พระผู้ซ่อนเร้นแห่งถ้ำพญาช้างเผือก

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ajintipon, 17 มีนาคม 2008.

  1. Reliquiae

    Reliquiae เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,184
    ค่าพลัง:
    +2,639
    เมื่อวานได้ไปกราบ หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย ที่วัดใหม่เสนา มาครับ เนื่องจากวันนี้ (19 มี.ค. 2551) ท่านมีกิจนิมนต์ไปฉันเช้าที่ สำนักงานที่เปิดใหม่ ใกล้ๆ วัดใหม่เสนา แล้วก็เดินทางกลับวัดท่านเลยครับ

    เมื่อวานนัดไปกับพี่แนน และไปกับน้องต่อ กว่าจะไปถึง ก็ ทุ่มกว่าๆ แล้ว ทราบว่า มีหลวงปู่ สรวง สิริปุญฺโญ ท่านมาพักด้วย เลยว่าจะซื้อน้ำปานะไปถวายท่านด้วย ซื้อไปเผื่อว่าจะได้ถวายพระติดตามด้วย พอไปถึง ก็ได้ทราบข่าวว่า มีครูบาอาจารย์หลายรูปมาพัก เลยโชคดีได้กราบและ ถวายน้ำปานะได้เกือบทุกองค์

    เข้าไปห้องแรก ได้กราบหลวงปู่สรวง เจอพี่แนนรออยู่ในห้องของหลวงปู่แล้ว คนเยอะพอสมควร ได้ถวาย น้ำปานะ พวงมาลัย และปัจจัย ได้สนทนาพอสมควร จึง กราบลาออกมา และขึ้นไปกราบหลวงปู่วิไลย์ ท่านกำลังนวดอยู่ มีเจ้าหน้าที่ (ไม่แน่ใจเค้าเรียกว่าอะไร นักกายภาพบำบัดมั้ง ) กำลังนวดให้หลวงปู่อยู่ แต่ โยมข้างในบอกว่า เข้าไปได้ ในห้อง ก็มี หลวงปู่คูณ สุเมโธ วัดป่าภูทอง อยู่ด้วย เลย ได้กราบ ถวายปัจจัยและน้ำปานะ และสนทนา กับท่าน จนกระทั่งนวดเสร็จ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า ๆ จึงได้ไป กราบและ สนทนากับท่าน พี่แนน บอกว่า รีบออกจากบ้านลืมเอา หมากและสีเสียดที่ซื้อจากหนองคาย คราวที่ไปทริป ครั้งที่แล้ว เลยว่า จะรีบกลับไปเอาที่บ้านมาถวาย

    ท่านเลยพูดว่า "ได้ฉันหมาก บุญปาก... " ประมาณนี้ ฟังไม่ค่อยได้ถนัด เลยกลับไปเป็นเพื่อนพี่แนนที่บ้านไปเอา หมากและสีเสียดมาถวาย รีบบึ่งอย่างรวดเร็ว สักพักมาถึงที่วัด เลยได้นำ หมากและสีเสียดมาถวายท่าน ในบรรดาครูบาอาจารย์ที่มาพัก มี อยู่ 3 ท่าน ที่ฉันหมาก คือ หลวงปู่วิไลย์ หลวงปู่คูณ และหลวงพ่อคำบ่อ

    ไปถึงพี่แนนได้ถวายหมากและสีเสียด หลวงปู่คูณ และ หลวงปู่วิไลย์ หยิบสีเสียดมาฉันเลยดีจัง ท่านเมตตาจริงๆ เห็นหลวงปู่วิไลย์ ท่านยังนวดๆ ขาอยู่หลังจากเจ้าหน้าที่นวดแล้ว เลย ขอโอกาส ไปถวายนวดให้ท่าน และสนทนากับท่านไป ส่วนน้องต่อถวายนวดหลวงปู่คูณตั้งแต่ไปถึงตอนแรกแล้ว <!--emo&:12:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:12:-->[​IMG]<!--endemo-->

    สนทนาได้สักพักแล้วก็ลาท่านกลับ

    ครูบาอาจารย์ที่มาพักเมื่อวาน มีหลายรูป มี หลวงปู่สรวง สิริปุญฺโญ หลวงปู่คูณ สุเมโธ หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย หลวงพ่อคำบ่อ ฐิตปญฺโญ หลวงปู่เจริญ ญาณวุฑโฒ วัดถ้ำปากเปียง (ยังไม่ได้ไปพักที่วัดท่านเลย ท่านชวนตลอด เจอหน้าทีไรก็บอกว่ายังไม่ได้มีเวลาไปพักกับปู่เลย แหะๆ <!--emo&:31:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:31:-->[​IMG]<!--endemo--> ) หลวงปู่โพธิ์ (เรียกกันจนติดปาก พระราชวรคุณ หลวงปู่สมศักดิ์ ปณฺฑิโต) วัดบูรพาราม หลวงพ่อวงศ์ หลวงพ่อน้อย (พี่ที่ข้างๆบอกว่าอยู่อเมริกา ไม่ได้สนทนากับท่าน เพราะท่านสนทนากับหลวงตาสรวงอยู่และคนเยอะมาก )


    ขออนุโมทนา กับพี่แนน และน้องต่อและทุกๆคนที่ได้ไปกราบและทำบุญครั้งนี้ด้วยครับ สาธุ <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:09:-->[​IMG]<!--endemo-->
     
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    [​IMG]






    ยุคพระศรีอาริยเมตไตรย ตอนที่ 1
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในพระสุตตันตปิฎก ฑีฆนิกาย ปาฎิวรรค ในเรื่อง การเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า เมตไตรย ว่า พระเมตไตรยจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจารณะ รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า พระเมตไตรยอยู่ในพุทธวงศ์หรือเป็นวงศ์วานเดียวกันกับพระพุทธเจ้าโคตมในภัทรกัป ที่มีพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง 5 พระองค์คือ พระกกุสันธะ ,พระโกณาคมมนะ,พระกัสสปะ,พระพุทธเจ้าโคตม และพระเมตไตรย ซึ่งเรื่องนี้บ่งบอกอยู่ในพุทธปกิณณกกัณฑ์หรือว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในพระสุตตันตปิฎก ขุทกกนิกาย พุทธวงศ์

    เหตุการณ์ก่อนหน้าที่พระเมตไตรยหรือพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฏตนนั้น พระพุทธศาสนาจะเริ่มเสื่อมลงด้วยสาเหตุ 5 ประการ คือ

    1.การเสื่อมลงของหนทางแห่งความสำเร็จบรรลุมรรคผล ศีลธรรมและจริยธรรม 2.การเสื่อมลงของวิธีการปฎิบัติธรรมและการเจริญภาวนา
    3.การเสื่อมลงของการศึกษาธรรมและการเข้าถึงพระธรรม
    4.การเสื่อมลงของวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา
    5.การเสื่อมลงของบูรพาอาจารย์

    อย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าโคตรมทรงตรัสว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรย จะมาปรากฏและสามารถแก้ปัญหาความเสื่อมลงของพระพุทธศาสนา และจะนำพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรื่องเป็นที่พึ่งที่แท้จริงตลอดไป จากความเป็นจริงที่เห็นได้ในปัจจุบันศาสนาพุทธได้แบ่งแยกนิกายเป็น 3 นิกายใหญ่คือ มหายาน,หินยาน และวัชรยาน ในแต่ละนิกายก็จะมีการแบ่งแยกออกไปอีก มีการปรุงแต่ง เพิ่มเติมหลักการสอนและปฎิบัติตามความเชื่อและความนิยม แต่ละบุคคลมีความเชื่อในผลบุญต่างๆโดยไม่ทราบว่า การกระทำไปนั้นมีความถูกต้องหรือไม่ มากกว่าการทำความเข้าใจถึงหลักธรรมที่แท้จริง ผู้คนโดยทั่วไปส่วนใหญ่เชื่อว่า พระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฏหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 5000 ปี ซึ่งเป็นความเชื่อที่ขาดหลักฐานยืนยัน เชื่อโดยขาดเหตุผล จากตำนานโบราณ และตามพระพุทธพจน์ทำนายหรือคำตรัสของสมเด็จพรพุทธเจ้าโคตมจากศิลาจารึกในเขตมหาวิหาร ในสวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย แสดงว่า พระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฎพระองค์เมื่อพระพุทธศาสนาได้ล่วงมาถึงกึ่งพระพุทธกาล (2,500 ปี) ซึ่งขณะนี้พุทธศักราช 2500 จริงยังมาไม่ถึงแต่กำลังจะถึงแล้วซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงปัจจุบันนี้ แต่เนื่องจากความผิดพลาดของผู้นำพุทธศักราชมาใช้โดยขาดการวิเคราะห์และพิจารณา ทำให้พุทธศักราชที่ใช้ในทุกวันนี้ผิดพลาดจากปีพุทธศักราชจริงไปประมาณ 50 ปี ซึ่งในศิลาจารึกยังได้บ่งบอกว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระธรรมมิกราชโพธิสัตว์ จะเกิดขึ้นภายใต้ความอุปถัมภ์ของพระเถระโพธิสัตว์ ทั้งสองพระองค์สถิต ณ เบื้องตะวันออกของมัชฉิมประเทศ ทั้งสองพระองค์จะช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรื่องสืบไป และในเวลาไม่นานแผ่นดินอธรรมจะถล่มเป็นทะเล อธรรมจะพ่ายแพ้ไปทั้งหมด จากนั้นแผ่นดินจะเป็นยุคศรีวิไล




    [​IMG]


     
  3. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เห็นใบหน้าอดีตอาจารย์ กิเลสที่ท่านละไม่ได้คือความขี้อิจฉา

    ใบหน้าอดีตอาจารย์ จะเศร้าหมองมาก

    ถูก วิตกทั้ง 3 รบกวน

    กามวิตก ก็คือ การคิดการครุ่นคิดการตรึกตรอง อยู่ในเรื่องของกามคุณทั้งหลาย
    ทั้งครุ่นคิดหาวิธีเพื่อจะให้ได้มาซึ่งกามคุณที่น่าชอบใจ น่าพึงพอใจ
    ทั้งครุ่นคิดหาวิธีเพื่อจะรักษาไว้ซึ่งกามคุณที่น่าชอบใจ น่าพึงพอใจ ที่ได้มาแล้ว
    ทั้งครุ่นคิดโศกเศร้าเสียใจเมื่อกามคุณที่น่าชอบใจ น่าพึงพอใจที่ได้มาแล้วนั้น ได้พลัดพรากจากหายไป

    พยาบาทวิตก ก็คือ การครุ่นคิดอยู่ในการปองร้ายผู้อื่น สัตว์อื่น
    วิหิงสาวิตก ก็คือ การครุ่นคิดอยู่ในการเบียดเบียนผู้อื่น สัตว์อื่น

    อดีตอาจารย์

    ไม่สามารถละรูปนามได้

    จึงยังไม่ตรัสรู้ธรรมเบื้องสูง
     
  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    อยากให้คนที่เคยเป็นอดีตอาจาย์ และ บริวาลได้อ่าน

    เห็นว่ามีประโยชน์ดี เลยอยากจะนำมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน

    ถาม : คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาผู้อื่น จะมีผลเสียต่อเขาเองอย่างไรบ้าง และสามารถแก้ไขนิสัยนี้ได้อย่างไรบ้างครับ ?

    ตอบ : คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาผู้อื่น จะมีผลเสียต่อเขาเองอย่างไรบ้าง และสามารถแก้ไขนิสัยนี้ได้อย่างไรบ้างครับ ?


    คุณก็ต้องดูให้ถึงต้นตอเสียก่อนว่า นิสัยของคนที่ชอบอิจฉาตาร้อน หรือว่าไม่อยากให้ใครได้ดีเกินกว่าตัวเองนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ..?

    นิสัยอิจฉาริษยานี้ จะเกิดขึ้นกับคนที่มีความดีในตัวน้อยกว่าคนอื่น เพราะถ้าหากมี คุณงามความดีอยู่ในตัวมากกว่าคนอื่น เขาคงไม่มีความจำเป็นต้องไปอิจฉาตาร้อนใคร

    เนื่องจากมีคุณงามความดี มีความรู้ มีความสามารถน้อยกว่าคนอื่น แล้วอยากจะให้ได้ดีเท่ากับเขา หรืออยากจะให้ดียิ่งกว่าเขา แต่แทนที่จะคิดแก้ไขตัวเอง กลับไปคิดในทางผิดๆ ในทางร้ายๆ

    คือ แทนที่จะยกตัวเองขึ้นมาด้วยการทำ ความดีให้ยิ่งขึ้นไป กลายเป็นว่าความดีก็ไม่ทำแถมยังคิดจะเหยียบคนอื่นลงไปด้วยฤทธิ์แห่งความเข้าใจผิด จนกลายเป็นความอิจฉาริษยา ไม่อยากให้ใครได้ดีเสียอีก

    เมื่อเรารู้แล้วว่าต้นเหตุแห่งความอิจฉาริษยานั้น มาจากความที่ตัวเองมีคุณงามความดีน้อย ก็สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าอย่างนั้นในใจของคนที่ชอบอิจฉาริษยา ก็คงจะมีแต่ความเศร้าหมอง คิดที่จะสร้างสรรค์อะไรกับใครเขาไม่เป็น คิดออกแต่ในเรื่องที่จะทำลายทำร้ายคนอื่นอยู่ร่ำไป

    เช่น คิดจะทำลายทรัพย์สินเงินทอง คิดจะทำลายเกียรติยศชื่อเสียง คิดจะทำร้ายคนอื่นให้เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ คิดวนๆ เวียนๆ อยู่อย่างนี้

    เพราะฉะนั้น คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาริษยา จึงเป็นคนที่ใจเศร้าหมองทั้งวัน เมื่อมีใจเศร้าหมองอย่างนี้ แม้คำพูดก็เป็นคำพูดที่ชวนให้เศร้าหมอง คือ มีแต่เรื่องร้ายๆ ออกจากปาก ไม่มีคำพูดที่เป็นภาษา ดอกไม้ มีแต่พ่นพิษพรวดๆ ออกมา เมื่อเป็นอย่างนี้หนักๆ เข้า ก็จะเลยไปจนกระทั่งถึงการกระทำทางร่างกาย ทำให้แสดงอาการร้ายๆ ออกมา ตั้งแต่การกระทบกระแทกแดกดัน ทำอะไรโครมคราม หรือมีอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่กัน เป็นต้น คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาริษยาผู้อื่น หรือคนที่ มีบุญน้อย แล้วไม่คิดจะทำบุญเพิ่มเติม แต่กลับไปคิดทำร้ายคนอื่น จึงมีอาการเช่นนี้

    เมื่อความดีเก่ามีอยู่น้อยจนทำให้สู้ใครเขาไม่ได้ แล้วความดีใหม่ก็ไม่คิดจะทำเพิ่มตรงกันข้ามมีแต่จะเพิ่มความร้ายกาจ เพิ่มความบาปเข้าไปทุกวันๆ ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเผาผลาญเป็นการทำลายล้างตัวเองไปทุกวันๆ นั่นเอง นี่คือผลเสียต่อตัวเองของความที่เป็นคนขี้อิจฉาริษยา

    เพราะฉะนั้น พวกเราอย่าได้เป็นเข้าทีเดียว ถ้าครั้งใดใจคิดแวบไป ชักเริ่มจะอิจฉาชาวบ้านที่เขาดังกว่าเรา เด่นกว่าเรา ดีกว่าเราขึ้นมาละก็ รีบติดเบรกเสียนะ

    โดยเตือนตัวเองว่า ที่เรายังตกต่ำอยู่อย่างนี้ เพราะว่าชาติที่แล้ว รวมทั้งชาตินี้ด้วย เราสั่งสมคุณงามความดีมาน้อยไป

    เตือนตัวเองได้อย่างนี้ หนทางที่จะแก้ไขให้ดีก็มีมากขึ้น เพราะจับทิศทางถูกว่า เมื่อเรามีบุญน้อย ก็ต้องหาวิธีเติมบุญ คือ ในเรื่องของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจากหมู่คณะ หรือจากครอบครัว จากงานเลี้ยงชีวิตเราเองก็ตาม นอกจาก ทำให้สุดฝีมือแล้ว ยังต้องปรับปรุงให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกด้วย

    แต่ในกรณีที่ถึงจะปรับปรุงอย่างไรก็ยังสู้ไม่ได้ อยู่นั่นเอง อย่างนี้ต้องรีบเข้าไปกราบขอความรู้จากเขา ซึ่งจะทำให้เราย่นระยะเวลาทั้งในการปรับปรุงฝีมือและเวลาที่ไม่ต้องไปตกนรกได้ตั้งเยอะ

    จากนั้นก็หันหน้าเข้าหาวัด มาศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำบุญ ทำทาน ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยนั่งสมาธิ ต่อแต่นี้รีบไปทำกัน

    ด้วยการศึกษา ว่าทำสิ่งเหล่านี้แล้วดีอย่างไร เช่น การทำทานมีผลทำให้รวย การรักษาศีลมีผลทำให้สวย การเจริญสมาธิภาวนามีผลทำให้เฉลียวฉลาด มีสติปัญญา

    พอจับหลักตรงนี้ได้ ถ้าอยากจะเพิ่มเติมความรู้อะไรเป็นรายละเอียดให้ยิ่งขึ้นไป ก็ค่อยๆ ศึกษาเพิ่มเติม

    ยกตัวอย่าง เรามีอะไรต่ออะไรพร้อมแล้วแต่ที่ไปอิจฉาเขานั้น เพราะว่าเราไม่มีบริวาร เวลาไปไหนมาไหน ทั้งๆ ที่ รวยก็แสนรวย แต่ว่าใครๆ ก็ไม่รัก

    แล้วแทนที่จะถามว่าทำไมใครๆ ถึงไม่รักเรา กลับเที่ยวไปโกรธไปเคืองเขา หรือว่าเที่ยวไปอิจฉา คนที่มีคนรักเต็มบ้านเต็มเมือง ต้องมองและตั้งคำถามใหม่ให้เป็น คือ แทนที่จะตั้งคำถามว่าทำไม เขาไม่รักเรา ก็ตั้งคำถามเสียใหม่ว่าเราไม่น่ารักตรงไหน แล้วเริ่มสำรวจตรวจสอบตัวเอง


    ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ท่านดูใจก็ได้ แล้วเราจะได้รู้ว่าวิชาเจ้าเสน่ห์ ซึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้นั้น มีอยู่ ๔ ข้อ ด้วยกัน คือ

    ๑. หมั่นให้ทาน คำว่า "ทาน" ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการตักบาตรกับพระภิกษุสามเณร ทานในที่นี้ หมายถึง มีอะไรก็ปันกันกิน ปันกันใช้ รวมทั้งปันกันดังด้วย

    ๒. ปิยวาจา เวลาพูดจากับใครก็พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ เพราะสิ่งที่จะให้กำลังใจคนได้ดีนั้น ไม่มีอะไรเกินคำพูดที่เพราะๆ ในทำนองเดียวกันสิ่งที่จะทอนกำลังใจคน ก็ไม่มีอะไรเกินคำพูดที่ระคายหูเช่นกัน

    ๓. อัตถจริยา คือ ความรู้ความสามารถ ที่เรามีอยู่ ถ้าเอาไปช่วยใครได้ ก็ช่วยๆ กันไป อย่าไปหวงเลย

    ๔. สมานัตตตา คือ ไม่ว่าคบกับใครก็มีแต่ความจริงใจให้เขา ไม่แทงใครข้างหลัง ไม่ว่าร้ายใครลับหลัง มีแต่ความจริงใจ มีแต่ความปลอดภัยให้เขาเสมอ

    ทั้ง ๔ ประการนี้แหละจะเป็นที่มาแห่งเสน่ห์ของเรา พูดง่าย ๆ โปรยเสน่ห์ด้วยการให้ ทั้งสิ่งของ ทั้งคำพูด ทั้งกำลังอกกำลังใจ ทั้งความปลอดภัยแก่เขา ทำอย่างนี้แล้วใครยังไม่รัก ก็ให้รู้ไป
    แล้วในไม่ช้าเราจะต้องย้อนกลับมาถามตัวเองทำไมเดี๋ยวนี้ เวลาไปไหนมาไหน ถึงมีแต่ถูกคนอื่นเขาตามอิจฉากันทั้งบ้านทั้งเมือง

    ถึงตอนนั้นก็ช่วยไปสอนคนอื่น ๆ ที่กำลัง อิจฉาคุณให้รู้ว่า เมื่อก่อนคุณเองก็เคยเป็นอย่างเขาเหมือนกัน แล้วมีวิธีแก้ไขอย่างไร บอกเขาไปด้วย เพื่อจะได้เป็นบุญติดตัวเราต่อไป


    ขอบคุณมาก ๆ <!--MsgFrom=0-->ไข่หวานน้อยที่แบ่งปันบทความดี ๆ
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สุรศักดิ์ยังมีอารมณ์ แข่งบารมีกับพระพุทธเจ้าอยู่
    สุรศักดิ์แข่งอะไรแข่งได้แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้
    สุรศักดิ์เมื่อบุญไม่มาวาสนาไม่ช่วยที่ป่วยก็หนักที่รักก็หน่าย

     
  6. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    “เราไม่ได้ยึดอะไรเป็นสรณะหรอก”

    แม้กระทั่งแม้กระทั่งพระพุทธเจ้ากับหลวงปู่ผางและพระจือนั้นด้วย
     
  7. ANCHORITE

    ANCHORITE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +178
    ครับคุณยึดอเวจีเป็นสรณะ หากข้อความใดไม่เกียวข้องกับองค์หลวงปู่วิไลย์ท่านเชิญคุณไปตั้งกะทู้ใหม่ครับ
     
  8. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เลิกสะกดจิตเราซะพระสุระศักดิ์เพราะเราไม่ยินยอม
    ว่าตามหลักแล้ววิบากกรรมจะเล่นงานคนเรือนล้านพร้อมกันได้เพราะมีเหตุปัจจัยดังนี้

    ๑) มีสัตว์ต้องตาย ‘พร้อมกัน’ นับอสงไขย คืออย่าไปคิดเฉพาะมนุษย์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่กำลังเสวยบุญขั้นสูงสุด แต่ต้องคิดถึงสัตว์น้อยใหญ่อีกไม่รู้กี่แสนล้านตัวด้วย เพราะสมมุติว่าคนตายเพียงหนึ่งล้าน แปลว่าต้องกินอาณาบริเวณกว้างไกลไม่ใช่เล่น ๆ อาจจะทั้งจังหวัดเล็ก ๆ ลองคิดดูสิครับว่าหมาแมว นกหนู มดปลวก และอะไรจิปาถะอื่น ๆ จะมีอยู่ประมาณไหนในหนึ่งจังหวัด ใช้ตัวเลขมั่ว ๆ ว่า ‘นับไม่ถ้วน’ ไปพลาง ๆ ดีกว่า

    ๒) วิบากกรรมที่ทำให้ตายกะทันหันนั้นควรจะเป็นประเภทตัดรอนภาวะดี ๆ เปลี่ยนเอาภาวะร้าย ๆ มาแทนที่แบบปุบปับฉับพลัน ไม่ให้ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว พูดง่าย ๆ ว่าต้องตกต่ำลงจากสภาพเคยอยู่ดีมีสุขในสภาพเนื้อตัวแห้งสะอาดนุ่มนิ่มแบบมนุษย์ไปเป็นอื่นที่ลำบากกว่ากัน ทั้งนี้ก็เพราะคนและสัตว์ส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมใจตายไว้ล่วงหน้า เมื่อไม่ได้เตรียมก็แปลว่าใช้ชีวิตตามสบาย ซึ่งตามสบายของคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ถ้าไม่คิดเรื่องเซ็กซ์ก็คิดเรื่องล้างแค้น ถ้าไม่คิดเรื่องล้างแค้นก็คิดเรื่องความสำคัญของตัวตน ล้วนแต่เรื่องปรุงแต่งจิตให้เศร้าหมอง เมื่อตายขณะจิตเศร้าหมองย่อมเอียงลงต่ำ เว้นแต่จะสั่งสมบุญใหญ่ไว้ช้อนได้ทัน อีกประการหนึ่ง ภัยพิบัติระดับทำคนตายเป็นล้านนั้น มักมาในรูปแบบของความน่าสะพรึงกลัวไม่มีอะไรเกิน ความกลัวเป็นโทสะชนิดแรงกล้า ถ้าครอบงำจิตสุดท้ายไว้ทั้งดวงได้ ก็มักตรึงจิตให้ติดอยู่กับความกลัวนั้น ๆ พูดง่าย ๆ เป็นเปรตที่ต้องวนเวียนอยู่กับภพแห่งความน่ากลัวไปอีกนานจนกว่าจะมีบุญใดมาเลื่อนชั้นให้ น้อยคนครับที่เปลี่ยนจากภาวะมนุษย์ด้วยอุบัติเหตุกะทันหันแล้วไปสูงขึ้น ต้องสั่งสม ต้องย้อมจิตย้อมใจเป็นกุศลกันจนอยู่ตัวพอประมาณ

    เอาแค่ปัจจัยที่เอื้อให้เกิดมหาหายนะสองข้อข้างต้น ก็คงพอจะพิจารณาได้ว่าการตายเกลี้ยงฉาดแบบเทกระจาดทิ้งทั้งหมดโลกในคราวเดียวนั้น เกิดขึ้นได้ยากเต็มทีครับ เพราะแปลว่าผู้มีบุญถึงขั้นได้เป็นมนุษย์กว่า ๖,๐๐๐ ล้านรายจะต้องตายร้ายพร้อมกันหมด อัตราความเป็นไปได้คงเป็นศูนย์

     
  9. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  10. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    ออกไปเลยน่ะครับ กระทู้นึ้เป็นกระทู้ของหลวงปู่วิไล ไม่ใช่ของคุณ กระทู้เขาว่าแล้วว่า หลวงปู่วิไล วัดถ้ำพญาช้่างเผือก คุณจะมีความแค้นอะไร ไม่นับถืออะไร นับถือศาสนาไหน ศาสนาอนาคตหรืออะไรก็ตาม ที่คุณกล่าวมานึ้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหลวงปู่เลย ถ้ากล่าวอีก จะขอท่านผู้ดูแลแบนคุณน่ะครับ
     
  11. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    คุยเสียดี ที่แท้ แพ้กิเลส
    น่าสมเพช เตือนเท่าไหร่ ก็ไม่เห็น
    ว่าเป็นทาส กิเลส อยู่เช้าเย็น
    จะอวดเป็น ปราชญ์ไป ทำไมนา
    ค้นธรรมะ หาทางออก อุ้มกิเลส
    น่าสมเพช จริงจริง เที่ยววิ่งหา
    ตำรานั่น ตำรานี่ สรรหามา
    ได้เป็นข้า กิเลสไป

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    สุระศักดิ์ผู้ยังต้องศึกษาอีกมาก
    คุยเสียดี ที่แท้ แพ้กิเลส
    น่าสมเพช เตือนเท่าไหร่ ก็ไม่เห็น
    ว่าเป็นทาส กิเลส อยู่เช้าเย็น
    จะอวดเป็น ปราชญ์ไป ทำไมนา
    ค้นธรรมะ หาทางออก อุ้มกิเลส
    น่าสมเพช จริงจริง เที่ยววิ่งหา
    ตำรานั่น ตำรานี่ สรรหามา
    ได้เป็นข้า กิเลสไป สุระศักดิ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2010
  12. chai_2009

    chai_2009 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +61
    นี่ครับ รูปคุณแม่จันทา ฤกษ์ยาม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pose4.jpg
      pose4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.6 KB
      เปิดดู:
      81
  13. พระครูอมรศีลวิสุทธิ์

    พระครูอมรศีลวิสุทธิ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +8
    เห็นด้วย

    เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ถ้าท่านใดได้เข้าไกล้ท่านจึงจะรู้ ท่านไม่เจ้ายศเจ้าอย่างเป็นกันเองกับทุกคนที่เข้าไปหาท่าน และท่านเป็นผู้มองกาลไกล หรือ มีจิตรหยั่งรู้ก็ไม่ทราบได้ เพราะโดนมากับตัวเอง ตอนที่ หลวงพ่อวันดี กิตติวัณโณ(หลวงปู่ฮานอย)วัดเขื่อนจุฬาภรณ์ยังมีชีวิตอยู่ วัดพระธาตุแก้งกอย เจ้าอาวาสไม่มี หลวงปู่วิไลยกับหลวงฮานอยได้ชวนให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุแก้งกอย ท่านชวนอยู่สามครั้งก็ปฏิเสสไปทั้งสามครั้ง พอออกพรรษาแล้ว หลวงปู่วิไลย์ไปหาที่วัดชวนลงกรุงเทพฯ ไปถามเรื่องวัดถ้ำพญาช้างเผือก เหมือนท่านรู้ว่าถ้าพาลงไปที่กรุงเทพแล้วจะไม่ต้องชวนให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุแก้งกอย พอกลับมาถึงวัดตอนที่ท่านไปส่งถึงวัดก็ได้บอกท่านว่า หลวงปู่แต่งตั้งผมไปรักษาการแทนเจ้าอาวาสได้เลย โดยที่ท่านไม่ต้องชวนเรา แต่เราเป็นผู้บอกท่านเอง มีรายระเอียดมาก เอาพอเข้าใจก็พอ (พระครูอมรศีลวิสุทธิ์) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุแก้งกอย
    http://www.watphrathatkaenggol.com<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  14. พระครูอมรศีลวิสุทธิ์

    พระครูอมรศีลวิสุทธิ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +8
    ขอเชิญเป็นเจ้าภาพกฐินสามัคคี ๒๕๕๕ กองๆละ ๒๕๕๕ บาท เพื่อหาทุนสร้างมณฑปครอบองค์พระประธานใหญ่ที่เห็นตามภาพนี้ ที่วัดพระธาตุแก้งกอย บ้านโนนคูณ ตำบลโนนคูณ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ในวันที่ ๑๐-๑๑ พฤษจิกายน ๒๕๕๕ ทอดถวายในวันที่ ๑๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. แจกของเหรียญพระธาตุแก้งกอยพลังสเคลล่าร์ลาวาภูเขาไฟจากประเทศญี่ปุ่น พระให้ธรรมให้พรเป็นเสร็จพิธี สอบถามรายระเอียดที่
    พระครูอมรศีลวิสุทธิ์ โทร ๐๘๒-๓๗๓-๙๓๑๙
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 ตุลาคม 2012
  15. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,164
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,232
    ทราบมาว่า ขนาดก้นบุหรี่ที่หลวงปู่ทิ้งไว้ มีคนนำไปยิง ยังยิงไม่ออกเลยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...