ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    Twilight Zone หรือ แดนสนธยา

    +++ ถามได้ หากเป็นเรื่อง "ประสพการณ์ในการฝึก (อภิญญา XP)" โดยเฉพาะ "อุปสรรค และ ความก้าวหน้า" รวมทั้งปรึกษา "วิธีการฝึก" ที่ "ตรงกับเจตนารมณ์ ของห้องนี้" ได้ตามสะดวก

    +++ เข้าเรื่องก่อน อันดับแรก ต้องแยกแยะให้ชัดเจนใน 2 สถานะ คือ 1. สถานะแห่งกายที่เป็นตน กับ 2. สถานะของสิ่งรอบข้าง

    +++ กายที่เป็น "ตน" ในกระทู้นี้ จะแยกไปตามสถานะของ "มหาสติ ปัฏฐาน 4" คือ 1. กาย (เนื้อ รูปกาย) 2. เวทนา (กายความรู้สึก นามกาย) 3. จิต (กายจิต รูปจิต) 4. ธรรมารมณ์ (กาย ฌาน ตัวดู รู้สึกจิต นามจิต)

    +++ สิ่งที่กระทู้นี้ ใช้คำว่า "กาย" นั้น หมายถึง "สภาวะที่ จิตยึดเอาสิ่งใดเป็นตน สิ่งนั้นเป็นกาย" โดยคร่าว ๆ

    +++ ให้ตรวจตาม สถานะที่ 1. สถานะแห่งกายที่เป็นตน ก่อนเพื่อน คือ "ณ ขณะที่ถอดออก" นั้นอาการ "สติ+สัมปชัญญะ" มีครบถ้วนหรือไม่
    +++ หากมีครบถ้วน เราจะ "รู้ตน" ชัดเจน (ถ้าเป็น "เห็นตน" ตรงนี้ ถือว่า มโน เข้าแทรก) ไม่มีเบลอ ไม่มีมึน ไม่มีมโน
    +++ "ตน" มีความ แจ่มใส สติชัดเจน "รู้ตนเอง ตระหนักตนเอง ชัดเจนดี" ไม่มีทุกข์ จิตไม่เศร้าหมอง "ไม่มีอบายครองจิต"

    +++ ส่วนสถานะที่ 2. สถานะของสิ่งรอบข้าง นั้น เป็นลักษณะคล้าย "ขาว-ดำ มืด ๆ ทึม ๆ มัวซัว" ตรงนี้ถือว่า "ถูกต้อง" ตามความเป็นจริง "ของภูมิ" นี้
    +++ จริง ๆ แล้วผมไม่ต้องการ "เฉลย" ว่าอาการตรงนี้คืออะไร เพราะ ผู้ที่ไม่ได้ฝึก ย่อมคาดเดาวุ่นวาย นานไปจะกลายเป็นเรื่อง "เสียของ"

    +++ อาการในส่วนสถานะที่ 2 นี้ คืออาการที่ฝรั่งเรียกว่า Twilight หรือ ชีวิตหลังความตาย ซึ่งเป็นอาการที่ จิตที่เพิ่งตายกำลังอยู่ในสภาวะที่ "ต้องเดินทาง" ไปยังห้องตัดสินใหญ่ที่ฝรั่งเรียกว่า Judgement (ท้าวธรรมิกราช พญายม) ก่อนที่จะทำการ "ส่ง" ไปยัง อบาย-สบาย ภูมิ ตามกำลังวิบากกรรมที่ตนทำมา
    +++ อาการของ "จิต" ในส่วนของสถานะนี้ "ส่วนใหญ่จะเศร้าหมอง" น้อยรายนักที่จะมีอาการ "แจ่มใส" ดังนั้น "อาการเศร้าหมอง ย่อมไปสู่อบาย" เป็นธรรมดา ส่วนอาการ "แจ่มใส" ย่อมไปสุคติเป็นธรรมดาด้วยเช่นกัน

    +++ คุณ tongrolass ในขณะที่ "สงสัย" นั้น เป็น "ความสงสัยในขณะที่ ถอนออกมาแล้ว และไม่ได้อยู่ในสถานะนั้น ๆ อีก"
    +++ จากนั้นจึง "เทียบเคียง" กับสิ่งที่ได้ "อ่านมา หรือ จำในสิ่งที่อ่าน" แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน จึงเกิดความ "สับสน" เป็นธรรมดา

    +++ หลักในการปฏิบัติธรรมนั้น ผมยึดหลัก "ปัจจุบัณขณะ ณ ขณะจิตนั้น ๆ" ไม่นับเอา ขณะที่ถอนแล้ว "เปรียบเทียบ" ในภายหลัง อันเป็นการ "ขาดออกจาก" ปัจจุบัณขณะ ณ ขณะจิต
    +++ หากต้องการ "เปรียบเทียบ" จริง ๆ ผมจะให้ทำการ "เดินจิตย้อนหลัง (map จิต)" กลับเข้าไปยังสถานการณ์นั้น ๆ จะเรียกว่า "เดินจิตย้อนอดีต" ก็ได้ แล้วแต่ภาษาตามสะดวก

    +++ การ map จิต ที่ถูกต้องนั้น ตัวอัตตา จะ map เข้าสู่ สถานการณ์ (1+2) ย้อนหลัง และ "เป็นตัวเป็น ๆ ในสถานการณ์นั้น ๆ" (ไม่อยากใช้คำว่า อตีตังสญาณ แต่เอาอาการที่ "ทำได้" ดีกว่า)
    +++ หากคุณ tongrolass ยัง map ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็ให้ฝึก "ถอดกายเวทนา" เข้าสู่ "แดนสนธยา" อีกครั้งแล้ว "สังเกตุ ตน" ให้ดี แล้วจะเข้าใจชัดเจนเอง

    +++ การฝึก "กรรม-ฐาน" ในกระทู้นี้ ก่อนที่จะเข้าสู่วงจรของ มรรค-ผล ควรจะฝึกเข้าสู่ขั้นตอนของการ "พ้นอบาย" ให้ได้ก่อน
    +++ ดังนั้นการฝึก "กายเวทนา" จึงเป็นการ "ฝึกนิสัย" ให้พ้นอบาย นั่นเอง

    +++ ส่วนการ "ถอดแล้วเห็นแบบ สีสันสดใส แบบ 4 K" นั้น อยู่ในขั้นตอนของ "กายจิต" ไม่เกี่ยวกับ ขั้นตอนของ "กายเวทนา" นี้
    +++ ผู้ที่ "โดดข้าม" ขั้นตอนของการฝึก "พ้นอบาย (ยังไม่เกี่ยวกับการ "ปิดอบาย" ให้เข้าใจไว้ตรงนี้ก่อน)" แล้ว "ประมาท" ไม่นาน "นิสัยเก่า" ย่อมทำให้กลับสู่อบายได้อีก อย่างง่าย ๆ

    +++ ตรงนี้มักจะเกิดกับ "ความรู้สึก ที่ยังไม่เต็มตัวดี แล้วเกิด "ภวังค์" เข้ามาแทรก"
    +++ การแก้ไข คือ "ต้องฝึกจนได้ ความรู้สึกตัวทั่วถึง จนเป็น ตะจะปริยันโต (มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ)"
    +++ คือ "รู้สึกตัวข้างใน รวมถึง ผิวหนังทั้งหมดของร่างกาย" จนเป็น "เนื้อเดียวกัน" แล้ว "แช่อยู่อย่างนั้น"
    +++ หากทำได้ก็จะ "พ้นภวังค์" เข้าสู่อาการ "ถอดกายเวทนา" แบบ 100% ได้จริง
    +++ จากนั้นจึง ตรวจสอบ สถานะที่ 1. สถานะแห่งกายที่เป็นตน ตามที่โพสท์ไว้ข้างบนอีกครั้ง

    +++ นี่คือ "ความเป็นจริง" ของ ภูมิ ที่เรียกว่า "แดนสนธยา" ที่ถอดออกมาด้วย "กายเวทนา" ซึ่ง compatible กับภูมินี้ ดังนั้นจึง "เห็นความเป็นจริง" ของภูมินี้ได้ "มืดทึม อึมครึม มัวซัว" ใช่แล้ว
    +++ ไม่ต้องไป "แก้ไข" อะไร แต่ควร "เรียนรู้ไปตาม ความเป็นจริงของภูมิ" ที่นี่เป็น "สภาพก่อนเข้าสู่ กระบวนการตัดสินความ ดี-ชั่ว ของจิต" ก่อนส่งไป "อยู่" ตามกรรมของ สบาย-อบาย ของจิตนั้น ๆ
    +++ หน้าที่ของ ผู้ฝึกฝนในกระทู้นี้ ควรได้อาการ "สติแจ่มใส ในภูมิที่มัวซัว" ตรงนี้ให้ได้ หากยามใดที่ "เวลาตายมาเยือนแล้ว" จะได้มีขีดความสามารถในการ "พ้น" การส่งไป "อบาย" ได้ตามความเป็นจริง แห่ง สถานะความ "แจ่มใส" ทางจิตของตัวผู้ฝึกเอง

    +++ ในภูมินี้ "ยิ่งเพ่ง ยิ่งมืด" นั้น ถูกต้องแล้ว
    +++ ยิ่งเพ่ง ก็จะทำให้ กายเวทนา ยิ่งหดตัว รวมทั้ง "สติ+สัมปชัญญะ" ก็หดตัวตามไปด้วย
    +++ ในภูมินี้ "ต้องเร่ง กายเวทนา ให้เต็มตัว" นั่นแหละ "ความแจ่มใสแห่ง สติ+สัมปชัญญะ" จึงกลับคืนมาได้

    +++ ณ ปัจจุบัณขณะ นักเรียนคนใหม่ล่าสุดในกระทู้นี้ "พ้นตรงนี้" ไปจนห่างไกลมากแล้ว จบภาค "สมถะ" โดยสมบูรณ์แล้ว เมื่อเสร็จธุระ ก็จะกลับมาต่อภาค "วิปัสสนา" โดยตรง

    +++ ทุกคน "ผ่านด่านนี้" ไปหมดแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ "ไม่รู้จะอธิบายยังไง" มากกว่า

    +++ นักเรียนที่ฝึกจบทั้งหมดแล้ว ก็ยังอยู่ในส่วนการฝึกของ "การใช้ภาษา ให้ตรงตามอาการ" กันอยู่ ซึ่งตรงนี้ "ยากกว่า การฝึกทางจิต" นับ 100-1000 เท่า

    +++ คุณ tongrolass คงพอเข้าใจในสภาพของ "ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เห็นภาพ" ตรงนี้ได้ดีนะว่า สภาวะการณ์หลายสิ่งหลายอย่างนั้น "พ้น" จากภาษาพูดไปแล้ว

    +++ และคงพอ "เข้าใจได้คร่าว ๆ" ว่า แล้ว "การใช้ภาษา เพื่อให้ผู้อื่น เดินจิต เข้าสู่ อาการที่เป็นจริงทางจิต" นั้น ยากกว่าตรงนี้ "กี่เท่า"

    +++ ซึ่งต้องเริ่มจาก

    1. การเดินจิตให้ "ตรง" กับอาการของผู้ถาม เพื่อกำหนดประเด็น (สังกัปโป concept) ได้ถูกต้อง
    2. ใช้ภาษา "ให้ตรงประเด็น" กับ concept นั้น ๆ
    3. ใช้ภาษา "ให้ตรงกับ อาการของจิต" ที่ผู้ถามจะเข้าใจ หรือ เดินจิตตามได้ โดยไม่ยาก
    4. ใช้ภาษาแบบ "สรุปและขยาย" รวมทั้ง "ดึงสถานการณ์รอบข้าง ตามความเป็นจริง" เข้ามาช่วย ในการเดินจิต ของผู้ถามได้

    +++ ดังนั้นกระทู้ "ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย" นี้ จึงเหมาะกับผู้ที่ "ตั้งใจฝึก" เท่านั้น (อภิญญา XP)

    +++ ส่วนผู้ที่ "ไม่มีเจตนาในการฝึก" กระทู้นี้ก็จะ ไม่เสียเวลาด้วย เพราะไม่มีประโยชน์

    +++ อะไรเป็นอะไร ใครเป็นใคร สมควรอย่างไร MOD ของเวปนี้ จะให้ "การตัดสินเอง" นะครับ
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    สำหรับ "นักศึกษาในกระทู้ ที่ฝึกจบแล้ว" เท่านั้น

    +++ คำตอบบางประการที่ "นักศึกษาในกระทู้นี้ เคยได้ประสพการณ์กันมา เมื่อฝึกจบแล้ว"

    +++ คำยืนยันมีอยู่ "เป็นแบบเดียวกัน เป็นมาตรฐานเดียวกัน" กับข้อความที่ผม "เน้นตัวอักษร" ไว้ข้างล่างนี้

    +++ ให้อ่านทบทวน "แล้วเดินจิต" พิสูจน์ดู ว่า "ใช่" ตามที่ "เกิดประสพการณ์" มาหรือไม่

    =======================================================

    พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จอนุโมทนา พระอาจารย์มั่น

    ***** บรรดาพระสาวกจำนวนมากของแต่ละพระองค์ที่ตามเสด็จมานั้น มีสามเณรติดตามมาด้วย ครั้งละไม่น้อยเลย…

    ในพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ประทานอนุโมทนาแก่ท่านพระอาจารย์มั่นนั้น ส่วนใหญ่มีว่า…

    ***** ที่นี่เธอเห็นพระตถาคตอย่างแท้จริงแล้วมิใช่หรือ?… พระตถาคตแท้คืออะไร… คือความบริสุทธิ์แห่งใจที่เธอเห็นแล้วนั้นแล…

    ***** ที่พระตถาคตมาในร่างนี้มาในร่างแห่งสมมติต่างหาก เพราะพระตถาคตและพระอรหันต์อันแท้จริงมิใช่ร่างแบบที่มากันนี้… นี่เพียงเป็นเรือนร่างของตถาคตโดยทางสมมติต่างหาก…

    ท่านพระอาจารย์กราบทูลว่า… ข้าพระองค์ทราบพระตถาคตและพระสาวกอรหันต์อันแท้จริงไม่สงสัย… ที่สงสัยก็คือ… พระองค์ทั้งหลายกับพระสาวกท่านที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่เลย… แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้อย่างไร ?

    ***** พระพุทธเจ้าตรัสว่า… ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์ทางใจด้วยดีแล้ว แต่ยังครองร่างอันเป็นส่วนสมมติยังเหลืออยู่ ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้องแสดงสมมติตอบรับกัน คือต้องมาในร่างสมมติซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพพานด้วยกันแล้วไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่… ตถาคตก็ไม่มีสมมติอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก…ฉะนั้นการมาในร่างสมมตินี้จึงเพื่อสมมติเท่านั้น ถ้าไม่มีสมมติเสียอย่างเดียวก็หมดปัญหา

    ***** พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่องอดีตอนาคตก็ทรงถือเอา นิมิต… คือสมมติอันดั้งเดิมของเรื่องนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายให้ทราบ เช่น… ทรงทราบอดีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าทรงเป็นมาอย่างไร เป็นต้น ก็ต้องถือเอานิมิตของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น และพระอาการนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายพิจารณาให้รู้

    ***** ถ้าไม่มีสมมติของสิ่งนั้น ๆ เป็นเครื่องหมาย ก็ไม่มีทางทราบได้ในทางสมมติ เพราะวิมุตติล้วน ๆ ไม่มีทางแสดงได้

    ***** ฉะนั้นการพิจารณาและทราบได้ต้องอาศัยสมมติเป็นหลักพิจารณาดังที่เราตถาคตนำสาวกมาเยี่ยมเวลานี้ ก็จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมติดั้งเดิม เพื่อผู้อื่นจะพอมีทางทราบไดว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๆ และพระอรหันต์องค์นั้น ๆ มีรูปลักษณะอย่างนั้น ๆ ถ้าไม่มาในรูปลักษณะนี้แล้ว ผู้อื่นก็ไม่มีทางทราบได้เมื่อยังต้องเกี่ยวกับสมมติในเวลาต้องการอยู่ วิมุตติก็จำต้องแยกแสดงออกโดยทางสมมติเพื่อความเหมาะสมกัน

    ***** ถ้าเป็นวิมุตติล้วน เช่นจิตที่บริสุทธิ์รู้เห็นจิตที่บริสุทธิ์ด้วยกันก็เพียงแต่รู้อยู่เห็นอยู่เท่านั้น ไม่มีทางแสดงให้รู้ยิ่งกว่านั้นไปได้ เมื่อต้องการทราบลักษณะอาการของความบริสุทธิ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็จำต้องนำสมมติเข้ามาช่วยเสริมให้วิมุตติเด่นขึ้นพอมีทางทราบกันได้ว่า วิมุตมีลักษณะ ว่างเปล่าจากนิมิตทั้งปวงมีความสว่างไสวประจำตัว มีความสงบสุขเหนือสิ่งใด ๆ เป็นต้น…

    ***** พอเป็นเครื่องหมายให้ทราบได้โดยทางสมมติทั่ว ๆ ไป ผู้ทราบวิมุตติอย่างประจักษ์ใจแล้ว จึงไม่มีทางสงสัยทั้งเรื่องวิมุตติแสดงตัวออกต่อสมมติในบางคราวที่ควรแก่กรณี และทรงตัวอยู่ตามสภาพเดิมของวิมุตติ ไม่แสดงอาการ

    ที่เธอถามเราตถาคตนั้น ถามด้วยความสงสัยหรือถามพอเป็นกิริยาแห่งการสนทนากัน

    ท่านกราบทูลว่า ข้าพระองค์มิได้มีความสงสัยทั้งสมมติและวิมุตติของพระองค์ทั้งหลาย แต่ที่กราบทูลนั้นก็เพื่อถวายความเคารพไปตามกิริยาแห่งสมมติเท่านั้น แม้พระองค์กับพระสาวกจะเสด็จมาหรือไม่ก็มิได้สงสัยว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ อันแท้จริงมีอยู่ ณ ที่แห่งใด

    ***** แต่เป็นความเชื่อประจักษ์ใจอยู่เสมอว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต

    ***** อันแสดงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ มิใช่ธรรมชาติอื่นใด จากที่บริสุทธิ์หมดจดจากสมมติในลักษณะเดียวกันกับพระรัตนตรัย

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่เราตถาคตถามเธอ ก็มิได้ถามด้วยความเข้าใจว่าเธอมีความสงสัย แต่ถามเพื่อเป็นสัมโมทนียธรรมต่อกันเท่านั้น

    ***** บรรดาพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์และแต่ละครั้งนั้น มิได้กล่าวปราศรัยอะไรกับท่านพระอาจารย์มั่นเลย มีพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทพระองค์เดียวส่วนพระสาวกทั้งหลายเป็นเพียงนั่งฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม น่าเคารพเลื่อมใสมากเท่านั้นแม้สามเณรองค์เล็ก ๆ ที่น่ารักมากกว่าจะน่าเคารพเลื่อมใส

    =======================================================

    +++ ให้เข้าใจก่อนว่า คำว่า "นิมิต" ในที่นี้ "ไม่ใช่" นิมิตจาก ฌานสมาบัติ

    +++ แต่หมายถึง "การสื่อสารที่เกิดจาก ญาณทัศนะวิสุทธิ์" ที่นักศึกษาในกระทู้นี้ เข้าใจ และ "ทำได้" แล้วนั่นเอง

    +++ อ้างอิงที่มาในท่อนของ "พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จอนุโมทนา พระอาจารย์มั่น" จากลิ้งค์ข้างล่างนี้

    http://palungjit.org/threads/พระนิพพาน-จากคำครูอาจารย์.12108/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2016
  3. Taravill

    Taravill สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +9
    กายในกาย

    คงเป็นเรื่องเล่าประสบการณ์กับสิ่งที่ได้รับ จากการติดตามอ่านกระทู้ของท่านอาจารย์ และได้ลองปฏิบัติตามด้วยตัวเอง ก่อนที่จะเข้ามาฝึกในกระทู้ นะครับ

    เริ่มต้น ก็ได้ลองฝึกทำตามขั้นตอนที่เขียนไว้ในหน้าแรกๆ ในการสร้างความรู้สึกตัว เข้า ออก เพิ่ม ลด ตรึงแช่อยู่ โดยทำวันละนิดละหน่อยตอนไหว้พระและตอนนอน จนได้พบได้เห็นกับสิ่งที่เรียกว่า ไม่เคยเจอในชีวิตเลย ก็ว่าได้นะครับ

    โดยช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีวันหยุดยาว ก็ได้ไปพักผ่อนกับครอบครัว ที่รีสอร์ทแถวๆน้ำตกนางรอง จ.นครนายก และในคืนหนึ่งช่วงตอนเช้ามืด ได้นอนฝึกทำความรู้สึกตัวทั่วทั้งร่าง ทำเรื่อยๆ จนเกิดความรู้สึกซาบซ่านขึ้นทั้งตัว ก็รู้สึกชอบเพราะสบายดี เลยแช่อยู่อย่างนั้น จากนั้น ไม่เกิน ๑๐ นาที อยู่ดีๆ กายข้างในหรือที่เรียกว่ากายเวทนา ก็สั่นอย่างรุนแรง แล้วทันไดนั้น รู้สึกว่าร่างได้ลอยพุ่งออกทางปลายเท้า ไปรอบๆห้อง รอจนกระทั่งหยุดนิ่ง เลยค่อยๆลืมตาดู ว่า เอ๊ะ มันลากพาร่างเนื้อเราไปไว้ที่ไหนกันแน่เพราะรุนแรงมาก พอค่อยๆลืมตา เปลือกตากลับเปิดได้แค่ครึ่งเดียว มองเห็นทีวี เลยรู้ว่าร่างยังอยู่ที่เดิม ยังไม่ทันไร กลับเห็นตัวต่อซึ่งไม่รู้มาได้อย่างไร ตัวโตขนาดเท่าแม่ไก่ บินพุ่งเข้ามามาหา และด้วยความตกใจแต่ยังขยับร่างเนื้อไม่ได้ เลยได้แต่ร้องท้าให้เข้ามาเลย ร้องซะเสียงดังจนแฟนได้ยินเสียง เขาเลยเรียกปลุก คงนึกว่าละเมอไป

    จากตรงนี้ ทำให้ชัดเจนในเรื่อง กายในกายมีจริง ไม่สงสัยในการปฏิบัติอีกแล้ว และมั่นใจในแนวทางนี้ ว่าจะสามารถนำเราให้พ้น และสิ้นสุดแห่งความสงสัยความไม่รู้ได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2016
  4. Taravill

    Taravill สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +9
    เข้าฝึก

    ขอต่อนะครับ หลังจากนั้น ก็ได้เล่าผลจากการปฏิบัติให้ท่านอาจารย์ฟัง ท่านอาจารย์ก็ได้ยืนยันว่า สิ่งที่เราได้พบนั้นเป็นผลจากการปฏิบัติ ที่ทุกคนจะได้พบเจอเหมือนๆกัน และท่านอาจารย์ได้แนะนำให้เข้ามาฝึก
    เนื่องจากรายละเอียดขั้นตอนการฝึก มีอยู่แล้วในกระทู้ ก็จะขอเล่าแบบย่อๆนะครับ

    ได้เข้าร่วมฝึกกับกระทู้นี้ โดยใช้ vdo conference ซึ่งสะดวกมากๆ โดยฝึกอยู่ที่บ้านตัวเอง ใช้เวลาที่ลูกๆหลับแล้ว ในการฝึกก็มีท่านอาจารย์ ศิษย์ท่านอื่นที่ฝึกจบแล้ว และเพื่อนร่วมฝึกท่านอื่นๆ

    การฝึกเริ่มต้น ก็การเข้ากายเวทนาใน % ต่างๆให้ชำนาญ สามารถเข้าออก ลดเพิ่ม ตรึงแช่อยู่ได้ โดยที่ยังลืมตาและต้องพูดคุยโต้ตอบกับท่านที่เข้ามาช่วยฝึกได้โดยที่ %ของกายไม่หายไปไหน ฝึกจนกระทั่งการเข้าสู่ธรรมารมณ์หรือฌานซึ่งมีอาการต่างๆ โดยต้องสามารถเดินจิตเพื่อเข้าสู่อาการนั้นได้โดยตรงในทันทีทันใด โดยไม่ต้องกังวลกับคำศัพท์เรียกว่า ฌาน อะไร ฝึกจนกระทั่งสิ้นสุดภาคสมถะ ซึ่งคงจะหาตำหรับตำราที่ไหนมาอ่านก็คงยากที่จะพบ จนรู้เห็นว่าจิตเดิมแท้นั้น เป็นอย่างไร
    รวมทั้งการเดินจิตเพื่อป้องกันอันตรายจากจิตที่ไม่ดี การเดินจิตเพื่อแผ่ส่วนบุญ การเดินจิตเพื่อการรักษา ฯลฯ ก็รวมอยู่ในขั้นนี้

    เมื่อเข้าสู่ภาควิปัสนา มีกายเวทนาเป็นฐาน ฝึกการแยกสัพพสิ่ง ซึ่งทุกอย่างมีอยู่มิติใครมิติมันไม่ปนกัน สัพพสิ่งถูกรู้ส่วนเรารู้อยู่ ฝึกจนเห็นการก่อกำเนิดของตัวอวิชา แล้วสลายมันทิ้ง แล้วสิ่งที่ทุกท่านเสาะแสวงหามานับอสงไขย ก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาเพื่อเป็นพยานธรรม

    เวลาที่เหลือจากนี้ไป ก็กลับเป็นคนธรรมดา ดำเนินชีวิตเป็นปกติ ทำงาน พบเพื่อน เลี้ยงดูลูกๆ ตามหน้าที่
    ส่วนการฝึกเพิ่ม ท่านอาจารย์และศิษย์ท่านอื่นๆ ก็ได้ให้มีการนำเที่ยวใน-นอกภพภูมิ ได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นๆเรียกสิ่งนั้นๆว่า
    อจินไตย

    ชอบและขอยืมคำนี้มากล่าวนะครับ
    Fact is stranger than the fiction
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2016
  5. noozzz

    noozzz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +18
    อ่านยังไงก็เข้าใจยากอยู่ดี เจอไดนามิกเข้าไปก็งงแล้ว โง่เกินเยียวยา
     
  6. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    โพสผิดห้องอีกต่างหาก อย่างชัดเจน สับเเสง ปักกิตด้วย
     
  7. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    โลกันต์นรก อาจไม่มีผู้ที่ได้เคยไปเห็น หรือผู้ที่เคยไปอาจจำไม่ได้ว่าตนเคยไปมา หรืออาจจะมีผู้ที่กำลังจะไป สัตว์นรกในนั้นเห็นแล้วน่าสลดสังเวชนัก ไม่มีตัวไหนที่น่าดูน่าเกลียดเป็นที่สุด แต่เราไม่กลัว ตัวใหญ่ตัวเล็กเป็นไปตามแรงจิตที่อาฆาตสะสมมา ทุกตัวที่อยู่ในนั้นจำไม่ได้หรอกว่าเคยทำอะไรมา แต่สัตว์นรกทุกตัวที่จะไปที่ตรงนั้นตอนที่เป็นคนหรือเป็นจิตอยู่มีนิสัยชอบกัด ชอบเป็นหมาลอบกัด ชอบกัดคนอื่นไปทั่ว เลือดเย็น สัตว์นรกในนั้นพอโดนตัวอื่นกัดกินก็ตายแล้วเกิดใหม่ บางตัวก็ไปกินตัวอื่นเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆชั่วกัปชั่วกัลป์ ที่พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ไม่มีผิด นี่คือสิ่งที่เข้ากันได้กับโลกันต์นรกหรือภาษาบาลีที่เรียกว่าสัมปยุตตาธรรมา จึงขอยกคำกล่าวคำของพระพุทธเจ้ามาว่า "มนุษย์ทั้งหลายจงดำรงตนด้วยความไม่ประมาทเถิด"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กันยายน 2016
  8. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ..... คนเห็นต่างคือผิด???? ไม่ใคร่ควรญ???? เราเป็นผู้สนใจในการหลุดพ้น ไม่อ้อมว่าร้าย พูดตรงไปตรงมา ไม่เอาสิ่งภูมิต่ำมาอยู่ในจิต
     
  9. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    เอาละผมขออภัยสิ่งใดที่ทำให้ใครไม่พอใจ อโหสิให้ผมด้วยครับ ผมขอเดินผ่านทางต่อไปล่ะครับ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ไม่อ้อมว่าร้าย แต่เป็น "หมาลอบกัด" ลอบส่ง PM โจมตีผู้อื่นลับหลัง

    +++ เลิก "โกหกพกลม" ได้แล้วนะ somkiatfem ในจิตเอ็งมันมีแต่ "สิ่งภูมิต่ำ" เท่านั้น
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ อโหสิ "ให้ตัวเองให้เป็น" ก็แล้วกัน ไปไหนก็ไป อย่ากลับมาอีกนะ แค่นี้แหละ
     
  12. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    สิ่งใดผมทำผมยอมรับสามารถเอามาเปิดเผยได้เลยครับ ที่บอกว่าลอบกัดอะครับ คุณ ธรรมชาติ วาจาที่คุณ พูดยังเจือโทสะจริยมากนะครับ การส่งเสริมโดยกด like ผู้ที่พูดเสียดสีผู้อื่น ก็คือ ความมัวของศีล เเม้ตัวผมเองก็ยังมีความพร่องมากนักหาความดีไม่ได้ ผมขอให้ท่านสามารถเข้านิพพานหลุดพ้นได้ในเร็ววันตามที่ท่านน่าจะมีความต้องการด้วยเถิดครับ
     
  13. savesafe

    savesafe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +442
    ไม่ต้องขอนิพพานให้ท่านหรอกครับ ผมว่าอาจารย์พ้นมาตั้งนานแล้วหละครับ การปรามาสคนที่มีธรรมสูงกว่ามันจะขัดขวางการปฏิบัตินะครับ บางเรื่องเราไม่รู้ ไม่เห็น ใช่ว่ามันจะไม่มีจริงนะครับ
     
  14. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    สาธุ ขอโมทนาด้วยครับ เพิ่งทราบก็วันนี้นี้ครับว่า คนที่ไม่ใช้พระ ถ้าพ้นเเล้วก็ยังทรงชีพได้ ไม่จำเป็นต้องดับขัน อย่างพระท่านว่า ขอรับรู้ไว้ครับ ขอบคุณครับ
     
  15. morning_glory1

    morning_glory1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +70
    อาจารย์ค่ะ ไปเจอความหมายของคำว่า วาสนา (นอนไม่เข้าใจมาทั้งคืน) ใน 84000

    ที่พระองค์กล่าวว่า "วาสนายังไม่สิ้นสุด"

    วาสนา เป็นความคุ้นเคยทางกายวาจา ไม่ได้บอกว่าเป็นทางใจ (หรือเกี่ยวพันไม่แน่ใจค่ะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2016
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957

    สมเด็จพระญาณสังวรฯ
    อัธยาศัย-นิสัย-อุปนิสัย-วาสนา

    อัธยาศัย

    คือ ภาวะที่อาศัยอยู่กับจิตใจ ดึงจิตใจให้เกิดความมุ่ง หรือน้อมจิตใจไปให้เกิดเจตนากรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ถ้ามีอัธยาศัยประกอบด้วยโทสะ พยาบาท ย่อมดึงจิตใจให้เกิดความมุ่ง หรือน้อมจิตใจให้เกิดเจตนากรรม คือมุ่งก่อทุกข์โทษแก่ผู้อื่น

    ถ้ามีอัธยาศัยประกอบด้วยเมตตากรุณา ย่อมดึงจิตใจให้มุ่งก่อเกื้อสุขประโยชน์แก่ผู้อื่น อัธยาศัยโดยย่อจึงมี ๒ คือ อัธยาศัยเลวกับอัธยาศัยดี เหตุที่อุดหนุนให้เกิดอัธยาศัยคือ นิสัย อุปนิสัย

    นิสัย

    คือ ที่เข้าอาศัยของจิตใจ ในฐานเป็นพื้นเพและเป็นเหตุอุปการะ มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วเหมือนอัธยาศัย เพราะจิตต้องเป็นนิสิต คือผู้อาศัยอยู่ในนิสัย คือที่อาศัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าอาศัยอยู่กับกิเลส เช่น อาศัยตัณหา อาศัยมานะ อาศัยทิฏฐิ เรียกว่า ตัณหานิสัย มานนิสัย ทิฏฐินิสัย

    ถ้าอาศัยคุณธรรม คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา เรียกว่า ศรัทธานิสัย หิรินิสัย โอตตัปปนิสัย วิริยนิสัย ปัญญานิสัย

    ฉะนั้น คนจะทำอะไรจึงสุดแต่นิสัย ถ้านิสัยเป็นส่วนชั่วก็ทำชั่ว นิสัยเป็นส่วนดีก็ทำดี แต่นิสัยแสดงออกเป็นอัธยาศัย คือทำให้เกิดความมุ่งหรือน้อมไปของจิตใจก่อนแล้ว จึงเกิดเป็นเจตนากรรมทำชั่วหรือดีดังกล่าว

    อุปนิสัย

    คือ ที่อยู่พำนักอาศัยของจิตใจ มีอธิบาย ๒ อย่าง อย่างหนึ่งว่า นิสัยที่แรงกว่าปกติเรียกว่า อุปนิสัย เทียบอย่างคำว่า บารมีและอุปบารมี อีกอย่างหนึ่งว่า นิสัยชนิดที่เป็นรองเรียกว่า อุปนิสัย

    อุปนิสัยในความหมายหลังนี้ หมายถึงนิสัยที่อบรมเพิ่มเติมเข้าใหม่ เช่น อบรมสติปัญญา พิจารณาในการส่องเสพ ในการอดกลั้น ในการละเว้น ในการบรรเทาถอน เป็นต้น หรือเช่น อบรมในบุญกุศล คือ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทำสมาธิและปัญญาให้เกิด เรียกว่า ทานูปนิสัย สีลูปนิสัย ภาวนูปนิสัย

    วาสนา

    การอบรมจนเป็นนิสัย อุปนิสัย จำต้องอบรมบ่อยๆ จนอยู่ตัว เหมือนอย่างกระดาษที่ม้วนจนอยู่ตัว จับคลี่ออกปล่อยมือก็ม้วนกลับเข้าไปเอง ความอยู่ตัวนี้เรียกว่า วาสนา มีทั้งทางชั่วและทางดีเช่นเดียวกัน

    =============================================================

    +++ คำว่า "วาสนา" หากเป็น "ท่านพระครูบาศรีวิชัย" ท่านจะเรียกว่า "ปรมัตถ์บารมี" เช่น ท่านมีบทสวดของท่านบางประการว่า "ปรมัตถ์บารมี สัมปัณโณ อิติปิโสภะคะวา" เป็นต้น

    +++ แต่จริง ๆ แล้ว "ในการปฏิบัติ" คำว่า วาสนา จะมีอาการตรงกันกับ คำว่า "ขันธ์สันดาน" มากที่สุด

    +++ ที่ผมให้ฝึก "แยกขันธ์" ออกเป็น 4-5 สภาวะ แล้ว "รู้คลุม" เอาไว้ทั้งหมดนั้น ก็เพื่อเป็นการ "ศึกษาสภาวะของขันธ์ทั้งหมด ในส่วนที่สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน" รวมทั้ง "รู้คลุม การทำงานในแต่ละส่วนไปในตัวด้วย"

    +++ ถึงแม้ว่าอาการของ "นิสัยและวาสนา" นั้น จะพ้นได้แต่เฉพาะ "พระพุทธเจ้า" เท่านั้น แต่การ "เรียนรู้ และ เห็นอาการ" ตรงนี้ไม่มีอะไรเสียหาย มีแต่ประโยชน์ทั้งสิ้น

    +++ "นิสัย และ วาสนา" เป็นสิ่งที่ "เราสร้างขึ้นมาเอง จนเป็น อัตโนมัติ" ดังนั้นผมจึงให้ฝึก "เรียนรู้ กระบวนการสร้างตรงนี้ ภายในขันธ์ นั่นแหละ"

    +++ ที่พระองค์กล่าวว่า "วาสนายังไม่สิ้นสุด" นั้น ก็คือ "การศึกษาตรงนี้ ยังไม่ถึงที่สุด" เมื่อถึงที่สิ้นสุดแล้ว "วงจร ของวาสนา วงจรอื่น จึงจะเข้ามาได้" จะเรียกว่า "เปลี่ยนวาสนา" ก็ได้เหมือนกัน
     
  17. rakjung2524

    rakjung2524 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +17
    เรียนถาม อาจารย์ ธรรมชาติ ครับ ตอนนี้ มีการจับกลุ่มผู้ฝึกใหม่มั้ยครับ ผมอยากปฏิบัติอย่างจริงจัง ตั้งแต่เริ่มต้นเลยครับ เบื่อชีวิตมนุษย์เหลือเกินครับ ไม่อยากกลับมาเกิดอีก ไม่รู้จะเวียนว่ายไปถึงเมื่อใหร่ ขอพ้นๆในชาตินี้ครับ
     
  18. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    ตอบแทนอาจารย์ก่อนแล้วกันค่ะ อาจารย์ไปธุระ การฝึกจะฝึกในแฮ้งเอ้าท์ โดยโหลดโปรแกรมไว้ที่มือถือ ส่วนวิธีการต่างๆที่ละเอียดกว่าอาจารย์จะตอบใน pm ค่ะ โดยทำ conferent ที่บ้านแต่สามารถสอบจิตได้ แต่ทุกคนควรจะได้หรือเริ่มจากความรู้สึกทั้งตัวก่อน วิธีปฏิบัติอยู่ในหน้าแรกค่ะ
     
  19. rakjung2524

    rakjung2524 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +17

    ผมวางที่เคยได้ที่เคยทำมา แล้วมาทำความรู้สึกตัว 100% ได้ 2 วัน รู้สึกว่าฝันชัดเจนขึ้นมาก บางทีเวลานั่งทำความรู้สึกตัว100% ขณะแช่ เห็นจิตกระโดดไปนู่นไปนี่ นอกกาย ชัดขึ้น

    ต้องทำไงต่อครับ
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ในช่วงนี้ "กลุ่มผู้ฝึกใหม่" ยังไม่มี มีแต่ "กลุ่มล่าสุด" ที่ฝึกในช่วงก่อนเข้าพรรษานิดหน่อย แต่กลุ่มนี้ "ผ่านไปหมดแล้ว"

    +++ กลุ่มนี้ใช้การฝึกใน กูเกิ้ลแฮ้งค์เอ้า ล้วน ๆ ซึ่งให้ผลใกล้เคียงกับ การฝึกพร้อมกับการสอบจิตต่อหน้า ดังนั้นจึงไปได้เร็วมาก

    +++ หากต้องการ "ปฏิบัติอย่างจริงจัง ตั้งแต่เริ่มต้น" ผมแนะนำให้สมัครใช้ gmail ก่อน แล้วจากนั้นจึงใช้ hangout ได้สะดวก

    +++ การฝึกในกระทู้ ก็คล้าย ๆ กับการ "อ่านตำราฝึก" แต่พอติดขัดตรงไหน ก็ "ถามและอ่านคำตอบ" เอาเฉย ๆ

    +++ หากคำถามเขียนมาไม่ชัดเจน คำตอบที่ได้ก็จะเบี่ยงเบนไปตามลักษณะของการใช้ภาษา ซึ่งการใช้ภาษาของผู้ถาม กับ การใช้ภาษาของผู้ตอบ อาจไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่เกี่ยวข้องกับการฝึก "กรรม-ฐาน" แม้แต่คำศัพท์เบื้องต้นว่า "กรรม-ฐาน" ของผมใช้แบบ "แยกกรณี" ไม่ได้ใช้แบบ "ผสมปนกัน" แบบที่ผู้อื่นใช้

    +++ กรรม คือส่วนของ Mind Dynamic ซึ่งเป็นส่วนของ "ไตรลักษณ์ ที่เป็น สังคตะธรรม" ล้วน ๆ

    +++ ฐาน คือส่วนของ Static Spirit ซึ่งเป็นส่วนของ "อสังคตธรรม ที่ไม่ได้อยู่ใน ไตรลักษณ์"

    +++ ส่วนการ "พ้น" นั้น จะพ้นได้ก็ต่อเมื่อ "รู้แจ้งแทงตลอด ในสภาวะธรรมทั้งหมด"

    +++ สภาวะธรรมทั้งหมด แม้ว่าจะ "หลากหลายจนเป็น อจินไตย" อย่างไรก็ตาม แต่ ต้นกำเนิดของมันทั้งหมด "เกิดจากแหล่งเดียว" เท่านั้น

    +++ การฝึกในลักษณะที่ผมสอนนี้ จะเป็น "การทวนกระแสเข้าสู่ จุดต้นกำเนิด แหล่งเดียว" ตรงนี้ แล้วจึง "ทำลายต้นตอทิ้งไป"

    +++ การใช้ภาษาของผมนั้น เหมาะสำหรับ "ผู้ที่มีการศึกษา ตั้งแต่ ม. 3 ขึ้นไป" ส่วน "คนกลุ่มน้อย" ที่ไม่สามารถจบ ม. 3 มาได้นั้น ย่อมอ่านไม่รู้เรื่อง และผมถือว่า "ไม่จำเป็นที่จะต้องมา แบกภาระอะไรด้วย" มันเสียเวลา ตรงนี้คง เข้าใจได้ไม่ยาก

    +++ หากตั้งใจที่จะฝึกแบบจริงจัง ก็ควรสมัคร แฮ้งค์เอ้า แล้วแจ้งมาให้ผมทราบด้วย นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...