พบวัดพิลึก ห้ามไหว้พุทธรูป

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 26 กรกฎาคม 2008.

  1. vmonchai

    vmonchai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2006
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +7
    คุณ sasitorn2006<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1391748", true); </SCRIPT> มั่นคงดีมาก ถ้าคุณรวบรวมผู้ร่วมอุดมการณ์ให้มากๆคงได้กำจัดบรรดาพระพุทธรูปและพระเครื่องทั้งหมดใช่ไหม
    ต่อไปประเทศไทยไมจำเป็นต้องมีพระพุทธรูปแล้วใช่ไหม
    พิธีกรรมต่างๆจะทำอย่างไรรวมทั้งราชพิธีด้วยจะมีรูปแบบอย่างไร
    กรุณาตอบด้วยจะได้เตรียมการ
     
  2. อาคม ดอกลั่นธม

    อาคม ดอกลั่นธม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +104
    คุณ sasitorn2006<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1391748", true); </SCRIPT> มั่นคงดีมาก
    แล้วพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองละ หลวงพ่อจะเอาไปไว้ใหน พระแก้วมรกด และอีกมากมาย ถ้าเกิดพวกท่านชนะพระพุทธรูปพวกนี้คงหายไปหมดละมั่ง
    ช่วยตอบหน่อยเถอะ จะเอาไปไว้ใหน
    หรือขุดหลุมแล้วเอาน้ำกรดราดเหมือนหลวงพ่อเกษมทำในทุกๆครั้ง

    แล้วพระราชพิธีถวายเครืองทรงห่มพระแก้วมรกดละสามฤดูนะ พระเจ้าอยู่หัวจะเอาเครืองทรงไปห่มอะไรถ้าไม่มีพระแก้วมรกดประเพณีที่ทำมาช่านานสืบต่อมาหลายพระองค์ ท่านคิดอะไรอยู่ท่านจะค่านการปติบัติพระราชประเพณีนี้หรือ
     
  3. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    คุณ sasitorn2006<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1391748", true); </SCRIPT> เหมือนเราได้กลับไปเรียนธรรม
    คำสอนของพุทธองค์จริงๆ ไม่ใช่คำสอนตามความเชื่อของครูบาจารย์ที่เชื่อตามความคิดความพอใจ
    ของตนเอง โดยไม่ศึกษาเลยว่าคำที่พุทธองค์ตรัสสอนไว้จริงๆ คืออะไร หรืออาจจะรู้ว่าท่านสอน
    อย่างไร แต่ตัวท่านตั้งใจจะละเลยคำสอนนั่นไป โดยไม่ทำตาม แล้วพอมีผู้นำหลักธรรมสอน
    ของพุทธเจ้ามาเผยแพร่ แล้วไม่ถูกใจตน ก็อ้างว่าผิดหลักธรรมวินัย ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ใช่เรื่องผิดธรรม
    วินัยใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ไม่ถูกใจท่านต่างหาก

    ..........

    ..สาธุ คับคุณsasitorn2006<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1391748", true); </SCRIPT>ผมชอบคำนี้มากเลยคับ"เพียงแต่ไม่ถูกใจท่านต่างหาก"... ขออนุโมทนาด้วยนะคับ คนในประเทศไทยน้อยคนมากที่จะสนใจเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง และยิ่งน้อยเท่าน้อย ที่จะลงมือปฏิบัติธรรมเดินตามคำสอนจริงจัง จึงขออนุโทนาด้วยใจจริง...
    คนเรามักทำแต่ที่ถูกใจเรากับถูกใจเขา...สิ่งที่ถูกต้องจริงๆ...ไม่มีใครกล้าที่จะทำ เพียงแต่ 3 สิ่ง นี้วัดยากนะคับ .. คือ 1.ถูกใจเขา 2.ถูกใจเรา 3.ถูกต้องตามความเป็นจริง
    .... หรือเราผู้ปฏิบัติธรรม จะใช้คำว่า ถูกต้องตามธรรมะจริงๆ... คือของจริงที่มีอยู่..ที่เกิดขึ้น...ที่ตั้งอยู่ และที่ดับไป...ธรรมะคือ ธรรมชาติที่มีอยู่ ทั้งดี และ ไม่ดี ทั้งบาปบุญ ก็เป็นธรรมทั้งสิ้น...พระพุทธองค์ จึงบอกว่า สิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบเปรียบเสมือน "ใบไม้ทั้งป่า" แต่ที่นำมาสอนและเป็นประโยชน์อย่างจริงจังกับผู้ปฏิบัติมีแต่ 1 กำมือเท่านั้น...ซึ่งก็คือสิ่งที่หลวงพ่อเกษมท่าน สอนอยู่ดั่งคำคุณ sasitorn2006ยกคำสอนหลวงพ่อว่า..."ถ้ามัวแต่ยึดติดรูปทั้งหมด (เครื่องรางของขลังพระพุทธรูป หรือรูปทุกชนิด) ท่านจะผ่านไปฝั่งโน้นได้อย่างไร แม้แต่รูปหยาบภายนอกยังสละไม่ได้
    ยังวางไม่ได้ ยังเข้าใจว่าเป็นการดูถูกรูปที่ตนเคารพนับถืออยู่ แล้วอย่างนี้นามธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้ท่าน
    จะสละไปได้อย่างไร หรือท่านบวชมา ไม่ได้หวังบวชเพื่อสละ วาง คลายความกำหนัด หรือบวชโดย
    มาอาศัยร่มเงาพระพุทธศาสนาหากิน หาตำแหน่งใหญ่โต " ...แต่ทุกคนในประเทศไทย อย่างที่บอกแหละคับมีน้อยเท่าน้อยจะเข้าใจ...แก่นของพระพุทธศาสนาเช่นนี้.... แต่อย่าลืมนะคับ...ต้นไม้ไม่มีเปลือกกระพี้ ห่อหุ้มก็อยู่ไม่ได้...และนี่คือสิ่งที่ เป็นธรรมะแสดงให้เราเห็นอย่างนึ่งว่า...พระพุทธศาสนา เมือไปอยู่ในแต่ละประเทศ จึงมีความแตกต่างกัน...อยู่ใน จีนก็อย่างนึ่ง อยู่ในทิเบธก็อย่างนึ่ง เพราะ...ถูกหล่อหลอมห่อหุ้มด้วยเปลือก และกะพี้ที่ต่างกัน...
    ...ดั่งนั้น..จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนนับถือวัตถุ และสมมุติ อยู่ ในสมมุติก็มีสัจจะอยู่... คือ พลังจิต พลังงาน ของหลวงปู่ครูบาอาจารย์ที่สร้างวัตถุมงคลต่างๆไว้..ท่านฝากพลังนั้นไว้ดูแลเรา...ท้วยเทพ ทีหลวงพ่อเกษม ท่านสอนให้เบิกบุญ (ได้ดูซีดีท่าน ครั้งเดียว..แต่เป็นสิ่งที่ผมทำอยู่แล้วเลยจำได้)
    นั้นก็แสดงให้เห็นว่าจริงๆแล้วหลวงพ่อท่านก็เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวดาต่างๆนั้นมีอยู่...เรื่องผิดคำสอนไหม?ไม่ผิดหรอก...เรื่องผิดวินัยไหม?...ก็แค่โลกกะวัชชะ..ปลงอาบัติก็หายไม่ใช่ข้องหนักหนาอะไร แต่เรื่องผิดต่อสังคมไหม?นี่สิ...คนไทยเราแปลกนะคับ..ปากกับใจไม่ค่อยตรงกัน...สถาบันหลักทั้ง 3 สถาบันเป็นสิ่งที่ อ่อนไหว ต่อคนส่วนใหญ่...
    บัวมี 4 เหล่า..... จริตมี 6ชนิด .....วิปัสนาภูมิ มี 6 ถูมิ.... สมถะกรรมฐาน มี40 กอง ... คงให้ทุกคน ดีได้ ละได้ วางได้ เร่งพายเรื่อไปกับเราด้วยไม่ได้
    พระพุทธองค์ ยังบอก ท่านเป็นแค่ผู้ชี้ทาง....ลำพังบ้านเมืองทุกวันนี้ก็วุ่นวายพออยู่แล้ว จากพวกนักการเมืองต่างๆ .. ผมจึงขออาราธนา..คุณพระพุทธ ...คุณพระธรรม ..คุณพระอริยะสงฆ์ คุณครูบาอาจารย์ทุกรูป ทุกองค์ รวมทั้งสิ่งศักสิทธิ์ ทวยเทพเทวาทุกชั้นฟ้า...ช่วยดลบันดาล ดลจิตดลใจ ให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี.....สาธุ...สาธุ....สาธุ
    .......

    ขอฝากท่านผู้อ่านทุกท่าน...
    ....สมมุติ ต่างๆ...มีอยู่ ตราบที่เรายังต้องอยู่ในโลกนี้ ยังต้องใช้สมมุตินั้นเพื่อยังชีพ..ก็ใช้ไป ใช้แล้วก็วาง....
    ....บัญญัติต่างๆ...ก็ต้องใช้เพื่อการสือสาร เพราะมนุษย์ เป็นสัตว์สังคม...ก็ต้องใช้บัญญัตินั้นๆๆไป เพื่อการต่างๆๆ
    ...ทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเที่ยง...ล้วนแปรเปลี่ยนตลอดเวลา..แม้ศาสนาพุทธ เองก็ไม่เที่ยง..ดังพุทธพยากรณ์ ว่าพุทธศาสนาอยู่ได้ 5000 ปี
    แต่นั้นเป็นเรื่องไกลตัวไปหรือเป่า.... เอาแค่ วันนี้ คุณรู้จัก ทุกข์ของคุณหรือยัง...เมือวานนี้ คุณทุกข์ใหม?.....แล้วพรุ่งนี้ละ...จะเจอความทุกข์ พร้อมหรือยังในวันนี้ที่จะเจอความทุกในวันพรุ่งนี้....คิดแค่นี้ก็ไกล แล้วนะคับ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม.....

    .........รู้จัก..........รู้ใช้...........รู้วาง........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2008
  4. freedom007

    freedom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +290
    ผมเลยเป็นงงเข้าไปอ่านคำสอนของหลวงพ่อจรัญว่ามั่นกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปจะมีเทวดารักษาแล้วมาเจอกระทู้ไม่ให้กราบพระพุทธรูปของพระอาจารย์เกษมไม่ให้ยึดติดและกราบไหว้แล้วจะรู้หรือว่าเราเป็นพุทธศาสนาเมื่อไม่มีพระประธาน
     
  5. polneomathx

    polneomathx สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +0
    รู้สึกเสียใจครับ ที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่จิตใจผมไม่ขุ่นเคืองแต่อย่างใด สิ่งที่ได้จากเรื่องนี้คือให้รู้จักปล่อยวางมากขึ้นครับ เหมือนเป็นแบบฝึกหัดให้รู้จัดวางเฉยไม่ยินดียินร้าย คิดแบบนี้แล้วสบายใจขึ้นเยอะเลยครับ แต่เห็นทุกคนรักและเคารพพระพุทธเจ้า ขนาดนี้แล้วรู้สึกปราบปลื้มใจมากเลยครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกายสุขใจร่วมกันดำรงศาสนาของเรากันไว้ให้ได้นานแสนนาน
     
  6. nopam

    nopam สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +1
    ลองเอาบทนี้ไปอ่านนะ
    สัพเพสังขารา อะนิจจา
    สังขารคือร่างกายจิตใจ และรูปธรรมนามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นมันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วนับไป มีแล้วหายไป
    สัพเพ สังขารา ทุกขา
    สังขารคือร่างกายจิตใจ และรูปธรรมนามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นมันเป็นทุกข์ ทนยาก เพราะเกิดขึ้นแล้วแก่เจ็บตายไป
    สัพเพ ธัมมนาอะนัตตา
    สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขารและมิใช่สังขารทั้งหมดทั้งสิ้นไม่ตัวไม่ตน ไม่ควรถือว่าเราว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา
    อะธุวังชีวิตตัว
    ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน
    ธุวังมะระณัง
    ความตายเป็นของยั่งยืน
    อะวัสสังมะยามะริตัพพัง
    อันเราจะพึงตายเป็นแท้
    มะระณะปะริโยสานัง เมชีวิตัง
    ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุดรอบ
    ชีวิตังเมอะนิยะตัง
    ชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยง
    มะระณังเมนิยะตัง
    ความตายของเราเป็นของเที่ยง
    วะตะ
    ควรที่จะสังเวช
    อะยังกาโย
    ร่างกายนี้
    อะจิรัง
    มิได้ตั้งอยู่นาน
    อะเปตะวิญญาโณ
    ครั้นปราศจากวิญญาน
    ฉุฑโฑ
    อันเขาทิ้งเสียแล้ว
    อะธิเสสสะติ
    จักนอนทับ
    ปะฐะวิง
    ซึ่งแผ่นดิน
    กะลิงคะลังอิวะ
    ประดุจดังว่าท่อนไม้และท่อนฟืน
    นิรัตถัง
    หาประโยชน์มิได้

    อะนิจจา วะตะ สังขารา
    สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
    อุปปาทะวะยะธัมมิโน
    มีความเกิดขึ้นแล้วมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
    อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ
    ครั้นเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
    เตสัง วูปะสะโม สุโข
    ความเข้าไปสงบระงับสังขารทั้งหลายเป็นสุขอย่างยิ่ง ดังนี้ฯ

    แล้วทำไมพระพุทธรูปทำมาทำไม สอนมากันทำไม หวงทำไม ให้ยึดกันทำไม บอกว่าไม่ยึดแต่โกรธจัง ไม่ได้เลยใครแตะไม่ได้เลย ผิดหมดเลย รู้แล้ว ก็วางเสียซิ หรือว่ากลัวเสียหน้าเสียผลประโยชน์ ไม่มีตัวตนศึกษาธรรมะได้ฌานนั้นนี้ พระพุทธรูปข้าใครอย่าแตะ อยากจะ.ถาม คน....รู้ธรรม วินัยจริง ๆ พระพุทธเจ้าหาอะไรเป็นรูปเปรียบท่านได้ด้วยเหรอ อยากถามคำนี้กลับใครกันแน่ที่ดูถูกพระพุทธเจ้า...เอาของอะไรมาปั้นแล้วสมมติว่าเป็นท่าน ดูถูกย่ำยีมากว่า สองพันกว่าปีแล้วพอเถอะ คิดให้ลึก พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้าเท่านั้นที่ดำรงพระศาสนาได้(เพราะเรียนพระธรรม วินัยและสอนได้) คิดใหม่เด้อ.....จะได้พบพระพุทธศานาที่มีแต่แก่นแท้.....คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค......มามะมาเรียนอนุบาลใหม่ไม่สายหรอกนะสร้างกันขึ้นมาก็มีบาปนะจะบอกไห่ นี่ไงบาปมาเถียงกันอยู่นี่ไง พระพุทธรูปเย็นทั่วหล้า.....ร้อนแล้ว.......เอาพระวินัย พระสุตตันฯ พระอภิธรรมมาเรียนกันดีกว่าหน๊ะ
     
  7. Natthakorn

    Natthakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +7,078
    ที่จริงพระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่เมื่อเห็นแล้วนึกถึงพระพุทธเจ้าก็เป็นประโยชน์
    เวลากราบก็กราบพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปเป็นสิ่งที่ทำให้เรานึกถึงพระพุทธเจ้าได้น่าจะเป็นการดีไม่ควรทำลายเลยครับ....แต่ไม่เห็นด้วยกับการปลุกเสกพระนะครับ.....รูปผู้ที่ท่านประเสริฐสูงสุด บริสุทธิ์แล้ว ยังจะเสกรูปท่านอีกเหรอครับ..............
     
  8. อาคม ดอกลั่นธม

    อาคม ดอกลั่นธม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +104
    มีคนตรัสถามพระพุทธเจ้าว่าพระนางวิสาขาทำไมถึงได้ความงาม 5 ประการ คำที่พระพุทธเจ้าทรงตอบ ท่านรู้ใหมคืออะไร
    พระพุทธองค์ตอบว่าครั้งหนึ่งก่อนพระพุทธศาสนานี้ พระนางวิสาขาเคยบูรณะปฏิสังขร พระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ให้งดงามดังเดิม อานิสงค์ส่วนหนึ่งนี้ทำให้พระนางวิสาขา บริบูรณ์ด้วยความงาม 5 ประการ
     
  9. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    อ้างอิงอะไร เอามาจากใหน พระไตรปิฎก หรืออรรถคาถา เล่มใหน ช่วยบอกด้วย
     
  10. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    954
    ค่าพลัง:
    +2,392

    ไม่เกี่ยวกับชนะหรือไม่ชนะ
    แต่เป็นความถูกต้อง ถูกธรรมวินัย แต่ไม่ถูกใจท่านมากกว่า






    หากเมืองพุทธ หมายถึงจิตใจที่เป็นพุทธอย่างดีแท้แล้ว
    ความแตกแยก จะไม่เกิดเลย

    พระพุทธรูป วัตถุมงคล จะไม่ได้มีเพื่อเป็นวัตถุพาณิชย์มากมายเหมือนสมัยนี้
    แต่พระพุทธรูป จะเป็นพระพุทธรูปที่คู่ควรแก่การสักการะบูชาอย่างแท้จริง ไม่มีการพาณิชย์ หรือการกล่าวอ้างความศักดิ์สิทธิ์ใดๆเป็นของแถม

    เพราะใจที่เป็นพุทธนี่แหละ ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าสิ่งใด
     
  11. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,467
    อนุโมทนาสาธุทุกบุญกุศลบารมีครับ

    มีความคิดเห็นที่ละเอียดปราณีต มีทุกข์โทษน้อย มีคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนามากอยู่เยอะครับ สาธุทุกบุญกุศลบารมีครับ

    เป็นห่วงความคิดเห็น(จากทุกฝ่าย)ที่ไม่คลุมรอบสาราณียธรรม อัปมาทธรรม กุศลธรรม เมตตาธรรม หรือพระพุทธการกธรรม อันอาจยังผลให้มีโทษอันตรายเจืออยู่ทั้งต่อตนเองและท่านอื่นๆส่วนรวม ครับ

    ผมสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า10องค์ พระเครื่องขนาดเล็กนับหลายแสนองค์(ตามที่พระพุทธองค์ท่านทรงมีพระพุทธานุญาตไว้ในสมัยพระพุทธกาล ถ้าที่ผมเคยอ่านมาเข้าใจไม่ผิด)ถวายไว้ในพระพุทธศาสนามาหลายปีแล้วครับ และจะสร้างต่อไปครับ ขอให้การดำเนินงานเป็นไปโดยส่วนที่ถูกต้องยิ่งๆขึ้นไปครับ

    ได้ทราบประวัติตำนานการสืบทอดรักษา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตลอดประวัติศาสตร์ไทย โดยผูกพันกับการสร้างพระพุทธรูป มาหลายเรื่องครับ (เช่น นักบวชฤาษี พระนางจามเทวี พระนเรศวร สมเด็จโต วัดระฆังฯ รวมทั้งบุคคลต่างๆในสมัยปัจจุบัน ฯลฯ)

    ในเรื่องของปัญหาทุกข์ในโลก บางท่านไม่ท้อถอยที่จะเผชิญแก้ไขปัญหายากๆ เพื่อส่วนรวม บางท่านก็ถอยออกมาเมี่อระดับของปัญหาสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามภูมิวิสัย ท่านที่อยู่จนสามารถแก้ปัญหาทุกข์ที่ละเอียดลึกซึ้งปราณีตได้สำเร็จสันติสงบอย่างถูกต้องเป็นประโยชน์ทั้งส่วนตน ญาติ และโลก เป็นที่น่ายกย่องเคารพและศึกษาเพื่อปฏิบัติตามยิ่งนัก

    ผมรู้สึกเห็นใจมหาเถรสมาคมและผู้เกี่ยวข้องมากครับ

    (ผมจะอีดอัดอย่างมากถ้ามีการห้ามสร้างพระพุทธรูปถวายไว้ในพระพุทธศาสนาเป็นรัตนตรัยบูชา หรือมีบุคคลทำลายพระพุทธรูปที่เป็นแหล่งสร้างศรัทธาและพุทธธรรมต่อหน้าครับ)

    ผิดพลาดพลั้งไปขออภัยขมาครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  12. MVPhoenix

    MVPhoenix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +102
    ไม่เพียงแค่พระธรรม กับพระอริยะสงฆ์เท่านั้นหรอกที่ดำรงพระศาสนาได้
    แม้พวกเราพุทธบริษัทก็ต้องช่วยกัน แต่ธรรมในพระไตรปิฏกถ้าอยู่กับพระอริยะเจ้า
    ย่อมเป็นของแท้ หากอยู่ในสามัญชนย่อมยังไม่แท้ ความเข้าใจโดยไม่ได้อาศัยปัญญา
    ที่มาจากสัมมาสมาธิแม้คัดลอกข้อความมาจากพระไตรปิฏกก็ตาม คุณคิดว่าคุณ
    เข้าใจถูกจริงๆหรือ คุณเข้าใจว่าการสร้างพระพุทธรูปบาปเพราะเป็นการดูถูก
    พระพุทธเจ้าหรือ... คิดดูให้ดีๆ ศาสนาพุทธเราเน้นเจตนาเป็นสำคัญ เค้าสร้างกันมา
    เพื่อระลึกถึงคุณพระพุทธองค์ เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์
    ช่วยให้เราเข้าถึงพุทธศาสนาแต่แรกเริ่ม ตั้งแต่ยังไม่เข้าใจธรรมเบื้องลึก ตั้งแต่ปัญญา
    เรายังน้อยอยู่ สิ่งที่พระอาจารย์ของคุณทำท่านก็คงน้อมรับผลของการกระทำนั้นอยู่แล้ว
    เถียงกันด้วยสติหน่อยก็ดีเป็นการฝึกระงับโทสะในจิต เอาเหตุเอาผลมาคุยกัน คนที่มา
    อ่านบทความในเว็ปนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้สนใจธรรมกันทั้งนั้น พระพุทธรูปท่านก็ยังเย็น
    ทั่วหล้าเหมือนเดิมแหละครับ สำหรับผู้ที่มีเจตนาระลึกถึงพระพุทธองค์แต่ถ้ามีผู้มอง
    พระพุทธรูปแล้วระลึกถึงอย่างอื่นก็แล้วแต่ท่านแล้วกัน (ส่วนผู้ที่สร้างพระเครื่องนั้นก็อยู่
    ที่เจตนาเหมือนกันแหละครับ หากเจตนาไม่ดีก็ต้องรับผลของอกุศลกรรมกันไป)
     
  13. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    726
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    <TABLE style="DISPLAY: inline; VERTICAL-ALIGN: middle" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD style="FILTER: Glow(color=orange, strength=3)">หนังสือใหม่ล่าสุด...กรณีไทยรัฐ 26/07/2551</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    <TABLE style="DISPLAY: inline; VERTICAL-ALIGN: middle" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD style="FILTER: Glow(color=green, strength=2)">หนังสือชุดใหม่ ปี 2551</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  14. nopam

    nopam สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +1
    แล้วจะมัวสอนผิดๆกันไปทำไม ที่มีอยู่ก็ทั่วแผ่นดินก็เต็มแล้ว ที่มีอยู่ก็ให้มีไป แต่นี่ก็เห็นสร้างกันตลอด แล้วก็ยิ่งปั้นยิ่งหลอมหน้าพระพุทธรูปก็เหมือนคนปั้นไปทุกวัน ๆๆ บางทีก็สร้างเสียจนล้นหลามล้นเหลือ เอาเงินนั้นมาบริจาคที่เป็นประโยชน์จะดีกว่ามั๊ย แล้วจะมีซักกี่% ของคนไทยที่มองพระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้า เอาแค่รูปเหรียญวัตถุมงคลที่ว่าเนี๋ย บางทีทำกันมาขายแต่ละรุ่นโฆษณาซะ เห็นคนที่ทำงานยอมอดข้าวเพื่อเก็บเงินเช่าพระ โอ๊ย เอาอย่างนี้ดีกว่า ในครอบครัวนึงนะจะมีซักคนไหมที่จะได้ธรรมะของพระพุทธองค์โดยเรียกว่าถึงพระรัตนตรัยโดยแท้ คือมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึก ส่วนใหญ่เกือบยกครอบครัว ที่รวมเอาพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้าไปด้วย ไม่งั้นไม่โวยวายเคืองแค้นหลวงปู่เกษมกันป่านนั้น เพราะท่านเน้นให้มีพระรัตนตรัยโดยบริบูรณ์ก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น และการมีพระรัตนตรัยโดยบริบูรณ์คืออะไรคือไม่ยึดติดกับวัตถุเช่นว่ามานี้แหละ เพราะคำว่าพุทธรูปังไม่มี..มีแต่พุทธังสรณังคัจฉามิ ........แล้ววุ่นวายกันซะ ....แปลกเมืองไทยนี่ยึดมากจริง ๆ ถึงขนาดออกกฎหมายใครทำลายวัตถุโบราณไม่ได้ แล้วพายุมาน้ำท่วมแผ่นดินไหว จะไปจับเอาธรรมชาติด้วยหรือเปล่านี่ ที่ทำลายวัตถุโบราณเฮ้อ แล้วก็บอกว่าหลุดพ้นได้บรรลุธรรมขั้นโน้นขั้นนี้ สงสารแต่วิญญานปู่ย่าตาทวดหลงติดอยู่ในวัตถุนี้มากต่อมาก เพราะใกล้จะตายให้นึกถึงพระพุทธรูป เพราะพระพุทธองค์บอกว่ายึดกับสิ่งไหนตายแล้วจะไปอยู่กับสิ่งนั้น แทนที่ใกล้จะตายให้ไปนิมนต์พระมาแล้วเอาของให้ทำบุญถวายพระจะดีกว่านะ บุญกุศลตอนนั้นอาจได้ไปสวรรค์ก็ได้ อย่าลืมว่าภพชาติของเราไม่มีที่สิ้นสุดนอกจากจะสามารถไปนิพพานได้ก็ไม่รู้ว่ามาพบพระพุทธศาสนาด้วยหรือเปล่า ไปกันใหญ่..อย่าพากันเดินทางอ้อมเลยไปทางตรงดีกว่า จะได้ไม่เหนื่อยฟรี มีพระอริยสงฆ์มาสอนเราแล้วเดินตามไปทางนี้ดีกว่าขี้เกียจเดิน.....อ้อการโพสต์ไม่มีหรอกโทสะเพราะตั้งแต่ไม่ยึดติดอะไรนี่สามารถรู้เท่าทันมันแล้วหละ เพราะจะบอกตัวเองว่ามาเลยไอ้โทสะ มึงอย่าหนีกูไปนะ ถ้ามึงหนีกูจะเตะมึง หายว๊าบไปเลย ...เพราะมองโลกเป็นสมมติเกือบหมดแล้ว แต่ไม่ใช่เป็นการบรรลุธรรมที่เขาว่ากันนะไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร เหมือนกันคนบ้ามั๊ง..
     
  15. kong_sorakrit

    kong_sorakrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,771
    ค่าพลัง:
    +3,426
    อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น
    โดยสมเด็จองค์ปฐม

    [​IMG]
    • หมายเหตุ​
    • อารมณ์คือกระแสของจิต (คลื่นอารมณ์) โดยหลวงพ่อฤาษี​
    • เรื่องจริต ๖ โดยหลวงปู่ตื้อ​
    พิมพ์จากหนังสือ ''ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น''
    หลวงพ่อฤาษี (พระราชพรหมยานมหาเถระ)
    วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
    อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น
    (โดยสมเด็จองค์ปฐม)

    [​IMG]

    ทรงเมตตาสอนไว้เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๕ พิจารณาแล้วเห็นว่าจะมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่อ่าน แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผล มีความสำคัญโดยย่อ
    ดังนี้ในวันนี้ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม มองเห็นชายคนหนึ่งที่แพเลี้ยงปลาของวัด​

    [​IMG]

    จับปลาสวายตัวใหญ่ (ปลาของวัดเชื่องมาก) ขึ้นมาจากน้ำ ปลาก็ดิ้นจนหลุด
    จากมือตกน้ำไป เขาก็จับปลาขึ้นมาใหม่ด้วยความสนุกสนาน ในครั้งนี้ปลาดิ้น
    แล้วตกลงที่พื้นกระดานของแพปลา แล้วจึงตกลงไปในน้ำ เมื่อพวกเราเห็นการกระทำ (กรรม) ของเขาก็เกิดอารมณ์ปฏิฆะ (ไม่พอใจ) พูดขึ้นว่า ''บ้า'' อีก

    ท่าน หนึ่งพูดว่า ''ทะลึ่ง'' ซึ่งเป็นการคิดชั่ว พูดชั่ว (สอบตกในมโนกรรม และวจีกรรม ทั้งคู่)

    สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาตรัสสอนว่า (เพื่อสะดวกในการจดจำ แล้วนำไปปฏิบัติต่อ ขอเขียนเป็นข้อ ๆ) ดังนี้

    ๑. ''เหตุที่จิตมีอุปทาน ยึดเอากรรมของผู้อื่นมาใส่จิตของเรา จึงกล่าว
    เป็นวจีกรรมหลุดออกไป เพราะเหตุไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของจิตที่ยึดเอาอุปทานนั้น ๆ (บุรุษผู้สร้างกรรมกับปลา)
    ถ้าไม่ใช่อดีตกรรมส่งผลให้เขาทำกับปลา กล่าวคือ ถ้าไม่ใช่ปลาเคยเป็นคน
    มาแล้วจับคนที่เป็นปลาอยู่อย่างนี้แล้ว กรรมนี้ก็เป็นกรรมปัจจุบัน คือ มี
    อารมณ์ฟุ้งซ่านเหลวไหล เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ
    มีอารมณ์พอใจสนุกไปกับการเบียดเบียนปลา จึงสร้างกรรมนี้ให้เกิดขึ้น
    ซึ่งกรรมนี้เมื่อลุล่วงไปแล้ว ก็เป็นกายกรรม อันส่งผลให้เกิดกรรมในอนาคตได้
    กล่าวคือ จะต้องมีชาติหนึ่งในต่อไปข้างหน้า บุรุษนี้ก็จะเกิดมาเป็นปลาสวาย
    และปลานั้น กลับชาติมาเกิดเป็นคนจับเงี่ยงปลาชูให้ดิ้นรน จนกระทั่งตกลงกระแทกแพอีก นี่คือกรรมภายนอก แต่เจ้าทั้งสองเอามาเป็นกรรมภายใน สร้างวจีกรรมให้เกิดเท่ากับเห็นคนผิด เห็นปลาถูก จึงไปตำหนิกรรมอยู่อย่างนั้น​

    ''วจีกรรมคือนินทากับสรรเสริญนั่นเอง"

    [​IMG]

    ๒. ถ้าจิตยังละการตำหนิกรรมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมโนกรรม หรือ วจีกรรม

    ก็เท่ากับสร้างผลกรรมให้ต่อเนื่องกันไป ในการตำหนิกรรมไม่รู้จักสิ้นสุด

    ในโลกนี้มัน เป็นวัฎจักรอยู่อย่างนี้ ผิดถูกในโลกนี้ไม่มี มันมีแต่กรรมล้วน ๆ''

    ๓. '' ในเมื่อเจ้าทั้งสองตำหนิกรรมนี้แล้ว พอไปชาติหน้าก็ประสบมาเป็นคน

    จากคนที่เป็นปลาก็ต้องตำหนิกรรมอีก เมื่อมัวแต่ตำหนิธรรม หรือ กรรมของผู้อื่น

    อันสืบเนื่องเป็นสันตติ ประดุจกงกำกงเกวียน หมุนเวียนต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    แล้วพวกเจ้าจักเอาชาติไหนมาตัดสินว่า ใครผิด-ใครถูก โลกทั้งโลกมันเป็นอยู่อย่างนี้

    เพราะกิเลส-ตัญหา-อุปทาน-อกุศลกรรมเป็นเหตุ

    ทำให้จิตของคนกระทำกรรม ให้เกิดแก่มโน-วจี และกายได้อยู่เป็นอาจิณ''

    [​IMG]

    ๔. ''เจ้าต้องการพ้นกรรม ก็จงหมั่นปล่อยวาง มองเห็นเหตุแห่งกรรม อะไรจักเกิด

    ก็ต้องคิดว่า กรรมใครกรรมมัน รู้สันตติของกฎแห่งกรรมว่ามันเป็นอย่างนี้

    ถ้าเขาไม่ทำกรรมกันมาก่อน กรรมนี้ก็จักไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาได้ ตถาคตจึงได้

    ตรัสยืนยันว่า กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เมื่อเรารู้เหตุก็จงดับที่เหตุแห่งกรรมนั้น

    จงอย่ามองว่าใครผิดใครถูก กรรมถ้าไม่ใช่ก่อขึ้นเอง มันก็เกิดขึ้นไม่ได้เองหรอก''

    [​IMG]

    ๕. '' เมื่อพวกเจ้าเข้าใจดีแล้ว ก็จงหมั่นทำจิตให้พ้นจากการตำหนิธรรมเถิด

    ค่อยๆวาง ค่อยๆทำ กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ก็จะละเอียดขึ้นตามลำดับ

    กำหนดจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในวิมุติธรรม ทำอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ยอมรับนับถือ

    กฎของกรรมให้เกิดขึ้นในจิต ทำบ่อยๆ เข้ามรรคผล ก็จะปรากฎขึ้นเอง

    อย่าละความเพียรเสีย กระทบเท่าไหร่-เมื่อไหร่-ที่ไหนก็ต้องรู้ อย่าตำหนิธรรม

    ให้เกิดขึ้นกับจิต เห็นกรรมที่เป็นสภาวะอย่างนี้อยู่ให้ชัดเจนตลอดเวลาอยู่กับจิต

    ผู้ไม่รู้ย่อมกอปรกรรมให้เกิดด้วยจิตอุปาทานในกรรมนั้นๆ กรรมใดกรรมมัน

    พวกเจ้าอย่าไปเกาะยึดเอากรรมนั้นๆ มาตำหนิเลว เพราะเท่ากับมีอุปาทานเห็น

    กรรมนั้นๆ ว่าดี-เลว เมื่อจิตมีอุปาทานตำหนิดี-เลวจนเป็นมโนกรรม แล้วยับยั้ง

    ไม่อยู่ ก็ออกปากตำหนิดี-เลว จนเป็นวจีกรรมอีก ''

    ๖. " ถ้าบุคคลที่ไม่รู้อุปาทานนี้ ทำกรรมโดยลงแพไปต่อว่า ต่อขานคนที่จับ

    ปลาเข้า ถ้ายังอารมณ์ปฏิฆะให้เกิด ก็จะทะเลาะกัน ดีไม่ดีก็จักทำร้ายร่างกายกัน

    จนเป็นกายกรรมสืบเนื่องต่อกันเข้าไปได้ ดังมีตัวอย่างมามากมาย คนอื่นเขาทะเลาะกัน

    สร้างกรรมกัน คนนอกเข้าไปสอดแทรก ลงมือทำร้ายกรรมการเสียจนตายไป

    ด้วยความหมั่นไส้เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเจ้าปรารถนามรรคผลนิพพาน

    ก็ไม่ควรต่อกรรมกันไปอีก

    ยุติการตำหนิกรรมลงเสียให้ได้ ไม่ว่าจักเป็นกายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม

    ก็ต้องยุติลง ใช้ ศีล-สมาธิ-ปัญญา อันเกิดแก่จิต พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงใน

    สันตติวงล้อวัฏจักรกรรมว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้เอง พยายามทำจิตให้ยอมรับกฏของกรรม

    โทษของกรรมไม่ว่าดีหรือเลวนั้นไม่มี เห็นแต่กงกำกงเกวียนหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

    จงยอมรับกฎของกรรมซึ่งยุติธรรมที่สุด ใครทำใครได้ อย่าเข้าไปมีหุ้นส่วน

    กรรมกับใครๆเขาโดยการตำหนิกรรม เป็นอันขาด จำไว้นะ ''




    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  16. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอตอบข้อกังขา ของคุณ บัวไข ค่ะ อย่างที่ท่านบอกว่า เมื่อกราบพระพุทธรูปบ่อยๆจะมีเทวดามารักษาเนี่ย หมายถึงมารักษาหวงแหน เอาที่พระพุทธรูปนั่นหละค่ะ แต่ดิฉันอยากติงสักนิดว่า แล้วทำไมเวลาที่เราจะเชื่อในสิ่งใดเราต้องไปอ้างอิงเอากับเทวดาด้วยล่ะคะ เทวดาเขาชัดเขาเเจ้งอะไรมากกว่าเรางั้นหรือ? เทวดาเขาก็เคยเป็นคน เป็นสัตว์มาก่อน อย่างเราๆนี่หละ และเขาก็ยังเป็นเพียงเทวดานะคะ เขาไปยึดที่พุทธรูปก็เนื่องด้วยสัญญาเดิมที่เคยเชื่อเคยเป็นมาเมื่อตอนเป็นคนน่ะคะ ก็ไม่เคยได้ถอดสัญญานั้นออก ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดานั้น เป็นเพียงแต่ ผู้ซึ่งเกื้อกูลซึ่งกันเเละกันเท่านั้น เวลาเราไปอุทิศอะไรให้เขา นี่ก็คือเขาพึ่งเราเช่นกัน ดังนั้นอย่าไปยกเทวดามาเป็นบรรทัด หรือตัวบ่งชี้ใดๆเลย
     
  17. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    [FONT=Tahoma,Bold]
    เรื่องพระรัตนไตรในภาพรวม โดยหลวงพ่อเกษม​
    [/FONT]
    พระรัตนตรัย หรือ พุทธ - ธรรม - สงฆ์ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ให้ชาวโลก
    ทั้งหลายได้ศึกษากันนี้ เป็นเพียงวิธีการและทางดำเนินไป คือ อันนี้เป็นวิธีคิดและวิธี
    พิจารณาเพื่อให้เกิดความรู้ รู้จนไม่ยึดในรูปใน - รูปนอก - รูปในใน - รูปในนอก​
     
  18. sasitorn2006

    sasitorn2006 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +4
    [FONT=Tahoma,Bold]
    การทำความดีในศาสนาพุทธ หาได้อย่างยากยิ่งนัก ท่านทั้งหลายจึง
    ไม่ควรประมาทในการศึกษาศาสนา ​
    [/FONT][FONT=Tahoma,Bold]เล่ม 37 หน้า 451

    [/FONT]
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมกล่าวว่า โลกได้ขณะจึงทำกิจ ๆ
    แต่เขาไม่รู้ขณะหรือมิใช่ขณะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลมิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่
    ประพฤติพรหมจรรย์ ๘ ประการนี้ ๘ ประการเป็นไฉน
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
    ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
    ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
    เป็นผู้จำแนกธรรม และธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดง นำความสงบมาให้
    เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึง
    นรกเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์
    ข้อที่ ๑.
    อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นในโลก ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม และธรรมอันพระผู้
    มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดง... แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๒.
    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้เข้าถึงปิตติวิสัยแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๓.​
    - 21 -​
    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้เข้าถึงเทพนิกายผู้มีอายุยืนชั้นใดชั้นหนึ่งเสีย
    (หมายถึงพวกอสัญญีพรหม) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่
    ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๔.
    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในปัจจันตชนบทและอยู่ในพวกมิลักขะ
    ไม่รู้ดีรู้ชอบ อันเป็นสถานที่ไม่มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปมา
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๕.
    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบทแต่เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ
    มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผล
    ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี
    สัตว์ทั้งหลายที่ผุดเกิดขึ้นไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กระทำให้แจ้งซึ่ง
    โลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสั่งสอนประชุมชนให้รู้ตาม ไม่มีในโลก
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะมิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ข้อที่ ๖
    อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบทแต่เขามีปัญญาทราม
    บ้าใบ้ ไม่สามารถรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิต (ไม่สามารถรู้เนื้อความแห่งคำดี
    และคำชั่ว) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์
    ข้อที่ ๗.
    อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติแล้วในโลก เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ
    ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้วทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
    ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
    เป็นผู้จำแนกธรรม ธรรมอันนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้
    อันพระสุคตเจ้าทรงประกาศแล้ว พระตถาคตมิได้แสดง (แก่เขา)
    ถึงบุคคลผู้นี้จะเกิดในมัชฌิมชนบทและมีปัญญา ไม่บ้าใบ้ ทั้งสามารถจะรู้อรรถแห่ง
    สุภาษิตและทุพภาษิต ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติ
    พรหมจรรย์ข้อที่ ๘ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลอันมิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่
    ประพฤติ พรหมจรรย์ ๘ ประการนี้แล.​
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนขณะและสมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ มีประการเดียว
    ประการเดียวเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระ
    อรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
    เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์
    ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม และธรรมอันตถาคตทรง
    แสดง เป็นธรรมนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้
    พระสุคตเจ้าทรงประกาศแล้ว และบุคคลนี้เกิดในมัชฌิมชนบท ทั้งมีปัญญา
    ไม่บ้าใบ้ สามารถเพื่อจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้เป็นขณะและสมัย ในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ประการเดียว.​
    ชนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะ
    ชนเหล่านั้นเชื่อว่าล่วงขณะ ชนเป็นอันมาก กล่าวเวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน
    พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในกาลบางครั้งบางคราว การที่พระตถาคตเจ้า
    เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑​
    ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลก
     
  19. MVPhoenix

    MVPhoenix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +102

    คนเรามีบารมีไม่เท่ากันนะครับ บางคนเป็นพุทธแต่ทะเบียนบ้านจริงๆ
    ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยใส่บาตร เจอพระสงฆ์ก็ไม่เคยกราบไหว้ เพราะมีแต่ข่าว
    อลัชชีห่มเหลือง ศีล5บางคนยังรู้เลยไม่ครบ5ข้อเลย อย่าว่าแต่จะหาพระไตรปิฏก
    มาเปิดอ่านเลย แต่คนเหล่านี้หลายคนก็รู้จักไหว้พระพุทธรูปไม่ว่าท่านสร้างมาจาก
    อิฐก็ดี หินก็ดี ทองเหลืองก็เถอะ แล้วพระพุทธรูปนี่แหละที่จะน้อมนำผู้ที่บารมียังน้อย
    นั้นเข้ามาศึกษาอย่างจริงจังได้ คุณคิดจริงๆหรือว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในวัฏสงสารนี้
    จะเข้าถึงธรรมมากขึ้นหากเราทำลายพระพุทธรูป หรือเราไม่กราบพระพุทธรูป
    ก็ในเมื่อมีคนมากมายที่ไม่ศรัทธาในพระสงฆ์ ด้วยเพราะหลายคนยังไม่เคยพบ ไม่เคย
    เจอกับพระสุปฏิปัณโณมาก่อนเลย อย่าว่ากันถึงขนาดพระพุทธรูปเลยครับ แค่ตะกรุด
    หรือเครื่องรางวัตถุมงคลอื่นๆหากเค้ายึดไว้ก็ยังน้อมนำเข้าหาพระพุทธศาสนาได้ตาม
    ระดับบารมีของแต่ละคน เออ...แล้วกฏหมายห้ามทำลายวัตถุโบราณน่ะเค้ามีกันทุก
    ประเทศแหละครับ แล้วกฏหมายเค้าก็มีไว้จับคนครับ อ้อแล้วที่คุณบอกว่ามองโลก
    เป็นสมมุติเกือบหมดแล้วน่ะ หากทำได้จริงผมขออนุโมทนาด้วยนะครับ...
     
  20. จรัล

    จรัล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +405
    เรื่องเล็กน้อยๆแค่นี้ทำไมถึงได้ทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตไปได้ คนที่ชอบกราบไหว้สวดมนต์บูชาพระก็ทำไป มันไม่มีอะไรผิดหรอกครับ เพียงแต่ทำให้ถูกต้องตามหลัก ส่วนผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในแนวทางวิธีการปฏิบัติของท่านอาจารย์เกษมก็ทำตามแนวทางที่อาจารย์ท่านสอนไป ที่สำคัญไม่ว่าใครจะมีความคิดเห็นอย่างไรขอให้ยึดมั่นในพระรัตนตรัยก็ใช้ได้ คนไหว้พระกราบพระก็เพราะเคารพนับถือในพระพุทธเจ้า เวลากราบเวลาไหว้ก็คิดถึงว่าได้กราบได้ไหว้พระพุทธเจ้า ไม่มีใครคิดว่าไหว้กราบทองเหลืองหรืออิฐหินดินปูน เวลาสวดมนต์ก็คิดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์สาวกผู้ปกิบัติดี และควรอ่านควรศึกษาให้รู้ความหมายคำแปลของมนต์นั้นเพื่อเพิ่มพูนปัญญา เดี๋ยวนี้บทสวดมนต์มีคำแปลทั้งนั้น ส่วยท่านอาจารย์เกษมนั้นเมื่อท่านมีแนวทางของท่านแบบนี้ท่านก็ไม่ควรที่จะมีพระพุทธรูปเอาไว้ในวัดของท่าน เพื่อจะได้ไม่ต้องเอาป้ายมาปิด ใครไม่รู้เอาพระพุทธรูปมาถวายก็ให้เขาเอากลับไป เพื่อจะได้ไม่ต้องเอามาทำลายตามวิธีการอย่างนี้ ผิดถูกประการใดกราบขออภัยทุกๆท่านครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...