พระผู้ทรงอริยคุณ หลวงปู่จันทา ถาวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ลูกพ่อลิงดำ, 17 สิงหาคม 2008.

  1. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    พระผู้ทรงอริยคุณ หลวงปู่จันทา ถาวโร
    <SUP>วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร</SUP>
    <SUP>โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์</SUP>
    <SUP> คณะศิษยานุศิษย์ ในร่มเงาแห่งแก่นธรรมแท้ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ นั้นมีมากมายเกินจะกล่าวได้หมด บ้างก็ลือชื่อ บ้างก็เงียบสนิท บางองค์ซุกซ่อนเร้นกายอยู่ตามเงี้อมผา ป่า ถ้ำ ไม่ปรารถนาพบใคร มุ่งแต่ทำความเพียรเผากิเลส
    ณ กาลปัจจุบันคณะศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ในชั้น
     
  2. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    <CENTER>
    [SIZE=+4]หลวงปู่จันทา ถาวโร[/SIZE]
    [SIZE=+3]วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร[/SIZE]

    [​IMG]


    [SIZE=+4]๑ ชีวิตฆราวาส[/SIZE][SIZE=+2]
    ๑.ชาติภูมิ
    หลวงปู่จันทา ถาวโร เป็นบุตรของ นายสังข์ ไชยนิตย์และนางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ท่านถือกำเนิดในวันเสาร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ ณ หมู่บ้านแดง ต.เหนือ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด หลวงปู่มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๖คน ดังนี้
    ๑) นายนู ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
    ๒) นางต่วน ชมภูวิเศษ
    ๓) นายแก้ว ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)
    ๔) หลวงปู่จันทา ถาวโร
    ๕) นายบุญ ไชยนิตย์
    ๖) นายน้อย ไชยนิตย์ (ถึงแก่กรรม)[/SIZE]

    [SIZE=+2]
    ๒. ลูกกำพร้า
    หลวงปู่เล่าเรื่องชีวิตในวัยเด็กไว้ว่า…..“อย่างข้าพเจ้านี้มันก็แสนทุกข์ยากลำบากเกิดมาชีวิตนี้ คิดแล้วน้ำตาไหล พออายุได้ ๗ ปี ได้น้อง ๒ คน แม่ก็ตาย เพราะกินผิด คือ แม่เอาอาหารไปถวายพระตอนเพล แล้วไปกินป่นปลากับผักผีพวย นั่นแหละก็เลยผิดกรรมเสีย เมื่อผิดกรรมแล้วทำอย่างไร สมัยนั้นหมอยาก็มีแต่ยารากไม้ รักษาไม่ได้ ผลสุดท้ายก็เลยตาย”
    ก่อนตาย แม่ก็สั่งว่า “ลูกคนเล็กๆ ๓ คนนี้ให้แม่ป้าพ่อลุงเอาไปเลี้ยง เพราะเขาเป็นเชื้อผู้ใหญ่ และมีเรือนอยู่ติดกัน ส่วนลูกคนโต ๆ นั้น ให้อยู่กับน้าบ่าวน้าสาว”
    พอแม่ตาย พ่อก็เลยไปเอาเมียใหม่มาเลี้ยง ให้เมียใหม่มาช่วยเลี้ยงลูก แม่ใหม่กับลูกสาวก็เหมือนหมากับแมวนะ ลูกสาวก็ด่าเอาว่า
    “มึงไม่ใช่แม่กู อย่ามาทำสำออยเจ้าน้อย ให้กูตักน้ำมาให้อาบ ไม่ดอก”
    นั่นแหละ ผลสุดท้ายก็เลยแตกกัน เหมือนนกแตกรังเหมือนควายแตกคอก พ่อก็เลยไปอยู่กับแม่ใหม่เสีย
    แหม...ทีนี้ ก็เร่ร่อนสัญจรไปไหนมาไหนก็แสนทุกข์ยากลำบาก ทำงานหากินเลี้ยงชีพ[/SIZE]
    [SIZE=+2]
    ๓. ลูกชาวนา....ไร้การศึกษา
    เราเกิดมาชาตินี้ แสนทุกข์ยากลำบาก เกิดขึ้นท่ามกลางไร่นา อายุ ๗ ปี แม่ตาย ๑๐ปี พ่อตาย เราก็เป็นลูกกำพร้า อยู่กับพี่น้องเขาก็พาให้เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไม่ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนอะไร
    ทำนาตั้งแต่อายุ ๗ ปี นะ เริ่มทำจากนั้นมาถึง ๒๕ ปี แหมมันแสนทุกข์ยากลำบาก ๕ โมงเช้าถึงจะได้กินข้าว นั่นแหละปวดหลัง ปวดเอว บ่นเพ้อละเมอใจว่า เมื่อไหร่หนอเราจะพ้นจากการทำนา มันทุกข์ยากลำบาก[/SIZE]

    [SIZE=+2]๔. นายพรานใหญ่[/SIZE][SIZE=+2]
    หลวงปู่เล่าต่อไปอีกว่า...
    ผมเป็นนายพรานใหญ่นะ บ้านอยู่ฝั่งแม่น้ำชี จ.ร้อยเอ็ด สมัยผมเกิดนะไปหาปลาหาบตะกร้าไป บ้านนั้นมี ๑๐ หลังคาเรือนคุ้มนี้นะ ๒ คนนี่หาบตะกร้าไปเลย ลงไปหนองน้ำ ปลานี่ชุกชุมยุบยับ...ๆ....ๆ ไปถึงก็กำเอาๆ จนเต็ม ๒ หาบตะกร้า เอามาตั้งไว้กลางบ้าน แล้วก็ร้องบอกชาวบ้าน
    “มาเด๊อ!… ไผอยากได้ก็มาเอา”
    ตั้งไว้แล้วก็ไป ชาวบ้านก็ถือตะกร้าลงมา อยากได้ตัวไหนก็เอาไป พอเขากลับกันหมดแล้ว ปลาที่เหลือจึงไปเอามากินนะ
    ข้อยไปก็อย่างนั้น เจ้าไปก็อย่างนั้น แต่ก่อนไม่ได้ซื้อไม่ได้ขาย จะเอาไปทำอะไร สัตว์นั้นมันหลาย นั่นแหละ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามากแล้วชีวิตนี้[/SIZE]

    [SIZE=+2]๕. ได้เมียแม่หม้าย[/SIZE][SIZE=+2]
    พอเติบใหญ่ อายุได้ ๒๓ ปี เขาก็บังคับให้มีครอบครัว แต่แล้วครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร ได้แม่ร้างแม่หม้าย ลูก ๓ ผัวเขาตาย เหลือแต่ของไม่ดีนั่นแหละ ของดีเขาเอาไปกินหมดแล้วสมขี้หน้าไหมเล่า แต่แล้วเราก็เหมือนกับแมว หญิงหม้ายนั้นเหมือนกับสุนัขตัวใหญ่ มันก็คั้นคอเอาอย่างนั้นทุกวัน นั่นแหละเพราะบุญพาวาสนาส่งไม่ดี ผลสุดท้ายก็เลยแยกทางกัน
    เหตุที่แยกกับภรรยานั้น หลวงปู่เคยพูดว่า “วันหนึ่งสะพายข้องและแหไปหาปลา หว่านแหดำน้ำหาปลาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่ได้ปลาสักตัว ดำน้ำจนตาแดงกล่ำ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ตอนเย็นเดินคอตกกลับบ้านไม่ได้อะไร พอเห็นหน้าภรรยาสุดที่รัก ก็พูดบอกให้ฟัง แทนที่จะเห็นใจ กลับขู่ตะคอกต่อว่า หาว่า ไปมัวเถลไถลเที่ยวเล่น จนมืดค่ำ แล้วภรรยาก็เอาเครื่องมือหาปลามีข้องและแห เป็นต้น ถลกผ้าถุงปัสสาวะใส่ต่อหน้าต่อตา เห็นแล้วก็เกิดความสลดสังเวชอย่างใหญ่หลวง คิดว่า โอ๋....เมียเราทำไมทำได้ขนาดนี้ ทำถึงขนาดนี้แล้ว อยู่ด้วยกันไปก็ไม่เป็นมงคลอะไรจึงตัดสินใจแยกทางกับเมีย อย่างเข็ดหลาบ”
    ทีนี้จะทำอย่างไรเล่า ทำอะไรก็ไม่ทันสมัยกับเขา เลี้ยงแต่ควาย ทำแต่นา ทำอะไรก็ไม่ดีกับเขาสักอย่าง สร้างโลก (มีครอบครัว) ก็สร้างแล้ว มีแต่จมกับจม สิ่ง ใดก็ไม่ดีทั้งหมดผลสุดท้ายก็มาคิดว่าทำอย่างไรมันจึงจะดี[/SIZE]

    [SIZE=+2]
    [SIZE=+4]๒ ออกบวช[/SIZE]
    ๑. เหตุแห่งการบวช[/SIZE]

    [SIZE=+2]ก็มาคิดปรารภถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้านั่นแหละ คิดถึงแม่เวลาใด น้ำตาไหลนะ ถามนักปราชญ์ทั้งหลายว่า ทำอย่างไรจึงจะตอบแทนบุญคุณแม่ได้ นักปราชญ์ท่านก็ว่า จะทำนาค้าขายตอบแทนก็ไม่ได้ดอก มีแต่ออกบวชเท่านั้นแหละ บวชแล้วบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
    ทีนี้ก็เลยตั้งใจใฝ่ฝันว่าจะบวช บำเพ็ญบุญให้แม่สัก ๒ - ๓ พรรษา แล้วก็จะสึก
    จากนั้นก็เข้าวัดฝึกหัดขานนาค เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ เขียนไม่เป็น อ่านไม่ออก นั่นแหละ มันปึก (โง่) จึงท่องไม่ได้ ท่องแล้วท่องเล่า จนจะถอยหลังนะ เอ้าตั้งใจใหม่ โอ๋...คนอื่นเขายังได้เว้ย! เอาวันละคำนะ “เอสาหัง ภันเตฯ...” อยู่นั่นแหละ มักน้อยเอาวันละคำก็เลยได้ เข้าวัดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พอขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ (พฤษภาคม) จึงได้บวช ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยมี หลวงปู่หนู ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่ที่วัดบ้านปลาฝา ซึ่งเป็นวัดฝ่ายมหานิกายมาบวชให้ แล้วจำพรรษาอยู่วัดบ้านขมิ้น ๑ พรรษา จากนั้นจึงมาจำพรรษาที่วัดศรีจันทร์ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านแดงมีหลวงปู่นัน ตาปโส เป็นเจ้าอาวาส[/SIZE]

    [SIZE=+2]
    ๒. อุทิศบุญให้แม่[/SIZE]

    [SIZE=+2]หลวงปู่เล่าว่า พอบวชแล้วออกจากโบสถ์มาก็อุทิศส่วนบุญให้แม่เลย
    “บุญ ที่ข้าพเจ้าบวชในวันนี้ ขอฝากแต่แม่เจ้าธรณีเทพเจ้าเหล่าเทวา นำบุญนี้ไปให้แม่ข้าพเจ้า มีนามว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตของเขานั้น ไปอยู่สถานที่ใด ไปตกนรกก็ดี หรือไปมนุษย์ก็ดี หรือไปเป็นเปรต เป็นผี ก็ดี ขอให้ได้รับส่วนบุญนั้น ขอให้พ้นทุกข์ ให้กลับมาเกิดในตระกูลเดิม จะได้เห็นอำนาจในการบำเพ็ญบุญ ส่วนผู้นำข่าวบุญไปนั้น ก็ขอแบ่งส่วนบุญให้”
    จากนั้น ก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยืนภาวนา เดินจงกรม วันยังค่ำ บางกาลสมัย ๕ ปีนะ ไม่นอนตลอดไตรมาส ๓ เดือน เดิน ยืน นั่ง เท่านั้นแหละ ๔-๕ วัน ฉันครั้ง เพราะวิตกวิจารณ์ใจ กลัวว่าจะได้บุญน้อย จะไม่ไปช่วยเหลือแม่ นั่นแหละ ก็ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ[/SIZE]

    [SIZE=+2]๓. ให้พระเณรช่วยสอน[/SIZE]
    [SIZE=+2]เมื่อหลวงปู่ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีจันทร์ ในหมู่บ้านแดงซึ่งมีหลวงปู่นัน ตาปโส เป็นเจ้าอาวาส
    หนังสือไม่ได้เรียน อ่านไม่ออก เขียนไม่เป็น เป็นแต่เลี้ยงควาย ไถนา คราดนา เท่านั้น วิชาความรู้ประจำชีวิตทางฝ่ายโลกก็ไม่เป็น เมื่อเข้ามาทางฝ่ายธรรม จะมาเรียนปริยัติ ตรี โท เอก ก็ไม่มี เพราะเขียนไม่เป็น อ่านไม่ได้
    ทีนี้ก็มาตั้งใจประพฤติวัตรปฏิบัติ อ่อนน้อมค้อมตัวต่อพระเณร
    “ครูบาท่าน !... เมตตาสงเคราะห์ไอ้คนทุปัญญาเถอะว้า บางทีผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แล้วนั้นก็จะได้ผลบุญผลกุศลจากผมที่ได้ธรรมมะจากท่านฝึกสอนให้นี้นั้น ไปอบรมบ่มนิสัย ไหว้พระสวดมนต์ ภาวนา จะได้เป็นบุญกุศลของตน และท่านผู้ฝึกสอนถ่ายทอดความรู้ให้นั้น”
    เขาเหล่านั้น บางองค์ก็พอใจฝึกสอนให้ บางองค์ก็เฉยถือตัวสำคัญว่า ผมนี้บุญน้อย วาสนาน้อย ฝึกสอนความรู้ให้แล้วก็คงจะไม่เป็นไปดอก ดูกิริยามารยาทแล้ว จะไม่เป็นไปในทางศาสนาดอก ถึงบวชก็ได้เพียงแค่พรรษาเดียว ก็จะตายเท่านั้นแหละ
    แม้อาจารย์ที่เป็นผู้ปกครอง คือ หลวงปู่นัน ตาปโส ท่านก็พูดแล้ว พูดเล่า พูดกับพี่สาวผมนั่นแหละ
    “แม่ต่วน !...เอาผีบ้ามาบวชใช่ไหมเล่า? ดูแล้วมันไม่ใช่คน ไม่เต็ม ขาดสลึงหนึ่ง ไม่เต็มคน มันจะไม่เป็นไป ”
    พี่สาวก็เลยว่า “ โอ๋ ... ตั้งแต่วันเกิดมา ฉันเองเป็นคนเลี้ยงมาแต่น้อย จนถึงใหญ่ น้องทุกคน ทั้งที่ตายแล้วหรือยังอยู่ก็ดี สมบัติ สีสัน วรรณะ กิริยา มารยาท ก็ไม่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นบ้าใบ้อะไรหรอกปู่ พอมีบุญอยู่ แต่ก็ขอให้ปู่ช่วยรับสงเคราะห์ต่อไปเถิด จะดีหรือชั่วก็จะได้เห็นกันข้างหน้าโน้น”
    เรื่องดีชั่ว ที่สะสมมาแต่ชาติปางก่อนโน้น ก็ไม่อาจล่วงรู้กันได้ จะรู้กันได้ก็แต่ในปัจจุบันกับอนาคต นั่นแหละ
    แต่แล้วพระบางองค์ ท่านก็รังเกียจ เห็นว่า วิชาความรู้อะไรก็ไม่มี อ่านหนังสือก็ไม่ได้ เขียนก็ไม่เป็น ก็เลยไม่สอนให้ เณรบางองค์ก็รังเกียจ บางองค์ก็เมตตา แต่แล้วก็มีน้องชาย ๒ คน ซึ่งเป็นลูกน้าสาว (น้องแม่) เขาบวชอยู่แล้ว องค์หนึ่งบวชเป็นพระได้นักธรรมโท อีกองค์หนึ่งเป็นเณร ได้นักธรรมเอก เขาก็เมตตาสอนให้ ถ้าได้ดีข้างหน้าโน้นแล้วจะได้พึ่งพิงอิงอาศัยบ้าง และจะเป็นบุญเป็นกุศลของผู้ถ่ายทอดความรู้ให้ นั่นแหละ[/SIZE]

    [SIZE=+2]๔. คำสั่งสอนของอุปัชฌาย์อาจารย์[/SIZE][SIZE=+2]
    พอบวชแล้วอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านก็บอกว่า
    “พระจันทา(ครับ) เธอนั้นเป็นคนทุกข์ยากลำบาก ความรู้วิชาอะไรก็ไม่ทันเขา วาสนาก็น้อย บุญก็น้อย พลอยรำคาญทุกข์ยากนานไม่มีวันว่างเว้น ถ้าบวชแล้วอย่าสึกนะ (ครับ) สึกไป ฟ้าผ่าห่ากินนะ ให้มันตายฉิบหาย มันไม่มีสติปัญญาวิชาความรู้เกิดมาภพน้อย ภพใหญ่ ทำตนเป็นคนกำพร้า อนาถา ทุกข์ยากเดือดร้อน อาทรใจอยู่อย่างนี้ ใช้ไม่ได้ ไม่มีสติปัญญา เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา แต่ไม่เหมือนกัน เขามีที่พึ่งพิงอิงอาศัย เราไม่มี เหมือนกับสุนัขกลางบ้าน นั่นแหละ สุนัขกลางบ้านทั้งเป็นขี้เรื้อน อีกด้วย”
    “ นั่นแหละ อย่าสึกนะ !... สึกแล้วฟ้าผ่าห่ากิน ไปไหน ให้มันตายมันโง่นี่ มันไม่มีสติปัญญาฉลาด จะไม่ทำคุณงานความดี ใส่ตนหลงไปตามแต่อารมณ์ของโลก เรื่องโลกๆ ฟังแต่ว่าโลก มันประกอบไปหมดทุกอย่าง รวมอยู่นั้นเรียกว่าโลก ส่วนเรื่องธรรมนี่มันน้อยนัก แต่ละภพแต่ละชาติที่จะได้มาประสบพบปะ ได้เจริญธรรมนั้นก็เป็นของยาก ทีนี้มาชีวิตนี้ได้พบแล้ว ก็ตั้งใจเจริญสะสมบุญ ให้เกิดมีขึ้นทุกเมื่อ อย่าได้ขาด เอาชีวิตเป็นแดน”
    “ครับ” มีแต่ครับ รับได้เลย เพราะมองเห็นแล้วว่า อะไรก็ไม่เหมือนเขา เอ้า.....ตั้งใจ
    “ถ้าผมประพฤติวัตรปฏิบัติไปอย่างครูบาอาจารย์ หรืออุปัชฌาย์สอนนี่ จะเป็นบุญหรือเป็นบาป จะดีขึ้น หรือเสมอเดิมหรือถอยหลัง”
    “อ้าว!... มันก็เป็นบุญ มีแต่ดีขึ้น ไม่ถอยหลัง คงที่ก้าวหน้าไปเท่านั้นแหละ ความโง่ก็จะหมดไป ความฉลาดก็จะเกิดขึ้น นั่นแหละบวชบำเพ็ญบุญล้างบาป บาปคือความโง่หลาย ทุกข์ยากลำบาก นั่นแหละบาป โทษปาณาติบาตที่ทำไว้ก็หนักมหันต์ เธอต้องบวชบำเพ็ญบุญล้างบาป ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่ไหวนะ ตายไปตกนรกหมกไหม้เป็นทุกขเวทนา หาวันจบสิ้นไม่ได้”
    อุปัชฌาย์อาจารย์ สอนแล้วสอนเล่า ก็พอใจ มองดูโลกคือหมู่สัตว์ มันเหมือนกันไหมเล่า สูงต่ำ ดำขาว จนมี ดีชั่ว ฉลาด โง่เขลาเบาปัญญา นั่นแหละ มันไม่เหมือนกัน เพราะเหตุใดจึงไม่เหมือนกัน เพราะกรรมดีกรรมชั่ว เป็นผู้ตกแต่งโลกคือหมู่สัตว์นั้นให้ต่างกัน
    กัมมุนา วัตตะตี โลโก โลกคือหมู่สัตว์ กรรมย่อมจำแนกตกแต่งให้ฉลาดโง่เขลา เบาปัญญา อายุสั้นพลันตายหรืออายุยืนยาว ไม่เหมือนกัน ร่ำรวย สวย จน ก็ไม่เหมือนกัน เพราะกรรมเป็นผู้ตกแต่งให้ ไม่ใช่สิ่งใดดอกที่จะตกแต่งให้ มีแต่กรรมเท่านั้น
    กรรมดี กรรมชั่ว นั่นแหละ ที่ตกแต่งให้โลก ได้แก่สัตว์ทั้งหลายนี้ ไม่เหมือนกัน ถ้ากรรมดีมีแล้ว ก็ได้ดั่งใจหมาย จะทำไร่ทำนา ก็เจริญ ค้าขายก็เจริญ ศึกษาเล่าเรียนก็เจริญ ทันสมัยเขา เป็นเจ้าเป็นนาย ฉลาดมีสติปัญญาดี เพราะบุญเป็นเครื่องเสริม
    นั่นแหละ ถ้าบุญไม่มีแล้ว จะทำอะไรก็ล้าสมัยเขา ผลสุดท้ายก็ บ่าแบกหลังหนุน น้ำเหงื่อไหลไคลย้อย ทุกข์จนค่นแค้นแสนกันดาร ทำงานวันยังค่ำก็ไม่พอกิน
    โอ้...นี่เห็นจริง ๆ นะ แหม... ผมนั้นรูปร่างล่ำสันใหญ่เขาจ้างให้ขุดโพนใหญ่ ๒-๓ วัน แล้วเลย(เสร็จเลย) พอได้กินสืบวันเท่านั้น นี่มันต่างกัน คนเขาร่ำรวยมีวาสนาไม่ได้ทำมากเท่าใด ก็เหลือกิน เหลือใช้ นั่นแหละคงจะเป็นอย่างว่า เกิดขึ้นเพราะกรรมดี กรรมชั่ว ทั้งนั้น
    ทีนี้ ก็ตั้งใจเจริญบุญตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ เจริญบุญ ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น เดินภาวนา ยืนภาวนา นั่งภาวนา อดนอน ผ่อนอาหารมาไม่ลดละ เมื่อเจริญมรรค เครื่องส่งจิตเข้าสู่ความสงบได้ ความสุขเยือกเย็นเกิดขึ้นภายใน คือ ความสงบสุขนั้น นั่นแหละก็เห็นอำนาจของบุญ คือ ความสุขเยือกเย็นที่แท้ หาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี
    สมัยเป็นฆราวาส กินลาบวัวลาบควายกับเหล้า ก็นึกว่ามันอร่อยเต็มที่แล้วนะ ซุบหน่อไม้ส้มกับปูนา แต่ก่อนนะมันอร่อยแหม ๑๐๐ ครั้ง ก็ไม่เท่าจิตสงบครั้งหนึ่งนะ
    จิตสงบครั้งหนึ่ง แหมมันอร่อยเยือกเย็นหาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี นั่นแหละเป็นรสชาติอันอร่อย
    การสะสมบุญก็ส่งผลมาเป็นระยะ ๆ ถ้าบุญพาวาสนาส่งทั้งภพชาติก่อนโน้น จะได้สะสมไว้ในศาสนาพระพุทธเจ้าองค์ก่อนก็ดี มาองค์นี้ก็ดี ก็ขอจงดลบันดาลให้ข้าพเจ้ามีความยึดมั่นถือมั่นในศาสนาพุทธไม่ลดละ อย่าได้หวั่นไหวไปตามโลก ตามสงสาร มีความยึดมั่นกระสันพอใจเจริญธรรม ทั้งเช้า กลางวัน เย็น กลางคืนอยู่ทุกเวลา ไม่ประมาท นั่นแหละ มันก็เห็น เป็นอย่างนั้น มีความมั่นมาเสมอ [/SIZE]

    [SIZE=+2]
    ๕. ผลบุญช่วยให้แม่พ้นจากนรกมืด
    ตั้งแต่ออกบวช ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญไม่ลดละ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แม่ผู้บังเกิดเกล้าทุกวัน
    “ปุญญัง อุททิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอบุญจงไปช่วยเหลือแม่ของข้าพเจ้านะ ชื่อว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตเขานั้นไปสิงสถิตอยู่สถานที่ใด ไกลหรือใกล้นั้น ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ให้พ้นจากทุกข์นั้น”
    นั่นแหละ ก็อุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้น จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความรู้เรื่อง
    แม่ยายเขาเรียกใช้ “ อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย ”
    “ มึงอย่ามาเรียกกู อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ ”
    “ เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี ”
    “ สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่าใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน ”
    นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน
    เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้ทั้งหมด รวมทั้งสามี ภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐาน เครื่องหมายต่างๆ ก็บอกได้ ไม่ผิด
    แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยกันนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า
    “หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”
    เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ? ” เขาต่อว่ากลับมาอีก
    “ โอ๋... ตอนเช้าหลวงพ่อ ทำบุญน้อย พอตี 2 ก็ลุกขึ้นมาทุกวันแล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้ อุทิศให้เฉพาะตอนเย็น เพราะตอนเย็นเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่ม ทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้น ได้บำเพ็ญบุญมาก ”
    เขาว่า “ ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้ เร็วกว่านี้ ”
    ก็ถามเขาต่อไปว่า ” ไปอยู่นรกมืดนั้นเป็นอย่างไร? ”
    เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันทั้งคึน ไม่ได้เเห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”
    “ ในนรกมีคนมากเท่าไร? ”
    “โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”
    ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า
    “นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”
    นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืน ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้ เขาก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้าก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า
    “พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อนนะ”
    พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้ เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไป เพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม
    จากนั้น จ่ายมบาลก็ว่า”ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญ ส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”
    นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญ อุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดในตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้ว ได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น
    [/SIZE]

    [SIZE=+2]๖. ทำบุญกับพระทุศีล อุทิศให้ไม่ถึง
    ทีนี้ก็ย้อนมาถามพี่สาวบ้างว่า “ ไม่ได้ทำบุญอุทิศไปให้แม่บ้างหรือ?”
    พี่สาวก็ว่า ทำ ๓ ครั้ง น้าสาว (น้องแม่) เขาคิดถึงพี่สาวเขาก็เลยพาหลานสาวทำบุญอุทิศไปให้แม่ ทำถึง ๓ ครั้ง
    “ทำอย่างไรเล่า?”
    น้าสาวพาทำบุญใส่เหล้าลงไปครั้งละโหลนะ ครั้งละโหล ไหใหญ่ ๆ ฝังไว้ในป่าสับปะรด ป่ากล้วย ฆ่าวัว ฆ่าควาย สมัยนั้นวัวควายราคาถูก ทำบุญแต่ละครั้งหมดวัวควายไป ๔-๕ ตัว ตัวละ ๑๐ สลึงก็มี ตัวละ ๖สลึงก็มี บาทหนึ่งก็มี ๕๐ สตางค์ก็มี สมัยนั้นวัวควายไม่มีราคา
    “แล้วพระที่ไปทำบุญด้วยนั้น มีการประพฤติปฏิบัติอย่างไร?”
    “โอ๋...พระเหล่านั้น กินข้าวแลงแกงร้อน(กินข้าวมื้อเย็น) เล่นสีกงสีกานารี ขุดดิน ฟันไม้ ถือเงินบายทอง (ใช้จ่ายเงินทองเยี่ยงฆราวาส) และที่วัดนั้นมีหมาพรานอยู่คู่หนึ่ง เย็นค่ำขึ้นมาก็พาหมาเข้าป่าไปล่าสัตว์ อีเห็น กระต่าย ได้มาก็เอามาทำอาหารกิน กินเหล้า กินยา ต่าง ๆ นานา”
    ถ้าทำบุญอย่างนั้นก็ไม่ได้บุญหรอก ถึงจะอุทิศไปให้ก็ไม่ได้รับหรอก เหตุที่อุทิศไปให้ไม่ถึงก็เพราะ
    ๑) ฆ่าวัว ฆ่าควาย กรรมของสัตว์เหล่านั้นไปขวางไว้
    ๒) ผู้รับทานนั้น เป็นพระทุศีล พระทุศีล อุทิศให้ไม่ถึงนะ เพราะเครื่องส่งนั้นคือศีลนั้นมันขาด ขาดศีลเป็นเครื่องส่งบุญ แม้ตัวพระเองก็ไม่ได้รับ เพราะมีแต่บาป จะรับไทยทานส่งไปให้ผู้อยู่โลกหน้าก็ไม่ถึงทั้งนั้น[/SIZE]

    [SIZE=+2]๗.ทำบุญอุทิศให้คนเป็น
    หลวงปู่ยังเล่าไว้อีกว่า หลานชายซึ่งเป็นลูกของพี่สาวเป็นทหารเสือพรานไปรบที่เวียดนามเหนือ แล้วถูกเขาจับขังไว้ ๔ ปีนะ ทุกข์ยากลำบากแสนที่จะตาย ก็นึกว่าจะไม่ได้กลับเมืองไทย
    ทีนี้ พี่สาวกับพี่เขย เขาก็มานิมนต์พาไปทำบุญหาหลานสงสัยจะตายไปแล้ว
    มาถึงก็พาเขาทำเลย อย่าฆ่าวัว ฆ่าควายนะ ถ้าต้องการก็ไปหาเนื้อปลาอาหารที่ตลาดที่เขาทำไว้แล้ว จึงจะอุทิศถึง นั่นแหละก็เลยทำ ทำเสร็จก็อุทิศให้ว่า
    “ขอบุญจงไปถึงนายแขก เขาไปอยู่เวียดนามเหนือนั้นจะตายหรือยัง ถึงตายแล้วก็ดี หรือยังอยู่ก็ดี ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ถ้ายังไม่ตายขอให้กลับคืนมาเมืองไทย”
    ไม่นานเขาก็มีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกกันนะ รัฐบาลเขาประกาศว่า ใครมีลูกมีหลาน ก็ไปรอรับเอาที่ขอนแก่น หรือโคราชนะ เขาจะขึ้นเครื่องบินมาลงที่นั่น นั่นแหละพี่น้องเขาก็ไปรอรับ โอ๋...ผอมดำเหมือนผี กลับมาแล้ว เขาก็ซักไซ้ไต่ถามดูว่า
    “เป็นอย่างไรเล่า ทำบุญให้ได้รับไหม?”
    “โอ้....เดือน ๓ เพ็ญ นอนหลับฝันไปนะ มีแต่ข้าวต้มขนมเต็มอยู่ กินจนเต็มอิ่มนะ ตื่นขึ้นมาก็อิ่มอีกนะ โอ๊....อาจจะแม่นพ่อแม่เขาทำบุญมาให้นะ”
    นั่นแหละ ไม่นานก็พ้นโทษ รัฐบาลทั้ง ๒ ก็แลกเปลี่ยนเชลยศึกกัน กลับมาแล้วก็ดีใจ นั่นแหละ ผลของบุญดีอย่างนั้น
    [/SIZE]



    </CENTER>
     
  3. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    [​IMG]

    ประสบการณ์การออกธุดงควัตรในป่าลึก
    ของ “หลวงปู่จันทา ถาวโร”


    ปลายปี 2543 ผู้เขียนได้มีโอกาสขึ้นไปกราบพระเกจิอาจารย์ทางภาคเหนือหลายรูป ซึ่งแต่ละรูปล้วนเป็นพระสงฆ์ที่เคร่งต่อการปฏิบัติในแนวทางสาย “พระป่า” ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ทั้งสิ้น การปฏิบัติธรรมในสายนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า มีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดอย่างน่าเลื่อมใสเพียงใด หากใครจะไปหาโดยที่ไม่ได้นัดหมายกันไว้ก่อนก็มักจะไม่ค่อยพบ เพราะเหตุที่หลวงพ่อและหลวงปู่ทุกรูปจะไม่ค่อยอยู่ประจำวัด ท่านมักออกธุดงค์เพื่อฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาตามป่าเขา หรือตามหมู่บ้านท้องถิ่นที่กันดาร

    มีเรื่องเล่ามากมายจากหลวงปู่รูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระกรรมฐานสุปฏิปันโนที่มีอายุเกือบ 80 ปีแล้วท่านได้เล่าถึงประสบการณ์ในการออกธุดงควัตร ปฏิบัติสมาธิภาวนาในป่า ที่ต้องผจญกับภยันตราย สิ่งลี้ลับ มหัศจรรย์ เรื่องประหลาดๆ หลายๆ เรื่อง หลวงปู่ท่านนี้คือ “หลวงปู่จันทา ถาวโร” แห่งวัดป่าเขาน้อย จังหวัดพิจิตร

    ประสบการณ์ในการออกธุดงควัตรมีอยู่ในหนังสือประวัติของหลวงปู่จันทา ซึ่งเป็นการรวมเรื่องที่ท่านได้เล่าให้ญาติโยมฟังในโอกาสสำคัญต่างๆ ผู้เขียนเห็นหลายเรื่องน่าสนุกและคงหาอ่านกันไม่ได้ง่ายๆ ใครอยากอ่านต้องไปหาท่านถึงพิจิตร เพราะไม่มีการพิมพ์จำหน่าย นอกจากจะเป็นการเผยแพร่เท่านั้น ผู้เขียนจึงได้ขออนุญาตหลวงปู่นำเรื่องราวในบางตอนมาลงเผยแพร่ใน “หญิงไทย” เพื่อให้เกิดประโยชน์เป็นธรรมทานสำหรับผู้อ่านที่สนใจ

    ตอนหนึ่งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่อง “สวรรค์” หลวงปู่จันทา ถาวโร เล่าว่าท่านเคยประสบพบเห็น และสนทนาธรรมกับเหล่าเทพยดาจากสวรรค์ว่า...

    ...ปี 2501 อาตมาได้ขึ้นไปภาวนาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพล อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี (อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ในปัจจุบัน) กับหลวงปู่ขาว (อนาลโย) และหลวงปู่หลุย (จันทสาโร) ในสมัยนั้นที่วัดถ้ำกลองเพลยังขลุกขลักอยู่มาก ไม่สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ แต่ก็เหมาะสำหรับการทำความเพียรมาก เข้าที่นั่งสมาธิจิตก็รวมได้เร็ว รวมได้ทุกขณะนั่นแหล่ะ เมื่อไปอยู่ที่นั่นจึงตั้งใจทำความเพียรไม่ลดละด้วยการอดนอน ผ่อนอาหาร ตลอดไตรมาส 3 เดือน ตั้งใจทำความเพียรอยู่อย่างนั้น

    อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันเพ็ญ เมื่อเดินจงกรมเสร็จแล้วก็ไปนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำใหญ่ นั่งสมาธิกำหนดพุทโธเป็นอารมณ์ของสติ ไม่นานจิตก็วาง “พุทโธ” แล้วจิตก็รวมลงสู่ภวังคภพพอันแน่นแฟ้น อุปจารธรรมเกิดขึ้น มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้น กลางคืนเหมือนกลางวันสว่างโล่อย่างนั้น

    ไม่นานมีฝูงเทพยดาทั้งหลาย มีแต่ผู้หญิงล้วนๆ รูปร่างใหญ่โตมโหฬารสวยงามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ถือธงแดงและธูปคนละอันมาจากฟากฟ้า มาถึงถ้ำแล้วก็เอาธงปัก จุดธูป แล้วก็พากันกราบไหว้ กราบที่ 1 ว่า “พุทโธ” กราบที่ 2 ว่า “ธัมโม” กราบที่ 3 ว่า “สังโฆ สะระณัง คัจฉามิ” เสร็จแล้วก็ทำวัตรเย็น จากนั้นก็สวด “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร ทั้ง 3 สูตรนี้เขาเรียกว่าราชาธรรม เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ ธรรมทั้ง 84000 พระธรรมขันธ์มารวมอยู่ที่นี่ทั้งหมด

    เมื่อสวดมนตร์เสร็จแล้วเขาก็นั่งภาวนา นานนะเป็นชั่วโมง สองชั่วโมงสามชั่วโมงนะ เรียบร้อยดี เมื่อเสร็จแล้วเขาก็กราบพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วเขาก็จะจากไป จึงได้กำหนดถามเขาว่า

    “โยม...มาจากสถานที่ใด” เขาก็ว่า “ท่านอาจารย์พวกดิฉันมาจากเมืองสวรรค์”

    “มาที่นี่เพื่อประโยชน์อะไรหรือโยม” เขาก็ตอบว่า “มาบูชาแก้วทั้ง 3 ประการนะท่าน”

    “บูชาเพื่อประโยชน์อะไร”... “เพื่อบำเพ็ญกุศลนะท่าน เพราะแก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆนั้นเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ในการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนและของหอม”...ถามเขาไปอีกว่า “อยู่บนสวรรค์ไม่ได้บำเพ็ญหรือโยม”... “บำเพ็ญอยู่เหมือนกันแต่ได้รับผลน้อย ไม่ได้มากเหมือนอยู่ในเมืองมนุษย์ ในเมืองมนุษย์ทำน้อยได้มาก ทำมากก็ยิ่งได้มาก เพราะเป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญบุญกุศล จะไปสวรรค์หรือพรหมโลกก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในเมืองมนุษย์นี้ก่อน จะไปนิพพานพ้นทุกข์จากโอฆสงสารก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในศาสนาพุทธ ในเมืองมนุษย์นี่เสียก่อนจึงจะได้ นอกนั้นไม่มี”

    “ในสมัยพระเจ้ากัสสโปโน้น (ยุคศาสนาของพระเจ้ากัสสโป) พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นหญิงชาวบ้านพากันประพฤติวัตรปฏิบัติขัดสีแก้วทั้ง 3 ประการให้สว่างไสวรุ่งโรจน์ทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยการเดินจงกรมบูชาแก้วทั้ง 3 ดวงนี้ แก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆ ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิตย์ไม่ลดละ ล้วนแต่เป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้น ทานการกุศลสิ่งใดที่ให้แก่สมณชีพราหมณ์นั้นก็จะกลายเป็นของทิพย์ไปรอคอยอยู่บนสวรรค์หมดทั้งนั้น ฉะนั้น เมื่อพวกข้าพเจ้าไปเกิดบนสวรรค์ก็มีแต่ความสุขสำราญ เป็นผลจากการประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาถึง 2 หมื่นปี ในสมัยศาสนาพระเจ้ากัสสโป ผู้คนอายุยืน 2 หมื่นปีนะท่าน”

    พวกเทพยดาเหล่านั้นล้วนแต่มีรูปร่างสูงใหญ่ สวยงาม มีผิวสีขาว เหลือง แดง ไว้ผมยาว ใส่สายสร้อยรอบตัว นุ่งผ้ายาวครึ่งแข้งเหมือนคนโบราณ เวลาเดินก็งาม พูดก็งาม เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์แล้วไกลกันเหมือนฟ้ากับดินนะ จากนั้นเขาก็ฝากธรรมะว่า

    “ท่านอาจารย์ขอได้โปรดไปแนะนำพร่ำสอนญาติโยมทั้งหลาย ให้พากันบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา บำเพ็ญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค 8 โพชฌงค์ 7 และพากันเดินจงกรมฝึกจิต อบรมจิตสอนจิตให้มันดี นั่งสมาธิภาวนานั่นแหละจะเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่เหมือนดังที่พวกข้าพเจ้าทำอยู่อย่างนั้น 2 หมื่นปี เมื่อสิ้นลมแล้วเหมือนกับว่านอนหลับแล้วก็ตื่นขึ้นฉะนั้น”

    เสร็จแล้วเขาก็ลาจากไป ปลิวขึ้นสู่อากาศเหมือนกับนุ่นต้องลม ปลิวเข้าสู่กลีบเมฆหายไปเลย ขณะที่สนทนากันนั้นลืมถามไปว่า พวกเขาเหล่านั้นมาจากสวรรค์ชั้นไหน ได้ถามแต่ว่า “ทำไมจึงมีแต่นางเทพยดาไม่เห็นมีเทพบุตร” เขาก็ตอบว่า “เมื่อครั้งที่พวกข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ได้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนานั้น ไม่มีพวกผู้ชายไปบำเพ็ญด้วย ดังนั้นเมื่อไปเกิดบนสวรรค์จึงไม่มีเทพบุตร” นั่นแหละ ทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น

    รุ่งเช้าไปทำกิจวัตร หลวงปู่ขาวท่านถามว่า “เมื่อคืนภาวนาเห็นอะไรบ้าง” อาตมาตอบว่า “หลวงปู่ครับผมตั้งสัตย์ไว้แล้วว่าจะไม่นอนทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อคืนนี้ภาวนาแล้วจิตสงบเห็นสาวสวรรค์ลงมาจากสวรรค์ในราว 60 คน มีรูปร่างสูงใหญ่สวยงาม ถือธงแดงและธูปลงมาคนละอันเอามาปักไว้หน้าถ้ำ แล้วก็พากันไหว้พระสวดมนต์ จบแล้วก็นั่งภาวนา เสร็จแล้วก่อนที่เขาจะจากไป ได้ถามเขาว่า มาจากไหน เขาก็ตอบว่า มาจากเมืองสวรรค์

    หลวงปู่ขาว (อนาลโย) ท่านก็ว่า “ปัตจัตตังจ ะรู้เห็นเฉพาะผู้ปฏิบัติ ใครปฏิบัติผู้นั้นก็จะรู้เห็นเองนะ แต่ถ้าปฏิบัติแล้วจิตไม่สงบก็ไม่เห็น เมื่อจิตสงบลงสู่อุปจารธรรมแล้วจะเห็นได้ เพราะจิตเข้าสู่ภพเดียวกับพวกเขาเหล่านั้น”

    นั่นแหละก็เห็นจริงแจ้งชัดประจักษ์ว่า สวรรค์นั้นมีจริง ถึงแม้จะไม่ได้ไปเห็นเมืองสวรรค์ แต่ก็ได้เห็นนางเทพธิดาทั้งหลายเหาะลงมาจากฟ้า ลงมาไหว้พระสวดมนต์และนั่งภาวนาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพลนั้น...”

    หลวงปู่ฯ เทศน์โปรดเทวดาจากภูเขาใหญ่

    “...สมัยหนึ่งไปวิเวกที่ถ้ำพระ บ้านตาลเลียน อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ภูเขาลูกนั้นมีถ้ำอยู่ 2-3 ถ้ำ ไปอยู่คนละถ้ำกับพระอาจารย์บุญพิน วันนั้นนั่งภาวนาตั้งแต่หัวค่ำ ราวเที่ยงคืนจิตสงบแล้วเกิดแสงสว่างกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็มีฝูงเทพบุตรเทพยดาลงมาจากภูเขาใหญ่ รูปร่างใหญ่โต สวยงาม แต่พูดจาเสียงแข็ง แต่ก็ไม่ใช่ลักษณะการด่าว่าหรอก เขามาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล 5 ถามว่า “จะรับไปทำไม” เขาก็ว่า “พวกข้าพเจ้าหมดเกษียณภพชาติที่อยู่บนภูเขาใหญ่แล้ว จะได้เกิดยังเมืองมนุษย์อีก เมื่อเห็นท่านมาอยู่ที่นี่ก็ดีใจเลยมาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล 5”

    เมื่อให้เสร็จแล้วเขาขอฟังธรรมะ ก็เทศน์ให้ฟังว่า “เยเกจิ พุทธัง สะระณัง คะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง” นรชาติหญิงชายทั้งหลาย เมื่อเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไปไฟนรกไม่ได้ไหม้สิ้นแสนกัป ดับขันธ์แล้วจะมีแต่สุคติสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้าได้ชื่อว่า มนุสสะธัมโม เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องกลั่นกรองกิเลส เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องล้างบาปและเคราะห์เข็ญเวรร้าย นั่นแหละเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้

    เสร็จแล้วเขาก็จากไปเข้าสู่จังหวัดอุดรธานีมีราวๆ 100 ตนเห็นจะได้ คืนนั้นนั่งภาวนาทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้าแจ้งเป็นวันใหม่ พระอาจารย์บุญพินก็มาถามว่า “เมื่อคืนนี้เทศน์ให้ใครพัง”... “เทศน์ให้เทพบุตรเทพยดามาจากภูเขาใหญ่ เขาหมดเกษียณภพชาติแล้ว เขาจะไปเกิดเป็นมนุษย์ที่เมืองอุดรธานีโน่น”

    การเล่าถึงประสบการณ์ในการออกธุดงควัตร ปฏิบัติสมาธิภาวนาในป่าเขาลำเนาไพรของพระกรรมฐานสุปฏิบัติโนสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต รูปหนึ่งผู้มีมีนามว่า “หลวงปู่จันทา ถาวโร” ซึ่งเป็นที่นับถือสูงสุดของคนพิจิตร เรื่องที่หลวงปู่ท่านเล่าถึงการผจญกับภัยอันตรายหรือสิ่งเร้นลับ มหัศจรรย์ยังมีอีกหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแต่สนุก มีสาระแฝงข้อคิดที่เป็นคุณประโยชน์ในทางพุทธศาสนาทั้งสิ้น ผู้เขียนจึงขอนำเรื่องเล่าบางตอนของหลวงปู่มาเผยแพร่ต่อไป...

    ประสบการณ์การตายแล้วพื้น

    สมัยหนึ่ง (ปี 2494) ไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านตะเบาะ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ มีพระจำพรรษาอยู่ด้วยกัน 3 รูป สามเณร 1 รูป และผ้าขาวเฒ่า 1 คน (ผ้าขาวคือฆราวาสผู้รักษาศีล 8 อยู่ที่วัด) อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันเพ็ญเดือน 10 หลังจากฉันอาหารเช้าแล้วกลับมาที่กุฏิ เอาผ้าคลุมจะไปฟังธรรม ก็พอดีไข้มาลาเรียมันกำเริบหนักขึ้นสมอง ล้มลงกับพื้นที่กุฏิซึ่งปูด้วยฟากไม้ไผ่ เณรได้ยินเสียงล้มลงจึงออกมาดูแล้วถามว่า “ครูบา...เป็นอะไร” (ครูบาเป็นคำเรียกพระที่พรรษาหย่อน 10) “ไม่รู้...มันมึนตึ๊บแล้วก็ล้มลงเลย”

    เณรก็วิ่งไปบอกญาติโยมว่า “ครูบาจันทาล้มลงนะ...เป็นอะไรก็ไม่ทราบ” ทั้งพระและโยมเขาก็เข้ามาดู เอาหมอมาด้วย หมอก็ตรวจดูแล้วบอกว่า เป็นไข้มาลาเรียขึ้นสมองอย่างหนัก อีก 5 นาทีก็จะสิ้นลม โยมทายกวัดเขาก็ว่า จะเป็นหรือตายอย่างไรก็ตามต้องฉีดยาช่วยเหลือไว้ก่อน พอฉีดยาเสร็จแล้วไม่นานก็สิ้นลม เมื่อสิ้นลมดวงจิตนั้นยังไม่ยอมออกจากร่าง ยังห่วงใยเสียดายร่างกายอยู่ ไม่นานมีเพื่อนคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆ ร้องบอกว่า

    “เพื่อนๆ รีบออกจากเรือนเถอะ ไฟมันจะไหม้ทับหัว” ก็เลยออกจากร่างมายืนติดกับเพื่อน เพื่อนก็บอกว่า “นี่แหล่ะ...เพื่อนเอ๋ย สมบัติร่างกายนี้นั้นอาศัยกันมาตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้นั้นก็ถูกไฟพยาธิเผาให้เร่าร้อนฉิบหายเสียแล้ว จะอาศัยอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ หมดเพียงแค่นี้นั่นแหละ ถึงจะเสียดายอย่างไรก็หมดสิทธิ์อำนาจที่จะเข้าไปครอบครองได้อีกต่อไป”

    จากนั้นทั้งพระและโยมก็ช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็หามศพไปไว้ที่ศาล วางนอนไว้เฉยๆ ไม่ได้ใส่โลงและก็ไม่ได้ฉีดยา ก็ตามไปดูอีกเพราะความเสียดายนั่นแหละ เข้าไปนั่งลูบคลำร่างกายศพ ดูแล้วก็เฉยเหมือนขอนไม้ โอ้หนอ...ขึ้นชื่อว่าตายแล้วถึงจะคิดเสียดาย อาลัยอาวรณ์อย่างไรก็เอากลับคืนมาไม่ได้แล้วก็หมดความสงสัย ทีนี้ก็หันไปพูดกับพระเณรเขาก็ไม่พูดด้วย ไปถามญาติโยมเขาก็ไม่พูดด้วย เขามองไม่เห็นเพราะมีแต่นามธรรมคือ “ดวงจิต” จึงหันกลับมาถามเพื่อนว่า “เราจะไปไหนกันดี” เพื่อนก็ตอบว่า “จะพาไปเที่ยวดูภูมิประเทศ”

    ก็ออกเดินทางกันวันยังค่ำ มีแต่ดวงจิตไปสบาย ไม่หิวโหย ไม่เหนื่อยล้า ครั้นไปถึงกึ่งกลางระหว่าง 2 หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งเป็นภูเขา อีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นป่าดง ในระหว่างกลางนั้นเป็นสนามเล่น ก็เลยไปพักเล่นอยู่กับเขา พักเล่นอยู่จนกระทั่งตี 3 พวกเขากลับบ้านกันหมดเพราะมันจะค่ำ กลางคืนเป็นกลางวันนะ เมื่อพวกเขากลับกันหมดแล้วก็ถามเพื่อนว่า “เราจะไปไหนกันอีก” เพื่อนก็บอกว่า “เราเองก็มาใหม่ ยังไม่รู้จักภูมิประเทศดี จะไปข้างหน้าก็เป็นป่าดง ไปข้างหลังก็เป็นภูเขา แต่ว่าขณะนี้สมบัติปัจจัยเก่าคือร่างกายนั้นยังสดชื่นอยู่ พอที่จะกลับคืนสู่ร่างเก่าได้เพราะมีบุญครึ่งหนึ่งรักษาไว้ แต่ว่าเรามาไกลแล้ว จะเดินกลับคงไม่ทันแน่ ต้องวิ่ง”

    เอ้าวิ่งก็วิ่งเลย ข้ามดงข้ามทุ่งมาถึงวัดแล้วก็ขึ้นไปบนศาลาไปดูซากศพก็เห็นนอนสบายดีอยู่ มีแต่ญาติโยมที่มาเฝ้าศพปรึกษากันว่าจะเผาหรือฝังเท่านั้น เพื่อนก็บอกให้เข้าไปนั่งติดกับร่างศพและตั้งสติให้ดี นึกถึงบุญเก่าและบุญใหม่ประกอบกันเข้านั่นแหละจะช่วยให้ดวงจิตกลับเข้าสู่ร่างได้ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ พอนึกจบแล้วก็เข้าสู่ร่างกายได้สบาย เมื่อหันหน้ากลับมาดูเพื่อน เพื่อนหายไปเสียแล้ว

    พอแจ้งเป็นวันใหม่ กระดุกกระดิกร่างกายได้สมบูรณ์ดีแล้ว ลืมตาขึ้นได้ยินเสียงนกแซงแซวร้อง ก็ระลึกขึ้นมาว่าเรามีชีวิตกลับคืนมาได้ก็เพราะบุญหรอก บุญที่สะสมไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้าเป็นเครื่องรักษา ฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะสะสมแต่บุญกุศลเท่านั้น สิ่งอื่นไม่ว่าจะเป็นสมบัติ ข้าวของ เงินทอง กุฏิ วิหาร สบง จีวร สังฆาฏิก็ดี เมื่อสิ้นลมแล้วก็ทอดทิ้งไว้หมดเสียสิ้น มีแต่บุญกุศลเก่าและใหม่เท่านั้นที่จะบันดาลให้เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์เ ป็นผ้าสบงจีวร เป็นสังฆาฏิสวยงาม เป็นที่พึ่งพิงอาศัยได้แท้แน่นอน

    เมื่อตั้งสัตย์อธิษฐานเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง พวกญาติโยมที่มาเฝ้าศพอยู่บนศาลาก็ตกใจ บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็กระโดดลงศาลาไปด้วยความกลัวผี ไม่นานพอหายตกใจกลัวแล้ว พวกโยมทายกวัดก็เข้ามาถามความเป็นมา เพราะไม่เคยเห็นคนตายไปวันกับคืนแล้วพื้นคืนมาได้ ก็แสดงให้เขาฟังอย่างที่ได้อธิบายมาแล้วนั่นแหละ และก็ว่า โยมทั้งหลายต่อไปนี้จงยึดเอาอาตมาเป็นคติธรรมเตือนใจนะ เพราะบุญกรรมดีสะสมไว้แต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้าจะรักษาสมบัติร่างกายไว้ ถึงตายแล้วก็ไม่เน่ายังสดชื่นเหมือนเดิมทำให้พื้นกลับคืนมาได้ ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงรีบเร่งสะสมคุณงามความดีใส่ตนไว้ จะได้เป็นเพื่อนสองเป็นคู่ครองติดตามตลอดไป...

    เทศน์โปรดช้าง

    สมัยหนึ่ง (ปี 2497) ไปวิเวกที่ดงหม้อทอง อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร กับหลวงปู่ขาว (อนาลโย) และพระอาจารย์จวน (กุลเชฏโฐ) และพระอื่นๆ อีกรวมแล้วมีพระ 7-8 รูปด้วยกัน คืนหนึ่งในขณะที่เดินจงกรมอยู่ประมาณ 4-5 ทุ่ม ก็มีช้างฝูงใหญ่ราว 10 ตัวเดินเข้ามาหาพอห่างได้ระยะ 1 เส้น (20 วา) จ่าฝูงก็กระทืบตีน 3 ครั้งแล้วก็โบกหูไปมาแล้วก็ชูงวงขึ้น

    ขณะนั้นอาตมาก็ไม่มีความสะทกสะท้านหรือเกรงกลัวอย่างไรทั้งสิ้น เพราะอำนาจพระธรรมเกิดขึ้นแล้วที่จิต คือความสงบนั้น จึงกำหนดถามพระธรรมตัวเองขึ้นว่า “ช้างเขามาทำอะไรกัน” พระธรรมพูดขึ้นว่า “ช้างฝูงนี้เป็นญาติของเรามาแต่ชาติปางก่อนโน้น เขาอนุโมทนาส่วนบุญกับเรา จงอุทิศส่วนบุญให้เขาเสีย” ก็เลยตั้งใจมั่นแล้วแผ่เมตตาให้ว่า

    “ช้าง...พวกท่านกับอาตมาเป็นญาติกันมาแต่ชาติปางก่อนโน้น มาชาตินี้ก็ได้มาประสบพบปะกันแล้ว จงอนุโมทนาส่วนบุญนะ จะอุทิศให้ “ปุญญัง อุทิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ” ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้รับส่วนบุญเถิด” จากนั้นก็ให้โอวาทแก่เขาว่า

    ...ขอให้พวกท่านทั้งหลาย จงน้อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปไว้เป็นที่พึ่งนะ ไหว้พระสวดมนต์ภาวนาประจำชีวิต ไม่ลดละ ท่านทั้งหลายจงตั้งตนอยู่ในศีล 5 “ปาปะกัง ปาณาติบาต” อย่าเพิ่งฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมนุษย์นะ เป็นบาป อย่างเพิ่งลักขโมยกินของไร่ ของสวนเขานะ เป็นบาป เขาจะฆ่าเอา อย่าเพิ่งนอกใจซึ่งกันและกัน นั่นแหละ อันนี้เป็นข้อสำคัญมั่นหมาย

    เมื่อพวกท่านมีพระไตรสรณคมณ์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นสรณะที่พึ่งแล้ว มีศีล 5 ประจำชีวิตอีกก็จะได้นุสสธัมโม เปลี่ยนชาติภพจากสัตว์เดรัจฉานไปเป็นมนุษย์ เมื่อเปลี่ยนชาติภพแล้วจะได้ทำคุณงามความดีเหมือนอย่างข้าพเจ้านี่แหละ เขาก็ตั้งใจฟังจนจบ จากนั้นจ่าฝูงก็กระทืบเท้า 3 ครั้งแล้วโบกหูพึบพับๆ จากไป

    สมัยนั้นที่ดงหม้อทองยังเป็นป่าดงทึบ มีสัตว์ป่ามากมาย ทั้งช้าง ทั้งเสือเหลือง เสือโคร่ง ส่งเสียงร้องกันสนั่นหวั่นไหว แต่สัตว์ร้ายเหล่านั้นก็ไม่ได้มาทำอันตรายแต่อย่างใด เพราะอำนาจของการประพฤติธรรมบันดาลให้เป็นมหาเสน่ห์มหานิยม

    พบเสือโคร่งกลางป่า

    สมัยหนึ่งปี 2496 ได้เร่ร่อนสัญจรไปวิเวกยังดงพระลาด บ้านหนองแผน อำเภอวานนรนิวาส จังหวัดสกลนคร มีพระ 2 รูป และเณร 1 รูปไปทำที่พักอยู่กลางดง ห่างจากหมู่บ้านราว 2 กิโลเมตร พระรูปหนึ่งทำที่พักอยู่ใต้ต้นเม็ก และเณรไปทำที่พักอยู่กลางป่ารกๆ ส่วนอาตมาไปทำที่พักอยู่ในสถานที่ๆ ช้างและเสือมันจะขึ้นลงไปกินน้ำในห้วย

    คืนแรกพอค่ำมาก็ลงเดินจงกรมจนถึง 2 ทุ่ม จากนั้นก็ไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้วจึงนั่งสมาธิภาวนาต่อไป พอถึง 3-4 ทุ่มเสือโคร่งใหญ่ลงไปกินน้ำในห้วยแล้วกลับขึ้นมา หายใจดัง...ฮื่อฮ่า...ๆ...ๆ เสียงมันดังเพราะคอมันใหญ่ เดินปัดหางดัง...ก๊วก...ๆ...ๆ ใกล้เข้ามาก็นึกในใจว่า มันจะทำอย่างไรก็แล้วแต่บุญแล้วแต่กรรมเถิด ถ้าได้ทำกรรมไว้ก็มอบร่างกายนี้ให้เป็นภักษาหารของเสือใหญ่ไปเลย ไม่อาลัยเสียดายทั้งนั้น เมื่อเสือใหญ่เข้ามาใกล้ที่พัก มันก็เดินเลี่ยงไปทางพลาญหินแล้วก็วกกลับมานั่งดู ยืนดูอยู่ตรงนั้น นั่นแหล่ะ...เสือก็เฝ้าอยู่อย่างนั้น จนล่วงไปถึง 6 ทุ่ม มีเทพบุตรตนหนึ่งมาพูดว่า

    “หลวงพ่อๆ อย่ากลัวนะ แมวใหญ่ (เสือโคร่ง) นั้น ข้าพเจ้าบอกให้เขาเฝ้ารักษาหลวงพ่อไว้ ตัวที่อยู่ใกล้เฝ้าดูแลรักษา ส่วนตัวที่อยู่ไกลก็ร้องส่งสัญญาณขู่ไม่ให้สัตว์อื่นเข้ามารบกวนในบริเวณนี้ ทั้งนี้ เพราะข้าพเจ้ากับท่านและเสือใหญ่นั้นเป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว มาชาตินี้เห็นท่านมาเจริญสมณธรรมเกรงว่าจะเป็นอันตราย จึงให้เขามารักษาญาติพี่น้องของเราไว้อย่าให้เป็นอันตราย จะออกไปขี่หลังมันก็ได้ ไม่ต้องกลัว

    นั่นแหล่ะ คืนนั้นก็ไม่ได้นอน นั่งภาวนาอยู่จนสว่างแจ้งเป็นวันใหม่ เสือมันก็เข้าดงไป นั่นแหล่ะ...ไปวิเวกตามสถานที่ต่างๆ เป็นอย่างนั้น เมื่อก่อนนี้ในภาคอีสานยังมีคนน้อย มีแต่ป่าดงทึบ สัตว์ร้ายเสือช้างอะไรมันก็มาก ผีก็เยอะ ผีกองกอยสะมอยดง ผีโป่ง ผีป่ามากมาย ถึงแม้จะมีสัตว์ร้ายมากขนาดไหนก็ไม่หวั่นไหวนะ ภาวนาอยู่ที่นั้นนานๆ ก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด...”
     
  4. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    [​IMG]
    หลวงปู่ขาว อนาลโย


    ปริศนาธรรมหลวงปู่ขาว อนาลโย
    แก้โดยหลวงปู่จันทา ถาวโร


    ผม (หลวงปู่จันทา ถาวโร) อยู่กับครูบาอาจารย์ คือหลวงปู่ขาว ท่านสอนอย่างไรก็ประพฤติอย่างนั้น ท่านว่าบาปก็บาปจริง จงละ ท่านว่าบุญก็บุญจริง ก็ประพฤติปฏิบัติ ท่านสอนให้ไม่ให้ห่วงอาลัยในชีวิตสังขาร อย่าเพิ่งยึดถือมากเกินไปนะ จะเป็นเครื่องผูกมัดให้หลงในภพชาติสังขาร ยึดถือเพียงแต่ว่าเป็นปัจจัย เครื่องอาศัยชั่วคราว ร่างกายนี้เป็นโรงงานใหญ่ เราคือใจเป็นเจ้าของ สำหรับที่จะทำงานหาผลรายได้ คือบุญกุศล มรรคผล ธรรมอันวิเศษ เกิดขึ้นจากโรงงานใหญ่นี้ทั้งนั้น

    ๑. ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น ใฝ่เย็นจะเข็ญร้อน ภายหลังจะดิ้นตาย
    ท่านสอนบ่อยนะ นั่นแหละก็พิจารณาปัญหานี้ว่า

    - ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น โอ๋ …หมายความว่า ให้รีบประพฤติปฏิบัติ ทำคุณงามความดี อดนอนผ่อนอาหาร เผากิเลสให้เร่าร้อน ทั้งวันคืน ไม่หวั่นไหวต่อร้อนหนาวและหิวกระหาย ทีนี้เมื่อจิตสงบลงไปได้ขณิกะ ก็ดี อุปจาระก็ดีนะ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรก็ดี ก็นอนเย็นสบาย หิวกระหายก็ไม่มีก็นอนเย็นสบายดี

    นี่แหละ จะนอนเย็น เมื่อความตายมาถึงก็นอนเย็น เย็นใจ แม้กามันจะร้อนก็เรื่องของกาย แต่ใจนั้นมันเย็น ใจเย็นอยู่กับพุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่กับคุณงามความดี ที่ได้ทำไว้นั่นแหละ จึงเรียกว่า จิตเต อะสังกิลิฎเฐ สุคะติ ปาฎิกังขา เมื่อจิตฝึกฝนอบรมได้ดีแล้ว สุคติเป็นที่ไปเบื้องหน้า โดยไม่ต้องสงสัย

    - ใฝ่เย็นจะเข็ญร้อน ภายหลังจะดิ้นตาย เป็นผู้ประมาทอยู่นะ ประมาทไม่เร่งทำความเพียรนั่นแหละ ผลัดวันปันเวลาอยู่เสมอ ฉะนั้น เมื่อไฟร้อนมาถึงภายหลังจะดิ้นตายคือว่า ความเจ็บไข้ได้ป่วยมาถึงจะดิ้นตาย หรือเหตุเภทร้ายเกิดขึ้นเผชิญหน้า มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นก็จะดิ้นตาย ไม่มีสติปัญญาแก้ตนออกจากของชั่วช้าลามกได้ นั่นแหละจะดิ้นตาย ฟังธรรมะบทบาทนี้แล้วก็พอใจ ตั้งใจทำความเพียรอยู่เป็นนิจ นี่เป็นธรรมที่หลวงปู่ขาว ท่านสอนอยู่เป็นนิจ

    ๒. รีบพายเรือ ตะวันจะสาย ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า
    รีบภายเรือแม่ รีบพายเรือพ่อ ตะวันจะสาย ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า รีบพายเรือ ท่านพูดเพียงแค่นั้น ท่านก็ไม่แปลให้ฟัง ทีนี้ ก็มาทำความเพียร เมื่อจิตรวมลงไปนั้น ถึงอุปจารธรรมแล้ว ตั้งมั่น ก็กำหนดถามผู้รู้คือใจ นั่นแหละ

    รีบพายเรือ ได้แก่อะไร
    ตะวันจะสายได้แก่อะไร
    ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่าได้แก่อะไร

    พระธรรมพูดขึ้นที่หัวใจว่า รีบพายเรือ คือ รีบเดินจงกรม เดินภาวนา ยืนภาวนา นั่งภาวนา อดนอนผ่อนอาหารพิจารณาธาตุขันธ์ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์เห็นแจ้งประจักษ์ทุกเมื่อ จิตจะรวมลงสู่ภวังคภพอันแน่นแฟ้นแล้วเห็นของจริง อะไรบ้าง อยู่ในตลาดนี้

    ร่างกายนี้ เปรียบเหมือนตลาดนั่นแหละ มีทุกอย่างทุกประการ รีบขายของ รีบรื้อถอน ของออกจากใจ คือกิเลส เมื่อเก็บเอาได้แล้วนั่นแหละ เป็นผู้ชายของขาด ถึงไม่หมดก็แปลว่าขาดนั่นแหละ รีบพายเรือ ตะวันจะสาย คือมันจะแก่ นั่นแหละ รีบทำคุณงามความดี ร่างกายนี้มันจะแก่

    ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า ก็คือ ตาย ร่างกายเปรียบเสมือนสายบัว วายคือตาย สายบัวมันก็เน่า เปื่อยเน่าเท่านั้น เมื่อถึงสภาพเปื่อยเน่า แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นของๆ เราแท้

    นี่แหละปัญหาธรรมของจริง ที่นักปราชญ์ท่านสอน คือ หลวงปู่ขาวนั่นแหละ ผมจำได้แล้วก็เร่งทำความดีอย่างนั้นไม่ลดละ ก็สบายนั่นแหละ

    ๓. บ้านใกล้ครั่ง ย้อมครั่งไม่แดง นอนตะแคง ผิงแดดไม่อุ่น สวดจุ้มกุ้มมืองุ่มไม่ถึง
    นี่ท่านก็พูดบ่อย

    "แปลว่าอะไรหลวงปู่ ?"

    "ไปภาวนาแปลเอา แปลให้รู้แล้วมันขี้เกียจขี้คร้าน ทำความเพียร มันไม่สิ้นสงสัย"

    ผม (หลวงปู่จันทา) ก็เร่งความเพียรอย่างนั้น นั่นแหละอดนอนผ่อนอาหาร จิตรวมสู่ขณิกสมาธิได้ เย็นกาย เย็นจิต จิตลหุตา จิตเบา กายลหุตา กายเบา นั่นแหละ อันนี้เป็นผลรายได้จากการเจริญความเพียร

    โอ๋...การเจริญธรรมผู้ประกอบให้ทุกข์เกิดขึ้น นี่จะเป็นผู้เห็นธรรมได้ ผู้ใดทำความเพียร ติดสุข ไม่เห็นธรรมนะ

    ผู้ใดทำความเพียร เอาทุกข์เป็นอารมณ์ของสติ เป็นอารมณ์ของใจ เผากิเลสให้ใจเร่าร้อน อย่างนั้น จะเห็นความเป็นไปในธรรมทั้งหลายนั้น ก็เลยกำหนดถามผู้รู้คือใจนี่แหละ
    บ้านใกล้ครั่ง ย้อมครั่งไม่แดง ได้แก่อะไร ?

    ได้แก่ เราเป็นชาวพุทธ ถือศาสนาพุทธนั่นแหละ แต่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพุทธ ถือเฉย ๆ แต่ไม่ยอมประพฤติปฏิบัติตาม ก็เลยไม่รู้ธรรมเห็นธรรม ไม่เป็นไป จิตก็ไม่ได้บรรลุธรรม ไม่ได้ดื่มรสของความสงบ พระโสดาปัตติผล พระสกิทาคามีผล พระอนาคามีผล พระอรหันต์ ไม่มี ไม่เกิดขึ้น นั่นแหละ มีแต่กิเลส เผาใจให้เร่าร้อน อันนี้เรียกว่า ย้อมครั่งไม่แดง

    นอนตะแคง ผิงแดดไม่อุ่น นี่ได้แก่ ผู้ขี้เกียจขี้คร้าน สะสม คุณงามความดีใส่ตนไว้ ไม่เจริญธรรม เมื่อความเจ็บไข้ได้ป่วยมาถึง ความตายมาถึงแล้ว หาความสุขอะไรไม่มี มีแต่ความเร่าร้อนเกิดขึ้น เผากายเผาจิตให้เร่าร้อนทังวันคืน นั่นแหละ ได้ชื่อว่านอนตะแคงผิงแดดไม่อุ่น
    จะไปนอนผิงแดด มันก็ไม่อุ่น มีข้าวของเงินทองมากมาย ก่ายกองจุเมฆ มันก็ไม่มาช่วยเหลือให้อบอุ่นได้ มีแต่เร่าร้อนกระวนกระวาย หิวกระหายอย่างนั้น

    สวดจุ้มกุ้ม มืองุ่มไม่ถึง ได้แก่ ลาภยศสรรเสริญสุข ฝ่ายโลก เขาได้เป็นนายร้อย นายพัน นายพล ข้าหลวง นายอำเภอ ตลอดจนนายกรัฐมนตรี ผู้นำของชาติ ประมุขของชาติ นั่นแหละเขาได้กัน เราก็ไม่ได้ เพราะบุญน้อยวาสนาน้อย พลอยรำคาญ เล่าเรียนแล้วก็ไม่ได้

    ฝ่ายทางธรรม เขาได้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณตลอดจนสังฆราช ประมุขของศาสนา อยากได้แล้วก็ไม่ได้ ทีนี้ทางฝ่ายธรรมเข้าไปอีก พระโสดาปัตติผล พระสกิทาคามีผล พระอนาคามีผล พระอรหัตตผล ก็ไม่ได้ไม่ถึง นั่นเพราะเหตุใด ?

    เพราะความขี้เกียจขี้คร้าน ไม่สะสมบุญกุศลใส่ตนไว้ ไม่รีบเร่งบำเพ็ญอินทรีย์ธรรมให้แก่ ไม่บำเพ็ญบารมีธรรมให้เกิดมีขึ้นในตน เป็นผู้ติดสุขลืมตน ประมาทท่องเที่ยวเกิดดับภพน้อยภพใหญ่ โอ๊ย…เขาผู้หมั่นขยันนั้น เขาได้ กันสนั่นหวั่นไหว เราก็ไม่ได้ เพราะเราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ขี้เซาเหงานอน ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำพร่ำสอนอย่างไร ก็ไม่ยอมทำ ทำได้แต่ความชั่ว นั่นแหละความชั่วทำได้ แต่ความดีทำไม่ได้ ผลสุดท้ายก็อับอายขายหน้าเอาแต่ความชั่วอวดเขาทั้งนั้น ไม่ดี

    จากหนังสือ 80 ปี หลวงปู่จันทา ถาวโร​
     
  5. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    หลวงปู่จันทาใช้พระไตรสรณาคมน์สู้ผีโป่ง
    [​IMG]
    ผีโป่งที่ผาอีเมย
    เมื่อพักภาวนาอยู่ที่ดงผาลาด พอสมควรแล้ว ได้ข่าวว่าที่ผาอีเมย บ้านดงนาซอน อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร มีผีโป่งดุร้ายมาก เขาว่าถ้าไปที่นั่นแล้ว ระวังให้ดีนะ มันจะหักคอกิน
    นั่นแหละ ก็เลยออกเดินทาง ไปถึงที่นั่น ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทำที่พักไม่ทัน ก็เลยอาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ ค่ำนั้นก็ไม่เดินจงกรม เพราะเดินทางไกลมาแล้ว
    พอ ๖ โมงเย็นกว่า ๆ ก็มีเสียเหาะขึ้นทางโคนโป่งโน้น ขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พุ่งลงทางหัวทุ่งทางโน้น เสียงดัง ตึ้ง... ราวกับว่าทุ่งมันจะพังทลาย ไม่นานก็กลายเป็นไฟไหม้ป่าแดงจ้าร่าเข้ามา ไฟป่าก็ลุกรุ่งโรจน์ใกล้เข้ามา มันจะทำให้ตกใจกลัวจนเป็นบ้า วิ่งหนีเข้าป่าไป
    โอ๋...นี่หรือที่เขาว่า ผีโป่งผาอีเมยมันร้าย ถ้าใช่จริง ๆ ก็มาหากันวันนี้ เรามาก็เพื่อว่าจะเจริญสมณธรรมหรอก มิได้มารบกวน หวังยึดเอาสถานที่ของใครทั้งนั้น เอานะ มาลองดูกันว่า คาถาอาคมของใครจะเก่งกว่ากัน เราจะได้รู้กันว่า อาคมของศาสนาจะดีเพียงใด จะปราบผีร้ายได้ไหม พอไฟใกล้เข้ามาในระยะประมาณ ๑ เส้น (๒๐ วา) เท่านั้น ก็อ่านคาถาว่า
    อิติปิโสวิเสเส อิอิเสเส พุทธนาเม อิอิเมนา พุทธะตังโส อิอิโสตังพุทธะปิติอิ ตะโจพระพุทธเจ้า ขอจงมาเป็นหนัง มังสังพระธัมมเจ้า ขอจงมาเป็นเนื้อ อัฏฐิพระสังฆเจ้า ขอจงมาเป็นกระดูก ตะริเพ็ชรคงคง อิสวาหะ สวาสุ สวาอิ พุทธะปิติอิ นะมะอะอุมิ นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ พุทโธกั้ง (กั้น) ธัมโมบัง สังโฆปิด
    จบแล้วก็เป่าพึบ !...ไฟนั้นก็แตกกระจายไป สีแดง ๆ หายไป กลายเป็นสีเขียววิ่งเข้าโคนโป่งไปเลย
    คืนนั้น ๓ ทุ่มกว่า มีโยมบ้านดงนาซอนเขามาหา (บ้านดงนาซอน เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีประมาณ ๑๒ หลังคาเรือน ตั้งอยู่กลางดงผาลาด) เมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความกันแล้ว ก็ให้เขารับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ จากนั้น ก็อธิบายธรรมให้เขาฟังบ้างเล็กน้อย เสร็จแล้วก็ถามเขาว่า
    “โยม...เมื่อเย็นนี้ ราว ๖ โมง มีเสียงเหาะขึ้นไปบนฟ้า แล้วตกลงมากลางทุ่งทางโน้น เสียงดังสนั่นราวกับทุ่งมันจะถล่มทลาย และไม่นานก็มีนิมิตเป็นไฟป่ามา อันนั้นเป็นเสียงอะไร ?”
    “อ๋อ...ผีโป่งมันมาหาท่าน มันร้ายกาจมากนะท่าน นายพรานในเขตนี้มาล่าสัตว์ ยิงเก้งกวางแล้วมันวิ่งหนีเข้าไปในพุ่มไม้นั้น พอวิ่งตามเข้าไปดู ก็เห็นผีตัวใหญ่ หัวล้านเพ่อเว่อ นั่งสูบยามวนใหญ่เท่าแขนโป้ อยู่บนจอมปลวกโคนโป่งนั่น นายพรานในเขตนี้เขากลัวกันมาก ไม่กล้าไปอีกเลยนะท่าน”
    นั่นแหละ พอรุ่งเช้าได้ข่าวว่า ผีโป่งมันเข้าไปสิงชาวบ้าน แล้วมันพูดว่า
    “แหม...เราเป็นเจ้าของโป่ง อยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสโป โน่น เคยเป็นนายพรานใหญ่มาล่าสัตว์ที่นี่ แล้วขึ้นไปนั่งบนโคนโป่งใหญ่ มีเสือตัวใหญ่ยาว ๑๒ ศอก ผ่านมา ก็เลยยิงออกไป แต่ว่าเสือนั้นไม่ตาย มันจึงกระโดดเข้ามากัดเราตาย เราหึงหวงห่วงอาลัยในสถานที่นี้ เมื่อตายก็เลยกลายเป็นผีมาเฝ้าโป่งอยู่ที่นี่ นั่นแหละ พอเห็นพระกรรมฐานจีวรคล้ำ ๆ ร่มใหญ่ ๆ บาตรโต ๆ เดินผ่านมามีรัศมีด้วยนะ เราก็รู้ว่าพระจำพวกนี้มีธรรมจืดนะ ไปอยู่ที่ไหนก็จืดหมดทั้งนั้น ไม่มีใครสู้ได้ แต่เราก็สู้ด้วยฤทธิ์ด้วยคาถา คาถาของเราก็เป็นหนึ่ง ฤทธิ์ของเราก็เป็นเลิศประเสริฐ ไม่กลัวใครทั้งนั้น แต่เราสู้ไม่ได้ เพราะคาถาของพระกรรมฐานนั้นเก่งกว่าเรา”
    นั่นแหละ ก็ไปได้ชัยชนะกับผีโป่งที่นั่น ฉะนั้น เรื่องผีสางคางแดงดำอะไรจึงไม่กลัวทั้งนั้น ธรรมพระไตรสรณคมน์เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ ผีเจ้าเข้าสิง ใช้ทำน้ำมนต์ กำจัดปัดเป่าหายไปได้ทั้งนั้น อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย ฉะนั้นขอให้เอาไปภาวนาเช้าเย็นอย่าได้ขาด ไปไหนมาไหนก็ภาวนาอย่างนั้น ตายแล้วอบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะได้ไปสวรรค์โดยเร็วพลัน นี่เรียกว่า คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์ เอาไปบริกรรม อย่าได้ขาด อย่าได้ประมาท อันนี้เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้
    ที่มา หนังสือธรรมมะพเนจร
     
  6. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    [​IMG]

    พระเปรต

    สมัยหนึ่ง ไปวิเวกกับพระอาจารย์บุญพิน และพระจ่อย ไปอยู่ที่ถ้ำจำปา อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

    ถ้ำจำปาอยู่บนภูพาน ในถ้ำนั้นมีพระพุทธรูปทำด้วยไม้ และหินอยู่มาก โยมที่บ้านกะลึมบอกว่า มีผีเฝ้ารักษาไว้ แล้วโยมก็พาไปทำที่พักให้อยู่หน้าถ้ำ
    พอค่ำลง ก็ทำความเพียร เดินจงกรมจนถึง ๓ ทุ่ม จากนั้น ก็ไหว้พระ สวดมนต์แล้วอุทิศส่วนบุญ เสร็จแล้วก็เข้าที่ นั่งภาวนา กำหนดพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่นานจิตก็รวม พอจิตสงบ เกิดแสงสว่างจ้า ไม่นานเห็นเทพบุตรตนหนึ่งมาบอกว่า

    “ท่านอาจารย์หันปลายเท้าเข้าหน้าถ้ำ นั้นเป็นทางไปพระนิพพานนะ”
    ถามเขากลับไปว่า “ทางไปพระนิพพานคืออะไร ?”

    เขาก็ว่า “พระพุทธรูปนั่นแหละ ผู้เป็น นายโก ผู้นำโลกคือหมู่สัตว์เข้าพระนิพพานได้ ทีนี้ท่านหันเท้าเข้าไปอย่างนั้นมันผิดแล้ว”

    “โอ๋...โยมเขาทำให้อย่างนั้น ต้องขออภัยด้วย พรุ่งนี้จะให้เขาทำให้ใหม่”
    เสร็จแล้วเขาก็ลากลับไป จากนั้นไม่นาน ก็มีเปรตพระ ๓ ตนเข้ามาหา เป็นคนโบราณรูปร่างสูงใหญ่ มีเครายาวถึงหน้าอก เข้ามานั่งใกล้ ๆ ลูบขาข้างซ้าย แล้วพูดว่า

    “ท่าน ๆ ผมกับท่านใครจะแก่พรรษากว่ากัน ?”
    ก็ตอบเขาไปว่า “หลวงพ่อนั่นแหละ แก่กว่า”
    “ก็คงจะจริงอย่างท่านว่านั่นแหละ พรรษาของผมนั้นแก่กว่าท่าน แต่ว่าคุณธรรมของท่านนั้น แก่กว่าผมนะ”

    “แก่กว่าเพราะเหตุใด ?”
    “แก่เพราะท่านเจริญธรรม เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ อดนอนผ่อนอาหาร นี่มันแก่อย่างนี้ เพราะการเจริญธรรมถูกต้อง”

    จากนั้นก็เลยถามเขาต่อไปอีกว่า “พวกท่านเป็นพระ บวชในศาสนาพุทธอันบริสุทธิ์แล้ว สมควรที่จะเจริญสมณธรรม อย่างต่ำก็ไปสวรรค์ ๖ ชั้น อย่างกลางก็พรหมโลก (รูปพรหม ๑๖ ชั้น) อย่างสูงก็อรูปพรหม ๔ ชั้น และอย่างถึงที่สุด ก็วิมุตติหลุดพ้นไปพระนิพพาน ข้ามโลกสงสารไปได้ เพราะมีกิจอันเดียว แต่เหตุใดท่านจึงมาเป็นเปรตค้างอยู่ที่นี่”

    “ท่านเอ๊ย...พวกข้าพเจ้าเกิดมาพบปะศาสนาในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐา (เป็นเจ้าเมืองเวียงจันทร์เรืองอำนาจและสร้างวัดต่าง ๆ มากมาย) เมื่อบวชมาแล้ว อุปัชฌาย์อาจารย์ก็ไม่แนะนำพร่ำสอนให้เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ อดนอน ผ่อนอาหาร พิจารณาธาตุขันธ์ เหมือนอย่างพวกท่านในขณะนี้”

    “บวชเป็นพระตั้ง ๑๐๐ กว่าพรรษา ก็ไม่ได้ภาวนาอะไร อยู่สนุกสนาน ฉันเช้า ฉันเพล แล้วก็ทำกิจการงานต่าง ๆ ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงม้า เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เหมือนอย่างฆราวาสญาติโยมเขา”

    “บวชมาแล้วก็ล่วงเกินสิกขาบทวินัยไตรสิกขาน้อยใหญ่เสียสิ้น ศีลวัตร ศีล ๒๒๗ ก็ล่วงเกิน จะเหลือก็แต่ปาราชิก ๔ ถึงเหลือก็เศร้าหมอง ล่วงเกินพระวินัยด้วยการขุดดิน ฟันไม้ จับจ่ายเงินทอง กินข้าวแลงแกงร้อน (ฉันอาหารยามวิกาล) นั่งนอนเสื่อสาดยัดด้วยนุ่นและสำลี (ต้องอาบัติปาจิตตีย์) กินลาบดิบ ลาบวัว ลาบควาย พอญาติโยมเขาฆ่าวัวความยอยู่ในบ้าน ก็สั่งเอาเนื้อสันใหญ่ ๆ ตับ ไต เอามาลาบก้อยกินกันสนุกสนาน กินกับเหล้ากับยา สนุกสนาน”
    นั่นแหละ ขุดดินฟันไม้ จับจ่ายเงินทอง ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ กินข้าวแลงแกงร้อนก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์นะ

    นั่นแหละ “พอถึงช่วงเดือน ๑๒ เขาลงจับปลากัน ก็ให้เณรไปขอปลาและกุ้งเป็น ๆ มาลาบกินกันสนุกสนาน บางทีก็เข้าป่าหากระต่ายและอีเห็นมาหมกมาคั่ว (ทำอาหาร) กินกันสบาย”

    “ทีนี้ฤดูทำนา เขาก็มานิมนต์ไปช่วยเขาดำนา แล้วก็กินเหล้ากินยา ลาบวัวลาบควาย สนุกสนานคุยสาว (จีบผู้หญิง) นะท่าน ถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็ไปเก็บเกี่ยวกับเขา กินเหล้ากินยา เล่นสาว (พูดเกี้ยวผู้หญิง) สนุกสนาน เวลานวดข้าว เขาก็มานิมนต์ไปนวดกับเขา เวลาเอาข้าวขึ้นยุ้งขึ้นฉาง เขาก็มานิมนต์ไปสวดมนต์ข้าวนะ แหม..กินเหล้ากินยาวันยังค่ำ ท่านเอ๊ย...สนุกสนาน ได้กินลาบไก่ ต้มไก่ สนุกสนาน”

    “วันพระก็ตีกลองให้ผู้สาว (หญิงสาว) มาดายหญ้าในบริเวณวัด แล้วก็เล่นสาวสนุกสนาน งานบุญพระเวสสันดร มีการละเล่นต่าง ๆ ก็เล่นสาวสนุกสนาน จับโน่นจับนี่ เมื่อมีโยมตายในหมู่บ้าน เขานิมนต์ไปสวดกุสสลา มาติกาในงานศพ มีการละเล่นในงานนั้น ก็หยิบหยอกกับผู้สาว จับก้นจับขาจับของดี ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง นั่นแหละ ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ”

    “ทีนี้มาถึงเดือน ๕ เมษายน ขึ้นปีใหม่ อุปัชฌาย์อาจารย์ก็บอกว่า เอ้า...พระเราเป็นนาคนะ ฤดูนี้เราเป็นนาค เล่นน้ำได้ ไม่เป็นบาปเป็นกรรม นั่นแหละ มันก็สนุกสนาน เล่นน้ำปล้ำผู้สาว จับอกจับก้น จับของลับกันสนั่นหวั่นไหว แต่อาจารย์ไม่ให้เสพนะ ถึงอย่างนั้นมันก็เกิดความกำหนัดยินดีในกาม นั่นแหละกระทำกันอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ เสร็จแล้วก็มีการขอขมาลาโทษกัน ทำพิธีสู่ข้างเล่าขวัญ (พิธีขอขมา) อันนี้ต้องอาบัติทุกกฎนะ”

    “นั่นแหละ ความไม่ดีทั้งหลายที่พวกข้าพเจ้าทำขึ้นจึงได้ส่งผลให้มาเกิดเป็นเปรตตกค้างอยู่ที่นี่”
    นอกจากเปรตพระ ๓ ตนนี้แล้ว ก็ยังมีเปรตแม่ขาวนางชี (แม่ชี) ตกค้างอยู่ที่นั้นอีกมาก

    พอถามว่า เมื่อไหร่จะพ้นกรรม เขาก็บอกว่าไม่รู้ ถามว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นกรรมได้ เขาก็ไม่ทราบ จึงได้กำหนดจิตถามพระธรรมว่า
    “เปรต ๓ ตนนี้ กับแม่ชีนั้น เคยเป็นญาติของเราบ้างไหม ?”

    “โอ๋...เป็นมาหลายภพหลายชาติแล้ว แต่มาภพนี้ชาตินี้ เขาทำกรรมไม่ดี จึงมาเกิดเป็นเปรต นั่นแหละ จงช่วยเหลือเขาเสีย ถ้าเราไม่ช่วยแล้ว ก็ไม่มีใครช่วยเขาหรอก”

    จากนั้น จึงพูดกับเปรตเหล่านั้นว่า “พระพุทธรูปที่อยู่ในถ้ำนั้น อย่างเพิ่งหึงหวงห่วงอาลัยนะ เมื่อมีพระเณรหรือญาติโยมมาเอา ก็ให้เขาไปเถิด เราจะได้พ้นจากบาปกรรมได้ เอ้า...เตรียมรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ จะช่วยให้พ้นจากสภาพเปรตไปเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก และเมื่อข้าพเจ้าเดินจงกรมเสร็จแล้ว ก็มารับส่วนบุญนะ”

    เจริญสมณธรรมอยู่ที่นั่นได้ ๒ - ๓ เดือน ก็มีแม่ชีคนหนึ่งมาบอกลาว่า
    “ท่านอาจารย์ ดิฉันพ้นจากบาปกรรมชั่วช้าลามกแล้ว จะได้ไปเกิดที่เมืองมนุษย์อีก”

    “ไปดีเถิด จงภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปนะ ไปที่ อ.บ้านผือ หรือที่ จ.อุดรธานี โน่นแหละดี เพราะจะมีพระกรรมฐานผ่านมามาก”

    ทีนี้พอล่วงมาถึงเดือน ๖ ก็ได้บอกพวกเปรตทั้งหลายว่า ปีนี้จะกลับไปจำพรรษากับหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ที่วัดป่าบ้านหนองแซง ปีหน้า ถ้าบุญพาวาสนาส่ง จะกลับมาโปรดอีกนะ แต่แล้วก็อย่าได้ประมาท ขอให้พากันเดินจงกรม บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ยืนภาวนา บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฝึกจิต อบรมจิต สอนจิต ทรมานจิต ให้มันเป็นไปในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้จิตอยู่กับนักปราชญ์ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ นั่นแหละ จะเป็นจิตเกษมสำราญ พ้นจากกำเนิดเป็นเปรต ไปเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก โดยเร็วพลัน ช่วยตัวเองนะ อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ (ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน) พึ่งคนอื่นชื่นใจเป็นบางครั้ง ไม่เหมือนดั่งพึ่งตนผลทวี ตนจะเป็นคนดี หนีทุกข์โทษภัย ในวัฏฏสงสาร มีพระนิพพานเป็นที่ไปเบื้องหน้า ก็เพราะตนทำดี สะสมบุญดีให้เกิดมีขึ้น เพราะตนพึ่งตน อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย
    นั่นแหละ ต่อแต่นั้น ก็ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่บัว พอออกพรรษาแล้วก็กลับมาที่เก่าอีก ไปแล้วรู้สึกว่าเป็นเบา ๆ นะ พวกเปรตทั้งหลายนั้นหายไปหมดแล้ว เมื่อภาวนาจิตสงบแล้ว มีพวกเทวดาทั้งหลายมาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ เสร็จแล้วเทศน์ให้ฟัง แล้วก็ถามเขาว่า

    “พวกเปรตพระ ๓ ตน กับแม่ชีทั้งหลาย หายไปไหนกันหมด”
    เขาก็ตอบว่า “ท่านมาโปรดเขา เมื่อปีกลายโน้น เขาก็ได้เจริญสมณธรรมตามอย่างที่ท่านสอนนั้น แล้วก็รักษาศีลอย่างบริสุทธิ์ จึงได้ไปเกิดที่เมืองมนุษย์กันหมดแล้วละท่าน”

    นั่นแหละ เรื่องการไปวิเวกตามสถานที่ต่าง ๆ ก็ได้สงเคราะห์ฝูงเปรตทั้งหลาย และผีสางคางแดงทุกอย่าง

    นี่แหละการไปเจริญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ นั้น ก็ได้ธรรมะเกิดขึ้นสอนใจ เขาเป็นอย่างไรตกทุกข์ได้ยาก เป็นเปรตเป็นผีค้างโลกโลกีย์อย่างนั้น ก็เพราะทำบาปหยาบช้าลามก ลืมตนคบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต ๆ พาไปหาผลคบคนชั่วพาตัวยากจน คบใครก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้ก็น้อมมาเป็นธรรมะสอนเรา ถ้าเราเป็นผู้ประมาทแล้ว ต่อไปก็จะไม่แคล้วคลาดจากสมบัติ อย่างที่เขาได้นะ นั่นแหละ ข้อสำคัญมั่นหมาย

    ที่มา หนังสือธรรมมะพเนจร
     
  7. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    [​IMG]

    พระอาจารย์จันทาถามปัญหาหลวงปู่เจี๊ยะ

    พระอาจารย์จันทาถามว่า “หลวงปู่...กิริยาภายนอกของหลวงปู่เป็นอย่างนี้ จะไม่กลัวคนตาหน้าเอาบ้างหรือา”
    พระอาจารย์เจี๊ยะจึงตอบว่า “อันว่ากิริยาภายนอกนั้นจะเป็นอย่างใดก็ตามเถอะ แต่ถ้าหากเรามุ่งมั่นปั้นใจจนเที่ยงดี ก็ยังดีกว่าคนที่กิริยางามแต่ใจไมเที่ยง เพราะนิสัยวาสนาคนเรามันไม่เหมือนกัน เขายังมีคำพูดอยู่มิใช่หรือว่า แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งวาสนาแข่งกันไม่ได้ เราจึงไม่ไปแข่งวาสนากับใคร เราเป็นอย่างนี้จึงพอใจอย่างนี้ เพราะนิสัยวาสนาเป็นมาอย่างนี้”
    “เป็นยังไงหลวงปู่จิตใจ ในเรื่องการภาวนาจะพ้นทุกข์ได้ไหม” ท่านพระอาจารย์จันทาถามอีก
    พระอาจารย์เจี๊ยะตอบว่า “ผมก็รู้ว่าผมนี่รอดพ้นได้แล้วนะ รอดมันแล้วไม่คืนมาอีกแล้ว เรามาอยู่มาพบพระอาจารย์มั่น ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่านกับท่าน ศึกษาอะไรนึกว่าท่านจะไม่รู้ แหม!...รู้หมดทุกอย่างไม่เหลือวิสัย นึกคิดทางใจท่านก็รู้ ถูกผิดท่านก็รู้
    เพราะฉะนั้น ผมเองก็ไม่มีสิ่งใดที่จะเอาผิดท่านได้ เอาแค่รู้ถูกทั้งนั้น ดูกิริยามารยาทเรียบร้อยคือพระอาจารย์มั่น เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของใครก็ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามในทางไม่ดีดอก เข้าสู่สังคมก็เรียบร้อยน่าชม น่าเอาเป็นครูเป็นอาจารย์ดี ดูกิริยามารยาททุกอย่างถูกต้องตามพระวินัยดีถูกต้องทุกอย่างดีเลิศประเสริฐไม่มีสิ่งใดผิดพลาด มีแต่เอาถูกทั้งนั้นไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
    เพราะภาวนาในสมัยนั้นไปอยู่ร่วมกับหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ อุดรฯโนนนิเวศน์ หนองน้ำเค็ม สกลนคร แล้วก็ย้อนกลับไปที่บ้านเกิดจันทบุรี ที่จันทบุรีจึงเป็นที่สำคัญของผม ตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย”
    พระอาจารย์จันทาเรียนถามต่อไปอีกว่า “หลวงปู่เห็นผู้สาวสวยๆ ไม่ชอบบ้างเหรอ ?1 ”
    “โอ! ไม่ชอบมันดอก เบื่อหน่ายมัน ไม่สนใจล่ะ เหม็นตดมัน เดี๋ยวมันสิ ตดให้ดม คำว่า“เจี๊ยะ ๆ ” นี่ ไม่คืนกลับมาดมขี้ ดมตดใครอีก”
    “โลกสามไม่กลับคืนมาแล้วหรือปู่” พระอาจารย์จันทาถามย้ำ
    “เรา...ไปเลยแหละ อยู่ฮีแม่มันทำไมอีกล่ะ คำว่า “เจี๊ยะๆ ”ไม่คืนกลับมาเป็นขี้ข้ากิเลสราคะตัณหาของใครอีกแล้ว มุดทะลวงออกทะเลไปเลย...ว่ะ” พระอาจารย์เจี๊ยะตอบอย่างเด็ดขาด
    “ไม่ขึ้นมาอยู่บนโลกสามนี้กับหมู่เพื่อนทั้งหลายอีกแล้วหรือปู่” พระอาจารย์จันทาถาม
    “สูเอ๊ย...ถ้ายังมีการคืนมาอยู่ มันก็ไม่ใช่พระนิพพานน่ะซิวะ พระนิพพานแปลว่าสถานที่เยี่ยมล้ำเลิศประเสริฐสุด หาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี ไม่มีภพชาติสังขารแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงมาอยู่ร่วมกับหลวงปู่ขาว เพราะท่านพูดจริงแนะนำสิ่งที่ดีทุกอย่าง ไม่พูดโกหกหลอกลวงใครทั้งนั้น”
    “ผมจะได้ไหมหลวงปู่ พระนิพพาน” พระอาจารย์จันทาถาม“โอ๊ย! บอกคนอื่นไม่ได้ แล้วแต่ตนเองจะทำได้ ได้เมื่อไหร่ตามแม่มึงแหละ มึงขี้คร้านภาวนา”


    หลวงปู่จันทา ถาวโร


    วัดป่าเขาน้อย จ. พิจิตร


    “โอ๊ย! ก็ว่าหมั่นขยันแล้วนะ...หลวงปู่ แต่แล้วมันก็ไม่ปรากฏรสชาติอะไรเพียงแต่ว่าอยู่ได้ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิลงครั้งเดียว”
    หลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นคนจุ๊กจั๊ก ทำงานชอบนุ่งผ้าถกเขมรเหน็บเตี่ยว เปิดตูด ทำให้เห็นแก้มก้น สองข้าง พอเราเห็น ท่านก็ว่า “มึงสิดมดากกูบ่... บักห่า”
    “ดากดำ ๆ บ่ดมดอก...ปู่”
    ท่านนุ่งผ้าเหน็บเตี่ยว ถกเขมรทำงานเก่ง เวลาเลิกทำงานอาบน้ำ ฉันน้ำร้อนก็คุยธรรมะ คุยเรื่องธรรมะเก่ง เล่าละเอียดให้ฟังไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เรื่องอะไร สำหรับหลวงปู่เจี๊ยะท่านได้รู้ ได้เห็นแล้ว เราไม่รู้ไม่เห็นธรรมอย่างท่าน คุยกับท่านมันก็ไม่รู้เรื่องกัน
    ปู่เจี๊ยะท่านชอบคุยเรื่องพิจารณากายให้ฟัง คุยถึงครูบาจารย์มั่น ท่านเรียกหลวงปู่มั่นว่า “ครูบาจารย์มั่น” ท่านสอนให้พิจารณากาย กาเยกายานุปัสสีวิหะระติ กายเป็นเพียงที่พึ่งพิงอิงอาศัยของใจเท่านั้น หายใจเข้าออก เข้าพุธ ออกโธ เท่านั้นล่ะท่านว่า
    “เอ้า!...นิมนต์หลวงปู่พูดธรรมะให้ฟังหน่อยเถอะจะได้จำไว้”
    “ร่างกายนี้ เป็นที่พึ่งที่อิงอาศัยของใจ เอาเท่านั้นก็พอไม่ต้องเอามาก จะพูดอย่างละเอียดให้ฟังก็ไม่ได้เพราะมันไม่รู้ด้วยกัน มันต้องรู้ ได้เห็นของจริงทุกอย่าง ไอ้ห่านี่ บักห่านี่” ท่านพูดแต่สำเนียงอย่างนี้เสมอ
    “ไม่อยากได้เมียหรือหลวงปู่” พระอาจารย์จันทาพูดหยอกเล่น


    หลวงปู่เจี๊ยะ และพระอาจารย์บุญเพ็ง


    สมัยอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพล


    “บ่อยากได้ดอก เหม็นฮีมัน”
    “ฮ่วย..ฮีนั่นเป็นบ่อเกิดกำเนิดสงสาร ไปเหม็นของเขาทำไมล่ะ หลวงปู่”
    “ครูบาจารย์มั่นไม่ให้กูดม ดมทำไมของเน่า หลอกลวงให้เวียนเกิด เวียนตาย เวียนบ่หน่ายอยู่ในโลกสาม”
    หลวงปู่เจี๊ยะท่านเคารพหลวงปู่ขาวดี ท่านว่า “หลวงปู่ขาวเป็นพระอรหันต์นะ ประมาทไม่ได้ ท่านรู้หมด เราคุยกันอยู่ตรงนี้ หลวงปู่ขาวท่านก็รู้ เราเคารพท่านไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน เคารพปู่ขาวเนี่ย”
    ปู่เจี๊ยะท่านก็ดี ฟังแต่ว่าเจี๊ยะ ๆ เถอะ “บักห่า...มึง” พั่นวะ ทำงานนุ่งแต่ถกเขมรผ้าเหน็บหางกะเตี่ยว เปิดแก้มก้น เปิดฮู้ดากเลย นุ่งแต่เพียงผ้าอาบน้ำ พันเป็นเกลียวเข้าร่องตูด ท่านเดินทำงานสบาย วัดถ้ำกองเพลมันกว้าง เวลามีมอเตอร์ไซค์เขามา ท่านก็ขอซ้อนท้ายเขาเฉย
    “คนอื่นเขาจะเห็นตูดแล้ว หลวงปู่”
    “เห็นช่างแม่เถอะ!!! มันอยากได้ให้มันมาเลียเอา”
    “โอ๊ย!...เขาบ่เลียดอก ขี้เดียดวะตูด”
    เราพูดกันกับท่านได้ดี ท่านบ่ฮ้ายบ่ว่าอีหยัง (ไม่ว่าอะไร)
    “บักห่ามึงโง่หลาย มึงสิสึกไปเลียดากเขาอีกเบ๊าะ” (พระอาจารย์เจี๊ยะดุอาจารย์จันทา)
    “ว่าสิ บ่ไปแหล้ว...หลวงปู่ สิไปกับพรหมจรรย์ตลอด ไม่กลับอีกแล้วเป็นอย่างไรก็ไม่กลับ”
    หลวงปู่เจี๊ยะท่านเคารพปู่ขาว ท่านเรียกหลวงปู่ขาวว่า “ครูบาจารย์ขาว” ครูบาจารย์ขาวท่านเป็นพระอรหันต์นะ ผมนึกประมาทไม่ได้ ท่านรู้เลย ผมจงรักษาตัวให้ดี
    เวลาหลวงปู่เจี๊ยะทำงานอยู่ตามกุฏิ โอ๊ย...นุ่งแต่ผ้าถกเขมรเหน็บเตี่ยวละ อังสะไม่ใส่เลย
    “เอ้า!...ใส่ซะหน่อยไม่ได้หรือปู่ ผ้าอังสะนั่นน่ะ”
    “เอ้อ!...ถอดออกนี่แหละ มันแฮงดี บักห่ามึงอย่ามาถามกูหลาย กูรำคาญ” (หัวเราะ)
    สำหรับหลวงปู่เจี้ยะ คนไม่เข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติทุกอย่างอาจเข้าใจได้ว่า “เป็นผีบ้า” เพราะไม่รู้เบื้องหลัง ทั้ง ๆ ที่ท่านได้อยู่และผ่านการปฏิบัติกับครูบาจารย์ที่สำคัญที่สุด คือท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นพระที่ใหญ่ที่สุดและดีเยี่ยมที่สุด
    เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านทำงานเสร็จแล้ว เลิกงานสรงน้ำ แล้วนุ่งสบงครองจีวรพาดผ้าสังฆาฏิเรียบร้อย ดูท่านรูปสวย เดิน ยืน นั่ง กิริยามารยาทอะไรก็เรียบร้อยน่าชม ในเมื่อครองสบงสังฆาจีวรเรียบร้อยแล้ว
    “โอ๊ย!...น่าชมเว้ย... อาจจะได้บุญมากเน๊าะ...หลวงปู่”
    “บ่ได้บุญกูสิบวชดิ บักห่ามึง มึงอย่าถามแปลกหลาย”
    เรากับเพิ่น (ท่าน) ถูกกันดี ว่าถามอะไรท่านก็ไม่ด่าไม่ว่าหรอก พูดกันอยู่ด้วยกันมา หลับตาเข้าก็เห็นอยู่ รูปพรรณสัณฐาน กิริยามารยาท การพูดจา ทุกอย่างรู้ดี มาอยู่ด้วยกันท่านก็พูดจาพาทีเรื่องศีลธรรมความดีงาม ไม่มีอะไรหรอกจะเหลือวิสัยไปจากพระอาจารย์เจี๊ยะได้ เจี๊ยะ ๆ นี่ โอ๊ย!.. เก่ง เวลาทำงานแม้อังสะก็ถอดออกหมดนะ นุ่งแต่ผ้าอาบน้ำถกเขมรกิ้วฮู้ขี้
    “บักห่ามึง! อยากดมดากกูติ” พั่นวะ (หัวเราะ)
    “โอ๊ย! ไม่อยากดมดอกหลวงปู่ มันเหม็นวะ”
    “เหม็นมึงก็ลองดมตี้ ”
    ท่านทำงานตึ้ง ๆ คนเดียว สับหิน บอกท่านว่า “อย่าทำเถอะหลวงปู่”
    “ทำมันสิเป็นหยัง กูภาวนามาจนพอแล้ว”
    “ไม่เป็นประโยชน์ดอก เป็นประโยชน์ดีก็ไม่ว่าหรอก แต่ว่าทำจนเกินควรเสียแล้ว”
    “ควรบ่เคียนอย่ามาพูดเด้อ เดี๋ยวเอาค้อนทุบหัวเด้ บัก...ห่านิ... มึงขี้คร้านมึงไปไหนก็ไปเถอะ มึงคิดว่ากูโลเล”
    ท่านออกจากงานแล้วก็นุ่งผ้าสบง สังฆาฏิ จีวรเรียบร้อยน่าชม
    ที่มา www.Dharma-gateway.com
     
  8. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    [​IMG]


    หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ครับ
     
  9. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    [​IMG]

    หลวงปู่จันทา ถาวโร ท่านได้เจริญสมณธรรมอยู่ที่ถ้ำเป็ด อ.ส่องดาว จ.สกลนคร ตลอดไตรมาส ๓ เดือน ไม่นอนทั้งวันคืนนะ เร่งรัดพัฒนาทำความเพียร เดิน ยืน นั่ง อยู่อย่างนั้นก็ได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ เมื่อจิตสงบลงไปแต่ละครั้งแล้วมันลืม มันหมดความแสบ ความร้อน ความหิวกระหายก็ไม่มี หิวข้าวก็หายหมด หิวนอนก็หายหมด มีแต่ความสุข ร่าเริงบันเทิงใจ นี่ข้อสำคัญนะ สำหรับผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม กินธรรมเป็นอาหารก็ดีอย่างนั้น เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้

    ไม่นาน อยู่มาวันหนึ่ง จิตสงบลงได้แล้ว กลางคืนนะ ราวเที่ยงคืน มีผียักษ์ตนหนึ่ง เขี้ยวยาว ถือตะบองเหล็กเข้ามาหา แล้วว่า

    “ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่ อวดดีหรืออย่างไร ?”

    “อ๋อ...มาเจริญสมณธรรมดอกท่าน”

    “อะไรคือ สมณธรรม ?”

    “พุทโธ ธัมโม สังโฆ สมณธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา สมณธรรม มรรค ๘ โพชฌงค์ ๗ สมถวิปัสสนา นี่คือ สมณธรรม”

    “สมณธรรมอย่างนี้ ดีอย่างไร ?”

    “ดี ! ...ล้างบาปได้ ถอนกิเลสออกจากดวงใจได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะชนะได้ ดีเลิศประเสริฐแท้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของ ของสมณธรรมนั้น พระองค์ว่า จงไปเจริญสมณธรรมในสถานที่ต่าง ๆ อยู่เป็นนิจ จิตใจจะสว่างผ่องใส นั่นแหละจึงได้มาทำอย่างนี้”

    “ไม่กลัวตายหรือ ?”

    “ไม่ ! ...เรื่องตายเป็นของเล็กน้อย เรื่องความตายอยู่เบื้องหลัง ไม่เอามาขวางหน้า ไม่หวั่นไหว จะเป็นจะตายอย่างไร ไม่กลัวทั้งนั้น”

    “ไม่กลัวหรือ ! ...เอ้า ...จะทำอย่างไรก็ทำเถิด ไม่กลัวทั้งนั้น ท่านเป็นผียักษ์ใหญ่ เป็นเปรตครึ่งหนึ่ง เป็นผียักษ์ครึ่งหนึ่ง เป็นสัตว์โลกครึ่งหนึ่ง เป็นสัตว์เดรัจฉานครึ่งหนึ่ง เป็นสัตว์พเนจรมีแต่ไปอยู่ทางนั้น ทำแต่บาปหยาบช้าลามกใส่ตน หาความดีไม่ได้ ถึงจะมีอาคมกล้าอย่างไรก็ตามเถอะ เมื่อทำบาปหยาบช้าลงไปแล้ว ทุศีล ทุธรรม ก็ฉิบหายวายป่วง จะได้ประสบแต่เหตุเภทร้าย นั่นแหละ อยากดีไหมเล่า ?”

    “อยากดี !”

    “อยากดี จะสอนให้เอาไหม ?”

    “เอา”

    “เอา...ก็ตั้งใจนะ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ว่าตาม เขาก็ว่าตาม ถึง ทุติฯ ตติฯ แล้วก็มอบศีล ๕ ให้อีกนั่นแหละ

    “ตั้งใจนะ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้จะพาท่านพ้นจากความเป็นผียักษ์ เป็นสัตว์โลก (สัตวะ แปลว่า เป็นผู้ข้องอยู่ด้วยความอยากและความหลง) เป็นเปรตในวัฏสงสาร (เปโต แปลว่า เปรต) นั่นแหละ อดอยาก ทุกข์ยากลำบาก ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งอาศัย มีแต่ทุกข์กับทุกข์ มีแต่ยากกับยาก มีแต่ร้อนกับร้อน มีแต่หนาวกับหนาว มีแต่หิวโหยกระหายอยู่อย่างนั้น นั่นแหละเพราะไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะอวดอ้างว่าดีก็ตามเถอะว้า”
    นั่นแหละ เทศน์ให้ฟัง จนใจของผียักษ์มันอ่อนโยน อ่อนลง สบาย

    “โอ๋...ไม่เคยได้ยินได้เห็นอย่างนี้ ต่อไปจะขอประพฤติปฏิบัติตามอย่างที่ท่านสอน”

    “เออ ดีมาก จะได้ชื่อว่า ตโม โชติปรายโน เบื้องต้นประพฤติธรรมอันมืดดำมา เป็นเปรต เป็นผี เบื้องปลายมาพบปราชญ์ชาติเมธี ใจดี มีศีลธรรมให้โอวาท จิตใจอ่อนน้อมอ่อนโยน มาประพฤติปฏิบัติธรรม ก็จะมีสุคติเป็นที่ไปเบื้องหน้านะ ไม่ต้องสงสัย”


    เมื่อได้ยินได้ฟังอย่างนั้น ผียักษ์มันก็ยอมเลย ต่อแต่นั้น มันก็ตั้งตนเป็นอุบาสก เป็นผีที่ดี ละชั่ว ไม่ยอมประพฤติชั่วช้าด้วยกาย วาจา ใจแล้ว พอใจประพฤติปฏิบัติธรรมตลอดไป


    ยืมรูปหน่อยน่ะครับ
     
  10. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    [​IMG]



    [FONT=Times New Roman, Times, serif]บุพเพชาติปางก่อน
    [FONT=Times New Roman, Times, serif]หลวงปู่จันทา ถาวโร[/FONT]
    [FONT=Times New Roman, Times, serif]วัดป่าเขาน้อย อ. วังทรายพูน จ. พิจิตร[/FONT][/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif][/FONT]





    [FONT=Times New Roman, Times, serif]ในตอนเย็นวันหนึ่งนั่งแปล ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จนจบแล้วก็เข้าที่ไหว้พระสวดมนต์อุทิศส่วนบุญ จากนั้นก็นั่งภาวนาวันนั้นจิตรวมใหญ่ [/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]พอจิตสงบลงก็มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้นแล้วพระธรรมก็ยกเพศนักบวชมาให้เห็นยืนอยู่ตรงหน้า แหมรูปร่างสวยงาม แต่ไม่ใหญ่โตนะ มีขนาดเท่ากับปัจจุบันนี้แหละ แล้วพระธรรมก็พูดขึ้นว่า[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"นี่แหละ สมบัติของท่าน ยกเอามาให้ดูเป็นสมบัติที่ดี ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้น สมัยศาสนาของพระพุทธเจ้าสิขี ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ขึ้นไปอีก ๕ พระองค์ นั่นแหละ[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]ท่านได้ไปบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์นั้น ตั้งแต่เป็นเณรไปตลอดจนถึงวันตาย นั่นแหละ ไม่หวั่นไหวในเรื่องโลกสงสาร พอใจใฝ่ฝันในการทำความดี เพราะเบื่อหน่ายในภพชาติสังขารที่ได้ไปอบายเสียเป็นส่วนมาก [/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]ได้มีโอกาสทำคุณงามความดีเพียงชาติเดียวเท่านั้น และก็ได้มอบกายถวายชีวิตรักษาเพศพรหมจรรย์ไว้ บวชจนตลอดชีวิต ไม่สึกไปสร้างโลก ไม่หวั่นไหวในเรื่องกิเลสทั้งนั้น จนกระทั่งได้เอาผ้าเหลืองห่อร่างเข้ากองไฟไปเลยนะในชาตินั้น [/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]นั่นแหละ เป็นปัจจัยใหญ่ที่ชาตินั้นได้บวชทำคุณงามความดีไว้ ได้ศึกษาพุทธวจนะ ฝังไว้ที่ใจ ไม่สาบสูญหายไปไหนหรอก มาชาตินี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือก็ตามที แต่คุณงามความดีที่ได้ทำไว้ก็ดลบันดาลให้มาได้บวชอีก ถ้าชาตินั้นไม่ได้บวช มาชาตินี้ก็ไม่ได้บวชนะ"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]ทีนี้ก็กำหนดถามพระธรรมต่อไปว่า "ชาตินี้ภพนี้จะไปพระนิพพานตามพระพุทธเจ้าได้ไหม ?"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"แล้วแต่เหตุปัจจัยนะ"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"อะไรคือเหตุ อะไรคือปัจจัย?"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"เหตุ คือ การประพฤติปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เดินยืนนั่ง พิจารณาธาตุขันธ์น้อมลงสู่ไตรลักษณ์เห็นแจ้งประจักษ์อย่างนั้น นี่เรียกว่า การประกอบเหตุดี"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"ปัจจัย ได้แก่ บุญกุศลแต่ชาติปางก่อนโน้น ถ้ามันสมดุลกันแล้วก็ไปได้ บุญกุศลนั้นจะเป็นเครื่องตัดกระแสของสงสารไปได้"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"ถ้าปัจจัยเต็มแล้ว แต่ขาดเหตุ ก็ไปไม่ได้ หรือว่า เหตุพร้อมแล้ว แต่ขาดปัจจัย ก็ไปไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้น มันต้องพร้อมมูลทั้งสองอย่างมันจึงจะไปได้ นั่นแหละ ไม่ต้องสงสัย"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"แต่ถึงจะไปได้หรือไม่ได้ก็ตามที ก็อย่าได้หวั่นไหวในการประพฤติปฏิบัติศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะทำน้อยหรือมากก็เป็นบุญเป็นกุศลเป็นนิสัยเป็นปัจจัยทั้งนั้น"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]นั่นแหละ พระธรรมพูดขึ้นมาอย่างนั้นแล้วก็ดับสูญไป[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]ถ้ามีผู้ถามว่า "อยากจะสึกไปสร้างโลกกับเขาอีกหรือไม่?"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"โอ๋... อย่าคิดเสียเลย เสียเวลาภาวนา ชาติก่อนเคยเป็นมาอย่างไร ชาตินี้ก็จะเป็นอย่างนั้น ในชาติปางก่อนเคยบวชอยู่จนตายในเพศพรหมจรรย์ หามเข้ากองไฟไปเลย ชาตินี้ก็จะไปอย่างนั้น"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]เห็นพระเณรอยากสึก มาขอสึก แล้วก็รู้สึกใจหายนะ ใจร้อน สงสารเมตตา เพราะอินทรีย์อ่อน บารมีธรรมอ่อน สติปัญญาก็อ่อน ตัดวัฏฏสารกระแสแห่งความทุกข์ไม่ได้ [/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]ก็ไปตามเวรตามกรรมเถิดไม่ว่ากัน พอหันกลับมามองเพศพรหมจรรย์แล้ว ก็รู้สึกเย็นตา เย็นใจนะ ใจสบาย นี่เป็นเพราะปัจจัยเก่าสร้างสมมาอย่างนั้น[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]จากนั้นจิตก็รวมอีก พระธรรมก็ยกบุพเพชาติมาให้เห็นอีก[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]เป็นจระเข้ใหญ่ นอนอยู่ในถ้ำ จึงถามว่า "นี่คืออะไร ?"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"นี่แหละ ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ ชาติภพของท่านที่เป็นมาแต่ชาติปางก่อนโน้น"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"เป็นอย่างนี้ก็เป็นหรือ ?"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"เป็น"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"เพราะเหตุใดจึงเป็น ?"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"เพราะกลืนกินยาพิษ ความโลภโกรธหลงนั้นคือยาพิษใหญ่ ฉาบทาจิตใจไว้ ไม่มีที่พึ่ง คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ และ ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้น เมื่อตายแล้วจึงไปเสวยภพชาติเป็นจระเข้"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"นานเท่าใด ?"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]
     
  11. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    หลวงปู่จันทาท่องยมโลก
    เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้กราบลา หลวงปู่ทับ ออกเที่ยววิเวกไปกับท่านพระอาจารย์จันทร์ ซึ่งเป็นคนบ้านกระไดใหญ่ จ.ยโสธร ท่านอาจารย์จันทร์ได้ ๑๑ พรรษา เป็นหัวหน้าพาไป ขณะนั้นเป็นฤดูแล้ง ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้ไปพักอยู่ที่ วัดบ้านเฉลียงลับ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์

    อยู่มาวันหนึ่ง ก็เลยตั้งใจ ฝึกจิตตามวิธีการที่หลวงปู่ทับสอนให้ มีหลายประเด็น ประเด็นหนึ่งก็ ตั้งสัตย์ไว้ว่า จะไม่นอน วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ข้างก็ไม่ฉัน ทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถ ๓ คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น แล้วตั้งใจมั่น อธิษฐานว่า
    “ถ้านรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ก็ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงทรงบันดาลให้ได้เห็นในวันนี้ หรือ คืนนี้ จะได้สิ้นสงสัยว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นนายะโก ผู้นำโลก คือหมู่สัตว์ออกจากวัฏฏทุกข์ได้แท้จริง”
    จากนั้นก็ออก เดินจงกรม ก้าวขวาว่า พุทโธ ก้าวซ้ายว่า ธัมโม ก้าวขวาว่า สังโฆ เมื่อครบ ๓ รอบแล้ว ก็ย่อคำบริกรรมเป็น ก้าวขวาว่า พุท ก้าวซ้ายว่า โธ ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ได้กำหนดเวลา มีแต่เดินกับยืนวันยังค่ำ จนกระทั่งถึง ๖ โมงเย็นจึงหยุด ไปอาบน้ำชำระร่างกาย เสร็จแล้วก็ฉันน้ำร้อน
    จากนั้น เวลาเกือบ ๖ โมง ๓๐ นาที แสงอาทิตย์จวนจะหมดแล้ว ก็เอากลดไปกางบนศาลา แล้วเข้าที่อธิษฐาน ตั้งใจมั่นว่า
    “คืนนี้จะนั่งภาวนา เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ และฝึกจิตให้จิตรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมต่าง ๆ นรก สวรรค์ นิพพานมีไหม ขอให้รู้เห็นเป็นไป จะได้สิ้นสงสัย”
    อธิษฐานแล้วก็ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วก็อุทิศส่วนบุญ จากนั้นเข้าที่ นั่งสมาธิ ชำระจิตใจให้ผ่องใส ปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงให้หมดเสียสิ้น นั่งเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ทำกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น เฉพาะหน้า บริกรรม พุทโธ เป็นอารมณ์ของสติ หายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ
    พอจิตยึดมั่นกับ พุทโธ ได้ไม่นาน จิตก็ปล่อยวาง พุทโธ เหลือแต่ผู้รู้ อยู่กับสติ พอจิตรวมลงไปนั้น จะไปนึกฐานอะไรก็ไม่ทราบ มันเป็นฐานใหญ่กว่า ขณิกสมาธิ ที่เคยเป็นมาแล้ว จิตก็วางกาย วางลม วางขันธ์ ลงถึงฐานใหญ่แสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้น กลางคืน เหมือนกลางวัน สว่างรุ่งโรจน์
    ในขณะนั้น มีความสุขและความเยือกเย็นร่าเริงบันเทิงเกิดขึ้นกล้าแข็ง จนรู้สึกแปลกประหลาดใจ นั่นแหละพอลงไปถึงฐานนั้นแล้ว จิตก็เสวยสุขอยู่ในที่นั้นนานพอสมควร ทีนี้ผู้รู้พูดขึ้นมาในหัวใจว่า
    “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ ฯ ความสุขอื่นเสมอด้วยจิตสงบ ไม่มี”
    นี่แหละ พูดขึ้นมาอย่างนั้น อันนี้เป็น ภวังคภพภวังคจรณะ ภวังค์ใหญ่กว่าเมื่อครั้งที่อยู่ อ.กมลาไสย อันนี้ใหญ่กว่านั้น จะเป็นอะไรเล่า ถ้าพูดตามหลักธรรมก็เรียกว่า อุปจารสมาธิ พูดขึ้นมาอย่างนั้นว่า นี่แหละคืออุปจารสมาธิ สมาธิธรรมอันมั่นคงหนาแน่นนะ ซึ่งเป็นผลเกิดขึ้นจากการเจริญสมณธรรม
    ทีนี้ผู้รู้พูดขึ้นมาอีกว่า “ความสุขนี้ยังเป็นโลกียสุขอยู่ซึ่งไม่แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แสงสว่างนี่คือ แสงพระนิพพาน แต่ยังไม่ใช่ตัวจริง เป็นรูปเปรียบเทียบเฉย ๆฉะนั้นอย่าเพิ่งติดสุข นักปราชญ์ พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย ผู้ได้พบพระนิพพานนั้น เป็นผู้ทำความเพียรเวียนหาความพ้นทุกข์ ไม่ติดสุขทั้งนั้น”
    นั่นแหละ เมื่อตั้งมั่นพอสมควรแล้ว ก็มาพิจารณาธาตุขันธ์ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์
    อนิจจตา ไม่เที่ยง มันไม่เที่ยง แปรปรวน เปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ แปรปรวนเปลี่ยนแปลงยักย้ายกลายมาเป็นอื่น ตั้งแต่วันเกิดมาโน่น จนถึงวันนี้ จากวันนี้ก็จะแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปอีกข้างหน้าโน้น
    ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ ทุกถ้วนหน้า โลก คือหมู่สัตว์ไม่ได้ตามใจหมายทั้งนั้น เพราะเป็นทุกข์ เพราะใจห่วง ใจยึด
    อนัตตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เราเสียสิ้น นั่นแหละ พิจารณาน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นแจ้งประจักษ์เสมอ มันจึงจะเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด ยึดธาตุขันธ์ว่า ขันธ์เป็นตน ตนเป็นขันธ์ ขันธ์มีในตน ตนมีในขันธ์ ไม่ใช่หรอก เป็นแต่เพียงสัมภาระปัจจัย เครื่องอาศัยชั่วคราว ไม่แน่นอน ไม่นานก็พลัดพรากจากกันไปเท่านั้น เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทอดทิ้งไว้ อย่าเพิ่งสงสัย ยึดมั่นอยู่เลย ยึดไว้พอเป็นปัจจัย เครื่องอาศัยชั่วคราว เพื่อให้มันได้ตน ได้ธรรม ได้บุญ ได้กุศล มรรคผลที่เกิดขึ้นจากสมบัติอันนี้ แล้วก็พิจารณาอย่างนั้น อนุโลม ปฏิโลม เดินหน้า ถอยหลัง ตัวเองก็แจ้งชัด คนอื่นภายนอกก็แจ้งชัด ก็สิ้นสงสัย
    อฑฺฒา เจว ทฬิทฺทา จ สพฺเพ มจฺจุปรายนา ฯ ทั้งจนและมี ดีและชั่ว นอกบ้าน ในบ้าน นอกเมือง ในเมือง ใต้น้ำ บนบก ใต้ดิน บนอากาศทุกถ้วนหน้า เกิดมาแล้วก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลง แก่เจ็บตายทอดทิ้งไว้ทุกถ้วนหน้าทั้งหมด นั่นแหละ ได้ยิน ได้ฟังได้เห็นอย่างนั้น จิตก็สังเวชสลดใจจนน้ำตาไหล เกิดความขนัน หมั่นในการทำความเพียรไม่ลดละ
    จนกระทั่ง ล่วงไปถึงตีสอง ๓๐ นาที มีนิมิตผ่านเข้ามา เป็น นายนิริยบาล ๘ คน เดินทางออกมาจากบ้านเฉลียงลับ รูปร่างสูงใหญ่มหึมา ขนาดมนุษย์เรา ๖ คน จึงจะเท่ากับเขา ๑ คนนะ ผิวเนื้อดำแดง สวมเสื้อผ้าสีแดง และมีผ้าแดงเคียนที่ศีรษะ มือถือง้าวปลายแหลม เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ห่างประมาณ ๒ - ๓ วาเท่านั้น
    คนที่เป็นหัวหน้าก็กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ พวกข้าพเจ้าทั้ง ๘ คนนี้เป็นนายนิริยบาล มาจากเมืองนรก มาเอาบุคคลผู้สิ้นอายุสังขาร ซึ่งเป็นหญิงสาวอายุ ๑๖ ปี หมดเกษียณภพชาติแล้ว พวกข้าพเจ้าได้ไปทำลายธาตุขันธ์ให้สิ้นลมแล้ว เดี๋ยวเขาจะตามมาภายหลัง”
    “พวกท่านเป็น นายนิริยบาล มาจากเมืองนรกจริงหรือ ?”
    “จริง ! ...ผู้ที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกเหมือนกับพวกข้าพเจ้านี้ เรียกว่า นายนิริยบาล นายนิริยบาลเปรียบเสมือนกับพลตำรวจก็มี และมี จ่ายมบาล ซึ่งเปรียบเสมือนอธิบดีกรมตำรวจ คอยควบคุมบัญชาการอีกที”
    ถามเขาไปอีกว่า “พวกท่านที่ได้ไปทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้น ทำคุณงามความดีหรือความชั่วอย่างไร ?”
    เขาก็บอกว่า “ความดีก็ทำ ความชั่วก็ทำ เอาหมดทั้งนั้น ไม่เลือก เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว กรรมดีและชั่วนั้นจึงพาไปอุบัติบังเกิดเป็นนายนิริยบาล ทำงานอยู่ในเมืองนรก”
    จากนั้นก็ถามเขาอีกว่า “นรกนั้นอยู่ที่ไหนเล่า ?”
    เขาก็บอกว่า “นรกนั้นอยู่ใต้ภูเขาเทวดาลงไป เป็นอีกเมืองหนึ่งต่างหาก อยู่ระหว่างกึ่งกลางของ ๓ จังหวัด คือ เลย ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์”
    “นรกนั้น เป็นสุข หรือ เป็นทุกข์ ประการใด ?”
    “เป็นทุกข์ หาสุขไม่มี”
    “ทุกข์อย่างไร ?”
    “ทุกข์เพราะถูกต้มด้วยน้ำร้อน และถูกสังหารด้วยหอกด้ามกล้า พร้าด้ามคม ของนายนิริยบาล เป็นทุกข์อย่านั้น หาสุขไม่มี”
    “พวกท่านที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้นเล่า เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ ประการใด ?”
    “เป็นทุกข์ครึ่งหนึ่งของสัตว์นรกเหล่านั้น”
    “เป็นทุกข์อย่างไร ?”
    “เป็นทุกข์ในขณะที่ไปสังหารสัตว์นรก ตรวจตราสัตว์นรก ถูกไฟนรกปลิวขึ้นมาไหม้ ถูกน้ำร้อนกระเด็นขึ้นมา ลวกแทบจะตาย นี่เป็นเพราะกรรมชั่วที่สะสมไว้เมื่อครั้งยังชาติเป็นมนุษย์โน้น จึงให้ผลเป็นทุกข์อย่างนั้น ครั้นพอเลิกจากงาน ก็กลับมาอยู่ปราสาทราชมณเฑียร กินของทิพย์อยู่สุขสบาย เพราะบุญกรรมดีสะสมไว้แต่ครั้งยังชาติเป็นมนุษย์ทั้งนั้น”
    “คนในเมืองไทยนี่ ก็คงจะไปนรก กันหมดทุกคนใช่ไหม ?”
    “เปล่า !... คนที่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และศีลธรรมนั้น ไม่ได้ไป ถึงไปแล้วก็ไม่ได้ลงนรก”
    “ฉะนั้น แสดงว่า คนในเมืองไทยนี้ ไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกล เมื่อตายแล้ว พวกท่านไปนำเขามาทั้งหมด ใช่หรือไม่ ?”
    “ใช่ !... คนในเมืองไทยนี้ ไม่ว่าชาติใด ภาษามด ทั้งนั้นมีรายชื่ออยู่ในบัญชีของจ่ายมบาลทั้งหมด เขาไปจดไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในที่ลี้ลับซับซ้อนอย่างไรก็ตามที จะโกหกพกลมไม่ได้ทั้งนั้น”
    ถามเขาไปอีกว่า “นรกนั้น มีมากน้อยเท่าไหร่ ?”
    เขาก็ตอบว่า “เฉพาะในเมืองไทยนี่ก็มีหลายขุม ๔ ภาค ก็คงจะ ๔ ขุมใหญ่ ๆ นั่นแหละ”
    อาตมาก็เคยเห็นใน มหาวิบากสูตร และใน พระมาลัยสูตร กล่าวว่า นรกในโลกมนุษย์นี้มีทั้งหมด ๔๕๖ ขุม ทีนี้ก็เลยถามเขาต่อไปอีกว่า
    “เอาเฉพาะคนในเมืองไทยนี่แหละ เพราะต่างคนต่างอวดว่า ศาสนาของตัวนั้นเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ ศาสนาพุทธ ก็ว่า ผู้ถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ ส่วนศาสนาอื่น ๆ เขาก็ว่า ฆ่าสัตว์ไม่บาป และไปสวรรค์ได้ เมื่อทำบาปหยาบช้าทั้งหลายทั้งปวงลงไป พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์นั้นจะเป็นผู้รับแทนทั้งหมด และว่า พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์เป็นผู้สร้างโลก มันจะเป็นจริงอย่างเขาว่านั้นหรือไม่ ?”
    “ไม่หรอกท่าน...พูดอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของคนหูหนวกตาบอดพูด พูดหลอกลวงโลก และคนอื่นให้หลงตามกันเท่านั้น เพราะเมื่อทำความชั่วลงไปแล้ว ก็ต้องได้รับผลของความชั่วนั้น และเมื่อทำความดีลงไปแล้ว ก็ต้องได้รับผลของความดีนั้น เรื่องของกรรมดีหรือบุญนั้น จะส่งผลให้เห็นว่า ทางไปมนุษย์และสวรรค์นั้น สะอาดเตียนดี เหมือนกับเขาถางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องของบาปหรือกรรมชั่วนั้น จะส่งผลให้เห็นว่า ทางไปนรกนั้น สะอาด เตียนดี เปลวไฟในในนรกที่ลุกรุ่งโรจน์ ก็สำคัญว่าเป็นกองดอกไม้ สัตว์ร้องครางร้องไห้คร่ำครวญเลือดอาบตัวอยู่ ก็สำคัญว่า เป็นสายสร้อยสังวาลสนุกสนาน นั่นก็เพราะบาปกรรมทำให้เห็นเป็นอย่างนั้น ส่วนทางไปมนุษย์หรือไปสวรรค์นั้น กลับมองเห็นเป็นป่ารกชัฏ เป็นขวากหนาม นั่นแหละเรื่องของบาป”
    ได้ซักถามเขาต่อไปอีกว่า “สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ต่างศาสนากัน เมื่อตายไป และถูกท่านนำไปสู่เมืองนรกแล้ว ทำอย่างไรต่อไป ?”
    เขาตอบว่า “เมื่อถึงสถานที่นั้นแล้ว จ่ายมบาล จะถามว่า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำกิจการงานใดเลี้ยงชีพ บางคนก็ตอบว่า ค้าขาย บ้างก็ว่า ทำไร่ ทำนา บ้างก็ว่า รับราชการ ต่าง ๆ กันไป”
    จากนั้น จ่ายมบาลจะถามต่อไปว่า “นับถือศาสนาอะไร ?” บางพวกก็ตอบว่า ศาสนาพุทธ บางพวกก็ว่า ศาสนาคริสต์ อิสลาม สิกข์ และฮินดู แตกต่างกันไป
    ทีนี้ จ่ายมบาลจะถามถึง เทวทูตทั้ง ๕ (ทูตะ แปลว่า เครื่องส่ง เครื่องรับรอง) คือ ๑. ชาติ ความเกิด ๒. ชรา ความแก่ ๓. พยาธิ ความปวดไข้ ๔. มรณะ ความตาย และ ๕. นักโทษในเรือนจำ นั้น ท่านพิจารณาเห็นเป็นอย่างไร โดยถามไปทีละศาสนา ตอนแรกก็ถามศาสนาพุทธก่อน
    ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธทั้งหญิงชาย ก็ตอบว่า “เป็นทุกข์” ทั้งนี้เพราะอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้น ฝังอยู่ที่ใจของเขา จึงดลบันดาลจิตใจให้เป็นปราชญ์ฉลาดรู้สิ่งทั้งปวงนั้น โดยไม่เก้อเขิน ไม่เดือดร้อนอาทรใจ องอาจกล้าหาญชาญชัยอย่างนั้น
    ต่อจากนั้น จ่ายมบาล ก็จะถามอีกว่า “วัตร ๖ กก ๕ และสีมาทั้ง ๘ นั้นเป็นอย่างไร ตลอดจนหลักของพุทธศาสนาอื่น ๆ อีก เช่น วัตร ๓ วัตร ๔ วัตร ๕ วัตร ๖ โพชฌงค์ ๗ สมถวิปัสสนากรรมฐาน และ ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น ท่านพิจารณาเห็นเป็นอย่างไร
    ด้วยอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฝังอยู่ในใจ ของผู้ที่นับถือ ศาสนาพุทธ เขาก็ตอบได้ว่า
    “วัตร ๓ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
    “วัตร ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา”
    “วัตร ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา”
    “วัตร ๓ คือ กาย (กายสุจริต)
    วาจา (วาจาสุจริต)
    ใจ (มโนสุจริต)”
    “วัตร ๔ คือ อริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย สิโรธ มรรค”
    “วัตร ๕ คือ อินทรีย์ ๕ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา”
    “กก ๕ คือ หัว ๑ แขน ๒ ขา ๒”
    “กก ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ”
    ศาสนาพุทธสอนว่า เป็น อนิจจตา ไม่เที่ยง ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ อนัตตา ก็ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา
    วัตร ๖ คือ อินทรีย์ ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ศาสนาพุทธสอนว่า ให้สำรวมให้ดี ตา เห็นรูป หู ฟังเสียง จมูก ดมกลิ่น ลิ้น ลิ้มรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม กาย จับต้องสัมผัส เย็นร้อน อ่อน แข้ง มโน น้อมนึกในธรรมารมณ์นั้น ๆ ศาสนาพุทธสอนให้สำรวมให้ดี ไม่ให้ยินดียินร้ายในของเหล่านั้น ถ้ายินดียินร้าย ก็เป็นเหตุให้ใจเศร้าหมอง เป็นทุกข์
    วัตร ๗ คือ โพชฌงค์ ๗ เป็นองค์เครื่องตรัสรู้ ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และ อุเบกขาสัมโพชฌงค์
    วัตร ๗ คือ อริยทรัพย์ ๗ ได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ และ ปัญญา
    สีมา ๘ คือ มรรค ๘ เป็นเครื่องดำเนินให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ มรรค ๘ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ สัมมาวาจา กล่าววาจาชอบ สัมมากัมมันโต การงานชอบ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบเพียรละบาป บำเพ็ญบุญชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ และ สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นชอบ มรรค ๘ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ใดดำเนินตาม จะนำให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ ไปถึงปรมัตถสุข คือ พระนิพพานเป็นที่แล้ว
    สมถวิปัสสนากรรมฐาน เป็นที่ตั้งสำหรับฝึกกาย และจิต ให้จิตมีสติ มีปัญญา ให้นำจิตเข้าสู่ความสงบได้ และเป็นเครื่องกลั่นกรองกิเลสทั้งหมดออกจากดวงจิตได้
    นั่นแหละ ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ เขาก็ตอบได้ถูกต้องทุกอย่าง จากนั้น จ่ายมบาลจึงว่า
    พวกท่านเป็นนักปราชญ์ลาดรู้ รู้จักศาสนาที่ดี เป็นศาสนาที่ล้างบาป เป็นศาสนาที่กลั่นกรองกิเลส เป็นศาสนาที่บำเพ็ญบุญกุศล คุณงามความดีให้เกิดมีขึ้น เป็นศาสนาที่ป้องกันโลก คือหมู่สัตว์ไม่ให้ไปอบาย ถึงไปก็ไม่ได้เสวยทุกขวิบากในอบายนั้น ฉะนั้น พวกท่านจึงไม่ต้องตกนรก แต่จะได้กลับไปเกิดในเมืองมนุษย์อีก”
    นี่แหละ เพราะอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และศีลธรรมที่ได้ประพฤตินั้นติดตามรักษาอยู่เป็นนิจ จึงสมกับคำกล่าวที่ว่า
    ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษา ไม่ให้ตกไปในโบกที่ชั่ว
    ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะมีแต่สุคติเป็นที่ไปล้วน ๆ
    จากนั้น จ่ายมบาล ก็สั่งให้นายนิริยบาล นำผู้ที่นับถือศาสนาพุทธนั้นกลับไปเกิดยังเมืองมนุษย์อีก
    ต่อมา จ่ายมบาล ก็หันมาซักถามผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ว่า “ศาสนาของท่านสอนอย่างไร ?”
    ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นนั้นก็ตอบว่า “ไม่รู้”
    จ่ายมบาล ก็ถามเรื่อง วัตร ๖ กก ๕ สีมาทั้ง ๘ และหลักพระพุทธศาสนาทั้งหมด ก็ตอบเขาไม่ได้ ดังนั้น จ่ายมบาล จึงว่า
    “พวกท่านทั้งหลาย จะถูกหรือผิดก็เป็นเรื่องของพวกท่านนะ วันนี้จะได้ลงนรกแล้ว เพราะกรรมของพวกท่านทำเอง”
    อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
    อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ
    ทำบาปเองย่อมเศร้าหมองเองนะ ไม่ทำบาปเองย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดและเศร้าหมองหาได้ไม่ ฉะนั้น บุญก็ดี บาปก็ดี ตนของตนเองนะ เป็นผู้สะสมใส่ตนไว้ เมื่อสะสมใส่ตนไว้แล้วนั่น บุญนั่นแหละจะนำพาไปสู่สุคติ คือ สวรรค์ ส่วนบาปนั้น จะพาดวงจิตของโลก คือหมู่สัตว์ไปสู่ทุคติ มีอบายภูมิเป็นที่ไปเบื้องหน้า คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ๔ สถานนี้ เป็นที่ไปของบุคคลผู้ทำบาป ไม่มีศีล ไม่มีธรรม
    ฉะนั้น พวกท่านวันนี้จะได้ลงนรกแน่นอน ไม่ได้กลับเมืองมนุษย์แล้ว เพราะเครื่องรับรองป้องกัน คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีในหัวใจของพวกท่าน ศีลธรรมคำสอนของนักปราชญ์ผู้ดีทั้งหลาย ไม่มีในหัวใจของท่าน พวกท่านเป็นโมฆมนุษย์ เพราะเมื่อไปเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไปพบกับคนพาลสันดานหยาบ ชักนำให้ทำความชั่วช้าลามาก ถือศาสนาผิด ศาสนามหาโจรใหญ่ นั่นแหละ หลอกลวงตนและบุคคลอื่น ทำความชั่วอยู่เป็นนิจ เพราะครูผู้สอนนั้น ก็ล้วนแต่เป็นคนมีกิเลสทั้งนั้น
    “เอ้า นายนิริยบาล คุมตัวไปลงนรก”
    นายนิริยบาล ก็ขับลงนรกหมดเสียสิ้น เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านดวงวิญญาณของโลก คือหมู่สัตว์ไปอยู่ในสถานที่นั้น นั่นแหละ พวกที่นับถือศาสนาอื่น ๆ ที่ทำบาปหยาบช้า ก็ลงนรกหมดเสียสิ้น ไม่ได้กลับมาเมืองมนุษย์อีก หมดเพียงแค่นั้น
    นั่นแหละ ไปเสวยวิบากอยู่ในนรกขุมนั้นนานเท่าใด ก็แล้วแต่กรรมของสัตว์นั้นว่ามีมากน้อยเพียงใด บางจำพวกก็พันปี บางจำพวกก็หมื่นปี บางจำพวกก็แสนปี ถูกต้มด้วยน้ำร้อนและถูกสังหารด้วยหอกด้ามกล้าพร้าด้ามคม ของนายนิริยบาล เป็นทุกข์ไปจนกว่าจะพ้นจากสถานที่นั้น
    เมื่อพ้นจากนรกแล้วไปไหนอีก
    พ้นจากนรกก็ไปเป็นเปรต พ้นจากเปรตแล้วไปเป็นอสุรกาย พ้นจากอสุรกายแล้วไปเป็นสัตว์เดรัจฉานต่าง ๆ นานา ท่องเที่ยวเกิดดับในภพน้อยภพใหญ่ ใช้กรรมใช้เวรอยู่อย่างนั้น ไม่มีวันจบสิ้นได้ เป็นทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ ไร้ทรัพย์อับปัญญา เพราะความดีไม่มี
    นั่นแหละ นายนิริยบาล ได้เล่าเรื่องเมืองนรกให้ฟังอย่างนั้น และก่อนจะจากไป เขาก็บอกว่า
    “ท่านอาจารย์บวชในศาสนาแล้ว ก็จงไปเทศน์แนะนำพร่ำสอนพี่ป้าน้าอาทั้งหลาย ให้เขาทั้งหลายเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งเด๊อ บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา อย่าได้ลดละ พิจารณาธาตุขันธ์ว่าเป็น ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อยู่เสมอ จิตใจนั้นจึงจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ยินดีในโลกสงสารอีกต่อไป จิตใจนั้น จะเห็นว่าธาตุขันธ์ไม่พอกับความต้องการ ไม่นานก็จะพลัดพรากจากกันไปเท่านั้น แล้วให้เร่งรีบ ตุริตะ ตุริตัง สีฆะสีฆัง รีบด่วน เร็วพลัน อย่าผัดวันประกันพรุ่ง รีบสะสมแต่บุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ กอบโกย เอาบุญกุศลใส่ตนไว้ อันนั้นแหละ เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้”
    “สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ แม้เพียงน้อยนิดถึงไปแล้วก็ไม่ได้ตกนรก ส่วนผู้ที่นับถือมากนั้น ไม่ได้ไปนรก เพราะรายชื่อในบัญชีของ จ่ายมบาล ก็ถูกลบออกไปหมด เมื่อตายแล้ว เขาเหล่านั้นมีสวรรค์และพรหมโลกเป็นที่ไปเบื้องหน้า สำหรับผู้บุญพาวาสนาส่ง สะสมบุญกุศลไว้มาก ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้น และมาชาตินี้ ได้ประสบพบปะกับนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม แล้วก็ประพฤติวัตรปฏิบัติบำเพ็ญสมถะวิปัสสนากรรมฐาน ยังจิตใจเข้าสู่อุปจารธรรมได้ และวิปัสสนาญาณก็เกิดขึ้น พิจารณาเห็นทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่ ก็ล้วนมีแต่ตาย ตายแล้วก็เปื่อยเน่าสาบสูญ ไม่มีอะไรเป็นเขาเป็นเรา นั่นแหละ ก็รื้อถอนกิเลสออกจากดวงจิต หมดเหตุหมดปัจจัยเมื่อไร ก็จะได้บรรลุวิมุตติวิโมกขธรรมอันยิ่งใหญ่ ได้ชื่อว่าเป็น นิยโตมนุษย์ เป็นมนุษย์อันเยี่ยมเลิศประเสริฐแท้ เมื่อพวกเขาเหล่านั้นดับขันธ์แล้ว เข้าสู่พระนิพพาน พ้นทุกข์จากโลกสงสาร ไม่กลับมาเวียนเกิด เวียนตายอีก หมดเพียงแค่นั้น”
    จากนั้นพวกนายนิริยบาลก็ลาจากไป
    ต่อมาไม่นาน มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านเฉลียงลับ มาถึงก็กราบแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ดิฉันหมดเกษียณภพชาติมนุษย์ จะได้ไปสู่เมืองนรก ใจร้อนเหมือนไฟ ขออนุโมทนาส่วนบุญกับท่านบ้างเถอะ”
    ก็เลยอุทิศส่วนบุญให้ว่า “แม่หนูน้อย จงตั้งใจรับส่วนบุญกับหลวงพ่อนะ บุญกุศลที่ได้บำเพ็ญมา ขอแบ่งครึ่งให้นะ แม่หนูน้อย จงรับเอาไปเถิด”
    “สาธุ ! ...” แล้วเขาก็ว่า
    “ใจร้อน ๆ เมื่อได้รับส่วนบุญจากหลวงพ่อแล้วใจก็เย็นสบายดี จะไปตกนรกไหมหนอ ?”
    “ไม่ตกหรอก แม่หนูน้อย จงบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปเสมอนะ อย่าได้ลดละ อย่าได้ประมาท เมื่อไปถึงนรกแล้ว จ่ายมบาล เขาจะซักไซ้ไต่ถามเรื่องเทวทูต ๕ นะ และอำนาจของ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ที่ฝังอยู่ที่ใจของแม่หนูน้อยนั้น จะตอบได้โดยเร็วพลัน สมบัติทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็เกิดขึ้นจากพุทโธ ธัมโม สังโฆ ทั้งนั้น”
    เขาก็ว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็กราบ ๓ ที แล้วขอลาออกเดินทางตามนายนิริยบาลไป
    ก็จดจำ รูปร่างลักษณะของแม่หนูน้อยคนนั้นไว้ เป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าขาวเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลวดลายที่ปลายทั้งสอง
    ขณะนั้นเป็นเวลาตี ๓ กว่าแล้ว จิตก็เลยถอน เมื่อจิตถอนออกแล้ว ได้ยินเสียงร้องไห้มาจากบ้านเฉลียงลับ วัดกับบ้านอยู่ไม่ไกลกันนะ
    พอตื่นเช้า ก็ออกภิกขาจารบิณฑบาต พอกลับมาถึงวัด ก็มีโยมทายกนำอาหารมาถวาย แล้วก็พูดว่า
    “ท่านอาจารย์ เมื่อคืนนี้ ลูกสาวของข้าพเจ้าขาดใจตายแล้ว เมื่อตอนตี ๓”
    ตอนที่หญิงสาวไปหาในนิมิตนั้น ก็เป็นเวลาตี ๓ พอดี ถูกต้องตรงกันนะ ก็เลยพูดกับโยมไปว่า
    “อาตมาเพิ่งมาอยู่ใหม่ ไม่เคยพบเห็นลูกสาวของโยม แต่ก็จะแถลงไขให้ทราบ ลูกของโยมคนนั้น หมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น เพราะบุญเก่าเขาเอามาน้อย มีนายนิริยบาล ๘ คน มาเอาตัวไป พวกนายนิริยบาลก็มาสนทนากับอาตมาอยู่ที่วัดนี่แหละ เขาบอกว่า หญิงสาว อายุ ๑๖ ปี หมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น ทีนี้ลูกสาวของโยมเป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อกลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลายคล้ายงูเหลือม ใช่ไหม ?”
    “ใช่แล้ว...ไม่ผิดหรอก”
    “ลูกของโยมเป็นคนมีกิริยามารยาทเรียบร้อย ท่าทางเป็นนักปราชญ์ ใช่ไหม?”
    “ใช่แล้ว...ลูกของข้าพเจ้า เมื่อเกิดมาพอรู้เดียงสา ถ้าไม่ได้ทำบุญแล้ว จะไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่ว่าจะมีงานบุญบวช บุญกฐิน หรือบุญอะไรที่ไหน ใกล้หรือไกล ที่บ้านน้อยเมืองใหญ่ เป็นต้องไปร่วมทั้งนั้น บางทีก็ไปนานเป็น ๑๐ วัน ๒๐ วัน แล้วกลับมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แจ่มใส พ่อแม่ก็ไม่ว่าไร เคยถามเขาว่า ทำไมจึงทำอย่างนี้ ?”
    ลูกก็ตอบว่า “พ่อแม่ นี้เป็นสมบัติเบื้องหน้า สมบัติข้าวของเงินทองก็เป็นสมบัติมาหาได้ใหม่ ไม่ใช่เป็นสมบัติติดตามมาแต่ภพชาติปางก่อนโน้น ภพชาติปางก่อนโน้นของฉันเป็นเหตุ ถ้าฉันดีแล้ว อะไรก็ดีหมด พ่อแม่ก็ดี ถ้าฉันชั่วแล้ว อะไรก็ชั่วหมดทั้งนั้น ฉะนั้นฉันจึงไม่หวั่นไหว เห็นว่าบุญกุศลให้ผลเป็นสุข พาให้พ้นทุกข์ นั่นแหละ จะส่งผลมาให้ได้พ่อแม่ที่ดี ไม่อดไม่อยาก ไม่ยากไม่จน เพราะกรรมดีของฉันสะสมไว้แต่ปางก่อนโน้น มาชาตินี้ จึงมาได้พ่อแม่ที่ดี ส่วนสมบัติข้าวของเงินทองก็เป็นสมบัติมาหาได้ใหม่ ไม่นานก็จะจากกันไปเท่านั้น เมื่อจากกันแล้วก็ทอดทิ้งไว้ เอาไปด้วยไม่ได้ ทั้งสมบัติภายในและสมบัติภายนอก”
    นั่นแหละ พอฉันเช้าเสร็จแล้ว เขานิมนต์ไปทำพิธีเผาศพลูกสาวที่ป่าช้า ไปแต่เช้าเลยนะ ถามเขาว่า
    “ทำไมจึงรีบเผาแต่เช้า ?” เขาก็ว่า “ต้องรีบปลงภาระหนัก เจ้าของร่างเขาปลงภาระหนักไปแล้ว เราผู้ยังอยู่ ก็ต้องรีบปลงภาระหนัก เมื่อเสร็จแล้ว ต่างคนต่างหมดภาระหนัก”
    เมื่อไปถึงป่าช้า เปิดฝาโลงดู ก็เห็นศพมีรูปร่างเหมือนอย่างที่เขาไปหาในนิมิต เมื่อคืนนั่นแหละ พอทำกิจพิธีทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็เผาทิ้ง ไม่มีอะไร หมดเพียงแค่นั้น นั่นแหละ ดีหรือชั่ว ก็หมดเพียงแค่นั้น ถูกไฟเผาแล้วก็หมดทุกอย่าง
    นี่แหละ ไปเห็นเป็นอย่างนั้น ก็น่าอัศจรรย์ใจนะ เห็นว่านรกนั้นมีแท้แน่นอน เพราะได้เห็นทูตานุทูต คือ นายนิริยบาล เป็นผู้ส่งข่าวสารให้ทราบ พร้อมทั้งมีคนตายให้เห็นเป็นพยานอีก ก็สิ้นสงสัย
    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-home-hist-index-page.htm
     
  12. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    เมื่อหลวงปู่จันทาสิ้นลมเพราะพิษไข้
    ที่วัดบ้านเฉลียงปีนั้น ตรงกับเดือน ๑๐ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันเพ็ญ หลังจากฉันข้าวเข้าแล้ว เวลาประมาณ ๗ โมง อากาศหนาวเย็นไม่มากนัก พอสบาย ๆ ท่านพระอาจารย์จันทากำลังยืนห่มคลุมผ้าให้เรียบร้อยเป็นปริมณฑลเตรียมตัวจะไปฟังเทศนาธรรมซึ่งเป็นวันธรรมสวนะ

    ทันใดนั้น โรคไข้มาลาเรียทีซุ่มซ่อนอยู่ในสังขารร่างกายก็กำเริบขึ้นกะทันหัน พิษไข้มาลาเรียแล่นขึ้นสู่สมองอย่างแรงกล้าทำให้ท่านพระอาจารย์จันทาปัสสาวะหลั่งไหลเรี่ยราดออกมาพร้อมกับล้มตึงลงทั้งยืนสิ้นสติสัมปชัญญะ !
    “ครูบาเป็นอะไร?”
    สามเณรน้อยรูปหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ ร้องขึ้นด้วยความตื่นตระหนกตกใจ ท่านพระอาจารย์จันทาได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ให้ผู้เขียนฟังว่า
    “อาตมาไม่รู้เรื่องเลย พิษไข้มาลาเรียมันกำเริบวูบขึ้นมาแล้วทำให้หมดสติไปเฉย ๆ
    ก่อนจะหมดสติล้มลงนั้น ไม่มีอาการหนาว ไม่มีอาการสั่นแต่อย่างใดทั้งสิ้น มันเป็นมาลาเรียประเภทร้ายแรงขึ้นสมอง ทำให้สมองหยุดทำงานทันทีทันใดเหมือนเราดับเครื่องยนต์ของรถยนต์ทำนองนั้นแหละ
    พอสมองหยุดทำงานอาตมาก็ล้มตึงเหมือนต้นไม้ถูกโค่นให้ล้มลง ไม่รู้สึกตัวเลยจริง ๆ ”
    อุบาสิกานวลจันทร์ ภราดรเสรี เป็นพยาบาลระดับปริญญา ที่นั่งบันทึกเทปอยู่นั้นได้นมัสการเรียนให้ท่านพระอาจารย์จันทาทราบว่า
    “ตามหลักวิชาการแพทย์ คนเป็นไข้มาลาเรียขึ้นสมอง ถ้าหากไปอาบน้ำจะเกิดอาการกำเริบขึ้นฉับพลันทันที ล้มลงหมดสติไปเลยเจ้าค่ะ”
    ท่านพระอาจารย์จันทาเล่าต่อไป
    “เมื่ออาตมาล้มลงไปแล้วเณรได้วิ่งไปตะโกนบอกพระ บอกญาติโยมที่ศาลาว่า ครูบาจันทาล้มหมดสติ ไม่รู้เป็นอะไร ทั้งพระทั้งญาติโยมก็พากันวิ่งมามุงดู ตกอกตกใจไปตามกัน โยมคนหนึ่งวิ่งไปตามหมอมาดูอาการ
    หมอยาคนนี้เป็นตำรวจเก่าอยู่ในหมู่บ้านนั้นเอง รักษาโรคฉีดยาได้พอสมควร จะเป็นหมอเถื่อนหรือเปล่าไม่รู้
    พระเณรและญาติโยมเล่าให้อาตมาฟังทีหลังว่า หมอตำรวจเก่าตรวจดูอาการ เอาหูฟังเสียงหัวใจเต้นแล้วบอกว่า ครูบาจันทาถูกมาลาเรียขึ้นสมอง เล่นงานเอาเสียแล้ว หัวใจเต้นอ่อนแทบไม่ได้ยิน ยังอีกประมาณ ๕ นาที ก็จะหมดลมถึงแก่มรณภาพอย่างแน่นอน
    โยมอาวุโสคนหนึ่งบอกหมอว่า ไหน ๆ ก็จะหมดลมถึงแก่มรณภาพอยู่แล้ว จัดการฉีดยาเลย ลองเสี่ยงดู บางทีอาจจะไม่ตายก็ได้พระเณรก็สนับสนุนให้ฉีดยา หมอก็ลงมือฉีดยาให้อาตมา
    พอฉีดยาปั๊บ อาตมาก็หมดลมเลย หมอเอาเครื่องฟังตรวจดูก็บอกว่าหัวใจหยุดเต้นแล้ว
    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-home-hist-index-page.htm
     
  13. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    [​IMG]

    เพื่อนนำทางหลังความตายของหลวงปู่จันทา

    พอหมดลม หัวใจหยุดเต้นแล้ว แต่ดวงใจหรือจิตของอาตมายังอยู่ในร่างกาย จิตยังไม่ได้ออกไปจากร่าง จิตมันยังห่วงอาลัยจะกลับคืนร่างอีก
    ทีนี้ไม่นานมีเพื่อนคนหนึ่งมาจากไหนไม่รู้ มายืนอยู่ใต้กุฏิกุฏินี้ไม่สูงไม่ต่ำ เป็นกุฏิ ๒ ห้องเพื่อนที่มายืนอยู่ข้างล่างนี้ รูปร่างเขาสวยงามมาก
    เพื่อนรูปร่างสวยงามคนนี้ได้ร้องบอกอาตมาว่า เพื่อน ๆ ออกจากเรือนไฟไหม้ มันจะไหม้ทับหัวอยู่แล้ว รีบ ๆ ออกมา !
    พอได้ยินเช่นนี้ ดวงใจหรือกายทิพย์ก็ออกจากร่างอาตมาปั๊บเลย กายทิพย์ของอาตมาออกไปยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อนรูปร่างสวยงามคนนั้นแหละ
    เพื่อนคนนั้นบอกว่า ร่างกายนี่แหละคือเรือนที่เราอาศัยอยู่มาตั้งแต่วันแรกเกิดจนถึงวันนี้ ตอนนี้มันถูกไฟไหม้แล้ว หมดที่พึ่งพิงอาศัยต่อไปไม่ได้แล้ว เรือนกายนี้ถูกไฟพยาธิเผาไหม้เอา
    ตอนนี้เอง กายทิพย์ของอาตมาก็ได้เห็นว่า พวกญาติโยมชาวบ้านช่วยกันจัดการกับซากศพของอาตมาที่นอนตายอยู่นั้นพวกเขาได้เอาสบงจีวรออกแล้วอาบน้ำให้ศพ เอาน้ำหอมน้ำขมิ้นมาชโลมลูบไล้ และทำอะไรต่ออะไรตามวิธีทำศพนั่นแหละ กายทิพย์ของอาตมาก็ยืนมองดูอยู่อย่างนั้นแหละ ความรู้สึกตอนนั้นเฉย ๆ
    พวกชาวบ้านหามศพอาตมาออกจากกฏิ เอาไปนอนที่บนศาลาเอามุ้งมากางให้หนึ่งหลังป้องกันแมวไม่ให้เข้าไปรบกวนศพ กายทิพย์ของอาตมาได้ถามเพื่อนรูปร่างสวยงามนั้นว่า เราจะไปไหนอีกล่ะ?
    เพื่อนผู้นั้นก็บอกว่า เราพากันไปเที่ยวชมภูมิประเทศตามยถากรรมกันดีกว่า อาตมาก็ตกลงไป
    รู้สึกว่าไปสบาย เดินสบายกายไม่หนัก กายเบาว่องไว ไม่เหนื่อย ไม่หิวโหย ไม่ร้อนไม่หนาว
    ไปถึงระหว่าง ๒ หมู่บ้านทางโน้นเป็นภูเขาด้านหนึ่ง ทางนี้เป็นดงเป็นป่าบ้านหนึ่ง แต่มีสนามเล่นอยู่ตรงกลางกว้างมาก เพื่อนบอกอาตมาว่า เราหยุดเล่นกับเขาที่สนามนี้เสียก่อนเถอะ อย่าเพิ่งรีบร้อนไปที่อื่นเลย
    อาตมาก็เล่นกับพวกเขา ซึ่งก็คือพวกผีนั่นแหละ เล่นสนุกกันไปจนถึงตี ๓ ตี ๔ ของเมืองผีกลางวันของเราเป็นกลางคืนของเขา
    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-home-hist-index-page.htm
     
  14. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    <TABLE class=tborder id=post1322516 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #23 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>joni_buddhist<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1322516", true); </SCRIPT>
    ทีมงาน

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 12:17 AM
    วันที่สมัคร: Sep 2005
    สถานที่: 35 ถนนเจริญกรุง55 ยานนาวา สาทร กทม.10120
    อายุ: 27
    ข้อความ: 6,222
    ได้ให้อนุโมทนา: 100
    ได้รับอนุโมทนา 65,331 ครั้ง ใน 7,729 โพส
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 5228 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1322516 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->หลวงปู่จันทาฟื้นคืนชีพ
    [​IMG]
    พวกเขาบอกว่าเล่นมาจนจะค่ำแล้วเลิกเถอะ เขาก็เลิกกันกลับไปหมด อาตมาก็ถามเพื่อนว่า ทีนี้เราจะไปไหนกันอีกดีล่ะ?
    เพื่อนก็บอกว่า ไม่รู้ซี เรามาใหม่ไม่รู้ทางไป ถ้าไปข้างหน้าก็ปีนป่ายเป็นดง ไปข้างหลังก็เป็นภูเขาใหญ่ เรากลับคืนสู่เรือนหลังเก่าเดี๋ยวนี้ดีกว่า เพราะเรือนหลังเก่ามีบุญก้อนหนึ่งรักษาไว้ ไม่ให้เรือนเน่าเปื่อย เหมือนเกลือเค็มหมักเนื้อสดไว้ไม่ให้เน่านั่นแหละ
    แต่เราหนีมาเที่ยวไกลมากนะ ถ้าเดินกลับไปจะไม่ทัน เพราะชาวบ้านเขาจะเอาไฟเผาเรือนของเราหรือฝังเสียก่อน เอ้า ! เรารีบวิ่งกลับไปกันเร็วเข้า
    อาตมาก็วิ่งตามเพื่อนกลับไปรู้สึกยิ่งไม่หนักเลย ตัวเบาหวิวเหมือนปุยนุ่นถูกลมพัดปลิวไปเร็วที่สุด แล้วข้ามดงข้ามภูเขาเลากามาแบบลมพัด
    พอมาถึงซากศพที่นอนอยู่ในมุ้งบนศาลาวัด เพื่อนก็บอกอาตมาว่า เข้าไปนั่งใกล้ ๆ เรือนกายซิ ตั้งสติให้นึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ตลอดจนคุณของบิดามารดา อุปัชฌาย์ ครูบาอาจารย์ ขอให้ช่วยให้เข้าเรือนกายได้สำเร็จ ให้นึกถึงบุญเก่าด้วย บุญเก่าที่เคยสร้างสืบมาแต่ปางก่อนด้วยนะ
    นึกถึงบุญเก่าให้ดี ๆ บุญเก่าที่เราเคยสร้างไว้ในครั้งสมัยศาสนาพระพุทธเจ้าสิขี นั่นเป็นบุญกุศลก้อนแรก หรือปฐมครั้งแรกของเราได้สร้างบารมีเป็นสัตว์โลก ได้ถือบวชเนกขัมมะบารมีตลอดจนวันตาย ชาวบ้านช่วยกันห่อศพของเราด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ เข้ากองไฟเผาไหม้ไป
    เราสร้างสมบารมีไว้เต็มเปี่ยมในชาติโน้น มารวมกันเข้ากับชาตินี้ที่ได้บวชเป็นพระอีกได้ ๕ พรรษานี้แล จะช่วยให้เราเข้าสู่เรือนร่างเดิมได้ อาตมาก็ตั้งสติระลึกตามที่เพื่อนผู้นั้นบอก
    พอตั้งสติได้ก็เข้าร่างไปปั๊บเลยทีเดียว เรียกว่ากายทิพย์กลับเข้าสู่ร่างเดิมที่ปฎิสนธิ
    ตอนที่กายทิพย์ของอาตมาเข้าร่างเดิมแล้ว ก็ได้หันมาทางข้างหลังดูเพื่อนผู้นั้น ปรากฏว่าเพื่อนได้หายวับไป ความรู้สึกบอกว่า เพื่อนผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน หากคือบุญก้อนเก่าและบุญก้อนใหม่ของอาตมานั่นเอง
    บุญก้อนที่ว่านี้ได้เนรมิตเป็นรูปเพื่อนขึ้นมา จะเรียกว่าเป็นภูตเทียมอีกกายหนึ่งของอาตมาก็ได้เพราะจิตเป็นธาตุรู้อันมหัศจรรย์มันย่อมจะทำอะไร ๆ ได้แปลกประหลาดมหัศจรรย์ได้เสมอ
    เพื่อนผู้นั้นหรือภูตเทียมได้หายวับเข้ามาอยู่ในเรือนกายหยาบของอาตมานี้เอง โดยที่เพื่อนได้แปรเปลี่ยนเป็นเตโชไฟธาตุสำหรับเผาเรือนกายให้เกิดความอบอุ่นขึ้น บุญกุศลทั้งเก่าและใหม่ได้ช่วยกันโยงใยไม่ให้ร่างเปื่อยเน่า
    บุญกุศลที่เราสร้างไว้จึงสำคัญยิ่งนัก เมื่ออาตมาล้มตายไปบุญก็ได้เนรมิตภูตเทียมขึ้นร่างหนึ่งให้เป็นเพื่อน พาเที่ยวไปให้ความรู้ และบุญอีกส่วนก็ทำหน้าที่รักษาร่างกายที่หมดลมแล้วให้สดชื่นไว้ไม่ให้เน่าเปื่อย”
    ฟื้นคืนชีพ

    “เมื่อภูตเทียมเข้าร่างกายกลายเป็นเตโชธาตุเผากายให้อบอุ่นแล้ว อาตมาก็เริ่มรู้สึกทางกายหยาบว่า ตรงปลายเท้าทั้งสองข้าง เกิดอาการคันยุบยิบซู่ซ่าคล้ายตะคริวหรือเหน็บชากำลังจะคลายออกอย่างนั้นแหละ อาการนี้แผ่ไปทั่วร่างกาย เริ่มเคลื่อนไหวร่างที่เป็นซากศพได้
    ลืมตาขึ้นพบว่า เป็นเวลารุ่งอรุณของวันใหม่ ท้องฟ้ากำลังรุ่งสางสว่างแจ้ง เสียงนกแซงแซวมันร้องว่า สายแล้ว แจ้งแล้วสว่างแล้ว ตื่นเถอะ ตื่นเถอะ สว่างแล้ว !
    อาตมารู้สึกประหลาดใจที่นกแซงแซวร้องเป็นภาษาคนได้มารู้ตอนหลังว่า ฟังภาษานกออกเพราะเกิดญาณรู้ขึ้นเองในตอนนั้น”
    อาตมาหัวใจหยุดเต้น สิ้นลมหายใจตายไปเมื่อวานนี้ เวลาเช้า ตอน ๗ โมงเศษ ได้ตายมา๑ วัน ๑ คืนหย่อน ๆ
    ขณะที่อาตมานอนฟังเสียงนกแซงแซวร้องนี้ก็เป็นเวลาเดียวกับพวกโยมชาวบ้านหลายคน ที่อยู่เฝ้าศพคบงันเล่นหมากรุกหมากเสือกินหมูกันมาทั้งคืน ได้ปรึกษากันเอ็ดอึงว่า สว่างแล้วจะเผาศพหรือจะฝังลงหลุมดี
    ญาติโยมชาวบ้านส่วนใหญ่ลงความเห็นกันว่า ต้องรอให้พระอาจารย์จันทร์กลับมาจากธุระเสียก่อน เมื่อพระอาจารย์จันทร์สั่งให้เผาก็เผา สั่งให้ฝังก็ต้องฝัง เพราะอาจารย์จันทร์กับอาจารย์จันทาธุดงค์มาด้วยกัน
    อาจารย์จันทร์เป็นชาวยโสธรส่วนอาจารย์จันทาเป็นชาวร้อยเอ็ดไม่รู้อยู่บ้านไหน ญาติพี่น้องเป็นใครก็ไม่รู้
    อาตมา ฟื้นแล้วนอนฟังญาติโยมปรึกษากันเรื่องจัดการศพของอาตมา ก็ให้นึกขำเกือบหัวเราะ แล้วก็นึกคิดต่อไปว่า อัศจรรย์จริงหนอ เราหมดลมตายไปตั้งแต่เมื่อเช้าวานนี้ จิตวิญญาณออกจากร่างไปเที่ยวกับเพื่อนซึ่งเป็นภูตเทียมหรือกายทิพย์อีกร่างหนึ่ง ไปเที่ยวทั้งวันทั้งคืนเพิ่งจะกลับมาเข้าร่างแล้วก็ฟื้นขึ้น
    การที่เราสามารถกลับมาเข้าร่างเดิมได้ ก็เป็นด้วยอำนาจลึกลับมหัศจรรย์ของบุญกุศลที่สร้างไว้แท้ ๆ นอกจากบุญกุศลแล้วไม่มีสิ่งอื่นใดจะพาจิตวิญญาณของเรากลับคืนเข้าสู่ร่างได้อีกเลย ! บุญจึงมีความสำคัญยิ่งใหญ่มหาศาลด้วยประการฉะนี้ !
    ต่อไปนี้เราจะทำแต่บุญกุศลจะไม่ทำบาปด้วยประการทั้งปวงอย่างเด็ดขาด เพราะได้เห็นอานิสงส์ของบุญกุศลมากมายถึงปานนี้
    อาตมาได้ตั้งจิตปฏิญาณในใจว่า ต่อแต่นี้ไปเราจะถวายชีวิตพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาตลอดวันสิ้นลมปราณ
    ข้อ ๒ ขึ้นชื่อว่าความชั่วใด ๆ เราจะละเว้นให้หมดสิ้น
    ข้อ ๓ ความดีใด ๆ อันที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้คนอื่นและตนเอง ได้รับแต่ผลดีงามถูกต้องในศีลธรรม เราจะแนะนำพร่ำสอนเขาละเราเองให้กระทำ
    ข้อ ๔ เราจะทำแต่บุญกุศลเท่านั้นในชีวิตนั้นไม่ทำสิ่งอื่นอย่างเด็ดขาด เพราะเราได้เห็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของบุญกุศลแล้วจนหมดสิ้นความสงสัยใด ๆ
    ข้อ ๕ ชาวโลกเขาว่าโลกเจริญพัฒนาสูงสุดอย่างไร และโลกเสื่อมทรามลงอย่างไร เราจะไม่ตื่นเต้นในธรรมคู่คือเจริญและเสื่อม จะวางเฉยด้วยตปธรรม
    เราจะปีติปราโมทย์สาราญเบิกบานใจ ในการสร้างสมบุญกุศลในศีลวินัยนี้เท่านั้น เมื่อสร้างสมได้เต็มเปี่ยมแล้วเราก็จะปล่อยวางบุญกุศล ดำเนินภาวนาเข้าสู่พรมแดนโลกุตรธรรม
    เมื่ออาตมาอธิษฐานปฏิญาณเสร็จแล้ว จึงลุกขึ้นนั่งอย่างโงกเงกตามแบบคนเพิ่งฟื้นไข้บ่มีแรงนั่นแหละ อาการลุกขึ้นนั่งของอาตมาทำให้มุ้งไหวยวบ เท่านั้นเองใครคนหนึ่งก็ร้องขึ้นว่า
    ผีครูบา !
    ญาติโยมที่คุยกันเอ็ดอึงอยู่นั้นคงจะเหลียวมาดูพร้อมกัน ตอนนี้แหละเสียงตึงตังบนศาลาแย่งกันวิ่งหนีกระโจนโครมครามลงจากศาลา หลายคนร้องไม่เป็นภาษาด้วยความตกใจกลัว วิ่งกันสนั่นหวั่นไหวไปทั่วลานวัด
    ผีครูบาจันทาเฮี้ยนโว้ย ลุกขึ้นเป็นผีดิบ !
    พวกญาติโยมที่วิ่งตาแหกแตกตื่นหนีเข้าหมู่บ้านไปก็มี ที่วิ่งขึ้นกุฏิปิดประตูเงียบก็มี ที่วิ่งไปตั้งหลักอยู่ตรงประตูวัดก็มี
    นานเกือบครึ่งชั่วโมงนั่นแหละถึงได้มีโยมใจกล้าคนหนึ่งเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ เข้ามาใกล้ศาลาแล้วร้องเรียกอาตมาว่า ครูบา ๆ เป็นคนหรือเป็นผี.
    อาตมาก็ออกจากมุ้งยืนขึ้นบอกไปว่า เป็นคนน่ะซี่ !
    โยมร้องถามเสียงสั่น ๆ อีกว่า ครูบาสบายดีแล้วหรือ? อาตมาก็ตอบว่า เออ ! สบายดีแล้ว ฟื้นขึ้นมาแล้ว บ่แม่นผีดิบผีสุกอีหยังดอก !
    โยมยกมือไหว้ปลก ๆ ร้องว่าแหม ! ผมใจหายหมดเกือบตาย กลัวผีครูบามากเกือบจะวิ่งหนีเข้าบ้านแล้วซี ไปอย่างไรมาอย่างไรกันเนี่ย? ตายไปวันหนึ่งคืนหนึ่งตัวเย็นเหมือนน้ำแข็งแบบนี้ไม่เคยเห็นมีใครฟื้นคืนชีพได้เลย ครูบาเป็นผีไปแล้วกลับมาได้อย่างไรกัน?
    บุญกุศลน่ะซี พากลับมาส่งจากเมืองผี
    เมื่อท่านพระอาจารย์จันทาบอกอย่างนั้น โยมแกก็ยกมือขึ้นเหนือเกล้าโมทนาสาธุด้วยความปีติยินดี
    ตอนนี้เองญาติโยมที่พากันแตกตื่นวิ่งหนีแทบเหยียบกันตายเริ่มทยอยกลับมา ต่างก็หัวร่อขบขันซึ่งกันและกันที่ตาแหกแตกตื่นกลัวผีท่านครูบา
    เมื่อท่านพระอาจารย์จันทาตายไปแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาในปีนั้น เป็นที่โจษขานเล่าลือกันมากในเพชรบูรณ์
    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-home-hist-index-page.htm
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,793
    สาธุครับ คุณกร นำชีวประวัติเรื่องราวพระอริยะเจ้ามาให้ชื่นชม

    การได้พบเห็น สมณะทรงคุณอันประเสริฐ จัดว่าเป็นมงคลสูงสุดครับ สาธุ
     
  16. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    ฟื้นคืนชีพ

    [​IMG]

    “เมื่อภูตเทียมเข้าร่างกายกลายเป็นเตโชธาตุเผากายให้อบอุ่นแล้ว อาตมาก็เริ่มรู้สึกทางกายหยาบว่า ตรงปลายเท้าทั้งสองข้าง เกิดอาการคันยุบยิบซู่ซ่าคล้ายตะคริวหรือเหน็บชากำลังจะคลายออกอย่างนั้นแหละ อาการนี้แผ่ไปทั่วร่างกาย เริ่มเคลื่อนไหวร่างที่เป็นซากศพได้
    ลืมตาขึ้นพบว่า เป็นเวลารุ่งอรุณของวันใหม่ ท้องฟ้ากำลังรุ่งสางสว่างแจ้ง เสียงนกแซงแซวมันร้องว่า สายแล้ว แจ้งแล้วสว่างแล้ว ตื่นเถอะ ตื่นเถอะ สว่างแล้ว !
    อาตมารู้สึกประหลาดใจที่นกแซงแซวร้องเป็นภาษาคนได้มารู้ตอนหลังว่า ฟังภาษานกออกเพราะเกิดญาณรู้ขึ้นเองในตอนนั้น”
    อาตมาหัวใจหยุดเต้น สิ้นลมหายใจตายไปเมื่อวานนี้ เวลาเช้า ตอน ๗ โมงเศษ ได้ตายมา๑ วัน ๑ คืนหย่อน ๆ
    ขณะที่อาตมานอนฟังเสียงนกแซงแซวร้องนี้ก็เป็นเวลาเดียวกับพวกโยมชาวบ้านหลายคน ที่อยู่เฝ้าศพคบงันเล่นหมากรุกหมากเสือกินหมูกันมาทั้งคืน ได้ปรึกษากันเอ็ดอึงว่า สว่างแล้วจะเผาศพหรือจะฝังลงหลุมดี
    ญาติโยมชาวบ้านส่วนใหญ่ลงความเห็นกันว่า ต้องรอให้พระอาจารย์จันทร์กลับมาจากธุระเสียก่อน เมื่อพระอาจารย์จันทร์สั่งให้เผาก็เผา สั่งให้ฝังก็ต้องฝัง เพราะอาจารย์จันทร์กับอาจารย์จันทาธุดงค์มาด้วยกัน
    อาจารย์จันทร์เป็นชาวยโสธรส่วนอาจารย์จันทาเป็นชาวร้อยเอ็ดไม่รู้อยู่บ้านไหน ญาติพี่น้องเป็นใครก็ไม่รู้
    อาตมา ฟื้นแล้วนอนฟังญาติโยมปรึกษากันเรื่องจัดการศพของอาตมา ก็ให้นึกขำเกือบหัวเราะ แล้วก็นึกคิดต่อไปว่า อัศจรรย์จริงหนอ เราหมดลมตายไปตั้งแต่เมื่อเช้าวานนี้ จิตวิญญาณออกจากร่างไปเที่ยวกับเพื่อนซึ่งเป็นภูตเทียมหรือกายทิพย์อีกร่างหนึ่ง ไปเที่ยวทั้งวันทั้งคืนเพิ่งจะกลับมาเข้าร่างแล้วก็ฟื้นขึ้น
    การที่เราสามารถกลับมาเข้าร่างเดิมได้ ก็เป็นด้วยอำนาจลึกลับมหัศจรรย์ของบุญกุศลที่สร้างไว้แท้ ๆ นอกจากบุญกุศลแล้วไม่มีสิ่งอื่นใดจะพาจิตวิญญาณของเรากลับคืนเข้าสู่ร่างได้อีกเลย ! บุญจึงมีความสำคัญยิ่งใหญ่มหาศาลด้วยประการฉะนี้ !
    ต่อไปนี้เราจะทำแต่บุญกุศลจะไม่ทำบาปด้วยประการทั้งปวงอย่างเด็ดขาด เพราะได้เห็นอานิสงส์ของบุญกุศลมากมายถึงปานนี้
    อาตมาได้ตั้งจิตปฏิญาณในใจว่า ต่อแต่นี้ไปเราจะถวายชีวิตพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาตลอดวันสิ้นลมปราณ
    ข้อ ๒ ขึ้นชื่อว่าความชั่วใด ๆ เราจะละเว้นให้หมดสิ้น
    ข้อ ๓ ความดีใด ๆ อันที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้คนอื่นและตนเอง ได้รับแต่ผลดีงามถูกต้องในศีลธรรม เราจะแนะนำพร่ำสอนเขาละเราเองให้กระทำ
    ข้อ ๔ เราจะทำแต่บุญกุศลเท่านั้นในชีวิตนั้นไม่ทำสิ่งอื่นอย่างเด็ดขาด เพราะเราได้เห็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของบุญกุศลแล้วจนหมดสิ้นความสงสัยใด ๆ
    ข้อ ๕ ชาวโลกเขาว่าโลกเจริญพัฒนาสูงสุดอย่างไร และโลกเสื่อมทรามลงอย่างไร เราจะไม่ตื่นเต้นในธรรมคู่คือเจริญและเสื่อม จะวางเฉยด้วยตปธรรม
    เราจะปีติปราโมทย์สาราญเบิกบานใจ ในการสร้างสมบุญกุศลในศีลวินัยนี้เท่านั้น เมื่อสร้างสมได้เต็มเปี่ยมแล้วเราก็จะปล่อยวางบุญกุศล ดำเนินภาวนาเข้าสู่พรมแดนโลกุตรธรรม
    เมื่ออาตมาอธิษฐานปฏิญาณเสร็จแล้ว จึงลุกขึ้นนั่งอย่างโงกเงกตามแบบคนเพิ่งฟื้นไข้บ่มีแรงนั่นแหละ อาการลุกขึ้นนั่งของอาตมาทำให้มุ้งไหวยวบ เท่านั้นเองใครคนหนึ่งก็ร้องขึ้นว่า
    ผีครูบา !
    ญาติโยมที่คุยกันเอ็ดอึงอยู่นั้นคงจะเหลียวมาดูพร้อมกัน ตอนนี้แหละเสียงตึงตังบนศาลาแย่งกันวิ่งหนีกระโจนโครมครามลงจากศาลา หลายคนร้องไม่เป็นภาษาด้วยความตกใจกลัว วิ่งกันสนั่นหวั่นไหวไปทั่วลานวัด
    ผีครูบาจันทาเฮี้ยนโว้ย ลุกขึ้นเป็นผีดิบ !
    พวกญาติโยมที่วิ่งตาแหกแตกตื่นหนีเข้าหมู่บ้านไปก็มี ที่วิ่งขึ้นกุฏิปิดประตูเงียบก็มี ที่วิ่งไปตั้งหลักอยู่ตรงประตูวัดก็มี
    นานเกือบครึ่งชั่วโมงนั่นแหละถึงได้มีโยมใจกล้าคนหนึ่งเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ เข้ามาใกล้ศาลาแล้วร้องเรียกอาตมาว่า ครูบา ๆ เป็นคนหรือเป็นผี.
    อาตมาก็ออกจากมุ้งยืนขึ้นบอกไปว่า เป็นคนน่ะซี่ !
    โยมร้องถามเสียงสั่น ๆ อีกว่า ครูบาสบายดีแล้วหรือ? อาตมาก็ตอบว่า เออ ! สบายดีแล้ว ฟื้นขึ้นมาแล้ว บ่แม่นผีดิบผีสุกอีหยังดอก !
    โยมยกมือไหว้ปลก ๆ ร้องว่าแหม ! ผมใจหายหมดเกือบตาย กลัวผีครูบามากเกือบจะวิ่งหนีเข้าบ้านแล้วซี ไปอย่างไรมาอย่างไรกันเนี่ย? ตายไปวันหนึ่งคืนหนึ่งตัวเย็นเหมือนน้ำแข็งแบบนี้ไม่เคยเห็นมีใครฟื้นคืนชีพได้เลย ครูบาเป็นผีไปแล้วกลับมาได้อย่างไรกัน?
    บุญกุศลน่ะซี พากลับมาส่งจากเมืองผี
    เมื่อท่านพระอาจารย์จันทาบอกอย่างนั้น โยมแกก็ยกมือขึ้นเหนือเกล้าโมทนาสาธุด้วยความปีติยินดี
    ตอนนี้เองญาติโยมที่พากันแตกตื่นวิ่งหนีแทบเหยียบกันตายเริ่มทยอยกลับมา ต่างก็หัวร่อขบขันซึ่งกันและกันที่ตาแหกแตกตื่นกลัวผีท่านครูบา
    เมื่อท่านพระอาจารย์จันทาตายไปแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาในปีนั้น เป็นที่โจษขานเล่าลือกันมากในเพชรบูรณ์
    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-home-hist-index-page.htm
     
  17. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    <TABLE class=tborder id=post1322516 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#23 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>joni_buddhist<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1322516", true); </SCRIPT>
    ทีมงาน

    ขอบพระคุณอย่างสูงครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. สว่างแดนดิน

    สว่างแดนดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +307
    ขออนุโมทนาด้วยครับ พอดีได้ไปกราบหลวงปู่ เมื่อวันขึ้นไปใหม่ แล้วก็ได้รับแจกรูปนี้มาด้วย เลยอยากให้ทุกๆ ท่านได้เห็น แล้วใครอยากโหลดเก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคลก็ตามสบายเลยนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • img018.jpg
      img018.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      1,129
  19. ratsung

    ratsung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2007
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +1,354
    อดีตมือกลองสมาชิกวงดังท่านหนึ่งขับรถจากกรุงเทพมุ่งไปตราด เกิดเหตุรถพลิกคว่ำ 3 ตลบ สภาพรถพังยับเยิน รอดมาได้อย่างเหลือเชื่อด้วยบารมีของหลวงปู่ท่าน
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,280
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018

แชร์หน้านี้

Loading...