน้าแรกของกระทู้นี้ และ "ตัวดูคือ อวิชชา" ดังนั้น "รู้ตัวดู คือ อยู่กับรู้"

    ส่วนอารมณ์ช่วงนี้มีความรู้สึกว่าไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร เหมือนมีได้ก็เสื่อมได้ เมื่อได้ก็ต้องเสีย เหมือนมันไม่มีเพิ่ม

    +++ ถูกต้องครับ ลองทบทวน ระดับที่ 6 ใน "สติ ตามระดับของผู้ฝึก" ดูว่า "ตรงกันกับสภาวะของคุณ" ในขณะนี้หรือไม่

    เหมือนออกไปเท่าใดก็ได้กลับมาเท่านั้น มันมีเท่าเดิม

    +++ ถูกต้อง และนั่นคือ "กฏเกณฑ์การทำงานของจิต" และเป็นส่วนหลักใหญ่ ๆ ของ "กฏแห่งกรรม" นั่นเอง

    แล้วจะทำไปเพื่ออะไร เหนื่อยไปเพื่ออะไร หยุดดีกว่า เหมือนมันให้นิยามสิ่งต่างๆ ว่ามันไร้สาระ เอาแค่สิ่งที่จำเป็นก็พอ

    +++ ถูกต้อง ความรู้สึกในขณะนี้คือ "เริ่มเบื่อหน่ายกับ กฏแห่งกรรม" เริ่มปรากฏขึ้นแล้ว ต่อไปก็จะเริ่มหาทาง "ออกจากกฏแห่งกรรม" ไปตามมรรคของจิตตามธรรมชาติของมันเอง และวิถีทางก็จะเป็นไปตาม ข้อที่ 7 ที่กล่าวไว้ใน "สติ ตามระดับของผู้ฝึก" นั่นเอง
     
  20. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะท่านธรรม-ชาติ วันก่อนได้มีโอกาสเข้าไปในห้องการทดลองทางจิต เจอการทดลองเกี่ยวกับคาถาสัมปะจิตฉามิ จึงนำมาภาวนาบ้าง มันดีจังค่ะ เมื่อภาวนาคาถานี้ รู้สึกว่ามันชอบ มันให้ความรู้สึกคลายออก มันยิ้ม มันส่งพลังความรัก พลังความปราภนาดีออก ความรู้สึกการให้ออก มันให้ทุกคนรอบทิศแม้นแต่ศัตรูคู่พยาบาทมันก็ให้ไม่คิดโกรธ มันรับรู้ได้ถึงจุด จุดหนึ่งที่สบาย อยากหยุดทุกอย่าง ณ จุด จุดนี้ ได้แค่รับรู้แต่ยังเข้าไปไม่ถึง รู้สึกว่าการเข้าถึง ณ จุดสบายตรงนี้ต้องเข้าด้วยการคลายออก การให้ การส่งออก ไม่สามารถเข้าได้ด้วยการได้มา การเพ่ง มองดู จึงชอบอารมณ์นี้จังเลยอยากจะให้มันจดจำอารมณ์ให้ได้ จึงนำมาภาวนาเอาไว้ในใจและส่งความรู้สึกการให้ออกตลอด ดีจังค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...