#พบหลวงตามหาบัว... #พบมิติแห่งจิต

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 25 พฤษภาคม 2016.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    #พบหลวงตามหาบัว... #พบมิติแห่งจิต

    อุดรธานี ปี 2518 เป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อพุธได้พบกับ "หลวงตามหาบัว" ภาพที่จับใจหลวงพ่อพุธก็คือ การที่ท่านได้มีโอกาสสนทนาธรรมเพื่อขอคำชี้แนะจากหลวงตามหาบัว
    วันนั้นหลวงพ่อพุธได้ถามถึงเรื่อง "จิต" ซึ่งคำตอบของหลวงตามหาบัวก็ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในจิตของหลวงพ่อพุธ ...
    “หลวงตา จิตเมื่อมันเข้าสมาธิที่ถึงขนาดที่ร่างกายตัวตนหายไปหมด มันสามารถรู้เห็นอะไรได้ไหม ?”
    “ไม่ตอบ”
    “ไม่ตอบก็แสดงว่าหลวงตายอมรับ”
    หลวงตามหาบัวไม่ตอบ สิ่งที่ท่านใช้แทนคำตอบก็คือ ...
    “สมัยที่เราอยู่ปรนนิบัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านจะเทศน์อะไรเราไม่สนใจ เรากำหนดจิตรู้จิตของเราอย่างเดียว เรามีหูท่านเทศน์ เราก็ได้ยิน จิตเราก็รู้”
    คำพูดประโยคสั้น ๆ เพียงไม่กี่คำของหลวงตามหาบัวทำให้หลวงพ่อพุธฉุกคิดแล้วย้อนกลับมาพิจารณา "ธรรมชาติของจิต" ในรายละเอียดอีกครั้ง
    ที่สุดท่านก็พบว่า การทำงานของจิตนั้นแบ่งออกเป็น 3 มิติ มิติแรกคือ "จิตทำหน้าที่คิด" มิติต่อมาคือ "จิตที่ทำหน้าที่เฝ้าดู" มิติสุดท้ายคือ "จิตที่ทำหน้าที่วางเฉย" ...
    "... ในขณะจิตของเรามันเกิดความคิด ถ้าเราไม่ฝืน ปล่อยให้ไปตามธรรมชาติของมัน ถ้าความคิดที่มันเกิดขึ้นมาเองนี้ ความรู้ตัวนี่เราไม่ได้ตั้งใจ มันจะรู้พร้อม ๆ ๆ ๆ กันไป
    ทีนี้ถ้าหากว่าสมาธิมีพลังงาน ในขณะนั้นความคิดมันจะแยกออกไปอีกส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคล้าย ๆ กับว่ามีผู้เฝ้าดูงาน ถ้ากายกับจิตยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ เราจะรู้สึกว่าจิตส่วนหนึ่งมันเข้ามานิ่งอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย มันกลายเป็นสามมิติ มิติหนึ่งคิดไม่หยุด อีกมิติหนึ่งเฝ้าดู อีกมิติหนึ่งมานิ่งเฉยอยู่
    ตัวที่นิ่งเฉยอยู่นั้น เป็นจิตใต้สำนึก ตัวคอยเก็บผลงาน ตัวที่มันคิดไม่หยุดยั้งแล้วก็รั้งไม่อยู่ในตัวนั้นเป็นจิตเหนือสำนึก ซึ่งมันเกิดขึ้นมาเองโดยพลังของสมาธิ นี่... ธรรมชาติของจิตเมื่อมันเกิดมีปัญญาแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้
    อย่างบางทีนี่เราตั้งใจพิจารณากายคตาสติ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ความตั้งใจในการพิจารณาของเราก็รู้สึกว่ามีอยู่ สติก็รู้สึกว่าเรารู้พร้อมอยู่ ทั้ง ๆ ที่จิตยังไม่สงบถึงขนาดความเป็นเองโดยอัตโนมัติ บางครั้งมันก็มีการแยกส่วนของมัน ไอ้ตัวที่มานั่งอยู่ในท่ามกลางก็มีอยู่ ตัวที่พิจารณาก็พิจารณาไป ตัวที่เฝ้าดูงานก็เฝ้าดูไป มันจะเป็นของมันอย่างนี้
    ทีนี้ปัญหาที่ว่า เราจะแยกจิตจากอารมณ์ ให้อารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่ง จิตก็เป็นส่วนหนึ่ง เราจะทำอย่างไร
    ไม่มีทางที่จะทำได้ นอกจากว่า เรามีสติรู้อารมณ์จิตอยู่ในปัจจุบัน พอถึงขั้นตอนแล้วจิตเขาจะแยกของเขาเอง เราจะไปตั้งใจแยกมันไม่มีทาง ต้องให้มันเกิดสมาธิถึงขนาดที่เป็นอัตโนมัติโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมันพร้อมปฏิวัติตัวไปเองโดยอัตโนมัติ นั่นแหละมันจึงจะแยก

    "ฐีติภูตัง" ของ หลวงปู่มั่น นั่นแหละคือจุดที่จิตกับอารมณ์แยกจากกัน ในลักษณะอย่างที่ว่านี้ จิตสงบ นิ่ง เด่น สว่างไสวอยู่ สิ่งรู้ของจิตทั้งหลายนี้มันมาวนรอบจิตอยู่ แต่พอมาถึงความสว่างของจิตแล้วมันตกไป ๆ เหมือนแมลงบินเข้ากองไฟ

    ที่มาจาก หนังสือ " วินาทีบรรลุธรรม พระอรหันต์มีจริง" เล่ม ๕
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ผมเริ่มต้นจากการฝึกสติโดยอาศัยดูลมหายใจเข้าออก

    ฝึกไปสักปีหนึ่ง มันก็เป็นเหมือนที่ท่านกล่าวไว้ชัดเจน

    ตอนปี40 เคยไปที่วัดท่าน โคราช จะไปถามสิ่งที่ฝึกอยู่...

    แต่ไม่กล้าเข้าไปหาท่าน เลยไปคุยกับพระลูกวัดแทน

    เขาให้หนังสือหลวงปู มาอ่านแทน เลยเข้าใจ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...